![]() |
ถาม : การใช้วัตถุมงคล เราต้องวางกำลังใจอย่างไร ?
ตอบ : ศรัทธามาก่อน ชีวิตนี้ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งแล้ว นอกจากวัตถุมงคลชิ้นนั้น ถ้าทุ่มเทจิตศรัทธาขนาดนั้น ใช้วัตถุมงคลอะไรก็ได้ผล ถาม : การที่เราวางกำลังใจใกล้เคียงกัน แต่ความรู้สึกที่เราจับวัตถุมงคลนั้นไม่เท่ากันเป็นเพราะอะไรครับ ? ตอบ : เป็นความรักชอบส่วนตัว อย่างเช่นว่าถ้านิสัยนักรบก็จะชอบอาวุธมากกว่า เพราะฉะนั้น...ถ้าใช้มีดหมอก็จะมีอานุภาพมากกว่า หรือว่ารู้สึกผูกพันมากกว่า |
ถาม : การใช้น้ำมันชาตรี เจ็บเต็มที่แต่ไม่มีบาดแผล ไม่มีรอยช้ำอะไรเลย ?
ตอบ : ก็ได้แค่นั้น สภาพจิตรับได้แค่ไหนก็ได้ผลแค่นั้น |
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนแก่ก็มีดีของคนแก่ แต่ถ้าในแง่ผู้ปฏิบัติธรรมคนแก่จะลำบากกว่า ลำบากตรงที่ว่าวัยวุฒิคือมากด้วยอายุ คุณวุฒิคือมากด้วยประสบการณ์ความรู้ ก็จะเกิดความถือตัวถือตนโดยอัตโนมัติ
ต้องพยายามมองให้เห็น นึกให้ได้ว่า เราแก่มากเท่าไรก็คือใกล้ตายเท่านั้น แปลว่าเราไม่มีอะไรดีกว่าเด็ก ๆ เลย เพราะว่าเด็ก ๆ เหมือนกับกำลังก้าวไปสู่ความรุ่งโรจน์ ก้าวเข้าไปสู่จุดสูงสุดในชีวิต แต่เราเองเป็นพระอาทิตย์ยามบ่ายหรือยามเย็น กำลังจะตกดินลับฟ้าอยู่แล้ว ถ้าสามารถพิจารณาเห็นอย่างนี้ได้ ก็จะทำให้ลดเรื่องทิฐิมานะลงไปได้มาก" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรือนักท่องเที่ยวจมที่ภูเก็ต ตอนนี้ที่ตายแล้วเจอศพแน่ ๆ ๓๘ ศพ หลายคนอาจจะสงสัยว่า ในเมื่อใส่เสื้อชูชีพแล้วทำไมถึงยังจมน้ำตาย ? ก็ต้องบอกว่าเกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน อย่างแรกก็คือ กัปตันเรือไม่ฟังว่าคลื่นลมแรง ห้ามออกจากฝั่ง ประการที่สอง เสื้อที่ใส่ไม่ใช่เสื้อชูชีพ แต่เป็นเสื้อช่วยพยุงตัวเท่านั้น
เสื้อชูชีพจริง ๆ ไม่ทราบว่าโยมเคยเห็นกันหรือเปล่า ? ถึงเวลาเราใส่แล้วท่อนบนจะพองลมมากเลย อย่างนั้นจะบังคับให้เราลอยแหงนหน้าอยู่ตลอด ส่วนเสื้อพยุงตัวที่ข้างในเป็นแผ่นโฟมนั่นแล้วแต่เวรแล้วแต่กรรม จะหกคะเมนตีลังกาอย่างไรก็ได้ แล้วที่แน่ ๆ ก็คือ เวลาคลื่นม้วนตัวจะเกิดแรงกวาดดึงเราลงใต้น้ำ ถ้าคนที่ไม่มีความชำนาญในการอยู่ใต้น้ำ หรือเผชิญสภาพคลื่นลมแรงจริง ๆ จะไม่รู้ว่าควรหายใจจังหวะไหน ถ้าหายใจเอาน้ำเข้าปอดไปก็ตายเกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ทุกวันนี้ที่เขาบอกว่าเป็นเสื้อชูชีพ นั่นไม่ใช่นะ เป็นแค่เสื้อพยุงให้เราลอยตัวได้เฉย ๆ" |
"หลังวัดท่าขนุนเมื่อสิบกว่าปีก่อนก็จมน้ำตายลักษณะแบบนี้แหละ เกิดจากบริษัทท่องเที่ยวโลภมาก รู้อยู่ว่าฤดูนั้นน้ำแรงมาก แต่ปล่อยให้เขาล่องเรือแคนูกัน เด็กก็ไม่สามารถบังคับเรือได้เพราะว่ากำลังไม่พอ ไปชนตอม่อสะพานแขวนวัดท่าขนุน ตกลงไปในน้ำทั้งที่ใส่เสื้อพยุงตัวอยู่ ต้องบอกว่าถึงวาระของเด็ก เพราะว่าพ่อก็ตั้งใจช่วยคว้าเสื้อเอาไว้ เด็กหลุดไปกับน้ำติดมือมาแต่เสื้อ คนเป็นพ่อร้องไห้เหมือนเป็นบ้า ขึ้นมาแล้ววิ่งไปวิ่งมาอยู่บนสะพานแขวน ไม่รู้ว่าจะช่วยลูกอย่างไร เพราะว่าน้ำลึกและแรงมาก
ถามว่าน้ำลึกแค่ไหน ? สะพานแขวนวัดท่าขนุนสูงแค่ไหน ตอนนั้นน้ำห่างสะพานคืบเดียว ก็เลยต้องขอให้ทางการไฟฟ้าปิดเขื่อน แล้วก็ช่วยกันค้นหาอยู่คืนหนึ่งกับอีกเกือบวันก็ไม่เจอ ท้ายสุด "น้าวัฒน์" ที่เป็นกู้ภัย มายกมือไหว้บอกว่า "หลวงพ่อ...ขอยืมของหน่อย" สมัยที่อาตมาอยู่วัดท่าซุง อาตมาเอาปืนไปเข้าพิธีชาตรีไว้ ๕ กระบอก มีญาติโยมขอแบ่งไปหมด เหลืออยู่ ๒ กระบอกที่ทำอย่างไรก็โอนไม่ได้ เพราะว่าเป็นขนาด ๑๑ มม. ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่ากฎกระทรวงบ้า ๆ ถือเป็นอาวุธสงครามหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ จึงโอนไม่ได้ ได้แต่เก็บเอาไว้เอง เคยเล่าให้น้าวัฒน์ฟัง น้าวัฒน์เลยบอกว่าขอยืมหน่อย คาดว่ามีอะไรที่ตั้งใจซ่อนศพ อาตมาต้องไปเอามาให้ยืม โดยที่บอกว่า "ระวังนะ...ถ้าพลาดแล้วศพมีรอยกระสุนนี่ มึงอธิบายเองเลยนะ" ท้ายสุดน้าวัฒน์ยิงลงน้ำไป ๒ นัด ไม่ถึง ๕ นาทีก็งมเจอ แล้วก็อยู่ตรงที่พระผ่านแล้วผ่านอีก น้ำตื้น ๆ นั่นแหละ อาตมาถึงได้บอกว่าเข้าป่าเข้าถ้ำ ติดวัตถุมงคลที่บรรดาผีสางเทวดาเขาเกรงใจไว้บ้าง ไม่อย่างนั้นก็จะเกิดเรื่องแบบเดียวกับที่หลงติดอยู่ในถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอนนั่นแหละ" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อตอนบ่ายคุยกับท่านมหาเอว่า ของแค่ ๑๐๐ - ๒๐๐ ชิ้น อาจารย์จำได้ไม่อัศจรรย์หรอก เพราะว่ามีเสมียนคลังพัสดุชาวจีน สามารถจำของสองแสนกว่าชิ้นว่าเป็นอะไรอยู่ตรงไหนได้หมดเลย เจ้านายทดสอบให้ไปหยิบอะไรมา แกไม่ต้องเปิดคู่มือดู เดินไปหยิบมาหน้าตาเฉย สองแสนกว่าชิ้น...ฟังไม่ผิดหรอก ที่อาตมาจำได้เพราะว่ามีไม่เกิน ๒๐๐ ชิ้น เสมียนท่านนี้เป็นผู้หญิง อายุแค่ ๒๐ กว่าปี"
|
ถาม : กรณีที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง ใช้วัตถุมงคลอะไรช่วยได้บ้างคะ ?
ตอบ : นั่งภาวนาให้น้ำลด...! ติดอยู่ข้างในไม่ต้องใช้อะไรหรอก ถ้าไม่ได้ติดก็ว่าไปอย่าง เดี๋ยวรอไปอ่านในเก็บตกเอาเอง บอกไปหมดตั้งแต่วันแรกแล้ว ถ้าขืนบอกซ้ำเดี๋ยวของวัดท่าขนุนราคาจะแพง ฉะนั้น..ห้ามบอก..! ถาม : มีดหมอเล่มเล็กใช้ได้ไหมคะ ? ตอบ : จะเล็กจะใหญ่ก็ได้ แต่ดูด้วยว่ามาจากไหน ถ้าประเภทสมัยก่อนที่พยุหะคีรีทำเป็นหมื่นเป็นแสนเล่ม หลายวัดเหมาไป แล้วเที่ยวไปไล่แจกชาวบ้าน ถ้าแบบนั้นผีก็นั่งยิ้ม ของบางอย่างถ้าไม่ใช่เรื่องของเราที่จะไปยุ่ง ต่อให้เราพกวัตถุมงคลดีขนาดไหนเขาก็ไม่แลหรอก อย่างมีดหมอของหลวงพ่อวัดท่าซุง ปกติไม่ต้องเข้าใกล้หรอก แค่เหยียบบันไดบ้าน ผีก็เผ่นไปยันไหนแล้วก็ไม่รู้ ? หลวงพี่บรรจง (พระบรรจง กวิวํโส) จากวัดท่าซุงไปโคราช แถววัดหลวงพี่มหาถวัลย์ (พระมหาถวัลย์ ฐิติโก) ซึ่งมรณภาพไปแล้ว ญาติโยมได้ยินว่ามีพระจากวัดท่าซุงมาก็รีบมานิมนต์ บอกว่ามีคนโดนผีเข้ามา ๕ วันแล้วไม่ยอมออก ใครมาไล่อย่างไรก็ไม่ออก หลวงพี่บรรจงรับนิมนต์ก็ไป ปรากฎว่าเหยียบบ้านแล้วผีก็ยังเฉย ๆ เดินเข้าใกล้ผีก็เฉย ๆ ท่านจึงตั้งใจอาราธนาพระ พอเอื้อมมือแตะมีดหมอในย่าม ผีเหลือบตามองแล้วบอกว่า "ท่านไม่ต้องยุ่ง" หลวงพี่บรรจงท่านก็ "เอ๊ะ..ชักอย่างไรแล้ว" ปกติถ้าผีทั่วไป พกมีดหมอวัดท่าซุง แค่เหยียบบันไดบ้านก็เผ่นแล้ว |
ชาวบ้านก็บอกให้ช่วยไล่หน่อย "หลวงพ่อช่วยหน่อย" หลวงพ่อจงก็ต้องเอาใหม่ พอแตะมือถึงมีดหมอ ผีเหลือบตาบอกว่า "ท่านไม่ต้องยุ่ง" ท้ายสุดเลยต้องถอยมา ถามผีว่าเป็นเพราะอะไร เขาบอกว่า "ไอ้นี่ไม่เคารพเจ้าที่ เมาแล้วไปฉี่รดแล้วยังถีบศาลด้วย เลยตั้งใจดัดสันดานสัก ๗ วัน ฉะนั้น...รออีก ๒ วันเดี๋ยวไปเอง"
พอกลับมาถึงวัดท่าซุง อีกไม่กี่วันเป็นวันพระใหญ่ เข้าโบสถ์ไปลงฟังปาฏิโมกข์กัน ก่อนปาฏิโมกข์ถ้าหลวงพ่อวัดท่าซุงลงก่อนเวลานิดหน่อย มีอะไรก็จะคุยกันตอนนั้น ท่านก็นั่งเป่ายานัตถ์ุ พอพวกเรามาครบท่านก็พยักหน้า "เป็นอย่างไร..บรรจง ? ดีนะไม่โดนตีนเข้า นั่นเป็นเทวดาไม่ใช่ผี" คราวนี้เห็นหรือยังว่าถ้าเป็นเรื่องของเขา ต่อให้เราพกอะไรดีแค่ไหน ก็ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก ฉะนั้น...บางคนพอมีวัตถุมงคลดี ประเภทผีและเทวดาเกรงใจแล้วไปซ่ากับเขา โปรดระวังไว้...อย่าเผลอ เผลอเมื่อไรจะได้คืนเยอะเลย..! |
อาตมาเองโดนผีนั่งทับอกแล้วบีบคอ ก็มานึกว่า "เอ๊ะ...เราก็พกวัตถุมงคลเต็มกระเป๋า ทำไมไม่ช่วยเราบ้างเลยวะ...?" ตอนหลังได้กราบเรียนถามหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านถามว่า "แกได้อาราธนาหรือเปล่า ?" "เปล่าครับ พกไว้เฉย ๆ" "ก็สมควรโดนแล้ว เทวดาท่านยอมรับกฎของกรรมมากกว่าเราเยอะ ในเมื่อไม่ขอให้ท่านช่วย ท่านก็นั่งมองดูว่ามึงจะแน่แค่ไหน"
ดังนั้น...โปรดอาราธนาทุกครั้งก่อนที่จะออกจากบ้าน ต้องการให้ช่วยอะไรก็ว่าไปเลย แล้วจะรู้ว่าคำขอของเราไม่เคยรอบคอบพอ ท่านตะแคงข้างไปได้ทุกที อาตมาเองโดนมาเสียจนกระทั่งจำ ท้ายสุดต้องรอบคอบและครอบคลุมพอ ไม่อย่างนั้นตรงไหนให้เล็ดลอดไปได้ ท่านก็ไปของท่านได้หน้าตาเฉย พอไปต่อว่า ท่านก็บอกให้รู้ว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ลักษณะนั้นก็คือตั้งใจสอนเราให้ละเอียด รู้ระมัดระวัง ขอให้ช่วยเฉย ๆ ก็จบแล้ว ดันไปกำหนดอย่างนี้อย่างนั้น อันไหนอยู่นอกข้อกำหนดท่านก็เฉย ๆ นะสิ |
พระอาจารย์กล่าวว่า “ลูกอมชานหมากหลวงปู่ทอง วัดราชโยธา หายากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว คนมีก็หวงสุด ๆ เขาเชื่อว่ามีไว้แล้วจะกินไม่หมดใช้ไม่หมด ของอายุเป็นร้อยปีแล้ว กว่าอาตมาจะหาได้แต่ละลูกนี่ยากมากเลย”
|
พระอาจารย์กล่าวว่า “เมื่อครู่ที่อัญเชิญขึ้นไปไว้ที่บูชาข้างบน คือพระปัจเจกพุทธเจ้าที่หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุงท่านสร้าง เป็นขนาดบูชาหน้าตัก ๕ นิ้ว ต้องบอกว่าเรื่องของพระปักเจกพุทธเจ้านี้ เป็นวีรกรรมที่หลวงตาวัชรชัย อาตมา และท่านอาจารย์สมปอง ช่วยกันทำจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา
ช่วงนั้นประมาณปี ๒๕๓๑ อาการป่วยไข้ของหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นหนักมาก พวกเราก็เลยคิดห่วงตัวเองว่า ถ้าหากปุบปับสิ้นหลวงพ่อท่านไปทางวัดจะลำบาก ควรจะมีกองทุนอะไรบางอย่างเอาไว้ นี่คือคิดแบบเด็ก ๆ ท้ายสุดก็คิดว่าเราร่วมกันภาวนาพระคาถาเงินล้านจนกระทั่งได้ผลมาแล้ว แต่ไม่เคยตอบแทนอะไรพระปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่งเป็นเจ้าของพระคาถาท่านเลย ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็เลยคิดว่า ถ้าเราสร้างพระปัจเจกพุทธเจ้าสักองค์หนึ่งไว้บูชา แล้วในแต่ละรอบปีก็จะมีการแห่แหนและสวดพระคาถาเงินล้านถวายท่าน จึงช่วยกันออกแบบ โดยท่านอาจารย์สมปองเป็นคนร่างแบบ อาตมากับหลวงตาวัชรชัยเป็นลูกอีช่างติ ได้แบบพระปัจเจกพุทธเจ้ามา ถ้าสงสัยว่าหน้าตาแบบไหน ก็แบบองค์ที่อยู่ในมณฑปหน้าวิหารร้อยเมตรนั่นแหละ ก็นำไปถวายให้หลวงพ่อท่านผ่านตาแล้วก็ขออนุญาตทำ ท่านก็เมตตาติติงและแนะนำว่าควรจะทำในลักษณะอย่างไร พอได้รับคำอนุญาตพวกเราก็ประกาศ สมัยก่อนไม่ได้มีไลน์หรืออินเตอร์เน็ตแพร่หลายแบบนี้ ก็ใช้วิธีบอกกันปากต่อปาก ว่าเราจะสร้างพระปัจเจกพุทธเจ้าเนื้อเงินแท้ หน้าตักประมาณ ๓๐ นิ้ว เป็นองค์บูชาประจำวัด แล้วก็จะทำเหรียญพระปัจเจกพุทธเจ้าให้บุคคลที่ต้องการบูชา เพื่อนำเงินมาซื้อเม็ดเงินในการหล่อพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์ใหญ่ ซึ่งปัจจัยที่เหลือจากที่เราคำนวณกันแล้ว จะมีเงินเข้ากองทุนพระปัจเจกพุทธานุสรณ์เพื่อเป็นค่าภัตตาหารพระ พูดง่าย ๆ ว่าเรื่องของพระเณรนี่หลวงพ่อท่านไม่ต้องห่วง จะมีกองทุนนี่ช่วยค้ำอยู่ จะมีเงินเข้ากองทุนนี้ในตอนนั้น ๒๔ ล้านบาท เราต้องคิดว่าสมัยปี ๒๕๓๑ นั่นทองคำบาทละ ๔,๒๐๐ บาท ที่รู้เพราะว่ามีการโอนเงินค่าทองคำคืนโยม หลังจากที่เรื่องราวเจ๊งไม่เป็นท่า เพราะว่าหลังจากประกาศไปแล้ว ๒ วันก็มีเงินไหลมาเทมาเข้าบัญชีสี่แสนกว่าบาท แล้วทองคำอีกหลายสิบบาทร่วมในการสร้าง" |
"หลวงตาวัชรชัยตอนนั้นก็เพิ่งจะได้ ๗ พรรษา อาตมาเองตอนนั้นเพิ่งจะ ๓ พรรษา ท่านอาจารย์สมปองเพิ่งจะพรรษาเดียว แล้วคณะผู้ร่วมงานก็ล้วนเป็นพระใหม่พรรษานั้นทั้งหมด มีพระอาจารย์ตี๋อีกรูปหนึ่ง ที่พรรษาเดียวกับอาตมาแต่คนละรุ่นกัน ก็เลยมีผู้ไปกล่าวร้ายในทำนองที่ว่า พวกของอาตมาหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง
พอหลวงพ่อได้ข่าวก็กลัวว่าจะเป็นการแตกแยกไปใหญ่โต เพราะว่าเด็กทำงานเกินหน้าผู้ใหญ่ พูดง่าย ๆ ว่าคณะกรรมการสงฆ์ ๑๒ รูปที่เป็นผู้ใหญ่ ไม่ได้คิดจะทำอะไรที่เป็นการแบ่งเบาภาระหลวงพ่อท่านเลย แต่พอเด็ก ๆ คิดทำกลับโดนเตะสกัด หลวงพ่อท่านก็เลยต้องรับงานไปเป็นภาระของท่านเอง ตอนแรกด้วยความที่ท่านป่วยอยู่ ท่านจึงสั่งให้ช่างเสริฐเอาแบบพระชำระหนี้สงฆ์สร้างเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแทน องค์ที่อยู่ตรงระเบียงด้านหน้าวิหารร้อยเมตร ที่สูงเกือบจะติดหลังคา สร้างไว้ตรงนั้น แล้วก็ปั้นองค์ ๓๐ นิ้ว ถวายหลวงพ่อท่านองค์หนึ่ง สร้างเหมือนพระพุทธรูปทุกอย่าง ยกเว้นตรงที่พระเกศมาลาที่เป็นเปลวเพลิง ที่ทำแยกออกมานิดหนึ่ง หลวงพ่อท่านเห็นก็บอกว่า "ไม่ใช่...เสียแรงที่ปั้นพระให้วัดท่าซุงมาเป็นร้อยเป็นพัน นึกถึงท่านสิว่าเป็นอย่างไร ต้องการแบบไหน แล้วก็ทำตามความรู้สึก ไม่ใช่ทำแบบนี้" ท่านใช้คำว่า “เอ็งทำไว้เป็นที่แขวนรองเท้าใช่ไหม ?” คือเกศด้านหลังงอออกมาหน่อยหนึ่ง ตกลงว่าองค์นั้นปั้นแล้วจะทำอย่างไร ? ไม่สามารถที่จะทำลายได้ อาตมาก็เลยขอบูชาเอาไว้ พอปิดทองเสร็จเรียบร้อยหลวงพี่นิภัทร (พระครูปลัดนิภัทร อคฺคธมฺโม) วัดพุทธไชโย มาเห็นก็ชอบ บอกว่า “เล็ก..ขอพี่เถอะ” ก็บอกท่านว่า "ถ้าพี่ต้องการจริง ๆ ผมถวายครับ แต่ว่าอย่าบอกใครนะว่าได้ไปจากผม เพราะว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่ชอบใจแบบนี้ คือท่านต้องการแบบที่พวกเราร่างไว้ แต่ช่างเสริฐไม่ได้เห็นแบบ ก็เลยปั้นออกมาแบบนี้" หลวงพ่อท่านสั่งให้สร้างพระปัจเจกพุทธเจ้าขนาดบูชา ช่างเขาถามว่าลักษณะแบบไหน ? หลวงพ่อกำลังไม่สบายอยู่ ท่านก็เลยบอกว่า ทำเป็นเปลวเพลิงให้แยกพระเกศออกมาแล้วกัน ช่างเขาไม่รู้จะทำอย่างไร จึงหล่อพระเกศอีกอันหนึ่งแล้วเอามาเชื่อมติดกัน ฉะนั้น...เราจะเห็นว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าขนาดบูชา ๕ นิ้ว ของวัดท่าซุง จะมีพระเกศแยกเป็น ๒ แฉกหน้าหลัง" |
"พอหลวงพ่อท่านมีเวลา อาการป่วยคลายตัว เพราะว่าได้ท่านปู่ท้าวสหัมบดีพรหมช่วยไว้ ท่านก็เรียกช่างเสริฐไปให้ปั้นแบบใหม่ แบบที่หน้าวิหารร้อยเมตรองค์นั้น ส่วนพวกอาตมาก็คาใจ โดยเฉพาะหลวงตาวัชรชัย คาใจว่าทำไมในเมื่ออนุญาตให้ทำแล้ว หลวงพ่อท่านถึงได้ยกเลิก ทำให้พวกเราต้องโอนเงินคืนญาติโยมที่โอนเข้ามาทุกคน โดยเฉพาะโยมจากต่างประเทศ ซึ่งมีการเสียค่าธรรมเนียมค่าโอนระหว่างประเทศเป็นจำนวนมาก พวกเราก็ต้องควักกระเป๋ากันเอง แล้วญาติโยมที่มอบทองมาให้ ก็ต้องส่งคืนเขา โดยโทรเรียกตัวเจ้าของมารับคืน กว่าจะส่งคืนได้ครบก็หลายเดือน เพราะว่าอยู่ใกล้บ้างไกลบ้างทั่วประเทศไทย
หลวงตาวัชรชัยถึงขนาดไม่ได้นอนทั้งคืน นั่งฟุ้งซ่าน คิดมาก บอกว่าถ้าคิดไม่ตกจะเชือดคอตายคืนนี้แหละ นี่เป็นความแรงของคนแก่ในสมัยนั้น" |
"ส่วนอาตมาเองช่วงนั้นพอเหตุการณ์เกิดขึ้น รู้สึกว่าไม่เสียทีที่เราฝึกกรรมฐานมาอย่างหนัก เพราะว่าสภาพจิตยอมรับว่า หลวงพ่อว่าอะไรก็คืออย่างนั้น ไม่มีการคัดค้าน ไม่มีการน้อยใจ กองทิ้งเอาไว้เหมือนอย่างกับลมพัดผ่านไปเฉย ๆ
แล้วเรื่องนี้ที่ว่าคาใจก็คือ พอหลวงตาวัชรชัยไปเป็นเจ้าอาวาสที่วัดเขาวง ท้ายสุดก็มาเริ่มงานใหม่ สร้างพระปัจเจกพุทธเจ้าทองคำขึ้นมา แต่ไม่ใช่ความตั้งใจเดิม ความตั้งใจเดิมคือเนื้อเงินหน้าตัก ๓๐ นิ้ว อาตมาเองก็คิดว่า เดี๋ยวหล่อพระทุกองค์ครบแล้ว ก็ว่าจะหล่อพระปัจเจกพุทธเจ้าหน้าตัก ๓๐ นิ้วด้วยเงินบริสุทธิ์สักองค์หนึ่ง เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังติดงานหล่อพระทองคำอยู่ ส่วนหลวงตาวัชรชัยท่านเพิ่งจะหล่อไปเมื่อต้นปีนี้ งานนี้กลายเป็นภาระที่หลวงพ่อท่านต้องรับเอาไว้ เพราะว่าท่านต้องรักษากำลังใจส่วนรวม แม้ว่าส่วนรวมกำลังใจจะห่วยแตก แต่ท่านมั่นใจว่าลูกทั้ง ๓ คนนี้กระทืบแล้วไม่ตาย ท่านก็ต้องเหยียบพวกเราเพื่อเอาใจคนส่วนรวมไว้ นี่คือลักษณะของการทำหน้าที่แบบผู้ใหญ่ ที่มองภาพรวมในวงกว้าง ส่วนพวกเราส่วนใหญ่แล้วมองในวงแคบ มองเฉพาะงานตรงหน้าตัวเอง แต่ท่านต้องมองภาพรวม คือทำอย่างไรที่วัดจะไม่แตก ทำอย่างไรที่พระพุทธศาสนาจะตั้งมั่นอยู่ได้ นั่นก็คือภาพรวมที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าสายตาของพวกเราในช่วงนั้นจะรู้ได้" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "การกู้ภัยจะใจร้อนไม่ได้ ต้องเลือกทางที่ปลอดภัยที่สุด ในการกู้ภัยทีมฟุตบอลหมูป่า ทำให้เห็นในสิ่งที่โบราณเขากล่าวเอาไว้ว่า
บุคคลบางประเภท กำลังใจคุ้มครองตัวเองไม่ได้ คุ้มครองผู้อื่นไม่ได้ บุคคลบางประเภท กำลังใจคุ้มครองตัวเองได้ คุ้มครองผู้อื่นไม่ได้ บุคคลบางประเภท กำลังใจคุ้มครองตัวเองได้ คุ้มครองผู้อื่นและหมู่คณะได้ ในส่วนนี้เป็นเรื่องที่ต้องบอกว่า เด็ก ๆ ชุดนี้ใจคอเข้มแข็งมาก เพราะมีครูฝึกที่ดี ครูเป็นผู้ที่สามารถคุ้มครองตนเองได้ คุ้มครองผู้อื่นได้ แม้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ก็ยังทำให้เด็กมีความเข้มแข็ง มีความนิ่ง มีความสงบได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก ต้องบอกว่าไม่เสียทีที่ครูได้บวชมาหลายพรรษา" |
พระอาจารย์บอกว่า "SEAL แปลว่า แมวน้ำ แต่จริง ๆ แล้วเป็นคำย่อ มาจาก SEA คือทะเล AIR คืออากาศ LAND คือพื้นดิน เรียกง่าย ๆ ว่า น้ำ ฟ้า ฝั่ง แปลว่า สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ทุกสภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศ"
|
ถาม : ผมเสกวัตถุมงคลยังไม่ถึงขั้นยิงไม่ออกครับ ได้ยิงออกแต่ไม่ถูก ต้องทำต่ออย่างไรครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แค่ “ไม่มีอะไร” ก็จบแล้วนะ เพียงแต่ว่ายากหน่อย ถาม : ต้องเข้าให้แน่นกว่านี้หรือครับ ? ตอบ : ไม่ใช่เข้า ต้องปล่อย พิจารณาให้ถึงความไม่มีอะไร พอถึงความไม่มีอะไรแล้ว อะไรจะมาทำอันตรายได้ ? ถาม : เป็นวิปัสสนาญาณเลย ? ตอบ : เป็นทั้งวิปัสสนาญาณและอรูปฌาน |
ถาม : ติดหนี้สงฆ์ต้องใช้หนี้วัดนั้นเลยหรือเปล่า ?
ตอบ : วัดไหนก็ได้ บอกท่านว่าชำระหนี้สงฆ์ ในเมื่อเป็นสงฆ์ จะเป็นวัดไหนก็ได้ แต่ต้องใช้คืนในราคาปัจจุบัน สมมติว่าเราหยิบจานไปใบหนึ่งสมัยนั้นราคา ๕ บาท ตอนนี้ราคา ๒๐ บาทก็ต้องใช้คืน ๒๐ บาท |
พระอาจารย์กล่าวว่า “บ้านใครอยู่พิจิตรบ้าง ? ตามไกรทองไปช่วยเด็กที่ถ้ำหลวงหน่อย ไกรทองมีเทียนระเบิดน้ำ ถึงเวลาก็จุดเทียนเดินแหวกน้ำไป วิชานี้จะว่าไปแล้วจริง ๆ ก็คือวาโยกสิณ พอถึงเวลาอธิษฐานแหวกน้ำไป หรือว่าท่านใดถนัดในส่วนของอากาสกสิณก็อธิษฐานให้เป็นช่องว่างเดินแหวกไป
ครูบาอาจารย์สมัยก่อนท่านใช้วิธีนี้แหละลงไปจารตะกรุดใต้น้ำกัน อย่างหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ถึงเวลาก็ลงไปจารตะกรุดใต้น้ำ ตะกรุดใต้น้ำนี่บางคนเรียก ตะกรุดคงคาวดี แต่ว่าหลายท่านเรียกง่าย ๆ ว่า ตะกรุดจันทร์เพ็ญเพราะว่าส่วนใหญ่ท่านจะทำในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ ที่ตรงกับวันจันทร์ ถึงเวลาลงไปจารใต้น้ำแล้วก็โยนลอยขึ้นมา ลูกศิษย์ก็ช้อนเก็บ ถ้าดอกไหนไม่ลอยคือใช้ไม่ได้ เรามานึกว่าสมัยก่อนวัสดุส่วนใหญ่คือตะกั่ว อย่างไรตะกั่วก็จมน้ำแน่นอน แต่ครูบาอาจารย์ท่านทำแล้วปล่อยลอยพ้นน้ำขึ้นมาได้ หรือไม่ก็อย่างหลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ ท่านลงไปจารพระปิดตาของท่านใต้น้ำ พระปิดตาหลวงปู่นาคเดี๋ยวนี้ราคาเป็นล้าน ๆ ของปลอมเยอะมาก แต่ว่าท่านมีทำไว้ทั้งเนื้อเมฆพัตร และเนื้อสัมฤทธิ์ เนื้อทองเหลือง เพียงแต่ว่าเนื้ออื่นจะมีน้อย แล้วครูบาอาจารย์สมัยก่อนท่านก็แลกเปลี่ยนวิชากัน แบบเดียวกับหลวงปู่จันทร์ วัดโมลี ที่ทำพระปิดตาแร่บางไผ่ แล้วก็หลวงปู่ทับ วัดอนงค์ทำพระปิดตาเนื้อเมฆสิทธิ์ อยู่ ๆ เราก็จะเจอพระพิมพ์แร่บางไผ่เนื้อเมฆสิทธิ์ หรือไม่ปิดตาแบบหลวงปู่ทับแต่เป็นเนื้อแร่บางไผ่ เพราะว่าท่านแลกวิชากัน" |
พระอาจารย์กล่าวว่า “ถ้าญาติโยมอยากจะฝึกปฏิบัติให้ได้ผลให้ทำอย่างอาตมานี่แหละ คือ ๓๐ กว่าปีที่ผ่านมานี่ อาตมาต้องทรงอารมณ์เข้าสมาธิวันหนึ่งไม่น้อยกว่า ๘ ชั่วโมง เพราะว่านั่งรับญาติโยมอยู่อย่างนี้ ก็แปลว่าทุกวันเราต้องซ้อมเข้าสมาธิ ในเมื่อเข้าแล้วเราต้องตั้งเวลาได้ด้วย ไม่อย่างนั้นถ้าหากว่าคลายความรู้สึกออกมา จะหงายท้องแผ่ไปเลย ในเมื่อเราซ้อมอยู่บ่อย ๆ หลายสิบปีผ่านไปก็ได้อย่างที่เห็น
เมื่อวานนี้ทิดเฟิร์สเขาบอกว่า “เวลาหลวงพ่อจารของ ไม่เห็นต้องตั้งท่าเหมือนท่านอื่นเขาเลย” ครูบาอาจารย์อื่นต้องขอเวลานอก ตั้งสมาธิ เห็นหลวงพ่อจารไปคุยไป เสร็จก็ใช้ได้แล้ว ก็เพราะว่าซ้อมเอาไว้มาก ไม่ได้เจตนาซ้อมหรอก แต่ถ้าหากเราไม่รักษาสมาธิเอาไว้จะรับโยมไม่ไหว โดยเฉพาะนั่งอยู่อย่างนี้วันหนึ่งหลาย ๆ ชั่วโมง ถ้าสมาธิหลุดเมื่อไรก็จะหงายแผ่สลบไปเลย ฉะนั้น..กลางคืนไม่มีหรอกที่นอนไม่หลับ มีแต่นอนไม่ค่อยอยากจะตื่น..!” |
พระอาจารย์กล่าวเตือนโยมที่ขยันถามปัญหาทุกเดือน "ยังไม่เบื่อที่จะถามใช่ไหม ? จำไว้ว่ายิ่งถามยิ่งฟุ้งซ่าน มีแต่โทษมากกว่าประโยชน์ ถ้ายังไม่เห็นโทษก็ถามมาได้เรื่อย ๆ แต่ถ้าเห็นโทษเมื่อไรก็บอกด้วย"
|
ถาม : ถ้าเราถ่ายรูปสวย มีคนติดตามเยอะ ทั้งในอินสตราแกรม ในเฟซบุ๊ก เราจะเข้าข่ายเหมือนตาลปุตตสูตรหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เหมือนกัน ตาลปุตตสูตร ก็คือ การที่คนเขาหลงใหลคลั่งไคล้ในการแสดง คราวนี้เขาหลงใหลคลั่งไคล้ในฝีมือของเรา ก็คือทำให้เขายึดติดเหมือนกัน ถาม : ก็หมายความว่า ? ตอบ : หมายความว่าถ้าไม่เคยทำบุญอื่นก็เตรียมลงอเวจีได้..! |
ถาม : วัตถุมงคลที่เราให้ญาติไป เราอาราธนาแทนญาติพี่น้องของเราได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้...กินข้าวแทนเขาได้ไหม ? ถ้าได้ก็อาราธนาแทนไป ในเมื่อต้องต่างคนต่างกิน เขาก็ต้องอาราธนาเอง |
ถาม : ถ้าหากว่าเราต้องการมีเพื่อนร่วมงานที่ดี มีกัลยาณมิตรที่ดี ที่จะร่วมสร้างอะไรด้วยกัน เราต้องสร้างบุญอย่างไร ?
ตอบ : ทำบุญร่วมกันตั้งแต่ชาติก่อน แล้วอธิษฐานที่จะไปช่วยเหลือเกื้อกูลกัน |
ถาม : อวิชชา กับ กิเลส คืออย่างเดียวกันไหมครับ ?
ตอบ : อวิชชา คือ ความไม่รู้ ความมืดบอดในใจของเรา กิเลสก็คือความชั่ว ถ้าหากว่าเราไม่รู้ว่าสิ่งใดดี สิ่งใดชั่ว เราก็จะทำสิ่งชั่วโดยหลงคิดว่าสิ่งดี ที่ภาษาบาลีเขาเรียกว่า วิปัลลาส แปลว่า เห็นต่างไปจากคนอื่น เห็นในสิ่งที่ไม่งามว่างาม เห็นในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง เป็นต้น ดังนั้น ในเรื่องของความชั่วกับในเรื่องของความไม่รู้ เป็นคนละส่วนกัน แต่ว่าทั้ง ๒ ส่วนจะผูกเข้าหากัน เพราะว่าความไม่รู้ก็เลยทำให้เข้าใจผิด เห็นความชั่วเป็นความดี |
ถาม : คนทั่วไปที่ไม่ได้เข้าวัดปฏิบัติธรรม จะมีโอกาสเห็นไหมครับว่านรกสวรรค์มีจริง ?
ตอบ : ต้องดูด้วยว่าในอดีตเขาเคยทำเรื่องของทิพจักขุญาณไว้หรือเปล่า ถ้าอดีตเคยทำไว้ ต่อให้ปัจจุบันไม่เคยทำอะไรก็ตาม เมื่อถึงวาระ ถ้าสภาพจิตสงบพอก็จะรู้เห็นเอง ถาม : ถ้าเขาไม่เชื่อแล้วทำอย่างไรให้เขาเชื่อ ? ตอบ : ๒ วิธี วิธีแรกก็คือฝึกทิพจักขุญาณให้เกิด วิธีที่ ๒ ก็คือสร้างอภิญญาให้เกิด โดยเฉพาะกสิณ ๓ อย่าง ก็คือกสิณไฟ กสิณแสงสว่าง กสิณสีขาว ถ้าอย่างนั้นก็จะรู้เห็นได้ ไม่เช่นนั้นก็นอนฝันเอา ถาม : แล้วถ้าพระแสดงให้ญาติโยมเห็นว่านรกสวรรค์มีจริง ? ตอบ : ถ้าท่านไม่ได้แสดงอิทธิฤทธิ์อะไร แล้วจะไปเห็นได้อย่างไร ถาม : ไม่ได้เหาะเหินเดินอากาศ แต่ประเภทใช้ฤทธิ์ทางใจ ? ตอบ : ก็แย่พอกันนั่นแหละ อย่าลืมว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องของบุญของกรรมของแต่ละคน ถ้าหากว่าเราไปทำให้เขารู้ ทำให้เขาเห็น เขาก็ไม่ได้ทำความดีจากน้ำใสใจจริง กลายเป็นทำความดีเพราะกลัว ถาม : แต่ก็ยังเห็นนะครับ ? ตอบ : จะไปยุ่งกับเขาทำไม...?! |
ถาม : การที่เรายอมเสียเปรียบผู้อื่น เป็นสิ่งที่ควรทำหรือไม่ ? หรือเราควรจะมีเมตตาต่อตัวเอง แต่ว่าเราก็มีการเมตตาคนอื่นด้วย เราจะต้องคิดอย่างไร ?
ตอบ : สรุปว่าพรหมวิหาร ๔ คุณจะใช้แค่เมตตาอย่างเดียวใช่ไหม ? ก็ในเมื่อถ้ามีอุเบกขาอยู่ เราก็รักษาสิทธิ์ของเราไปสิ ดันทะลึ่งไปเมตตาแล้วยอมเสียเปรียบเขาก็ช่วยไม่ได้ |
ถาม : เวลาที่เราอยู่ในนรก เราทำกรรมฐานได้ไหมครับ ?
ตอบ : เวลาที่คุณโดนเขาไล่สับไล่ฟัน โดนไล่เผาอยู่ คุณทำได้ไหม ? ถ้าทำได้ก็เอาเลย น่าจะเป็นรายแรก...! กำลังโดนน้ำทองแดงร้อน ๆ กรอกปากอยู่แล้วทำกรรมฐาน น่าจะสำเร็จนะ...! ถาม : ถ้าใจผูกติดกับกรรมฐานตั้งแต่ตอนยังไม่ตาย ? ตอบ : ถ้าผูกติดกับตรงนั้น แล้วลงนรกไปทำไม ? แต่ละอย่างคิดมาฟุ้งซ่านชัด ๆ หัวกับท้ายไม่ได้สัมพันธ์กันเลย |
ถาม : เวลาที่เราตาย เรายังมีความทรงจำในเรื่องราวต่าง ๆ ในโลกมนุษย์ ?
ตอบ : จำได้ แต่ไม่ไกลไปกว่าปัจจุบัน ถ้าหากว่าชาติเก่า ๆ ต้องจำได้ตอนที่ตายไปแล้วจริง ๆ เท่านั้น |
ถาม : ระดับสมาธิกับวิธีการทำกรรมฐานที่เราทำได้ในชาติที่แล้ว ถ้าตายเราจะได้เหมือนเดิมไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าตายไปด้วยอำนาจสมาธิเลยก็ได้ แต่ถ้าหากว่าตายปกติ ความรู้เห็นก็เป็นไปตามกรรมวิบาก อย่างเช่นว่า เป็นเปรต เป็นอสุรกายอย่างนี้ จะต้องรู้เห็น มีความเป็นทิพย์อยู่ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว ถาม : ตอนที่ขึ้นสวรรค์ ความสามารถในการทำสมาธิจะเหมือนเดิมหรือเปล่า ? ตอบ : ได้แค่ไหนก็ไปไม่เกินนั้น ที่แย่กว่านั้นก็คือ ถ้าหากว่าไม่ได้เข้าสมาธิไว้ตอนตาย เขาก็ให้ตามต้นทุนที่คุณมี ผมมีสตางค์หลายร้อยล้านเลย แต่ผมดันไม่เบิกมาใช้ มีอยู่ในกระเป๋าตอนนี้ ๒๐ บาทก็ซื้อก๋วยเตี๋ยวได้ชามเดียว |
ถาม : พระอาจารย์เป็นคนที่ตรงต่อเวลามาก เป็นเพราะฝึกมาหรือเป็นเพราะบารมีหรือครับ ?
ตอบ : เป็นสันดาน ครูบาอาจารย์เขาฝึกฝนมาจนเข้าไปอยู่ในสายเลือดแล้ว ถึงเวลาก็ต้องทำตามนั้น โดยเฉพาะสันดานที่ไม่รอใคร มาช้าก็เรื่องของเขา ทำไมต้องไปเกรงใจเขาด้วย ไม่มีเขาแล้วเราจัดงานไม่ได้เลยใช่ไหม ? ถาม : ต้องทำบ่อย ๆ หรือครับจึงต้องตรงเวลา ? ตอบ : ผ่านการฝึกฝนอบรมเคี่ยวกรำอย่างเข้มงวดไประยะหนึ่ง อย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีติดไปบ้าง |
ถาม : เวลาภาวนาพระคาถาเงินล้านเป็นพุทธานุสติไหมครับ ?
ตอบ : ถ้านึกถึงพระพุทธเจ้าก็เป็นพุทธานุสติ นึกถึงหลวงปู่หลวงพ่อก็เป็นสังฆานุสติ |
ถาม : ถ้าเราคิดว่าจะฆ่ามด ๑ ตัว แต่ยังไม่ได้ฆ่า เราจะได้รับผลกรรมอย่างไรบ้าง ?
ตอบ : ถ้าตายตอนนั้นก็ลงนรกเหมือนกัน เพราะว่าสภาพจิตเศร้าหมอง ประกอบไปด้วยวิหิงสาวิตก ตรึกในการเบียดเบียนผู้อื่น ถาม : แต่ถ้าเราไม่ได้ตายตอนนั้น ก็ไม่ได้มีผลอะไร ? ตอบ : มี...เพราะว่าสภาพจิตที่เศร้าหมองก็เหมือนกับเขื่อนที่มีรอยรั่ว สิ่งไม่ดีต่าง ๆ ก็แห่กันเข้ามาง่ายขึ้น ถาม : ถ้าเราคิดจะฆ่ามด ๑ ตัว กับคิดจะฆ่าพระอริยสงฆ์ ต่างกันไหมครับ แค่คิด ? ตอบ : ต่างกันมาก คิดจะฆ่ามด ๑ ตัว ถ้าหากว่าเศร้าหมอง อย่างเก่งก็ลงสัญชีวนรก ถ้าคิดฆ่าพระอริยสงฆ์นี่ก็ลงอเวจีมหานรกเลย ราคาแพงกว่ากันเยอะ |
ถาม : ในยุคเจิ้งเหอ ทำไมเขาถึงมีกองเรือก้องโลก ?
ตอบ : เจ้านายมีวิสัยทัศน์ เห็นว่าการเปิดการค้าทางทะเล สามารถนำเงินทองและความเจริญรุ่งเรืองเข้าสู่ประเทศชาติได้เร็วที่สุด |
ถาม : หลักการบริหารแบบรวมกลุ่มกับกระจายกลุ่ม ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับคุณธรรมในใจ ถ้าคนชั่ว จะระบบไหนก็ห่วยแตกพอกัน ถาม : ไม่เกี่ยวกับว่าแบบไหนดีกว่า ? ตอบ : ขึ้นอยู่กับคุณธรรมผู้ปกครอง ถ้าผู้ปกครองมีธรรมาธิปไตยอยู่ ต่อให้เผด็จการขนาดไหนก็สร้างความเจริญได้ |
เรื่องของการเมือง การเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น เป็นเรื่องที่เขาทำกันเป็นปกติอยู่แล้ว อริสโตเติลจึงได้กล่าวไว้เมื่อ ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้วว่า ความดีของคนเริ่มหมดไปทันทีที่เล่นการเมือง
ดูอย่างลุงตู่สิ จากลุงตู่ที่ประชาชนรักแทบตายตอนขึ้นมาใหม่ ๆ ปัจจุบันกลายเป็นสฤษดิ์น้อย รับไม่ได้ถึงขนาดที่กระทรวงต่างประเทศทำหนังสือประท้วงไปแล้ว Not Little Sarit, but I am Uncle Tu |
ถาม : (มารับงาช้างน้ำ)
ตอบ : พวกกะเหรี่ยงที่เขาเลี้ยงช้าง จะพยายามหาให้ได้ เพราะว่ามีอำนาจข่มช้างได้ แบบเดียวกับเสือไฟ คือ ตัวเล็กแต่มีอำนาจมากกว่า ถาม : งาช้างน้ำมีอำนาจด้านไหนครับ ? ตอบ : ส่วนใหญ่ประเภทเข้าป่าแล้วปลอดภัย ถาม : บูชาอย่างไรครับ ? ตอบ : ติดตัวไว้สิวะ เก็บเอาไว้ที่บ้านแล้วเข้าป่าคงจะปลอดภัยหรอกนะ ตอนนี้ตูก็ไม่มีแล้ว ถ้าเข้าถ้ำหลวงจะรอดไหมนี่ ? |
พระอาจารย์กล่าว "เพลาบุญ ถ้าอ่านว่า เพ-ลาบุญ ก็คือเวลาแห่งบุญ ถ้าอ่านว่า เพลาบุญ ก็แปลว่า หยุดทำบุญได้แล้ว ...(หัวเราะ)... อ่านได้ทั้งสองแบบ"
|
ถาม : หลวงพ่อเนื่องให้หลวงพ่อใจท่านฝึกลงใบมะนาว ๗ ใบ ทีละตัว ตัวละ ๑ ปี กว่าจะฝึกได้ทั้งหมด ๗ ปี ?
ตอบ : ท่านเอาให้สมาธิทรงตัวจริง ๆ |
ถาม : พระที่อยู่องค์เดียว จะปลงอาบัติอย่างไร ?
ตอบ : ก็อย่าทำอาบัติสิวะ อยู่คนเดียวโอกาสผิดก็ยากหน่อย ถาม : ที่ต้องบอกบริสุทธิ์ คืออะไร ? ตอบ : บอกบริสุทธิ์ก็ในลักษณะที่ว่า เราได้แสดงคืนอาบัติแล้ว บาลีใช้ว่า "ปริสุทโธ อะหัง อาวุโส ปริสุทโธติ มัง ธาเรหิ" ถ้าพรรษาน้อยกว่าก็ใช้ ภันเต กับ ธาเรถะ ถาม : พระธุดงค์ที่เข้าป่าจะทำอย่างไร ? ตอบ : อธิษฐานอุโบสถ ถ้าอยู่รูปเดียวอธิษฐานอุโบสถ, ๒ รูปให้บอกบริสุทธิ์, ๓ รูปให้บอกบริสุทธิ์, ๔ รูปขึ้นไปต้องสวดทบทวนพระปาฏิโมกข์ |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:38 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.