![]() |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ประเทศเราทำพิธีบรมราชาภิเษก ก็คือประกาศการขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการ ส่วนของญี่ปุ่นพระเจ้าจักรพรรดิสละราชสมบัติให้มกุฎราชกุมาร ตอนนี้สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิอากิฮิโตะก็เลยกลายเป็น...ถ้าประเทศจีนก็คือ ไท่ซ่างหวง กษัตริย์เหนือกษัตริย์ มกุฎราชกุมารนารูฮิโตะเสด็จขึ้นเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เฉลิมรัชสมัยเรวะ รัชสมัยเฮเซจบลงแล้ว
แต่ที่ยอดที่สุดต้องโน่นเลย สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก ของภูฏาน สละราชสมบัติให้สมเด็จพระราชาธิบดี จิกมี เคอร์เซ นัมเกล วังชุก ตอนที่พระองค์ท่านสละราชสมบัตินั้น พระชนมายุเพิ่งจะ ๕๑ พรรษา แต่เห็นว่ามกุฎราชกุมารจิกมีทำหน้าที่แทนได้อย่างแน่นอนมั่นคงแล้วก็สละเลย ตอนนี้อยู่อย่างมีความสุขมาก ไม่ต้องรับผิดชอบงานอะไรแล้ว ลูกชายขึ้นบริหารเอง เป็นสมเด็จพระราชาธิบดีแต่เนิ่น ๆ ปรากฏว่าสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมีก็เอาแนวคิดและการกระทำ ก็คือพระราชดำริและสิ่งที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงปฏิบัติกับประชาชน เอาไปใช้งานจริง ๆ สถานที่ซึ่งไม่เคยย่างเหยียบไปถึง พระองค์ท่านก็เสด็จไป สมเด็จพระราชาธิบดีองค์เดิมกลายเป็นผู้ที่มีความสุขมาก ทิ้งภาระให้ลูกชายรับงานแทนทั้งหมด" |
"เรื่องของพระมหากษัตริย์ อย่างน้อยก็ต้องเคยสร้างบารมีในระดับเนกขัมมบารมีอย่างอ่อนมาแล้วถึงจะเป็นได้ ที่แน่ ๆ มาสายพุทธภูมิทั้งนั้น หลายท่านในเรื่องของบารมี ต้องบอกว่าสร้างบารมีมาจนกระทั่งปรากฏอย่างเด่นชัด สมัยอาตมาใหม่ ๆ ๒-๓ พรรษา น้องชายคือพระครูแสงทำงานอยู่ซาอุดิอาระเบีย เขาบอกว่าประเทศซาอุดิอาระเบียเป็นทะเลทรายแห้งแล้งมาก แต่พอเวลากษัตริย์เสด็จมานี่ฝนตก ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าในเรื่องบารมีของกษัตริย์ที่เกิดมาเพื่อเป็นผู้นำของชนหมู่มาก ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องสั่งสมบารมีมาในระดับที่เรียกว่า พรหมเทวดาต้องติดตามอารักขา คอยดูแล คอยจัดการ
อย่างในหลวงรัชกาลที่ ๙ สมัยที่ความแตกแยกทางความคิดระหว่างระบบคอมมิวนิสต์กับเสรีประชาธิปไตย มีคนหวั่นเกรงว่าพระองค์ท่านจะโดนเขาลอบปลงพระชนม์ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ โดยเฉพาะท้าวเวสสุวรรณไปยืนยันกับหลวงพ่อวัดท่าซุง บอกว่าพวกท่านเป็นผู้ตามรักษาในหลวงรัชกาลที่ ๙ รับรองว่าจะไม่สวรรคตเพราะเหตุปลงพระชนม์อย่างเด็ดขาด พระที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านรู้แล้วก็นำมาบอกกล่าวกันได้ ผู้นำในแผ่นดินถ้าหากว่าทรงศีลทรงธรรม ประเทศชาติก็สงบร่มเย็น ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล พืชผลก็สมบูรณ์บริบูรณ์" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่ถ้าลูกหลานรู้ว่าอะไรเป็นบุญเป็นกุศล ถึงเวลาคนตายก็สบาย พอตายถวายสังฆทานทันที ต้องบอกว่ารับกันต่อหน้าต่อตา ไม่ทันจะรู้ตัวว่าตายเลย จะโดนบุญทับตายซ้ำอีกทีแล้ว...!
ส่วนท่านที่ไม่รู้จักบุญไม่รู้จักกุศล อย่างสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าต้องแนะนำพระเจ้าพิมพิสารทำพิธีปุพพเปตพลี ก็คือทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลให้กับคนตาย เพราะว่าสมัยนั้นเขามีแต่บูชายัญ มีแต่บวงสรวงเทพเจ้า ปรากฏว่าพอพระพุทธเจ้าแนะนำทำบุญให้แล้ว บอกให้อุทิศส่วนกุศล พระเจ้าพิมพิสารด้วยความที่นับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อน พวกพราหมณ์นี่เวลาให้อะไรใครก็เอาน้ำรดมือคนนั้น เป็นสัญลักษณ์ว่าฉันให้เธอแล้ว คราวนี้ผีก็ไม่ยื่นมือมาให้รด พระเจ้าพิมพิสารก็เอาน้ำรดมือตัวเอง อุทิศส่วนกุศลให้ อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหตุ ญาตะโย ขอผลบุญนี้จงสำเร็จแก่ญาติของข้าพเจ้า ขอให้ญาติทั้งหลายจงมีความสุข พวกเราก็ถือรูปแบบตาม ๆ กันมา ก็เอาน้ำรดมือ รดไปรดมาเปียกมือ ขี้เกียจเช็ดก็เหลือแค่นิ้วเดียว ที่เขาเรียกว่ากรวดน้ำ ถ้าจะเอาถูกต้องตามแบบต้องรดใส่ฝ่ามือเลย ระยะหลังนี้พอหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า แค่เราคิดอุทิศให้ก็ได้แล้ว ก็ไม่ต้องเอาน้ำรดมือให้เสียเวลา คนก็เลิกรดไปจำนวนหนึ่ง เพียงแต่ว่าถ้าอยู่ที่ไหนเขายังนิยมรดก็รดตามเขาไปเถอะ อย่าไปขวางเขา เดี๋ยวมีรายการสงสัยแล้วอธิบายไม่ได้ ก็จะเกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันอีก ไปเถียงชาวบ้านเขานี่เหนื่อย โบราณเขาบอกว่า ขัดถ้วยขัดจานยังขาวสะอาด ไปขัดคอคนไม่ได้อะไรเลย นอกจากจะโดนด่าเอา" |
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยอยู่วัดท่าซุงมีพระรุ่นน้องชื่อวีรัฐ ไม่รู้ว่าเขียนชื่อผิดหรือเปล่า ? น่าจะชื่อวิรัตน์แล้วนายทะเบียนเขียนผิด วันหนึ่งวีรัฐเดินขากะเผลก หน้าแข้งบวมมาเลย ถามว่าไปโดนอะไรมาวะ ? “เตะโต๊ะครับ” “อ้าว...แล้วเรื่องอะไรไปเตะโต๊ะ?” “นึกจะอยากสึกไปมีเมีย โมโหก็เลยเตะโต๊ะ” พอขาบวมก็ได้สติ เลิกคิดอยากจะสึก
นั่น...โมโหตัวเอง แต่ว่าตอนหลังก็สึกไปจนได้ แสดงว่ากิเลสแรงกว่า" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ของบางอย่างบางเวลาเหมือนอย่างกับคนไม่เห็นคุณค่า พระพุทธเจ้าบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ พิจารณาดูอุปนิสัยสัตว์โลก เกิดความขวนขวายน้อยว่า หลักธรรมที่บรรลุลึกซึ้งเหลือเกิน สอนไปผู้ฟังก็น่าจะไม่เห็นผล ไม่เกิดผล ท้าวสหัมบดีพรหมต้องลงมากราบทูลอาราธนาว่า สัตว์โลกที่ธุลีในดวงตาน้อยนั้นมีอยู่ จักรู้ทั่วถึงธรรมนั้น ขอพระองค์ได้โปรดแสดงธรรมเถิด ที่บาลีเขาว่า พ๎รัห๎มา จะ โลกาธิปะตี สะหัมปะติฯ เป็นต้น
จากที่เมื่อวานได้กล่าวว่าไปงานพุทธาภิเษกมากขึ้นเรื่อย ๆ คนส่วนมากก็คือยึดติดในวัตถุมงคล เมื่อยึดติดในวัตถุมงคลก็ไม่ค่อยจะเอาธรรมะ อีกส่วนหนึ่งก็หลงระเริงอยู่กับอบายมุข ทั้งละเมิดศีล บอกกล่าวไปก็เหมือนกับตักน้ำรดหัวตอ" |
"มีอยู่ปีหนึ่ง นานมากแล้ว นิมิตเห็นคนจำนวนหนึ่งไปเที่ยวชายทะเลที่สวยงามมาก มีแหลมทอดยาวลงไปในทะเล คนก็ไปเดินเล่นกัน ส่วนอาตมามองเห็นแล้วใจหาย เพราะว่าแหลมที่ทอดยาวลงไปในทะเลคือจระเข้ตัวใหญ่มหึมา ใหญ่ขนาดคนเห็นเป็นแหลมที่ทอดลงไปในทะเล ใครเดินเข้าใกล้ปากก็โดนงับไปทีละคน ๆ ที่เหลือก็ยังไม่มีใครรู้ ยังคงเดินใกล้ปากไปเรื่อย
อาตมาตะโกนจนเสียงแหบเสียงแห้งก็ไม่มีใครฟัง เขาว่าทิวทัศน์บริเวณนั้นสวยงามที่สุด น่าถ่ายรูปที่สุด เมื่อเอามาประมวลรวมกันว่าพระพุทธเจ้าเกิดความขวนขวายน้อย ไม่อยากแสดงธรรม ก็เพราะว่าคนส่วนมากไม่สนใจที่จะฟังนั่นเอง การที่คนส่วนหนึ่งเกาะวัตถุมงคล ซึ่งก็ยังดีกว่าเกาะวัตถุอัปมงคล อย่างน้อย ๆ ก็มีเครื่องยึด ถ้ากำลังใจเขาเข้มแข็งขึ้น ปัญญามีมากขึ้น เขาก็จะรู้ว่าของดีกว่านั้นยังมีอยู่ คือ เรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา แล้วก็มาประมวลกับนิมิตหลายปีก่อนที่เห็นคนไปเที่ยวชายทะเล หลงอยู่กับทิวทัศน์อันสวยงาม โดยไม่ได้เห็นว่าจุดที่ตัวเองเดินลงไปเพื่อถ่ายรูปนั้นเป็นจระเข้ที่คอยจับคนกิน อาตมายังว่าจระเข้ตัวนั้นร้ายกาจมาก หันหลังขึ้นชายหาด ส่วนหัวยื่นออกไปอยู่ในน้ำ ถึงเวลาแล้วมีดิน มีต้นไม้ มีอะไรขึ้น ก็เหมือนอย่างกับเป็นแหลมที่ยื่นลงไปในทะเล" |
"หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านกล่าวไว้ว่า ครูบาอาจารย์รุ่นเก่าท่านแยกแยะเอาไว้ว่า
อายุพระพุทธศาสนาพันปีแรก มากด้วยพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ พันปีที่สอง มากด้วยพระอรหันต์อภิญญา ๖ พันปีที่สาม คือช่วงนี้ มากด้วยพระอรหันต์วิชชาสาม พันปีที่สี่ มากด้วยพระอรหันต์สุกขวิปัสสโก พันปีที่ห้า จะมากด้วยพระอนาคามี คำว่ามากด้วย คืออย่างอื่นมีอยู่ แต่มีน้อยกว่า คราวนี้คำว่ามากก็ไม่รู้ว่าจำนวนเท่าไร สามร้อยห้าร้อยถือว่ามากไหม ? ถ้าเปรียบกับประชากรโลกเป็นพัน ๆ ล้านคน สามร้อยห้าร้อยนี่ถ้าถือว่ามากก็เวรกรรมพอดี ก็แปลว่าโลกเดินทางไปข้างเสื่อมอยู่เสมอ คือเป็นสังวัฏฏอสงไขยกัป กัปที่กำลังเสื่อม ของเรานี่มาถึงช่วงปลายแล้วจะเป็นสังวัฏฏัฏฐายีอสงไขยกัป ก็คือกัปที่เสื่อมสนิท" |
"คราวนี้เรามาเกิดอยู่ในยุคกัปข้างเสื่อม ก็ต้องบอกว่าเป็นโชคดีอย่างหนึ่ง เพราะว่าเห็นทุกข์ได้ง่าย เพียงแต่ปัญญาจะถึงหรือเปล่า ?
ความทุกข์ทุกประเภทปรากฏให้เห็นชัด ๆ ต่อหน้า เอาแค่ฤดูกาลนี้ ก็ไม่รู้ว่าพายุฤดูร้อนถล่มบ้านไปกี่ร้อยกี่พันหลังแล้ว อยู่ดี ๆ ก็บ้านพัง ต้องสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ ถ้าหากว่าไม่มีรายได้ก็ต้องกู้หนี้ยืมสิน หรือรอทางราชการมาช่วยเหลือ บรรดาชาวสวนชาวไร่ก็โดนพายุทำลายพืชผล อย่างทางจันทบุรีนี่ทุเรียนหมดไปทั้งสวนเลยก็มี หรือถ้าจะเอาใกล้ ๆ อย่างในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พวกเราแค่ไปเฝ้าดูพระราชพิธี ในหลวงทรงมีรับสั่งให้ทุกหน่วยงานอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนให้มากที่สุด ถามว่าอำนวยความสะดวกอย่างไรบ้าง ? ที่อยู่ที่กิน ก็แปลว่าเห็นชัด ๆ ถึงความทุกข์ ก็คือความหิวความกระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ พวกนี้พอบรรเทาได้ แต่ในพระราชพิธีกินพื้นที่กว้างไกลมาก บรรเทาเรื่องอากาศร้อนไม่ได้ ก็แปลว่าอย่างไรเสียก็ต้องแบกรับความทุกข์ไปส่วนหนึ่ง แต่เนื่องจากว่าความปีติที่จะได้เห็นสิ่งที่เห็นได้ยาก ก็อาจจะทำให้มองข้ามความทุกข์ไป เราจะเห็นว่าไม่ว่าใกล้หรือไกล ความทุกข์อยู่กับเราตลอดเวลา เพียงแต่ว่าจะมีปัญญามองเห็นหรือไม่เท่านั้น" |
มีโยมเอากล้วยมาถวาย "พอเห็นกล้วยแล้วนึกถึงงานบวงสรวงทำบุญประจำปีวัดพุทธบริษัท ตอนนั้นแม่ชีอุษณีเป็นคนดูแลเรื่องเครื่องบวงสรวง โทรถามอะไรก็เรียบร้อยทุกอย่าง ถึงวันจริงปรากฏว่ากล้วยน้ำว้าดิบ มีไก่ ๓ ตัว หัวหมู ๑ หัว...!
พอพระท่านโทรมาบอก อาตมาก็เตรียมชิ่งแล้ว ถ้าลองว่าจัดแบบนี้ละก็ตัวใครตัวมัน เพราะว่าในส่วนของพระ ของเทวดา เครื่องบวงสรวงท่านบอกมาอย่างไรต้องอย่างนั้น โดยเฉพาะกล้วยน้ำว้า แม่ชีชื่นมาถามว่า "หลวงพ่อ..กล้วยน้ำว้าสุกไม่มี ใช้กล้วยหักมุกแทนได้ไหม ?" บอกว่าแทนได้ แต่ถ้าเอาไปแทน อาตมาก็ไม่ทำบวงสรวงให้หรอก ทำไปเองก็แล้วกัน เพราะว่าของแบบนี้ถึงเวลาคนโดนลงโทษไม่ใช่เขา แต่คืออาตมาเอง เคยมีเมื่อหลายปีก่อน มีการบวงสรวงใช้หัวหมูเจ แล้วก็ไก่เจ ประเภทต้องบอกว่าหรูดูดีมาก พอถึงเวลาพิธี อาตมาถอยไปยืนข้างหลังเลย ใครจะทำก็ทำไปเถอะ ครูบาเจ้าของงานท่านก็บวงสรวงด้วยความปลื้มอกปลื้มใจ เพราะว่าเครื่องบวงสรวงบริสุทธิ์มาก ไม่มีเนื้อสัตว์เลย ทุกอย่างเป็นเจหมด ส่วนอาตมาก็เผ่นไปอยู่ไกล ๆ กูไม่เกี่ยว กูไม่รู้จักมึง หลังจากนั้นไม่นาน ลูกศิษย์ก็พาท่านไปเสยกับสิบล้อเกือบตาย เมื่อรักษาตัวหายมา อาตมาก็ไม่ได้บอกหรอกว่าท่านโดนเพราะอะไร ปล่อยท่านต่อไปเผื่อท่านจะบวงสรวงซ้ำอีกสักที เรื่องแบบนี้ถ้าเรารู้แล้วยังไปฝืน ตั้งใจทำ ในเมื่อตั้งใจฝืน ถึงเวลาโดนลงโทษ ก็ไปโทษใครไม่ได้" |
ถาม : เวลาบวงสรวงท่านที่จุดธูปจุดเทียน มีกฎอะไร หรือว่ามีส่วนไหนอะไรพิเศษไหมคะ หรือว่าเวลาแจ็คพ็อตจะโดนมากกว่า ?
ตอบ : คนเชิญจะโดน...! |
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระราชพิธีแต่ละอย่างไม่ใช่ของที่จะได้เห็นกันง่าย ๆ ฉะนั้น..เฝ้าหน้าจอไปเลย ถ้าเฝ้าหน้าจอไม่ได้ก็ไปโหลดจาก YouTube มาเก็บเอาไว้เป็นสมบัติของตัวเอง
ถ้าไม่ได้งานอย่างนี้ เราก็ไม่รู้ใช่ไหมว่า พระมหาสังข์เพชรใหญ่ พระมหาสังข์เพชรน้อย หน้าตาเป็นอย่างไร ? หอยสังข์ที่เขาเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ความจริงเป็นอสูรนะ คราวนี้พออาละวาด พระนารายณ์ก็ตามไปปราบ จับตัวบีบจนเป็นรอยนิ้วมือ เขาก็เลยเชื่อกันว่าขลัง เพราะว่าเป็นรอยนิ้วมือของพระนารายณ์ คราวนี้สังข์ก็ยังมีทักษิณาวรรต..เวียนขวา และมีอุตราวรรต...เวียนซ้าย เวียนซ้ายจะหายากหน่อย ก็พอ ๆ กับเถาวัลย์ ถ้าหากว่าเถาวัลย์โดยปกติก็ขึ้นเวียนขวา ต้นไม่ปกติก็ขึ้นเวียนซ้าย เขาถือเป็นของขลัง ดังนั้น...ถ้าคนไหนติ๊งต๊องก็เป็นคนขลัง..เพราะว่าไม่ปกติ สัตว์หรือต้นไม้ไม่ปกติถือว่าขลัง ถ้าคนไม่ปกติก็ต้องขลังด้วย" |
"ติ๊งต๊องเป็นภาษาจีน ประมาณว่าไม่เต็มบาท ตอนนี้ทั้งพระทั้งเณรวัดท่าขนุนย่ำแย่ไปหมด คงต้องไปให้หมอตรวจสุขภาพจิตเพิ่มขึ้น เพราะว่าระยะนี้ตั้งแต่หัวแถวยันท้ายแถว บิณฑบาตไม่เคยเต็มบาท (บาตร) สักรูป...! รัฐบาลก็ยืนยันว่าเศรษฐกิจดี แต่ว่าชาวบ้านไม่มีจะกิน แทบจะไม่มีใครใส่บาตรกันแล้ว"
|
"เมื่อวานหมอไปตรวจสุขภาพพระที่วัดท่าขนุน เจ้าอาวาสก็ไม่อยู่ ถ้าอยู่จะให้ตรวจสุขภาพจิตเพิ่มขึ้น เผื่อว่าใครจะมีอาการบ้าง คราวนี้เขามีโครงการหนึ่งตําบลหนึ่งโรงพยาบาล ส่วนใหญ่แล้วก็คือสาธารณสุขตำบลเก่า ที่ได้รับการยกขึ้นเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล ตัวย่อคือ รพ.สต. เพื่อที่จะได้ให้มีผู้อำนวยการโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นมา มีตำแหน่งหน้าที่เพิ่มขึ้นมา มีงบประมาณเพิ่มขึ้นมา แต่เท่าที่ดู ๆ ผลงานก็ยังห่วยเหมือนเดิม..! อะไร ๆ เพิ่มหมด ยกเว้นผลงานด้านการบริการ
ส่วนใหญ่แล้วเหมือน ๆ กันก็คือ ขาดกำลังใจในการทำงาน ต้องดูตัวอย่างในหลวงรัชกาลที่ ๙ สู้กับความยากจนของชาวบ้านมา ๗๐ ปี สู้ในสงครามที่แทบไม่มีทางเอาชนะ แต่พระองค์ท่านก็สู้มาตลอด จนตอนนี้ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงเป็นที่ยอมรับกันไปทั่วโลก" |
"แล้วอัศจรรย์ที่สุด ประเทศที่นำไปใช้ได้ผลก่อนคือรัสเซีย ประธานาธิบดีปูตินเอ่ยเต็มปากเต็มคำเลยว่า ในหลวงรัชกาลที่ ๙ บอกให้ทำอย่างนี้ ทำอย่างไรก็ได้ให้ชาวบ้านมีกิน แล้วเขาจะสนับสนุนท่านเอง
จากรัสเซียก่อนหน้านี้เป็นคอมมิวนิสต์ พอเปลี่ยนการปกครองใหม่เรียกว่าระบบเปเรสทรอยกา จำกันได้ไหม ? ก็คือกึ่ง ๆ ทุนนิยม ก็เลยทำให้คนที่เคยทำงานถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง เพราะว่าส่วนกลางต้องเลี้ยงอยู่แล้ว ก็เริ่มมีการแข่งขันกัน พอแข่งขันกัน คนขยัน คนมีความคิด ก็ร่ำรวยขึ้นมา ส่วนคนไม่ขยัน แนวคิดคับแคบ เพราะการศึกษาน้อย ก็ลำบากยากจน เมื่อประธานาธิบดีปูตินเดินทางมาเยี่ยมประเทศไทย ได้เข้าเฝ้าในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงประทานแนวคิดให้ คือให้เอาหลักการเศรษฐกิจพอเพียงไปให้ชาวบ้านทำ ยังไม่ต้องไปหวังร่ำรวยข้างนอก ให้ชาวบ้านมีกินไว้ก่อน แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงแก้ไขปัญหาการดำรงชีวิตของชาวรัสเซียได้อย่างถึงรากถึงโคน" |
"ปัจจุบันนี้ต่อให้รัฐบาลของเราอัดเงินลงไปอีกกี่โครงการก็เจ๊งหมด เพราะว่าเหมือนกับไฟไหม้ฟาง ไม่เกิดประโยชน์กับชาวบ้านทั่วไปนอกจากนายทุน ประเภทบัตรคนจนก็เหมือนกัน ไปซื้อของที่ไหน ก็ซื้อของร้านสะดวกซื้อ ที่รวยก็ร้านสะดวกซื้อ ไม่ใช่ชาวบ้าน ก็เท่ากับว่าเอาเงินภาษีชาวบ้านไปใส่กระเป๋าให้นายทุน
สิ่งที่อาตมาไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นก็คือ ชาวบ้านที่ไปรับเงินจากบัตรคนจนคนละ ๕๐๐ บาท เบียดกันแน่นไปทั้งธนาคาร ในความรู้สึกของอาตมา ๕๐๐ บาทไม่มาก แต่ในความรู้สึกชาวบ้าน ๕๐๐ บาทมาก ยังดีที่อาตมามีบัตรเบ่งลัดคิวได้ ไม่อย่างนั้นคงได้รอกันเป็นวัน ตอนนี้ก็รอพระราชพิธีบรมราชาภิเษกต่าง ๆ ผ่านพ้นไป หลังจากนั้นจะได้ทะเลาะเบาะแว้งกันได้เต็มที่เพื่อจัดตั้งรัฐบาล ตั้งรัฐบาลมาเพื่ออะไร ? เพื่อให้ชาวบ้านสามัคคีกัน เพราะฉะนั้น..ต้องทะเลาะกันก่อน พอข้างบนทะเลาะกันพอแล้ว ข้างล่างจะได้เลิกทะเลาะกัน ด้วยความที่สายตาคับแคบ แนวคิดคับแคบและจิตใจคับแคบ ทำให้ไม่เอาประโยชน์ส่วนรวมเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน ก็ยังคงไปแบ่งสีแบ่งฝ่ายกัน หลายอย่างที่เกิดขึ้นเราก็รู้ว่าไม่ยุติธรรม แต่ว่าหลายอย่างที่ทำไปก็มีทั้งถูกและผิด" |
"อย่างเช่น กกต. แจกใบส้มหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ หัวหน้าพรรคก็เอาหลักฐานมาหักล้างว่าโอนหุ้นทันเวลา เป็นต้น แล้วไปขอคำตอบจาก กกต.เดี๋ยวนั้นเลย ว่าแจกใบส้มด้วยสาเหตุอะไร ?
การถามนั้นสามารถทำได้ เป็นสิทธิของคุณ แต่จะเอาคำตอบเดี๋ยวนั้นเลยมีใครตอบคุณได้บ้าง ? อาตมาตอบแทนก็อาจจะตายแทนเขาเลย แล้วคุณคิดว่าบรรดา กกต.หรือหน้าเสื่อที่มารับแทน กกต.จะมีใครตอบปัญหาแทนคุณได้เดี๋ยวนั้นบ้าง ? ของบางอย่างต้องดูบริบท ดูจารีตประเพณี และดูกระแสสังคมด้วย อย่าทำตัวเป็นเด็กวัยรุ่นสมัยใหม่ระบบ ๔.๐ กดปุ่มแล้วต้องได้เลย" |
"เป็นที่น่าเสียดายว่า นักการเมืองที่ควรจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเยาวชนได้เดินตามรอย ก็กลายเป็นไม้หลักปักเลนบ้าง ใจร้อนใจเร็วบ้าง กลืนน้ำลายตัวเองบ้าง เห็นแก่ผลประโยชน์ตัวเองและพวกพ้องมากกว่าประโยชน์ส่วนรวมบ้าง บ้านเรายังต้องรอพัฒนากันอีกนาน แต่ก็ไปเจอบรรดา สนช.ร่างรัฐธรรมนูญฉบับห่วยแตกที่สุดในประเทศไทยออกมา"
|
"การเมืองในทุกประเทศ โดยเฉพาะในระบอบประชาธิปไตย พอพัฒนาไปถึงขั้นสุดท้าย จะเหลือพรรคการเมืองใหญ่แค่ ๒ พรรค ก็คือพรรคที่ได้เป็นรัฐบาล กับพรรคฝ่ายที่เป็นฝ่ายค้าน แต่ในบ้านเราร่างรัฐธรรมนูญออกมา เพื่อกระจายให้เป็นพรรคเล็กพรรคน้อยให้มากที่สุด ซึ่งผิดหลักสากลเขา โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันเผด็จการรัฐสภา
ดูเผด็จการรัฐสภาที่สิงคโปร์สิ..มีฝ่ายค้านที่ไหน ? ประเทศสิงคโปร์ทุกวันนี้เวลาเลือกตั้ง ต้องเว้นเก้าอี้ให้ฝ่ายค้าน ๓ ที่ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีฝ่ายค้าน โคตรเผด็จการรัฐสภาเลย แต่คนเขาเห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว เขาก็ทำได้ แต่บ้านเราขาดความไว้วางใจในเพื่อนมนุษย์ มองว่าทุกคนต้องเป็นคนเลวหมด ก็เลยไปร่างรัฐธรรมนูญเฮงซวยออกมา ต้องบอกว่าสร้างเวรสร้างกรรมไว้กับประเทศชาติไปอีกยาวนาน ไม่รู้ว่าคนร่างจะโดนสาปแช่งไปชั่วลูกชั่วหลานหรือเปล่า ? เพราะว่าอายุปู่แกก็เยอะแล้ว ลูกหลานอาจจะซวยแทน เพราะว่าเดี๋ยวปู่ก็ตายแล้ว ทั้ง ๆ ที่บ้านเราเกือบ ๆ จะเป็น ๒ พรรคใหญ่อยู่แล้ว เพราะว่าพรรคเล็กพรรคน้อยที่อยู่ไม่ได้ก็ค่อย ๆ สาบสูญไป เนื่องจากว่าช่วงยุคของนายกฯ ทักษิณ และนายกฯ ยิ่งลักษณ์ มีการต่อสู้หาเสียงกันโดยนโยบายรัฐบาล ซึ่งเกือบจะเป็นสากลเทียบเท่าต่างประเทศแล้ว" |
"แล้วอยู่ ๆ ก็โดนปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งต้องบอกว่าคนกำลังจะตาย ดันไปทำให้เขากลายเป็นอมตชน กลายเป็นบุคคลที่ตายไม่เป็น ทุกวันนี้ไม่ว่าจะฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล จะเป็นรัฐบาลทหารหรือรัฐบาลประชาธิปไตย จะเป็นนักเลือกตั้งหรือนักการเมืองก็ตาม นอนละเมอถึงแต่คุณทักษิณ ชินวัตร
ถ้าเป็นอาตมาจะภูมิใจมากเลย กูไม่ได้ยุ่งอะไรด้วยมาเป็น ๑๐ ปีแล้ว แต่ละคนยังไม่สามารถจะก้าวข้ามไปได้ ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องบอกว่าทำผิด ถ้านายกฯ ทักษิณอยู่นาน ๆ นิสัยคนไทยเบื่อเร็ว เลือกตั้งอีกครั้งสองครั้งก็เจ๊งแล้ว แต่ดันไปปฏิวัติ ก็เลยทำให้กลายเป็นแวมไพร์ ไม่รู้จักตายสักที...!" |
มีโยมถวายแป้งตรางู "เขาไม่ให้พระใช้ พระจะใช้ได้ต่อเมื่อเจ็บไข้เท่านั้น อย่างเช่นว่าระคายเคือง ไปหาหมอแล้วหมอจ่ายแป้งมาให้เป็นยา ลักษณะของแป้งหรืออะไรพวกนี้ก็พอได้ ไม่อย่างนั้นแล้วจัดอยู่ในวิเลปนะ เครื่องลูบไล้ แม้แต่ศีล ๘ เขายังไม่ให้ใช้เลย
เรื่องของศีล ถ้าเราระวังรักษาจนชิน แค่เราขยับตัวก็รู้แล้วว่าจะทำผิดหรือเปล่า หลายอย่างญาติโยมหรือพระเณรถามมา พออาตมาพูดไปแล้วค่อยนึกได้ แสดงว่าพวกเขายังไม่สามารถจะกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับศีล มาลา...ดอกไม้ คันธัง...ของหอม วิเลปนะ...เครื่องลูบไล้ ส่วนใหญ่สมัยนี้ก็ครีมทาผิวอะไรพวกนั้น" |
ถาม : พระราชพิธีเฉลิมราชมณเฑียร คือขึ้นบ้านใหม่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : พระราชพิธีเฉลิมราชมณเฑียร ต้องบอกว่าคือเข้าอยู่อาศัยอย่างเป็นทางการ ต้องมีการบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง โดยเฉพาะพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง |
พระอาจารย์กล่าวว่า "นมถั่วเหลืองควรจะให้เด็กผู้หญิงเล็ก ๆ กิน เพราะว่ามีฮอร์โมนผู้หญิงเยอะ ผู้ใหญ่กินไปก็ไร้ประโยชน์ ดีไม่ดีถ้าผู้ชายกินมาก ๆ เพศสภาพก็เพี้ยนอีก"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครสู้บ้าง ? กินทุเรียน ๔ กิโลกรัม ถ้ากินหมด เขาให้ ๕,๐๐๐ บาท ถ้ากินไม่หมด จ่ายเขา ๑,๐๐๐ บาท ยังสงสัยว่ากินเข้าไปได้อย่างไร ๔ กิโลกรัม ไม่ใช่ทุเรียนทั้งเปลือกมาชั่งนะ เนื้อล้วน ๆ ที่อาจจะมีเม็ดอยู่ด้วย
ถ้าจะกินทุเรียนให้ได้ประโยชน์ เขาให้กินก่อนอาหารเช้า แล้ววันนั้นงดอาหารเช้าไปเลย เขาว่ากินแล้วจะไปล้างลำไส้ แล้วก็ปรับธาตุในร่างกาย ถ้ากินเวลาอื่น มีแต่จะอ้วนกับอ้วน แต่ว่าทุกอย่างต้องพอดี ถ้ามากเกินไปนี่เท่ากับขาดมัชฌิมาปฏิปทา ก็เจ๊งอีกเหมือนกัน สถิติสูงสุดที่อาตมาเห็น ก็คือกินคนเดียว ๔ ลูก นับได้ ๒๒ เม็ด..! ไม่รู้ว่ากินเข้าไปได้อย่างไร ถ้าเป็นอาตมาคาดว่าคงจะร้อนในไปสักครึ่งปี ก่อนนี้ปีหนึ่งอาตมากินทุเรียนได้หนึ่งเม็ด ตอนนี้แก่แล้ว อายุ ๖๐ ปีกินเพิ่มได้อีกหน่อยหนึ่ง ที่กินเพิ่มได้เพราะว่าแก่แล้วไฟธาตุเริ่มขาด ก็เลยกินของร้อนเพิ่มขึ้นได้" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้ตามบ้านเรือน ถ้าเป็นไปได้ก็ให้ประดับธงตราสัญลักษณ์พระราชพิธีบรมราชาภิเษกสักผืนหนึ่งก็ยังดี ไม่ต้องคู่กับธงชาติก็ได้ ที่วัดของอาตมานี่..เฉพาะบริเวณพระใหญ่หน้าวัดก็ประดับไป ๕๐ ผืนแล้ว"
|
ถาม : ยังจารตะกรุดเมอยู่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่แล้วครับ เลิกนานแล้ว ไปสะท้อนเขาจนตายไป ๒ ศพ เลยต้องเลิก..! |
ถาม : ผมทำสมาธิตั้งแต่เด็กแล้วครับ อยากรู้ต้องทำไปด้านไหนต่อ และอีกเรื่องคือช่วงนี้เห็นแต่อนาคต เห็นเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่ทราบเป็นเพราะเหตุใดครับ ?
ตอบ : เรื่องสมาธิ ถ้าต้องการใช้งานจริง ๆ อย่างน้อยต้องให้ได้ฌาน ๔ หรือถ้าทำได้ก็เอาสมาบัติ ๘ ไปเลย ส่วนเรื่องการเห็นอย่าเพิ่งเชื่อ เพราะว่าทุกอย่างถ้ามีองค์ประกอบเพิ่มขึ้นมาเมื่อไร สิ่งที่เราเห็นในปัจจุบันก็จะไม่ใช่ เหมือนอย่างกับว่าตอนนี้เราขับรถด้วยความเร็ว ๑๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ๔๐ นาที เราจะไปถึงนครปฐม แต่ถ้าเราเร่งความเร็วขึ้น หรือลดความเร็วลง ก็จะไปไม่ถึงตามเวลานั้น ฉะนั้น...เรื่องที่เห็นเป็นแค่ปัจจุบัน ตอนนั้น เดี๋ยวนั้น เลยไปแค่วินาทีเดียวก็อาจจะไม่ใช่แล้ว ครูบาอาจารย์ท่านถึงได้สอนว่าไม่ต้องไปใส่ใจ |
ถาม : เรื่องฌาน ๔ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราถึงแล้ว ?
ตอบ : สังเกตว่าสามารถกด รัก โลภ โกรธ หลง เอาไว้ได้นิ่งสนิท ชนิดไม่กระดิกเลย ถาม : นิ่งเฉพาะในสมาธิหรือครับ ? ตอบ : ถ้าหากว่าคนทำเป็น เวลาไหนก็นิ่งได้ ถ้าคนทำไม่เป็น ก็ได้เฉพาะตอนนั่งสมาธิ ถาม : ถ้าได้เฉพาะตอนนั่งสมาธิถือว่าใช้ได้หรือไม่ครับ ? ตอบ : ใช้การไม่ได้ เพราะว่าพอคลายออกมา ก็โดนกิเลสตีตายเหมือนเดิม |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครที่เป็นความดันต่ำ ระยะนี้ถ้าจะออกจากห้องปรับอากาศก็หายใจยาว ๆ ก่อนสัก ๓ - ๔ ครั้ง เร่งระบบในตัวเองก่อน ไม่อย่างนั้นออกไปเจออากาศร้อนข้างนอก บางทีจะร่วงเอาง่าย ๆ
สมัยนี้ความดันต่ำ เขาไม่ค่อยจะเป็นกันแล้วนะ เป็นแต่ความดันทุรังสูง...!" |
พระอาจารย์เล่าว่า "ก่อนสิ้นเดือน ๒ วัน คุณสุรีย์ เสียมสกุล ผู้รับเหมาที่ทำงานกับวัดท่าขนุนตั้งแต่ต้น งานหมดแล้วก็เลยมาลากลับบ้าน ทำด้วยกันมา ๑๔ ปี ไม่เคยไปไหนเลย จนเหมือนเป็นคนครอบครัวเดียวกันไปแล้ว
ปีแรกที่ทำก็คือ ปี ๒๕๔๙ เริ่มที่เกาะพระฤๅษี ปี ๒๕๔๙ - ๒๕๕๐ อยู่ที่เกาะพระฤๅษี เสร็จได้ ๒ วันก็มาต่อที่วัดท่าขนุนเลย จนถึงปี ๒๕๖๒ รวมแล้ว ๑๔ ปี เหตุที่เขาทำแล้วอยู่ด้วยกันนาน เพราะว่าไปทำที่อื่นแล้วขาดทุน คือบางทีตีราคาไปแล้ว พวกวัสดุต่าง ๆ ข้าวของต่าง ๆ ขึ้นราคา แต่ก็ต้องทำให้เขาตามสัญญา ส่วนของวัดท่าขนุนไม่มีการตีราคา ทำไปเถอะ..เบิกเท่าไรก็ให้แค่นั้นแหละ ไม่มีคำว่าขาดทุน ก็เลยทำด้วยกันมานานถึง ๑๔ ปี" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ดูจากน้ำหนักพระมหาพิชัยมงกุฎแล้ว ต้องบอกว่าในหลวงท่านแข็งแรงจริง ๆ ถ้าเป็นพวกเราใส่ไป อาจจะมีคอย่น..!
พระราชพิธีแบบนี้ ถ้าเป็นไปได้ก็ต้องนั่งจ้องจอกันตาไม่กระพริบ เพราะว่าของบางประเภททั้งชีวิตไม่ปรากฏออกมาให้เห็นง่าย ๆ แม้กระทั่งพระเต้าบรรจุน้ำอภิเษก ใครจะไปนึกว่ามีตั้ง ๒๒ พระเต้า แต่ละองค์สร้างขึ้นในรัชกาลไหน เขาบอกไว้หมด แค่ได้เห็นก็เป็นบุญตาแล้ว" |
"เราจะสืบสานรักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป"
พระปฐมบรมราชโองการพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดี ศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ คนโบราณนี่น่าจะตัวใหญ่กว่าคนปัจจุบันเยอะจริง ๆ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ว่าใหญ่ไม่แพ้ฝรั่งแล้ว รัชกาลที่ ๑๐ ท่านใหญ่กว่าอีก แต่ว่าพอใส่พระมหามงกุฎแล้วยังรู้สึกว่าหลวม ๆ เลย พวกเราไม่ค่อยได้สังเกตว่าในหลวงรัชกาลที่ ๙ พระองค์ท่านจริง ๆ แล้วใหญ่มาก ยืนคู่กับฝรั่งนี่ไม่ได้เล็กกว่าเลย แล้วรัชกาลที่ ๑๐ ท่านใหญ่กว่าอีก ขนาดนั้นใส่พระมหาพิชัยมงกุฎแล้วยังดูหลวม ๆ เลย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ทางด้านสายวัดท่าขนุนและเมืองกาญจนบุรี มีพระจบปริญญาเอกอีก ๒ รูป รวมตอนนี้มีผู้ปริญญาเอก ๑๑ รูป เป็นของสายวัดท่าขนุนไป ๖ รูป
เพียงแต่ว่าปีนี้มีท่านที่ขอเรียนปริญญาโทรูปเดียว เพราะว่า ๒ รุ่นที่ผ่านมาตกกันระเนระนาด ทำให้รุ่นน้องหวาดกลัว ไม่เหมือนกับตอนที่หลวงพ่อเรียน หลวงพ่อเรียนพักเดียวจบปริญญาโท อีกพักจบปริญญาเอก คนอื่นก็เลยมีกำลังใจเข้าไปเรียนกันใหญ่ สองรุ่นนี้พาเสีย ดันตกแล้วตกอีก พอคนอื่นได้ยินว่ายากก็หมดกำลังใจ ไม่อยากเรียน ปีนี้ก็เลยมีผู้กล้าหาญแค่ ๒ ราย รายหนึ่งเรียนปริญญาโทสาขาพระพุทธศาสนา อีกรายหนึ่งเรียนปริญญาโทสาขาวิปัสสนาภาวนา จากที่ต้องจ่ายค่าเทอมปริญญาโททีหนึ่ง ๗ - ๘ รูป ปีนี้น่าจะเหลือน้อยหน่อย ของเก่าที่เป็นปี ๒ เหลืออยู่ ๔ รูปเป็นพระวัดอื่นที่มาขอทุนทั้งหมด ปีนี้เข้าอีก ๒ รูป รวมแล้วปริญญาโทก็เรียนก็ประมาณ ๖ รูปเท่านั้น จ่ายน้อยหน่อย ปริญญาเอกปีนี้ยังหาผู้กล้าหาญไม่ได้ ถามว่าที่เรียนมาไม่ประสบความสำเร็จมีไหม ? มี...ประเภทออกกลางคันตั้งแต่ปริญญาตรี ๒ ราย แล้วก็ออกกลางคันปริญญาเอกอีก ๑ ราย ปริญญาเอกนี่เสียดายมาก เพราะว่าค่าเทอมแพง..ตั้งสามแสนห้า เรียนไปสองเทอมท่านสู้ไม่ไหวก็ออกกลางคัน คงจะกลัวหลวงพ่อบ่นด้วย พอไม่เรียนก็สึกไปเลย" |
ถาม : หนูอยากแก้ปัญหาเรื่องความอยากมีอยากได้ ควรจะเริ่มต้นอย่างไรคะ ?
ตอบ : แล้วจะทำไปทำไม ? ถาม : หนูคิดว่าความอยากมีอยากได้ เป็นปัญหาใหญ่ในเรื่องการปฏิบัติค่ะ ? ตอบ : ดูอนาถปิณฑิกเศรษฐี หรือ นางวิสาขามหาอุบาสิกา ค้าขายรวยเป็นโกฏิ สำคัญว่าเราควบคุมได้ไหม ? ไม่ใช่ไปตัดไปละ แต่ตีกรอบให้อยู่ในกรอบของศีลของธรรมต่างหาก |
ถาม : ผมห้อยเหรียญพุุทธบารมีเนื้อชิน ห้อยทุกวันอย่างไรก็บุบ ผมต้องวางกำลังใจอย่างไรครับเวลาที่เหรียญบุบ ?
ตอบ : อ๋อ..ทำใจว่าเดี๋ยวค่อยหาใหม่..! |
ถาม : จะหล่อพระอีกองค์ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ใช่จ้ะ ถาม : วันที่เท่าไรคะ ? ตอบ : ยังไม่รู้..ต้องให้ทองได้ครบก่อน ถาม : เห็นบอกว่าใช้ทองใกล้เคียงกัน ? ตอบ : ถ้าใกล้เคียงกันก็เกือบ ๑๐๐ กิโลกรัม ถาม : เห็นมีงอกมาเป็นประจำไม่ใช่หรือคะ ? ตอบ : ตอนนี้งอกมาประมาณ ๖๐ กิโลกรัมแล้ว ยังเหลืออีก ๔๐ กิโลกรัม เดี๋ยวต้องกลับไปรดน้ำพรวนดินอีกหน่อย เผื่อว่าจะงอกมาอีกนิด ส่วนใหญ่แล้วพวกเราวางกำลังใจผิด ไปยินดียินร้ายกับผลที่จะได้ คราวนี้ถ้าเราไม่ยินดียินร้ายกับผลที่จะได้ ใจเป็นอุเบกขา สมาธิจะสูงกว่า ผลที่ได้รับก็จะมากกว่า ก็แค่นั้นเอง ฟังดูเหมือนง่ายนะ...! ถ้าภาวนาเพราะอยากได้...ก็เรียบร้อย หายไปครึ่งหนึ่งแล้ว ถาม : ภาวนาเพราะอยากได้คืออธิษฐานบารมีไม่ใช่หรือคะ ? ตอบ : ไม่ใช่....เป็นโลภเจตนา ตั้งความโลภนำหน้า |
ถาม : ถ้าผมตั้งกำลังใจให้อยู่ตรงกลาง กิเลสตีกลับแหลกมากครับ ?
ตอบ : ก็ดันโง่ไปปล่อยให้ตีกลับนี่หว่า..! ก็อย่าไปปล่อยตีกลับสิ |
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนมีคุณยายคนหนึ่ง มากราบหลวงพ่อวัดท่าซุงที่บ้านสายลม คุณยายพูดไทยอีสานปนส่วยปนเขมร มาถึงแต่เช้าเลย ใส่ชุดขาวแบบผู้ปฏิบัติธรรม แต่ด้วยความที่ว่าพออยู่ต่างจังหวัดก็เป็นชุดขาวมอม ๆ รอจน ๘ โมงครึ่ง หลวงพ่อวัดท่าซุงลงมา ก็กราบ "ขออนุญาตถามหน่อย" แล้วยายก็ใช้ภาษาอย่างที่ว่านั่นแหละ หลวงพ่อท่านก็หัวเราะ "เฮ้ย..ใครฟังออกช่วยเป็นล่ามทีวะ" กราบเรียนว่า "ผมพอฟังได้แต่ไม่หมด" "เออ ๆ แปลให้หน่อย"
ยายแกถามว่า แกตั้งใจถือศีลปฏิบัติธรรมอยู่คนเดียว แล้วคนทั้งหมู่บ้านว่าแกบ้า แกบ้าจริงหรือเปล่า ? หลวงพ่อบอก "ทั้งหมู่บ้านมันบ้า มียายสติดีอยู่คนเดียว" แล้วก็ถาม "ไม้ฟ้าผ่ามีอาถรรพ์ เขาไม่ให้ใช้ จริงไหม ?" หลวงพ่อบอกว่า "ไม่จริงหรอก ใช้ได้ก็ใช้ไปเถอะ" ด้วยความที่ยายอัดอั้นตันใจ ไม่มีใครให้ถามมานานมาก เลยถามเยอะ แปลไปแปลมา อาตมาเหนื่อย หยุดหายใจ ยายถามต่อ หลวงพ่อตอบมาตรงคำถามเป๊ะเลย อ๋อ...ท่านก็ฟังออก แต่ท่านแกล้งถามหาล่ามไปอย่างนั้นเอง" |
"ท่านฟังเป็นภาษาใจ ไม่ใช่คำพูด อย่างพวกต้นไม้ฟ้าผ่า โบราณว่ามีอาถรรพ์ เขาก็กลัวกัน ไม่กล้าใช้ บางทีก็เอามาทำเป็นมีดหมอบ้าง มีดแหกบ้าง เอาไว้ไล่โรคไล่ผีอะไรให้ยุ่งไปหมด เพราะถือว่าได้รับอำนาจจากเทวดาส่งสายฟ้าลงมา หลวงพ่อท่านบอกว่า ถ้ามันล้มแล้วก็เผาถ่านไปเถอะ ไม่เป็นไรหรอก
คำถามจำนวนมากเป็นความเชื่อแบบชาวบ้าน แล้วไม่มีใครเปลี่ยนแปลงความเชื่อตรงนี้ พอตัวเองไปทำเข้า สายตาคนอื่นเขาก็ว่า อีผีบ้า" |
ถาม : คุณยายแกไปภาวนามาจากไหนคะ ?
ตอบ : เขาทำของเขาเอง เขาอยากทำ ไปวัด ฟังพระเทศน์ก็หัดถือศีล ปฏิบัติธรรมเอง แต่พระที่วัดก็ดีแต่เทศน์ตามคัมภีร์ สอนอะไรไม่ได้ ท้ายสุดได้ยินชื่อเสียงหลวงพ่อวัดท่าซุง อุตส่าห์ตะเกียกตะกายมาจนถึง ไม่ยักหลงทาง คาดว่าน่าจะมีใครช่วยนำทางให้ |
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนคุณอรอนงค์ ปัญญาวงศ์ ขอไปฟ้อนสาวไหมในงานสืบชะตา ระบุวันว่าจะฟ้อนวันที่ ๑๖ ก็เลยบอกบอกว่า ถ้าจะให้คุณอรอนงค์ฟ้อนวันที่ ๑๖ วันอื่นก็ไม่ให้ฟ้อนแล้ว เพราะว่าตั้งใจเอาไว้แล้ว ส่วนท่านอาจารย์ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี บอกว่าเดี๋ยวจะให้เลขาฯ บันทึกไว้ ว่าจะมาเป่าขลุ่ยให้สักเพลงหนึ่ง บอกว่าจะเป่าเพลงค้างคาวกินกล้วย ลืมไปว่าตอนนี้อาตมาจะเอาเพลงทานตะวัน
ฟังค้างคาวกินกล้วยของท่านอาจารย์ธนิสร์แล้วขำ ๆ คนเล่นดนตรีเล่นเก่งมาก เหมือนค้างคาวไปขโมยกล้วยในสวน แล้วก็โดนเขาฟาด โอ๊ย...คร่ำครวญเสียไม่มี คราวนี้ก็ประเภทบินเซซ้ายเซขวา โดนเขาตีบาดเจ็บ บินไปบ่นไป ประมาณว่าแบ่งกันกินแค่นี้ก็ไม่ได้ ปรากฏว่าอีกสักพักหนึ่งกระดี๊กระด๊ามาอีกแล้ว เจอกล้วยใหม่ เป่าได้สุดยอดมาก ฟังแล้วเห็นภาพเลย คนรุ่นเก่า ๆ เขาแต่งเพลงมองเห็นภาพ รุ่นใหม่มองไม่เห็น มีรุ่นใหม่ไม่กี่เพลงหรอกที่แต่งเพลงแล้วเรามองเห็นภาพได้" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:29 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.