![]() |
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาคอยเตือนพระเตือนเณรอยู่เรื่อยว่า ถึงเวลาคุณบวชนานไป ไม่รู้ว่าชาวบ้านเขาลำบากกันอย่างไร อย่ากินทิ้งกินขว้าง รู้ไหมว่าอาหารเขาใส่บาตรมาชุดหนึ่ง ๕๐ - ๖๐ บาท ทั้ง ๆ ที่มีแค่ข้าวถุงหนึ่ง กับถุงหนึ่ง น้ำถ้วยหนึ่งแค่นั้น"
|
พูดถึงวัตถุมงคล "เดี๋ยวนี้วัดอื่นเขาสร้างกันเต็มที่ก็ ๒,๐๐๐ ชิ้น แล้วเราบังอาจเล่นเป็นหมื่นชิ้น ถ้าไม่ใช่พระท่านสงเคราะห์ก็อย่าหวังเลยว่าจะจำหน่ายหมด น่าจะอยู่ไปหลายปี"
ถาม : เหรียญรอยพระพุทธบาทจำหน่ายถล่มทลายเลย ? ตอบ : ทำให้เห็นว่าสิ่งที่ท่านตั้งใจสงเคราะห์จริง ๆ ราคาไม่ต้องสูงหรอก ถาม : เขาว่าเหรียญสวยขนาดนี้ สองร้อยก็ได้ด้วยหรือ ? ตอบ : ที่อื่นไม่ได้ แต่ของเราได้ เราขอให้ได้ทุนคืนก็พอ |
พระอาจารย์กล่าวว่า “สมัยอาตมาเด็ก ๆ เวลาไปวัด ก็ไม่รู้ว่าทำไมชอบไปวัด รู้แต่ว่าเย็น นอนสบาย โดยที่ไม่รู้ว่าเวลาที่อยู่วัด กระแสความดีซึ่งเย็นทำให้ใจสงบ ก็แปลกใจว่าไปวัดทีไรหลับทุกที เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ สถานที่ซึ่งมีคนทำความดีเยอะ ๆ กระแสความดีมีมาก เข้าไปแล้วก็สบายใจ"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเราส่วนใหญ่จะไปนึกถึงท่านท้าวเวสสุวรรณในฐานะหัวหน้าเทวดา แล้วก็ภูตบดี หรือ ภูเตศวร คือหัวหน้าของผีทั้งหมด โดยที่ลืมไปว่าท่านมีอีกนามหนึ่งก็คือ ธนบดี เจ้าแห่งขุมทรัพย์ เพราะว่าท่านเป็นหัวหน้าเทวดาชั้นจาตุมหาราช ซึ่งเทวดาชั้นจาตุมหาราชมีหน้าที่ดูแลขุมทรัพย์ทั้งโลก เวลาบูชาท่านก็นึกถึงท่านให้ครบทุกด้าน เดี๋ยวจะได้ไม่ครบ"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า “พอเห็นเด็กเรียนยาก ๆ แล้วอาตมาก็งงว่า ตั้งแต่เด็กอาตมาไม่เคยเรียนอะไรยากเลย เห็นคนอื่นเขาทุกข์ทรมานกับการเรียนแล้ว อาตมาก็งงว่าตกลงเราเป็นตัวอะไร ? ปริญญาเอกเขาให้เรียน ๓ ปี อาตมาก็เรียนไม่เต็มเวลากับเขา ปริญญาโทยิ่งหนักใหญ่เลย ต่ำสุด ๒ ปีอาตมาได้เรียนแค่ ๑๓ เดือน ปริญญาตรี ๔ ปี แต่เรียน ๒ ปี ๑๑ เดือน ความจริงแค่ ๒ ปีครึ่งเท่านั้นแหละ แต่คราวนี้ติดพันช่วยเหลือเพื่อนอยู่ เลยเป็น ๒ ปี ๑๑ เดือน ไม่เคยเจอของยาก ก็เลยไม่รู้ว่าทำไมเด็กสมัยนี้เรียนอะไรยากมาก
เรียนปริญญาโทได้ ๑๐ เดือน จะขอสอบจบวิทยานิพนธ์ ท่านอาจารย์บอกว่าถ้าไม่ครบ ๒ ปี สกอ.เขาไม่ให้จบ เป็นระเบียบของมหาวิทยาลัยที่ต้องระบุเอาไว้ พอดีน้ำท่วมเลื่อนเวลาสอบไปอีก ๓ เดือน ได้เป็นเลข ๒ ปี พ.ศ. ก็เลยจบได้ ดีเหมือนกัน แสดงว่าไม่จำเป็นต้องจบตามเวลาจริง ๆ เอาให้ได้ ๒ เลข พ.ศ. ก็จบได้แล้ว สุนทรภู่ท่านบอกว่า จะเรียนร่ำทำอะไรไม่ลำบาก มียอดยากอยู่อย่างเดียวเกี้ยวผู้หญิง ดูท่าจะจริง ท้ายสุดก็เลยต้องมาบวชเพราะว่าทำแบบนั้นไม่เป็น” |
มีโยมมาถวายสังฆทาน พระอาจารย์กล่าวว่า “เมื่อเดือนที่แล้วหายไปไหน ? คิดว่าจำไม่ได้ใช่ไหม ? เห็นหลวงพ่อนั่งก้มหน้าก้มตาทั้งวันเลยคิดว่าจำไม่ได้หรือ ? ตูจะจำหรือเปล่าเท่านั้นเอง..!
คนเขาสงสัยว่าคนเป็นพันจำได้อย่างไร บอกไปว่าจำคนเดียว ก็คือจำคนใหม่ ถ้าจำคนใหม่คนเดียวก็จบแล้ว เพราะว่าคนเก่าก็จำได้แล้ว หลักการจำก็ง่าย ๆ แค่นี้แหละ” |
ถาม : โยมทำสังฆทานแก้บนค่ะ เคยบนไว้หลายที่ขอให้สำเร็จ พอตอนนี้สำเร็จแล้วลืมว่าบนใครบ้าง ?
ตอบ : นึกถึงใครก็ตามที่เราเคยบนนั่นแหละ ขอให้ท่านมาโมทนา คราวหน้าก็ช่วยจำให้แม่น ๆ หน่อย |
พระอาจารย์กล่าวว่า “เดี๋ยวอาตมาจะลองขอพระท่านดูว่า จะสร้างพระแบบหลวงพ่อทรง วัดศาลาดินได้ไหม ? หลวงพ่อทรงท่านมีพระนักธรรม ให้เด็กแขวนแล้วเรียนเก่ง หรือไม่ก็มีตะกรุดอ้อป่อง ที่ช่วยให้ปัญญาดี แต่ตะกรุดแบบนี้อาตมาไม่เคยเรียนมา เลยทำไม่เป็น”
|
พระอาจารย์กล่าวว่า “หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ท่านเป็นพระดีกลางกรุง ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านแนะนำให้พวกเราไปกราบไปไหว้ ไปขอหลักธรรมการปฏิบัติจากท่าน
อาตมาเองสนิทสนมคุ้นเคยกับท่านตั้งแต่อาตมายังเป็นฆราวาส เวลาท่านไปวัดท่าซุงก็มีหน้าที่ต้อนรับขับสู้ คอยอุปัฏฐากรับใช้ ที่แน่ ๆ ก็คือเคยขโมยรองเท้าของท่าน จะเรียกว่าขโมยก็ไม่ได้หรอก เอาของใหม่ไปเปลี่ยน เอาของเก่าของท่านมาเก็บไว้บูชา ปรากฏว่าของใหม่ท่านใส่ไม่ถนัด หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านถนัดยี่ห้อบาจา อาตมาเอาตราอูฐไปอย่างดี ท่านกลับใส่ไม่ถนัด ถึงเวลาท่านไปวัดท่าซุง ในสมัยที่ท่านยังเป็นเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์อยู่ หลวงพ่อวัดท่าซุงก็ให้อาตมาพาท่านไปพักที่ห้องพักของท่าน แล้วก็อนุญาตว่าให้นอนบนเตียงของท่านได้ อาตมาก็จัดเตียงให้อย่างดี พอไปถึงหลวงพ่อท่านลากผ้านวมลงไปนอนอยู่กับพื้น กราบเรียนท่านว่า “นิมนต์นอนข้างบนครับ หลวงพ่อวัดท่าซุงอนุญาตแล้ว” ท่านบอกว่า “เตียงของพระอรหันต์ระดับหลวงพ่อวัดท่าซุง มิบังอาจนอน” ท่านบอกชัดมาก ก็ไม่เห็นท่านนอนอะไร ท่านแค่ตะแคงตัวแบบสีหไสยาสน์ จับอารมณ์ภาวนา ประมาณสักครึ่งชั่วโมงท่านก็ลุกขึ้นเข้าห้องน้ำ เตรียมตัวออกไปงาน ไม่ได้เห็นท่านพักนาน แต่ลักษณะการพักในสมาธิแบบนั้น เหมือนอย่างกับคนอื่นได้นอนเป็นวัน" |
"พอบวชเข้ามาอาตมาก็ยังคงทำหน้าที่เดิม แล้วก็ไปกราบท่านที่วัดสระเกศ ท่านบอกว่าให้มาอย่างน้อยเดือนละ ๑ ครั้ง คำว่ามาอย่างน้อยเดือนละ ๑ ครั้งก็คืออยู่ในลักษณะที่ให้พรไว้ เมื่อถึงเวลาสามารถเข้าไปรบกวนท่านได้ทุกเวลา อาตมาเองก็ไปสม่ำเสมอ จนกระทั่งท่านป่วยหนักถึงได้งดไป
ตอนนั้นพระครูปลัดสุวัฒนสิทธิคุณ หรือ ท่านเจ้าคุณปิง ท่านบอกว่า “พระอาจารย์ครับ หลวงพ่อสมเด็จฯ ถามหา ว่าทำไมเดือนนี้ไม่มา ?” อาตมาแจ้งว่า "เห็นว่าหลวงพ่อป่วย ไม่กล้าไปรบกวน ก็เลยงดเว้นไม่ไป" ท่านบอกว่าให้ไปตามปกติ อาตมาเองเป็นคนขี้เกรงใจ โดยเฉพาะเกรงใจพระแก่ เกรงใจพระป่วย ก็เลยดื้อไม่ไป เพราะว่าถ้าไปท่านก็ต้องเสียเวลามาคุย เสียเวลาพักผ่อนของท่าน ท่านประทานพระนาคปรกขนาด ๙ นิ้วให้ ๑ องค์ ซึ่งเป็นต้นแบบพระพุทธรูปพระนาคปรกของวัดท่าขนุน ท่านบอกว่า “คุณอยู่ป่าอยู่ดงใช้พระอย่างนี้ดีกว่า” บางครั้งอาตมามาป่วยหนักไป ท่านก็เมตตาบอกว่า “แม้ว่างานศาสนาสำคัญ แต่สุขภาพก็สำคัญนะ แต่ร่างกายนั้นช่างเถอะ สภาพจิตยังแรงยังเร็วแบบนี้ยังใช้งานได้ดีอยู่” เผลอเมื่อไรโดนท่านดูหมด" |
"ท่านเจ้าคุณปิงตอนนั้นยังเป็นพระกวีศิลป์อยู่ แล้วก็มาเป็นพระมหากวีศิลป์ ท่านก็งง ๆ ว่าหลวงพ่อสมเด็จฯ คุยอะไรกับพระอาจารย์ พูดรู้เรื่องกันแค่สองคน
เห็นหนังสือมีรูปท่านแล้วก็นึกถึงท่าน โดยเฉพาะคำสอนท่านที่ได้ใช้แบบประจำเลย ก็คือเรื่องเตือนในการทำบุญ ท่านบอกว่า “ศรัทธานั้นดี แต่ต้องมีปัญญาประกอบด้วย” ฟังแล้วสะดุ้งกันบ้างไหม ? ก็คือส่วนใหญ่แล้วพวกเรามีศรัทธากันอย่างเดียว ไม่ได้มีปัญญาประกอบ ตอนนั้นที่ท่านเตือนก็เพราะว่า แย่งกันเข้าไปถวายเงินถวายทองร่วมหล่อพระ แล้วมีเตาหลอมร้อน ๆ อยู่ใกล้ ๆ ถ้าใครล้มใส่สักคนก็เป็นเรื่องเลย ท่านจึงเมตตาเตือน ครูบาอาจารย์บางทีท่านเตือน ท่านพูด แล้วเราก็ปล่อยผ่านหูไป แบบเดียวกับหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ ท่านไม่ได้เหมือนอาตมาหรอก หลวงปู่ท่านเมตตามาก ญาติโยมเข้าทำบุญกับท่าน ใครมาทางทิศไหนท่านก็รับเขาหมด จึงกลายเป็นว่าไปประดังอยู่ตรงหน้าท่าน คนขวาก็จะออกซ้าย คนซ้ายก็จะออกขวา เบียดกันอยู่ตรงนั้น หลวงปู่ท่านบอกว่า “ข้ามน้ำหื้อผ่อคนนำเน้อ” ฟังกันไม่รู้เรื่องหรอก ท่านบอกว่าข้ามน้ำให้ดูคนนำ เขานำไปทางไหนให้ไปทางนั้น มาจากในพระไตรปิฎกที่ว่า "ฝูงโคข้ามลำน้ำ โคจ่าฝูงนำไปทิศไหน โคทั้งหลายก็ตามไปทิศนั้น" เพราะฉะนั้น..คนเป็นผู้นำก็ต้องระมัดระวังตัวเองให้จงหนัก เพราะว่าอาจจะนำเขาผิดทางได้ คราวนี้ญาติโยมไม่ได้ดูว่าคนหน้าเขาออกซ้าย เราจะไปซ้ายตาม หรือคนหน้าออกขวา เราจะได้ขวาตาม นี่คนซ้ายไปขวา คนขวาจะไปซ้าย ที่ข้างหลังก็เบียดเข้ามา จึงไปประดังกันอยู่ตรงหน้าท่าน ออกไม่ได้ บางทีครูบาอาจารย์ท่านบอกอะไรแล้วพวกเราก็ไม่ได้ฟัง ปล่อยให้ผ่านหูไปเฉย ๆ" |
"พูดถึงหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ อาตมาเคยได้รับนิมนต์จากหลวงพ่อเจ้าคุณพระพรหมสิทธิ ให้ไปเสกรูปเหมือนของหลวงพ่อสมเด็จฯ อยู่รุ่นหนึ่ง ลองไปเสาะหากันดูว่ายังพอเหลืออยู่บ้างไหม ?
ต้องบอกว่างานใหญ่ ๆ ครูบาอาจารย์มากต่อมากด้วยกัน ถึงเวลาอาตมาไปก็อาศัยพึ่งพิงซึ่งกันและกัน ผู้ใหญ่ประคองผู้น้อย ผู้น้อยติดตามผู้ใหญ่ งานก็บรรลุไปได้โดยง่าย โดยเฉพาะถ้าเป็นหลวงปู่ฟู วัดบางสมัคร นี่สบายใจมาก นั่งภาวนาด้วยกัน ถึงเวลาก็ลืมตาขึ้นมาพร้อมกัน มองหน้ากันท่านก็พยักหน้าให้ บอกว่า “เต็มแล้ว..ไปกันเถอะ” ...(หัวเราะ)... เป็นเรื่องแปลกดีเหมือนกันทั้ง ๆ ที่มาคนละสายวิชา ท่านมาทางสายตะวันออก อาตมาสายภาคกลาง แต่ท่านรู้เสียยิ่งกว่ารู้อีก พอถึงเวลาพระท่านบอกว่าเต็มแล้วให้เลิกได้ หลวงปู่ฟูก็ลืมตาขึ้นมาพร้อมกันเลย ตอนนี้เสียดายหลวงปู่แขกที่เพิ่งมรณภาพไป เคยร่วมงานกัน ๒-๓ ครั้ง หลวงปู่แขกถึงเวลาปีติขึ้น ท่านถึงขนาดเด้งจากธรรมาสน์ลงไปที่พื้นเลย ปัจจุบันนี้มีอีกรูปหนึ่งก็คือหลวงปู่ชุบ วัดวังกระแจะ ลูกศิษย์ต้องคอยกดเอาไว้ ไม่อย่างนั้นพอสมาธิถึงระดับ ก็จะเริ่มกระโดดโลดเต้น เพราะว่าปีติเกิด ถามว่าสมาธิไม่เป็นฌานจะเสกของขลังหรือ ? ต้องบอกว่าขลังมาก เพราะว่าการเสกของให้ขลังหรือว่าการใช้คาถาให้ได้ผล จะเริ่มได้ผลตอนปีติ เพราะว่าสมาธิจะเริ่มทรงตัว เราจะเห็นว่า ครูบาอาจารย์หลายท่านที่เราตื่นเต้นกัน สมาธิท่านไม่ได้สูงมาก แต่ความชำนาญในการเข้าสมาธิในระดับนั้น ๆ และความมั่นใจในหลักวิชาการ ในเวทมนตร์คาถาที่ท่านเรียนมา ทำให้ท่านเสกอะไรก็ขลัง อาตมาเองยังภูมิใจว่าตัวเองเป็นคนขี้เกียจ ถึงเวลาถ้าพระท่านสงเคราะห์อาตมาก็นั่งหลับ ถ้าหากว่าท่านสั่งให้ตั้งธาตุ หนุนธาตุ ปลุกธาตุแล้ว โอ๊ย..เหนื่อย นาน ๆ ท่านจะสั่งที ส่วนใหญ่จะเป็นของประเภทที่ไม่ใช่รูปพระ" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ควายเผือกที่เขาเอามาทำวัตถุมงคล ส่วนใหญ่แล้วเป็นควายเผือกที่ถูกฟ้าผ่าตาย บางทีต้องบอกว่าเคราะห์หามยามดี เลี้ยงควายอยู่กลางทุ่ง ฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาตายเป็น ๑๐ ตัวเลย เขาก็จะไปเลือกเอาเฉพาะควายเผือก ตัดเขามา แต่ถ้าเป็นหลวงพ่อหม่น วัดคลองสิบสอง ท่านเอาหนังด้วย เอาหนังมาทำพระสมเด็จกับทำตะกรุด เพราะว่าควายเผือกเป็นควายที่หายากกว่าควายดำหลายเท่า แล้วโดนฟ้าผ่าถือว่าได้รับพลังงานจากฟ้า เป็นสิ่งที่เทพประทานอำนาจมาให้ สามารถล้างอาถรรพ์และป้องกันภูตผีปิศาจได้
มีหลวงพ่อโสก วัดปากคลองบางครก จังหวัดเพชรบุรี ที่ท่านทำพระขรรค์จากเขาควายเผือกโด่งดังมาก ล้างอาถรรพ์ได้ทุกอย่าง พวกเสือสมัยก่อนที่เหนียวนักเหนียวหนานี่กลัวพระขรรค์หลวงพ่อโสกมาก ไม่ได้กลัวพระขรรค์เล่มเล็ก ๆ เท่านิ้วก้อยนะ แต่เขากลัวว่า ถ้าเอาพระขรรค์ไปใส่ไว้ในปืนลูกซองแล้วยิง ต่อให้เหนียวแค่ไหนก็ยุ่ยเป็นหยวกกล้วย หลวงพ่อโสกท่านทำพระขรรค์ กริช กระบองท้าวเวสสุวรรณ อันจิ๋ว ๆ ทั้งนั้นเลย ยาวที่สุดที่เคยเจอก็ประมาณ ๔ นิ้วครึ่งถึง ๕ นิ้ว แล้วก็มีแผ่นยันต์เขาควายเผือก มีปลัดขิก แต่ละอย่างลูกศิษย์หวงแหน กันมาก ที่เขาจัดอันดับสุดยอด ๙ เครื่องรางในตำนานสะท้านแผ่นดิน ถ้าหลวงพ่อโสกท่านเป็นรุ่นเก่ากว่านั้น จะต้องติดอันดับอย่างแน่นอน แต่นี่ท่านถือเป็นรุ่นหลัง ก็เลยไม่ได้ติดอันดับใน ๙ เครื่องรางสะท้านแผ่นดิน" |
"ถัดมาท่านที่ทำก็คือหลวงพ่อหม่น วัดคลองสิบสอง ใช้หนังควายเผือกสร้างพระสมเด็จ แล้วอีกท่านที่ทำได้ดังมากเลยก็คือหลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส ปลัดขิกเขาควายเผือกของท่านเรียกว่าปลัดขิกนางครวญ แล้วก็มีบางท่านก็ได้พระปิดตาเขาควายเผือกไป ซึ่งหายากเพราะว่าควายเผือกโดนฟ้าผ่าตายนั้น ปกติก็หายากอยู่แล้ว
อีกท่านหนึ่งที่ดังระเบิดเถิดเทิงเลยก็คือ หลวงพ่ออ่ำ วัดหนองกระบอก สร้างแพะมหาเสน่ห์ด้วยเขาควายเผือกโดนฟ้าผ่าตาย อีกท่านหนึ่งก็สุดยอดปรมาจารย์ด้านการสร้างหนุมาน ก็คือหลวงพ่อสุ่น วัดศาลากุน ร้อยวันพันปีก็จะมีหนุมานแกะจากเขาควายเผือกถูกฟ้าผ่าตายหลุดมาสักองค์ อาตมาเองโชคดี ได้หนุมานแกะจากเขาควายเผือกองค์ใหญ่ แบบที่เขาเรียก "องค์ครู" มาด้วย บรรดาเซียนเครื่องรางของขลังมาขอซื้อหลายทีแล้วแต่ไม่ให้ เขาให้ราคาแพงเกินไป อย่างหนุมานหน้าโขนทรงเครื่อง แกะจากรากพุดซ้อนนี้ เขาเล่นปล่อยกันเป็นสิบล้าน ในกระทู้คนมีเงินฯ อาตมาปล่อยแค่ ๓๐,๐๐๐ บาท ๕๐,๐๐๐ บาท โดนบ่นว่าแพง ในเมื่อเขาคิดแพงมาก อาตมาก็เลยไม่ให้ เอามาปล่อยในกระทู้คนมีเงินของเราดีกว่า อย่างน้อย ๆ ก็ไปไหนไม่ไกลหรอก คนที่บูชาก็รู้จักกันอยู่ ถ้าคิดถึงก็ขอซื้อคืนได้ ถ้าหลุดไปในมือเซียนแล้วขอคืนไม่ได้หรอก เพราะไปแล้วราคาก็แพงขึ้นมาเป็นร้อยเท่าเลย เขาควายเผือกบางทีก็ไม่ได้สีขาวหมดนะ ปลาย ๆ เขาก็ดำปี๋เหมือนกัน ควายเผือกเขาให้ดูที่ตา ตาออกสีชมพูหรือแดงอ่อน บางตัวเผือกแต่ผิว แต่ตาดำ เขาจะดำปี๋เลย แต่ว่าขอให้ตัวขาวก็ใช้ได้เหมือนกัน ถ้าถึงเวลาฟ้าผ่ากลางทุ่งแล้ว พวกชอบวัตถุอาถรรพ์จะรีบไปดู ว่ามีควายเผือกถูกฟ้าผ่าตายไหม ?" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "กล้วยตากที่น่ากินที่สุดต้องกล้วยตากราชบุรี แต่สมัยนี้ไม่น่ากินแล้ว สมัยก่อนที่น่ากินเพราะว่าตากข้างถนน ถึงเวลารถวิ่งผ่าน ฝุ่นลูกรังจะลงไปเคลือบจนเป็นสีแดงสวยมาก...!"
|
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยที่อยู่บ้านอนุสาวรีย์ฯ พอมีคนเยอะ ๆ ก็มีตำรวจสายสืบขึ้นมา หลังจากที่ขึ้นมา ๒ - ๓ ครั้ง เขาก็มากราบทำบุญด้วย บอกว่าเป็นสายสืบจาก สน.พหลโยธิน เห็นรองเท้าเยอะ ๆ นึกว่าบ้านนี้เปิดบ่อน แอบมาตั้งหลายครั้งแล้ว เพิ่งจะมาสารภาพ เดี๋ยวเห็นบ้านเติมบุญนี้คนเข้าออกเยอะ ๆ ก็คงคิดว่าเปิดบ่อนกันอีก..!
ความจริงเขาไม่ได้บอก อาตมาก็ไม่ได้สนใจหรอก เพราะว่าสิ่งที่เราทำไม่มีอะไรผิดกฎหมาย แต่เขายอมสารภาพก็เป็นเรื่องขำ ๆ อยู่เหมือนกัน เขาบอกว่าเห็นรองเท้าเยอะ ๆ ก็เลยมาดูลาดเลา ๓ - ๔ รอบแล้ว ตอนแรกคิดว่าเปิดบ่อนแน่ ๆ" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนตอนหลวงพ่อเกษม วัดสุสานไตรลักษณ์ยังอยู่ ท่านดังมาก ๆ เขาสร้างวัตถุมงคลของท่านเป็นร้อยเป็นพันรุ่น แต่ก็ไม่ได้เข้าพิธีอะไรใหญ่โตเหมือนกับที่ทางวัดท่าขนุนทำ หลวงพ่อท่านจะยืนอยู่ตรงหน้าต่าง เถ้าแก่ก็ให้ลูกน้องคนงานแบกวัตถุมงคลมายืนตรงหน้าต่าง ท่านก็โบกมือให้ผ่านไปทีละลัง แค่นั้นแหละ ขลังอย่าบอกใครเลย..!
พอ ๆ กับที่หลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุนนาค ถึงเวลาญาติโยมเอาของไปให้เสกทั้งพาน ท่านก็เอามือแปะ ๆ ๓ ที "เอ้า...เอาไป ใช้ได้แล้ว" ญาติโยมก็ไม่สบายใจ เพราะว่าหลวงปู่ไม่เห็นได้ทำท่าเสกอะไรเลย ถึงเวลาขึ้นไปกราบหลวงปู่แหวนที่วัดดอยแม่ปั๋ง ก็เอาใส่พานให้หลวงปู่แหวนเสกใหม่ พอส่งไปถึง หลวงปู่แหวนบอกว่า "พอแล้ว..อาจารย์ฉันเสกมาดีแล้ว" ถามว่าอาจารย์หลวงปู่คือใคร ? ท่านบอกหลวงปู่สี สมัยธุดงค์อยู่ท่านแนะนำความรู้ให้หลายอย่าง ก็เลยถือท่านเป็นอาจารย์ โยมบอกว่าไม่เห็นหลวงปู่สีเสกอะไรเลยครับ ท่านเอามือแปะ ๆ แค่ ๓ ที หลวงปู่แหวนท่านบอกว่า "หลวงปู่สีเอามือแปะ ๓ ทีดีกว่าฉันเสกตั้ง ๓ เดือน..!" |
"หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า หลวงปู่สีนี่เป็นแคสเซียส เคลย์ ของรุ่นเฮฟวี่เวท ซึ่งเป็นราชามวยโลก ถ้าหากว่าพูดถึงสุดยอดมวยโลกรุ่นเฮฟวี่เวท จะหลุดจากเคลย์จากไปไม่ได้ อย่างไรก็ต้องมีชื่อติดโผแน่นอน หลวงปู่สีท่านมรณภาพตอนอายุ ๑๒๘ ปี
รุ่นของอาตมากับพระครูแสงไป ช่วงนั้นต้องบอกว่าเป็นเด็กเบี้ยน้อยหอยน้อย ทำงานได้ค่าแรงวันละ ๒๕ บาท เงินเดือนออกเป็นอาทิตย์ เขาเรียกออกเป็น "วีค" อาทิตย์หนึ่ง ๑๕๐ บาท มีวันอาทิตย์หยุดหนึ่งวันก็วิ่งไปหาหลวงปู่กัน กัดฟันบูชาเหรียญนวโลหะของท่านมาในราคา ๘๐ บาท แพงสุด ๆ ค่าแรง ๓ วันกว่า แต่ว่าของที่อยากได้จริง ๆ ก็คือชานหมากของท่าน ไปนั่งเฝ้า เข้าแถวยาวกว่านี้อีก (หมายถึงเข้าแถวยาวกว่าที่มาบูชาแผ่นยันต์เกราะเพชร) พอถึงเวลาหลวงปู่ท่านคายชานหมากออกมา ถ้าหากว่าเราขอ ท่านก็จะฉีกเศษผ้าอาบแล้วผูกให้ จะม้วนมาให้ทุกครั้ง ถ้าใครบอกว่ามีชานหมากหลวงปู่สีแล้วไม่มีผ้าอาบห่อมานี่ของปลอมแน่นอน ถ้าของจริงต้องมีผ้าจีวรหรือผ้าอาบห่อมา เด็ก ๆ อย่างอาตมาก็ไปแย่งกับผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่สมัยนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นทหารอากาศจากกองบิน ๔ ตาคลี พากันไปนั่งเฝ้าเหมือนกัน เพราะว่าของหลวงปู่ท่านเด็ดขาดมาก คายออกจากปากมานี่ควักปืนยิงได้ตรงนั้นเลย ไม่ออกสักนัดเดียว" |
"อาตมามีความเข้าใจทีหลังว่า การที่พระรุ่นเก่า ๆ ท่านฉันหมาก ก็คือการเคี้ยวไปภาวนาไป ตามหลักของอิริยาบถและสัมปชัญญะในมหาสติปัฏฐานสูตร ถึงเวลาก็ภาวนาไป เคี้ยวไป นึกไป กำหนดรู้ตามไป ในเมื่อเสกมีสติขนาดนั้นก็ต้องขลังอยู่แล้ว ยิ่งหลวงปู่สีท่านเป็นพระอรหันต์ระดับปฏิสัมภิทาญาณด้วย เป็นรุ่นเฮฟวี่เวทเสียด้วย ก็ยิ่งขลังเข้าไปใหญ่ ตอนหลวงปู่สีมรณภาพ อาตมายังไม่ได้เศษอายุของท่านเลย ท่านมรณภาพอายุ ๑๒๘ ปี อีกตั้งหลายปีกว่าอาตมาจะ ๒๘ ปี"
|
ถาม : การกรวดน้ำ ?
ตอบ : ถ้าคำว่ากรวดน้ำหมายถึงการอุทิศส่วนกุศล ถ้าเป็นไปได้ควรที่จะอุทิศส่วนกุศลทุกครั้ง เพราะว่าคนที่รอรับอยู่นั้นมี บางทีเวลาเขามีหน่อยเดียว ถ้าเราช้า เขาก็อด เพราะฉะนั้น...จะทำบุญอะไรก็ตาม ถ้าเป็นไปได้ทำเสร็จแล้วรีบกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เขาก่อน ถาม : ไม่จำเป็นต้องอุทิศส่วนกุศลแบบกรวดน้ำได้ใช่ไหมคะ ? ตอบ : ได้ กรวดน้ำในความหมายของการอุทิศส่วนกุศล ถ้าตั้งใจอุทิศก็ไม่จำเป็นต้องกรวด การกรวดน้ำเป็นรูปแบบของพราหมณ์ สมัยก่อนพราหมณ์เขาจะให้อะไรใคร เขาจะเอาน้ำรดมือคนนั้น เป็นสัญลักษณ์ว่าฉันให้เธอแล้ว แต่คราวนี้พอพระพุทธเจ้าบอกพระเจ้าพิมพิสารให้กรวดน้ำเป็นครั้งแรกในพระพุทธศาสนา ท่านก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ด้วยความเคยชินของการปฏิบัติแบบพราหมณ์ก็เอาน้ำรด แต่คราวนี้ผีเขาไม่ยื่นมือมาให้เห็น ท่านก็เลยต้องรดมือตัวเอง พวกเรารุ่นหลังได้รับแบบอย่างมา ก็จัดการเอาน้ำราดมือตัวเอง โดยที่ไม่รู้ว่าที่มาคืออะไร |
มีโยมมากราบ "ลูกศิษย์หลวงปู่เฉลิมหรือ ? โมทนาด้วย นั่นแหละสายตรงหลวงปู่กลั่น วัดพระญาติเลย ท่านเป็นพระที่สมถะสุด ๆ ใครให้อะไรท่านไม่เอาทั้งนั้น ท่านเป็นพระครูสังฆรักษ์มากี่ปีก็ไม่รู้ จนกระทั่งเขายัดเยียดให้เป็นเจ้าคุณ
หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ ท่านเป็นต้นตำรับวิชาชาตรี บางคนเรียกว่าวิชาหินเบา เอาหินทุ่มหัวนี่ไม่รู้สึก โหม่งเล่นเป็นลูกฟุตบอลเลย ถัดจากหลวงปู่กลั่นมาก็เป็นหลวงพ่ออั้น วัดพระญาติ หลวงพ่ออั้นแล้วก็มาเป็นหลวงพ่อเฉลิม แต่ไม่มีใครรู้ว่ามีรุ่นเดียวกับหลวงพ่อเฉลิมอีกรูปหนึ่ง เป็นถึงสมเด็จพระราชาคณะ ก็คือหลวงพ่อนิยม หรือหลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ ถ้าเขาไม่หาเหรียญของท่านที่ติด ๑ ในเบญจภาคี ก็จะหาตะกรุดชาตรี หาปลาตะเพียน บางคนโชคดีได้สายคาดเอวไปก็หวงอย่าบอกใครเลย มารุ่นหลวงพ่ออั้นนี่เขาหาขุนแผนเคลือบ เพราะว่าขุนแผนหลวงพ่ออั้นนี่ใส่ผงพระขุนแผน กรุวัดใหญ่ชัยมงคลลงไปเยอะมาก" |
พูดถึงแผ่นยันต์เกราะเพชร "ให้เขาวนบูชาไปเถอะ เพราะว่าของอะไรที่ทำมา ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้ทำใหม่อีกหรือเปล่า ? ก็ต้องตุนเอาไว้ก่อน โดยเฉพาะใครจะเอาไปหล่อพระต่อนี่สบายเลย
อาตมาเองถือสาที่สุดก็คือรูปพระพุทธ หรือรูปพระสงฆ์ หรือว่าเหรียญในหลวง ใครเอามาหล่อพระนี่เก็บหมดเลย เพราะทำอย่างนั้นคือการทำลายพระพุทธ ทำลายพระสงฆ์ ส่วนรูปในหลวงนี่คือการทำลายพระบรมสาทิสลักษณ์ โดนมาตรา ๑๑๒ แน่นอน ไม่ใช่ถึงเวลาเห็นหล่อพระทองเหลืองก็เอาเหรียญในหลวงไปหล่อกัน ทำอย่างนั้นจะพาเจ้าอาวาสท่านติดคุกไปด้วย" |
มีญาติโยมมาทำบังสุกุล "การทำบังสุกุลตาย บังสุกุลเป็นจริง ๆ ก็คือมรณานุสติ การนึกถึงความตาย ซึ่งเป็นกรรมฐานกองใหญ่ มีอานิสงส์สูงมาก บางคนบอกว่ามีกรรมเก่าอะไรตามมา ให้มาทำบังสุกุล
การทำบังสุกุลช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่การระลึกถึงมรณานุสติช่วยได้มาก เพราะว่ามีอานิสงส์สูง ก็เลยทำให้ห่างจากกรรมออกไป กลายเป็นว่าทำแล้วดี ก็เลยทำกันใหญ่" |
มีโยมเอาพานมาขอขมาพระอาจารย์ "โมทนา อโหสิกรรมให้ทั้งหมดเลย ญาติโยมไปช่วยงานทางวัด กลัวว่ามีอะไรจะล่วงเกินพระก็มาขอขมา จะว่าไปแล้วก็เป็นการกระทำที่ดี อาตมาเองต่างหากไม่รู้ว่าจะติดหนี้โยมเท่าไร คนโน้นก็มาช่วย คนนี้ก็มาช่วย"
|
"เมื่อวันตักบาตรเทโวฯ คนมาช่วยงานเป็นร้อยเลย ปกติก็ประมาณพระรูปหนึ่งต่อโยมคนสองคน ก็คือแถวชั้นในจะให้เป็นผู้ชาย เพื่อที่จะได้รับของจากบาตรพระ แถวชั้นนอกเป็นผู้หญิงก็ได้
แต่คราวนี้ญาติโยมผู้หญิงบางคนไม่เข้าใจ อยากจะช่วยใกล้ชิด ลืมไปว่าสังคมของเรายังไม่ยอมรับ ในขณะเดียวกันศีลพระก็มี สมัยนี้ก็มีการถ่ายคลิปถ่ายรูปอะไรกันทุกวินาที เวลาโยมผู้หญิงอยู่ใกล้ ถ่ายรูปมาบางทีก็ดูไม่ดี โดยเฉพาะการถ่ายวีดีโอหรือว่าถ่ายคลิป ถ้าคนดูมีใจเป็นอกุศล ก็พร้อมที่จะตำหนิอยู่แล้ว ถึงเวลาเห็นภาพไม่งามก็จะด่า จะเกิดโทษกับเขาเปล่า ๆ ฉะนั้น...พวกเราก็ต้องระวังเอง ถึงเวลาถ้าญาติโยมไปแล้ว เขาบอกว่าให้อยู่ห่าง ๆ หน่อย ก็โปรดทราบว่าไม่ได้รังเกียจผู้หญิง เพียงแต่ว่าต้องระมัดระวัง ช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนาของเราหน่อย" |
"ญาติโยมส่วนใหญ่พอไปช่วยงานวัดก็ "อยากอยู่ใกล้ ๆ หลวงพ่อ" อาตมาเองไม่เคยคิดอย่างนั้น อาตมาเองให้ทำหน้าที่อะไรทำหมด แต่ด้วยความที่ว่าสั่งเป็นเสร็จ เสร็จแล้วดีด้วย บรรดาผู้ใหญ่ท่านพิจารณาแล้ว ก็เลยเอาไปรับใช้อยู่ใกล้ ๆ หลวงพ่อวัดท่าซุง โดยเฉพาะบางคนหวังดีแต่ประสงค์ร้าย ก็คือเวลาไปรับใช้หลวงพ่อท่าน ถ้าพลาดนี่โดนด่าจมดินเลย เขาก็เลยเอาอาตมาไปอยู่ตรงนั้น เผื่อว่าจะหัวขาดบ้าง..!
บังเอิญอาตมาเป็นคนหน้าด้านหน้าทน โดนเท่าไรก็เฉย ๆ โดนแล้วก็แก้ไข ในเมื่อเรารู้จักแก้ไข สิ่งที่ผิดพลาดก็น้อยลงไปเรื่อย ๆ ท้ายสุดก็ทำได้อย่างที่หลวงพ่อท่านต้องการ ก็เลยกลายเป็นว่า เมื่อถึงเวลาท่านก็เรียกใช้ คนอื่นก็เห็นว่าเป็นเด็กเส้น ความจริงไม่ใช่ ไม่ว่าใครก็ตาม ถ้าหากว่าเรียกใช้แล้วเขาทำงานให้ได้ดั่งใจ ท่านก็จะใช้แต่คนนั้นแหละ" |
มีโยมเอาผ้าไตรขนาด ๑.๙๐ เมตรมาถวาย "ถ้าญาติโยมเอาผ้าไตรมาถวายวัดท่าขนุน ให้จำแม่น ๆ เป็นผ้าไตรมัสลินสีพระราชนิยม หรือที่เรียกว่าสีกรักทอง ขนาดความยาวเมตรเก้าสิบ จะสองเมตรก็ได้ มีพระหลายรูปสูงกว่าอาตมา
หลายท่านเอาสีเหลืองส้มมา ขอบอกว่าเหลืองส้มใช้อยู่สมัยอยู่วัดท่าซุง พอไปอยู่วัดท่าขนุนทั้งอำเภอเขาใช้แต่สีกรัก จะมีวัดพุทโธของหลวงพ่ออุทัยท่านจะใช้สีกรักแดง แบบที่เขาเรียกว่าสีครูบาทางเหนือ แล้วก็มีสายวัดป่าอยู่ไม่กี่วัดที่ใช้สีกรักแบบที่เขาเรียกว่าสีวัดป่า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการย้อมเอง สีไม่ได้ห่างจากกรักทองมาก สีกรักทองก็ความจริงก็คือสีที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกองค์ที่ ๑๙ ท่านค้นคว้าถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙ จนเป็นพอพระราชหฤทัยจนทรงตรัสบอกว่า "เอาสีนี้" เขาก็เลยเรียกกันว่าสีพระราชนิยม" |
"ในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่เปลี่ยนใช้สีพระราชนิยมแทบทั้งนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นธรรมยุตหรือมหานิกาย แต่ด้วยความเคยชิน ทางต่างจังหวัดก็ยังรักษาสภาพของวัดป่าอยู่ เพราะว่าอยู่กับป่า อยู่กับเขา อยู่กับดิน ถึงเวลาถ้าใช้สีเข้ม ๆ หน่อยก็จะเปื้อนยาก จึงมีการย้อมกัน จะย้อมในวันโกน ถึงเวลา ๑๕ วันก็ย้อมผ้าทีหนึ่ง บางรูปก็เดือนหนึ่งย้อมผ้าทีหนึ่ง
อาตมาเองใหม่ ๆ ย้อมผ้าไม่เป็น มารู้ทีหลังว่าจะย้อมผ้า ต้องแช่ผ้าให้เปียกจนทั่วก่อน ไม่ใช่หย่อนผ้าแห้ง ๆ ลงไป ถ้าหย่อนผ้าแห้ง ๆ ลงไปสีจะซึมไม่ทั่ว ขึ้นมาก็กระดำกระด่าง กว่าจะย้อมเป็นก็เจอไปหลายยก ถึงเวลาต้องเอาผ้าชุบน้ำก่อน แล้วค่อยหย่อนลงหม้อต้มกรักไป โดยเฉพาะการต้มสีกรักนั้น สมัยก่อนเขาใช้หม้อ หม้อต้มกรัก หม้อใบใหญ่ เขาเรียกว่าหม้อตีนช้าง สมัยนี้บางคนใช้กระทะเลยก็มี ก็คือต้องใช้น้ำอุ่นค่อนข้างร้อน ถึงเวลาชุบผ้า เสร็จแล้วค่อยใส่สีลงไป ปัจจุบันนี้ง่าย เพราะเขาจะมีสีสำเร็จรูปมาเป็นซอง แล้วจะระบุเลยว่าซองหนึ่งใส่น้ำกี่ลิตร ก็จะออกมาพอดี สมัยพวกอาตมาหัดกันนี้ประเภทมั่วกันเอา ได้สีเข้มหน่อยบ้าง อ่อนหน่อยบ้าง แล้วแต่ดวง" |
"สมัยอาตมาวิ่งรับใช้หลวงปู่ฝั้นอยู่ ท่านก็จะเคี่ยวแก่นขนุนเก็บไว้เป็นก้อน พอถึงเวลาก็ไปผ่าออกมาแล้วก็เอาไปต้ม พอต้มเสร็จก็เอาจีวรท่านไปย้อม เมื่อบิดแห้งก็เอาไปผึ่ง ไม่ใช่ตากแดด ขอยืนยันว่าจีวรอย่าตากแดด ส่วนใหญ่ให้อยู่ในร่ม เพราะว่าตากแดดแล้วสีจะซีดเร็วมาก บางทีอาตมาจะสงสัยว่า เอ...ไม่ถูกแดดจะได้หรือ ? ถ้าถูกแดดมาก ๆ ก็แย่เหมือนกัน สีจะซีดเร็วมาก
ครูบาอาจารย์ท่านบิณฑบาตกลับมา บางทีท่านเดินมา ก็เปียกเหงื่อบ้างอะไรบ้าง ก็เอาจีวรผึ่งไว้ในร่ม พอท่านพักผ่อนอิริยาบถ เข้าห้องน้ำเสร็จ ถึงเวลาก่อนที่จะขึ้นที่ฉันก็ถวายจีวรที่ผึ่งไว้คืนให้ท่านครอง ท่านครองผ้าเสร็จก็นั่งลงประจำที่ พวกเราก็ประเคนอาหาร ท่านก็จะหยิบตักเอาเฉพาะส่วนที่ต้องการ แล้วก็ส่งต่อกันไปเรื่อย ๆ ระยะหลังนี่เห็นหลายวัดมีพัฒนา สมัยก่อนที่อาตมาเป็นเด็กวัด วิ่งรับใช้หลวงปู่หลวงพ่อสายวัดป่า จะเป็นการส่งอาหารมือต่อมือ สมัยนี้เขามีล้อเข็นเล็ก ๆ เหมือนถาดติดล้อ ถึงเวลาก็ใส่ถาด ได้สัก ๓ จาน ๔ จาน ก็ผลักส่งกันไปเรื่อยจนกว่าจะถึงท้ายแถว ถือว่าเป็นการเอื้อเฟื้อพระอย่างหนึ่ง เพราะว่าไม่ต้องยกด้วยตัวเอง " |
"แต่ว่าใครไปถวายอาหารพระสายวัดป่า โปรดอย่าทำอาหารน้ำ ๆ ไป ท่านจะลำบากมาก เอาอาหารแห้ง ๆ หน่อย แล้วก็ถวายน้ำฉันไว้ต่างหากสักแก้วหนึ่ง ถ้าถวายอาหารเป็นน้ำไปนี่พระท่านจะลำบาก ไม่รู้ว่าจะฉันอย่างไร เพราะว่าส่วนใหญ่ท่านจะตักใส่บาตร หรือหยิบใส่บาตรอย่างละนิดอย่างละหน่อย พอไปเจออาหารน้ำ ๆ เข้าจะยกบาตรซดก็ไม่ได้ ฉะนั้น...เอาแห้ง ๆ หน่อย แล้วก็ถวายน้ำต่างหาก
พวกเราไม่ได้อยู่กับพระธรรมยุตมาแบบอาตมา เลยทำอะไรไม่ค่อยจะถูก พระธรรมยุตนี่ทุกอย่างต้องถวายใหม่หมด อย่าไปคิดว่าของนี่ประเคนแล้วอยู่ได้ ๗ วัน ของทุกอย่างต้องประเคนให้เห็นตรงหน้า อาตมาถามว่าทำไมต้องประเคนใหม่ ในเมื่อเป็นสัตตาหกาลิกอยู่ได้ ๗ วัน ? ท่านบอกว่า "กันสงสัย" ตอนนั้นอาตมาก็ไม่เข้าใจ พอบวชพระแล้วไปศึกษาศีลของพระ ถึงรู้ว่าพระเรามีต้องอาบัติคือศีลขาดเพราะสงสัยแล้วขืนทำก็มี ฉะนั้น...เพื่อกันสงสัย ท่านให้ประเคนใหม่หมดทุกครั้งเลย ไม่ใช่พอถึงเวลาแล้วก็ เอ...อันนี้ประเคนแล้วหรือยัง น่าจะประเคนแล้วนะ ว่าแล้วก็ฉันเลย ถ้าอย่างนั้นก็เรียบร้อย โดนอาบัติทุกราย" |
"ถึงเวลาพวกผลไม้นี่ต้องทำให้เป็นกัปปิยะ ก็คือมีการแกะเปลือก ปอกเปลือก ผ่า หั่น หรือตัดเป็นชิ้นเป็นท่อนเสียก่อน บางทีท่านก็จะถามเป็นภาษาบาลีว่า กัปปิยัง กะโรหิ แปลว่า ทำเป็นของสมควรแล้วหรือยัง ? เราก็ต้องตอบว่า กัปปิยัง ภันเต สมควรแล้วขอรับ
สายวัดป่า ลูกศิษย์วัดเขาเรียก กัปปิยการก คือผู้กระทำให้เป็นของที่สมควร ที่บ้านเราเรียกลูกศิษย์วัดนั่นแหละ ก็คือช่วยจัดการของที่ไม่สมควรต่อพระธรรมวินัยให้สมควร อาตมาเองไปอยู่พม่าใหม่ ๆ ไปพักอยู่กับท่านอาจารย์ใหญ่ธัมมะเสนะ ไม่รู้ว่าคำว่าลูกศิษย์วัดพม่าเรียกว่าอะไร พอดีได้ยินท่านตะโกน กัปปิยะ แล้วลูกศิษย์วิ่งมา อ๋อ...เล่นบาลีเลย ฉะนั้น..คำว่าลูกศิษย์วัดภาษาพม่าก็คือกัปปิยะ ก็มาจากคำว่ากัปปิยการก เขาไม่ได้ใส่สระอะ ไปใหม่ ๆ ก็ต้องไปศึกษาภาษาเขาด้วย" |
"อย่างพม่าเขาเรียกพระว่า โภงยี ถ้าหากว่าเรียกพระอาจารย์ว่า สะยาดอ หลวงพ่อใหญ่ก็ สะยาดอจี ค่อย ๆ หัดไปทีละคำ"
|
พูดถึงขุนช้างของหลวงพ่อสงวน "หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ ท่านทำอะไรเป็นเมตตามหานิยมสุด ๆ เหมาะในเรื่องเจรจาค้าขายมาก
วัตถุมงคลของหลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ จะเป็นอะไรก็ได้ เป็นพระก็ได้ เป็นลูกอมก็ได้ เป็นขุนช้างก็ได้ พกไปเถอะ ท่านประเภทท้าเลย แต่ลูกศิษย์ที่มีอยู่ก็หวงอย่าบอกใคร อาตมาเคยเอาออกกระทู้คนมีเงินไปหลายชิ้นเหมือนกัน ส่วนใหญ่เป็นลูกอม ทีนี้ขุนช้างมีอยู่องค์เดียว ยังไม่กล้าออก กลัวว่าจะหาคืนไม่ได้ ของบางอย่างออกไปแล้วกว่าจะได้นี่หลายปี เดี๋ยวเอาไว้รอหลังกฐินปลดหนี้ แล้วก็จะเปิดกระทู้คนมีเงินฯ ใหม่ ส่วนใหญ่แล้ววัตถุมงคลที่อาตมาเอามาลง ถ้าหากว่าเป็นพระ ส่วนมากก็จะเป็นพระที่ท่านสร้างตามกรรมวิธีเก่า ก็คือใช้วิธีลบผงเพื่อสร้างพระ ผงสมัยก่อนกว่าจะได้แต่ละอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอิทธิเจ ตรีนิสิงเห มหาราช หรือพุทธคุณอะไรก็แล้วแต่ ต้องไปนั่งลบกันเป็นเดือนเป็นปีกว่าจะพอใช้งาน บรรดาเครื่องรางของขลัง ครูบาอาจารย์ท่านตั้งใจทำมาก ๆ บางราย อย่างหลวงพ่อทบ วัดชนแดน ทำตะกรุดแต่ละดอกนี่บรรจงแล้วบรรจงอีก ท่านจะรีดเก็บหัวตะกรุดทุกดอกเรียบร้อยมาก" |
"ตะกรุดของหลวงพ่อทองมา วัดสว่างท่าสี บางทีเขาเรียกว่าตะกรุดถ่านไฟฉายเลย ม้วนแล้วใหญ่ขนาดถ่านไฟฉายสามท่อน มีเท่าไรท่านใส่แค่หมด หรือไม่ก็หลวงพ่อเชื้อ วัดใหม่บำเพ็ญบุญ หลวงพ่อโม วัดจันทนาราม ตะกรุดดอกยาว ๘ นิ้ว ถามหลวงพ่อทำไมต้องใหญ่ขนาดนี้ ? ท่านบอกว่ามีเท่าไรข้าใส่แค่หมด เรียนรู้อะไรมาท่านเทให้ลูกศิษย์หมด
สมัยก่อนพี่สุรกานต์ พี่ชายของอาตมาไปเฝ้าหลวงพ่อเชื้อเป็นเดือน ๆ รอมีดหมอของหลวงพ่อเชื้อ เพราะว่าหลวงพ่อเชื้อก็ศึกษาวิธีทำมีดหมอมาตามสายหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกับหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม พอถึงเวลาคนแห่ไปหาหลวงพ่อกวย หลวงพ่อกวยบอกว่า "โน่น...ไปหาหลวงพ่อเชื้อโน่น" พอถึงเวลาไปหาหลวงพ่อเชื้อ "โน่น..ไปหาท่านกวย" ตกลงจะให้หาใคร ต่างคนต่างโยนลูกกันไปโยนลูกกันมา แต่ว่าช่วงนั้นพอหลวงพ่อวัดท่าซุงดังขึ้นมานี่ ท่านดังกลบท่านอื่นเกลี้ยงเลย" |
"ฉะนั้น...ระยะแรก ๆ ที่พวกเราไม่เคยได้ยินชื่อเสียงหลวงพ่อกวยก็ไม่แปลก เพราะว่าชื่อเสียงหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านดังกลบเขาหมด หลวงพ่อกวย หลวงพ่อเชื้อก็อยู่ใกล้ ๆ ถึงเวลาอาตมาวิ่งไปหาหลวงปู่บุดดา ผ่านวัดหลวงพ่อกวยก็แวะ ถึงเวลาขนวัตถุมงคลกลับมา ทหารตำรวจที่เฝ้าวัดไถเกลี้ยง บูชามาเป็นลัง ไม่เหลือหรอก เขาบอกว่ามีของหลวงพ่อแล้ว ยังไม่มีของหลวงพ่อกวย มีของหลวงพ่อแล้ว ยังไม่มีของหลวงปู่ เอาหมด...! เพราะว่าส่วนใหญ่อาตมาเอามาก็แจกฟรี
สมัยนั้นหลวงพ่อกวยท่านทำวัตถุมงคลราคาไม่แพง ทั้ง ๆ ที่ท่านนั่งเขียน นั่งจาร นั่งถักอยู่ทั้งวัน เอาไปบูชา ๒๐ บาท ท่านบอกว่าอยากให้ลูกศิษย์มีไว้ใช้ มาระยะหลังพอสิ้นท่านแล้ว องค์หนึ่งเป็นหมื่นเป็นแสนก็มี วันก่อนเห็นเขาปล่อยเหรียญกลมด้านหลังยันต์มงกุฎพระพุทธเจ้า ๑,๐๐๕,๐๐๐ บาท แล้วจะห้อย ๕,๐๐๐ บาทไว้ทำไม ?" |
"สำหรับลูกศิษย์สายตรงที่อยากได้มาก ๆ เขายอมสู้ราคา เหรียญของเขาสวยกริบเลย ประเภทต้องเรียกว่าไม่ได้ใช้งาน คนเอาไปเก็บไว้ แบบเดียวกับที่อาตมาไปได้สายคาดเอวหลวงปู่ยิ้มมาหนึ่งเส้น อย่างกับเพิ่งทำใหม่ ๆ เลย ก็ยังสงสัยว่าทำไมใหม่ได้ขนาดนี้
ลองถามครูบาอาจารย์ ถึงเวลาท่านยืนยันว่าของหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว ใหม่ขนาดนี้เลยหรืออาจารย์ ? ท่านบอกว่า รู้ไหมว่าบางคนพอได้ไปแล้วเขาใส่ถุงแดงบูชาไว้แต่บนหิ้ง ไม่ได้เอาไปใช้เลย ไม่ได้ใช้งาน บูชาติดบ้านไว้บนหิ้งเฉย ๆ ถึงได้ใหม่ขนาดนี้เหมือนกัน ถือว่าโชคดี ผ่านมา ๓ ชั่วคนแล้วไม่เคยเอาออกจากถุง บางทีได้เชือกคาดเอวหลวงพ่อกวยมาเป็น ๓ ท่อน ๔ ท่อน อื้อหือ...ไอ้นี่ใช้ซะขนาดนี้ ไม่ต้องห่วงหรอก ลูกศิษย์เขาไม่ว่า ลูกศิษย์สายตรงนี่ถึงเวลาขาดเป็นท่อนเขาก็เลี่ยมใช้ทีละท่อนเลย แบ่งกันใช้ เชือกคาดเอวบางเส้น ในหัวเชือกท่านก็ใส่วัตถุมงคลเอาไว้ด้วย บางทีก็เป็นเหรียญสตางค์รู บางทีก็เป็นพระปิดตา บางทีก็กลม ๆ เหมือนกับลูกอม ไม่รู้ว่าท่านถักอะไรซ้อนไว้ พอเชือกขาดลูกศิษย์ก็แย่งกันแต่หัวเชือก ตัวเชือกนี่ไม่ค่อยจะเอา จะทะเลาะกันตาย" |
"ที่อาตมาสนใจพวกเครื่องรางเพราะว่าทำยาก เคล็ดลับมีมาก เนื่องจากว่าสายหลวงพ่อวัดท่าซุง เรื่องของการสร้างพระ เราสามารถขอบารมีพระพุทธเจ้าได้ สิ่งที่คนอื่นเขาเห็นว่ายาก ของเราเห็นว่าง่าย ส่วนอันที่คนอื่นเขาเห็นว่าง่าย อย่างเช่นจารตะกรุด ม้วนตะกรุด สายเราจะเห็นว่ายาก
อาตมากำลังรอเวลาเหมาะ ๆ ที่จะทำตะกรุดคู่ชีวิต ตะกรุดคู่ชีวิตนี่ต้นตำรับเลยคือหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน หลวงพ่อเงินท่านศึกษามาจากหลวงพ่อโพธิ์ วัดวังหมาเน่า วังหมาเน่านี่เป็นเสียงเรียกตามชาวบ้านเขา เพราะว่าตรงที่ท่านอาศัยปักกลดจำวัดอยู่ ตอนหลังสร้างเป็นวัด เป็นคุ้งน้ำพอดี พอถึงเวลาพวกสัตว์ตายก็ลอยมาติดอยู่ตรงนั้น เจอหมาตายลอยมาบ่อย ๆ เขาก็เลยเรียกว่าวังหมาเน่า" |
"ลูกศิษย์ของหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ที่โด่งดังรักษาชื่อเสียงเกียรติคุณพระอาจารย์ไว้มีมาก ไม่ว่าจะเป็นหลวงปู่ภู วัดท่าฬ่อ หลวงพ่อพิธ วัดฆะมัง หลวงพ่อเตียง วัดเขารูปช้าง ในเมื่อลูกศิษย์ดัง อาจารย์ก็เด่น สายนี้ท่านทำตะกรุดเรียกตะกรุดคู่ชีวิต แต่อาตมากลับศึกษามาจากทางด้านสายหลวงปู่ปาน ถามว่าหลวงปู่ปานเอามาจากไหน ? หลวงปู่ปานเอามาจากหลวงปู่แช่ม วัดฉลอง
แต่คราวนี้ที่ยังรีรอลังเลอยู่ เพราะว่าตะกรุดคู่ชีวิตมาสายเหนียวโดยตรง มหาอุตม์คงกระพัน ซึ่งหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสั่งห้ามไว้ ถามว่าทำไมสั่งห้าม ? ท่านบอกว่าสายของเราส่วนใหญ่มาสายพุทธภูมิ กำลังใจเกินชาวบ้าน ถ้าได้ของเหนียวยิงไม่ออกเมื่อไรเดี๋ยวจะไปรังแกชาวบ้าน อาตมาก็เลยลังเล ถึงเวลาก็แอบทำโน่นนิดนี่หน่อย ส่วนใหญ่พวกเราตอนนี้ก็เอาเรื่องของลาภเรื่องของเมตตาไว้ก่อน กำลังจ้องรออยู่ว่าเมื่อไรท่านจะอนุญาตให้ทำเสียที" |
"บรรดาพระที่วัดท่านเห็นอาตมาทีไร ท่านหัวเราะกันทุกที เพราะว่าหลวงพ่อท่านไม่ให้กันมือกับเท้า ท่านบอกว่าต้องมีจุดอ่อนไว้บ้าง ถ้าไม่มีจุดอ่อนเดี๋ยวไปเป็นโจรกันหมด นี่ท่านว่าอาตมาตั้งแต่เป็นฆราวาส ฉะนั้น..ทุกอย่างเวลาโดนก็จะโดนที่มือโดนที่เท้า นอกข้อมากันไม่ได้
อาตมาเคยโดนไอ้ใหม่ หมาที่วัดท่าซุงกัด ๒๐ กว่าเขี้ยว กัดเข้าแต่ตรงฝ่ามือ ด้านบนขึ้นมามีแต่รอยขูด ๆ นูน ๆ อยู่เฉย ๆ เออหนอ...หลวงพ่อท่านก็ช่างแกล้ง ท่านบอกถ้าไม่มีจุดอ่อนไว้บ้างเดี๋ยวจะไปรังแกชาวบ้าน นอกข้อมือข้อเท้าท่านไม่กันให้ ฉะนั้น ถ้าหากว่าอาตมาทำตะกรุดคู่ชีวิตก็คงต้องรอท่านอนุญาตก่อน ถ้าใครได้สมุดบันทึกที่อาตมาเขียนเป็นลายมืออยู่ก็จะเห็น เพราะว่าอะไรศึกษาแล้วอยู่ในนั้นหมด แต่หลังจากที่พอสิ้นหลวงพ่อแล้ว บรรดาพี่ ๆ ที่ไม่ยอมเรียนอะไรกัน ท่านก็มาขอสมุดบันทึกไป ไล่บันทึกกันต่อ คนแรกเลยก็คือหลวงพี่ชัยวัฒน์ขอไป หลังจากนั้นก็ลอกต่อกันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งอาตมาออกจากวัดมา ยังไม่รู้เลยว่าสมุดเล่มจริงอยู่กับใคร ท้ายสุดตัวเองก็ได้แค่ที่ถ่ายเอกสารไว้ชุดหนึ่ง เออ...ดีเหมือนกัน ตัวเจ้าของสมุด เจ้าของลายมือไม่ได้ของจริง" |
"สมัยนั้นเวลาออกกิจนิมนต์ส่วนใหญ่อาตมาจะห้อยท้าย เพราะว่าเป็นน้องใหม่ บรรดาพี่ ๆ วัดท่าซุงเขานิยมการภาวนากัน ก็เลยไม่ค่อยสวดมนต์ ส่วนอาตมาไปเป็นนาคอยู่วัด ๓๗ วัน สวดมนต์ได้หมดทั้งเล่มแล้ว ถึงเวลาเขาเห็นสวดมนต์ได้ก็เอาออกกิจนิมนต์แทน
ถึงเวลาเจิมรถ เจิมบ้าน ทำโน่นทำนี่ สมัยก่อนส่วนใหญ่ก็จะเป็นหลวงพี่โอท่านจะนำหัวแถว เขาจะเจาะจงมา หลวงพี่โอ หลวงพี่นันต์ หลวงพี่ทีป ประเภทเจาะจงมา ที่เหลือก็แล้วแต่จะจัดใครไป ถึงเวลา เอ้า...ท่านเล็กทำให้เขาหน่อย โดนเข้าบ่อย ๆ ก็เหนื่อย...บ่น "ทำไมพี่ไม่ทำบ้าง ?" "ไม่ได้เรียนไว้ว่ะ" ถามว่า "แล้วอยู่มา ๒๐ - ๓๐ ปี ไม่เรียนบ้างเลยหรือ ?" "เป็นแล้วมันเหนื่อย" โอ้โห...พี่ท่านตอบชัดมากเลย เป็นแล้วมันเหนื่อย พอสิ้นหลวงพ่อ คราวนี้ไม่เป็นนะสิ ต้องแย่งตำรากันใหญ่" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:03 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.