กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5927)

เถรี 23-12-2017 19:08

ถาม : ช่วงนี้ไม่รู้อารมณ์เป็นอย่างไร เวลาที่มีคนเขามาพูดกับเราไม่ดี ใจหนึ่งผมก็เมตตา นึกถึงหน้าเขาขึ้นมาแล้วก็เมตตา แต่อีกใจหนึ่งก็เหมือนอยากรบ ให้ตายไปข้างหนึ่ง ?
ตอบ : ชนะเขาแพ้กิเลส ถ้าแพ้เขาชนะกิเลส เลือกเอาก็แล้วกัน

เถรี 23-12-2017 19:14

ถาม : ถ้าเรามีกุศโลบายอยากให้คนมาปฏิบัติธรรม โดยเราบอกว่าการปฏิบัติธรรมทำให้เราหน้าตาสดใสอ่อนวัย เพราะว่าเราโทสะน้อยลง เรามีความสามารถทางโลกมากขึ้นเพราะมีสมาธิมากขึ้น เรามีคนรอบกายมากขึ้นเพราะเรามีความดีมากขึ้น และอีกอย่างอื่นอีกมากมาย จะมีผลเสียกับเราไหมครับ ?
ตอบ : เสียเวลา...ทำตัวเองให้ดีคนอื่นเขาก็ตามมาเอง ไม่ต้องทำเป็นโฆษณาชวนเชื่อ

เถรี 23-12-2017 19:18

ถาม : เพิ่งรู้ความสำคัญของกล้ามเนื้อและกระดูกกายภาพ ก็เลยนึกถึงท่าที่เราใช้ในการบริหารก็เหมือนกับท่าม้านั่งกำลังภายใน ก็เลยสงสัยว่าหนังจีนกำลังภายในที่เขาสู้กัน มีจริงหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ดูมากี่เรื่องแล้วล่ะ ?

ถาม : ดูมาเยอะมากครับ ?
ตอบ : ก็ต้องมีพื้นฐานมาจากความจริง ไม่อย่างนั้นเขาจะแสดงอย่างไร ?

เถรี 23-12-2017 19:20

ถาม : การจับภาพพระ คือ มโนมยิทธิหรือไม่ครับ ?
ตอบ : มโนมยิทธิ หมายถึง การถอดใจไปยังที่อื่น ๆ การจับภาพพระจะถอดใจไปไหม ?

ถาม : แล้วถ้าในแง่ของการที่เราใช้ในการช่วยระงับกิเลส การจับภาพพระโดยตรงกว่าหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จะวิธีไหนก็เหมือนกัน สำคัญก็คืออย่าไปคิดปรุงแต่ง อยู่กับภาพพระก็อยู่กับภาพพระ อยู่กับลมหายใจก็อยู่กับลมหายใจ ถอดใจไปท่องเที่ยวภพไหนก็ไป เพียงแต่อย่าไปคิดเพิ่มเติมให้ รัก โลภ โกรธ หลง งอกงามก็ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมทั้งนั้น

เถรี 23-12-2017 19:30

ถาม : เวลาที่เราถาม การถามคือการวิปัสสนาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : วิปัสสนาคือการเห็นแจ้ง ถามแล้วเห็นอะไร ?

ถาม : ถามเพื่อพิจารณาครับ ?
ตอบ : พิจารณาสังขาร ? พิจารณาว่าอย่างไร ?

ถาม : อย่างถ้าเรากำลังโมโหอยู่ คิดว่าไม่เที่ยง เดี๋ยวก็ต้องหายไป
ตอบ : แล้วโมโหเกี่ยวอะไรกับคำถาม ?

ถาม : ก็ถามตัวเองว่าตอนนี้เรากำลังโมโหอยู่ไหม เราก็รู้ว่าเรากำลังโมโหอยู่ครับ
ตอบ : ตูว่าหลงประเด็นแน่เลย คนกำลังโกรธ จิตใจมืดบอด จะเอาปัญญาที่ไหนมาพิจารณา ? มิน่าล่ะ...มารีญาไม่ได้มงกุฎเพราะว่าหลงประเด็นนี่เอง...!

ถาม : เอาใหม่...ที่ผมเข้าใจว่าวิปัสสนา คือ เราต้องนั่งพิจารณาตามคำสอนว่าเป็นอย่างนี้ ๆ แต่ในกรณีที่เกิดอารมณ์โกรธขึ้นกับเรา รัก โลภ โกรธ หลง ทั้งหลาย อารมณ์อะไรทั้งหลายที่เข้ามา ก็ถามตัวเองว่า ให้มันไม่ฟุ้ง อย่างนี้คือวิปัสสนาหรือไม่ครับ ?
ตอบ : นั่นเป็นแค่สมถะเท่านั้น เพราะว่าสงบใจตัวเองลง ถ้าจะเป็นวิปัสสนาต้องเห็นแจ้ง รู้จริง เท่าทันและระงับลงได้

ถาม : แล้วจะทำอย่างไรให้เกิดวิปัสสนาครับ ?
ตอบ : ก็มองให้เห็นสิว่าตอนนี้เป็นอย่างไร ความไม่พอใจเกิดขึ้น เกิดจากอะไร ? ถ้าเขาทำดีทำถูก เราไม่พอใจ เราก็โง่เอง ถ้าเขาทำไม่ดี ทำไม่ถูก เราจะไม่พอใจเขาไปทำไม ? คนโง่ขนาดนั้นน่าโกรธหรือ ? พินิจพิจารณาเสร็จ สภาพจิตของเราก็ผ่องใส ไม่ไปข้องเกี่ยวกับ รัก โลภ โกรธ หลง เหล่านั้น เขาเรียกว่าวิปัสสนา ก็คือเห็นแจ้ง รู้แจ้ง ว่าจะต้องทำอย่างไรจึงจะพ้นจากกิเลส ไม่ใช่ว่าทำใจให้สงบ นั่นใช้กำลังสมาธิไปกด ใช้สมาธิเมื่อไรก็คือสมถะ ไม่ใช่วิปัสสนา

ถาม : แล้วถ้าเรามีความเคยชินกับการใช้สมถะ จะทำให้เป็นวิปัสสนาได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : พิจารณา

เถรี 23-12-2017 19:36

ถาม : ลูกเรียนหมออยู่ที่ศิริราชปี ๒ เวลาใกล้จะสอบเขาจะมีอาการเครียด จะเรียนอย่างไรให้จำได้ เวลาจะสอบจะร้องไห้ทุกครั้งค่ะ ?
ตอบ : ธรรมดา...แล้วตะเกียกตะกายไปเรียนทำไม ? เข้าไปก็ต้องสู้ ต่อให้ร้องจนน้ำตาท่วมโลกก็ขอให้จบก็แล้วกัน ถ้าตะกายไปจนปี ๒ ถ้าถอยออกมาหมดไปเท่าไร ? คนอื่น ๑๐ นิ้วเท่ากันทำไมเขาทำได้

มีโอกาสในแต่ละวัน เช้า ๆ เย็น ๆ ก็ทำสมาธิให้มากขึ้น นั่งภาวนาให้มากขึ้น กำลังใจจะได้มั่นคง ถึงเวลาจะได้มีกำลังไปต่อสู้กับอุปสรรคและสิ่งต่าง ๆ ที่โถมเข้ามาในชีวิตของเรา โดยเฉพาะการเรียน

อย่าเอาความหวังคนอื่นมากดดันตัวเอง ทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น จะได้ C หรือ D อย่างไรก็ช่างหัวมัน ขอให้จบก็แล้วกัน ไม่ใช่ว่าถึงเวลาจบแล้วต้องได้เกียรตินิยมเท่านั้น


ถาม : อ่านอย่างไรก็ไม่จำเจ้าค่ะ จะทำอย่างไร ?
ตอบ : รอบแรกไม่จำก็อ่านรอบที่ ๒ รอบที่ ๒ ไม่จำก็อ่านรอบที่ ๓ อ่านไปจนกว่าจะจำ อะไรที่เป็นของใหม่ที่ยังไม่เคยชิน โดยเฉพาะศัพท์ทางเทคนิคไม่ใช่เรื่องที่จะจำกันง่าย ๆ

อ่านทวนแล้วทวนอีกไปสัก ๗ - ๘ รอบ ดูว่าจะไม่จำไหม ? แต่ส่วนใหญ่เราอ่านรอบหนึ่งยังไม่จบแล้วก็บอกว่าไม่จำ เจอของยากแล้วไปท้อถอยจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร ? ต้องยิ่งยากยิ่งสู้สิ..!

เถรี 23-12-2017 19:56

ถาม : เขาเครียดมากค่ะ ก็เลยไม่รู้จะทำอย่างไร ตั้งความหวังไว้เยอะเกินค่ะ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าไปกดดันตัวเอง เราลองคิดดู สมมติเพื่อนทั้งห้องมี ๔๐ คนแล้วเราสอบได้ที่ ๔๐ ก็คือได้ที่โหล่ ห่วยแตกไม่ได้เรื่องเลย แต่คนอื่นเข้าเรียนหมอได้อย่างเราไหม ? ต่อให้คุณเป็นหางราชสีห์ก็ยังดีกว่าหัวหมาทั่ว ๆ ไป

อาตมาเองเป็นเด็กที่เรียนห้องคิง (King) มาตลอด ต้องต่อสู้กับคนอื่นมาจนซาบซึ้ง บางทีมีที่ ๑ แล้วก็ไปที่ ๘ เพราะว่าคะแนนเท่ากัน ๗ คน แล้วลักษณะอย่างนั้น คนที่ได้ที่ ๘ แพ้เขาแค่นิดเดียวเท่านั้น

เราอยู่กับคนเก่ง คุณภาพของเราอาจจะสู้เขาไม่ได้ แต่เราก็ยังอยู่ในห้องของคนเก่ง เพราะฉะนั้น...เราก็สู้เต็มที่ของเราไป ได้เท่าไรก็ช่าง อย่าไปกดดันตัวเองว่าต้องได้ที่ ๑ เท่านั้น

กลับไปใหม่ ไปหาคาถาท่านปู่พระอินทร์มาท่อง เป็นคาถาช่วยความจำ ไปภาวนาสักวันละชั่วโมง ต่อไปถ้ายังไม่จำอีกก็สมควรตาย..!

เถรี 23-12-2017 20:04

นึกว่ามีปัญหาตอนผ่าศพ ที่ไหนได้มีปัญหาตอนเรียนแล้วจำ...ไม่ได้อย่างใจ ไม่ใช่ไม่จำ แต่จำไม่ได้ดั่งใจ

ส่วนใหญ่แล้วคนเราไม่เคยชินกับการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงที่เรียน เปลี่ยนแปลงหลักสูตรการเรียน ถ้าปรับตัวไม่ทัน ส่วนใหญ่ผลการเรียนจะตกลงชั่วคราว หลังจากที่เราปรับตัวได้จะกลับมาดีเหมือนเดิม เพราะฉะนั้น...ไม่มีอะไรที่ต้องไปกังวล

อาตมาเองที่สอบได้ที่ ๑ ตลอดชีวิต ตอนจบ ป.๔ ไปเรียน ป.๕ สอบได้ที่ ๔๕ เพราะว่าจากโรงเรียนบ้านนอกต้องไปลุยกับพวกในเมือง แต่ก็หลุดไปอยู่ห้อง ข. แค่ปีเดียว พอทำความคุ้นชินกับข้อสอบ กับเนื้อหาในการเรียนได้ ก็กลับมาอยู่ห้อง ก. แย่งที่ ๑ กลับมาตามเดิม ไม่ใช่ว่าไม่เคยแพ้ แต่แพ้แล้วต้องไม่ถอย

คนเก่งมีมาก แต่คนดีมีน้อย เพราะฉะนั้น...ถึงไอคิวสู้ไม่ได้ ก็อย่าให้อีคิวเจ๊งไปด้วย อย่างน้อย ๆ อีคิวจะประคับประคองเราได้ ไอคิวเป็นความจำโดยส่วนเดียว อีคิวเป็นวุฒิภาวะทางอารมณ์ เป็นตัวควบคุมการแสดงออกทางกาย วาจา ใจของเรา

เถรี 23-12-2017 20:05

ถาม : เวลาจับภาพพระ หลับตาลงแล้วภาพพระไม่นิ่งค่ะ เพ่งอย่างไรคะ ?
ตอบ : ไม่ได้ให้เพ่ง เขาให้มองแล้วก็จำ หลับตาลงนึกถึง ไม่ได้ไปนั่งจ้อง

ถาม : ภาพก็ไม่นิ่งอยู่ดีค่ะ ?
ตอบ : จะนิ่งหรือไม่นิ่งก็ช่าง ขอให้เห็นภาพนั้นก็แล้วกัน

เถรี 23-12-2017 20:06

ถาม : ไปเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาล ต้องให้อาหารทางสายยางค่ะ ?
ตอบ : พยายามหาบทสวดหรือว่าพระเทศน์เปิดให้ท่านฟังบ่อย ๆ โดยเฉพาะตอนให้อาหาร ถึงเวลาเปิดเสียงธรรมะหรือเสียงสวดมนต์ก่อนแล้วค่อยให้อาหาร จนท่านจำว่าเสียงนี้จะได้กิน แล้วท่านจะยึดเสียงนั้นเอง

เถรี 23-12-2017 20:27

ถาม : อย่างเรา ๆ คนธรรมดาเราสามารถอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าคุณมีศรัทธาแค่ไหน ? ถ้าศรัทธาปสาทะแน่นแฟ้นมั่นคง สามารถทำได้แน่นอน แบบเดียวกับที่พระยามิลินท์ถามพระนาคเสนว่า คนชั่วสามารถตั้งสัตยาธิษฐานได้ไหม ? พระนาคเสนบอกว่า ถ้าเขาพูดถึงความเป็นจริงในชีวิตก็สามารถทำได้ ท่านก็เลยเอาหญิงโสเภณีคนหนึ่งให้ไปยืนริมทะเล บอกว่าตั้งสัตยาธิษฐานถึงความเป็นจริงในชีวิตของเธอ แล้วขอให้คลื่นนี้พัดออกกลางทะเลแทนที่จะพัดเข้าหาฝั่ง

หญิงโสเภณีคนนั้นก็ตั้งสัตยาธิษฐานว่า "ข้าพเจ้ามีอาชีพเป็นโสเภณี บุรุษใดนำกหาปณะมาให้ ข้าพเจ้าก็รับเขาเป็นลูกค้าโดยเสมอหน้ากัน ด้วยความสัตย์จริงอันนี้ ขอให้คลื่นอย่าได้พัดเข้าหาฝั่ง ให้พัดออกไปกลางทะเลแทน" ปรากฏว่าคลื่นก็พัดออกกลางทะเลจริง ๆ เราคงไม่แย่ขนาดนั้น ในเมื่อไม่แย่ขนาดนั้นก็น่าจะอธิษฐานได้


ถาม : หมายถึงว่าจริง ๆ แล้วนอกจากศรัทธาแล้วยังเกี่ยวกับว่าเรามีกิเลสมากกิเลสน้อยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ใช้ศรัทธาอย่างเดียว

ถาม : เราอาราธนามาทำอะไรก็ได้หรือครับ ?
ตอบ : คุณจะทำอะไร ถ้าหากว่านอกศีล นอกธรรมก็เจ๊งอยู่แล้ว

เถรี 23-12-2017 20:37

ถาม : ถ้ายึดเกาะสูงสุดคือพระนิพพาน ถ้ายึดเป็นพระพุทธเจ้าหรือสมเด็จองค์ปฐม ทั้งสามอย่างสูงสุดเหมือนกัน สามารถนึกอย่างใดอย่างหนึ่งได้ไหมครับ ?
ตอบ : ทำไมคุณไม่คิดว่าพระองค์ท่านอยู่บนพระนิพพาน ดันทะลึ่งไปแยกออกก็ขาดทุน คิดว่าพระองค์ท่านอยู่บนพระนิพพาน เราเกาะพระองค์ท่านก็เท่ากับเกาะพระนิพพานด้วย

ถาม : มีหลายจักรวาล หลายชุด ๆ ของพระพุทธเจ้า หลายแดนพระนิพพานหรือเปล่าครับ หรือมีชุดเดียว ?
ตอบ : มีพระพุทธเจ้าองค์เดียว เพียงแต่ว่าท่านจะไปปรากฏในจักรวาลไหนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เถรี 23-12-2017 20:38

ถาม : ถ้าเราอธิษฐานว่าเราจะไม่ทำความชั่วใหญ่ ๆ ทั้งชาตินี้ชาติหน้า เราทำได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : อธิษฐานได้ แต่จะรักษาคำอธิษฐานได้ไหมอยู่ที่สัจจบารมีด้วย

เถรี 23-12-2017 20:41

ถาม : การทำศัลยกรรมเป็นการฝืนกฎของกรรมไหมครับ เช่น คางทำให้บางลง จมูกใหญ่ทำให้เล็กขึ้น ?
ตอบ : ทำไปเถอะ สมมติว่าตอนแรกของเราหน้าตามาห่วยแตก แล้วเราก็ไปซ่อมพระ อานิสงส์ตามมาทันพอดีก็เลยได้ศัลยกรรมตัวเอง คุณจะไปรู้ได้อย่างไรว่าจะไม่ใช่บุญเก่าที่ทำให้เขาต้องไปศัลยกรรม ?

เถรี 23-12-2017 20:42

ถาม : สมาธิละเอียดคืออะไรครับ สติตามทันหรืออะไรครับ ?
ตอบ : สมาธิละเอียดก็คือสมาธิที่ทรงตัว อย่างน้อยก็ภาวนาเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องไปบังคับ

ถาม : ถ้าเราตั้งอธิษฐานให้ภาพพระตั้งอยู่ตลอดเวลา อย่างเดียวกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อธิษฐานได้ ส่วนจะรักษาได้หรือไม่ได้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เถรี 23-12-2017 21:06

ถาม : พระพรหมที่จะสร้างองค์นี้ ตามทัศนะของท่านเห็นว่าเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ไม่มีปัญหา อยากจะทำก็ทำ เพียงแต่ว่าฐานน่าจะทำให้สูงกว่านี้อีกหน่อย อาจจะต้องสูงระดับสายตาของเราเลย เฉพาะฐานที่อยากให้สูง เพราะว่าบิดาแห่งพรหมทั้งปวงพูดง่าย ๆ ว่าท่านเป็นพระอรหัตตมรรค จะเป็นพระอรหันต์อยู่แล้ว

เถรี 28-12-2017 18:31

พูดถึงประเทศญี่ปุ่น "สิ่งที่ฝึกฝนให้เขาเป็นเขามาทุกวันนี้ ก็คือหลักบูชิโดคือจริยะแห่งการต่อสู้ กับหลักของเซน เอาสองอย่างมาผสานกันได้ เจ้าที่ซึ่งตามดูแล เขาฝึกเพลงดาบจนกระทั่งสามารถรู้ทั้งตัวเอง รู้ทั้งคู่ต่อสู้ได้"

ถาม : ต้องระดับฌาน ๔ ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องถึงขนาดนั้น แต่อย่างน้อยต้องได้ฌาน ๑ ละเอียด ทำจนสมาธิเกิด ทุ่มเทให้จนเกิดสมาธิ ไปนึกถึงในเรื่องเทพมารสะท้านภพ ที่พระเอกรักนางเอกแต่ไม่ได้แต่งงานด้วยกัน เลยทุ่มเทความรักไปในทางฝึกกระบี่แทน จนกลายเป็นอันดับหนึ่งในแผ่นดิน

การเอากำลังใจเท่าที่รักเขาไปฝึก เหมือนอย่างกับที่อาตมาบอกว่า ถ้าเราอดข้าวได้ เราก็รักษาศีลทุกข้อได้ เพราะว่ากำลังใจในการห้ามปากของเรา เท่ากับกำลังใจในการห้ามไม่ให้ละเมิดศีลทุกข้อ หลักการเดียวกัน เหมือนกัน ต้องทำจริง ๆ ทุ่มเทจริง ๆ จึงจะประสบความสำเร็จ

ถาม :พวกที่ระดับเดาทางคู่ต่อสู้ได้ เขาฝึกจนเป็นฌานใช้งานหรือคะ ?
ตอบ : มีหลายอย่างด้วยกัน แต่ว่าต่ำสุดต้องรู้การเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ล่วงหน้า ระดับเจโตปริยญาณเลยนะ

เถรี 28-12-2017 18:42

ญี่ปุ่นทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับส่วนรวม ต้องบอกว่าด้วยความรักศักดิ์ศรี และท้ายสุดต้องกอบกู้ตัวเองจากสงคราม เขาก็เลยต้องทุ่มเททุกอย่าง ปัจจุบันญี่ปุ่นอยู่ในระดับที่เรียกว่า ถ้าไม่ถอยก็ไม่แพ้ใคร แต่อิสราเอลนั่นไม่ใช่ อิสราเอลมีศัตรูรายล้อม ถ้าถอยก็ตาย..!

ถาม :เขาเลยต้องทุ่มเท ?
ตอบ :ถ้าไม่ทุ่มเทก็อยู่ไม่ได้ รอบข้างจ้องจะขย้ำทั้งนั้น

เถรี 28-12-2017 18:54

ถาม : มีคนบอกว่าประเทศไทยที่เราคุณภาพไม่ดี เพราะเราไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของเขา ?
ตอบ : ไม่ใช่...อยู่ที่สันดานขี้ข้า..! แย่ยิ่งกว่าเป็นเมืองขึ้นอีก คือยอมอ่อนน้อมต่อผู้มีอิทธิพลตลอด เราอาศัยพึ่งพิงผู้มีอิทธิพลมาตลอด ก็เลยไม่คิดที่จะยืนหยัดด้วยตนเอง เป็นระบบอุปถัมภ์มาตั้งแต่อดีต ประเภทเป็นทาสที่ปล่อยไม่ไป ในหลวงรัชกาลที่ ๕ เลิกทาสมานานตั้งเท่าไรแล้ว เรายังวิ่งไปอยู่ใต้อุ้งตีนทหาร...!

ถาม : ใครมีอำนาจก็ไปยกย่อง ?
ตอบ : ก็ไปประจบ

ถาม : เพื่อนบ้านเรามีแต่เมืองขึ้น เขานำหน้าไปแล้ว ?
ตอบ : ตอนนี้รอบบ้านแซงเราหมดแล้ว เราจากเสือตัวที่ ๕ ของเอเชียกลายเป็นเต่าตัวสุดท้ายของอาเซียน แล้วยังมาเจอรัฐบาลที่จ้องเล่นงานแต่พระอีก อย่างดีอาตมาก็แค่ย้ายไปอยู่วัดที่พม่า อุตส่าห์สร้างไว้ตั้งนานแล้ว

เถรี 28-12-2017 19:26

ถาม : พ่อแม่ของเพื่อนอายุ ๙๐ กว่าปี นอนหลับตายทั้งคู่ อย่างนี้ถือว่าดีหรือไม่ดีคะ ? และเขาแก่แล้วจะคิดถึงพระนิพพานได้อย่างไร ?
ตอบ : ดีหรือไม่ดีบอกไม่ได้ เพราะว่าอยู่ที่จิตสุดท้ายของเขาว่าเกาะอะไร ส่วนเรื่องการคิดถึงพระนิพพานนั้น ถ้าหากไม่ใช่คนที่ฝึกฝนจนถึงระดับจริง ๆ ก็ยากนักที่จะคิดได้

ถาม : ยากที่จะคิดได้ ?
ตอบ : ยากสุด ๆ พระนิพพานเป็นส่วนของการพ้นเกิด พ้นตาย เป็นส่วนของโลกุตระ เหนือจากโลกทั่ว ๆ ไป สภาพจิตที่คุ้นชินกับโลกในระดับต่าง ๆ โอกาสที่จะเกาะพระนิพพานที่เหนือโลกจึงยากเย็นแสนเข็ญ

เถรี 28-12-2017 19:46

ถาม : ถ้าคนอยู่ข้าง ๆ พูดคำว่า "นิพพาน ๆ ๆ ๆ" กรอกหูคนใกล้ตายจะได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้แต่ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าสภาพจิตที่ไม่ได้ฝึกมาจนชิน แม้เข้าใจคำว่า "พระนิพพาน" ก็ไม่รู้ว่าจะไปอย่างไร กำลังใจที่จะไปพระนิพพานต้องปล่อยวางหมดทุกอย่าง ดีไม่ดีคำพูดกรอกหู อาจทำให้เขายึดเสียด้วยซ้ำ เหมือนคนที่บอกว่าจะไปเชียงใหม่ แต่ยืนกอดเสา แล้วจะไปได้อย่างไร ? แต่ให้เขาพูดกรอกหูเอาไว้เถอะ อย่างน้อย ๆ เขาจะได้ไปในที่ดี ๆ

เถรี 28-12-2017 20:25

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานเจ้าคณะอำเภอชนแดนโดนจับสึกเข้าห้องขังไปแล้ว เรื่องนี้ร้ายแรงกว่าที่คิด เพียงแต่ว่าคนมองเกมออกก็ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร เพราะว่าถ้าช่วยเหลือก็เป็นการปกป้องพวกเดียวกัน เขาจะถือว่ามหาเถรสมาคมเป็นองค์กรที่ใช้ไม่ได้ เห็นแก่พวกแก่พ้อง

อย่าลืมว่าพระครูกิตติพัชรคุณท่านเป็นตัวเล็กที่สุดในคดีเงินทอน คราวนี้พอเริ่มตรงนั้นแล้วไม่มีใครกล้าขยับ เขาก็จะก้าวขึ้นมาเรื่อย ๆ เพราะว่าในชุดแรกนั้นมีท่านเจ้าคุณประเทือง (พระเทพเสนาบดี) เจ้าคณะจังหวัดลพบุรี ที่ถือว่าเป็นเจ้าคณะจังหวัดรุ่นใหม่มาแรงที่สุด แล้วมีท่านเจ้าคุณบุญเทียม (พระราชรัตนมุนี) เลขานุการเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ถ้าขยับขึ้นมาถึงสองรายนี้ ใครขยับตามคนนั้นโดน กลายเป็นหมากรุกฆาต ปกป้องพวกเดียวกันก็ปกป้องไม่ได้ แต่ถ้าไม่ปกป้องพวกเดียวกัน เขาก็รุกคืบหน้ามาเรื่อย ๆ

เรื่องพวกนี้จริง ๆ แล้วไม่ใช่ความผิดของพระ เพราะว่าสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นพี่เลี้ยงของพระ มีหน้าที่แนะนำว่าพระต้องทำอย่างไรจึงจะถูกระเบียบถูกกฎหมาย แล้วเงินที่หายก็หายไปในสำนักพุทธฯ ทั้งนั้น แต่กลายเป็นว่าเขาเอาเรื่องนี้มาเล่นงานพระ แล้วก็ไม่มีใครกล้าออกมาพูด เพราะว่าล้วนแต่มีแผลทั้งนั้น

ตอนนี้วัดใหญ่ ๆ ในกรุงเทพฯ โดนเขาขึ้นบัญชีไว้เยอะแยะไปหมด ถ้าเขารุกคืบหน้ามาถึงพระเทพเสนาบดีหรือพระราชรัตนมุนีได้ จะขยับไปใหญ่กว่านั้น หมากนี้เดินลึกมากชนิดที่มองไม่เห็น ส่วนคนมองเห็นก็ไม่กล้าทำอะไร"

เถรี 28-12-2017 20:26

"ในประเทศอื่น ศาสนาอื่น ใช้วิธีการสงครามยึดบ้านยึดเมือง แต่ในประเทศเรา เขาใช้วิธีออกกฎหมาย แล้วเอากฎหมายมาเล่นงานเรา เพราะฉะนั้นแง่มุมอะไรที่ผิดกฎหมายแม้แต่นิดเดียวก็โดนหมด

ถ้าเราสังเกตดูในช่วงที่ผ่านมา ในเรื่องของการปรองดองและสมานฉันท์ ฝ่ายหนึ่งทำอะไรไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ผิดหมด โดนตัดสินคดีเข้าคุกอย่างรวดเร็ว ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งคดีใหญ่โตแทบจะล้นฟ้า ไม่ได้รับการพิจารณาแม้แต่เรื่องเดียว เราเห็นชัด ๆ อยู่แล้วว่าเรื่องกฎหมายเขาเอาไว้เล่นงานคนฝ่ายตรงข้าม

การที่จะยึดประเทศไทยได้ต้องทำลายสถาบันศาสนา ซึ่งก็เห็น ๆ อยู่ว่าโดนเบี่ยงประเด็นจากความผิดของพวกฆราวาสที่กินเงินพระ กลายเป็นพระผิด จะว่าไปแล้วถ้าคนเราไม่มีแผล ก็ไม่ต้องหวาดกลัว แต่คราวนี้ส่วนใหญ่มีแผลทั้งนั้น เลยกลายเป็นอะไรที่วางตัวยาก ขยับลำบาก พูดง่าย ๆ ว่าขยับไปทางไหนก็โดนไปหมด"

เถรี 28-12-2017 20:30

"พวกเขาทำกันเป็นขบวนการ ถ้าเราพูดไปก็จะมีคนอ้างวาทกรรมว่าเป็นทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด คือคิดอย่างไรก็สมเหตุสมผล แต่เขาทำจริง ๆ ดูอย่างหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำไม่มีความผิด ศาลตัดสินยกฟ้อง แต่ไม่มีใครแก้ข่าว แต่ท่านเละไปแล้ว กลายเป็นท่านมีมลทินติดตัวไปตลอดชีวิต ทั้งที่ศาลตัดสินว่าไม่มีความผิดเลย

ขบวนการทั้งหลายเหล่านี้ช่วยกันกระหน่ำซ้ำเติม แต่ถ้าเป็นเรื่องดี ๆ เขาจะไม่พูดถึง จะไปรอกฎของกรรมเล่นงานก็ต้องรอจนเขาตาย รู้สึกว่าจะต้องทำใจ

ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ รถยนต์ที่ซื้อมาเป็นรถหนีภาษี ซึ่งศาลตัดสินชัดเจนว่าถ้าคุณซื้อของหนีภาษีมาหนึ่งชิ้น ความผิดอยู่ที่คุณ หรืออยู่ที่คนขาย ? ถ้าคนไม่เอาของชิ้นนั้นมาขาย คุณจะไปซื้อจากไหน ? ศาลก็เลยยกฟ้อง แต่เมื่อยกฟ้องแล้ว ก็ไม่มีการแก้ข่าว พูดง่าย ๆ ว่า เล่นงานไปแล้ว ได้ผลตามความปรารถนาไปแล้ว ทำลายความเชื่อถือในท่านไปแล้ว

แล้วมีบอกไหมว่าทำไมยกฟ้อง ? มีบอกไหมว่าทำไมท่านไม่ผิด ? ดีที่ท่านเมตตามากบอกว่าอย่าไปเอาเรื่องเอาราวเขา เพราะเรื่องแบบนี้ปกติแล้วฟ้องกลับได้ หมิ่นประมาทต่อสาธารณชน ไปนึกถึงที่หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ท่านไปวางรากฐานในต่างประเทศเอาไว้ ท่านบอกไว้ชัด ๆ เลยว่า ถ้าศาสนาพุทธในบ้านเราอยู่ไม่ได้ จะได้มีที่ให้เราไปกันได้ นั่นคือการมองเห็น วิสัยทัศน์ที่ยาวไกลเกินกว่าปกติชนจะเห็นได้ ถ้าไม่ได้พระระดับนั้น ก็ไม่มีทางหรอกที่จะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น"

เถรี 28-12-2017 20:31

คุยกับพระ "ผมไปสร้างวัดที่พม่า ๒๐ กว่าปีแล้ว อย่างไรผมมีวัดอยู่แน่ โดยเฉพาะพม่าเขาต่อต้านอิสลามสุดชีวิตอยู่แล้ว ศาสนาอื่นจะมาหือไม่ได้ ดูอย่างญี่ปุ่น คุณนับถืออิสลามได้แต่ห้ามมีศาสนาพิธี ห้ามมีศาสนาสถาน"

เถรี 30-12-2017 08:58

พระอาจารย์กล่าวว่า "วัดวังปะโท่เลยทองผาภูมิไป ๒๒ กิโลเมตร แต่ถ้าทำดี ๆ วัดไม่ขี้เหร่หรอก เขามีหลวงพ่อตะเคียนทองอายุหลายร้อยปี แกะสลักจากตะเคียนทองทั้งต้น สามารถทำเป็นแหล่งเที่ยวได้

เป็นวัดอดีตเจ้าคณะอำเภอสังขละบุรี สมัยก่อนที่จะสร้างเขื่อน ถ้าจะขึ้นไปสังขละบุรีต้องผ่านวังปะโท่ขึ้นไป แต่ปัจจุบันถนนที่ผ่านหน้าวัดท่าขนุนเป็นถนนตัดใหม่ เขาจึงไปทางนี้ ถ้าถนนสายเก่าจมอยู่ในน้ำเกือบหมด"

เถรี 30-12-2017 09:15

พระอาจารย์กล่าวว่า “สีผึ้งหลวงพ่อทาบ ไม่รู้ท่านใช้สูตรอะไร อาจจะเป็นว่านยาตัวนั้น ทำให้สีผึ้งแข็งเป็นหินเลย วันก่อนลองทำให้ละลายดู ละลายอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ท้ายสุดเอาเข้าไมโครเวฟเลย ตากแดดไม่ละลาย ใช้น้ำร้อนไม่ละลาย เข้าไมโครเวฟหมดเรื่องหมดราวไปเลย ละลายก็จริงแต่พอถึงเวลาเย็นตัวก็แข็งเป็นหินเหมือนเดิม

ที่ทำละลายเพราะสีผึ้งที่ได้มาเป็นตลับดั้งเดิม ซึ่งเขามีตะกรุดสาริกาอยู่ ๒ ดอกกับพระนางกวักองค์หนึ่ง อาตมาจะเอาพระออกมาแล้วจะได้แบ่งสีผึ้งให้เขา ปรากฏว่า
พอเอาพระออกมาพักเดียวสีผึ้งก็แข็งเป็นหินเหมือนเดิม ต้องใช้มีดมาค่อย ๆ แซะเอา”

เถรี 30-12-2017 09:50

พระอาจารย์กล่าวว่า “คนเมืองน่าสงสาร น่าสงสารตรงที่ว่า ถ้าสาธารณูปโภคมีปัญหาก็จะเดือดร้อนกันหมด คนต่างจังหวัดอย่างอาตมาไม่มีปัญหา เพราะว่าแม่น้ำอยู่หลังวัด ตอนนี้เขาวัดคุณภาพน้ำทุกเดือน เหตุที่ต้องวัดคุณภาพน้ำทุกเดือน เพราะว่าทางด้านเทศบาลเขาใช้น้ำไปทำประปา

พอถึงช่วงเวลาปล่อยน้ำจากเขื่อนได้สักครึ่งชั่วโมง ทางเทศบาลก็จะเริ่มสูบ ก็คือให้น้ำใหม่ไล่น้ำเก่าไปก่อน แล้วน้ำใหม่หน้าเขื่อนส่วนใหญ่บางทีก็มีฟองน้ำหรือขยะอยู่ ต้องบอกว่าเทศบาลทำงานรอบคอบมาก โดยเฉพาะครั้งแรกเห็นโรงสูบน้ำ เป็นบันไดลงไปเฉย ๆ เดินบิณฑบาตครั้งต่อมาปรากฏว่ามีประตูเรียบร้อยแล้ว ป้องกันคนไปรบกวน เกิดมีใครเอาสลอดใส่ลงไปก็ได้ท้องร่วงกันหมดทั้งอำเภอ

คนกรุงเทพฯ ก็อยู่ในลักษณะเดียวกัน ถ้าสาธารณูปโภคหรือข้าวของไม่สามารถส่งถึงได้นี่ลำบากเลย ไปนึกถึงปี ๒๕๕๔ ข้าวของในห้างสรรพสินค้าหมดเกลี้ยงไม่เหลืออะไรเลย นอกจากชั้นเปล่า ๆ วาง นั่นคือลักษณะของการขาดแคลน เพราะว่าเส้นทางเข้ากรุงเทพ ฯ โดนน้ำตัดขาดหมด เหลือทางด้านพระราม ๒ เส้นเดียว ยังโชคดีที่เป็นด้านพระราม ๒ เพราะว่าอาหารทะเลยังเข้ามาได้"

เถรี 31-12-2017 00:21

ถาม : (พระถามเรื่องนิมิต)
ตอบ : เรื่องของนิมิตบางทีก็เป็นการทดสอบกำลังใจ แกล้งให้เราหลงทิศหลงทาง นิมิตที่เกิดขึ้นบางทีอยู่ในลักษณะมาทดสอบว่า เราเองลืมคำสั่งครูบาอาจารย์หรือเปล่า ? มีความมั่นคงต่อสัจจบารมีเราแค่ไหน ? สำหรับผมเองไม่ค่อยเอานิมิตมาเป็นอารมณ์หรอกครับ ถ้ามาออกคำสั่งกันเป็นตัวตนชัด ๆ อย่างนั้นค่อยเอามาพิจารณา

เถรี 31-12-2017 00:26

พระอาจารย์กล่าวว่า “ไปญี่ปุ่นเที่ยวนี้ ผู้ที่อำนวยความสะดวกในการท่องเที่ยวให้เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี ก็คือท่านพลเอกฮิเดกิ โตโจ ถามท่านว่า คุณเป็นอาชญากรสงครามไม่ใช่หรือ ? ตายแล้วไปดีได้อย่างไร ? ท่านบอกว่า “ตามประวัติผมฆ่าตัวตายนะครับ” ก็เลยถามว่าแล้วฆ่าตัวตายเกี่ยวอะไรกับไปดี ? ท่านบอกว่า “คนที่กำลังใจไม่หวั่นไหวแม้แต่ความตาย ถ้าสมาธิไม่ทรงตัวจะทำไม่ได้ครับ” อาตมาก็ต้องยอมท่าน สรุปว่าบรรดาเสือสงครามโลกทั้งหมดมีท่านที่ไปดีที่สุด คนอื่นลงไปแช่ออนเซ็นมาแล้วทั้งนั้น...!

แต่ที่ทึ่งกว่านั้นก็คือ ผู้รักษาความปลอดภัยเป็นซามูไรยุคเก่า ๒ วันแรกยังไม่ได้คุยอะไรกัน พอวันที่ ๓ มีเวลาก็เลยเรียกมาคุย ถามว่าชื่ออะไร ? ท่านบอกว่าชื่อเบ็นโนะสึเกะ ถามว่าทำอะไรถึงมาเป็นเทวดาได้ ? ท่านบอกว่าฝึกวิถีซามูไรจนกระทั่งสามารถรู้เขารู้เรา รู้ว่าแม้กระทั่งว่าคู่ต่อสู้จะมาอย่างไร ลักษณะนั้นเป็นเจโตปริยญาณเลยนะ

ถามท่านว่า แล้วคุณตายในการรบครั้งไหน ? ท่านบอกว่าไม่เคยแพ้ใคร อาตมาก็สะดุ้งเฮือก บอกว่าไม่เคยแพ้ใคร ที่ได้ยินมามีคนเดียวก็คือปรมาจารย์ห้าห่วงมุซาชิ ท่านก็เลยบอกว่า “ผมคือยามาโมะโตะ เบ็นโนะสึเกะ คนรุ่นหลังเขาเรียกผมว่า มุซาชิครับ” ท่านบอกชื่อเดิม ไม่ยอมบอกชื่อใหม่

ถามว่า คุณทำได้ขนาดนั้นทำไมมาเป็นลูกน้องของโอจิซัง (ท่านนายพลฮิเดกิ) ? ท่านบอกว่า “ผมป่วยนานครับ สมาธิคลายตัวหมด” น่าเสียดาย...ก่อนตายท่านป่วยนาน สภาพสังขารที่โดนกัดกร่อนด้วยความเจ็บไข้ได้ป่วยทำให้หลุดจากสมาธิ เลยไปได้แค่ชั้นจาตุมหาราช อาตมาก็รู้จักแต่มุซาชิ ที่ไหนได้ ท่านบอกว่าเป็นชื่อใหม่ เกิดมาชื่อเบ็นโนะสึเกะ มีธรรมเนียมประเภทตั้งชื่อใหม่เหมือนกัน"

เถรี 31-12-2017 00:36

"ครั้งที่แล้วไป มีทิดเต้ย ทิดฝุ่น คุณอรรณพถวายเงินเยนให้ติดตัวไปหมื่นกว่าเยน กลับมามีอยู่สามหมื่นกว่าเยน..! ตูก็ว่าตูใช้เยอะนะ งวดนี้ยังไม่ทันจะไปอเมริกาตามที่เขานิมนต์ ธนบัตรดอลลาร์มาเพียบเลย

ที่ไปส่วนใหญ่ไปดูกิจการของวัดเพื่อที่จะเอามาใช้งานที่บ้านเรา แล้วก็เอามาสอนนักศึกษา เพราะว่าจะต้องสอนเกี่ยวกับพุทธศาสนาทั้งทางตะวันออกและตะวันตก แต่ละประเทศควรที่จะมีข้อมูลใหม่ล่าสุดของเขา ก็เลยไปดูแต่วัด แทบจะไม่ได้ไปที่อื่นเลย

คราวนี้ในส่วนที่ไปก็วัดเกินร้อยละ ๘๐ ไม่เก็บเงิน หมายความว่าไม่เก็บเงินพระนะ พอถึงเวลาจะไปซื้อตั๋วเขาบอก "โอโบะซัง มูเรียวไดสึ" ก็คือเป็นพระภิกษุไม่ต้องจ่าย ประหยัดไปได้เยอะเลย เพราะว่าแต่ละวัดนี่ ค่าเข้าชม ๕๐๐ เยนเป็นอย่างต่ำ แล้วถ้าจะเข้าพิพิธภัณฑ์วัดก็ต้องจ่ายเพิ่มอีก

ที่ญี่ปุ่นเป็นญี่ปุ่นได้ทุกวันนี้เพราะวิถีนักรบที่เขาเรียกว่าบูชิโด กับพระพุทธศาสนา สองอย่างหลอมรวมกันขึ้นมาทำให้เขาเป็นบุคคลที่ไม่เหมือนใคร มีความอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ว่าจริงจังกับทุกเรื่องในชีวิต ทำอะไรทุ่มเทด้วยชีวิตเลย ทั่วโลกคนทำงานมีแต่ต้องการชั่วโมงทำงานน้อย ๆ แต่ญี่ปุ่นรัฐบาลต้องบังคับให้ทำงานน้อยลง แล้วเขาออกกำลังโดยธรรมชาติก็คือเดิน แต่ละวัดที่อาตมาไปเดินกันขาลากจริง ๆ ญี่ปุ่นพื้นที่น้อยก็จริง แต่วัดของเขาแต่ละวัดพื้นที่กว้างขวางมาก แล้วดูแลรักษาได้สะอาด สงบ ร่มรื่นน่าอยู่ ประทับใจมาก"

เถรี 31-12-2017 00:40

"ไปถึงยังทึ่งว่าทำไมวัดเขาใหญ่ขนาดนี้ ? ไหนบอกว่าไม่ค่อยมีพื้นที่ คงจะเหมือนกับประเทศของเรา ที่เขาบอกว่าที่ไหนสวย ๆ ไม่พระหรือรีสอร์ทยึดไปหมด เพราะว่าพระก็มักจะไปหาที่ซึ่งเหมาะแก่การปฏิบัติธรรมไว้ก่อน พอถึงเวลาสร้างเป็นวัดขึ้นมา ดูแลรักษาดี ขออนุญาตตั้งเป็นวัดได้ ก็กลายเป็นพื้นที่วัดไปหมด

แต่ว่าภูมิใจอยู่อย่างเดียวขณะที่ไปสวนหินเซน อาตมานับหินได้ครบ ขณะที่คนอื่นนับให้ตายก็ไม่ครบ เขาไปนั่งเฝ้าเลยว่าทำอย่างไรจะนับให้ครบ ต้องบอกว่าสายตาที่ดูวัตถุมงคลแล้วรู้ตำหนิ กับหินก้อนเบ้อเร่อจะดูไม่ออกเชียวหรือ ? แต่ก็เหลือเชื่อจริง ๆ หินแค่ไม่กี่ก้อนเรียกนักท่องเที่ยวได้ขนาดนั้น พื้นที่ก็ไม่ได้กว้างหรอก เขาทำเป็นสวนหิน แล้วเขาก็ไปนั่งจ้องกันเป็นแถว ดูเขาแล้วนิ่งมากเลย พยายามจะหาสัจจธรรมจากก้อนหินตรงหน้าให้ได้

อาตมาเองไม่ต้องเสียเวลาเลย หินก็ค่อย ๆ เปื่อย ค่อย ๆ ผุ อยู่นั่นแหละ การที่คงสภาพอยู่ไม่ได้คืออนัตตา การที่ต้องทนกับความเสื่อมสลายคือความทุกข์ ขณะที่เสื่อมสลายก็คืออนิจจัง ชัด ๆ อยู่แล้ว แต่เขาก็ไปนั่งจ้องกันอยู่ได้ทั้งวัน"

เถรี 31-12-2017 00:45

ถาม : คนญี่ปุ่น เขาบำรุงพระศาสนา วัดมีพื้นที่ใหญ่โต ดูแลวัดอย่างดี ทำไมไม่รักษาศีลห้า โดยเฉพาะข้อปาณาติบาต ให้เคร่ง ยังนิยมกินสัตว์ทะเลเป็น ๆ อยู่ ?
ตอบ :ญี่ปุ่นถูกจำกัดด้วยทรัพยากร ไม่ฆ่าก็ไม่มีกิน เพราะว่าทะเลล้อมรอบอยู่ ไปแล้วจึงได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วญี่ปุ่นอัตคัดขัดสนมาก ถ้าไม่มีทะเลกับไม่มีของจากต่างประเทศส่งเข้าไปนี่ตายเลย พื้นที่เพาะปลูกมีน้อยมาก อาชีพชาวนาเป็นอาชีพที่ค่าตัวแพงที่สุด รัฐบาลต้องขอร้องให้ทำนา ตั้งเงินเดือนสูง ๆ เป็นอาชีพที่มีเกียรติมาก

ที่ไม่อยากไปญี่ปุ่นเพราะว่ามีเจ้าหนี้มาก เคยไปกวาดเขาหมดเมืองเลย สรุปว่างวดนี้ไปตกลงอโหสิกรรมกันได้ เขาขอบุญปล่อยสัตว์ของอาตมาตลอด ๓๒ ปีที่ผ่านมา ก็ต้องให้เขา ไม่อย่างนั้นแล้วปราสาทฮิเมจิอาตมาจะเข้าไม่ได้ โหดมากเลยใช่ไหม ? คนอื่นเขาไม่รู้ว่าอาตมาทุกข์ทรมานแค่ไหนกว่าจะเดินได้สักเมตรหนึ่ง ท้ายสุดก็เลยต้องตกลงกันว่าจะเอาอย่างไร ?"


ถาม : เขามาขวางหรือคะ ?
ตอบ : กำลังที่เขาดันออกมากดอาตมาเอาไว้แทบจะกระดิกไม่ได้เลย เขาอาศัยหมู่มากเข้าว่า เหมือนกับที่พระราชมณเฑียรทองที่มัณฑะเลย์ แรงที่ผลักออกมาอย่างกับต้องเดินฝ่าน้ำตกเข้าไปเลย

เถรี 31-12-2017 00:49

ถาม : เวลาเนิ่นนานขนาดนั้นแล้ว ทำไมเขาไม่ไปเกิด ?
ตอบ : อันดับแรกคือบุคคลที่มีเวรมีกรรมกันมา อันดับที่ ๒ กำลังใจที่ยังยึดมั่นต่อหน้าที่ แม้ตายแล้วเขายังไปไหนไม่ได้ แบบเดียวกับพวกที่เฝ้าขุมทองญี่ปุ่นที่กาญจนบุรี อาตมาบอกว่า "ญี่ปุ่นแพ้สงครามแล้ว" พูดให้ตายเขาก็ไม่เชื่อ เขาบอกว่า "ยึดไปตั้งครึ่งโลก แค่ ๒-๓ วันจะแพ้ได้อย่างไร ?" คือในโลกของเขาผ่านไปแค่ ๒-๓ วัน เขาไปยึดเกาะอยู่กับหน้าที่อะไรของเขา พูดง่าย ๆ ว่าเขาไปมัดตัวเองเอาไว้ เลยไปไหนไม่ได้

เถรี 31-12-2017 00:53

ประการที่ ๒ ที่ไม่อยากไปญี่ปุ่นเพราะของแพงเหลือใจ กินชานมหนึ่งถ้วย ๕๐๐ เยน โอ๊ย...จะเป็นลม ลองนึกดูว่า ๑๐๐ เยนเท่ากับ ๓๐ บาท ชานมถ้วยแค่พอ ๆ กับกาแฟสตาร์บัคส์

แต่ว่าของเขานี่เครื่องอำนวยความสะดวกเหลือล้นจริง ๆ เลย ไปไหนก็มีแต่ตู้หยอด จะเอาน้ำ จะเอาชา จะเอาอะไร มีทั้งร้อนเย็น แล้วที่อำนวยความสะดวกได้ดีมาก ก็คือจะใส่ธนบัตรใส่เหรียญใส่เกิน เขามีทอนให้ทั้งนั้นแหละ แต่อาตมาชอบชาร้อนเขานะ พวกชาเขียว

ขวดหล่นมาตอนแรกไม่นึกว่าจะร้อนได้ขนาดนั้น ร้อนเกือบ ๖๐ องศาเห็นจะได้ คืออากาศบ้านเขาเย็น ต้องมีของร้อน โดยเฉพาะโถส้วมนั่งสบายอย่าบอกใครเลย เขาอุ่นโถส้วมให้ อาตมาก็สงสัยว่าทำไมต้องเปิดสวิทซ์ไฟอีกอันหนึ่ง อ๋อ...เป็นสวิทช์สำหรับก๊อกน้ำกับโถส้วม ถ้าไม่เปิดก็เย็นเฉียบ

ที่ไปนอนคืนแรกเป็นอพาตร์เมนท์แบบญี่ปุ่น ห้องแคบ ๆ ฟูกสั้น ๆ ผ้าห่มสั้น ๆ อาตมาก็ขายาว ใส่ถุงเท้าแล้วเท้าโผล่ออกไป หนาวอย่าบอกใครเลย อากาศแค่ ๙ องศาเซลเซียส ท้ายสุดก็เลยต้องโวยวาย บอกท่านผู้ดูแลให้ช่วยหน่อย "ตูไม่ใช่คนญี่ปุ่นโว้ย จะหนาวตายอยู่แล้ว" ท้ายสุดเลยนอนสบาย อุ่นเหมือนกับอยู่ที่วัด

เถรี 31-12-2017 01:00

คนที่นั่นเขาเป็นคนตรงต่อเวลามาก ๆ เลย นัดอะไรไม่เคยพลาดเลย มีแต่ก่อนไม่มีหลัง โดยเฉพาะรถตู้ เจ้าประคุณมาก่อนหนึ่งชั่วโมง อาตมาก็รอว่าตรงเวลาแล้วจะลงไป ที่ไหนได้...ลงไปเขาบอกว่ามารออยู่ก่อนหนึ่งชั่วโมงแล้ว

แต่อย่าไปเช่ารถที่ญี่ปุ่นนะ แพงสุด ๆ บ้านเราวันละ ๑,๕๐๐ บาท ค่าน้ำมันต่างหาก สำหรับรถตู้ของเขาวันละ ๓๕,๐๐๐ บาทไทย ไปอยู่ ๕ วันโยมจ่ายค่ารถตู้ไปแสนกว่าบาท ถ้าเป็นพวกเราจะกล้าเช่าไปไหม ? ไปแล้วแม้ว่าจะได้ประโยชน์หลาย ๆ อย่าง แต่ว่าสงสารโยม ไปแล้วทำให้โยมเขาสิ้นเปลืองมาก ก็เลยไม่อยากจะไปอีก

อย่างที่ครอบครัวคุณลือชัย นิยมชาติ นิมนต์ไปอเมริกาก็เหมือนกัน ตอนแรกกำหนดมาเกือบ ๓๐ วัน แล้วนั่งเครื่องบินภายในประเทศตลอดเลย คุณลองคิดดูว่าเขาจะต้องจ่ายเท่าไร ? ท้ายสุดก็เลยบอกว่าพยายามบีบลงมาอย่าให้เกิน ๑๐ วัน ไม่ใช่ว่ามีโยมจ่ายแล้วเราจะฉวยโอกาสไปถลุงเขา ขนาดหลวงพ่อวัดท่าซุงชวนไปอาตมายังไม่ไปเลย กลัวว่าจะทำงานไม่คุ้มกับค่าเครื่องบิน

คิดดูว่า ๕ วัน ที่ญี่ปุ่น เฉพาะค่าเช่ารถตู้หมดไปแสนกว่าบาท โยมเขาก็กล้าเช่า อาตมาได้ยินนี่ใจหายแวบเลย ตอนแรกไม่รู้หรอก แอบถามคนขับว่าค่ารถวันละเท่าไร เขาบอกว่าวันละ ๓๕,๐๐๐ บาท ไม่ใช่ ๓๕,๐๐๐ เยนนะ ๓๕,๐๐๐ บาท แล้วยังมีทิปอีกต่างหาก

เถรี 31-12-2017 09:26

ที่ชอบใจที่สุดคือด่านเก็บเงินทางด่วนเขา ถ้าเป็นบ้านเรานี่รถติดยันเชียงรายเลย..! ไปถึงก็ “สวัสดีครับ ๑,๖๓๐ เยนครับ มีแบงค์ย่อยไหมครับ ? ขอหน่อยครับ ขอบคุณมากครับ ผมรับมาแค่นี้ ทอนแค่นี้นะครับ โอกาสหน้าเจอกันใหม่นะครับ” โห...ทำไมมีเวลาคุยได้ขนาดนั้น เฮ้อ...เหนื่อยใจ

ถาม : มีช่องอัตโนมัติเหมือนบ้านเราไหมครับ ?
ตอบ : มีช่องอัตโนมัติ แต่เขาไม่ค่อยใช้กัน เพราะว่าเขาเป็นสังคมคนสูงอายุ บรรดาคุณลุงคุณตามาทำงานกันทั้งนั้น อย่าไปคิดว่าเขาแก่นะ เดินเร็วมากเลย โดยเฉพาะตามสถานีรถไฟฟ้า เราเดินช้าจะโดนชนจริง ๆ ไม่ใช่ว่าเดินเร็วจนเราต้องวิ่งตามอย่างเดียว ถึงเวลารีบด่วนเขาวิ่งอีกด้วย กลายเป็นว่าเขาออกกำลังหนักอยู่ทุกวัน

ที่ชอบยิ่งกว่านั้นก็คือห้องสูบบุหรี่ มีแต่ห้องเปล่า ๆ ไม่ให้นั่ง ให้ไปยืนอัดกันเอง จะได้รีบ ๆ สูบ บ้านเรา แหม...เบาะหนังอย่างดีเลย ไปถึงก็นั่งไขว่ห้างสูบบุหรี่ บ้านเขาเป็นห้องเปล่า ๆ ใครติดบุหรี่อยู่ที่ญี่ปุ่นนี่เดินสาหัสเลยนะ กว่าจะเจอห้องสูบบุหรี่ ไม่ได้มีอยู่ทั่วไป เขามีป้ายเป็นภาษาญี่ปุ่นบอก กว่าจะเดินหาเจอ ถ้าเป็นบ้านเราก็หายอยากไปแล้ว

เถรี 31-12-2017 09:31

ที่วัดโทไดจิ ที่มีพระพุทธรูปใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น เขามีเสาที่มีช่องเหลี่ยม ๆ ถ้าหากว่าใครอธิษฐานอะไรแล้วสำเร็จจะลอดผ่านไปได้ ส่วนใหญ่ก็มีแต่เด็ก ๆ ลอด ปรากฏว่าป๋าติ๋มที่ไปด้วยลอดได้ ไม่น่าเชื่อ แกบอกว่ามาครั้งก่อนแกลอดได้ ครั้งนี้อ้วนขึ้นตั้งเยอะก็ยังอุตส่าห์ลอดได้อีก เหลือเชื่อเลย พวกฝรั่งถ่ายรูปกันใหญ่ เห็นผู้ใหญ่ขนาดนั้นไปต่อแถวเด็ก

สรุปว่าประเทศญี่ปุ่นอากาศดี คนกินอาหารที่มีไขมันต่ำ ต้องออกกำลังกายภาคบังคับ ส่วนใหญ่ก็เลยอายุยืน ไปทางไหนมีแต่คุณลุงคุณตาทำงานเต็มไปหมด ไม่มีใครเลี้ยงหลานอยู่กับบ้านเลย

เถรี 31-12-2017 22:01

ถาม : คำว่า "นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้" เป็นได้หรือคะ ? เจ้านายเขาสอนว่า ให้หนูปฏิบัติ ถ้าเราทิ้งอัตตา เราจะนิพพานที่นี่ เขาบอกว่าเข้านิพพานแล้ว ?
ตอบ : ฆราวาสเข้าพระนิพพานแล้วอยู่ไม่ได้หรอก เพียงแต่ว่าอาจจะเข้าถึงอารมณ์บางส่วนได้ คำว่า "นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้" สำหรับบุคคลที่เข้าถึงจริง ๆ นั้นใช่ เพราะว่าพระนิพพานไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก ถ้าเราเข้าถึงจริง ๆ พระนิพพานก็อยู่ในทุกหนทุกแห่ง เพียงแต่ว่าถ้าคนที่เข้าถึงจริงถ้าเป็นฆราวาสจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ เพราะว่าเป็นโทษแก่คนอื่นเขามาก

ถาม : เขาพูดว่า "นิพพานคือสุญญัง" แต่หนูจำได้ หนูเคยอ่านเจอว่า....(ไม่ชัด)... ?
ตอบ : คำว่า สุญญัง แปลว่า ว่าง คือ ว่างจากกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง แต่มีคนไปแปลว่า ไม่มี สูญ คือไม่มีอะไร พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัด ๆ ว่า ตทายตนัง คืออายตนะนั้นมีอยู่ คำว่าอายตนะ หมายถึงพระนิพพาน

ท่านกล่าวถึงพระนิพพานว่าไม่ใช่พระอาทิตย์ ไม่ใช่พระจันทร์ ไม่ใช่ดิน ไม่ใช่น้ำ ไม่ใช่ลม ไม่ใช่ไฟ ไม่ใช่อากาสานัญจายตนะ ไม่ใช่วิญญาณัญจายตนะ ไม่ใช่อากิญจัญญายตนะ ไม่ใช่เนวสัญญานาสัญญายตนะ แต่ท่านยืนยันว่ามีอยู่ ในเมื่อมีอยู่ ก็แปลว่าไม่ได้สูญ เพียงแต่ว่าคำว่า สูญ ต้องคนที่เข้าถึงจริง ๆ จึงจะรู้ว่าสูญนั้นคือ ปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง โดยสิ้นเชิง

คำว่า สูญ ตัวนี้ก็คือ สุญญตา หรือ สุญญัง ที่แปลว่า ว่างจากกิเลสทั้งปวง ต้องทำให้ถึงจะได้ไม่สงสัย

เถรี 31-12-2017 22:19

ถาม : ที่บ้านมีต้นไม้ใหญ่ จะตัดครับ ?
ตอบ : ต้นอะไร ?

ถาม : มะฮอกกานีครับ ?
ตอบ : ตั้งศาลเพียงตาให้เขาหนึ่งหลัง แล้วก็ตัดกิ่งค่อนข้างใหญ่หน่อย สักครึ่งคืบหรือคืบหนึ่งก็ได้ หันปลายขึ้นเอาไว้ในศาล ที่เอากิ่งใหญ่หน่อยเพื่อให้ตั้งได้ถนัด


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:33


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว