![]() |
ถาม : ถ้าเราเอาพระเครื่องไว้ที่บ้าน อาราธนาและนึกถึงตอนออกจากบ้านมา ?
ตอบ : นึกถึงได้ แต่เรานึกถึงได้ตลอดเวลาไหม ? ถ้าไม่ได้ตลอดเวลา ก็ต้องพกติดตัว |
ถาม : เวลาที่ตัวสั่น รู้สึกเหนื่อยค่ะ ?
ตอบ : นอกจากตัดใจได้ อย่างอื่นก็ไม่มี ต้องตัดใจได้ว่าตายเป็นตาย ไม่ต้องไปสนใจ ถ้าเรารู้จักสังเกตจะเห็นว่าตัวสั่น แต่ใจเรานิ่งมาก สนใจแต่ใจ ไม่ต้องไปสนใจร่างกาย ตายลงไปยิ่งดี เพราะเราไม่อยากอยู่บนโลกนี้อยู่แล้ว ถาม : ปกติไม่เคยกลัวค่ะ แต่พอมาภาวนาโสตัตตะรู้สึกสั่นจนกลัวค่ะ ? ตอบ : ก็บอกแล้วว่ากำลังคนละระดับกัน |
ถาม : หนูอยากทราบเกี่ยวกับ ๑๒ นักษัตร ว่าทำไมสัตว์ทั้ง ๑๒ ตัวจึงได้มาประจำแต่ละปี ?
ตอบ : เหมือนกับเป็นนิทานอย่างหนึ่ง เล่าว่าพระเจ้าเรียกสัตว์ทั้งหลายมาประชุมกัน เพื่อจะพิจารณาว่าใครที่เหมาะสมกับการที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นสัตว์ประจำในแต่ละปี ถ้าสัตว์ชนิดไหนมาถึงก่อนก็จะตั้งให้ประจำแต่ละปีไป และ ๑๒ ตัวนี้เขามาถึงก่อน แต่ของทางเหนือไม่เหมือนกับของเรา ของเราปีกุน ของภาคเหนือปีช้าง ถาม : คนที่เกิดตามนักษัตรแต่ละปี มีผลไหมคะ ? ตอบ : มีผลน้อย ถ้าเราไปคิดว่ามีก็จะมี เป็นมโนมยา คือสำเร็จด้วยใจ ถาม : อย่างคนที่เกิดปีไก่จะมีนิสัยแบบไก่ไหมคะ ? ตอบ : ไม่แน่ ยังมีรายละเอียดอีกเยอะมาก เอาอย่างนี้...ถ้าสนใจไปอ่านตำราพรหมชาติฉบับราษฎร์ เขาจะบอกไว้เลย เช่น ปีไก่ เดือนอ้าย เดือนยี่ เดือนสาม เป็นอย่างไร เดือนสี่ เดือนห้า เดือนหก เป็นอย่างไร ยังมีรายละเอียดสอดแทรกอีกเยอะ เราจะเป็นไก่ป่า หรือเป็นไก่พระยาเลี้ยง แต่ส่วนใหญ่เป็นคำทำนายแบบรวม ๆ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "โบราณเขาบอกว่าโลกนี้คือละคร ผู้คนก็โลดแล่นไปตามบทบาทของตัวเอง แต่ส่วนใหญ่แล้วน้อยคนที่จะมีสติทำตัวเป็นผู้ดู มักจะสิ้นสติโดดลงไปเป็นผู้เล่น แล้วก็โดน รัก โลภ โกรธ หลง ครอบงำให้ติดอยู่อยู่กับบทบาทนั้น ๆ
ถ้าเราทำตัวเป็นผู้ดูได้ ก็เหมือนกับเราอยู่นอกเวที ในเมื่อเราอยู่นอกเวที เราจะสะบัดก้นจากไปเมื่อไรก็ได้ แต่คนที่อยู่บนเวทีถ้าเล่นไม่จบบทบาทก็เลิกไม่ได้ แล้วขณะเดียวกันเลิกไม่ได้ไม่ว่า บางทีก็ยึดติดบทบาทต่อไปอีก ไม่ยอมเลิก ถ้าอย่างนั้นก็ตัวใครตัวมันเถอะนะ..!" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้วัดท่าขนุนเป็นเจ้าภาพจัดอบรมพระใหม่ก่อนสอบ ก็แค่ ๑๕๙ รูป ไม่มากไม่มายอะไร รวมบรรดาอาจารย์ด้วยก็เฉลี่ยราว ๆ ๒๐๐ รูป ก็แปลว่าเราจะเลี้ยงพระประมาณ ๒๐๐ รูปอยู่ ๕ วันติดต่อกัน แล้วเขาก็จะทิ้งขยะไว้ให้เราเก็บกัน
จากการคาดการณ์ของอาตมาโดยไม่ต้องใช้ความเป็นทิพย์เลยนะ ต่อไปการอบรมพระใหม่ก็จะลงหลักปักฐานที่วัดท่าขนุน ถึงเวลาก็จะมาอบรมที่นี่ เพราะว่าสถานที่พร้อม บุคลากรพร้อม ที่พักอาหารพร้อม แล้วโดยเฉพาะเจ้าอาวาสเต็มใจที่จะจ่าย เพราะถือว่าทำบุญ การเลี้ยงพระก็เป็นสังฆทาน อบรมพระก็เป็นธรรมทาน มีแต่ได้กับได้ ความจริงแล้วสงสารเจ้าคณะอำเภอ ท่านหาพระที่จะทุ่มเทให้กับคณะสงฆ์ไม่ค่อยได้ เลยวนเวียนอยู่แค่ ๒-๓ วัดนี้ ผลัดกันเป็นเจ้าภาพคนละทีสองที รองเจ้าคณะอำเภอถึงกับบ่นเลย “โอ้โฮ...อาจารย์เล็ก ตั้งแต่ผมรับตำแหน่งมานี่เลือดไหลไม่หยุดเลย” คำว่าเลือดไหลไม่หยุดของท่านก็คือ รายจ่ายมากกว่ารายรับ ก็อยากตะเกียกตะกายขึ้นไปเองแล้วจะไปโทษใครเล่า ?" |
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนไปหาพระอาจารย์ศิริชัย มีใครรู้จักบ้างไหม ? บอกชื่อว่าพระอาจารย์ศิริชัยไม่มีใครรู้จัก ต้องบอกอาจารย์บ๊ะ วัดโพธิ์ลังการ์ ค่อยรู้จัก
เนื่องจากว่าไปแล้วคนเยอะ อาตมาก็นั่งอยู่ข้างหลังรอเวลา เพราะว่าถ้าไม่ถึงเวลาท่านก็รักษาไม่ได้ พอได้เวลาปุ๊บ ท่านก็ “เอ้า...นิมนต์พระก่อนครับ” ในเมื่อนิมนต์พระก่อนอาตมาก็แซงคิว ด้วยความที่เพิ่งจะเจอตัวเป็น ๆ กันเป็นครั้งแรก อาตมาก็ทำให้ท่านลำบากใจ เพราะว่านั่งรออยู่ครึ่งค่อนชั่วโมง ท่านก็ไม่สูบบุหรี่ ไม่มึงมาพาโวย นั่งเรียบร้อย พอถึงเวลาไปรักษา อาตมาเป็นคนไม่โลภมาก รู้ว่าท่านรักษาลำบาก ก็เลยเอาทีละโรค ก็เป็นอันว่าอาตมาก็เข้าใจท่าน ท่านก็เข้าใจอาตมา ประเภทไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ อะไรประมาณนั้น ก็เลยไม่ต้องเสียเวลาคุยอะไรกัน รักษาเสร็จก็ต่างคนต่างไป พอครั้งที่สองไปก็เหมือนเดิม แต่พอเผลอหน่อยเดียวโยมไปกราบท่าน ท่านบอก “โน่น ๆ ไปกราบหลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุนโน่น” อ้าว...แล้วกัน ตอนแรกไม่พูด ตูก็นึกว่ารอดแล้ว อุตส่าห์ไม่บอกไม่กล่าวแล้ว ยังรู้จักอีกนะ ไปนึกถึงสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านมีหลวงปู่ธรรมชัยคอยรักษาโรค ตอนนี้คาดว่าใครป่วยมาอาตมาก็ส่งให้ท่านอาจารย์บ๊ะหมด ถึงเวลาก็ไปกวนกันเองแล้วกัน" |
ถาม : ผมมาขอขมาด้วยกาย วาจา ใจ ที่ไม่สมกับเป็นนักปฏิบัติวัดท่าขนุน ?
ตอบ : เดี๋ยวก็ได้ขออีกเยอะ ไม่ต้องห่วง ตอนนี้เอาเป็นว่าจบแค่นี้ก่อน เขาเรียกว่าของขึ้นง่าย ในเมื่อของขึ้นง่าย ใครแหย่ไม่ได้ ก็กลายเป็นว่าคนฉลาดกว่าก็แหย่เราเล่นเป็นของสนุก ถาม : ผมพยายามจะลดโทสะลง แต่กลายเป็นมากขึ้น ? ตอบ : เลยกลายเป็นเก็บกด แล้วไประเบิดทีหลัง ถาม : ผมต้องภาวนาให้มากขึ้น หรือทำอย่างไรดีครับ ? ตอบ : ภาวนาแล้วแผ่เมตตา พิจารณาให้เท่าทันว่า สิ่งที่เขาทำสมควรแก่การโกรธหรือไม่ ? เราจะโกรธเขาหรือไม่โกรธเขา เขาตายไหม ? เราจะโกรธเขาหรือไม่โกรธเขา เราตายไหม ? ถ้าเราตายตอนเราโกรธเราจะไปไหน ? สมควรที่จะโกรธอย่างนั้นอีกไหม ? คิดให้เป็นแล้วเราจะทิ้งไปได้เยอะเลย ขอขมาถูกแล้ว ไม่สมควรแก่การเป็นลูกศิษย์สถาบันวัดท่าขนุน สถาบันวัดท่าขนุนต้องฉลาดกว่านี้ เจ้าอาวาสท่านฉลาดจะตายไป..! ...(หัวเราะ)... ถาม : เรื่องความผิดพลาดต่าง ๆ จะพิจารณาอย่างไร ? ตอบ : ก็บทเรียนอย่างไรเล่า ถึงเวลาผิดเป็นบทเรียน ต่อไปเราก็จะผิดน้อยลง รู้ว่าไอ้ที่ผิดไปแล้วเราจะผิดอีกไม่ได้ ถาม : แต่ในระหว่างบทเรียน เราต้องจำตลอดชีวิตใช่ไหมครับ ? ตอบ : จะได้รู้ว่าต่อไปอย่าได้โง่อย่างนั้นอีก ถาม : ที่เขาแหย่มาผม บางทีผมรู้ว่าเป็นกรรมเก่าของเรา แต่ผมก็รับเข้ามา ทำใจอย่างไรให้ทุกข์น้อยที่สุดครับ ? ตอบ : ก็แค่ไม่รับ ถ้าไปรับทุกข์มาก็ช่วยไม่ได้ |
ถาม : คุณแม่ป่วยหนักอยู่โรงพยาบาล จะหายไหมครับ ?
ตอบ : อันนี้ต้องถามหมอ ไม่ใช่ถามพระ ไปเถอะ...ทำหน้าที่ของลูกให้ดี ถ้าท่านอยู่ก็ดูแลรักษาท่านไป ถ้าหากว่าท่านไม่อยู่แล้วเราก็ไม่มีโอกาสอย่างนี้อีก สอนแม่ให้รู้จักภาวนา บอกแม่ว่าถ้าจับลมหายใจอยู่ จะไม่เจ็บไม่ปวด ถาม : ภาวนา "นัมเมียว" ได้ไหมครับ ? ตอบ : อย่างไรก็ได้ แต่ว่าให้อยู่กับลมหายใจให้ได้แล้วกัน จะภาวนานัมเมียวหรือพุทโธก็ได้ |
ถาม : หลานสาวเกิดมาขาโก่ง ต้องทำบุญอะไรจึงจะดีครับ ?
ตอบ : ต้องไปหาหมอ ไม่ใช่เข้าวัดทำบุญ หลานอายุเท่าไร ? ถาม : อายุถึงปีแล้วครับ หาหมอแล้วหมอจะผ่าอย่างเดียว ? ตอบ : พาไปวัดโพธิ์ลังกาที่อินทร์บุรี ก่อนจะเข้าชัยนาท ไปหาหลวงพ่อบ๊ะ ถามท่านว่ารักษาได้ไหม ? เข้าไปถึงวัดโพธิ์ลังกาแล้ว ถามว่ากุฏิพระอาจารย์บ๊ะอยู่ตรงไหน ? ปกติแล้วกุฏิท่านมีแต่คนนั่งเต็มไปหมด หมอสมัยใหม่จะผ่าอย่างเดียว ก็แบบเดียวกับพวกประเภทกระดูกสันหลังเสื่อม กระดูกสันหลังทรุด หมอจะผ่าอย่างเดียว ไปหาพระอาจารย์บ๊ะ ท่านเคาะ ๆ ทุบ ๆ ไม่กี่ทีก็หายแล้ว |
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อกวยความจริงเป็นพระเกจิอาจารย์รุ่นไล่ ๆ กับหลวงพ่อวัดท่าซุง แล้วท่านอยู่ที่สรรคบุรี แต่หลวงพ่อของเราดังในด้านปฏิบัติ หลวงพ่อกวยท่านดังในเรื่องของเวทมนตร์คาถา รักษาโรคไสยศาสตร์ ฯลฯ ก็เลยกลายเป็นว่าใครอยู่ฝั่งไหนก็จะหูดับไปเลย เพราะได้ยินแค่ฝั่งเดียว บังเอิญว่าอาตมาไปสรรคบุรีบ่อย เพราะว่าไปกราบหลวงปู่บุดดา ก็เลยรู้จักท่านด้วย ถือว่าโชคดีไป
จริง ๆ แล้วหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเป็นคนแนะนำให้ไปหาเอง แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจกัน แบบเดียวกับที่ท่านแนะนำหลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม จนกระทั่งหลวงพ่อจวนมรณภาพ หลวงพ่อค่อยบอกชัด ๆ ว่านั่นคือพระอรหันต์ แต่ตอนที่บอกพวกเราก็ไม่อยากไปไหน อยากจะอยู่แต่กับหลวงพ่อเท่านั้น มีพระของหลวงพ่อกวยอยู่รุ่นหนึ่งที่อาตมาพกแล้วรู้สึกแปลกมาก ๆ เลย เป็นพระสมเด็จที่ข้างหลังมียันต์ ๔ แถว ปกติแล้ววัตถุมงคลของหลวงพ่อกวยจะต้องพร้อมลุยกับชาวบ้าน ต่อให้ไม่ลุยชาวบ้านเขา ก็ต้องอยู่ในลักษณะที่ไม่ยอมให้ใครรังแก แต่พระสมเด็จรุ่นนั้นอาตมาแขวนติดตัวแล้วทำชั่วไม่ได้ เป็นอะไรที่ประหลาดที่สุดเลย มาตอนหลังพออ่านหนังสือขอมออก ก็ไปอ่านอักขระข้างหลัง โอ้...พระเจ้า อักขระเขียนว่า สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง อาตมาก็ว่าทำไมตั้งใจจะทำชั่วแต่ทำไม่ได้ เพราะแปลชัด ๆ เลยว่า เว้นจากการทำความชั่วทั้งปวง ลองดูนะ...เผื่อว่าจะมีใครหาได้ หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ท่านเก่งครบเครื่อง ปกติพระเราจะชำนาญด้านในด้านหนึ่ง มหาลาภ เมตตา ค้าขาย หรือว่าอยู่คงกระพัน ฯลฯ หลวงพ่อกวยท่านได้ทุกเรื่องเลย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าจิตใจสงบ จะเห็น รัก โลภ โกรธ หลง เป็นของตลกฉากหนึ่งที่คนอื่นเขาเล่นให้ดู แล้วก็ผ่านไปแค่นั้น ดู ๆ แล้วก็ขำดี"
|
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ เรามีหน้าที่ก็ภาวนาไป ถ้ามัวแต่ไปหาความหมายของนิมิตอยู่ ชีวิตนี้ก็ไม่ต้องไปหวังความก้าวหน้า อะไรจะเกิดขึ้นก็แค่รับรู้ไว้ ไม่ต้องไปใส่ใจ สิ่งที่เราต้องสนใจก็คือ ทำอย่างไรที่จะให้ใจของเราใสสะอาด ปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง ถ้าใจเรามี รัก โลภ โกรธ หลง อยู่ ก็ขับไล่ออกไป ระมัดระวังไว้อย่าให้เข้ามาอีก ถ้าใจไม่มีความดี ก็สร้างความดีขึ้นมา แล้วทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ก็คือความดีใน ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นแหละ |
ถาม : มีข่าวว่าพระท่านทำขนมปัง เพื่อหาเงินสร้างศาลา แล้วเปรียบเทียบว่าพระที่สร้างวัตถุมงคล ก็สร้างศาลาเหมือนกัน แตกต่างกันอย่างไรคะ ?
ตอบ : แตกต่างตรงที่ว่า ฝ่ายหนึ่งได้วัตถุมงคล ฝ่ายหนึ่งได้ขนม ที่พูดนี่คือ "ขนมปังรสพระทำ" ใช่ไหม ? ถ้าว่ากันตามพระวินัยจริง ๆ แล้ว พระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ให้ทำ แต่สิ่งที่ท่านห้ามไม่ให้ทำนั้น เพราะว่าคนสมัยก่อนเขานินทาเอา อย่างเช่น ถ้าเราตัดต้นไม้ ดึงต้นหญ้า ศาสนาอื่นเขาถือว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีชีวิต เขาจะว่าเราไปเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น จะทำให้เขาขาดความศรัทธาเลื่อมใส พระพุทธเจ้าจึงต้องห้าม แต่ถ้าเราไปปล่อยให้วัดรกไปหมด โดยอ้างว่าพระพุทธเจ้าห้ามตัดหญ้า ห้ามตัดแต่งต้นไม้ แล้วถ้าวัดรก ใครจะเกิดศรัทธาเลื่อมใส ? ก็ต้องมีคนที่ทำหน้าที่ ถ้าไม่มีลูกศิษย์ทำ พระก็ต้องลงมือเอง การที่เราทำความสะอาดวัดวาอาราม แม้จะต้องพรากของเขียว เป็นการผิดพระวินัยที่พระพุทธเจ้าบัญญัติเอาไว้ แต่พอเราทำไปแล้ว คนเห็นวัดวาอารามสะอาดสะอ้าน เกิดความศรัทธาเลื่อมใส เข้าวัดมาทำบุญ ส่วนที่เป็นกุศลจึงมีมากกว่า พระหลายรูปที่ท่านหาลูกศิษย์ยาก ท่านก็ลงมือทำเสียเอง ถือว่าความผิดและสิ่งที่ได้รับนั้นพอที่จะทดแทนกันได้ เรื่องที่พระท่านทำขนมปังก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้าสั่งไม่ให้พระทำอาหารเอง เพราะกลัวท่านที่มีฝีมือในการทำจะไปติดในรส ก็แปลว่าทำแล้วผิด แต่คราวนี้พระท่านทำเพื่อที่จะเอาเงินมาสร้างศาลา อานิสงส์ที่ได้มากกว่า เพราะท่านปรับพระที่ทำอาหารเองด้วยอาบัติทุกกฎ ซึ่งปรับเท่ากับการจับเงิน ในเมื่อบุญได้มากกว่า ท่านลงมือทำไป เราก็ต้องเข้าใจเจตนาท่านด้วย คนที่ไม่เข้าใจพระวินัยของพระ หรือเข้าใจงู ๆ ปลา ๆ โดยเฉพาะไม่รู้เจตนาที่พระท่านทำ แล้วไปวิพากษ์วิจารณ์ โอกาสที่จะขาดทุนมีเยอะมาก |
ถาม : มีข่าวดาราไปบวชแล้วอุ้มลูกสาว อาบัติไหมคะ ?
ตอบ : ท่านปรับเท่ากับจับเงินเหมือนกัน พระพุทธเจ้าห้ามจับต้องกายหญิงด้วยจิตกำหนัด จิตกำหนัดคือมีอารมณ์ทางเพศ ถ้าจับต้องกายหญิงด้วยจิตกำหนัด ท่านปรับต้องสังฆาทิเสส แต่ถึงไม่มีจิตกำหนัด ท่านปรับอาบัติทุกกฎ ก็คือ ปรับเท่ากับจับเงิน แต่ก็อย่างว่าแหละ สิ่งที่ท่านทำก็คือความผูกพันระหว่างพ่อกับลูก แต่เป็นการฝืนพระวินัย โดยเฉพาะว่าออกสื่อ ถ้าออกสื่อเถียงกันเมื่อไรก็เละเมื่อนั้นแหละ เพราะคนรู้นั้นมีมาก แต่ที่รู้จริงนั้นหายาก ท่านอุ้มลูกไม่กี่เดือน โอกาสที่จะเกิดจิตกำหนัดอารมณ์ระหว่างเพศคงหาไม่ได้หรอก แต่ก็โดนอาบัติอยู่ดี ไปแสดงอาบัติคืนได้ เพราะปรับเท่ากับจับเงิน อย่าลืมนะ จับเงินกับรับเงิน อาบัติคนละอย่างนะ อาตมารับเงินนี่โดนหนักกว่าอีก ...(หัวเราะ).... พระพุทธเจ้าห้ามพระจับเงิน จับทอง จับแก้วมณี หรือสิ่งที่ใช้แทนเงินทอง เพราะเกรงว่าจะเกิดความโลภ ถ้าไม่จับแล้วให้ลูกศิษย์เก็บไว้ แล้วเราไปคิดว่าเรามีเงินเท่านั้นเท่านี้ กูรวยแล้วเท่านั้นเท่านี้ บรรลัยยิ่งกว่าจับเองอีก |
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาจารย์บ๊ะท่านห้ามอาตมาฉันใบชะพลู ท่านว่าทำให้สายตาเสียหมด ไปหาท่านครั้งหนึ่ง ก็ได้ข้อห้ามมาอย่างหนึ่ง"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อเช้าลงรับสังฆทานก่อนเวลาหนึ่งชั่วโมงไม่มีใครว่า ช่วงบ่ายลงช้าไปสองนาทีมีคนนินทา ต้องบอกว่าไม่รู้จักพอกันจริง ๆ"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า “สมัยที่อาตมาภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัวใหม่ ๆ รู้สึกเย็นอกเย็นใจจนบอกไม่ถูก ตากแดดก็ไม่ร้อน ตากฝนก็ไม่หนาว บางทีฝนตกก็เดินภาวนาตากฝนไปเรื่อย อยากรู้ว่าฝนกับเราใครจะเก่งกว่ากัน มารู้ทีหลังที่หลวงพ่อฤๅษีท่านบอกว่า พอสมาธิทรงตัว จิตกับประสาทจะแยกออกจากกัน ไม่ค่อยรับรู้อาการทางร่างกาย ขอเตือนว่าใครจะเลียนแบบก็ได้นะ แต่อย่านาน ถ้านานเกินไปพอเราถอนสมาธิออกมาบางทีก็ไข้จับไปเลย”
|
ถาม : ถ้าผมจะใช้วิธีเอาพระหกกษัตริย์ของหลวงปู่ปานมาทำน้ำมนต์แล้วพรมเงิน เงินจะงอกไหมครับ ?
ตอบ : เขาให้ภาวนาพระคาถาเงินล้านหรือว่าพระคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า ถ้าเอาไปพรมแล้วเงินงอก ตูพรมไปก่อนหน้านั้นแล้ว แหม...คิดแบบมักง่ายมาก ไม่คิดจะลงทุนลงแรงทำเองเลย...! |
ถาม : ผมจะปิดทองพระพุทธรูป แต่ต้องมีการขัดผิวก่อน ?
ตอบ : ขัดเนื้อเก่าให้เรียบก่อนแล้วค่อยลงสีรองพื้น ถ้าจะปิดทองก็ลงด้วยสีแห้งช้าสีเหลือง ทิ้งไว้ ๖ ชั่วโมงแล้วปิดทอง ถ้าทำแล้วสวยขึ้นจะขัดแต่งอย่างไรก็ทำไปเถอะ ไม่ใช่ว่าไปขัดแล้วกระดำกระด่างสวยสู้ของเก่าไม่ได้ |
ถาม : ผมใช้บุญจากการบวช อธิษฐานขอ ปรากฏว่าขอแล้วไม่ได้ ?
ตอบ : ยังทำมาไม่พอ ถาม : ขอบเขตในการขอ มีระยะ ปริมาณ อย่างไรครับ ? ตอบ : แล้วแต่บุญเก่าของตัว ถ้าทำของเก่าไว้มาก ของใหม่เสริมเข้าไปเพียงพอแล้วขอไม่เกินวิสัยก็ได้ อย่าลืมคำว่า "ไม่เกินวิสัย" ของหลวงพ่อวัดท่าซุง ถ้าของเก่าทำไม่พอ ของใหม่ถมลงไปแล้วก็ยังขาด ขอไปก็ไม่ได้ เราจะสังเกตง่าย ๆ จากการบน คนอื่นบนได้กันเยอะแยะ ทำไมเราบนแล้วไม่ได้ การบนนั้นส่วนใหญ่เราต้องทำความดีตอบแทน อย่างเช่น การบนหลวงพ่อ ๕ พระองค์ที่วัดท่าซุง เขามีทั้งบวชเณร มีทั้งถวายสังฆทาน มีทั้งถวายผ้าห่มพระ ก็คือการสร้างบุญ คราวนี้การที่เราไปบนท่าน ก็คือ ถ้าเรื่องนี้สำเร็จเราจะทำบุญอย่างนี้ ท่านเองเห็นว่าไม่เกินวิสัย ถ้าบุญที่เราทำเสริมลงไปเพียงพอที่จะได้ในสิ่งนั้น ท่านก็ให้เราได้ คราวนี้ถ้าหากว่าไม่พอ ถมเท่าไรไม่รู้จักเต็มเพราะของเก่าทำไว้น้อย ของใหม่ถึงทำมาก รวมกันแล้วก็ไม่ถึงระดับที่ควรจะได้ก็ไม่ได้อยู่ดี เอาเถอะ...ถ้าบวชครั้งนี้อธิษฐานขอจากบุญบวชไม่ได้ก็ครั้งหน้าบวชใหม่ ที่วัดมีบวชปีละ ๔ ครั้ง จะไปกลัวอะไรวะ ? บวชไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็เต็มไปเอง ถาม : ตอนที่ไปกฐินนราธิวาส พรรคพวกเขาไปอธิษฐานตักไข่ในน้ำ ยังได้จักรยานมา ? ตอบ : ไอ้นั่นโง่ชัด ๆ...! บุญบวชราคาเป็นล้านเอาไปขอจักรยานคันเดียว จะไม่ได้อย่างไรวะ ? ทิดที่วัดบวชแล้วสึกไปงานกฐินด้วยกัน ไปตักไข่อธิษฐานขอรางวัลใหญ่ แต่รางวัลใหญ่ที่สุดแค่จักรยาน เอ็งบวชปฏิบัติมาทั้งพรรษา ถ้าไม่ได้จักรยานคันหนึ่งก็ไปตายเสียเถอะ...! |
ถาม : อันนี้ใช่เหล็กไหลไหมครับ ?
ตอบ : เสียดาย...ถ้าออกเขียวหน่อย ตูจะตีเป็นลูกอมเมฆสิทธิ์ของหลวงปู่ทับ วัดอนงคาราม แต่บังเอิญว่าไม่เขียว อันนี้เป็นโลหะที่เขาเรียกออกมา บางคนเรียกเหล็กไหล แต่ให้รู้ว่าจริง ๆ คือเหล็กเหลวไหล..! ถาม : ปรอทสำเร็จใช่ไหมครับ ? ตอบ : ไม่ใช่ ปรอทจะลื่นกว่านี้ ถาม : อันนี้ใช่สีผึ้งเขียวของหลวงปู่ทาบไหมครับ ? ตอบ : อะไรนักหนาวะ...! ตกลงมึงไม่เอาพระเลยใช่ไหม ? ต้องบอกว่าอย่างไรละ คนใช้ไม่เป็นใช้อย่างไรก็ไม่ได้เรื่องหรอก ถาม : สีผึ้งอันดับ ๑ ของประเทศ คือ หลวงปู่ทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้งใช่ไหมครับ ? ตอบ : อย่างของหลวงปู่ทาบได้ชื่อว่าเป็นสีผึ้งอันดับ ๑ ของเมืองไทย แต่คนใช้สีผึ้งหลวงพ่อกวยจะบอกว่าของหลวงพ่อกวยเจ๋งกว่า ก็อยู่ที่ว่าใครใช้แล้วมีประสบการณ์ แต่ที่ขำที่สุดก็คือมีลูกศิษย์หลวงพ่อกวยคนหนึ่งอยากได้เมีย ไปหาหลวงพ่อกวยขอการสงเคราะห์พิเศษ วันนั้นหลวงพ่อท่านก็ว่างพอดี แล้วก็ดันใจดีขึ้นมาอีก ท่านบอก “มึงไปเอาน้ำมันใส่ผมมา” เขาก็ไปเอาน้ำมันใส่ผมยี่ห้อตันโจ เคยได้ยินไหม ? เด็กรุ่นนี้รู้จักหรือเปล่า ? เอาไปให้หลวงพ่อกวยท่านเสกให้ หลวงพ่อกวยท่านก็บอกว่า “มึงอย่าให้คนอื่นใช้เชียวนะ ต้องใช้คนเดียว” เพราะท่านถามชื่อ ถามนามสกุลแล้ว เสกเฉพาะคนนี้คนเดียว โยมคนนั้นปัจจุบันต้องเรียก "ปู่บาง" แต่ตอนนั้นหลวงพ่อกวยเรียก "ไอ้บาง" ปรากฏว่าตาบางได้น้ำมันใส่ผมของหลวงพ่อกวยไปก็สบายใจ เอาไปวางไว้หัวนอน...ลืมใช้ พอดีเพื่อนมาที่บ้าน ประเภทซี้กัน ไปกินไปนอน อาบน้ำอาบท่าเสร็จสรรพเรียบร้อยก็เอาน้ำมันมาใส่ผม หวีเสียอย่างดี พอตาบางกลับมาบ้าน เพื่อนก็กระโดดกอดเลย “พี่บางจ๋า หนูรักพี่บาง” ซวยฉิบหา...! ต้องช่วยกันจับ ช่วยกันปล้ำ เอาไปให้หลวงพ่อกวยท่านรดน้ำมนต์แก้ให้ หลวงพ่อกวยท่านด่าตาบางเสียจมดินเลย “กูบอกแล้วว่าอย่าเผลอไปให้คนอื่นใช้” “ผมไม่ได้ให้ใช้ครับ มันไปเอามาใช้เอง” |
ถาม : ผมไปของานเทวดามา ขอแบบนี้ครับ ถ้าได้งานครั้งที่หนึ่งให้ยกมือขึ้น แล้วก็ไล่ไปเรื่อย กล้ามากครับ ยกไม่ขึ้นเลยครับ ๒๐ กว่าครั้ง ?
ตอบ : ไปลองทำบ่อย ๆ ดูสิ ไม่โดนเทวดาเหยียบเอาก็บุญแล้ว ถึงได้บอกว่าคิดแต่เรื่องวิตถาร คิดแต่เรื่องมักง่าย...! ไม่เคยคิดในเรื่องทำมาหากินเลย |
ถาม : เราภาวนาคาถาเงินล้าน แต่เราทำบุญเก่าไว้น้อย จะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้...ให้ทำจริง ๆ และสม่ำเสมอเท่านั้น บุญเก่าเราทำไว้มากก็ได้มาก บุญเก่าเราทำไว้น้อยก็ได้น้อย แต่ถ้าทำสม่ำเสมอต่อเนื่องได้ ๒ เดือนก็จะได้ จะมากน้อยก็ต้องได้ แต่จริง ๆ คนที่ต้องใช้คาถา ต้องใช้สีผึ้ง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่สรรเสริญนะ บางทีท่านด่าเลย ท่านบอกว่า “กับผู้หญิงถ้าทำดี พูดดีกับเขา เขาก็รักเราเอง จะต้องไปใช้อะไรมากมายวะ ?” เพราะฉะนั้น...อาตมาตั้งแต่ต้นจนจบ ขอเรื่องนี้ไม่ได้เลยสักเรื่อง ขอเมื่อไรท่านไม่เคยให้ แต่ถ้าจะไปตีกับชาวบ้านนี่ขออะไรท่านให้หมด ท่านเล่าเรื่องของหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม) วัดอนงคารามให้ฟัง ท่านว่าฟังมาจากหลวงพ่อสมเด็จฯ อีกทีหนึ่ง ตอนนั้นหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านบวชใหม่ ๆ ก็ยังเป็นพระหนุ่มน้อยอยู่ คราวนี้อาหมวยที่ใส่บาตรหน้าตาสวยมาก เขาเปิดร้านขายของ หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านสมัยพระหนุ่มก็แสดงความจริงใจ ท่านบอกว่าตกค่ำก็เอาบาตรไปนอนที่หน้าร้าน พอเขาเปิดร้านก็ยืนถือบาตรรอรับบาตรก่อนใครเลย ...(หัวเราะ)... นิทานเรื่องนี้หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านสอนให้รู้ว่า กูบ้ามากกว่ามึงอีก กูยังต้องบวชจนเป็นสมเด็จฯ เลย ...(หัวเราะ)... หมดอารมณ์เลยใช่ไหม ? อาตมายังไม่เคยทำถึงขนาดนั้น |
ถาม : ผมไปซื้อปรอทจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์มาต้มในหม้อดิน ต้องใช้ดักหรือใช้ฆ่าครับ ?
ตอบ : ใช้ฆ่า ถาม : ต้องเตรียมน้ำมันชาตรีกันระเบิดใช่ไหมครับ จะระเบิดไหมครับ ? ตอบ : กูละเบื่อ ไอ้พวกรู้งู ๆ ปลา ๆ สมควรตาย...! ถาม : ทีหลวงพ่อยังใส่น้ำมันชาตรี ? ตอบ : นั่นปรอทแข็งตัวแล้วเอามาหลอมใหม่ เดี๋ยวเตะก้านคอเลย...! ตายห่..ไปนี่ไม่ต้องคิดเลย ได้ปรอทมาใหม่ ๆ เขาต้องฆ่าพิษเสียก่อน ปรอทยังเป็น ๆ ไปต้มส่งเดชพิษฟุ้งขึ้นมาก็ตายห่..สิวะ รักจะศึกษาก็ไปศึกษาให้จริง ๆ จัง ๆ ไม่ใช่รู้งู ๆ ปลา ๆ แล้วกูก็ไปทำ ตายยกครัวขึ้นมาก็ไม่ต้องไปโทษใครเลย |
ถาม : ปรอทสำเร็จเพราะฆ่าออกมาจะแข็งตัวหรืออย่างไรครับ ?
ตอบ : ต้องทำให้แข็งตัวได้ก่อน หลังจากนั้นเราจะเสกอะไรก็ต้องหลอมต้องไปเรื่อย ถ้าสำเร็จจริง ๆ หลอมกี่ครั้งก็จะแข็งตัวเหมือนเดิม ถาม : ปรอทสำเร็จ ท่านที่สำเร็จอภิญญาอธิษฐานเข้าไปเหมือนชาร์จแบตฯ ไหมครับ เวลาเสก ? ตอบ : อธิบายไปเอ็งจะรู้เรื่องไหมนี่ ? คือบุคคลที่สำเร็จปรอทเขาจะต้องหลอมไป ภาวนาไป จนกระทั่งทรงฌานโดยอัตโนมัติ สรุปว่าที่สำเร็จไม่ใช่ที่ปรอทหรอก อยู่ที่ตัวคนนั่นแหละ ปรอทเป็นเพียงแต่เครื่องโยงให้เกิดศรัทธาในการทำเท่านั้น ถาม : ไม่ว่าจะได้กสิณอะไรมา ก็เหาะได้ทุกคน ? ตอบ : แต่ถ้าหากว่าถึงขนาดสำเร็จปรอทแล้วนี่ก็เหาะได้ทั้งนั้นแหละ ถาม : ต้องอมใช่ไหมครับ ? ตอบ : กลืนลงท้องไปก็ได้...! |
ถาม : แล้วที่บอกว่าสำเร็จปรอทขั้น ๑ เป็นมหาเสน่ห์ ขั้น ๒ เป็นป้องกันภัย พอถึงขั้น ๒ แล้วจะซ้อนทับของเดิมไหมครับ ?
ตอบ : เหมือนกัน แต่ของใหม่จะแรงกว่า หมายความ ถ้าเป็นมหาเสน่ห์พอไปถึงขึ้นป้องกันภัยตัวมหาเสน่ห์ยังอยู่ แต่ป้องกันภัยจะออกหน้า ถ้าขั้นรักษาโรค ตัวรักษาโรคจะออกหน้า ตัวป้องกันภัยยังอยู่ แต่อยู่ข้างหลัง ถาม : แล้วขั้นไหนที่ปรอทจะกินทองครับ? ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วถ้ายังไม่ได้เริ่มต้นนี่กินกระจายเลย หลังจากนั้นแล้วก็กินน้อยลง ถาม : แล้วปรอทที่บรรจุในเบี้ยแก้ ? ตอบ : ใช้ปรอทวิทยาศาสตร์ก็ได้ แต่เขาต้องเรียกลงเบี้ย ไม่ใช่แค่กรอกเข้าไปเฉย ๆ อย่างหลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ ท่านเอาใบหญ้าคาพาดจากตัวเบี้ยไปหาภาชนะใส่ปรอท แล้วเรียกปรอทให้ไต่ใบหญ้าคาลงไปเอง |
ถาม : แล้วการทำปรอทกรอ ?
ตอบ : ปรอทกรอทำยากมาก ปรอทกรอเป็นวัสดุชนิดหนึ่ง คนที่เขาผ่าออกมาบอกว่าข้างในจะเป็นแผ่นสัมฤทธิ์บางเหมือนปีกจักจั่น ซ้อน ๆ สับกันไปสับกันมาเหมือนหวี แล้วมีเม็ดปรอทอยู่เม็ดหนึ่ง พอถึงเวลากระทบแล้วจะเกิดเสียง ถาม : แล้วการแบ่งตัวผู้ตัวเมีย เป็นเพราะเราแบ่งว่าเป็นลูกใหญ่ลูกเล็กหรือครับ ? ตอบ : จริง ๆ อยากจะบอกว่าคนทำขี้เกียจใช้วัสดุเยอะก็เลยทำลูกเล็ก แต่คราวนี้เขาก็เรียกลูกเล็กว่าตัวผู้ ลูกใหญ่ว่าตัวเมีย แต่จริง ๆ แล้วลูกเล็กน่าจะทำยากกว่า เราลองไปนึกว่าโลหะชิ้นหนึ่งถ้ากว้างสักนิ้วหนึ่งก็ใส่ง่ายใช่ไหม ? แต่ถ้ากว้างครึ่งเซ็นติเมตรจะไปใส่อย่างไร ? ก็ต้องเล็งกันตาเหล่ไปข้างหนึ่ง ถาม : พอทำไปถึงเป็นแก้วจักรพรรดิ เหาะได้ เลี้ยงคนได้ คุ้มครองคนได้ทั้งโลก เอาไปติดหินรูปปั้นแล้วล้มลุกได้ ยังทำอะไรได้อีกครับ ? ตอบ : แค่นั้นยังไม่พออีกหรือวะ เออ...แต่ว่ามาถามตรงนี้แล้วก็นึกได้ พวกที่ไปติดรูปแล้วเคลื่อนไหวได้ก็ยังย่องไปกินทองอยู่ดี แสดงว่ากินทุกขั้นตอนเลย ที่เขาติดเต่า ติดสิงโต ติดช้าง พวกนั้นก็ไปกินทอง กินเสร็จแล้วค่อยกลับ แสดงว่ากินทุกขั้นตอน อยากศึกษาก็ข้ามไปฝั่งพม่า ไม่ต้องไกลหรอก...ที่เมียวดีก็มีคนหนึ่ง ความจริงที่ทองผาภูมิก็มีคนสอนได้นะ เพียงแต่ว่าท่านไม่ค่อยอยากจะสอนใครเท่านั้นเอง ถาม : ใช่ฤๅษีใช่ไหมครับ ? ตอบ : ใช่...ที่อยู่ผาอ้น เพียงแต่ว่าท่านไม่ค่อยจะสอนใคร โดยเฉพาะว่าพูดคนละภาษาแล้วจะไปเรียนกันอย่างไร ? พอท่านบอกชื่อตัวยาที่เอามาฆ่าพิษปรอทนี่ปวดกบาลเลย เพราะเราไม่รู้ว่าชื่อกะเหรี่ยงพอเป็นไทยแล้วคืออะไร ต้องให้ท่านหาตัวอย่างมาให้ดูสักชิ้นหนึ่งถึงจะรู้ เรื่องอุปสรรคระหว่างภาษาก็ยุ่งเหมือนกัน |
ถาม : ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นให้ประสบความสำเร็จ จะต้องทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : อ๋อ...ต้องใช้คาถามหาเสน่ห์ของพระพุทธเจ้า ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตา |
ถาม : หลวงปู่เทพโลกอุดร ถ้าผมตั้งใจเดินตรงเข้าไป ท่านจะมารับไหมครับ หรือท่านจะลองใจผมครับ ?
ตอบ : คนตั้งใจไปหาท่านต้องอยากจะเอาดี ไม่ใช่ตั้งใจไปหาท่านอยากจะไปดูฤทธิ์ดูเดช ถาม : ผมอยากไปเรียนวิชาครับ ? ตอบ : ทำดูสิ ได้ไม่ได้เดี๋ยวก็รู้เอง ถาม : หลวงปู่ฤๅษีลิงขาวกับหลวงปู่ฤๅษีลิงเล็กยังอยู่ไหมครับ ? ตอบ : มรณภาพไปตั้งนานแล้ว ถาม : แล้วพระอรหันต์ ๗๐ กว่ารูปที่หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยกล่าวถึง ? ตอบ : มรณภาพไปเยอะแล้ว |
ถาม : มีคนเขาฝากปลาเค็มมาให้ทอดถวายพระอาจารย์ แต่ไม่สะดวกหนูเลยแบ่งมาถวายบางส่วน ?
ตอบ : หาทางถวายวัดไหนไปก็ได้ เพราะเขาตั้งใจถวายวัด ถาม : หนูก็แบ่งมาถวาย ๒ ชิ้นแล้ว ? ตอบ : เขาตั้งใจถวายทั้งตัว หรือถวายแค่ ๒ ชิ้น ? ทำอะไรอย่ามักง่าย เดี๋ยวจะซวยไม่รู้ตัว..! |
ถาม : .....ต้องธาตุลมใช่ไหมครับ เปิดลมเข้าไป ?
ตอบ : ไปถามท่านเอง...พอได้แล้ว สารพัดปัญหาที่ถามมา กูไม่เห็นมีการปฏิบัติของมึงอยู่เลย สงสัยเหี้...อะไรไม่รู้เยอะแยะไปหมด ถาม : มีอีกตัวหนึ่งครับ ? ตอบ : คำว่าพอแล้วนี่ฟังไม่รู้เรื่องใช่ไหม ? หรือต้องฟาดกบาลด้วยไมค์...! การถามปัญหาต้องหวังความก้าวหน้าในการปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ ไม่ใช่ถามเพื่อหวังรวย..! ถาม : พระคาถาเงินล้าน ถ้าเราท่องได้ตามจบ ก็จะได้ใช่ไหมครับ ? ตอบ : เขาให้ทำ ไม่ใช่ให้ถาม อยากรู้ก็ไปทำ ถาม : การภาวนาคาถาเงินล้าน ภายในสองเดือน จะได้ของเก่าหรือไม่ได้ ถ้าทำถึงฌานสี่ก็ได้ผลหรือครับ ? ตอบ : แค่สมาธิเล็กน้อยก็ได้ เพียงแต่ให้ทำจริง ๆ และสม่ำเสมอเท่านั้น ถาม : สัมปะจิตฉามิ ภาวนาแบ่งแบบไหนดีครับ ? ตอบ : อยู่ที่เราสะดวกในการภาวนา จะเอากี่คำก็ได้ |
พระอาจารย์เล่าว่า "ประมาณกลางเดือนที่แล้วกรรมการวัดท่านหนึ่ง ก็คือ มิสเตอร์เดวิด คันนิ่งแฮม (ลุงเดฟ) เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ตายแล้วไปดี ลุงเดฟของพวกเราไม่ใช่โชคดี แต่เป็นเพราะความพยายามในการปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนาจริง ๆ
ลุงเดฟแต่งงานกับป้าอุ๋ย ป้าอุ๋ยบังคับลุงเดฟใส่บาตรทุกวัน ด้วยความรักเมียลุงเดฟก็ต้องลุกขึ้นมาใส่บาตร ใส่ไปใส่มา จนบางวันป้าอุ๋ยขี้เกียจ นอนเขลง ลุงเดฟก็ยืนใส่บาตรคนเดียว พอนานไปลุงเดฟก็ชักสงสัย "นี่ตกลงว่าศาสนาของเธอหรือศาสนาของฉันกันแน่ ?" พออาตมาสอนให้ภาวนา ลุงเดฟกลับทำได้ดี โดยเฉพาะภาวนาแล้วเห็นภาพพระพุทธรูปชัดมาก ขนาดอาตมาสร้างพระใหญ่หน้าวัด ทาสีขาว ลุงเดฟบอกว่าไม่ใช่ พระที่ท่านเห็นเป็นสีทอง ที่อาตมาทาสีขาวเพราะต้องการให้คนเห็นแต่ไกล ไม่ใช่ว่ากันตามที่ลุงเดฟเห็น คราวนี้ลุงเดฟป่วยเป็นมะเร็ง เวลาเข้าโรงพยาบาลไม่ต้องฉีดมอร์ฟีน ลุงเดฟก็ภาวนา พอเห็นภาพพระก็หายปวด...สบาย ลูกหลานเห็นลุงเดฟนิ่ง ๆ ก็ไปเขย่าเรียก พอหลุดจากสมาธิก็มาโอดโอยกับความปวด ก็ต้องเข้าสมาธิภาวนาใหม่ บางทีลูกหลานไม่รู้ว่าพ่อแม่ทำอะไร แหม...น่าฆ่าให้ตายจริง ๆ คนภาวนาจนกำลังใจทรงตัวดันไปเขย่าให้หลุด ท้ายสุดลุงเดฟก็ไปสบาย เพราะเห็นพระอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว สมัยก่อนที่ลุงจะเป็นมะเร็ง เวลาวัดท่าขนุนมีงาน เราจะเห็นฝรั่งแก่ ๆ มาช่วยทำกับข้าวเลี้ยงโยมเลี้ยงพระ นั่นแหละ...ลุงเดฟของพวกเรา" |
"ลุงเดฟแต่งงานกับป้าอุ๋ยเพราะมีเพื่อนแต่งเมียคนไทย แล้วเมียเพื่อนทำกับข้าวเก่งมาก ลุงเดฟชอบกินอาหารไทยก็เลยแต่งกับป้าอุ๋ย โดยที่ไม่รู้ว่าป้าอุ๋ยทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ท้ายสุดลุงเดฟจึงต้องไปหัดทำกับข้าวเสียเอง ตกลงว่าแต่งเมียจะเอาไปอวดชาวบ้าน ว่ามีเมียคนไทยทำกับข้าวเก่ง ก็เลยอวดไม่ได้ ต้องทำเอง
ไป ๆ มา ๆ ก็หัดใส่บาตร ทำกับข้าวใส่บาตรทุกวันจนชิน พอถึงเวลาให้ภาวนาก็ง่าย เพราะจิตใจเคยชินกับการจดจ่อทำกับข้าวถวายอาหารพระทุกเช้า ฉะนั้น...พวกเราเป็นคนไทยแท้ ๆ อย่างน้อย ๆ อย่าให้แพ้ลุงเดฟเขานะ ...(หัวเราะ)... อาตมาเชื่อว่ามีน้อยมาก วัดในประเทศไทยที่มีกรรมการวัดเป็นฝรั่ง แต่วัดท่าขนุนมี" |
"วีรกรรมของป้าอุ๋ยกับลุงเดฟมีเยอะมาก อาตมาบอกให้ป้าอุ๋ยไปเขียนหนังสือ ป้าอุ๋ยบอกว่าเขียนไม่เป็นหรอก แต่เล่าเป็น ป้าอุ๋ยเล่าให้ฟังแต่ละเรื่อง หัวเราะกันจนท้องคัดท้องแข็ง
เมื่อตอนที่ป้าอุ๋ยเพิ่งแต่งงานไป ลุงเดฟก็นัดเพื่อนมาปาร์ตี้ที่บ้าน เพราะมั่นใจว่าป้าอุ๋ยทำกับข้าวเก่งเหมือนกับเมียเพื่อน ...(หัวเราะ)... แต่ความจริงป้าอุ๋ยทำอะไรไม่เป็น ป้าอุ๋ยโทรกลับมาบ้าน ให้แม่ซื้อหม้อหุงข้าวส่งไปทางเรือ สมัยก่อนยังไม่นิยมเครื่องบิน กว่าของจะไปถึงก็เป็นเดือน พอหม้อหุงข้าวไปถึง ป้าอุ๋ยก็คิดว่าสบายแล้ว ผัวว่าอยู่ทุกวันว่าทำกับข้าวไม่เป็นเสียชาติเกิด หุงข้าวไม่เป็นเสียชาติเกิด ป้าอุ๋ยก็ดูคู่มือการใช้หม้อไฟฟ้า ใส่ข้าวแค่นี้ ใส่น้ำแค่นี้ เสียบปลั๊ก จัดการเรียบร้อย ครบ ๑๕ นาที ปรากฏว่าพอเปิดหม้อดูยังเป็นน้ำใส ๆ เหมือนเดิม ป้าอุ๋ยจึงโทรมาหาแม่ บอกว่าทำตามที่เขาบอกแล้ว ทำไมข้าวไม่สุก แม่ถามว่า "แกได้กดปุ่มหรือเปล่า ?" ปรากฏว่าป้าอุ๋ยเสียบปลั๊กเฉย ๆ แต่ไม่ได้กดสวิตซ์...! หลังจากนั้นแม่ก็ดุป้าอุ๋ย "คราวหน้าแกจะโทรศัพท์ แกแหกตาดูเวลาด้วย ที่เมืองไทยนี่ยังไม่ตีสองเลยนะ" ...(หัวเราะ)... แต่ทางโน้นบ่ายโมงกว่าแล้ว" |
ถาม : อย่างฝรั่งที่เขาศรัทธาพุทธศาสนาในภายหลัง แต่เขาไปเกิดผิดที่ เกิดไกลไปหน่อย ?
ตอบ : บุคคลที่เคยสร้างบุญไว้ในขอบเขตของพระพุทธศาสนา ไปอยู่ไกลขนาดไหนเดี๋ยวบุญก็ส่งให้ก็เข้ามาได้เอง ถาม : อย่างตอนไปปากีสถาน แล้วคนปากีสถานถวายอาหารมา เขาจะได้อานิสงส์เกิดในพระพุทธศาสนาไหมคะ ? ตอบ : ต้องดูว่าก่อนตายใจเขาเกาะอะไร แต่ท้ายสุดอานิสงส์ก็จะส่งผลให้เขาจนได้ เขาจะรู้หรือไม่รู้ก็ต้องได้ ถ้าไม่เคยเนื่องกันมา เขาก็ไม่เคยนึกอยากจะถวายอยู่แล้ว |
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้พวกเราส่วนหนึ่งไปบ้านสายลมกันมา แม้ว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านจะจากเราไป ๒๔ ปีแล้ว พวกเราก็ยังคงจัดงานวันเกิดให้ท่านตามปกติ เหมือนกับว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ ลักษณะอย่างนี้แหละที่โบราณกล่าวว่า "ตัวตายแต่ชื่อยัง" ก็คือ แม้ว่าหลวงพ่อท่านจะมรณภาพไปนานแล้ว ด้วยความที่ท่านสร้างสมคุณงามความดีเอาไว้มาก ถึงเวลาชื่อเสียงเกียรติคุณของท่านก็ยังเป็นที่เคารพนับถืออยู่ในหมู่คณะศิษย์ มีการจัดงานเพื่อการระลึกถึงอยู่เสมอ
ญาติโยมลองนึกดูว่า ในสมัยที่หลวงพ่อท่านยังอยู่ เวลาจัดงานแต่ละครั้ง มีบรรดาพระที่ให้ความเคารพเลื่อมใสท่าน ไปในฐานะลูกศิษย์ประมาณสามร้อยรูปเศษ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านกล่าวว่า "พระเหล่านี้ที่มา ต่อไปข้างหน้าถ้าท่านไปบอกกับคนอื่นว่าเป็นลูกศิษย์ของข้า ข้าก็ปฏิเสธไม่ได้ แต่ให้พวกแกดูด้วยว่า มีใครที่ดำเนินรอยตามปฏิปทาของข้าหรือไม่ ? ถ้าท่านดำเนินตามปฏิปทาเดิมที่ข้าได้ทำเอาไว้ ท่านเหล่านั้นจึงจะถือว่าเป็นลูกศิษย์ของข้าที่แท้จริง" ถ้าเรานึกย้อนไปสมัยหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงปู่ปานจัดงานแต่ละที เรือจอดแน่นแม่น้ำชนิดเดินข้ามฝั่งได้เลย คนเป็นหมื่น อาตมาถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า "ระหว่างหลวงพ่อกับหลวงปู่ปาน ถ้านับแล้วใครดังกว่ากัน ?" หลวงพ่อตอบว่า "หลวงปู่ปานดังกว่า ข้าจัดงานสมัยนี้คนเป็นแสน แต่มีวิทยุ มีหนังสือพิมพ์ มีทั้งโทรศัพท์ สมัยโน้นหลวงปู่ไม่มีอะไรเลย นอกจากบอกกันปากต่อปาก" หลวงปู่ท่านเลี้ยงทั้งพระทั้งเณรเอาไว้จำนวนมหาศาล เพราะท่านเปิดสอนบาลีด้วย หลวงปู่ปานเรียนบาลี ถ้าสมัยนี้ท่านต้องจบประโยค ๘ เพราะท่านแปลวิสุทธิมรรคได้ ชนิดตั้งวิเคราะห์ได้ทุกตัว แต่หลวงปู่ปานไม่ได้ไปสอบ เรียนเอาความรู้เฉย ๆ เพื่อไปแปลพระไตรปิฎกแล้วปฏิบัติให้ตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอน ลูกศิษย์พระเณรที่ศึกษากับหลวงปู่ปาน ไม่ว่าจะศึกษาบาลีก็ดี ศึกษากรรมฐาน หรือศึกษาวิชารักษาโรคก็ตามเกินสามร้อยรูป แล้วทำไมถึงได้มีบุคคลที่กล่าวได้ว่าเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ปานอยู่แค่นับนิ้วได้ ? แค่มือเดียวยังนับไม่หมดอีกด้วย" |
"มาถึงยุคสมัยของหลวงพ่อวัดท่าซุงก็เหมือนกัน พระเณรที่ไปงานแต่ละครั้งเกินสามร้อยรูป พระเณรที่บวชอยู่ในวัด ทั้งที่หลวงพ่อท่านบวชให้ตั้งแต่แรกเริ่มก็ดี และอยู่ในวัดจนกระทั่งท่านมรณภาพก็ตาม ทั้งใหม่ทั้งเก่าเกินสี่สิบรูป ทำไมปัจจุบันนี้บุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่ปรากฏมีอยู่แค่ไม่กี่รูป ? พวกเราต้องนึกถึงตรงจุดนี้เอาไว้
อย่างที่หลวงพ่อท่านกล่าวไว้ คือ ต้องดูว่าได้ปฏิบัติตามที่ท่านสอนไว้หรือเปล่า ? บุคคลที่ยึดถือปฏิปทาหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค สืบสายลงมา สามารถเสริมสร้างเกียรติคุณครูบาอาจารย์ได้อย่างชัดเจน ก็คือ หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง ลำดับต่อจากนี้ ก็คือ บุคคลที่สืบสายปฏิปทาของหลวงพ่อวัดท่าซุงไป จะมีใครที่สามารถหนุนเสริมให้ชื่อเสียงเกียรติคุณของครูบาอาจารย์ขจรขจายไปมากกว่าปัจจุบันที่เป็นอยู่ ? เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะพิสูจน์ได้ในระยะเวลาอีกไม่นาน สำคัญตรงที่ญาติโยมทั้งหลายต้องจับจุดให้ได้ ปฏิบัติตามสิ่งที่ท่านสอนมา หรือสิ่งที่ท่านทำให้เราดู หลังจากนี้ไปในรุ่นของหลานศิษย์ เหลนศิษย์ จะมีใครสืบทอดปฏิปทาต่อไปได้ ก็จะเป็นเครื่องวัดได้เช่นกันว่า เราเป็นลูกศิษย์สายหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ลูกศิษย์สายหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง จริงหรือเปล่า ? นี่เป็นเรื่องที่ฝากไว้ให้เป็นข้อคิดว่า ทำไมหลวงพ่อท่านมรณภาพไปนานแล้ว หลวงปู่ปานท่านมรณภาพไปนานยิ่งกว่านั้น หลวงปู่เนียมมรณภาพไปนานยิ่งกว่านั้นอีก หลวงปู่หลวงพ่อทั้งหลายจึงยังมีชื่อเสียงเกียรติคุณ เป็นที่นับถือของคนทั้งในและต่างประเทศ ลองนำเอาไปตรองดูแล้วปฏิบัติตาม จะได้เกิดผลดีแก่ตัวของเราเอง" |
มีโยมเอาหนุมานเชิญธงมาถวาย "หนุมานเชิญธงตนนี้เป็นของหลวงพ่อเพี้ยน วัดเกริ่นกฐิน หนุมานเชิญธงนี่ต้องพร้อมลุยนะ เพราะเป็นธงนำทัพ ส่วนหนุมานหักศรนี่กำลังลุยอยู่ ถ้าจะเอาสบายต้องหนุมานครองเมือง แต่ก็สบายเกิน ท้ายสุดหนุมานก็หนีออกบวช เพราะขี้เกียจครองเมืองต่อ"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "กฐินปีนี้อาตมาจะเข้ากรรมฐานก่อนสามวัน จะอดข้าวลดน้ำหนักเสียหน่อย เพราะเริ่มอ้วนแล้ว สามวันน่าจะลดได้หลายกิโลกรัม
วันตักบาตรเทโวให้พวกเราไปแข่งกันเดินขึ้นเขา ว่าใครจะเดินถึงก่อนกัน ปีที่แล้วอาตมาอดข้าวสามวัน เดินขึ้นยอดเขารวดเดียวจบ ส่วนสมุห์กอล์ฟไม่ได้อดสักวัน พักสักสามพักกว่าจะถึงยอดเขา...!" |
ถาม : กำลังติดอยู่ในหล่ม ?
ตอบ : รู้ว่าติดหล่มก็รีบถอนตัว ไม่อย่างนั้นก็จมลึกไปเรื่อย ๆ หัดล้มเหลวเสียบ้าง ถ้าสำเร็จทุกอย่างชีวิตก็ไร้รสชาติ เรื่องของงานจำไว้ว่าขอให้ได้ทำ ไม่ได้แปลว่าทำแล้วต้องสำเร็จ ทำแล้วอย่าไปเสียใจ แต่ถ้าไม่ได้ทำก็น่าเสียดาย เราจะไม่รู้ว่าบทเรียนดี ๆ อย่างนี้ยังมีอยู่อีกเยอะเลย แต่อย่ามาให้ตูขุดออกจากหลุมบ่อยนักก็แล้วกัน |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:20 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.