![]() |
พูดถึงแพะหลวงพ่ออ่ำ วัดหนองกระบอก "คาถากำกับก็คือ อากาเส จะ ทิปังกะโร นะโมพุทธายะ จริง ๆ แล้วเป็นคาถากันฟ้าผ่า ทีนี้ท่านเอามาใช้กับแพะ ดันเป็นมหาเสน่ห์ ตูจะบ้า...ท่านทำได้อย่างไร ?"
|
พูดถึงลิงของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว "คุณดูที่หางสิ เขาเรียกว่าลิงมีหลัก เอาหางค้ำพื้น นอกจากขาแล้วยังมีหางช่วยยัน โบราณเขาทำอะไรก็มีเคล็ดทั้งนั้น"
|
พระอาจารย์กล่าวถึงมีดหมอ "คุณดูแต่ละเล่มสิ มีดหมอโบราณส่วนใหญ่จะให้สวยจริงนั้นยาก เพราะว่าฝีมือช่างชาวบ้านทั้งนั้น แต่ไปเจอที่สวยจนตะลึงก็มีนะ แต่คนมีฝีมือแบบนั้นมีน้อยมาก"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่อาตมาไม่คิดจะไปเลย เหตุที่ไม่คิดจะไปเลย อันดับแรกคือของแพง กล้วยหอมหนึ่งลูก ๓๐๐ เยน บ้านเรากินได้เป็นหวี ไปที่โน่นจะกินลูกหนึ่งต้องคิดแล้วคิดอีก
ประการที่ ๒ คือเจ้ากรรมนายเวร ยังไม่ได้ใช้หนี้เขาเลย แต่มีคนออกตั๋วให้ ก็เลยตามเขาไปแบบงง ๆ ถ้าพาเขาซวยทั้งคณะก็โทษใครไม่ได้ เพราะว่าเขาอยากให้อาตมาไปเอง หนี้เก่าแค่กวาดเขาหมดจวนเจ้าเมืองเท่านั้น...! เจ้าเมืองคือไดเมียว...ใช่ไหม ? ประเภทดีเกินเหตุ จนชาวบ้านต้องมาร้องทุกข์ ในฐานะผู้ผดุงคุณธรรมก็เลยต้องช่วยเขาหน่อย แต่ก็อย่างว่า เรื่องพวกนี้ฆ่าเหลือบเก่าตาย เหลือบฝูงใหม่ก็มา การอยู่บนอำนาจแล้วคนจะมีความบริสุทธิ์ยุติธรรมนั้นหายาก เหลือบฝูงเก่าดูดเลือดจนหมูหมากาไก่จะแห้งตาย คิดว่าฆ่าตายแล้วจะจบ ที่ไหนได้...ฝูงใหม่มาอีก บางทีหนักกว่าเก่าอีก..!" เพราะฉะนั้นไปญี่ปุ่นงวดนี้ ถ้าไม่ใช่ดวงดีผีคุ้มจริง ๆ ก็รอด ถ้าไปเจอแผ่นดินไหว หรือภูเขาไฟระเบิด อาตมาจะไม่แปลกใจเลย พวกที่อยากตาม ๆ ให้รู้เสียบ้างว่าอาตมาไปก่อหนี้ไว้ทั่วโลก ปกติที่อยากไปคือไปแล้วมีประโยชน์ ทั้งกับตนเองและผู้อื่น เช่นไปศึกษาเรื่องของพุทธศาสนาแล้วเอามาเป็นข้อมูลสอนนิสิต ส่วนที่ไปแล้วไม่มีประโยชน์เขาชวนไปเที่ยว หมดอารมณ์" |
ถาม : ตอนที่หนูนั่งสมาธิ แรก ๆ ภาวนาพุทโธและดูลมหายใจ ต่อมาอารมณ์ใจอยากจะภาวนานะมะพะธะขึ้นมา รู้สึกว่าไปนะมะพะธะเอง แต่ก็จะสลับไปสลับมา ?
ตอบ : อยู่ที่ตัวเรา ถ้าเราตั้งใจจะเอาพุทโธก็พุทโธไป ถ้าเป็นนะมะพะธะเราก็ดึงกลับมาหาพุทโธใหม่ แต่ถ้าภาวนากี่ครั้ง ๆ ก็ไปนะมะพะธะอย่างเดียว ให้เปลี่ยนตามไปเลย เพราะว่าอาจจะได้เร็วกว่า...ง่ายกว่า ตอนแรก ๆ เรายืนยันในสัจจบารมี เอาพุทโธเป็นหลักก่อน ถ้าเอาไม่อยู่จริง ๆ ค่อยตามไป เรื่องการภาวนา ถ้าอยู่ในอารมณ์ปกติแล้วอยู่ ๆ จับคำภาวนาขึ้นมา ให้รีบตะครุบไว้ด่วนเลย เพราะว่ามีสองสาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรก คือ จิตสงบได้ที่จึงอยากจะภาวนา ก็จะย้อนกลับไปหาคำภาวนาเอง อีกประการหนึ่ง คือ อาจจะมีอันตรายเข้ามา สภาพจิตรู้ตัวก่อน ก็เลยให้เราภาวนาเพื่อกันเอาไว้ แต่ถ้าเรานั่งภาวนาอย่างเป็นทางการ ใช้คำภาวนาไหน เริ่มต้นด้วยอะไร ก็ฝืนดึงกลับมาที่คำภาวนาเดิม อย่าไปเปลี่ยนตามเขา ความจริงก็แค่ไม่กี่ครั้ง พอเราเคยชิน กำลังเริ่มดี ก็ใช้คำภาวนาตามที่ต้องการได้ ทำไป ๆ พอมีความคล่องตัวมาก ๆ ก็ไม่ต้องใช้คำภาวนาแล้ว แค่คิดเท่านั้น...ปึ้กเดียวก็ไปตามที่ต้องการเลย |
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานพระเมรุมาศของในหลวงรัชกาลที่ ๙ มีบางอย่างที่อาตมาอยากจะให้ช่างฝีมือทำให้เหมือนจริง ก็คือพญาครุฑ พญาครุฑเขาลงสีอย่างไรก็ลงไม่เหมือน คงจะเป็นเพราะเขาแค่ได้ยินแค่คำพูดมา
พญาครุฑกายไม่ใช่สีแดงเฉย ๆ แต่สีเหมือนถ่านสุก นึกออกไหม ? ถ่านที่ลุกเป็นไฟ เป็นแดงปนทอง เวลาพญาครุฑบินมาอย่างกับเปลวไฟมาเลย คราวนี้ไปเจอที่ไหน ๆ จิตรกรก็ลงสีเป็นสีแดงหมด เขาเอาพญาครุฑเป็นกายสีแดง แล้วเครื่องทรงและปีกเป็นสีทอง ซึ่งไม่ใช่ สีของกายเหมือนถ่านที่ลุกเป็นไฟ ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร ไปดูเอาเองก็แล้วกัน เวลาพญาครุฑบินมา มองไกล ๆ เหมือนกับไฟทั้งกองเลย" |
ถาม : ครุฑไม่ถูกกับพญานาคใช่ไหมคะ ?
ตอบ : เขาทะเลาะกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ ท้ายสุดก็ไปตามสัญชาตญาณ คือนกต้องกินงู แต่เขามีกฎเกณฑ์กติกาอยู่ว่ากินได้แค่ไหน ถ้าระดับสูงขึ้นไปอย่างนาคราช พวกราชตระกูล ก็กินเขาไม่ได้ ถ้าทำผิดกฎนี่ซวยมาก จะกินแต่ละทีต้องคอยดูว่าไม่ใช่ร้อยตำรวจเอกปลอมตัวมา..! |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ขอให้พวกเราทุกคนทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่า ดอกไม้ประจำพระองค์ของพระมหากษัตริย์ไทยคือดอกราชพฤกษ์ หรือที่เราเรียกว่าดอกคูณบ้าง ดอกลมแล้งบ้าง ไม่ใช่ดอกดาวเรือง
เนื่องจากว่าสีเหลืองเป็นสีประจำองค์พระมหากษัตริย์ ถ้าไปปลูกราชพฤกษ์แล้วอีกกี่ปีกว่าจะมีดอก ในเมื่อจำเป็นจะต้องใช้ ก็เลยเอาที่ขึ้นง่าย ๆ หน่อยคือดาวเรือง คาดว่าคงมีคนจำนวนมากที่ไปเข้าใจว่าดาวเรืองเป็นดอกไม้ประจำองค์พระมหากษัตริย์ ต้องเรียกว่าเป็นแค่ชั่วคราวเท่านั้น ใช้เฉพาะกิจ อะไรก็ได้ที่เป็นสีเหลือง เพราะสีเหลืองเป็นสีประจำองค์พระมหากษัตริย์ ถ้าเราสังเกตดูธงมหาราช คือธงประจำองค์พระมหากษัตริย์ เป็นสีเหลืองแล้วมีพญาครุฑอยู่ตรงกลาง ถ้าเป็นธงยุพราชมีสีเหมือนกัน แต่จะเป็นธงหางแฉก ธงตรามหาราช .................ผ่องผุดผาดในเวหา รูปครุฑราชา....................อ้าปีกกว้างท่าทางบิน ธงแดงดังแสงชาด...............ลายช้างกาจก่องกายิน บอกตรงธงแผ่นดิน...............ถิ่นสยามอันงามงอน" |
"ดอกดาวเรืองสมัยปัจจุบันนี้ปลูกได้ครั้งเดียว ไม่สามารถที่จะเก็บเมล็ดไปเพาะต่อได้ เนื่องจากเขาฉายรังสีมา แล้วบ้านเราออกกฎหมายใหม่เกี่ยวกับการเก็บเมล็ดพันธุ์ ซึ่งต่อไปใครไปเก็บเมล็ดพันธุ์เอาไว้ทำพันธุ์เอง อาจจะเดือดร้อนถึงขนาดติดคุกติดตาราง เพราะว่าเขาออกกฎหมายมาเอื้อให้บริษัทใหญ่เก็บเมล็ดพันธุ์ขายอย่างเดียว ซึ่งกฎหมายในลักษณะนี้ไม่ควรที่จะมีในประเทศเราซึ่งเป็นประเทศเกษตรกรรม เพราะว่าเท่ากับเอื้อนายทุนบีบบังคับให้เกษตรกรอยู่ภายใต้อาณัติของตัวเอง
ถ้าไม่มีสังกัดก็ไม่มีเมล็ดพันธุ์ ไม่สามารถทำการเกษตรได้ แต่รัฐบาลสิ้นสติ ออกกฎหมายประเภทนี้ออกมา แล้วออกมาในช่วงระหว่างการจัดพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ ๙ ซึ่งคนกำลังวุ่น ๆ กันอยู่ ไม่มีใครไปคัดค้าน ประกาศออกมารอการคัดค้าน ๓๐ วัน ป่านนี้ก็น่าจะหมดเวลาไป คนกำลังยุ่งอยู่กับงานถวายพระเพลิงในหลวง ร.๙ แล้วใครจะมีเวลามาคัดค้าน ? ต้องบอกว่าเจตนาเอื้อประโยชน์กับนายทุนอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลไม่สมควรกระทำ" |
"ในโลกของทุนนิยม ปลาใหญ่กินปลาเล็กถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้ากินมาก ๆ ปลาเล็กหมดไป ปลาใหญ่จะอยู่อย่างไร ? ส่วนใหญ่แล้วบ้านเราเมืองเราไม่ได้คิดถึงตรงนี้ คิดถึงแต่ประโยชน์เฉพาะหน้า เขาเอื้อประโยชน์ให้เรา เราก็ออกกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้เขา โดยไม่ได้ดูว่าคนชั้นรากหญ้าซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของประเทศเราเป็นเกษตรกร แล้วเขาจะอยู่กันอย่างไร ?
ปัจจุบันนี้ทางรัฐบาลก็ออกคำถาม ๖ คำถามมา ซึ่งเป็นคำถามที่ห่วยแตกมาก ต้องบอกว่าอยู่ในลักษณะชี้นำกลาย ๆ ซึ่งถ้าเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง การกระทำทั้งหมดของรัฐบาลปัจจุบันที่มาโดยวิธีการพิเศษ อาตมาถือว่าสอบตก เลือกตั้งครั้งต่อไปเป็นฝ่ายค้านแน่นอน แต่เมื่อเขามาด้วยวิธีพิเศษ ไม่ได้มาด้วยการเลือกตั้ง อย่างนั้นก็แล้วแต่เวรแต่กรรมก็แล้วกัน ลักษณะของรัฐบาลที่ตั้งคำถามไม่ว่าจะ ๔ คำถามหรือ ๖ คำถามก็ตาม อยู่ในลักษณะเหมือนกับโยนหินถามทาง แต่อาตมาว่าน่าจะเข้าภาษิตจีนที่ว่า "ยกหินทุ่มตีนตัวเอง" มากกว่า จะทำอะไรก็ทำอย่างกล้าหาญ อยากจะอยู่ต่อก็ตั้งพรรคขึ้นมาให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย โยนหินถามทางแก้เขินแบบนี้ไม่ใช่การกระทำของลูกผู้ชาย..!" |
ถาม : คราวนี้แม่ป่วยหนักมากเลย จะต้องทำกำลังใจอย่างไรครับ ?
ตอบ : น้ำหนักลดหรือเพิ่ม ? ถาม : ยังไม่ลดเท่าไร ? ตอบ : ถ้าอย่างนั้นแสดงว่ายังไม่หนัก ถ้าน้ำหนักเพิ่มนี่ถึงจะหนัก เข้าใจไหม ? ถาม : ไม่เข้าใจครับ ตอนนี้ต้องรักษากำลังใจอย่างไร ? ตอบ : ก็ธรรมดา สัพเพ สังขารา อนิจจา สัตว์โลกเกิดมาเท่าไรตายหมดเท่านั้น แม้แต่เราก็ตาย คราวนี้รู้หรือยังว่าที่ทำมาไม่พอรับประทาน ส่วนใหญ่แล้วนักปฏิบัติธรรมของเรา ถ้าเรื่องยังมาไม่ถึงตัวก็คิดว่าตัวเองทำอะไรได้มากแล้ว พอเรื่องมาถึงตัวแล้วก็มักจะรู้ตัวว่าที่ทำมายังไม่พอกิน คำว่า ไม่พอกิน คือ เจอสถานการณ์จริงเข้าแล้วทำกำลังใจไม่ได้ ในบรรดาญาติผู้ใหญ่ของอาตมาที่ตายไป ก็มีตอนที่คุณย่าตาย อาตมาร้องไห้เพราะว่าไม่รู้ ไปเรียกท่านให้กินข้าวแล้วท่านไม่ยอมลุก เรียกเท่าไรไม่ลุกก็เลยร้องไห้ตามประสาเด็ก ยังไม่รู้ว่าตายคืออะไร ? |
พอมาคุณตาตาย ไม่ได้ร้องไห้ เพราะว่าท่านเหมือนกับหลับไปเฉย ๆ ถึงเวลาท่านก็เรียกหลาน ๆ เข้ามา บอกว่า "ตาก็แก่มาก อายุเลย ๘๐ แล้ว เหมือนกับผลไม้สุกที่พร้อมจะหล่นจากขั้ว ถ้าตาเป็นอะไรไป พวกแกไม่ต้องเสียใจนะ" สั่งความเสร็จแกขอข้าวกิน อาเจ็กข้างบ้านก็กุลีกุจอกลับบ้านไปคดข้าวใส่กับมาให้ แกกินเสร็จก็นอนอยู่บนเก้าอี้โยกของแก แล้วก็หลับไปเฉย ๆ ตายไปตอนไหนก็ไม่มีใครรู้ มารู้เอาตอนที่เห็นว่าค่ำแล้วเดี๋ยวยุงจะกวนมาก ก็ไปเรียกเพื่อจะให้แกกลับเข้ามานอนในบ้าน ปรากฏว่าแข็งไปหมดแล้ว
ลำดับถัดมาก็พ่อตาย ตอนนั้นบอกตรง ๆ ว่าดีใจ เพราะว่าอาตมาเป็นคนเฝ้าไข้ ทั้งกลางวันทั้งกลางคืนอยู่ ๖ ปีเต็ม ๆ ด้วยความที่เป็นวัยรุ่น เพิ่งจะอายุ ๑๐ ปีนิด ๆ กำลังกินกำลังนอนแล้วโดนเรียกทั้งคืน รู้สึกเหมือนกับตกนรกทั้งเป็น เพราะฉะนั้น...เวลาท่านตายแทนที่จะเสียใจก็เลยกลายเป็นดีใจ แต่ก็ดีใจไม่จริง เพราะว่าเมื่อถึงเวลากลางคืนเข้านอน เตียงก็กว้างเท่าเดิม แต่พอไม่มีพ่ออยู่ ทำไมรู้สึกว่ากว้างอะไรขนาดนั้น เวิ้งว้างไปหมด นอนไม่หลับ ท้ายสุดก็เลยต้องไปนอนอยู่ข้างศพ มุดเข้ามุ้งไป เพราะเขากางมุ้งครอบศพเอาไว้ให้ ไปนอนอยู่ข้างศพ แตะถูกตัวท่านเย็นเจี๊ยบเลย เออ...อย่างนั้นกลับหลับได้..! |
ลำดับต่อมายายตาย แม่ตาย นี่ไม่ต้องพูดถึง ยายตายอาตมาบวชได้ ๔ พรรษาแล้ว แม่ตายนี่ได้ ๒๐ กว่าพรรษา ก็เลยกลายเป็นว่า ผู้ใหญ่ที่บ้านตาย มีตอนอายุ ๒ ขวบกว่าตอนย่าตายเท่านั้นที่ร้องไห้ นอกนั้นไม่เคยร้องไห้กับใคร
ถามว่าทำใจได้ไหม ? มาทำใจได้ตอนยายกับแม่ เพราะว่าตอนช่วงนั้นบวชแล้ว ส่วนท่านอื่น ๆ ก็อย่างที่บอก ถ้าไม่ใช่เพราะไม่รู้ความก็คือไม่มีอะไรให้ตกใจ พอมาพ่อตายนี่ดีใจ เหมือนกับไม่ใช่ทำใจได้ ดีใจที่ตัวเองพ้นงานเสียที งานหนักเหลือเกิน หนังสือก็ต้องเรียน กลับมาก็ต้องดูแลท่าน กลางวันก็ไม่ได้นอน กลางคืนก็ไม่ได้นอน ต้องบอกว่าตอนที่ดูแลพ่ออยู่ ๖ ปี เป็นคุณูปการให้ฝึกกรรมฐานได้แบบไม่ได้ตั้งใจ เพราะว่าไปโรงเรียนแล้วง่วง ทนไม่ไหว ยกมือขออนุญาตนอน ครูก็บอกว่านอนได้ แต่ว่าวิชานี้ห้ามตก ก็เลยทำอย่างไรที่นอนแล้วต้องฟังให้ได้ยิน เพราะถ้าฟังจะจำได้ ก็พยายามใช้วิธีนอนแล้วเงี่ยหูฟัง ก็เลยสามารถที่จะทำได้ตั้งแต่สมัยที่ยังเรียนประถม มัธยมอยู่ก็คือ หลับแต่ตา ใจไม่ได้หลับ ใจตื่นเพื่อจดจำบทเรียน มารู้ทีหลังว่าเป็นพื้นฐานฝึกกรรมฐานทั้งนั้นเลย แต่ว่าตอนนั้นไม่ได้รู้สึกอะไร รู้สึกอย่างเดียวว่าง่วงสุดชีวิต อย่างไรก็ขอนอนเถอะ แต่ก็ตั้งใจฟัง |
ความจริงแล้วทิดเต้ย (สุรจิตร) ในส่วนของกิริยามารยาทอาจจะกระโดกกระเดกไปหน่อย แต่ความรักแม่นี่เต้ยมีให้สุด ๆ แต่คราวนี้ว่าในส่วนที่จะทำใจ สำหรับคนที่ผ่านมาแล้วพูดก็เหมือนกับง่าย แต่คนที่เผชิญหน้าอยู่ บางทีเหมือนกับแบกภูเขาไว้ทั้งลูก จะโดนทับตายตอนไหนก็ไม่รู้ ? เพราะว่าเรื่องมาเกิดกับคนที่เรารักมากที่สุด แต่ถ้าหากว่ารู้จักพิจารณาว่า ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข การพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่ชอบใจเป็นทุกข์ ก็จะเป็นเวลาที่จะสามารถที่จะพิจารณาธรรมได้ดีที่สุด
แต่ว่าส่วนใหญ่ พอเหตุเกิดขึ้นแล้ว ปัญญามักจะไม่มี เพราะว่าสภาพจิตส่งส่ายวุ่นวายไปกับเรื่องที่เกิดขึ้น ปัญญาก็เลยไม่เกิด |
ตอนพ่อเสียนี่ในความรู้สึกของคนอื่นเหมือนกับว่าอาตมาอกตัญญู เพราะว่าไม่ร้องไห้ อาตมาจะบอกได้อย่างไรว่าดีใจเป็นบ้า ที่ท่านตายได้สักที ทรมานเหลือเกิน ๕ นาที ๑๐ นาทีท่านจะแข็งเกร็งไปทั้งตัว ถ้าไม่นวดให้คลายก็จะปวดร้องโอย ๆ ๆ คนที่อยู่กับท่านทั้งกลางวันกลางคืนอย่างอาตมาจะตายเอา คนอื่นเขาจะไปรู้อะไร
อาตมามีโอกาสดูแลพ่ออยู่ ๖ ปี ด้วยการลงความเห็นว่า "เอ็งเป็นลูกผู้ชายที่โตที่สุดที่ยังไม่ได้ทำงาน" พอไปดูแลแม่อยู่ ๓ ปี เขาลงความเห็นว่า "เอ็งเป็นลูกชายที่โตที่สุดที่ยังไม่ได้แต่งงาน" ตกลงว่าเป็นความผิดของตูทั้งนั้น..! ฉะนั้น...ปัจจุบันนี้เวลาอาตมามีเด็ก ๆ อยู่ด้วย จะตามใจเยอะมาก เพราะว่าชีวิตช่วงวัยรุ่นของตัวเองไม่มี ต้องรับผิดชอบดูแลพ่อตั้งแต่เรียนอยู่ชั้น ป.๕ พอสิ้นท่านไปแล้วอยากจะเรียนต่อ แม่ก็ไม่มีปัญญาส่ง ต้องทำงานไปหาเงินเรียนไป ในเมื่อชีวิตวัยรุ่นไม่มี พอเห็นเด็กวัยรุ่นแล้ว ตอนเด็กเราอยากได้อย่างไร เขาก็คงอยากได้อย่างนั้น เรื่องกินเรื่องเที่ยวนี่ไม่เคยมีเลย ได้ยินเสียงหนังประกาศโครม ๆ ที่วัด วัดกับบ้านก็มองหลังคากันเห็นแค่นั้น แต่ไปไม่ได้ คนอื่นเขาไปกันหมด แต่อาตมาต้องดูแลพ่อ ในเมื่อตัวเราไม่มีช่วงเที่ยวช่วงเล่น ถึงเวลาเขาเอาเด็ก ๆ มายกให้เป็นลูก ก็ให้ลูกเขามีแทนก็แล้วกัน ไม่ใช่ต้องไปล้างแค้นว่า "กูไม่มีมึงก็ต้องไม่มีด้วย..!" |
ช่วงเดือนเศษที่ผ่านมาพี่ชายคนโตตาย นับว่าแกตายช้ามาก อยู่ยัน ๙๐ ปี ปกติคนกินเหล้าแทนน้ำไม่น่าจะอายุยืนได้ขนาดนั้น ก็ยังคิดขำ ๆ อยู่ว่า สงสัยแกจะกินมากไปจนเชื้อโรคตายหมด ก็เลยอยู่มายัน ๙๐ ปี เป็นอันว่าพี่ ๆ ทั้งลูกแม่ใหญ่ ทั้งลูกแม่เดียวกันตายไป ๓ - ๔ คนแล้ว ใกล้ตัวเองเข้ามาเรื่อย ๆ แล้วนะ..!
ถัดมาไม่กี่วันก็น้าสะใภ้ตาย ตอนแรกเขาส่งข่าวมา ไปนึกว่าน้าชายตาย น้าชายคนโตก็ ๘๐ กว่าปีแล้ว แปลกใจไหม ? น้า ๘๐ กว่า แต่พี่ ๙๐ ปี สมัยก่อนเขาแต่งงานกันเร็ว แม่แต่งงานอายุ ๑๖ ปี พ่อเขามีพี่ใหญ่ก่อน แล้วค่อยมาเมืองไทย แล้วมาแต่งกับแม่ เพราะฉะนั้น...แม่กับน้าก็เลยกลายเป็นว่ารุ่นไล่เลี่ยกันกับพี่ชายคนโต |
ถาม : เอารถไปเจิมกับเสาเรียบร้อยแล้ว ?
ตอบ : แสดงว่าถวายทาสทานไว้เยอะ ใช้ของดีไม่ได้ ต้องมีตำหนิก่อนจึงจะสบายใจ ถือว่าเป็นพวกเดียวกัน อาตมาเองขนาดจีวรใหม่ ๆ เลยนะ ไม่มีร่องรอยอะไรเลย ซักปุ๊บขาดปั๊บ อย่างไรก็ต้องเอาให้ขาดให้ได้ ถ้าไม่ขาดจะไม่สมกับบุญบารมีที่สร้างมา...! แสดงว่าทำทาสทานไว้เยอะเหมือนกัน ถ้าไม่อยากให้รถยนต์มีร่องมีรอยนะ มาถึงเอามีดกรีดไว้ก่อนเลย โน่น...บังโคลน กรีดกากบาทไปทั้ง ๒ ข้างเลย ทำเครื่องหมายไว้แล้ว ไม่ต้องมาทำซ้ำ ถาม : เกี่ยวอะไรกับจีวรด้วยคะ ? ตอบ : ก็ใช้ของใหม่ไม่ได้ ต้องใช้ของมีตำหนิหรือของเก่า แทนที่จะให้เขาทำเป็นรอย เราก็ทำเสียเอง ให้มีรอยอยู่ในที่ไม่น่าเกลียด ใครจะลองวิธีนี้ก็ได้นะ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครที่โทรมาหาอาตมาแล้วรอจนอาตมารับไม่ได้ อาตมาไม่เคยโทรกลับไปสักราย โดยเฉพาะประเภทยิงมากริ๊งเดียวจะให้โทรกลับ...รอไปเถอะ
มีอยู่เที่ยวหนึ่งพระวินัยธรกอล์ฟ ตอนนั้นยังเป็นพระสมุห์อยู่ ถามว่าอาจารย์ทำไมไม่โทรกลับ ? "ก็กูไม่มีธุระอะไรกับมัน มันมีธุระกับกู ก็ให้มันโทรมาสิ" ตอบให้ชัด ๆ ไปเลย ถือว่าเสียมารยาทมาก โทรมาแล้วตัดสายจะให้คนอื่นโทรกลับ" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อเช้าคุณกิตติพงษ์มารับมีดหมอหลวงพ่อเงิน วัดพระปรางค์เหลือง กับมีดหมอหลวงพ่อโสก วัดปากคลองบางครก จังหวัดเพชรบุรี อาตมาลืมให้โมทนาบัตรไป
ครูบาอาจารย์บางท่านที่เป็นต้นตำรับเลย อย่างหลวงพ่อขำ วัดเขาแก้ว หลวงพ่อเทศ วัดสระทะเล หรือหลวงพ่อเงิน วัดพระปรางค์เหลือง ในชีวิตท่านทำมีดหมอน่าจะไม่เกินหลักสิบ ขนาดคลุกอยู่ในวงการเต็ม ๆ ยังหายากหาเย็น โดยเฉพาะประเภทมีดหมอ ๒ บูรพาจารย์ อย่างหลวงพ่อรุ่ง-หลวงพ่อเดิม ยิ่งหายากเข้าไปใหญ่ เพราะมีประวัติแค่ว่าหลวงพ่อเดิมไปหัดทำมีดหมอจากหลวงพ่อรุ่ง เพราะหลวงพ่อรุ่งสำเร็จวิชาก่อน เมื่อศึกษารูปแบบแล้วก็กลับมาทำเองบ้าง พอทำได้ก็ใส่เกวียนไปให้หลวงพ่อรุ่งช่วยเสกให้อีกครั้ง คราวนี้ก็ต้องมาดูว่า เมื่อศึกษาจากหลวงพ่อรุ่งไป รูปแบบก็ต้องมีฝังโลหะ ขณะเดียวกันทำอย่างไรจึงจะมีเอกลักษณ์ของหลวงพ่อเดิม ก็คือยันต์รูปพระ ถ้าไม่มียันต์รูปพระก็ต้องยันต์พุทธซ้อน ก็เลยกลายเป็นอะไรที่หายากเย็นสุด ๆ" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "คุณสุธรรมเปิดให้แสดงความจำนงว่าอยากได้เครื่องรางของขลังอะไร ปรากฎว่ามีคนเสนอมา อย่างเช่นตะกรุดโสฬส หลวงปู่เอี่ยม อยากจะถามว่าสู้ราคาจริงหรือเปล่า ? อาจารย์วิสุทธิ์บอกว่า ไปเจอสองกษัตริย์ด้านนอก เขาเปิดไว้ ๗๐๐,๐๐๐ บาท..!
ความจริงแล้วตะกรุดที่หายากกว่านั้นมีอยู่ ก่อนหน้านี้เป็นที่เสาะหากันมาก แต่เนื่องจากว่าคนมีไม่ปล่อยเด็ดขาด ก็เลยกลายเป็นว่าเงียบไปเฉย ๆ ตะกรุดหลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง จึงขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งแทน ตะกรุดที่หายากมาก ๆ ที่เขาต้องการก็คือ ตะกรุดไมยราพณ์สะกดทัพ หลวงพ่อกุน วัดพระนอน จ.เพชรบุรี นั่นแหละ...สมัยก่อนประเภทลูกผู้ชายจะต้องห้าว อยากจะขึ้นบ้านใคร พกตะกรุดหลวงพ่อกุน สอดไว้ใต้เรือน ขึ้นไปได้เลย หลับหมดทั้งบ้าน แล้วก็ตะกรุดหลวงปู่จีน วัดท่าลาด พวกเรานี่กระทั่งชื่อยังไม่รู้จักเลยกระมัง ? ถ้าถามว่าหลวงปู่จีนเป็นใคร ? ก็เป็นรุ่นอาจารย์ของหลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม ของทั้งสองท่านที่ว่ามาอยู่ในประเภทมีเงินก็หาซื้อไม่ได้" |
"ส่วนหลายท่านที่อยากได้ปลัดขิก หลวงพ่อเหลือ หลวงพ่ออี๋นี่ ไม่รู้ราคาใช่ไหม ? ปลัดขิกหลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงกมาอันดับหนึ่งเลย เหนือกว่าอาจารย์ตัวเองคือหลวงพ่อขิกอีก รองลงมาก็หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ แล้วถึงไปหลวงพ่อขิก วัดสาวชะโงก กลายเป็นลูกศิษย์ดังกว่า พอ ๆ กับหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ดังกว่าหลวงปู่ปาน วัดตุ๊กตา อยู่ในลักษณะที่ว่าวัตถุมงคลของท่านมีปาฏิหาริย์ให้เห็นคาตาก็เลยดัง"
|
ถาม : เวลาทำสมาธิแล้วลืมตา กลับทำสมาธิได้ไม่ดีเหมือนตอนหลับตา ?
ตอบ : ความสามารถไม่พอ ถ้าความสามารถพอ สิ่งกระทบภายนอกจะไม่มีผลต่อสมาธิ ไปหัดใหม่ |
ถาม : เวลาเรารีบแล้วลืมอะไรบางอย่าง เราจะฝึกอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : เพิ่มสติ ถือแบบโบราณ โบราณก่อนที่จะทำอะไร ก่อนจะไปไหนก็หมุนมองรอบตัวเอง ๓ รอบก่อนว่าลืมอะไรหรือเปล่า ? สติเกิดจากสมาธิ สมาธิสร้างสติให้แหลมคมว่องไว รับรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ถนัดชัดเจนขึ้น จึงเป็นของที่เนื่องด้วยกัน ทิ้งกันไม่ได้ |
ถาม : การที่เราคิดพิจารณากายคตาฯ เป็นของยากกว่าการที่เราใช้สมาธิกดทับใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ยากกว่า แต่ถ้าทำได้ จะได้แล้วได้เลย ส่วนสมาธิกดทับง่ายกว่า หลุดเมื่อไรก็โดนงัดหงายท้อง ก็เลือกเอาว่าจะทำอย่างไร ถาม : ตอนที่จิตยอมรับได้จริง ๆ ก็ต้องฝึกตั้งคำถามกับตัวเองบ่อย ๆ ใช่ไหมครับ ? ตอบ : ตอนแรกเป็นการคิดในลักษณะของสัญญา ก็คือจำได้ รู้ว่าต้องคิดอย่างนี้ ๆ แต่พอซักซ้อมไปเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดจะเห็นจริงตามนั้น ก็จะเป็นปัญญา ถ้าอยากจะดูในเรื่องกายคตาสติให้ชัดเจน ก็ไปเปิดกรรมฐาน ๔๐ หลวงพ่อวัดท่าซุง บทที่ ๑๓ ดู ถาม : ถ้าเกิดว่าเรามีเวลาสั้น ๆ ในการปฏิบัติ เช่น ครั้งละ ๑๕ นาทีต่อวัน เราควรจะฝึกอย่างไรให้เกิดผลที่สุดครับ ? ตอบ : เข้าสมาธิให้เร็วที่สุด แล้วคลายออกมาพิจารณา |
ถาม : ถ้าพ่อแม่เราพูดแบบบั่นทอนกำลังใจเวลาเราทำดี โดยที่ท่านไม่รู้ตัวว่า ท่านกำลังทำอะไรอยู่ เราควรวางกำลังใจอย่างไรครับ ?
ตอบ : อย่าเอามาใส่ใจ ที่บั่นทอนกำลังใจเพราะเราเก็บมาคิด แค่ไม่ต้องไปสนใจ ท่านอยากพูดก็พูดไป เราจะทำอะไรเราก็ทำ ก็จบแล้ว |
ถาม : เวลาเรากินข้าว แต่ก่อนเราไม่ได้รู้สึกว่าอร่อย แค่รสชาติดี แต่ตอนนี้ที่เราหลงราคะมากขึ้น คือ เห็นผู้หญิงสวย กลับลามไปถึงรสชาติอาหาร มีการเนื่องกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เนื่องกัน...เวลากำลังใจตกก็เจ๊งหมดทุกกระบวนท่า ถาม : (ไม่ชัด) ตอบ : ก็ในเมื่อลงก็ลงหมด ไม่ได้ลงทีละอย่าง อย่าลืมว่าแพ้กิเลส แพ้ตัวหนึ่งก็เท่ากับแพ้ทั้งหมด ถาม : อย่างที่ทราบว่ามีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ถ้าเป็นรสชาติ เสียง เราไม่กระเพื่อม แต่กับกลิ่นกระเพื่อมมากกว่า เกิดจากอะไรครับ ? ตอบ : นิสัยเฉพาะแต่ละคน ก็เลยทำให้มีสิ่งที่รักชอบไม่เท่ากัน อะไรที่เรารักชอบมากกว่า ก็จะหวั่นไหวกับสิ่งนั้นง่ายกว่า ถาม : อย่างผมไม่ได้หวือหวาไปกับบางอย่าง เป็นเพราะผมใช้สมาธิกดทับหรือครับ ? ตอบ : ก็บอกแล้วว่า อันนั้นเราชอบน้อยกว่า ในเมื่อชอบน้อยกว่า ก็ไม่สนใจมากเท่ากับสิ่งที่เราชอบมากกว่า ถาม : ไม่เกี่ยวกับเรื่องสมาธิ ไม่เกี่ยวกับปัญญาเลยหรือครับ ? ตอบ : อยู่ที่สันดาน สันดานของเราชอบมากก็เสียท่าเขาง่าย ถ้าชอบน้อยก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไร |
ถาม : การที่เราฝึกสมาธิกดทับกิเลส ทำให้กิเลสดับได้ไหมครับ ?
ตอบ : ดับชั่วคราว ถาม : ข้อดีของการใช้สมาธิกดคืออะไรครับ ? ตอบ : ทำให้มีความนิ่ง สงบ เย็น ปรากฏขึ้น สภาพจิตไม่ฟุ้งซ่านด้วยอำนาจของ รัก โลภ โกรธ หลง ถ้าจะใช้พิจารณาธรรมก็สามารถเห็นได้ชัดเจนขึ้น เหมือนอย่างกับเราปล่อยน้ำให้นิ่ง เมื่อน้ำนิ่งตกตะกอน มีความใส เราก็เห็นสิ่งต่าง ๆ ในน้ำได้ชัดขึ้น |
ถาม : เวลาเราตาย เราควรจะนึกถึงการภาวนาที่เราทำมา หรือควรจะนึกถึงทานที่เราทำมา ?
ตอบ : ให้เกาะพระนิพพานเอาไว้ ถาม : ถ้าเราเกาะพระนิพพาน เราจะได้ไปพระนิพพานไหมครับ ? ตอบ : ไปไม่ได้ เพราะถ้ายังเกาะอยู่ก็ไปไม่ได้ แต่คราวนี้การเกาะพระนิพพานทำให้สภาพจิตของเรามีหลักยึด เป็นการยึดในจุดที่สูงที่สุด เมื่อถึงเวลาถ้ารู้ว่าควรจะปล่อยวางอย่างไร ก็จะไปได้เลย ถาม : ถ้าเราไม่เกาะพระนิพพาน แล้วเราจะไปอย่างไรครับ ? ตอบ : ก็ไปตอนไม่เกาะ ถ้าเอ็งกอดเสาอยู่จะไปไหนได้ ก็ต้องปล่อยเสาก่อน ทำให้ถึง...เดี๋ยวรู้เอง |
การจะไปพระนิพพานก็คือ การสั่งสมความดีใน ศีล สมาธิ ปัญญา จนถึงระดับสูงสุด การสั่งสมในระยะแรกเป็นการเกาะความดีไว้เพื่อความไม่ประมาท จะได้ไม่หลุดไปกระทำความชั่ว แต่เมื่อทำความดีจนถึงที่สุดแล้ว สภาพจิตจะปลดวางลงเอง รู้สึกว่าเต็มแล้ว พอแล้ว เมื่อถึงเวลานั้น ดีก็ไม่ยึด ชั่วก็ไม่ยึด ก็ในเมื่อดีก็ไม่เอา ชั่วก็ไม่เอา สุคติก็ไม่เอา ทุคติก็ไม่เอา ก็จะผ่ากลางไปเอง
ถึงวาระนั้นก็เป็นคนธรรมดายิ่งกว่าธรรมดา รู้ว่าอะไรดีก็ทำ อะไรชั่วก็ละ ไม่เกาะแล้วทั้งดีทั้งชั่ว เมื่อถึงเวลานั้นอารมณ์พระนิพพานจะเต็มอยู่ในใจของเราเอง อยู่ตรงไหนก็คือพระนิพพาน ดังนั้น...บรรดาท่านที่เป็นสุกขวิปัสสโก ทำไมถึงรู้ว่าตนเองตายแล้วไปนิพพานแน่ ? ก็เพราะว่าพระนิพพานอยู่กับใจตัวเอง เป็นที่ใจตัวเอง อยู่ที่ไหนก็เป็นพระนิพพาน พระนิพพานก็ไม่ได้อยู่ที่ไหน อยู่ที่ใจเรานี่แหละ เพียงแต่ว่า ทำให้ถึง ทำให้ถูก ทำให้ดี ถึงเวลาแล้วก็วางไปหมดทั้งดีทั้งชั่ว แต่ก็ต้องเคารพสมมติทางโลก เขาว่าอะไรดีเราก็ทำไป เขาว่าอะไรชั่วเราก็หลีกเลี่ยง งดเว้นเสีย |
ถาม : ที่จริงที่เรียกว่าความดี หรือความชั่ว ก็เป็นสมมติที่นิยามกันขึ้นมาเอง ?
ตอบ : แล้วเราต้องเคารพสมมติไหมเล่า ? ไม่เคารพเขาก็ตื้บเราสิ เห็นว่าดีชั่วเป็นสมมติภายนอก รู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ เพียงแต่ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว หลวงปู่มหาอำพันท่านใส่บาตรทุกเช้า ถ้าอาตมาอยู่ด้วยก็ต้องเตรียมข้าวของและคอยนิมนต์พระ ทีนี้พอเจอไปหลาย ๆ วัน หลวงปู่ไม่เหนื่อยแต่อาตมาเหนื่อย จึงกราบเรียนถามว่า "หลวงปู่ทำมาจนขนาดนี้ บุญก็กินไม่ไหวใช้ไม่หมดแล้ว ยังต้องไปทำอีกทำไมครับ ?" ท่านบอก "อะไรกันคุณ..? คนที่สามารถไต่ขึ้นมาจนถึงปากเหวได้ มีแต่ต้องตะกายใปให้ไกล ๆ จะได้ไม่หล่นตุ้บกลับลงไปอีก" แล้วก็พยายามสร้างความดีต่อไปโดยไม่ประมาท พ้นไปด้วยดีแล้ว แต่ในเมื่อทางสมมติโลกเขาถือว่าดีก็ทำไปเรื่อย อันดับแรก...เพื่อความไม่ประมาท อันดับที่สอง...เป็นแบบอย่างให้กับลูกศิษย์หลานศิษย์ทั้งหลายได้ทำตาม หลวงตามหาบัวทำไมต้องตั้งโครงการช่วยชาติ ? ทำไมพระท่านโน้นสร้างโรงพยาบาล พระท่านนี้สร้างโบสถ์ พระท่านโน้นสร้างสำนักปฏิบัติธรรม ? บางท่านเราก็รู้ว่าท่านพ้นแล้ว แต่ท่านก็ยังทำอยู่ ท่านทำเพราะว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดี ทำเพราะว่าสิ่งนั้นเป็นหน้าที่ ทำเพื่อให้ลูกศิษย์หลานศิษย์ได้เห็นเป็นแบบอย่างจะได้ทำตาม |
ถาม : การที่นั่งสมาธิแล้วตัวเอียงโคลงไปโคลงมา เราจะต้องตามดูไปไหมครับ ?
ตอบ : สนใจแต่คำภาวนากับลมหายใจเข้าออกเท่านั้น ถ้ายังมีคำมีภาวนาอยู่ ก็กำหนดคำภาวนา ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ก็รับรู้ลมหายใจ ถ้าเรารู้จักสังเกตตัวเองจะเห็นว่า ตอนนั้นอาการไปแต่ตัว แต่ใจนิ่งมาก ไม่ต้องไปสนใจหรอก ถ้าอยากดิ้นตึงตังโครมครามก็ปล่อยให้เต็มที่ไปเลย |
ถาม : มีความสุขก็มักจะฝันถึงหลวงพ่อค่ะ เวลาเกิดคำถามอะไรขึ้นมา ก็จะมีคำตอบขึ้นมาเลย ก็สงสัยว่าตัวเองเป็นอะไรหรือเปล่า ?
ตอบ : กำลังใกล้บ้าแล้ว..! ถาม : ทำอย่างไรดีคะ ? ตอบ : คำตอบที่ได้มาก็ดูสิ ว่าสมเหตุสมผลไหม ? เรื่องราวถูกต้องเป็นจริงตามนั้นไหม ? ถ้าใช่ก็เป็นผลของทิพจักขุญาณ แต่คราวนี้ก็อย่าไปยินดี อย่าไปฟูอะไรมากมายนัก รู้ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ มาได้ก็ไปได้ คราวนี้รู้ก็ไม่แน่ว่าครั้งหน้าจะรู้ แต่ถ้าครั้งนี้รู้ครั้งหน้ารู้ ครั้งต่อไปก็ไม่แน่ว่าจะรู้ ทำใจแบบไม่ประมาท เคยทำความดีในการรักษาศีล เจริญภาวนามาอย่างไรก็ทำต่อไป ถาม : บางทีสวดมนต์ไหว้พระ ก็สงสัยว่าทำไมเราทำแล้วต้องทำต่อไปเรื่อย ๆ ? ตอบ : สะสมความดี ถ้าหากว่าขาดช่วงลง ความชั่วแทรกเข้ามาได้เราจะขาดทุนมาก ฉะนั้น...การทำความดีจึงต้องทำให้ต่อเนื่องตามกัน |
ถาม : อยากฝากตัวเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์ต้องทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ก็ไม่มีอะไร ก็ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาไปแค่นั้นเอง เคยทำความดีอะไรก็ทำอย่างนั้น ถึงเวลารับคำสอนอะไรไปที่ตรงใจตัวเองก็ตั้งหน้าตั้งตาทำไป ก็แค่นั้นเอง อย่าไปคิดมากอะไร |
ถาม : มีคนทำของใส่อยู่ในตัวผม คืออะไรครับ ?
ตอบ : ต้องไปถามคนอื่นจะได้เสียเงิน ถามตรงนี้ไม่เสียอะไร จำไว้ว่าอย่าทะลึ่งไปถามใครแบบนี้ คนเขายิ่งจะหาหนทางเอาเงินจากเรา ดันไปถามเปิดช่องให้เขา เดี๋ยวเขาก็หาวิธีแก้ไขให้แพง ๆ เท่านั้น ยึดมั่นในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เอาไว้เป็นหลัก ไสยศาสตร์อะไรก็ทำอันตรายเราได้ยาก ยกเว้นว่าเราไปเปิดช่องให้เขาเอง ถาม : จะแก้ไขอย่างไรดีครีบ ? ตอบ : ก็ภาวนาของเรา ถ้ากำลังใจทรงตัว พวกนั้นก็เจ๊งไปเอง ไสยศาสตร์เหมือนกับความมืด พุทธศาสตร์เหมือนกับความสว่าง ถ้าความสว่างปรากฏขึ้นมา ความมืดก็อยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้น...ไปตั้งหน้าตั้งตาทำเอา |
ถาม : ที่ทำงานในปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : ต้องไปถามหมอดู บอกแล้วว่าเรื่องแบบนี้อย่ามาถามตรงนี้ ถามตรงนี้แล้วไม่เสียเงิน ต้องไปถามที่เขาคิดเงินแพง ๆ ทำไมชอบไปเปิดทางให้เขาทำมาหากิน ? ปกติเขาก็ตั้งใจหลอกเราอยู่แล้ว ดันไปเปิดทางให้เขาหลอกได้ ก็ยิ่งซวยหนัก อาตมาถือว่าเป็นคำถามเหลวไหลเลย ถาม : ไม่รู้จะทำอย่างไรค่ะ ? ตอบ : ก็บอกแล้วว่าให้เลิกถาม ถ้าจะถามให้ไปถามที่อื่น พวกเราต้องบอกว่ากำลังใจยังต่ำมาก เมื่อเกิดความกังวลอะไรขึ้นมา ก็มักจะไปเที่ยวเสาะถามที่นั่นที่นี่ ด้วยเหตุนี้บรรดาสำนักทรง สำนักหมอดูต่าง ๆ ถึงได้เฟื่องฟูขึ้นมา ขณะเดียวกันคนทั้งหลายเหล่านี้ที่หากินก็จะพยายามกล่าว พยายามทัก ให้เรารู้สึกว่ามีอะไรที่น่ากลัวน่าตกใจ แล้วค่อยบอกว่ามีวิธีแก้ไข ซึ่งวิธีแก้ไขแต่ละอย่างก็ล้วนแต่ต้องเสียเงินแพง ๆ เราเองแทนที่จะพยายามปิดช่องของตัวเอง ไม่ให้เขาหากินกับเราได้ เรากลับไปเปิดทางให้เขาด้วยการถามเสียเอง ถ้าอาตมาเป็นแบบพวกนี้ก็รวยไปนานแล้ว คนชอบถามเหลือเกิน บางคนก็ถามว่าพ่อตายแล้วเป็นอย่างไรบ้าง ? สบายดีหรือเปล่า ? จะบอกว่าไม่สบาย ต้องซื้อเบนซ์ถวายอาจารย์สักคันแล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้..! เรียกว่าไปเปิดช่องให้คนอื่นหากิน หาเรื่องเดือดร้อน จำได้ไหมว่าเดือนก่อนที่มีร่างทรงบอกเขาว่ามีตอตะเคียนอยู่ใต้บ้าน เขาขุดจนบ้านพังทั้งหลังแล้วไม่เจออะไร มานั่งร้องไห้ว่าไม่มีบ้านอยู่แล้ว |
วันนี้ก็มีโยมมาสอบถามปัญหา พอวิธีแก้ไขง่ายเกินไป ด้วยการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา แกก็ดันถามต่ออีกว่าไม่ต้องเปลี่ยนชื่อหรือ ?
อาตมายืนยันว่าเรื่องเปลี่ยนชื่อไม่มีผลหรือมีผลน้อยสุด ๆ ตรงที่มีผลก็คือ รู้สึกดีที่ได้เปลี่ยนชื่อ ถ้าจะให้ดีจริง ๆ ไม่ต้องเปลี่ยนชื่อ แต่ให้เปลี่ยนความประพฤติของตัวเองเสีย ถ้าเราคิดดี พูดดี ทำดี ท้ายสุดทุกอย่างจะดีไปเอง แต่ก็มักจะไปเปลี่ยนชื่อกัน เปลี่ยนจนกระทั่งอ่านไม่ออก แปลไม่ได้ ถ้าต้องเขียนชื่อเป็นภาษาอังกฤษ ฝรั่งปวดกบาลตายเลย อาตมาชื่อพระครูวิลาศกาญจนธรรม ใช้ภาษาอังกฤษ ๒๘ ตัวอักษร ไปปากีสถานจะผ่านด่านเข้าที่จีน เจ้าหน้าที่ด่านดูเสร็จบอกว่า "Your name is too long." ก็เลยบอกว่านี่ยังสั้นนะ "My King have The longest name in the world." สมัยก่อนเขาว่าตั้งชื่อมักจะตั้งคำเดียว สองคำ ตั้งชื่อยาว ๆ ไปทำเทียมเจ้าเทียมนาย เขาว่าอัปรีย์จัญไรจะกินหัว จะเห็นว่าสมัยก่อนมีแต่เชื้อพระวงศ์ต่าง ๆ ที่ชื่อยาว สมัยนี้ แหม...ชื่อยาวเหลือเกิน ยาวจนแปลไม่ออกอีกต่างหาก สมัยก่อนชื่อยาวแล้วความหมายดี สมัยนี้ชื่อยาวแต่แปลไม่ได้ จะตั้งไปทำอะไร ? บางคนอาตมาอ่านไม่ออก ต้องถามเจ้าของว่าอ่านว่าอย่างไร ก็ในเมื่อชื่อยากอย่างนี้แล้วชีวิตจะง่ายได้อย่างไร ? |
ถาม : ช่างเขาไม่ให้ตัดผมวันพุธครับ
ตอบ : โบราณเขาบอกวันพุธห้ามตัด นั่นเป็นความเชื่อถือของเขา แบบเดียววันศุกร์ห้ามเผาผี อาตมาตัดมาเสียเยอะแล้ว ไม่ได้ตัดเฉย ๆ โกนอีกต่างหาก อยู่ที่เราว่าจะเชื่อไหม ? ความจริงไม่ใช่อะไรหรอก ช่างตัดผมอยากจะหาวันหยุดสักวัน ไม่มีวันหยุดเลยก็ไม่ไหว...ใช่ไหม ? |
มีโยมเอากระเป๋ามาถวาย "อาตมาใช้งานทั่วไป ไม่ต้องไปเอาอะไรหรูหรามากมายหรอก แบบเดียวกับโทรศัพท์เครื่องละ ๗๐๐ บาท ทิ้งไว้ที่ไหนก็ไม่หาย โนเกียอีกต่างหาก เครื่องที่แล้ว ๗๙๐ บาท ใช้อยู่ ๔ ปีกว่า เฉลี่ยแล้วปีละ ๑๐๐ กว่าบาท เราไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องไปใช้อย่างอื่น ก็แค่ส่งออก รับเข้า ฟังข้อความเท่านั้นเอง จะไปนั่งเขี่ยทั้งวันก็ไม่ใช่นิสัยอีก
ต้องบอกว่าตายด้านไปแล้ว อะไรที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ ๆ ไม่สามารถที่จะเรียกร้องความสนใจของอาตมาได้ ไปนึกถึงหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นแรก ที่เหมือนกับกระเป๋าเจมส์บอนด์ หิ้วไปไหนได้ จำได้ว่ายี่ห้อ Hotline ราคา ๘๐,๐๐๐ บาท เสร็จแล้วเขาไปตั้งเสาให้ที่วัด พอตั้งเสร็จเขาก็บอกว่าต้องบอกวิธีใช้ เมื่อถึงเวลาจะได้ถวายรายงานกับหลวงพ่อท่านได้ถูกต้อง พระทั้งวัดจิ้มนิ้วมาที่อาตมา "ความจำดี มึงไปเลย" ก็ไปฟังเขา เมื่อเขาสอนวิธีการเสร็จสรรพเรียบร้อย ขอลอง ๑ รอบ เขาเห็นว่าทำขั้นตอนถูกก็โอเค อาตมาก็รอจนกระทั่งหลวงพ่อท่านกลับจากบ้านสายลม เห็นท่านว่างก็ไปกราบเรียนว่า "ช่างเขามาติดตั้งเสาโทรศัพท์แล้ว ขออนุญาตเรียนบอกวิธีใช้ให้หลวงพ่อทราบครับ" ท่านก็ว่า "ไหน...ว่ามาซิ" ก็เริ่มต้น หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้าตามขั้นตอน เสร็จสรรพเรียบร้อย ท่านก็บอก "เอ้า...ว่าใหม่อีกหน" ก็หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า ตามขั้นตอน "ขอบใจนะ เขาไปบอกวิธีให้ข้าที่บ้านสายลมแล้ว" สรุปว่าถ้าบอกผิดนี่จะตายไหมนั่น...! แสดงว่าขาวิ่งกลับจากท่าซุงแล้วก็แวะบ้านสายลม ไปเรียนบอกวิธีใช้ให้หลวงพ่อท่านทราบ" |
พูดถึงเรื่องที่จะไปญี่ปุ่น "อาตมาอาศัยเขาไป ข้าวของก็ไม่ได้นึกอยากจะซื้ออะไร จะเอาซามูไรแบบที่ต้องการก็ไม่ไหว เล่มหนึ่งราคาเป็นล้านเลย ไม่รู้ว่าต่อคิว ๕ ปีจะได้หรือเปล่า ? ตอนนี้คุณปู่อายุ ๙๐ กว่าปีแล้วยังตีซามูไรอยู่ คิดเป็นเงินไทยเล่มละประมาณห้าแสนกว่าบาท
ของเรามีบ้านจ่าตุ่มอยู่ ถึงเวลาอยากได้อะไรก็ที่โน่นทำได้ เพียงแต่ว่าไม่ใช่ต้นตำรับเท่านั้น อะไรที่เป็นต้นตำรับ รู้สึกว่ามีคุณค่า ตั้งแต่ฝรั่งผลิตเหล็กโคลสตีลออกมาแล้ว รู้สึกว่าซามูไรญี่ปุ่นจะเฉาไปเลย" ถาม : บ้านจ่าตุ่มเคยขนเอามีดดาบของเก่าที่เก็บไว้ทั้งหมดมาให้ลองฟันดู เวลาฟันดาบซามูไร รู้สึกเหมือนที่ใบมีน้ำหนักไม่เสมอกันตลอดเล่ม ? ตอบ : น้ำหนักจะถ่วงปลาย การที่น้ำหนักถ่วงปลาย ถ้าคนใช้กำลังเป็น จะหนักเฉพาะตอนฟันดาบแรก ดาบต่อ ๆ ไป อาศัยการดึงของใบพาต่อไปได้เลย ถาม : อย่างนี้ที่เห็นในหนัง เวลาซามูไรฟันดาบเร็วมาก ๆ นั่น เขาใช้วิธีฟันเฉพาะครั้งแรก ที่เหลือน้ำหนักดาบพาไปหรือคะ ? ตอบ : กว่าจะใช้ดาบจริงได้ฝึกกันเป็นสิบ ๆ ปี โดนอาจารย์ตีหัวร้างข้างแตกไม่รู้ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ก็อย่างว่าแหละ...เด็กหัดใหม่กับปรมาจารย์นั้นต่างกันมาก เนื่องจากท่านมองเราท่านก็รู้แล้วว่าจะขยับท่าไหน ท่านก็ชิงตีก่อนทุกที กว่าเราจะเก่งได้ก็น่วมไปทั้งตัว |
ถาม : เวลาที่เราอาราธนาบารมีครูบาอาจารย์ที่ยังมีชีวิต ท่านจะสงเคราะห์เราอย่างไรคะ ?
ตอบ : ครูบาอาจารย์ที่ได้อภิญญา เราขอท่านรู้ก็ส่งกำลังมาช่วย ท่านที่ไม่ได้อภิญญา ถ้าเราอาราธนาด้วยความเคารพ เทวดารักษาตัวท่านก็จะช่วยแทน เอาเป็นว่ากำลังใจของเราก็ต้องเกินครึ่งแล้ว "จงช่วยตัวเองก่อนที่พระเจ้าจะช่วยท่าน" ก็คือพอมีความมั่นใจในคุณครูบาอาจารย์ เกิดความมั่นคงไม่หวั่นไหว สติสมาธิแน่วแน่ โอกาสที่จะชนะก็มีมาก ถาม : กรณีที่เกิดเหตุอันตรายเฉพาะหน้าแล้วเรานึกถึงครูบาอาจารย์ขอให้ท่านช่วย เทวดาที่รักษารูปเคารพ ทำหน้าที่แทนท่านไหมคะ ? ตอบ : ถ้าหากว่ามีวัตถุมงคลอยู่ คือเทวดาที่รักษาวัตถุมงคลนั้น ถ้าไม่มีวัตถุมงคลอยู่ ก็คือเทวดาที่ท่านดูแลรักษาครูบาอาจารย์ท่านนั้น ถาม : ภัยระดับสึนามิ ช่วยกันอาราธนาคุณครูบาอาจารย์ด้วยความเคารพ ถ้าไม่มีวิบากกรรม ก็ถึงกับไม่เกิดขึ้นได้ ? ตอบ : อย่างน้อยสึนามิก็ทำให้หลี่เหลียนเจี๋ยหันมานับถือศาสนาพุทธ ตัวเองขนาดเก่งวิทยายุทธ แต่ช่วยลูกช่วยเมียไม่ได้ ต้องอ้อนวอนขอร้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วย ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นก็ไม่ได้นับถือจริงจัง ปรากฏว่าลูกเมียรอดหมด ก็เลยหันมานับถือศาสนาพุทธ |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:44 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.