![]() |
มีผู้สูงอายุมา "นึกถึงพระเรวตะเถระ อย่าลืมว่าท่านเป็นเด็ก ๗ ขวบ เห็นคุณยายอายุ ๑๒๐ ปีมาอวยพรนี่ใจหายเลย หนีออกบวชเลย ไม่อยู่แล้ว เห็นภัยในวัฏฏะสงสารจริง ๆ เพราะเจ้าสาวข้างหน้าตัวเอง เพิ่งจะ ๗ ขวบ ส่วนคุณยาย ๑๒๐ ปี หลังก็โก่ง ฟันก็หลุด เดินตัวสั่นงันงกมา ถามญาติว่า “เจ้าสาวของผม ถ้าอยู่อายุถึงขนาดนี้ก็แบบนี้ใช่ไหม ?” พอญาติบอกว่าใช่ ท่านตัดสินใจเลย บวชแน่นอน
บุญเก่าท่านสร้างไว้มหาศาลจริง ๆ เด็ก ๗ ขวบ เห็นไกลขนาดนั้น ต้องมีปัญญาขนาดไหน" |
"ก่อนหน้านี้พอเขาเรียก "หลวงพ่อ" อาตมาก็สะดุ้งเหมือนกัน ไป ๆ มา ๆ พอแก่ได้ที่ก็ชิน เกณฑ์การเรียกหลวงปู่หลวงพ่อ ส่วนใหญ่แล้วสมัยก่อนถืออายุ ๖๐ ปี เรียกหลวงพ่อ ๗๐ ปีขึ้นไปเรียกหลวงปู่ ส่วนใครบวชตอนแก่เขาเรียกหลวงตา
ทีนี้เกณฑ์มีอีกอย่างว่า ถ้าเป็นพระอุปัชฌาย์เรียกหลวงพ่อได้ เพราะว่าเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดพระเณร อาตมาก็เลยกลายเป็นหลวงพ่อก่อนอายุ ๖๐ เสียหลายปี เพราะว่าเป็นพระอุปัชฌาย์ก่อน ครึ่งเดือนที่แล้วไปเป็นประธานยกฉัตรที่วัดบ้านไร่ (ห้วยเขย่ง) เจอแม่ของทิดแดง "อ้าว...โยมมาเหมือนกันหรือ ?" ที่ขำที่สุดก็คืออาตมาอายุ ๖๐ ปี เดินลัดป่าปีนเขาขึ้นไปที่เจดีย์ ส่วนบรรดาพระอายุ ๓๐ - ๔๐ ปี หกล้มหกลุกกลิ้งตามไป เขาอ้างว่าเพิ่งฉันเพลมาใหม่ ๆ ไม่มีแรงเดิน อาตมาก็นั่งงง กูก็ฉันกับมึงนั่นแหละ ฉันมาพร้อมกัน" |
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนมีโยมขอบูชาสมเด็จองค์ปฐมรุ่น ๒ ของวัดท่าซุง อาตมามีติดตัวอยู่องค์เดียว เขาก็อ้อนแล้วอ้อนอีกจะเอาให้ได้ ท้ายสุดให้มา ๒๐๐,๐๐๐ บาท อาตมาก็ว่า เออ...เอาวะ ของกูนี่ใครซื้อไม่ได้ ถ้าเงินไม่มากพอ ...(หัวเราะ)...
ของใช้ติดตัวอยู่ยังมาตื๊อเอา เขาบอกว่าเขามีศัตรูปองร้าย ปกติอาตมามีทั้งรุ่น ๑ รุ่น ๒ รุ่น ๑ ตัดใจให้เขาไป ใช้รุ่น ๒ เพราะว่าสมเด็จองค์ปฐมรุ่น ๒ คือรุ่นที่หลวงพ่อวัดท่าซุง เรียกว่ารุ่นยันกลับ หรือรุ่นปืนแตก พวกจะขายของไปว่าโน่น...รุ่นสี่เหลี่ยมเป็นรุ่นยันกลับ รุ่นสี่เหลี่ยมนั่นเป็นของที่เขาเอาเข้าพิธี โดยที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่ได้ทำบวงสรวงเต็มพิธี เพราะว่าท่านทำแค่พุทธาภิเษกพระพุทธรูป โดนท้าวมหาชมพูเล่นงานจนท่านแทบจะต้องคลานออกมา ท่านบอกให้เอาไปเข้าพิธีใหม่ พวกนี้กลัวขายของไม่ได้ ก็ไปมั่วเรียกรุ่นยันกลับ ถ้าพวกนี้มาอยู่ใกล้ ๆ อาตมาจะยันให้สักที...! คิดจะขายของอย่างเดียว แล้วก็ใส่ประวัติมั่วไปเรื่อย ถึงได้บอกว่า ถ้าหากว่าเล่นวัตถุมงคลเครื่องรางของขลังให้เล่นด้วยตา อย่าไปเล่นด้วยหู ถ้าเล่นด้วยหู ฟังเขาเล่านิทาน เจอพวกไร้ศีลไร้ธรรมเข้าก็ว่านิทานน่าสนใจไปเสียเยอะแยะ พอเราเกิดศรัทธาบูชาก็เสร็จโจร" |
พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงพ่อทองคำตั้งแต่หล่อ ส่งกลับโรงงานเพื่อไปตกแต่ง จนกระทั่งเสร็จ อัญเชิญกลับวัดท่าขนุน ขึ้นประดิษฐานบนมณฑปใช้เวลาทั้งหมด ๙ วัน ที่อื่นเขาแต่งกันเป็นเดือน ของท่านติดสมบูรณ์ แทบจะไม่ต้องแต่ง เลยใช้เวลานิดเดียว
ทางด้านเทศบาลจะจัดแห่ "หลวงพ่อ...เกศหลวงพ่อทองคำหนักกี่บาท ผมจะได้ระวังไว้" "อย่าถามว่ากี่บาท ให้ถามว่ากี่กิโลฯ..!" เพราะว่าส่วนยอดมหามงกุฎใหญ่เกือบ ๆ แขนของเรา ไปถามเป็นบาท ต้องถามเป็นกิโลกรัม" |
พระอาจารย์กล่าวว่า “ช่วงนี้เป็นช่วงที่เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายกำลังระดมความรู้ความสามารถทุกอย่าง ในการทำให้พระราชพิธีบรมราชาภิเษกผ่านไปด้วยความสมบูรณ์ที่สุด เมื่อวานอาตมาไม่ได้ไปร่วมงานตักน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่กาญจนบุรี แต่ว่าพรรคพวกเขาส่งวิดีโอมา ขบวนเรืออลังการมาก ใช้เรือเกือบ ๓๐ ลำ
ก็ถือว่าทุกฝ่ายทุ่มเทเพื่อแสดงออกซึ่งความจงรักภักดี ซึ่งปัจจุบันของเรานี้ ความสามัคคีกลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในประเทศชาติ เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี บ้านเมืองของเราบอบช้ำพอแล้ว ล้าหลังพอแล้ว ตามใครไม่ทันสักประเทศในโลกแล้ว ส่วนจะเป็นฝีมือของใคร..ช่างมัน ให้เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่เสียตั้งแต่บัดนี้ แต่เกรงอยู่อย่างเดียวว่า เรามีใจที่จะให้ประเทศชาติ แต่คนอื่นไม่มี คือคนเราถ้ามีแก่ใจให้ประเทศชาติอย่างแท้จริง ใครจะบริหารก็ได้ แต่ถ้าหากว่า “ต้องกูเท่านั้น” ละก็ ต่อให้เป็นคนดีเท่าไร ก็ไม่มีใครเขาเชื่อคุณหรอก..!” |
หลังจากบวงสรวงทำบุญบ้านเติมบุญ พระอาจารย์กล่าวว่า “เมื่อครู่นี้ตอนบวงสรวง สมเด็จองค์ปฐมท่านมาแวบหนึ่ง..เกือบ ๓ วินาที ปกติพระองค์ท่านเสด็จยากมาก มาให้ ๓ วินาทีนี่ ถ้าเป็นปกติอย่างดาราปรากฏตัว ก็คงต้องจ่ายกันเป็นล้าน ถึงได้บอกว่า ใครไม่รับน้ำมนต์งวดนี้ถือว่าเสียโอกาสในชีวิตเลย ช่วงที่ผ่านมาพระองค์ท่านมาตอนหล่อพระพุทธรูปทองคำ อยู่นานวันกว่าเกือบสองวันเต็ม เวลาของพระองค์ท่านห่างกับเราเยอะ มาแค่ครู่เดียวของท่านนี่เกือบ ๒ วันของเรา
ปกติแล้วบุคคลที่ได้มโนมยิทธิ เรื่องพวกนี้ต้องซักซ้อมอยู่เสมอ เพื่อที่ถึงเวลาจะได้รู้ว่าพระ หรือพรหม หรือเทวดา ครูบาอาจารย์ หรือแม้กระทั่งผี ที่จะมาปรากฏตัวเป็นใคร มาจากไหน มีธุระอะไร นี่เป็นกติกาข้อหนึ่งของบุคคลที่ครอบครูเพื่อเป็นอาจารย์เป่ายันต์เกราะเพชร กติกาข้อนี้หลวงพ่อวัดท่าซุงกำหนดลงมาเลย ทำตามพระสั่งอย่างเดียว ถ้าใครใช้กำลังสมาธิตัวเอง จะทำได้ไม่ถึง ๒ เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้น..จำเป็นที่จะต้องมีความชัดเจนแจ่มใสในมโนมยิทธิอย่างมาก" |
"คราวนี้ความชัดเจนแจ่มใสในมโนมยิทธินั้นมี ๒ ประการด้วยกัน ประการแรกคือขยันฝึกซ้อม เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง อาตมาขยันสุด ๆ สมัยก่อนช่วยงานอยู่ข้างองค์หลวงพ่อวัดท่าซุงที่บ้านสายลม ซักซ้อมทรงอารมณ์อยู่ตลอดเวลา ญาติโยมมาถวายอะไร กระทั่งจำนวนเงินในซองเท่าไรก็ยังรู้
มีบางท่านพอวางซองลง อาตมาแจกแหนบหลวงพ่อให้ แล้วหยิบซองฉีกโยนลงถังขยะไปเลย เล่นเอาลุงเอี๊ยงที่อยู่ใกล้ ๆ ตาเหลือก รีบตะครุบขึ้นมาดู บอกไปว่า “เขาเอากระดาษใส่มา” ลุงก็พลิกขึ้นมาดู เจอกระดาษหนังสือพิมพ์เก่า ๆ ยัดมาในซอง เขาอยากได้วัตถุมงคลแต่ไม่อยากทำบุญ เพราะฉะนั้น..ต้องซ้อมให้ได้ขนาดนั้น แต่ว่าพวกเราส่วนใหญ่แล้วมักจะเบื่อ ขณะเดียวกันก็หน้าบาง ถ้าหน้าบางนี่อย่าหวังว่าจะปฏิบัติอะไรแล้วสำเร็จง่าย ๆ คำว่าหน้าบางในที่นี้ก็คือ พอผิดแล้วอาย จำไว้ว่า..ทำความดีต้องหน้าด้าน ยิ่งถ้าเป็นลูกศิษย์วัดท่าขนุน หน้าไม่ด้านพอไม่ต้องมา เพราะว่าเจ้าอาวาสด่ากระจาย..! ผิดอย่ากลัว โบราณเขาบอกว่า “ผิดเป็นครู” ผิดแล้วจำไว้ว่าเราวางอารมณ์อย่างไรแล้วผิด ถ้าถูกให้จำว่าเราวางอารมณ์อย่างไรแล้วถูก ซักซ้อมบ่อย ๆ เราจะจำได้เองว่าถ้าอารมณ์นี้ก็ใช่แน่ ในเมื่อเป็นอยู่ในลักษณะอย่างนี้ บางทีญาติโยมก็คงจะผิดจนเป็นศาสตราจารย์ ดร. จนหมดแล้ว ไม่ได้ผิดแค่เป็นครูเฉย ๆ ผิดบ่อยเหลือเกิน..!" |
"มโนมยิทธิสามารถใช้ได้ทุกโอกาส ขับรถนี่ดีนัก โดยเฉพาะทางไกล อาตมาถึงเวลาวันหยุดยาว ๆ จะเดินทางกลับ รถข้างหน้าเยอะเหลือเกิน จะแซงก็ไม่กล้า ไม่รู้ว่ามีรถสวนมาเท่าไร..แบบนั้นซ้อมได้ ถ้าพลาดก็ไปพระนิพพานตอนนั้นแหละ..! แต่ว่าอาตมายังไม่เคยพลาด
พอถึงเวลาก็ “ขึ้น..แซงได้สามคันแล้วรีบเข้า” ...(หัวเราะ)... “ไปยาวได้เลย..ว่างเกือบสองกิโลฯ” ทำแบบนั้นโปรดเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม ก็คือต้องพร้อมมอบกายถวายชีวิต..!" |
"เมื่อเกือบ ๓๐ ปีที่แล้ว มีท่านผู้อำนวยการวิทยาลัยครูพระนครศรีอยุธยา เป็นสุภาพสตรี หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ไปสอนให้ด้วยตัวเอง คืออาจารย์ท่านน้อยใจว่าตัวเองมีภาระมาก อยากไปวัดท่าซุงก็ไม่ได้ไป อยากฝึกมโนมยิทธิก็ไม่ได้ฝึก
พอวันหนึ่ง..หลังจากที่กรำงานทุกอย่างจนดึกแล้วนอน มีความรู้สึกว่าหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค มาหา ท่านบอกว่า “ลุก” และสั่งให้ทำโน่นทำนี่ ทำแบบบ้า ๆ อย่างเช่นว่า เปิดหน้าต่าง ปิดหน้าต่าง เปิดประตูส้วม เปิดพัดลมระบายอากาศ เดินลงชั้นล่าง วนรอบบ้านหนึ่งรอบ กลับขึ้นมาใหม่ ท่านทำตามทุกอย่าง ในเมื่อทำตามทุกอย่าง หลวงปู่ปานสั่งว่า “ขับรถไปวัดท่าซุงเดี๋ยวนี้” โอ้พระเจ้า..เที่ยงคืนกว่าจะตีหนึ่งอยู่แล้ว แต่อาจารย์ท่านไปแฮะ ผู้หญิงนะนั่น วิ่ง ๆ ไปปรากฏว่าฝนตกหนัก คำสั่งหลวงปู่ก็คือ “เร่งความเร็วเพิ่มขึ้นให้ได้ ๑๒๐” กลางคืน..เที่ยงคืนกว่า ฝนตกหนัก มองทางเกือบไม่เห็น “เอ้า..หักขวาหน่อย กลับเข้าซ้าย แตะเบรกนิดหนึ่ง ขวา..ตรงไปข้างหน้า เอ้า..เข้าซ้ายได้” อาจารย์ท่านบอกว่า ท่านเหลือบเห็นแค่ไฟแดง ๆ เหมือนกับไฟท้ายรถแวบผ่าน แสดงว่าท่านแซงรถคันอื่นทั้ง ๆ ที่ตัวเองมองอะไรไม่เห็น ท้ายสุดก็ “หักซ้ายหมด ลงข้างทางไปเลย” โครมเดียวไปอยู่กลางนาโน่น..!" |
"หลวงปู่ปานถามว่า “ลูก..เชื่อพ่อขนาดนี้เลยหรือ ?” ท่านบอกว่าเชื่อ หลวงปู่บอกว่า “ถ้าอย่างนั้นขับรถกลับขึ้นถนน” แปลกมาก..รถไม่มีเสียหายอะไรเลย ลุยในนาเป็นเกวียน กลับขึ้นถนนแล้วกลับบ้าน ไปถึงบ้านอาบน้ำอาบท่า เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จสรรพเรียบร้อย ไปห้องพระ ท่านบอกว่า กราบพระยังไม่ทันครบ ๓ ครั้งเลย หลวงปู่ปานดึงไปแล้ว ท่านบอกว่า “จำไว้ นี่แหละคือมโนมยิทธิ” มโนมยิทธิต้องเชื่ออารมณ์แรกเท่านั้น และเชื่อแบบมอบกายถวายชีวิต ผิดเป็นผิด ตายเป็นตาย พวกเรายังทำแบบนั้นไม่ได้กันหรอก
น่าเสียดาย..ท่านเองเสียชีวิตไปแล้ว ไม่อย่างนั้นจะให้พวกเราไปถามดูว่า คุณยายทำอย่างไร ? เกือบ ๓๐ ปีที่แล้ว ลองคิดดูว่า ตอนนั้นท่านก็ใกล้เกษียณแล้วนะ" |
"ดังนั้น..เรื่องของมโนมยิทธิ อันดับแรกเลย..ต้องขยัน ขยันซ้อม พร้อมที่จะตาย และพยายามพิจารณาตัดร่างกายไว้บ่อย ๆ จนสภาพจิตเคยชิน ไม่ยึดติดกับร่างกาย จะไปได้ง่าย เพราะว่ามโนมยิทธิ จิตต้องออกจากร่างไป
ส่วนใหญ่พวกเรายึดติดมาก อาตมาเองนี่แหละตัวยึดเลย นั่ง ๆ ใช้มโนมยิทธิอยู่ กำลังเพลิน ๆ หูได้ยินเสียงแกรก ๆ แวบเดียวตอนไหนก็ไม่รู้ จิตกลับมาอยู่ที่ร่างแล้ว ห่วงร่างกายขนาดนั้น ปรากฏว่าเพื่อนพระชักลูกประคำอยู่ เห็นอาตมานั่งกรรมฐาน ท่านตื่นขึ้นมา ท่านก็ภาวนาบ้าง แต่ดันชักลูกประคำเสียงแกรก ๆ ได้ยินแค่นั้นจิตก็กลับแล้วนะ..ไม่ได้ตั้งใจด้วย" |
"ดังนั้น..ใครที่คิดว่า ถ้าฝึกมโนมยิทธิกลัวว่าไปแล้วจะกลับไม่ได้ โปรดทราบ..ไม่ใช่ว่ากลัวไปแล้วกลับไม่ได้ กลัวไปไม่ได้ดีกว่า ส่วนกลับไม่ได้นี่ยังไม่เคยเจอ เพราะว่าไม่ทันจะตั้งท่าเลยก็กลับแล้ว
อาตมาฝึกใหม่ ๆ เหมือนกัน ขึ้นพระนิพพานไปได้ ๑-๒ วินาทีก็ลงมาแล้ว อะไรวะ..เมื่อกี้ยังอยู่ข้างบนเลย..!? สงสัยอยู่นาน ท้ายสุดก็เข้าใจว่า จิตห่วงร่างกายนี้ ก็เลยกลับเอง ก็ต้องหาเคล็ดลับว่า ทำอย่างไรที่เราจะอยู่ให้นานที่สุด เพราะว่าเราตัดร่างกายได้ไม่เด็ดขาดจริง ๆ จึงอยู่นานไม่ได้ ก็หางานให้จิตทำ บังเอิญว่าอาตมาสวดมนต์ได้มาก บทยาว ๆ อย่างอาทิตตปริยายสูตร อนัตตลักขณสูตร ธัมมจักกัปปวัตนสูตร อะไรก็สวดได้หมด จึงขึ้นไปสวดมนต์ถวายพระข้างบน มึงอยากห่วงดีนักก็หาห่วงให้มึง ก็คือสภาพจิตจะห่วงว่ายังมีงานอยู่ ในเมื่อยังมีงานอยู่ งานไม่หมดก็ยังไม่กลับลงมา" |
"ดังนั้น..เคล็ดลับพวกนี้ญาติโยมต้องไปฝึกซ้อมเอง อาตมาบอกได้ เล่าได้ แต่ว่านิสัยและความชอบพอแต่ละคนไม่เท่ากัน ในเมื่อนิสัยและความชอบพอของแต่ละคนไม่เท่ากัน เราอาจจะมีเคล็ดลับที่เราชอบ ซึ่งจะต้องฝึกซ้อมค้นหาด้วยตัวเอง
แบบที่อาตมานำกรรมฐานที่วัดช่วงปฏิบัติธรรม ให้เรากำหนดภาพพระ แผ่ขยายพระรัศมีของท่านออกไปแทนพระเมตตา แผ่ออกไป กลับเข้ามา แผ่ออกไป กลับเข้ามา ลักษณะอย่างนี้เขาเรียกว่า “กีฬาสมาธิ” เป็นการสลับฌาน บางทีเราไม่รู้ตัวหรอก บอกให้ทำก็ทำไปเรื่อย กว่าจะรู้ก็โดนหลอกไปถึงไหนแล้วไม่รู้..!?” |
พระอาจารย์กล่าวว่า “ปัจจุบันนี้บ้านเมืองของเราต้องการความสามัคคีมาก แต่เป็นที่น่าเสียดาย แม้แต่ในวงการสงฆ์ของเราก็มีการชิงดีชิงเด่นกัน อาตมาเองก็โดนโจมตีบ่อย อย่างเช่นว่า ถ้าหากว่าภาพการทำบวงสรวงออกไป ก็จะกลายเป็นว่า พระอาจารย์เล็กกลายเป็นพราหมณ์ไปแล้ว
การบวงสรวงแต่เดิมเป็นเรื่องของศาสนาพราหมณ์ เขาทำขึ้นเพื่อร้องขอต่อพระเจ้าของเขา พอมาเป็นพุทธ เราก็ดัดแปลงมาเป็นเครื่องบูชาพระ ต่างกันตรงนี้ แต่ไม่ได้หรอก กูเห็นเครื่องบวงสรวง กูก็เหมาเอาไว้ก่อน ขอให้โจมตีไว้ก่อน แม้กระทั่งลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุงด้วยกัน เห็นอาตมาบวงสรวงด้วยตัวเอง ก็บอกว่าวัดรอยเท้าหลวงพ่อ รู้ไหมว่าตั้งแต่ออกจากวัดปีแรก อาตมาเปิดเทปบวงสรวง เสียงท่านด่าใส่หูมาชัด ๆ เลย บอกว่า "พวกเอ็งใช้ข้าจนตาย นี่ตายแล้วยังจะใช้ต่ออีกหรือ..?" ตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้ อาตมาบวงสรวงด้วยตนเองมาตลอด พ่อด่าแล้ว ประเภทว่าโตเองได้แล้ว..ประมาณนั้น เพราะฉะนั้น..ใครจะว่าวัดรอยเท้าพ่อก็ช่างเถอะ ถ้าไม่พยายามวัดแล้วจะรู้ไหมว่าทำได้อย่างพ่อหรือเปล่า ? ต้องบอกว่าไอ้พวกประเภทมีหัวไว้คั่นใบหู ไม่ค่อยจะได้มีสมอง ความสามารถตัวเองไม่พอ แต่ดันทะลึ่งไปว่าคนอื่นเขา ถ้าประเภทนี้มีอย่างเดียวก็คือริษยา แสดงว่ากำลังใจต่ำมาก ไม่ควรค่าแก่การเหลือบแล ปล่อยให้โง่ต่อไป..!” |
“ดังนั้น..ในเรื่องของความสามัคคีเมื่อจะเกิดขึ้น แต่ก็มีคนกวนน้ำให้ขุ่น ในเมื่อมีคนคอยกวนน้ำให้ขุ่น อาตมาถึงได้ข้อสรุปกับตัวเองมาตั้งแต่ ๒๐ กว่าปีที่แล้วว่า ใครวางก่อนสบายก่อน แต่ต้องวางด้วยปัญญาจริง ๆ ไม่ใช่วางใส่หัวชาวบ้านเขา มีคนตำหนิ มีคนว่า แสดงว่าเราต้องมีข้อบกพร่อง พยายามพิจารณาดูว่าบกพร่องตรงไหน แล้วแก้ไขไป คนที่จะยอมสละตัวเองเป็นกระจก ให้เราเห็นใบหน้าที่น่าเกลียดน่าชังนั้นหายาก เพียงแต่ว่าถ้าส่องกระจก ก็ส่องให้ครบ ๖ ด้าน พยายามปรับปรุงแก้ไขให้ดีที่สุด
ส่วนใหญ่แล้วพวกเราเตือนตัวเองไม่เป็น เตือนเป็นก็ด่าตัวเองได้ไม่แสบพอ ก็เลยยังเอาดีไม่ได้สักทีหนึ่ง ต้องด่าตัวเองให้เจ็บ ๆ ถึงจะรู้สำนึก ไม่อย่างนั้นแล้วส่วนใหญ่ถึงเวลาก็ไหลตามกิเลสไป เกรงใจ..อยู่กับกิเลสมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว อยู่ ๆ จะมาละทิ้งกัน ทำใจไม่ได้ เพราะว่าเราเป็นคนดี เรารักเพื่อน เพื่อนที่หน้าตาเหมือนกิเลสนี่ไม่น่ารักหรอก..!” |
“ต้องรู้จักด่าแรง ๆ โบราณเขาบอกว่า "จงเตือนตนของตนให้พ้นผิด ตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือน ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน อย่าแชเชือนเร่งเตือนตนให้พ้นภัย" หลวงปู่มหาอำพันท่านท่องกลอนให้ฟังว่า "ผิดหนึ่งพึงจดไว้ในสมอง เร่งระวังผิดสองภายหน้า สามผิดเร่งคิดตรองจงหนักเพื่อนเอย ถึงสี่อีกทีห้าหกซ้ำอภัยไฉน" ฝรั่งเขาบอกว่า "I will not make a bit mistake twice." เราจะไม่ทำความผิดซ้ำสอง "But I do it five or six times to be make sure." ...(หัวเราะ)... เขาบอกว่าเราจะไม่ทำความผิดแค่ ๒ ครั้งหรอก ต้องสัก ๕-๖ ครั้งถึงจะมั่นใจว่าผิดจริง เออ..เข้าท่า..!
อย่าลืมนะ "Do it five or six times to be make sure." ...(หัวเราะ)... แต่รู้สึกว่าของพวกเรานี่จะเป็นร้อยเป็นพันครั้งแล้วกระมัง..?” |
พระอาจารย์กล่าวว่า “พูดภาษาอังกฤษอย่าไปห่วงไวยากรณ์ เอาแค่รู้เรื่อง ถ้าไม่รู้เรื่องก็ตีใบ้เพิ่มเข้าไป..! หน้าด้านพูดบ่อย ๆ เดี๋ยวก็เก่งไปเอง ถ้ามัวแต่ห่วงไวยากรณ์อยู่ ชาตินี้เราจะพูดไม่ได้หรอก เพราะว่าส่วนใหญ่โดยสัญชาตญาณของเราก็คือ ฟังแล้วแปลเป็นไทย แปลแล้วเราจะตอบอย่างไร คิดเป็นภาษาไทย แล้วค่อยกลับประโยคเป็นภาษาอังกฤษ ถ้าอย่างนั้นไม่ทันรับประทานหรอก ประโยคที่ ๒๐ ของเขามาแล้ว ประโยคแรกของเรายังคิดไม่เสร็จเลย
วัดท่าขนุนได้เปรียบที่ฝรั่งเข้ามาเยอะ วันก่อนน้องเล็กลดราคาหลวงพ่อนากของอาตมาเหลือแค่คอปเปอร์..! อาตมาบอกว่า "บ้า..คอปเปอร์ได้อย่างไร ? ต้องพิงค์โกลด์ต่างหาก..!" ...(หัวเราะ)... เล่นเอา ๓๗.๕ กิโลกรัมของตูออก เหลือแต่คอปเปอร์เลย แต่ก็ยังดีที่ฝรั่งเขาพยักหน้าหงึก ๆ ว่า "I see." มึง see จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้..!? คงจะเห็นว่ามีโกลเด้น มีซิลเวอร์ ก็เลยต้องมีคอปเปอร์ใช่ไหม ? ไอ้นั่นหุ่นอภินิหาร..! สมัยอาตมายังแก้ผ้าวิ่งอยู่เลย หนังหุ่นยนต์ญี่ปุ่นเรื่องแรก ๆ ที่เข้ามาประเทศไทย มีหุ่นอยู่ ๓ ตัว ตัวพ่อชื่อโกลด้า ตัวแม่ชื่อซิลเวอร์ ส่วนลูกชายชื่อคอปเปอร์ เล่นเอาพิงค์โกลด์ของอาตมากลายเป็นคอปเปอร์ หมดราคาเลย ๔๓ ล้านกว่าลงมาเหลือแค่ร้อยเดียว..! แต่ว่าไม่เป็นไร เราต้องกล้า รู้ไม่รู้ให้พูดไว้ก่อน แบบเดียวกับสะพานแขวนหลวงปู่สาย ว่ากันตามศัพท์คือ Suspension bridge ไม่ต้องหรอก ใช้ Hanging bridge หมดเรื่องเลย สะพานแขวน..เขาเห็นเขาก็รู้เองแหละ ไม่ต้องไปเล่นศัพท์เป็นทางการมากเกิน พวกศัพท์เทคนิคทางการ อาตมาไม่ค่อยรู้หรอก” |
พระอาจารย์กล่าวว่า “เห็นหลวงพ่อทองคำสวย ท่านอาจารย์มหาเอก็เลยออกความคิดว่าควรที่จะทำเป็นพระบูชา คราวนี้สมเด็จองค์ปฐมขนาดบูชาหน้าตัก ๑๐ นิ้วของเรามีแล้ว ก็เลยว่าเอาสัก ๕ นิ้วก็พอ ว่าจะทำสัก ๓ องค์ ๕ องค์ให้แย่งกัน คงมีรายการฆ่ากันตาย มีขายใบจองแน่นอน..!
เดี๋ยวพอคำนวณวัสดุและราคาได้แล้วค่อยเปิดจอง ก็ให้ท่านกำหนดยอดเอาเองแล้วกันว่าจะเอากี่องค์ ถ้าเป็นอาตมาทำก็ ๓ องค์ ๕ องค์อย่างที่ว่านั่นแหละ ...(หัวเราะ)...” |
พระอาจารย์กล่าวว่า “วันที่ ๑๕ เมษายน เวลา ๑๐.๓๐ น. มีงานแห่หลวงพ่อสมเด็จองค์ปฐมทองคำที่วัดท่าขนุน จะเป็นงานประจำทุกปี เพราะว่าได้คุยกับท่านนายกเทศมนตรีไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๕๕ บอกว่าวัดจะลงทุนหล่อพระให้ ส่วนทางเทศบาลก็ลงทุนจัดการขบวนแห่ปีละครั้ง มองเอาไว้ ๒ วาระด้วยกัน วาระหนึ่งก็คือลอยกระทง อีกวาระหนึ่งก็สงกรานต์ ปรากฏว่าท่านบอกว่าสงกรานต์ดีกว่า ชาวบ้านจะได้สรงน้ำพระด้วย
อาตมาเองว่าจะเอาพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วออกมาให้ญาติโยมสรงน้ำ แต่ว่าทำสถานที่ไม่ทัน เพราะว่าตั้งใจให้เขาเอาสแตนเลสทำเป็นกรงรูปพระปฐมเจดีย์ แล้วก็ต่อท่อให้สรงน้ำ ช่างเขาทำไม่ทัน ดูก่อนว่าปีหน้าจะทันไหม จะได้กลายเป็นงานประจำปีไปเลย” |
“ตอนแรกก็กะว่าจะไปร่วมขบวนแห่นิดหนึ่ง แล้วก็กลับมาเทศน์ ปรากฏว่าท่านนายกเทศมนตรีท่านขยับเวลาไปเป็น ๑๐.๓๐ น. รอให้เทศน์ที่วัดท่าขนุนและเจริญพระพุทธมนต์เสร็จ ประมาณสิบโมงนิดหน่อย เดินทางไปถึงสำนักงานเทศบาลก็น่าจะ ๑๐.๓๐ น. พอดี ก็เคลื่อนขบวนได้
ใครไปปฏิบัติธรรมช่วงสงกรานต์ก็ไปเข้าขบวนด้วยกัน เขาบอกว่า ขอให้แต่งโจงกระเบนกับเสื้อลาย เสื้อลาย ๆ ประเภทฮาวายตอนสงกรานต์นั่นแหละ โจงกระเบนเดี๋ยวนี้ก็เป็นโจงกระเบนสำเร็จรูป ใส่เป็นกางเกงเลย เดี๋ยวจะไปประสานกับทางควาญช้าง ปีหน้าขอยืมช้างสัก ๙ เชือก แห่รถแล้วก็แห่ช้างดูบ้าง แต่จริง ๆ อยากได้โขลงที่กำลังอาละวาดอยู่ ๓๐ กว่าตัว..ไม่ใช่เชือกนะ อยู่ที่ป่าทองผาภูมิเลย ตอนนี้คณะติดตามเขาจำหน้าได้ทุกตัวแล้ว แล้วก็มีเจ้างาเล็กที่กำลังรอทางกรมคชบาลไปดูว่า เป็นช้างเผือกอีกเชือกหรือเปล่า แต่ว่าถ้าอาตมาดูเองแล้ว งาเล็กสู้เอกชัยไม่ได้ เอกชัยงายาวตั้ง ๒๘ นิ้ว” |
พระอาจารย์กล่าวว่า “วันที่ ๑๔ เมษายน เวลา ๑๒.๓๐ น. มีบังสุกุลอัฐิ ใครมีอัฐิบรรพบุรุษอยู่ก็เอาไป ถ้าไม่มีก็เขียนชื่อเขียนนามสกุลใส่ลงโลงไป ของเราเองก็ใส่ด้วย แต่ว่าปีนี้น่าจะเผาง่าย เพราะว่าเป็นเมรุปลอดมลพิษ เผากระดาษนี่วูบเดียวก็หมดแล้ว
ช่วงนี้ทางวัดเผาขยะด้วยตัวเอง ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเตาเผาขยะก็คือเตาเมรุย่อส่วน ถามว่าทำไมถึงเหมือนกันทุกอย่าง ? ซากสัตว์ถือเป็นขยะอย่างหนึ่ง เลยให้เผาซากสัตว์ได้ พอได้ยินอย่างนั้นท่านอ๊อดเลยขออนุญาต "หลวงพ่อ..เดี๋ยวผมทำรั้วให้ครับ" ถามว่าทำไม ? "เปิดทิ้งไว้เดี๋ยวใครแอบเอาศพยัดเข้าไปเผา" ...(หัวเราะ)... เพราะว่าเมรุใหญ่ของเรา พอถึงเวลาก็ต้องมีคนเปิด เขาถือกุญแจกันอยู่ ๓-๔ ดอก กว่าจะเปิดได้ ปรากฏว่าเตาเผาขยะดันเผาซากสัตว์ได้ ก็เลยเกรงว่าจะมีการแอบเอาศพเข้าไปเผาเวลาเผลอ” |
พระอาจารย์กล่าวว่า “ตอนนี้อาตมารอเขามาเบิกพระขรรค์โสฬส ๘๔ พรรษาธรรมิกราช ดูท่าจะมีอาตมาคนเดียวกระมังที่ถือมือเดียวไหว ...(หัวเราะ)... ทุกมิติเท่าพระแสงขรรค์ไชยศรี ซึ่งเป็นเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์
งานนี้เป็นความดีของหลวงพ่อนิล ลูกศิษย์ของท่านมีหน้าที่รักษาพระแสงขรรค์ไชยศรี เช็ดถูอยู่ทุกวัน ก็เลยวัดขนาดมา กันเขาปลอม พอวัดขนาดมาก็ลองทำดูซะเลย ตอนแรกท่านทำบรรจุเจดีย์ อาตมาเห็นแล้วชอบใจ จำไว้เลยว่า เรื่องของการสร้างพระขรรค์นี่ลำบากมาก บารมีเก่าต้องพอ ถ้าไม่เคยเกิดมาถือพระขรรค์เป็นอาวุธคู่มือนี่สร้างยากหนักหนา ขนาดเขาสร้างเล่มเล็ก ๆ ยังปางตายเลย ๘๔ เล่มถ้วน ๆ เศษที่เหลือหลอมเป็นพระไปแล้ว เพราะฉะนั้น..จะไม่มีการเอาที่ไม่สมบูรณ์มาใส่ด้าม” |
พระอาจารย์กล่าวว่า “ตอนนี้งานใหญ่ของวัดท่าขนุนก็ถือว่าจบลงที่สมเด็จองค์ปฐมทองคำ ไม่มีงานอะไรใหญ่กว่านี้อีกแล้ว แถมทุกอย่างยังสำเร็จเรียบร้อยลงด้วยดีภายใน ๙ วันอีกต่างหาก วันที่ ๙ หล่อ วันที่ ๑๘ อัญเชิญขึ้นมณฑป ทุกคนล้วนแต่แปลกใจว่าทำไมเร็วขนาดนั้น เพราะว่าองค์พระออกมาสมบูรณ์ ไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากตัดชนวน แต่งรอยต่อ ขัดเงาเท่านั้นเอง เป็นอะไรที่ปลื้มใจมาก ไปนั่งมองเดี๋ยวจะนอนไม่หลับ ...(หัวเราะ)...
พอดีวันนั้นทางกระทรวงวัฒนธรรมส่งคณะไปตรวจประเมินชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน อาตมาต้องเป็นคนบรรยาย แล้วเขาจะเป็นคนให้คะแนน เพื่อที่จะยกขึ้นเป็น ๑ ใน ๑๐ สุดยอดชุมชนคุณธรรมต้นแบบของประเทศ จนป่านนี้ก็ยังเงียบ ๆ อยู่ ไม่รู้ว่าได้หรือไม่ได้ ปรากฏว่าพระอาจารย์มหาเออัญเชิญสมเด็จองค์ปฐมทองคำไป อาตมาเองก็บรรยายให้คณะตรวจงานเขาฟังไป ก็นั่งมองท่านเสด็จขึ้นไปบนมณฑป ...(หัวเราะ)... ปกติต้องยกเอง งานนี้ไม่ต้อง เพราะว่างานไม่เสร็จ” |
“ตอนนี้หลวงพ่อสามกษัตริย์ก็สมบูรณ์แล้ว คือทองคำ นาก เงิน องค์ทองคำมูลค่าทั้งหมด ๑๓๑ ล้านบาทเศษ อาตมาซื้อทองคำตั้งแต่แพงสุดที่ ๒๗,๕๐๐ บาท ลงมาถึงต่ำสุด ๑๘,๓๐๐ บาท รวม ๆ แล้วร้อยกว่าล้านบาท ญาติโยมทำบุญมามากกว่าที่คิด เฉพาะวันงานนั่งรับตั้งแต่ประมาณ ๖ โมงเศษ ๆ จนถึงเวลาหล่อ ๐๙.๒๐ น. เงินสด ๔ ล้านกว่าบาท และทองคำ ๙ กิโลกรัมกว่า ขออนุโมทนากับญาติโยมทั้งหลายด้วย วันไหนก็ไม่ทำ แห่ไปทำกันอยู่วันเดียว..!
ตอนนี้ทองคำรูปพรรณส่งไป refine ให้ออกมาอย่างน้อย ๙๖.๕ เปอร์เซ็นต์ จะได้เอาไว้หล่อองค์ต่อไป โยมที่ร่วมบุญมาเท่ากับว่าได้หล่อทั้งสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องหน้าตัก ๑๙ นิ้วด้วย ได้หล่อหลวงพ่อพระพุทธลีลาประทานพร ซึ่งตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าสูงเท่าไรอีกองค์หนึ่ง แต่ช่างบอกว่าน่าจะต้องใช้ทองใกล้เคียงกัน อาตมาก็สงสัยว่า องค์เล็กกว่าตั้งเยอะ ทำไมใช้ทองใกล้เคียงกัน ช่างบอกว่าพระยืนคว้านไส้ไม่ได้ พอคว้านไม่ได้ก็ต้องหล่อตัน ไม่อยากจะคิดเลย ...(หัวเราะ)...” |
ถาม : ถ้าจะทำบุญเลี้ยงพระที่บ้าน หนูสามารถถวายสังฆทานพร้อมกับถวายภัตตาหารได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้..ทำไมจะไม่ได้ ก็ตอนถวายภัตตาหารนั่นแหละ ของเราก็พร้อมกันไปเลย อิมานิ มะยัง ภันเต ภัตตานิ สะปะริวารานิ สรรพบริวารก็คือสังฆทานนั่นแหละ |
พระอาจารย์ตรวจซองทำบุญที่มีผู้ถวาย “กลัวว่าจะมีสร้างแปลก ๆ มาอีก มีอยู่งวดหนึ่งอาตมาต้องส่งซองคืนโยมไปเลย เขียนมาว่า "สร้างสมเด็จองค์ปฐมทองคำหน้าตัก ๔ ศอก" มึงไปทำเองก็แล้วกัน กูทำไม่ไหว..! เขียนไปเรื่อยเปื่อย
องค์ ๑๙ นิ้วนี่ยังไม่ได้ศอกเลยด้วยซ้ำ เพราะว่าศอกหนึ่งมี ๒๐ นิ้ว นี่จะเล่นตั้ง ๔ ศอก ไปทำเองก็แล้วกัน..!” |
พระอาจารย์กล่าวว่า “ตอนนี้ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ เจริญพระชนมายุ ๖๖ พรรษาแล้วนะ เมื่อวานเห็นพระองค์ท่านออกงานถี่ยิบเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าพละกำลังจะลดน้อยถอยลงไหม เมื่อวานทั้งที่พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ ๑ สะพานพุทธฯ ทั้งที่วัดพระแก้ว แล้วก็ยังมีภาพประทับใจ พระราชทานปริญญาบัตรแก่นิสิตที่พิการอีก”
|
ถาม : ช้างสำคัญนี่ถ้าทองผาภูมิได้งาเล็กเป็นเชือกแรกจะเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าได้นี่ถือว่าเป็นเกียรติประวัติของทองผาภูมิเลย วัดห้วยปากคอกที่ยกให้ท่านปลัดตั้มไปเป็นเจ้าอาวาสนั่นคือคอกช้าง ห้วยปากคอกก็คือปากคอกช้าง สมัยก่อนคุณย่าของโกเหม่งที่เป็นอดีตนายกเทศมนตรี ก็ยังมีการจับช้างอยู่ เมื่อคุณย่าของโกเหม่งมีช้าง ญี่ปุ่นก็เลยจ้างให้ลำเลียงเสบียงไปส่งตอนสร้างทางรถไฟสายมรณะ เพราะว่าช้างเดินป่าและบรรทุกของได้มาก บางคนก็สงสัยว่าห้วยปากคอกมาจากไหน ? มาจากคอกช้าง ปัจจุบันนี้ที่ช้างมาไม่เว้นแต่ละวันนั่นแหละ ก็คือในป่าน้ำหมด แล้งจัด ช้างก็ลงมาหาแหล่งน้ำกิน |
“เดี๋ยวนี้สัตว์เขาลำบาก อาตมาออกความคิดว่าจะซื้อสับปะรดเอาไปเลี้ยงช้างกัน ประเภทเหมากันไปเป็นคันรถ ๆ ปรากฏว่าโดนคัดค้าน เขาบอกว่าถ้าช้างกินแล้วติดใจ เดี๋ยวจะไม่ยอมไปไหน คราวนี้ชาวบ้านจะเดือดร้อนหนัก เพราะว่าถ้าอยู่แถวนั้นก็อาละวาดเหยียบต้นไม้ รื้อต้นไม้ไปเรื่อย อาตมาเห็นว่าสับปะรดปีนี้ถูกมาก ก็เลยกะว่าถ้าเหมาไปเลี้ยงช้าง แล้วของเหลือน้อยลง จะได้ราคาแพงขึ้น..!
อาตมาเคยซื้อสับปะรด ๒๐๐ ลูกไปเลี้ยงช้างที่ปางช้างพุถ่อง เขามีช้างอยู่ ๑๑ เชือก เฉลี่ยแล้วได้ตัวละหน่อยเดียว ถ้า ๑๐ เชือกจะพอดี เพราะว่าเฉลี่ยประมาณตัวละ ๒๐ ลูก พอ ๑๑ เชือกก็เลยเหลือไม่ถึง สับปะรด ๒๐๐ ลูกยังไม่พอช้างยาขี้ฟัน..! พอถึงเวลา เจ้าของก็บอกว่า "เดี๋ยว..พาหลวงพ่อไปเที่ยวก่อน" ช้างก็อ้อยอิ่งไม่อยากไป เพราะว่าตะกร้าสับปะรดอยู่ตรงหน้า..! ก็เลยบอกเขาว่า "เดินเร็ว ๆ รอบหนึ่ง แล้วจะได้กลับมากิน" โอ้โฮ..รีบจ้ำใหญ่เลย ช้างเขาฟังรู้ทุกตัวนะ ตอนนั้นพาลูกเจนนี่ไปด้วย เพิ่งอายุ ๔-๕ ขวบ ช้างที่เขาขี่ก็เดินตามหลังหลวงพ่อ เขากระซิบบอกช้างเขาว่า "แซง ๆ ๆ" ช้างก็ทำท่าจะแซง ตัวที่อาตมานั่งก็จ้ำอ้าวเลย..ไม่ให้แซง กระซิบอยู่ข้างหลัง แต่ข้างหน้าดันได้ยิน ช้างนี่หูไวกว่าคนอีก เพราะว่าใบหูเขากว้าง” |
“คนไหนเลี้ยงช้างนี่ต้องบอกว่าลำบากมาก เพราะว่าโดยธรรมชาติแล้วช้างจะกินอาหารวันหนึ่งเกือบ ๓๐๐ กิโลกรัม เขาก็จะหากินไปเรื่อย ๆ พอแดดร้อนก็หลบนอน พอแดดร่มลมตกก็หากินต่อ บางทีกินไปยันดึก อาหารถึงจะพอเลี้ยงร่างกาย ถ้าเข้าไปในไร่กล้วยก็เวรกรรมละ ไม่เหลือหรอก เพราะว่าเขาถอนมาต้นหนึ่งแล้วเหยียบ ชักเอาไส้ไปกินอย่างเดียว ดังนั้น..ต้นกล้วยต้นใหญ่ ๆ คิดว่าช้างกินแล้วอิ่ม..ไม่หรอก เขาเอาแค่ข้างในหน่อยเดียว
ถึงเวลาถอนหญ้าขึ้นมาก็ฟาดกับขาตัวเอง ให้ดินหลุดออกก่อนแล้วค่อยกิน บางช่วงมะละกอที่วัดมีมาก เก็บไปเถอะ..จะดิบจะสุกได้ทั้งหมด เขากินหมด ใส่เข่งไป ๗-๘ เข่ง เอาขึ้นรถกระบะไป เขามาก็เหยียบ ๆ ๆ เอาเท้าเหยียบให้แตก เอางวงหยิบเขย่าเมล็ดทิ้ง เพราะว่าเมล็ดขม ฉลาดสุด ๆ เลย กินไปก็น้ำตาไหลไป นาน ๆ จะได้อิ่มสักที สับปะรดลูกละ ๖ สลึง ก็เลยบอกเขาว่าเหมาหมดนี่แหละ มีเท่าไร นับไปนับมาได้มา ๒๐๐ ลูก ลูกละ ๖ สลึง ก็ ๓๐๐ บาท ยังไม่ทันจะขึ้นรถหมด เขาถามว่า "หลวงพ่อจะมาอีกเมื่อไร ?" เขาจะเตรียมสับปะรดไว้อีก ส่วนใหญ่แล้วราคาถูก คือชาวไร่ชาวนาลงทุนแทบตาย พ่อค้าคนกลางจะซื้อราคานี้ จะไปทำอะไรได้ ก็ต้องยอมเขา แต่ว่าปีนี้ราคามะนาวแพงโหดร้ายมาก ในกรุงเทพฯ บางแห่ง ๑๒ บาท ๑๕ บาทแล้วนะ แต่ขอโทษเถอะ..ที่ไร่ขายลูกหนึ่ง ๒-๓ บาทเอง” |
พระอาจารย์กล่าวว่า “ยาบำรุงสำหรับอาตมาแล้วไม่ได้ใช้ เพราะว่าร่างกายดีเกินชาวบ้านเขา ไปตรวจหัวใจมาล่าสุด เขาบอกว่าไม่มีตีบไม่มีตันเลย แต่เพื่อนพระสังฆาธิการผ่าไปแล้ว ๔ เส้น ที่ไม่มีตีบไม่มีตันนี่ต้องบอกว่า เป็นเพราะนิสัยการกินที่ไม่เหมือนเขา อาตมาถนัดพวกผักผลไม้มากกว่า แทบจะกินแทนข้าวเลย”
|
พระอาจารย์กล่าวว่า “ถ้าหากว่างานที่เนื่องด้วยคนตาย เขาเรียกว่า สวดพระพุทธมนต์ อย่างเช่น งานทำบุญกระดูก งานทำบุญครบรอบปี งานทำบุญ ๗ วัน ๕๐ วัน ๑๐๐ วัน แต่ถ้าหากว่างานมงคลทั่วไป อย่างทำบุญบ้าน งานแต่งงาน เป็นต้น เขาเรียกว่า เจริญพระพุทธมนต์ ต่างกันนิดเดียวว่าเป็นงานมงคลหรืองานอวมงคล
"อวะ" แปลว่า ลง อวะหรือโอ เป็นภาษาบาลี "โอ" คำเดียว แปลว่า ลง อย่างเช่น "โอตรติ" ย่อมหยั่งลง (ย่อมฝังลง) หรือไม่ก็ "อวังสิโร" คือห้อยหัวลง ก็คือค้างคาว "สิโร" มาจากสิระ ที่แปลว่าหัว โปรดอย่าสงสัย..บอกแล้วว่าอาตมาเรียนแล้วไม่ลืม คนอื่นเขาเรียนแล้วลืม บรรดาผู้ที่เรียนบาลีรุ่นเดียวกัน เขาบอกว่าเขาลืมหมดแล้ว ก็ปล่อยให้เขาลืมไป” |
ถาม : แล้ว "โอม" มาจากศัพท์เดียวกันไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ โอม มาจาก อุ อะ มะ ความจริงก็คือ อะ อุ มะ อะ อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ อุ อุตตะมะธัมโมมัชฌะคา มะ มหาสังโฆปโพเธสิ ย่อลงมาเป็นหัวใจ อะ อุ มะ อ่านเร็ว ๆ ว่า โอม |
ถาม : ต้นกล้วยหนีช้างที่หลวงพ่ออุตตมะใช้ทำลูกประคำ หลวงพ่อเข้าป่าเคยเจอไหมครับ ?
ตอบ : ยังเลย ส่วนใหญ่เขาต้องการต้นกล้วยที่ขึ้นอยู่บนไม้ใหญ่ ก็คืออาศัยร่มเงาความมั่นคงของไม้ใหญ่ให้กล้วยเย็น เขาถือเคล็ดตรงนี้ ก็คือร่มเย็น ได้มาเขาให้สับเป็นชิ้น ๆ ตากแห้งแล้วเผา เอาขี้เถ้ามาปั้นเป็นลูกประคำ ถาม : ลักษณะเป็นกาฝากกล้วยไปขึ้นหรือครับ ? ตอบ : คือกล้วยที่ไปขึ้นบนต้นไม้ใหญ่ ส่วนใหญ่คือกล้วยตานี พวกกระรอก กระแต อีเห็น แม้กระทั่งนกก็กิน แล้วไปถ่ายเมล็ดทิ้งไว้ ก็ไปงอกบนต้นไม้ใหญ่ ที่สมัยนี้มีกาแฟชะมดนั่นแหละ คือพวกชะมด พวกอีเห็นไปกินกาแฟ เสร็จแล้วก็ถ่ายทิ้งไว้ ให้เขาเอาไปเก็บมาล้าง เอามาคั่วใหม่ ส่วนอันนี้ไปถ่ายเมล็ดทิ้งไว้ ไม่มีใครเก็บมาล้าง ได้แดดได้ฝนบังเอิญใบไม้หมักเป็นดินก็งอกเลย เพียงแต่ไปงอกอยู่บนต้นไม้ใหญ่ กลายเป็นของหายาก วัตถุอาถรรพ์พวกนี้ถ้าอยากลำบากก็ไปหาเอา |
พระอาจารย์กล่าวว่า “บางอย่างถ้าหากว่าเราไม่อยู่ไปสักระยะหนึ่ง แล้วฟังจนชิน บางทีสิ่งที่เราพูดไปเขาไม่เข้าใจหรอก คนละสำเนียงกัน
แม้กระทั่งไปพม่า อาตมาไปกับพระครูปลัดปรีชา พระครูปลัดกวักแท็กซี่ มาถึงก็ "ไปชเวดากอง" แท็กซี่อ้าปากหวอ ไปไหนวะ ? อาตมาต้องบอกเอง "ชุยดากงพะยา" ถึงไปได้ คนไทยอ่านชเวดากอง อ่านตามภาษาอังกฤษที่เขียน พม่าออกเสียงชุยดากง ชุย คือทองคำ แต่คราวนี้เขาเขียน shwe เราก็เลยอ่านเป็น ชเว พม่าเขาเขียนภาษาอังกฤษ เขียนอย่าง อ่านอย่าง ไปพม่าใหม่ ๆ อาตมาใบ้รับประทานอยู่เป็นอาทิตย์เลยกว่าจะเข้าใจกัน” |
“tien อ่านว่าอะไร ? พม่าอ่านว่า ไต kyeik พม่าออกเสียง ไจ๊ ตรง ๆ เลย เพราะว่า ky ออกเสียงแทน จ.จาน พอถึงเวลา kyi เราก็อ่าน คยี ความจริงอ่านว่า จี อองซานซูจี ตรง ๆ เลย
ตัว r พม่าออกเสียงเป็น ย.ยักษ์ Rangoon เราอ่านร่างกุ้ง พม่าออกเสียงหย่างกง พม่าเขาเขียนอย่างหนึ่ง อ่านอย่างหนึ่ง ตัว r ออกเสียงเป็น ย.ยักษ์ แต่ตัว y ดันทะลึ่งออกเสียงเป็นได้หลายคำ แล้วก็โดนชาวบ้านเขาด่า มึงเขียนอย่างนี้เขาจะอ่านอย่างไร ? เขาเขียนเป็น Rangoon ที่เราอ่านว่าร่างกุ้งนั่นแหละ Kyaikmaraw เขาอ่านว่า ไจ๊มายอ raw ออกเสียง ยอ ตรง ๆ เลย เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมย่างกุ้งถึงขึ้นด้วยตัว r” |
“เวลาท่านอาจารย์เตชะอยู่ก็คุยกันคิกคัก ๆ อยู่ ๒ คน พระอื่นท่านฟังไม่ออก ครั้งแรกเลยที่ท่านอาจารย์เตชะใช้โทรศัพท์มือถือ สมัยนั้นยังเป็นยี่ห้อโนเกียอยู่ อาจารย์สมพงษ์ก็ถามว่า "รุ่นอะไร ?" ท่านอาจารย์เตชะบอกเป็นภาษาอังกฤษว่า "..(ไม่ชัด).." อาตมาก็ขำ อาจารย์สมพงษ์นั่งอ้าปากหวอ..อะไรวะ ? พออาตมาทวนให้ ท่านถามว่า "พระอาจารย์ฟังออกได้อย่างไร ?" ตอบว่า "อ๋อ..กูอยู่มาหลายปี..!" สำเนียงแบบนี้คุ้นเลย
ของบ้านเรา เลขหนึ่งเราออกเสียงวัน เสียงแท้ ๆ ออกเสียงคล้ายกับคำว่า อ้วน แต่ถ้าสอง พม่าออกเสียงตูเลย 'วัน ตู ตี' คราวนี้รู้หรือยังว่าทำไม ตรี แปลว่าสาม ? ภาษาอังกฤษบัญญัติไม่ทัน เลยใช้ภาษาบาลีไปเลยว่า ตรี ภาษาอังกฤษหลายต่อหลายคำไปจากบาลี เพราะว่าบัญญัติไม่ทัน Elephant คือช้าง ไปจากบาลีว่า เอราวัณ” |
ถาม : พระเก่า ๆ กับหนังสือธรรมะที่ไม่อ่านแล้วเอาไปทำอย่างไรได้บ้างคะ ?
ตอบ : ชั่งกิโล..! ถาม : ทิ้งได้ไหมคะ ? ตอบ : ไม่สมควร ถ้าหากว่ามีที่ไหนเขาสร้างพระใหญ่หรืออาคารที่มีที่ให้บรรจุได้ก็บรรจุไป ถาม : ที่วัดท่าขนุนได้ไหมคะ ? ตอบ : วัดท่าขนุนบรรจุจนไม่มีที่ให้บรรจุแล้ว ถาม : แล้วถ้าเผาละคะ ? ตอบ : จะเผาก็ได้ ต้องขอขมาก่อนแล้วค่อยเผา ถาม : ต่างจากโทษทำลายพระพุทธรูปอย่างไรคะ ? ตอบ : ต่างตรงที่เราไม่ได้ไปทุบ |
มีผู้ถวายดอกบัว พระอาจารย์จึงกล่าวว่า “มีปัทมา ๑ กำมือ เก็บมาจากไหน ? ปัจจุบันหายากแล้วนะ
บัวหลวงสีแดง เขาเรียกว่า ปัทมา ถ้าสีขาวเรียกว่า ปุณฑริกา ถ้าบัวสายสีขาวก็คือ โกมุท ถ้าสีแดงคือ สัตตบุษย์ หรือสัตตบรรณ ถ้าเป็นพวกบัวผันบัวเผื่อน สีเหลืองคือ จงกลนี สีน้ำเงินคือ นิลุบล หรือนิโลตบล แยกกันไม่ออกอีกนั่นแหละ เอาเป็นว่าโกมุทและสัตตบุษย์อร่อย..! ...(หัวเราะ)... หมดเรื่องไปเลย โดยเฉพาะนำไปต้มกะทิ สายบัวต้มกะทิใส่ปลาทูเค็ม” |
พระอาจารย์กล่าวว่า “สมัยนี้เขาว่ามะเร็งให้รักษาด้วยกัญชา ใช่ไหม ? แต่เชื่อเถอะ..กว่ากัญชาจะได้รับอนุญาตให้ปลูกเสรี นายทุนเอาไปรับประทานหมดแล้ว เดี๋ยวนี้พวกนายทุนหรือนักการเมืองเขาปลูกล่วงหน้ากันเป็นพัน ๆ ไร่ ชาวบ้านปลูกต้นสองต้นโดนจับ ปลูกน้อยเกินไปเขาเลยไม่เกรงใจ ...(หัวเราะ)...
รู้จักอำเภอกุมภวาปีไหม ? กุมภะ แปลว่าหม้อ วาปี แปลว่าน้ำ ก็คือหม้อน้ำ อำเภอกุมภวาปีถ้าโยมขับรถไป สังเกตสองข้างทางถนนหลักเส้นที่วิ่งไปสกลนคร กัญชาทั้งดงเลย ชาวบ้านเขารู้กันทุกคน ถึงเวลาก็เก็บเอาไปใส่แกง คราวนี้ยังไม่มีใครถ่ายรูปมาลงโซเชียล ก็เลยยังไม่โดนบังคับให้ฟันทิ้ง" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:58 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.