![]() |
"อาตมาเคยไปเช่าช้างที่บ้านกะเหรี่ยงโคทะ ปรากฏว่าโดนฝรั่งแย่งไป ฝรั่งเขาหกล้มขาแพลง ก็เลยเช่าช้างไปขี่ ทั้ง ๆ ที่เจ้าของรับปากอาตมาเอาไว้แล้วว่าถึงเวลาจะไปรับ แต่ปรากฏว่าเห็นแก่ดอลลาร์เลยไปรับฝรั่ง..! อาตมาที่ขาหักจึงต้องเดินออกมาทั้งที่ขาหัก แล้วมาทันกันกลางทาง เลยชี้ให้ฝรั่งเขาดู บอกว่า “ยูแค่ขาแพลง ของไอนี่ broke เลยนะ” เขาทำหน้าช็อก ..(หัวเราะ)..”
ถาม : โคทะนี่แถวตากหรือครับ ? ตอบ : โคทะอยู่อุ้มผาง จากน้ำตกทีลอซู เดินออกมาทางโคทะ ออกไปปะละทะ โดยปกติเดินประมาณ ๔ ชั่วโมง วันนั้นขาหักเดิน ๓ ชั่วโมงครึ่ง..! ที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่าเดินช้าไม่ได้...เจ็บ แตะพื้นแล้วเจ็บ ก็เลยต้องลื่นพรวด ๆ ไปเลย กลายเป็นเดินเร็วกว่าตอนขาดี ส่วนช้างนี่อย่าไปเดินแข่งนะ เห็นช้างเดินเนิบ ๆ นี่ เดินก้าวหนึ่งเท่ากับเราเดิน ๓-๔ ก้าว ฉะนั้น..เดินอย่างไรก็สู้ช้างไม่ได้หรอก |
พระอาจารย์กล่าวว่า “ภาษิตจีนเขาบอกว่า ในเงื้อมมือขุนพลเข้มแข็ง ไม่มีทหารอ่อนแอ ยกเว้นว่าตั้งใจอ่อนแอเอง ..(หัวเราะ)..
เพราะฉะนั้น..พระของเราในบาลีเรียกว่า “ธรรมเสนา” ทหารในกองทัพธรรม ไม่ใช่ดินเหนียวหรือขี้ผึ้ง ที่โดนแดดโดนฝนจะได้ละลาย เพราะฉะนั้น..พระวัดท่าขนุน ฝนตกแดดออกบิณฑบาตตลอด เดินเปียกม่อลอกม่อแลกไป บางทีโยมก็บอก “โอ้โฮ..หลวงพ่อเปียกหมดเลย” อาตมาบอกว่า “ยัง..ยังเหลือใต้บาตรแห้งอยู่หน่อยหนึ่ง” ก็อุ้มบาตรไปนี่..! ถ้าเราทำหน้าที่สวดมนต์ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐานอย่างเข้มแข็ง ถึงเวลาญาติโยมเห็นก็จะเกิดศรัทธาเอง วันก่อนไปบรรยายที่ในงานชุมชนคุณธรรม เขาให้บรรยายหัวข้อว่า “ทำอย่างไรถึงเป็นชุมชนต้นแบบ” ก็ให้เขาดูรูป บอกว่าแค่บิณฑบาตเท่านั้น คุณเรียกศรัทธาคนได้ตั้งเท่าไร วัดท่าขนุนเดินไปที ๒๐-๓๐ รูป บางทีก็ ๔๐-๕๐ รูป เรียงเป็นแถวยาวเหยียดและเป็นระเบียบ วัดอื่นบางที ๕ รูปก็เดินไม่ตรงกันแล้ว ส่วนของเราเดินตรงกันไป นักท่องเที่ยวเห็นก็ขอถ่ายรูปกันอุตลุด บางคนก็ถ่ายคลิปไปเลย กว่าจะวนรอบตลาดนี่ไม่รู้ว่าโดนถ่ายไปเท่าไร" |
"พอได้รูปอย่างนี้เขาเอาไปลงเว็บไซต์ของเขา หรือลงไลน์ ลงอินสตาแกรมของเขา คนเห็นก็อยากมาเห็นด้วยตา แค่นี้ก็สามารถเรียกศรัทธาคนได้ไม่รู้เท่าไรแล้ว แต่ว่าบางวัดพอให้เขาดูแล้ว แทนที่จะเกิดกำลังใจ เขากลับฝ่อไปเลย เขาบอกว่าเขาทำไม่ได้หรอก เพราะว่าวัดเขามีแค่ ๕ รูป
นี่ถ้าหากว่าวัดท่าขนุนทั้งหมด ๔ สายมารวมเป็นสายเดียวจะยาวกว่านั้นอีก ..(หัวเราะ).. ยังดีว่านี่ไปอีก ๓ สาย ซึ่งเป็นคนละทิศกัน” |
พระอาจารย์กล่าวว่า “ตอนนี้แอปเปิ้ลทำท่าจะแย่แล้ว โดนหัวเหว่ยตีเสียปางตาย จนต้องหาเรื่องไปจับนางเมิ่ง เจ๊เมิ่งแกก็เลยซวย อยู่ดี ๆ ก็โดนจับได้ ตอนนี้ศาลแคนาดาตัดสินให้ส่งตัวไปสหรัฐฯ แล้ว บอกว่าไม่อยากเดือดร้อน แต่เอ็งส่งตัวไปสหรัฐฯ นั่นแหละ เอ็งกำลังจะเดือดร้อน..!
ปัจจุบันนี้การต่อสู้กันระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ไม่ว่าจะทางด้านเศรษฐกิจหรือสงคราม สหรัฐฯ เพลี่ยงพล้ำตลอด แล้วมีอยู่อย่างเดียวก็คือ สงครามตัวแทนต้องเลิก ต้องถล่มกันตรง ๆ ถ้าถล่มกันตรง ๆ ก็อยู่ที่ว่าใครลงมือก่อน ? ซึ่งดูท่าว่าจีนจะเสียท่า เพราะว่าจีนเป็นสุภาพบุรุษ ลักษณะรู้ว่าตัวเองเป็นพี่ใหญ่ ขยับตัวแล้วกระทบมาก จึงพยายามประนีประนอมสุดฤทธิ์ แต่ว่าสหรัฐฯ ปัจจุบันนี้ มีประธานาธิบดีติงต๊อง..! พร้อมจะมีเรื่องกับทุกคน คิดว่าตัวเองยังเป็นพี่ใหญ่คับโลกอยู่ ถึงเวลาสั่งคนโน้นต้องทำอย่างนั้น คนนี้ต้องทำอย่างนี้ แต่ตัวเองนั้นเขาขออะไรไม่ให้สักอย่าง แต่ของจีนนี่พยายามอะลุ้มอล่วยสุดชีวิต ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ คือไม่อยากปะทะกันแบบประเภทตัวเองชนะ เขาสูญเสียพันหนึ่ง ตัวเองเสียแปดร้อย ไม่คุ้มกันกับตอนมาฟื้นฟู แต่ว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปัจจุบันก็ค่อนข้างจะขาดสติสัมปชัญญะ โฉ่งฉ่างประมาณจิ๊กโก๋ในซอย ไม่รู้ว่าเป็นประธานาธิบดีได้อย่างไร ?" |
"แต่เราจะเห็นความดีของพวกเขาตรงที่ว่า ต่อให้ได้ประธานาธิบดีที่ไม่เอาไหน เขาก็ให้โอกาสบริหารงานจนครบ ๔ ปี ถึงเวลาค่อยมาเลือกใหม่ ถ้าไม่ชอบคนนี้เราก็เลือกคนอื่น แต่บ้านเราไม่ใช่ บ้านเราคุณชอบคนนี้เลือกคนนี้ ก็มีคนเอาปืนมาจี้ให้ออก ยึดอำนาจไปบริหารเอง แสดงว่าบ้านเราจริง ๆ แล้วไม่ได้เคารพกฎเกณฑ์กติกาที่มีอยู่ ระยะเวลา ๘๐ ปีของประชาธิปไตย มีการปฏิวัติ ๒๐ กว่าครั้งนี่ก็มากจนเกินไป
ปฏิวัติมา ๔ ปีกว่า ทำประเทศถอยหลังเข้าคลองไม่ทันใคร ปฏิวัติหลาย ๆ ครั้งรวม ๆ กันมา จากเสือตัวที่ ๕ แห่งเอเชีย ปัจจุบันนี้เป็นเต่าตัวสุดท้ายของอาเซียน..! แล้วก็ยังอุตส่าห์วางแผนจะสืบทอดอำนาจไปอีก ๒๐ ปี สงสัยจะไม่ได้เป็นเต่าแล้ว อาจจะเป็นแค่ก้อนหินเฉย ๆ ขยับไปไหนไม่ได้แล้ว..! ถึงได้บอกว่าใครจะตั้ง “พรรคชาติหน้าพัฒนา” ก็ให้ดูประเทศไทยเอานะ..! อาตมาก็ได้แต่หวังว่า สร้างหลวงพ่อทองคำแล้วทุกอย่างจะดีขึ้นตามที่พระท่านบอก แต่ไม่ได้ดีปุบปับนะสิ คนไข้อยู่ไอซียูมาตลอดหลายปี ถึงเวลาจะให้ฟื้นกระโดดโลดเต้นได้เลยก็เป็นไปไม่ได้ คนจีนเขาบอกว่า “โรคมาเหมือนกับภูผาถล่ม แต่โรคไปเหมือนกับสาวไหม” ก็คือไปทีละนิด ๆ กว่าจะหายอาจจะตายพอดี” |
ถาม : มีคนร่วมบุญกับเรามา แล้วเราเอาตรงนั้นไปลดภาษีของเราเอง โดยที่เราบอกเขาก่อน แบบนี้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : แบบนั้นได้ ตรงไปตรงมา ถาม : แล้วถ้าเกิดไม่บอกละครับ ? ตอบ : ถ้าไม่บอกก็เท่ากับฉ้อโกง |
พระอาจารย์กล่าวว่า “บางทีอาตมาก็ต้องหวดหนัก ๆ ไม่อย่างนั้นพวกเราไม่ค่อยจะรู้ตัวกัน โดยเฉพาะอยู่ในฐานะของครูบาอาจารย์ มัวแต่ไปเกรงใจไม่ได้ อะไรที่ไม่ถูกต้องตามธรรมตามวินัย ต้องใส่ไปทันทีเลย อย่าไปปล่อยให้ค้างคา ยิ่งค้างนานเท่าไร ความชั่วก็ยิ่งเจริญงอกงาม”
|
ถาม : เขาเคยไปอ่านว่าหลวงพ่อเคยนำทองคำไปถวายพระเขี้ยวแก้วที่วัดท่าขนุนก่อนเพื่อเพิ่มอานิสงส์ให้โยม แล้วค่อยนำไปหล่อพระ เขาก็เลยเอาไปถวายพระธาตุที่บ้านก่อนเพื่อเป็นพุทธบูชา ถ้าเขาจะเอามาหล่อพระจะเป็นการสมควรหรือไม่ เขาก็ไม่ค่อยแน่ใจ ?
ตอบ : ถวายไปแล้วก็แล้วกัน ถ้าเอามาก็กลายเป็นโทษย้ายพระเจดีย์ ถาม : เขายังไม่เอามาค่ะ ตั้งใจว่าจะเอามาพรุ่งนี้ มาถามหลวงพ่อให้แน่ใจ ? ตอบ : เขาเรียกว่าไม่รู้จริงแล้วทะลึ่งไปทำ ถาม : อย่างนั้นก็ไม่ควรใช่ไหมคะ ? ตอบ : ของอาตมานั่นเขาตั้งใจให้หล่อพระ อาตมาเอาไปถวายพระเขี้ยวแก้วก่อนให้ได้อานิสงส์อีกส่วนหนึ่ง แบบนั้นเอามาหล่อพระได้ อันนี้ทะลึ่งตั้งใจจะไปถวายพระธาตุก่อน เอามาหล่อพระก็ซวยสิครับ เขาเรียกว่าโลภบุญจนสิ้นสติ..! |
ถาม : ...(ไม่ชัด)...วิธีไหว้ของเขา เขาจะหงายมือ ?
ตอบ : แล้วไปศึกษามาจากไหน ? ถาม : หนูก็อึดอัดใจ เวลาไปไหนกับเขา ? ตอบ : ไม่เป็นไร ปล่อยเขาไป ทำหน้าว่ากูไม่ได้มากับมึง เรื่องไหว้ ๕ ครั้งนี่มีอยู่ในตำราเหมือนกัน ตั้งแต่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรมหาเถร) วัดเทพศิรินทราวาส ท่านสอนให้ไหว้ ๕ ครั้ง ครั้งที่ ๑ ไหว้พระพุทธ ครั้งที่ ๒ ไหว้พระธรรม ครั้งที่ ๓ ไหว้พระสงฆ์ ครั้งที่ ๔ ไหว้พ่อแม่ ครั้งที่ ๕ ไหว้ครูบาอาจารย์ แต่ประเภทไหว้หงายมือ อาตมาไม่รู้ว่าตำราไหน ต้องไปถามเขาเอง หรือไม่ก็กลับไปบอกเขาว่า หลวงพ่อวัดท่าขนุนบอกว่าถ้าจะให้ดีจริง ๆ ต้องไหว้ให้ครบ ๑๐๘ ครั้ง...! ถาม : หนูก็ถามเขาว่า เขาไหว้แบบนี้มาจากไหน เขาบอกว่าพระศรีอาริย์ฯ บอกเขา เขาไปเจอพระองค์หนึ่งที่บอกว่าเป็นพระศรีอาริย์ฯ แล้วเขาก็เชื่อ พระศรีอาริย์ฯ บอกให้เขาไหว้แบบนี้ แล้วการที่หนูสงสัยเขาแบบนี้ หนูมีโทษไหมคะ ? ตอบ : ไม่มีหรอก อาตมาก็สงสัยเหมือนกัน เพราะว่าพระศรีอาริย์ฯ ที่อาตมารู้จักมรณภาพไปแล้วหลายปี ก็เลยไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นพระศรีอาริย์ฯ องค์ไหน |
ถาม : มีเด็กคนหนึ่งบอกว่าเป็นพระศรีอาริย์ฯ แล้วเด็กคนนี้บอกว่าคนนี้เคยเป็นลูก เคยเป็นน้อง เคยเป็นพี่ ก็ไล่ตบหัวไปเรื่อยเลย ทำแบบนี้ถูกไหมคะ ?
ตอบ : พระศรีอาริย์ฯ ท่านคงไม่รุ่มร่ามขนาดนั้นหรอก ประเภทมาแล้วไม่รู้จักอปจายนมัย คือการอ่อนน้อมถ่อมตนต่อคนอื่น ไม่น่าจะใช่พระศรีอาริย์ฯ ที่สร้างบารมีมา ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัป |
ถาม : มีครั้งหนึ่ง เด็กคนนี้ขึ้นไปนั่งบนมือพระพุทธรูป หนูเห็นแล้วตำหนิแฟน แฟนก็ยังยืนยันจะเถียงหนูอีกว่าไม่ได้ทำแบบนั้น คือทุกครั้งที่เกิดอะไรขึ้นหนูจะสงสัยทุกครั้ง จะตำหนิแฟน แล้วเหมือนกับจะทะเลาะกันตลอดเลย ?
ตอบ : สรุปว่าเรามีปัญญามากกว่า แต่ยังมีปัญญาไม่จริง ถาม : แต่เขาบอกว่าเขามีปัญญามากเลย เวลาหนูตำหนิจะเหมือนทะเลาะกันค่ะ หนูก็อึดอัดใจทุกครั้ง ? ตอบ : จำเอาไว้ว่าสิ่งที่ถูกต้องในโลกก็คือหลักธรรม คราวนี้หลักธรรมมีทั้งสมมติและมีทั้งปรมัตถ์ สมมตินี่ก็คือสิ่งที่ชาวโลกเขาเชื่อถือกันว่าเป็นอย่างนั้น เคารพว่าเป็นอย่างนั้น ส่วนปรมัตถ์เป็นหลักธรรมที่แท้จริง ขัดแย้งไม่ได้ อย่างเช่นว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา คราวนี้ในส่วนที่ชาวโลกสมมติแล้วเคารพกัน แล้วไปทำทะลึ่ง อย่างเช่นขึ้นไปนั่งบนฝ่ามือพระพุทธรูป เราก็รู้อยู่ว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะใช่ ก็แปลว่าเรามีปัญญามากกว่า แต่คราวนี้ปัญญาของเราที่มากกว่านั้น เราแค่เห็นข้างนอก แต่เราไม่ได้เห็นตัวเอง คือเรายังเอาเรื่องนี้ไปขัดแย้งกับสามี ก็กลายเป็นประเภทบ้านแตกสาแหรกขาดเอาง่าย ๆ ทำไม่รู้ไม่ชี้ แกล้งบ้า เออ ๆ คะ ๆ ตามเขาไป เพียงแต่อย่าไปทำตามเขาก็พอ |
ถาม : แต่เวลาไปที่อื่น คนอื่นจะมองหนูว่า ทำไมไม่บอกแฟน แฟนเธอเป็นคนเพี้ยนหรือเปล่า ?
ตอบ : บอกเขาว่าหนูเป็นคนโบราณ ผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า เขามีหน้าที่สอนหนู ไม่ใช่หนูสอนเขา คนเราโต ๆ พอรู้ภาษากันแล้ว รุ่นเก่า ๆ อย่างอาตมา ถ้าโตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้วยังไม่รู้ภาษาอีกก็ปล่อยเลย เอาตัวของเรารอดก็พอ ทำของเราให้ดีให้ถูกเข้าไว้ นึกว่าการที่อยู่ร่วมกันมา มีแต่ความทุกข์ตลอดเวลาเช่นนี้ จะไม่มีสำหรับเราอีกแล้ว หมดจากชาตินี้ไปพระนิพพานดีกว่า เอ็งจะไปกับพระศรีอาริย์ฯ ก็ไปเถอะ..! |
ถาม : ก่อนหน้านี้เขาก็เป็นลูกศิษย์วัดท่าซุงมาเหนียวแน่น ?
ตอบ : พอเจอพระศรีอาริย์ฯ ก็เป็นลูกศิษย์พระศรีอาริย์ฯ ถาม : สรุปหนูต้องทำปกติ เฉย ๆ ? ตอบ : ทำไม่รู้ไม่ชี้ แกล้งบ้าไหลตามเขาไป เพียงแต่ว่าอย่าไปทำอย่างเขาก็พอ ถาม : ไม่ต้องไปตำหนิเขาแล้วใช่ไหมคะ ? แล้วที่หนูเคยสงสัยแล้วตำหนิเขา หนูเกิดโทษไหมคะ ? ตอบ : ก็ต้องบอกว่าอะไรที่เป็นกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เกิดโทษทั้งนั้น แต่ถ้าเราตำหนิในส่วนที่ดี ในส่วนที่ถูก โทษก็น้อยกว่า ถ้าหากว่าติดใจก็ไปขอขมาพระรัตนตรัย |
ถาม : เวลาเราจับภาพพระ พอลืมตาก็เห็นชัดเป็นปกติ แต่พอหลับตาเห็นเป็นเงาดำ ๆ ?
ตอบ : แสดงว่าเราไปใช้สายตามอง ถาม : ใช้สายตามองหรือครับ ? ตอบ : ใช่...ตั้งใจมอง...หลับตาลง...นึกถึง เราจะเห็นภาพเหมือนจริงได้สักพักหนึ่ง แล้วก็หายไป ลืมตามองใหม่...หลับตาลง...นึกถึง ไม่ใช่ไปจ้อง ถ้าไปจ้องแล้วเราหลับตาลง จะเหลือแต่เงา เขาให้จำด้วยใจ ไม่ใช่จำด้วยตา ลักษณะการเพ่งกสิณก็คือแบบนี้ ตั้งใจมอง...นึกถึง จะนึกได้อยู่สักพักหนึ่ง...แล้วก็หายไป...แล้วก็ลืมตาดู...แล้วก็นึกถึงใหม่ ทำอย่างนี้แหละ เป็นหมื่น ๆ เป็นแสน ๆ ครั้ง เดี๋ยวก็ลืมตาเห็น หลับตาเห็นเท่ากัน ถ้าไปจ้องอย่างนั้นก็ได้แต่เงา |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องคำสั่งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติที่ให้วัดห้ามจัดงานเสียงดัง เป็นการเอามติมหาเถรสมาคมเก่ามาแถข้าง เพราะว่ามติมหาเถรสมาคมท่านกำหนดเอาไว้เป็นระเบียบว่า ต้องจัดงานให้เรียบร้อย ถูกต้องตามศีลธรรมอันดีงาม เขาก็เอาไปแถข้างว่าห้ามเสียงดัง
เอาเป็นว่าไปไล่ดูตามวัดที่เป็นกรรมการมหาเถรสมาคมเถอะ ดูว่ามีวัดไหนที่ทำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์บ้าง เอาแค่ศีล ๕ ข้อ พวกเราที่เป็นชาวพุทธ ยังรักษากันไม่ครบสักคนเลย แล้วจะให้วัดปฏิบัติตามระเบียบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ขนาดทหารยังแหกระเบียบกันเลย ของบางอย่างเป็นไปตามจารีตประเพณี ซึ่งสำคัญเกือบจะเท่ากฎหมาย เพราะว่าท้องถิ่นเขายึดถือกันมา คุณฝืนจารีตเมื่อไรก็อยู่ไม่ได้หรอก ฉะนั้น...วัดเราต้องอนุโลมไปตามลำดับชั้น พระวินัยผิดไม่ได้ ถัดไปก็เป็นกฎหมายบ้านเมือง ถัดไปถึงเป็นจารีตประเพณี ส่วนอื่นจะห้ามอย่างไรก็ห้ามไปเถอะ สามอย่างนี้ไม่มีใครห้ามได้หรอก เพราะว่าเป็นสิ่งที่เขาทำกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ" |
"แม้กระทั่งเรื่องของพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่หาเสียงว่าจะไม่ให้มีการเกณฑ์ทหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่ประหยัดได้แค่งบประมาณเท่านั้น จริง ๆ แล้วชายไทยทุกคนต้องบังคับให้เป็นทหาร เพราะว่าการฝึกหัดทหารอยู่ ๒ ปี สร้างระเบียบวินัยให้อย่างมหาศาลในชีวิต จากบุคคลที่ไม่เคยอยู่ในกรอบก็ต้องอยู่ในกรอบ ไม่อย่างนั้นจะโดนตีน..! จะรู้จักว่าควรจะทำตัวอย่างไร ถึงจะอยู่ในสังคมร่วมกับคนอื่นเขาได้ ไม่ใช่ถึงเวลาก็ไปไล่กระทืบเด็ก ไล่กระทืบครูกัน ถ้าจับพวกนี้ไปเป็นทหาร จะกลับเป็นคนดีหมดเลย เพราะถึงเวลาเขาสั่งเข้าแถว ถ้าตบคนแรก คนที่ ๑๐๘ ต้องล้มตามไปด้วย..!
ฉะนั้น...เรื่องของการงดเกณฑ์ทหาร จะดีก็แค่ประหยัดงบประมาณ แต่ว่าในเรื่องของระเบียบวินัย เรื่องดี ๆ ที่เคยได้จากการฝึกทหารก็จะไม่มี แต่ก็ขึ้นอยู่กับสามัญสำนึกด้วย เพราะว่าวันที่อาตมาจบแล้วทางกองโรงเรียนจัดงานฉลองให้ ผู้บัญชาการกองพลบอกว่า "พวกคุณตอนนี้ผ่านการฝึกปรือมาแล้วเป็นอย่างดีตามหลักสูตร ถ้าเป็นรั้วของชาติที่ดีก็จะเป็นรั้วที่แข็งแกร่ง ปกป้องประเทศชาติ ประชาชนและสถาบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าคุณเอาความรู้ความสามารถนี้ไปเป็นโจร ก็จะเป็นโจรที่อันตรายที่สุด แต่ผมยืนยันว่าถ้าทำอย่างนั้น อนาคตคือตายโหงทุกคน" เพราะถึงเวลาเขารู้ว่าเรามีความสามารถระดับนั้น ต้องจับตายอย่างเดียว จับเป็นไม่ได้ อาวุธทุกชนิดตั้งแต่เข็มเย็บผ้ายันเรือรบต้องเอามาใช้งานได้ ตำรวจที่ไหนจะไปจับได้" |
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงนี้หลวงพ่อเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิกำลังสร้างบันไดขึ้นพระเจดีย์บนยอดเขาปรังกาสี พระเจดีย์บนยอดเขาเป็นเจดีย์เก่าอายุเป็น ๑๐๐ ปีแล้ว ชาวกะเหรี่ยงนับถือกันมา เขาเรียกเจดีย์องค์หญิง เจดีย์องค์ชาย สร้างคู่กันมา
อาตมาเองต้องบอกว่าดวงเฮง ก่อนหน้านั้นได้ไปสร้างฉัตรยอดเจดีย์ให้ทั้ง ๒ หลัง เพราะว่าทางพี่น้องชาวกะเหรี่ยงไปสั่งฉัตรทางพม่าเอาไว้แล้วไม่มีเงินไปเอา ตอนนั้นอาตมาเพิ่งจะออกจากวัดท่าซุงมา กำลังเดินธุดงค์อย่างสนุกสนานอยู่ ก็เลยไปจ่ายเงินแทนเขา" |
"ช่วงนั้นก็เกือบจะต้องเป็นเจ้าอาวาสวัดปรังกาสีไปแล้ว เพราะว่าช่วงนั้นวัดปรังกาสีมีแต่รักษาการเจ้าอาวาสต่อเนื่องกันมา ๓ รูปแล้ว แต่ละคนที่ไปก็ล้วนแล้วแต่ออกลาย พอถึงเวลาเงินผ้าป่ากฐินมาก็หายไปพร้อมกับเงิน จนกระทั่งท่านเจ้าคณะอำเภอรูปปัจจุบัน (ตอนนั้นเป็นเลขานุการเจ้าคณะอำเภออยู่) ท่านมาเป็นเจ้าอาวาส ก็บูรณะวัดขนานใหญ่ พอทำข้างล่างได้พอเพียงกับความต้องการแล้ว ก็เริ่มขึ้นภูเขา ทำบันไดขึ้นยอดเขา
ท่านบอกว่า "ผมทำอย่างหลวงพ่อวัดท่าขนุนไม่ไหวหรอก ไม่มีเงิน เอาเท่านี้ก็พอแล้ว" |
ถาม : เขาบนให้ตัวเองขึ้นเป็น ผอ. ถ้าได้จะถวายทองสร้างพระ แต่ทีนี้จะต้องสร้างพระก่อนที่ผลจะออก ควรจะทำอย่างไร ?
ตอบ : ยังมีสร้างพระทองคำอีกองค์หนึ่ง ตอนนี้ทองเกินมาเยอะ ก็เลยต้องสร้างอีกองค์ ไม่เป็นไรหรอก...เอาทองมาถวายสัก ๗ - ๘ กิโลกรัมก็ได้ ไม่ว่ากัน |
ถาม : ที่ทำงานหัวหน้าเขามาด่าแม่หนู หนูรู้สึกว่าด่าแม่นี่ที่สุดในชีวิตแล้ว แต่ไม่มีความรู้สึกที่จะโกรธเขา ก็อธิบายให้เขาฟังในสิ่งที่เกิดขึ้น กลายเป็นว่าเขาเข้าใจผิด พอคุยกันเสร็จแล้ว เราก็เอะใจ ทำไมเราถึงไม่โกรธ เล่าให้คนอื่นฟัง ก็ยังงัดความรู้สึกโกรธไม่ขึ้น แต่ก็ยังรู้อยู่ในใจนะคะว่าโกรธ ไม่พอใจ อึดอัดค่ะ จากคนดุร้ายทำไมเป็นแบบนี้ ?
ตอบ : เสียดายมากไหม ? ถ้าเสียดายมากก็งัดขึ้นมาให้ได้ ถาม : ไม่ได้เสียดายค่ะ แต่งงค่ะ ? ตอบ : เป็นเรื่องปกติ ปฏิบัติไป ๆ กำลังเราความดีสูงกว่า รัก โลภ โกรธ หลง ก็งัดเราไม่ขึ้น แต่ประมาทไม่ได้ ถ้าวันไหนเราเผลอ ก็จะโดนงัดหงายท้องอีก เพราะฉะนั้น..ต้องตั้งหน้าทำให้มากกว่านี้ |
ถาม : สิ่งที่แสดงออก เป็นการแสดง แต่ไม่ใช่ของเราจริง ๆ เหมือนทุกอย่างที่เกิดขึ้น เราอยู่ในบทบาท ?
ตอบ : สักแต่ว่าทำ คราวนี้ตรงสักแต่ว่าทำ อย่าให้ใจเราปรุงแต่งเป็น รัก โลภ โกรธ หลง ทำตามหน้าที่ไปเท่านั้น แล้วพยายามตีกรอบให้อยู่ในกรอบกรรมบถ ๑๐ หรือศีลของเราเอาไว้ แล้วก็พยายามต่อไป โดยเฉพาะอย่าทิ้งการภาวนา ถ้าทิ้งการภาวนา เดี๋ยวกำลังตก ก็โดนงัดหงายท้องอีก คราวนี้ไม่ต้องไปงัดหาอารมณ์นั้นแล้ว มันมาเองเลย |
ถาม : ความพอใจกับไม่พอใจ มีแค่สองอันนี้ แต่เราไม่ได้เอาสองอันนี้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : แค่สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น อย่าไปปรุงแต่งตาม ยินดีพอใจเป็นราคะ ไม่ยินดีไม่พอใจเป็นโทสะ กิเลสกินเราทั้งคู่ ต้องอยู่ตรงกลาง ๆ อย่าไปยุ่ง |
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนแตกความสามัคคี ไม่หันหน้าเข้าหากัน ก็ส่งเสริมให้นั่งรถสองแถวสิ นั่งรถสองแถวก็ต้องหันหน้าเข้าหากันเอง อยากให้เขาสามัคคีก็จัดทอดกฐินกันทุกเดือน เพราะกฐินต้องเป็นกฐินสามัคคี"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเก่า ๆ อย่างคุณวิวัฒน์ - วิชัย โกศล ฝาแฝดที่เป็นหมอนวดประจำตัวหลวงพ่อวัดท่าซุง เมื่อวานก็มาที่นี่ มาแล้วก็ถามเรื่องที่ไม่น่าถาม คนรุ่นเก่า ๆ ที่วัดท่าซุงเขาจะรู้ว่า ก่อนหน้านี้อาตมาทะลึ่งรู้ไปทุกเรื่อง จนกระทั่งโดนหลวงพ่อท่านดุเอา โดยเฉพาะหลายเรื่อง อย่างการให้หวยหรือการบอกว่าคนตายไปไหน ท่านให้เลิกไปเลย แต่เขามาก็ยังเคยชินกันอยู่ ก็คือถามเลย"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาบอกว่าจำชื่อ-นามสกุล ได้ทุกคน เขาไม่ค่อยจะเชื่อกัน ถ้าหลุดเข้ามาในเมมโมรี่การ์ดของอาตมาแล้วไม่หายไปไหน เพราะว่าลบไม่ได้
อาทิตย์ก่อนแวะไปให้ท่านอาจารย์บ๊ะซ่อมสุขภาพให้ เจอขาเก่าวัดท่าซุง ๗ - ๘ คน มีรายหนึ่งเดินยิ้มมาแต่ไกลเลย "จำได้ไหม ? สมัยพระองค์ที่ ๑๑" ตอนนั้นอาตมายังไม่ได้บวชเลย บอกว่า "จำได้ คุณสุกัญญา ตั้งศุภวัฒนกิจ" อีกฝ่ายก็เลยยิ้มไม่หุบ เกือบ ๔๐ ปี ยังบอกชื่อบอกนามสกุลถูก เขายอมกลัวกันทั้งนั้น อาตมาไม่ได้จำ แล้วก็ไม่ได้ลืม บอกไม่ถูกว่าเป็นอย่างไร ก็คือเวลาต้องการข้อมูลจะขึ้นมาเอง แปลว่าไม่ต้องเสียเวลาจำ แล้วก็ไม่ต้องลืม คือถ้าลืมจะจำไม่ได้ ถ้าจำเยอะ ๆ ก็เครียด จึงใช้วิธีไม่จำ" |
มีโยมพาลูกหมามาบ้านเติมบุญ "เจ้าตัวเล็ก ๆ พวกนี้พอมา อาตมายื่นมือให้กัด บางตัวก็กัดอย่างเป็นจริงเป็นจัง กัดอยู่พักใหญ่ ไม่เข้าสักทีก็เลิก บางทีบิณฑบาตอยู่ในตลาด เจอหมาตัวใหญ่ สูงเกือบถึงเอว อันนั้นเป็นพันธุ์อลาสกัน มาลามิวท์ ก็จับหัวเล่น พระเขากลัวว่าจะโดนกัดมือ บอกว่าไม่เป็นไรหรอก รู้จักกันมาหลายชาติแล้ว
มีอยู่ตัวหนึ่งเป็นลูกผสมร็อตไวเลอร์กับหมาไทย หน้าตาเลยแปลก ๆ เจอหน้าเมื่อไรอาตมาก็เตะเล่น ตอนบิณฑบาตนั่นแหละ เขาก็จะกระโดดงับซ้ายงับขวาไปเรื่อย เจ้าของก็ตกใจ ตวาดลั่นไปหมด บอกโยมไปว่า ไม่ต้องไปตวาด หมาโดนเก็บกดอยู่ในบ้าน ออกมาก็อยากจะเล่น พอเราไปเตะหยอก ๆ เขาก็เล่นด้วย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนแก่ก็ค่อย ๆ ล่วงลับไปทีละคนสองคน เมื่อวานคุณวิวัฒน์มา บอกว่าหลวงพี่ไม่แก่เลย อาตมาบอกว่าแก่ไปเยอะเลย เพียงแต่ว่าคุณเห็นเหมือนเดิมเท่านั้นเอง เขาถามว่าทำอย่างไร กินยาหรือเปล่า ? อาตมาบอกว่าเป็นคนเกลียดยาที่สุด ไม่ค่อยกิน อย่าไปเครียดกับชีวิตก็พอ ถ้าเครียดมากก็จะแก่เร็ว"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนทั่วไปโดยเฉพาะคนแก่ อย่าไปตั้งความหวังอะไรกับชีวิตมาก ถ้าหวังมากเมื่อผิดหวังก็จะเครียด"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปัจจุบันนี้อาตมาฉันอาหารตามหน้าที่ คือต้องเลี้ยงร่างกาย ก็เลี้ยงไว้หน่อยให้พออยู่ได้
ส่วนใหญ่พอไปนั่งร่วมวงกับท่านอื่น หลวงปู่หลวงพ่อก็ฉันไม่เลิกยันเที่ยง ท่านเห็นอาตมาฉันไม่กี่นาที เสร็จเรียบร้อยก็ถาม "อิ่มแล้วหรือ ?" "อิ่มแล้วครับ" "จะอยู่ได้อย่างไร ตอนเย็นฉันอะไรบ้างหรือเปล่า ?" "อ๋อ...น้ำเปล่าเป็นหลักครับ" เลี้ยงไปตามหน้าที่ เรามีหน้าที่เลี้ยงก็เลี้ยงไป ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวร่างกายก็อาละวาด แต่เลี้ยงแค่ให้อยู่ได้" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาบอกกับพระปลัดคมสันต์ไปว่า ผมเป็นคนที่จำอะไรแล้วจำตลอดชีวิต จำแล้วไม่ลืม แต่ทั่ว ๆ ไปเขาจำแล้วมักจะลืม ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสมองทำด้วยอะไร
แต่มีอย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนชาวบ้านก็คือ จำความดีของคน แต่ไม่จำความชั่ว ใครทำอะไรไม่ดีกับอาตมานี่ไม่สนใจหรอก แต่ถ้าใครทำความดีนี่จะจำไว้ว่าเขามีบุญคุณกับเรา เพื่อรอทดแทนตอนมีโอกาส" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "สำนวนหัวกระไดไม่แห้ง มาจากว่าสมัยก่อนมักจะเดินเท้าเปล่า ถึงเวลาก็จะมีอ่างล้างเท้าไว้ข้างบันได ล้างเท้าเสร็จขึ้นบันได กระไดก็เปียก หัวกระไดไม่แห้งก็คือมีคนมามาก"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้อาตมางานท่วมหัว อยู่ ๆ ก็มีงานพิเศษเพิ่มขึ้นมา ต้องไปบรรยายว่าทำอย่างไรให้เป็นชุมชนคุณธรรมต้นแบบ ท้ายสุดบรรดาผู้ฟังเขาสรุปว่า ต้องมีเงินอย่างวัดท่าขนุน
อย่างเช่นว่าการจัดงานปฏิบัติธรรม วัดเรารับไม่เกิน ๓๐๐ คน ค่าอาหารวันละประมาณ ๑๐,๐๐๐ บาท ก็เฉลี่ยว่าวันละ ๓๕ บาท ต่อคนต่อวัน ถือว่าอาหาร ๒ มื้อ ๆ ละ ๑๕ บาท น้ำปานะอีก ๕ บาท มีที่ไหนเขาจัดได้บ้าง ? ขนาดนี้ยังจ่ายวันละหมื่น ที่อื่นเขาจึงจัดกันไม่ได้ พอเห็นของวัดท่าขนุนจัดแล้วส่งรูปสวย ๆ ไปให้ดู เขาสรุปว่า ถ้าอยากเป็นชุมชนคุณธรรมต้นแบบต้องรวยกว่าวัดท่าขนุน ซึ่งความจริงการจัดงานปฏิบัติธรรม รายได้จะมาเอง เพราะว่าผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนก็ทำบุญอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราอย่าไปหวังในเรื่องของผลกำไร ควรที่จะหวังว่าโยมจะได้ผลอะไรจากการปฏิบัติธรรม อย่างที่วัดท่าขนุนหล่อสมเด็จองค์ปฐมทองคำหนัก ๙๗.๕๗๕ กิโลกรัม คูณออกมาราคาเป็นร้อยล้าน ที่อื่นเขาจะมาหล่อพระเรียกคนอย่างเราได้ไหม ? ก็ไม่ได้" |
"ความจริงแล้วถ้าสร้างศรัทธาให้เกิดกับญาติโยมได้ เงินทองทั้งหลายจะมาเอง เพราะว่าคนที่อยากทำบุญมีมาก แต่เขาก็หวังว่าจะมีพระที่เขาไว้ใจได้ ซึ่งตรงนี้สำคัญที่สุดว่า ทำอย่างไรให้โยมเขาไว้ใจ อย่างของวัดท่าขนุนเราไม่บอกบุญ ไม่เรี่ยไรโดยตรงที่วัด จะไม่มีอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว แม้กระทั่งจัดงาน ธงสักอันก็ไม่มี ให้บอกกันปากต่อปากไปเท่านั้น ถ้าโยมอยากทำบุญก็มา ถึงเวลาก็ทำไปเลย โยมอยากจะทำบุญ เขาก็มาร่วมทำเอง
อย่างเมื่อวานครอบครัวเตชะไกรศรีถวายทองคำมา ๑๐ กว่าบาท เงินอีก ๔๐,๐๐๐ บาท ก็เพราะว่าตลอดเวลาเกือบ ๔๐ ปีที่ผ่านมา ญาติโยมก็เห็นอาตมาทำอย่างนี้มาตั้งแต่ฆราวาสจนเป็นพระ เขาเกิดความเชื่อมั่นว่า ปัจจัยทุกอย่างที่ถวายไป อาตมาเอาไปสร้างประโยชน์จริง ๆ ก็อยากจะทำบุญ แค่ทุกวัดถ้าสามารถสร้างศรัทธาเอาไว้ได้แบบนี้ ญาติโยมก็ค่อย ๆ เข้าวัดเอง แรก ๆ ก็มีไม่กี่คนหรอก เราอย่าไปหวังอะไรมากมาย เพราะว่าพระพุทธเจ้าเทศน์ครั้งแรกยังมีผู้ฟังแค่ ๕ คน เพียงแต่ว่าเราเทศน์ไม่ได้อย่างพระองค์ท่าน เพราะว่าพระองค์ท่านเทศน์แล้วผู้ฟังเป็นพระอรหันต์หมด อาตมาเทศน์ให้ตาย คนฟังเป็นพันก็ยังเป็นกังหันอยู่นั่นแหละ...!" |
"ในเรื่องของศรัทธาญาติโยม ไม่ต้องไปหวังมาก เราตีเสียว่ามีโยมเขาเลื่อมใสศรัทธาปีละ ๑๐ คน ๑๐ ปีผ่านไป ๑๐๐ คนผลัดกันมา เราก็ตายแล้ว ใครไปหวังให้คนเข้าวัดมาก ๆ หาเรื่องเหนื่อยตายชัด ๆ..!
วัดท่าขนุนทั้งขับ ทั้งไล่ ทั้งด่า ยังอุตส่าห์ตะเกียกตะกายกันไป บางคนไปเจอกันกลางทางที่ปั๊มน้ำมันตอนที่ลงไปปัสสาวะ ดีอกดีใจ บอกว่าไปวัด ๓ ครั้งไม่เจอหลวงพ่อเลย มาเจอกันหน้าส้วมนี่แหละ" |
พูดถึงบันไดขึ้นรอยพระพุทธบาท "มีขั้นบันไดทั้งแตกทั้งร้าวอยู่ ๑๘ แผ่น เด็กวัยรุ่นที่ขึ้นไปเขาลองกระทืบดูว่าทำด้วยวัสดุอะไร ที่แน่ ๆ ไม่เกินจุดที่ ๙ เพราะว่าขึ้นเขาจนหมดแรง กระทืบไม่ไหวแล้ว พอเกินจุดที่ ๙ บันไดทุกขั้นเป็นระเบียบเรียบร้อยดีมาก
เด็กระยำแค่อยากรู้ว่าบันไดทำด้วยอะไร ก็ลองกระทืบจนแตกหมด ไม่ได้คิดว่าของสงฆ์จะเสียหายขนาดไหน เอาเถอะ...เอาตามที่ใจอยาก อยากให้ไปกระทืบจุดที่ ๒๓ ดูซิว่าจะยกขาขึ้นไหม ? วันนั้นเดินขึ้นไป อาตมาก็เอาไม้กวาดไปด้วย ค่อย ๆ กวาดแล้วไปนับดูว่าแตกหรือร้าวไปกี่อัน ปรากฏว่าร้าวอยู่ ๓ แผ่น อีก ๑๕ แผ่นนั่นแตกไปเลย บางอันแตกครึ่งแผ่น ส่วนบันไดฝั่งวัดยังไม่ได้ดู ฝั่งวัดนี่อาจจะแตกเยอะกว่า เพราะว่าไม่สูง หรือไม่ก็ยังดีทั้งหมด เพราะว่าใกล้หูใกล้ตา เขาเลยไม่กล้าลองกระทืบ" |
ถาม : เหรียญทำน้ำมนต์ทองลอก ทำอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ไปปิดทองใหม่ แล้วก็เสกด้วย อิติปิ โสฯ ๑๐๘ จบ นะมะพะทะ ๑๐๘ จบ ก็กลับมาใช้ได้เหมือนเดิมแล้ว ถาม : แต่ลอกนิดเดียวนะครับ ? ตอบ : จะลอกมากหรือลอกน้อยก็เหมือนกัน ภาวนาอิติปิ โสฯ ๑๐๘ จบ นะมะพะทะ ๑๐๘ จบ แต่คราวนี้ต้องเสกให้ขลังด้วยตัวเอง อาตมาเจอหลวงพ่อวัดท่าซุงเล่นจนเดี้ยงมาแล้ว ท่านบอกว่าให้ใช้แผ่นทอง ๖ แผ่น แผ่นเงิน ๖ แผ่น เขียนยันต์แล้วก็เสกด้วยอิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ๑๐๘ จบ นะมะพะทะ ๑๐๘ จบ อาตมาเขียนเสร็จก็เอาไปถวายหลวงพ่อ ท่านบอกว่า “วิธีก็รู้แล้ว ก็เสกเองสิวะ” อ้าว...ท้ายสุดก็ล่อไป ๒ ชั่วโมงครึ่ง เหนื่อยลิ้นห้อยเลย แล้วก็ไม่มีความมั่นใจสักนิดเดียว พอวัดมีพิธีก็เอาไปซุก หลวงพ่อท่านเห็น ท่านก็หัวเราะ “ก่อนหน้านี้ข้าก็เหมือนแก ไม่เคยมั่นใจตัวเอง แต่พอถึงเวลาหลวงพ่อปานมรณภาพ ชาวบ้านเขามาหา ข้าก็ต้องมั่นใจจนได้แหละ” |
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่ออาทิตย์ก่อนครอบครัวคุณชนินทร เหตระกูล ถวายข้าวสารไป ๕๐๐ กิโลกรัม เป็นข้าวหอมมะลิ ต้องเอาไปแบ่งปันให้วัดอื่น เพราะว่าเป็นกระสอบ ๕๐ กิโลกรัม เก็บไว้นานไม่ได้ ถ้าหากว่าเป็นข้าวสุญญากาศนี่ยังเก็บได้เป็นปี ปกติเราก็แบ่งปันให้วัดอื่นอยู่แล้ว โรงเรียนก็มาขอ ป่าไม้ก็มาขอ ตชด.ก็มาขอ
ถึงเวลาเขียนรายการมาอย่างกับทางวัดเป็นห้างสรรพสินค้า เอาข้าวสารเท่านี้กิโลกรัม น้ำปลาเท่านี้ น้ำตาลเท่านี้ ถ้าเจอหน้าจะโบกให้สักที...! เขียนอย่างกับวัดท่าขนุนเป็นห้างที่จะจัดให้เขาได้ตามนั้น" |
ถาม : วันหล่อพระผมไม่ได้ไป ผมสวดมนต์โมทนาอยู่หน้าหิ้งพระได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปก็ได้ อยู่ที่ไหนถ้าเราตั้งใจโมทนาก็ได้เหมือนกัน |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นโยมผมหงอก อาตมาก็พยายามนึกว่าหงอกเพราะอะไร ? ส่วนใหญ่หงอกเพราะเครียด คราวนี้บอกโยมว่าอย่าเครียด โยมก็ดันทำไม่ได้อีก แล้วอาตมาจะช่วยอย่างไร
อย่างอาตมาตั้งแต่ฆราวาส อะไรถ้าทำไม่ได้ก็ช่างมัน แล้วก็หลับ กูไม่เครียดกับมึงหรอก อะไรที่ทำได้ก็ทุ่มเต็มที่ จนกระทั่งตอนหลังไปอ่านหนังสือเจอ ที่ใครเขาบอกว่า "ปัญหาที่แก้ไม่ได้ ไม่ใช่ปัญหา ปล่อยไปเถอะ" เออ...ความคิดเดียวกันเลย ปัญหาที่แก้ได้ เราก็แก้ไป อันไหนที่แก้ไม่ได้ก็ช่างหัวมัน โยนทิ้งไป ถึงเวลาก็หลับ ฉะนั้น...เขาบอกนอนไม่หลับ อาตมาไม่รู้จัก รู้แต่นอนไม่ค่อยอยากจะตื่น แต่ละวันทำงานจนแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงเหลือเลย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ไหว้พระเวลาไหนก็ไหว้ได้ แต่ถ้าหากว่าบวงสรวง เรื่องของเทวดานี่ต้องดูเวลา อย่าให้เกิน ๙ โมงครึ่ง"
|
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:59 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.