กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๙ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5232)

เถรี 12-10-2016 19:36

ถาม : ถ้าเราเอาพระเครื่องไว้ที่บ้าน อาราธนาและนึกถึงตอนออกจากบ้านมา ?
ตอบ : นึกถึงได้ แต่เรานึกถึงได้ตลอดเวลาไหม ? ถ้าไม่ได้ตลอดเวลา ก็ต้องพกติดตัว

เถรี 12-10-2016 19:42

ถาม : เวลาที่ตัวสั่น รู้สึกเหนื่อยค่ะ ?
ตอบ : นอกจากตัดใจได้ อย่างอื่นก็ไม่มี ต้องตัดใจได้ว่าตายเป็นตาย ไม่ต้องไปสนใจ ถ้าเรารู้จักสังเกตจะเห็นว่าตัวสั่น แต่ใจเรานิ่งมาก สนใจแต่ใจ ไม่ต้องไปสนใจร่างกาย ตายลงไปยิ่งดี เพราะเราไม่อยากอยู่บนโลกนี้อยู่แล้ว

ถาม : ปกติไม่เคยกลัวค่ะ แต่พอมาภาวนาโสตัตตะรู้สึกสั่นจนกลัวค่ะ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่ากำลังคนละระดับกัน

เถรี 12-10-2016 20:52

ถาม : หนูอยากทราบเกี่ยวกับ ๑๒ นักษัตร ว่าทำไมสัตว์ทั้ง ๑๒ ตัวจึงได้มาประจำแต่ละปี ?
ตอบ : เหมือนกับเป็นนิทานอย่างหนึ่ง เล่าว่าพระเจ้าเรียกสัตว์ทั้งหลายมาประชุมกัน เพื่อจะพิจารณาว่าใครที่เหมาะสมกับการที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นสัตว์ประจำในแต่ละปี ถ้าสัตว์ชนิดไหนมาถึงก่อนก็จะตั้งให้ประจำแต่ละปีไป และ ๑๒ ตัวนี้เขามาถึงก่อน แต่ของทางเหนือไม่เหมือนกับของเรา ของเราปีกุน ของภาคเหนือปีช้าง

ถาม : คนที่เกิดตามนักษัตรแต่ละปี มีผลไหมคะ ?
ตอบ : มีผลน้อย ถ้าเราไปคิดว่ามีก็จะมี เป็นมโนมยา คือสำเร็จด้วยใจ

ถาม : อย่างคนที่เกิดปีไก่จะมีนิสัยแบบไก่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่แน่ ยังมีรายละเอียดอีกเยอะมาก เอาอย่างนี้...ถ้าสนใจไปอ่านตำราพรหมชาติฉบับราษฎร์ เขาจะบอกไว้เลย เช่น ปีไก่ เดือนอ้าย เดือนยี่ เดือนสาม เป็นอย่างไร เดือนสี่ เดือนห้า เดือนหก เป็นอย่างไร ยังมีรายละเอียดสอดแทรกอีกเยอะ เราจะเป็นไก่ป่า หรือเป็นไก่พระยาเลี้ยง แต่ส่วนใหญ่เป็นคำทำนายแบบรวม ๆ

เถรี 13-10-2016 17:02

พระอาจารย์กล่าวว่า "โบราณเขาบอกว่าโลกนี้คือละคร ผู้คนก็โลดแล่นไปตามบทบาทของตัวเอง แต่ส่วนใหญ่แล้วน้อยคนที่จะมีสติทำตัวเป็นผู้ดู มักจะสิ้นสติโดดลงไปเป็นผู้เล่น แล้วก็โดน รัก โลภ โกรธ หลง ครอบงำให้ติดอยู่อยู่กับบทบาทนั้น ๆ

ถ้าเราทำตัวเป็นผู้ดูได้ ก็เหมือนกับเราอยู่นอกเวที ในเมื่อเราอยู่นอกเวที เราจะสะบัดก้นจากไปเมื่อไรก็ได้ แต่คนที่อยู่บนเวทีถ้าเล่นไม่จบบทบาทก็เลิกไม่ได้ แล้วขณะเดียวกันเลิกไม่ได้ไม่ว่า บางทีก็ยึดติดบทบาทต่อไปอีก ไม่ยอมเลิก ถ้าอย่างนั้นก็ตัวใครตัวมันเถอะนะ..!"

เถรี 13-10-2016 17:07

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้วัดท่าขนุนเป็นเจ้าภาพจัดอบรมพระใหม่ก่อนสอบ ก็แค่ ๑๕๙ รูป ไม่มากไม่มายอะไร รวมบรรดาอาจารย์ด้วยก็เฉลี่ยราว ๆ ๒๐๐ รูป ก็แปลว่าเราจะเลี้ยงพระประมาณ ๒๐๐ รูปอยู่ ๕ วันติดต่อกัน แล้วเขาก็จะทิ้งขยะไว้ให้เราเก็บกัน

จากการคาดการณ์ของอาตมาโดยไม่ต้องใช้ความเป็นทิพย์เลยนะ ต่อไปการอบรมพระใหม่ก็จะลงหลักปักฐานที่วัดท่าขนุน ถึงเวลาก็จะมาอบรมที่นี่ เพราะว่าสถานที่พร้อม บุคลากรพร้อม ที่พักอาหารพร้อม แล้วโดยเฉพาะเจ้าอาวาสเต็มใจที่จะจ่าย เพราะถือว่าทำบุญ การเลี้ยงพระก็เป็นสังฆทาน อบรมพระก็เป็นธรรมทาน มีแต่ได้กับได้

ความจริงแล้วสงสารเจ้าคณะอำเภอ ท่านหาพระที่จะทุ่มเทให้กับคณะสงฆ์ไม่ค่อยได้ เลยวนเวียนอยู่แค่ ๒-๓ วัดนี้ ผลัดกันเป็นเจ้าภาพคนละทีสองที รองเจ้าคณะอำเภอถึงกับบ่นเลย “โอ้โฮ...อาจารย์เล็ก ตั้งแต่ผมรับตำแหน่งมานี่เลือดไหลไม่หยุดเลย” คำว่าเลือดไหลไม่หยุดของท่านก็คือ รายจ่ายมากกว่ารายรับ ก็อยากตะเกียกตะกายขึ้นไปเองแล้วจะไปโทษใครเล่า ?"

เถรี 13-10-2016 17:13

พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนไปหาพระอาจารย์ศิริชัย มีใครรู้จักบ้างไหม ? บอกชื่อว่าพระอาจารย์ศิริชัยไม่มีใครรู้จัก ต้องบอกอาจารย์บ๊ะ วัดโพธิ์ลังการ์ ค่อยรู้จัก

เนื่องจากว่าไปแล้วคนเยอะ อาตมาก็นั่งอยู่ข้างหลังรอเวลา เพราะว่าถ้าไม่ถึงเวลาท่านก็รักษาไม่ได้ พอได้เวลาปุ๊บ ท่านก็ “เอ้า...นิมนต์พระก่อนครับ” ในเมื่อนิมนต์พระก่อนอาตมาก็แซงคิว ด้วยความที่เพิ่งจะเจอตัวเป็น ๆ กันเป็นครั้งแรก อาตมาก็ทำให้ท่านลำบากใจ เพราะว่านั่งรออยู่ครึ่งค่อนชั่วโมง ท่านก็ไม่สูบบุหรี่ ไม่มึงมาพาโวย นั่งเรียบร้อย

พอถึงเวลาไปรักษา อาตมาเป็นคนไม่โลภมาก รู้ว่าท่านรักษาลำบาก ก็เลยเอาทีละโรค ก็เป็นอันว่าอาตมาก็เข้าใจท่าน ท่านก็เข้าใจอาตมา ประเภทไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ อะไรประมาณนั้น ก็เลยไม่ต้องเสียเวลาคุยอะไรกัน รักษาเสร็จก็ต่างคนต่างไป พอครั้งที่สองไปก็เหมือนเดิม แต่พอเผลอหน่อยเดียวโยมไปกราบท่าน ท่านบอก “โน่น ๆ ไปกราบหลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุนโน่น” อ้าว...แล้วกัน ตอนแรกไม่พูด ตูก็นึกว่ารอดแล้ว อุตส่าห์ไม่บอกไม่กล่าวแล้ว ยังรู้จักอีกนะ

ไปนึกถึงสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านมีหลวงปู่ธรรมชัยคอยรักษาโรค ตอนนี้คาดว่าใครป่วยมาอาตมาก็ส่งให้ท่านอาจารย์บ๊ะหมด ถึงเวลาก็ไปกวนกันเองแล้วกัน"

เถรี 13-10-2016 19:11

ถาม : ผมมาขอขมาด้วยกาย วาจา ใจ ที่ไม่สมกับเป็นนักปฏิบัติวัดท่าขนุน ?
ตอบ : เดี๋ยวก็ได้ขออีกเยอะ ไม่ต้องห่วง ตอนนี้เอาเป็นว่าจบแค่นี้ก่อน

เขาเรียกว่าของขึ้นง่าย ในเมื่อของขึ้นง่าย ใครแหย่ไม่ได้ ก็กลายเป็นว่าคนฉลาดกว่าก็แหย่เราเล่นเป็นของสนุก

ถาม : ผมพยายามจะลดโทสะลง แต่กลายเป็นมากขึ้น ?
ตอบ : เลยกลายเป็นเก็บกด แล้วไประเบิดทีหลัง

ถาม : ผมต้องภาวนาให้มากขึ้น หรือทำอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ภาวนาแล้วแผ่เมตตา พิจารณาให้เท่าทันว่า สิ่งที่เขาทำสมควรแก่การโกรธหรือไม่ ? เราจะโกรธเขาหรือไม่โกรธเขา เขาตายไหม ? เราจะโกรธเขาหรือไม่โกรธเขา เราตายไหม ? ถ้าเราตายตอนเราโกรธเราจะไปไหน ? สมควรที่จะโกรธอย่างนั้นอีกไหม ? คิดให้เป็นแล้วเราจะทิ้งไปได้เยอะเลย

ขอขมาถูกแล้ว ไม่สมควรแก่การเป็นลูกศิษย์สถาบันวัดท่าขนุน สถาบันวัดท่าขนุนต้องฉลาดกว่านี้ เจ้าอาวาสท่านฉลาดจะตายไป..! ...(หัวเราะ)...


ถาม : เรื่องความผิดพลาดต่าง ๆ จะพิจารณาอย่างไร ?
ตอบ : ก็บทเรียนอย่างไรเล่า ถึงเวลาผิดเป็นบทเรียน ต่อไปเราก็จะผิดน้อยลง รู้ว่าไอ้ที่ผิดไปแล้วเราจะผิดอีกไม่ได้

ถาม : แต่ในระหว่างบทเรียน เราต้องจำตลอดชีวิตใช่ไหมครับ ?
ตอบ : จะได้รู้ว่าต่อไปอย่าได้โง่อย่างนั้นอีก

ถาม : ที่เขาแหย่มาผม บางทีผมรู้ว่าเป็นกรรมเก่าของเรา แต่ผมก็รับเข้ามา ทำใจอย่างไรให้ทุกข์น้อยที่สุดครับ ?
ตอบ : ก็แค่ไม่รับ ถ้าไปรับทุกข์มาก็ช่วยไม่ได้

เถรี 13-10-2016 19:20

ถาม : คุณแม่ป่วยหนักอยู่โรงพยาบาล จะหายไหมครับ ?
ตอบ : อันนี้ต้องถามหมอ ไม่ใช่ถามพระ ไปเถอะ...ทำหน้าที่ของลูกให้ดี ถ้าท่านอยู่ก็ดูแลรักษาท่านไป ถ้าหากว่าท่านไม่อยู่แล้วเราก็ไม่มีโอกาสอย่างนี้อีก

สอนแม่ให้รู้จักภาวนา บอกแม่ว่าถ้าจับลมหายใจอยู่ จะไม่เจ็บไม่ปวด


ถาม : ภาวนา "นัมเมียว" ได้ไหมครับ ?
ตอบ : อย่างไรก็ได้ แต่ว่าให้อยู่กับลมหายใจให้ได้แล้วกัน จะภาวนานัมเมียวหรือพุทโธก็ได้

เถรี 14-10-2016 15:32

ถาม : หลานสาวเกิดมาขาโก่ง ต้องทำบุญอะไรจึงจะดีครับ ?
ตอบ : ต้องไปหาหมอ ไม่ใช่เข้าวัดทำบุญ หลานอายุเท่าไร ?

ถาม : อายุถึงปีแล้วครับ หาหมอแล้วหมอจะผ่าอย่างเดียว ?
ตอบ : พาไปวัดโพธิ์ลังกาที่อินทร์บุรี ก่อนจะเข้าชัยนาท ไปหาหลวงพ่อบ๊ะ ถามท่านว่ารักษาได้ไหม ? เข้าไปถึงวัดโพธิ์ลังกาแล้ว ถามว่ากุฏิพระอาจารย์บ๊ะอยู่ตรงไหน ? ปกติแล้วกุฏิท่านมีแต่คนนั่งเต็มไปหมด หมอสมัยใหม่จะผ่าอย่างเดียว ก็แบบเดียวกับพวกประเภทกระดูกสันหลังเสื่อม กระดูกสันหลังทรุด หมอจะผ่าอย่างเดียว ไปหาพระอาจารย์บ๊ะ ท่านเคาะ ๆ ทุบ ๆ ไม่กี่ทีก็หายแล้ว

เถรี 14-10-2016 15:38

พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อกวยความจริงเป็นพระเกจิอาจารย์รุ่นไล่ ๆ กับหลวงพ่อวัดท่าซุง แล้วท่านอยู่ที่สรรคบุรี แต่หลวงพ่อของเราดังในด้านปฏิบัติ หลวงพ่อกวยท่านดังในเรื่องของเวทมนตร์คาถา รักษาโรคไสยศาสตร์ ฯลฯ ก็เลยกลายเป็นว่าใครอยู่ฝั่งไหนก็จะหูดับไปเลย เพราะได้ยินแค่ฝั่งเดียว บังเอิญว่าอาตมาไปสรรคบุรีบ่อย เพราะว่าไปกราบหลวงปู่บุดดา ก็เลยรู้จักท่านด้วย ถือว่าโชคดีไป

จริง ๆ แล้วหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเป็นคนแนะนำให้ไปหาเอง แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจกัน แบบเดียวกับที่ท่านแนะนำหลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม จนกระทั่งหลวงพ่อจวนมรณภาพ หลวงพ่อค่อยบอกชัด ๆ ว่านั่นคือพระอรหันต์ แต่ตอนที่บอกพวกเราก็ไม่อยากไปไหน อยากจะอยู่แต่กับหลวงพ่อเท่านั้น

มีพระของหลวงพ่อกวยอยู่รุ่นหนึ่งที่อาตมาพกแล้วรู้สึกแปลกมาก ๆ เลย เป็นพระสมเด็จที่ข้างหลังมียันต์ ๔ แถว ปกติแล้ววัตถุมงคลของหลวงพ่อกวยจะต้องพร้อมลุยกับชาวบ้าน ต่อให้ไม่ลุยชาวบ้านเขา ก็ต้องอยู่ในลักษณะที่ไม่ยอมให้ใครรังแก แต่พระสมเด็จรุ่นนั้นอาตมาแขวนติดตัวแล้วทำชั่วไม่ได้ เป็นอะไรที่ประหลาดที่สุดเลย

มาตอนหลังพออ่านหนังสือขอมออก ก็ไปอ่านอักขระข้างหลัง โอ้...พระเจ้า อักขระเขียนว่า สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง อาตมาก็ว่าทำไมตั้งใจจะทำชั่วแต่ทำไม่ได้ เพราะแปลชัด ๆ เลยว่า เว้นจากการทำความชั่วทั้งปวง ลองดูนะ...เผื่อว่าจะมีใครหาได้

หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ท่านเก่งครบเครื่อง ปกติพระเราจะชำนาญด้านในด้านหนึ่ง มหาลาภ เมตตา ค้าขาย หรือว่าอยู่คงกระพัน ฯลฯ หลวงพ่อกวยท่านได้ทุกเรื่องเลย"

เถรี 14-10-2016 16:12

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าจิตใจสงบ จะเห็น รัก โลภ โกรธ หลง เป็นของตลกฉากหนึ่งที่คนอื่นเขาเล่นให้ดู แล้วก็ผ่านไปแค่นั้น ดู ๆ แล้วก็ขำดี"

เถรี 14-10-2016 17:15

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ เรามีหน้าที่ก็ภาวนาไป ถ้ามัวแต่ไปหาความหมายของนิมิตอยู่ ชีวิตนี้ก็ไม่ต้องไปหวังความก้าวหน้า อะไรจะเกิดขึ้นก็แค่รับรู้ไว้ ไม่ต้องไปใส่ใจ สิ่งที่เราต้องสนใจก็คือ ทำอย่างไรที่จะให้ใจของเราใสสะอาด ปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง ถ้าใจเรามี รัก โลภ โกรธ หลง อยู่ ก็ขับไล่ออกไป ระมัดระวังไว้อย่าให้เข้ามาอีก ถ้าใจไม่มีความดี ก็สร้างความดีขึ้นมา แล้วทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ก็คือความดีใน ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นแหละ

เถรี 14-10-2016 19:00

ถาม : มีข่าวว่าพระท่านทำขนมปัง เพื่อหาเงินสร้างศาลา แล้วเปรียบเทียบว่าพระที่สร้างวัตถุมงคล ก็สร้างศาลาเหมือนกัน แตกต่างกันอย่างไรคะ ?
ตอบ : แตกต่างตรงที่ว่า ฝ่ายหนึ่งได้วัตถุมงคล ฝ่ายหนึ่งได้ขนม ที่พูดนี่คือ "ขนมปังรสพระทำ" ใช่ไหม ?

ถ้าว่ากันตามพระวินัยจริง ๆ แล้ว พระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ให้ทำ แต่สิ่งที่ท่านห้ามไม่ให้ทำนั้น เพราะว่าคนสมัยก่อนเขานินทาเอา อย่างเช่น ถ้าเราตัดต้นไม้ ดึงต้นหญ้า ศาสนาอื่นเขาถือว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีชีวิต เขาจะว่าเราไปเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น จะทำให้เขาขาดความศรัทธาเลื่อมใส พระพุทธเจ้าจึงต้องห้าม แต่ถ้าเราไปปล่อยให้วัดรกไปหมด โดยอ้างว่าพระพุทธเจ้าห้ามตัดหญ้า ห้ามตัดแต่งต้นไม้ แล้วถ้าวัดรก ใครจะเกิดศรัทธาเลื่อมใส ? ก็ต้องมีคนที่ทำหน้าที่ ถ้าไม่มีลูกศิษย์ทำ พระก็ต้องลงมือเอง

การที่เราทำความสะอาดวัดวาอาราม แม้จะต้องพรากของเขียว เป็นการผิดพระวินัยที่พระพุทธเจ้าบัญญัติเอาไว้ แต่พอเราทำไปแล้ว คนเห็นวัดวาอารามสะอาดสะอ้าน เกิดความศรัทธาเลื่อมใส เข้าวัดมาทำบุญ ส่วนที่เป็นกุศลจึงมีมากกว่า พระหลายรูปที่ท่านหาลูกศิษย์ยาก ท่านก็ลงมือทำเสียเอง ถือว่าความผิดและสิ่งที่ได้รับนั้นพอที่จะทดแทนกันได้

เรื่องที่พระท่านทำขนมปังก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้าสั่งไม่ให้พระทำอาหารเอง เพราะกลัวท่านที่มีฝีมือในการทำจะไปติดในรส ก็แปลว่าทำแล้วผิด แต่คราวนี้พระท่านทำเพื่อที่จะเอาเงินมาสร้างศาลา อานิสงส์ที่ได้มากกว่า เพราะท่านปรับพระที่ทำอาหารเองด้วยอาบัติทุกกฎ ซึ่งปรับเท่ากับการจับเงิน ในเมื่อบุญได้มากกว่า ท่านลงมือทำไป เราก็ต้องเข้าใจเจตนาท่านด้วย

คนที่ไม่เข้าใจพระวินัยของพระ หรือเข้าใจงู ๆ ปลา ๆ โดยเฉพาะไม่รู้เจตนาที่พระท่านทำ แล้วไปวิพากษ์วิจารณ์ โอกาสที่จะขาดทุนมีเยอะมาก

เถรี 14-10-2016 19:12

ถาม : มีข่าวดาราไปบวชแล้วอุ้มลูกสาว อาบัติไหมคะ ?
ตอบ : ท่านปรับเท่ากับจับเงินเหมือนกัน พระพุทธเจ้าห้ามจับต้องกายหญิงด้วยจิตกำหนัด จิตกำหนัดคือมีอารมณ์ทางเพศ ถ้าจับต้องกายหญิงด้วยจิตกำหนัด ท่านปรับต้องสังฆาทิเสส แต่ถึงไม่มีจิตกำหนัด ท่านปรับอาบัติทุกกฎ ก็คือ ปรับเท่ากับจับเงิน

แต่ก็อย่างว่าแหละ สิ่งที่ท่านทำก็คือความผูกพันระหว่างพ่อกับลูก แต่เป็นการฝืนพระวินัย โดยเฉพาะว่าออกสื่อ
ถ้าออกสื่อเถียงกันเมื่อไรก็เละเมื่อนั้นแหละ เพราะคนรู้นั้นมีมาก แต่ที่รู้จริงนั้นหายาก ท่านอุ้มลูกไม่กี่เดือน โอกาสที่จะเกิดจิตกำหนัดอารมณ์ระหว่างเพศคงหาไม่ได้หรอก แต่ก็โดนอาบัติอยู่ดี ไปแสดงอาบัติคืนได้ เพราะปรับเท่ากับจับเงิน

อย่าลืมนะ จับเงินกับรับเงิน อาบัติคนละอย่างนะ อาตมารับเงินนี่โดนหนักกว่าอีก ...(หัวเราะ).... พระพุทธเจ้าห้ามพระจับเงิน จับทอง จับแก้วมณี หรือสิ่งที่ใช้แทนเงินทอง เพราะเกรงว่าจะเกิดความโลภ ถ้าไม่จับแล้วให้ลูกศิษย์เก็บไว้ แล้วเราไปคิดว่าเรามีเงินเท่านั้นเท่านี้ กูรวยแล้วเท่านั้นเท่านี้ บรรลัยยิ่งกว่าจับเองอีก

เถรี 14-10-2016 19:21

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาจารย์บ๊ะท่านห้ามอาตมาฉันใบชะพลู ท่านว่าทำให้สายตาเสียหมด ไปหาท่านครั้งหนึ่ง ก็ได้ข้อห้ามมาอย่างหนึ่ง"

เถรี 15-10-2016 18:48

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อเช้าลงรับสังฆทานก่อนเวลาหนึ่งชั่วโมงไม่มีใครว่า ช่วงบ่ายลงช้าไปสองนาทีมีคนนินทา ต้องบอกว่าไม่รู้จักพอกันจริง ๆ"

เถรี 15-10-2016 18:49

พระอาจารย์กล่าวว่า “สมัยที่อาตมาภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัวใหม่ ๆ รู้สึกเย็นอกเย็นใจจนบอกไม่ถูก ตากแดดก็ไม่ร้อน ตากฝนก็ไม่หนาว บางทีฝนตกก็เดินภาวนาตากฝนไปเรื่อย อยากรู้ว่าฝนกับเราใครจะเก่งกว่ากัน มารู้ทีหลังที่หลวงพ่อฤๅษีท่านบอกว่า พอสมาธิทรงตัว จิตกับประสาทจะแยกออกจากกัน ไม่ค่อยรับรู้อาการทางร่างกาย ขอเตือนว่าใครจะเลียนแบบก็ได้นะ แต่อย่านาน ถ้านานเกินไปพอเราถอนสมาธิออกมาบางทีก็ไข้จับไปเลย”

เถรี 15-10-2016 18:52

ถาม : ถ้าผมจะใช้วิธีเอาพระหกกษัตริย์ของหลวงปู่ปานมาทำน้ำมนต์แล้วพรมเงิน เงินจะงอกไหมครับ ?
ตอบ : เขาให้ภาวนาพระคาถาเงินล้านหรือว่าพระคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า ถ้าเอาไปพรมแล้วเงินงอก ตูพรมไปก่อนหน้านั้นแล้ว แหม...คิดแบบมักง่ายมาก ไม่คิดจะลงทุนลงแรงทำเองเลย...!

เถรี 15-10-2016 18:53

ถาม : ผมจะปิดทองพระพุทธรูป แต่ต้องมีการขัดผิวก่อน ?
ตอบ : ขัดเนื้อเก่าให้เรียบก่อนแล้วค่อยลงสีรองพื้น ถ้าจะปิดทองก็ลงด้วยสีแห้งช้าสีเหลือง ทิ้งไว้ ๖ ชั่วโมงแล้วปิดทอง ถ้าทำแล้วสวยขึ้นจะขัดแต่งอย่างไรก็ทำไปเถอะ ไม่ใช่ว่าไปขัดแล้วกระดำกระด่างสวยสู้ของเก่าไม่ได้

เถรี 15-10-2016 22:12

ถาม : ผมใช้บุญจากการบวช อธิษฐานขอ ปรากฏว่าขอแล้วไม่ได้ ?
ตอบ : ยังทำมาไม่พอ

ถาม : ขอบเขตในการขอ มีระยะ ปริมาณ อย่างไรครับ ?
ตอบ : แล้วแต่บุญเก่าของตัว ถ้าทำของเก่าไว้มาก ของใหม่เสริมเข้าไปเพียงพอแล้วขอไม่เกินวิสัยก็ได้ อย่าลืมคำว่า "ไม่เกินวิสัย" ของหลวงพ่อวัดท่าซุง ถ้าของเก่าทำไม่พอ ของใหม่ถมลงไปแล้วก็ยังขาด ขอไปก็ไม่ได้ เราจะสังเกตง่าย ๆ จากการบน คนอื่นบนได้กันเยอะแยะ ทำไมเราบนแล้วไม่ได้

การบนนั้นส่วนใหญ่เราต้องทำความดีตอบแทน อย่างเช่น การบนหลวงพ่อ ๕ พระองค์ที่วัดท่าซุง เขามีทั้งบวชเณร มีทั้งถวายสังฆทาน มีทั้งถวายผ้าห่มพระ ก็คือการสร้างบุญ คราวนี้การที่เราไปบนท่าน ก็คือ ถ้าเรื่องนี้สำเร็จเราจะทำบุญอย่างนี้ ท่านเองเห็นว่าไม่เกินวิสัย ถ้าบุญที่เราทำเสริมลงไปเพียงพอที่จะได้ในสิ่งนั้น ท่านก็ให้เราได้ คราวนี้ถ้าหากว่าไม่พอ ถมเท่าไรไม่รู้จักเต็มเพราะของเก่าทำไว้น้อย ของใหม่ถึงทำมาก รวมกันแล้วก็ไม่ถึงระดับที่ควรจะได้ก็ไม่ได้อยู่ดี

เอาเถอะ...ถ้าบวชครั้งนี้อธิษฐานขอจากบุญบวชไม่ได้ก็ครั้งหน้าบวชใหม่ ที่วัดมีบวชปีละ ๔ ครั้ง จะไปกลัวอะไรวะ ? บวชไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็เต็มไปเอง


ถาม : ตอนที่ไปกฐินนราธิวาส พรรคพวกเขาไปอธิษฐานตักไข่ในน้ำ ยังได้จักรยานมา ?
ตอบ : ไอ้นั่นโง่ชัด ๆ...! บุญบวชราคาเป็นล้านเอาไปขอจักรยานคันเดียว จะไม่ได้อย่างไรวะ ? ทิดที่วัดบวชแล้วสึกไปงานกฐินด้วยกัน ไปตักไข่อธิษฐานขอรางวัลใหญ่ แต่รางวัลใหญ่ที่สุดแค่จักรยาน เอ็งบวชปฏิบัติมาทั้งพรรษา ถ้าไม่ได้จักรยานคันหนึ่งก็ไปตายเสียเถอะ...!

เถรี 15-10-2016 22:31

ถาม : อันนี้ใช่เหล็กไหลไหมครับ ?
ตอบ : เสียดาย...ถ้าออกเขียวหน่อย ตูจะตีเป็นลูกอมเมฆสิทธิ์ของหลวงปู่ทับ วัดอนงคาราม แต่บังเอิญว่าไม่เขียว อันนี้เป็นโลหะที่เขาเรียกออกมา บางคนเรียกเหล็กไหล แต่ให้รู้ว่าจริง ๆ คือเหล็กเหลวไหล..!

ถาม : ปรอทสำเร็จใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ ปรอทจะลื่นกว่านี้

ถาม : อันนี้ใช่สีผึ้งเขียวของหลวงปู่ทาบไหมครับ ?
ตอบ : อะไรนักหนาวะ...! ตกลงมึงไม่เอาพระเลยใช่ไหม ? ต้องบอกว่าอย่างไรละ คนใช้ไม่เป็นใช้อย่างไรก็ไม่ได้เรื่องหรอก

ถาม : สีผึ้งอันดับ ๑ ของประเทศ คือ หลวงปู่ทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้งใช่ไหมครับ ?
ตอบ : อย่างของหลวงปู่ทาบได้ชื่อว่าเป็นสีผึ้งอันดับ ๑ ของเมืองไทย แต่คนใช้สีผึ้งหลวงพ่อกวยจะบอกว่าของหลวงพ่อกวยเจ๋งกว่า ก็อยู่ที่ว่าใครใช้แล้วมีประสบการณ์ แต่ที่ขำที่สุดก็คือมีลูกศิษย์หลวงพ่อกวยคนหนึ่งอยากได้เมีย ไปหาหลวงพ่อกวยขอการสงเคราะห์พิเศษ วันนั้นหลวงพ่อท่านก็ว่างพอดี แล้วก็ดันใจดีขึ้นมาอีก ท่านบอก “มึงไปเอาน้ำมันใส่ผมมา” เขาก็ไปเอาน้ำมันใส่ผมยี่ห้อตันโจ เคยได้ยินไหม ? เด็กรุ่นนี้รู้จักหรือเปล่า ? เอาไปให้หลวงพ่อกวยท่านเสกให้

หลวงพ่อกวยท่านก็บอกว่า “มึงอย่าให้คนอื่นใช้เชียวนะ ต้องใช้คนเดียว” เพราะท่านถามชื่อ ถามนามสกุลแล้ว เสกเฉพาะคนนี้คนเดียว โยมคนนั้นปัจจุบันต้องเรียก "ปู่บาง" แต่ตอนนั้นหลวงพ่อกวยเรียก "ไอ้บาง" ปรากฏว่าตาบางได้น้ำมันใส่ผมของหลวงพ่อกวยไปก็สบายใจ เอาไปวางไว้หัวนอน...ลืมใช้

พอดีเพื่อนมาที่บ้าน ประเภทซี้กัน ไปกินไปนอน อาบน้ำอาบท่าเสร็จสรรพเรียบร้อยก็เอาน้ำมันมาใส่ผม หวีเสียอย่างดี พอตาบางกลับมาบ้าน เพื่อนก็กระโดดกอดเลย “พี่บางจ๋า หนูรักพี่บาง” ซวยฉิบหา...! ต้องช่วยกันจับ ช่วยกันปล้ำ เอาไปให้หลวงพ่อกวยท่านรดน้ำมนต์แก้ให้ หลวงพ่อกวยท่านด่าตาบางเสียจมดินเลย “กูบอกแล้วว่าอย่าเผลอไปให้คนอื่นใช้” “ผมไม่ได้ให้ใช้ครับ มันไปเอามาใช้เอง”

เถรี 15-10-2016 22:36

ถาม : ผมไปของานเทวดามา ขอแบบนี้ครับ ถ้าได้งานครั้งที่หนึ่งให้ยกมือขึ้น แล้วก็ไล่ไปเรื่อย กล้ามากครับ ยกไม่ขึ้นเลยครับ ๒๐ กว่าครั้ง ?
ตอบ : ไปลองทำบ่อย ๆ ดูสิ ไม่โดนเทวดาเหยียบเอาก็บุญแล้ว ถึงได้บอกว่าคิดแต่เรื่องวิตถาร คิดแต่เรื่องมักง่าย...! ไม่เคยคิดในเรื่องทำมาหากินเลย

เถรี 16-10-2016 20:24

ถาม : เราภาวนาคาถาเงินล้าน แต่เราทำบุญเก่าไว้น้อย จะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้...ให้ทำจริง ๆ และสม่ำเสมอเท่านั้น บุญเก่าเราทำไว้มากก็ได้มาก บุญเก่าเราทำไว้น้อยก็ได้น้อย แต่ถ้าทำสม่ำเสมอต่อเนื่องได้ ๒ เดือนก็จะได้ จะมากน้อยก็ต้องได้

แต่จริง ๆ คนที่ต้องใช้คาถา ต้องใช้สีผึ้ง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่สรรเสริญนะ บางทีท่านด่าเลย ท่านบอกว่า “กับผู้หญิงถ้าทำดี พูดดีกับเขา เขาก็รักเราเอง จะต้องไปใช้อะไรมากมายวะ ?” เพราะฉะนั้น...อาตมาตั้งแต่ต้นจนจบ ขอเรื่องนี้ไม่ได้เลยสักเรื่อง ขอเมื่อไรท่านไม่เคยให้ แต่ถ้าจะไปตีกับชาวบ้านนี่ขออะไรท่านให้หมด

ท่านเล่าเรื่องของหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม) วัดอนงคารามให้ฟัง ท่านว่าฟังมาจากหลวงพ่อสมเด็จฯ อีกทีหนึ่ง ตอนนั้นหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านบวชใหม่ ๆ ก็ยังเป็นพระหนุ่มน้อยอยู่ คราวนี้อาหมวยที่ใส่บาตรหน้าตาสวยมาก เขาเปิดร้านขายของ หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านสมัยพระหนุ่มก็แสดงความจริงใจ ท่านบอกว่าตกค่ำก็เอาบาตรไปนอนที่หน้าร้าน พอเขาเปิดร้านก็ยืนถือบาตรรอรับบาตรก่อนใครเลย ...(หัวเราะ)... นิทานเรื่องนี้หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านสอนให้รู้ว่า กูบ้ามากกว่ามึงอีก กูยังต้องบวชจนเป็นสมเด็จฯ เลย ...(หัวเราะ)... หมดอารมณ์เลยใช่ไหม ? อาตมายังไม่เคยทำถึงขนาดนั้น

เถรี 17-10-2016 18:55

ถาม : ผมไปซื้อปรอทจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์มาต้มในหม้อดิน ต้องใช้ดักหรือใช้ฆ่าครับ ?
ตอบ : ใช้ฆ่า

ถาม : ต้องเตรียมน้ำมันชาตรีกันระเบิดใช่ไหมครับ จะระเบิดไหมครับ ?
ตอบ : กูละเบื่อ ไอ้พวกรู้งู ๆ ปลา ๆ สมควรตาย...!

ถาม : ทีหลวงพ่อยังใส่น้ำมันชาตรี ?
ตอบ : นั่นปรอทแข็งตัวแล้วเอามาหลอมใหม่ เดี๋ยวเตะก้านคอเลย...! ตายห่..ไปนี่ไม่ต้องคิดเลย ได้ปรอทมาใหม่ ๆ เขาต้องฆ่าพิษเสียก่อน ปรอทยังเป็น ๆ ไปต้มส่งเดชพิษฟุ้งขึ้นมาก็ตายห่..สิวะ รักจะศึกษาก็ไปศึกษาให้จริง ๆ จัง ๆ ไม่ใช่รู้งู ๆ ปลา ๆ แล้วกูก็ไปทำ ตายยกครัวขึ้นมาก็ไม่ต้องไปโทษใครเลย

เถรี 17-10-2016 19:07

ถาม : ปรอทสำเร็จเพราะฆ่าออกมาจะแข็งตัวหรืออย่างไรครับ ?
ตอบ : ต้องทำให้แข็งตัวได้ก่อน หลังจากนั้นเราจะเสกอะไรก็ต้องหลอมต้องไปเรื่อย ถ้าสำเร็จจริง ๆ หลอมกี่ครั้งก็จะแข็งตัวเหมือนเดิม

ถาม : ปรอทสำเร็จ ท่านที่สำเร็จอภิญญาอธิษฐานเข้าไปเหมือนชาร์จแบตฯ ไหมครับ เวลาเสก ?
ตอบ : อธิบายไปเอ็งจะรู้เรื่องไหมนี่ ? คือบุคคลที่สำเร็จปรอทเขาจะต้องหลอมไป ภาวนาไป จนกระทั่งทรงฌานโดยอัตโนมัติ สรุปว่าที่สำเร็จไม่ใช่ที่ปรอทหรอก อยู่ที่ตัวคนนั่นแหละ ปรอทเป็นเพียงแต่เครื่องโยงให้เกิดศรัทธาในการทำเท่านั้น

ถาม : ไม่ว่าจะได้กสิณอะไรมา ก็เหาะได้ทุกคน ?
ตอบ : แต่ถ้าหากว่าถึงขนาดสำเร็จปรอทแล้วนี่ก็เหาะได้ทั้งนั้นแหละ

ถาม : ต้องอมใช่ไหมครับ ?
ตอบ : กลืนลงท้องไปก็ได้...!

เถรี 17-10-2016 19:10

ถาม : แล้วที่บอกว่าสำเร็จปรอทขั้น ๑ เป็นมหาเสน่ห์ ขั้น ๒ เป็นป้องกันภัย พอถึงขั้น ๒ แล้วจะซ้อนทับของเดิมไหมครับ ?
ตอบ : เหมือนกัน แต่ของใหม่จะแรงกว่า หมายความ ถ้าเป็นมหาเสน่ห์พอไปถึงขึ้นป้องกันภัยตัวมหาเสน่ห์ยังอยู่ แต่ป้องกันภัยจะออกหน้า ถ้าขั้นรักษาโรค ตัวรักษาโรคจะออกหน้า ตัวป้องกันภัยยังอยู่ แต่อยู่ข้างหลัง

ถาม : แล้วขั้นไหนที่ปรอทจะกินทองครับ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วถ้ายังไม่ได้เริ่มต้นนี่กินกระจายเลย หลังจากนั้นแล้วก็กินน้อยลง

ถาม : แล้วปรอทที่บรรจุในเบี้ยแก้ ?
ตอบ : ใช้ปรอทวิทยาศาสตร์ก็ได้ แต่เขาต้องเรียกลงเบี้ย ไม่ใช่แค่กรอกเข้าไปเฉย ๆ อย่างหลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ ท่านเอาใบหญ้าคาพาดจากตัวเบี้ยไปหาภาชนะใส่ปรอท แล้วเรียกปรอทให้ไต่ใบหญ้าคาลงไปเอง

เถรี 17-10-2016 19:27

ถาม : แล้วการทำปรอทกรอ ?
ตอบ : ปรอทกรอทำยากมาก ปรอทกรอเป็นวัสดุชนิดหนึ่ง คนที่เขาผ่าออกมาบอกว่าข้างในจะเป็นแผ่นสัมฤทธิ์บางเหมือนปีกจักจั่น ซ้อน ๆ สับกันไปสับกันมาเหมือนหวี แล้วมีเม็ดปรอทอยู่เม็ดหนึ่ง พอถึงเวลากระทบแล้วจะเกิดเสียง

ถาม : แล้วการแบ่งตัวผู้ตัวเมีย เป็นเพราะเราแบ่งว่าเป็นลูกใหญ่ลูกเล็กหรือครับ ?
ตอบ : จริง ๆ อยากจะบอกว่าคนทำขี้เกียจใช้วัสดุเยอะก็เลยทำลูกเล็ก แต่คราวนี้เขาก็เรียกลูกเล็กว่าตัวผู้ ลูกใหญ่ว่าตัวเมีย แต่จริง ๆ แล้วลูกเล็กน่าจะทำยากกว่า เราลองไปนึกว่าโลหะชิ้นหนึ่งถ้ากว้างสักนิ้วหนึ่งก็ใส่ง่ายใช่ไหม ? แต่ถ้ากว้างครึ่งเซ็นติเมตรจะไปใส่อย่างไร ? ก็ต้องเล็งกันตาเหล่ไปข้างหนึ่ง

ถาม : พอทำไปถึงเป็นแก้วจักรพรรดิ เหาะได้ เลี้ยงคนได้ คุ้มครองคนได้ทั้งโลก เอาไปติดหินรูปปั้นแล้วล้มลุกได้ ยังทำอะไรได้อีกครับ ?
ตอบ : แค่นั้นยังไม่พออีกหรือวะ เออ...แต่ว่ามาถามตรงนี้แล้วก็นึกได้ พวกที่ไปติดรูปแล้วเคลื่อนไหวได้ก็ยังย่องไปกินทองอยู่ดี แสดงว่ากินทุกขั้นตอนเลย ที่เขาติดเต่า ติดสิงโต ติดช้าง พวกนั้นก็ไปกินทอง กินเสร็จแล้วค่อยกลับ แสดงว่ากินทุกขั้นตอน

อยากศึกษาก็ข้ามไปฝั่งพม่า ไม่ต้องไกลหรอก...ที่เมียวดีก็มีคนหนึ่ง ความจริงที่ทองผาภูมิก็มีคนสอนได้นะ เพียงแต่ว่าท่านไม่ค่อยอยากจะสอนใครเท่านั้นเอง


ถาม : ใช่ฤๅษีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่...ที่อยู่ผาอ้น เพียงแต่ว่าท่านไม่ค่อยจะสอนใคร โดยเฉพาะว่าพูดคนละภาษาแล้วจะไปเรียนกันอย่างไร ? พอท่านบอกชื่อตัวยาที่เอามาฆ่าพิษปรอทนี่ปวดกบาลเลย เพราะเราไม่รู้ว่าชื่อกะเหรี่ยงพอเป็นไทยแล้วคืออะไร ต้องให้ท่านหาตัวอย่างมาให้ดูสักชิ้นหนึ่งถึงจะรู้ เรื่องอุปสรรคระหว่างภาษาก็ยุ่งเหมือนกัน

เถรี 17-10-2016 19:33

ถาม : ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นให้ประสบความสำเร็จ จะต้องทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : อ๋อ...ต้องใช้คาถามหาเสน่ห์ของพระพุทธเจ้า ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตา

เถรี 17-10-2016 19:40

ถาม : หลวงปู่เทพโลกอุดร ถ้าผมตั้งใจเดินตรงเข้าไป ท่านจะมารับไหมครับ หรือท่านจะลองใจผมครับ ?
ตอบ : คนตั้งใจไปหาท่านต้องอยากจะเอาดี ไม่ใช่ตั้งใจไปหาท่านอยากจะไปดูฤทธิ์ดูเดช

ถาม : ผมอยากไปเรียนวิชาครับ ?
ตอบ : ทำดูสิ ได้ไม่ได้เดี๋ยวก็รู้เอง

ถาม : หลวงปู่ฤๅษีลิงขาวกับหลวงปู่ฤๅษีลิงเล็กยังอยู่ไหมครับ ?
ตอบ : มรณภาพไปตั้งนานแล้ว

ถาม : แล้วพระอรหันต์ ๗๐ กว่ารูปที่หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยกล่าวถึง ?
ตอบ : มรณภาพไปเยอะแล้ว

เถรี 17-10-2016 19:46

ถาม : มีคนเขาฝากปลาเค็มมาให้ทอดถวายพระอาจารย์ แต่ไม่สะดวกหนูเลยแบ่งมาถวายบางส่วน ?
ตอบ : หาทางถวายวัดไหนไปก็ได้ เพราะเขาตั้งใจถวายวัด

ถาม : หนูก็แบ่งมาถวาย ๒ ชิ้นแล้ว ?
ตอบ : เขาตั้งใจถวายทั้งตัว หรือถวายแค่ ๒ ชิ้น ? ทำอะไรอย่ามักง่าย เดี๋ยวจะซวยไม่รู้ตัว..!

เถรี 18-10-2016 18:58

ถาม : .....ต้องธาตุลมใช่ไหมครับ เปิดลมเข้าไป ?
ตอบ : ไปถามท่านเอง...พอได้แล้ว สารพัดปัญหาที่ถามมา กูไม่เห็นมีการปฏิบัติของมึงอยู่เลย สงสัยเหี้...อะไรไม่รู้เยอะแยะไปหมด

ถาม : มีอีกตัวหนึ่งครับ ?
ตอบ : คำว่าพอแล้วนี่ฟังไม่รู้เรื่องใช่ไหม ? หรือต้องฟาดกบาลด้วยไมค์...! การถามปัญหาต้องหวังความก้าวหน้าในการปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ ไม่ใช่ถามเพื่อหวังรวย..!

ถาม : พระคาถาเงินล้าน ถ้าเราท่องได้ตามจบ ก็จะได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เขาให้ทำ ไม่ใช่ให้ถาม อยากรู้ก็ไปทำ

ถาม : การภาวนาคาถาเงินล้าน ภายในสองเดือน จะได้ของเก่าหรือไม่ได้ ถ้าทำถึงฌานสี่ก็ได้ผลหรือครับ ?
ตอบ : แค่สมาธิเล็กน้อยก็ได้ เพียงแต่ให้ทำจริง ๆ และสม่ำเสมอเท่านั้น

ถาม : สัมปะจิตฉามิ ภาวนาแบ่งแบบไหนดีครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เราสะดวกในการภาวนา จะเอากี่คำก็ได้

เถรี 18-10-2016 20:33

พระอาจารย์เล่าว่า "ประมาณกลางเดือนที่แล้วกรรมการวัดท่านหนึ่ง ก็คือ มิสเตอร์เดวิด คันนิ่งแฮม (ลุงเดฟ) เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ตายแล้วไปดี ลุงเดฟของพวกเราไม่ใช่โชคดี แต่เป็นเพราะความพยายามในการปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนาจริง ๆ

ลุงเดฟแต่งงานกับป้าอุ๋ย ป้าอุ๋ยบังคับลุงเดฟใส่บาตรทุกวัน ด้วยความรักเมียลุงเดฟก็ต้องลุกขึ้นมาใส่บาตร ใส่ไปใส่มา จนบางวันป้าอุ๋ยขี้เกียจ นอนเขลง ลุงเดฟก็ยืนใส่บาตรคนเดียว พอนานไปลุงเดฟก็ชักสงสัย "นี่ตกลงว่าศาสนาของเธอหรือศาสนาของฉันกันแน่ ?"

พออาตมาสอนให้ภาวนา ลุงเดฟกลับทำได้ดี โดยเฉพาะภาวนาแล้วเห็นภาพพระพุทธรูปชัดมาก ขนาดอาตมาสร้างพระใหญ่หน้าวัด ทาสีขาว ลุงเดฟบอกว่าไม่ใช่ พระที่ท่านเห็นเป็นสีทอง ที่อาตมาทาสีขาวเพราะต้องการให้คนเห็นแต่ไกล ไม่ใช่ว่ากันตามที่ลุงเดฟเห็น

คราวนี้ลุงเดฟป่วยเป็นมะเร็ง เวลาเข้าโรงพยาบาลไม่ต้องฉีดมอร์ฟีน ลุงเดฟก็ภาวนา พอเห็นภาพพระก็หายปวด...สบาย ลูกหลานเห็นลุงเดฟนิ่ง ๆ ก็ไปเขย่าเรียก พอหลุดจากสมาธิก็มาโอดโอยกับความปวด ก็ต้องเข้าสมาธิภาวนาใหม่ บางทีลูกหลานไม่รู้ว่าพ่อแม่ทำอะไร แหม...น่าฆ่าให้ตายจริง ๆ คนภาวนาจนกำลังใจทรงตัวดันไปเขย่าให้หลุด

ท้ายสุดลุงเดฟก็ไปสบาย เพราะเห็นพระอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว สมัยก่อนที่ลุงจะเป็นมะเร็ง เวลาวัดท่าขนุนมีงาน เราจะเห็นฝรั่งแก่ ๆ มาช่วยทำกับข้าวเลี้ยงโยมเลี้ยงพระ นั่นแหละ...ลุงเดฟของพวกเรา"

เถรี 18-10-2016 20:42

"ลุงเดฟแต่งงานกับป้าอุ๋ยเพราะมีเพื่อนแต่งเมียคนไทย แล้วเมียเพื่อนทำกับข้าวเก่งมาก ลุงเดฟชอบกินอาหารไทยก็เลยแต่งกับป้าอุ๋ย โดยที่ไม่รู้ว่าป้าอุ๋ยทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ท้ายสุดลุงเดฟจึงต้องไปหัดทำกับข้าวเสียเอง ตกลงว่าแต่งเมียจะเอาไปอวดชาวบ้าน ว่ามีเมียคนไทยทำกับข้าวเก่ง ก็เลยอวดไม่ได้ ต้องทำเอง

ไป ๆ มา ๆ ก็หัดใส่บาตร ทำกับข้าวใส่บาตรทุกวันจนชิน พอถึงเวลาให้ภาวนาก็ง่าย เพราะจิตใจเคยชินกับการจดจ่อทำกับข้าวถวายอาหารพระทุกเช้า ฉะนั้น...พวกเราเป็นคนไทยแท้ ๆ อย่างน้อย ๆ อย่าให้แพ้ลุงเดฟเขานะ ...(หัวเราะ)...

อาตมาเชื่อว่ามีน้อยมาก วัดในประเทศไทยที่มีกรรมการวัดเป็นฝรั่ง แต่วัดท่าขนุนมี"

เถรี 18-10-2016 20:57

"วีรกรรมของป้าอุ๋ยกับลุงเดฟมีเยอะมาก อาตมาบอกให้ป้าอุ๋ยไปเขียนหนังสือ ป้าอุ๋ยบอกว่าเขียนไม่เป็นหรอก แต่เล่าเป็น ป้าอุ๋ยเล่าให้ฟังแต่ละเรื่อง หัวเราะกันจนท้องคัดท้องแข็ง

เมื่อตอนที่ป้าอุ๋ยเพิ่งแต่งงานไป ลุงเดฟก็นัดเพื่อนมาปาร์ตี้ที่บ้าน เพราะมั่นใจว่าป้าอุ๋ยทำกับข้าวเก่งเหมือนกับเมียเพื่อน ...(หัวเราะ)... แต่ความจริงป้าอุ๋ยทำอะไรไม่เป็น

ป้าอุ๋ยโทรกลับมาบ้าน ให้แม่ซื้อหม้อหุงข้าวส่งไปทางเรือ สมัยก่อนยังไม่นิยมเครื่องบิน กว่าของจะไปถึงก็เป็นเดือน พอหม้อหุงข้าวไปถึง ป้าอุ๋ยก็คิดว่าสบายแล้ว ผัวว่าอยู่ทุกวันว่าทำกับข้าวไม่เป็นเสียชาติเกิด หุงข้าวไม่เป็นเสียชาติเกิด ป้าอุ๋ยก็ดูคู่มือการใช้หม้อไฟฟ้า ใส่ข้าวแค่นี้ ใส่น้ำแค่นี้ เสียบปลั๊ก จัดการเรียบร้อย ครบ ๑๕ นาที ปรากฏว่าพอเปิดหม้อดูยังเป็นน้ำใส ๆ เหมือนเดิม

ป้าอุ๋ยจึงโทรมาหาแม่ บอกว่าทำตามที่เขาบอกแล้ว ทำไมข้าวไม่สุก แม่ถามว่า "แกได้กดปุ่มหรือเปล่า ?" ปรากฏว่าป้าอุ๋ยเสียบปลั๊กเฉย ๆ แต่ไม่ได้กดสวิตซ์...! หลังจากนั้นแม่ก็ดุป้าอุ๋ย "คราวหน้าแกจะโทรศัพท์ แกแหกตาดูเวลาด้วย ที่เมืองไทยนี่ยังไม่ตีสองเลยนะ" ...(หัวเราะ)... แต่ทางโน้นบ่ายโมงกว่าแล้ว"

เถรี 19-10-2016 20:51

ถาม : อย่างฝรั่งที่เขาศรัทธาพุทธศาสนาในภายหลัง แต่เขาไปเกิดผิดที่ เกิดไกลไปหน่อย ?
ตอบ : บุคคลที่เคยสร้างบุญไว้ในขอบเขตของพระพุทธศาสนา ไปอยู่ไกลขนาดไหนเดี๋ยวบุญก็ส่งให้ก็เข้ามาได้เอง

ถาม : อย่างตอนไปปากีสถาน แล้วคนปากีสถานถวายอาหารมา เขาจะได้อานิสงส์เกิดในพระพุทธศาสนาไหมคะ ?
ตอบ : ต้องดูว่าก่อนตายใจเขาเกาะอะไร แต่ท้ายสุดอานิสงส์ก็จะส่งผลให้เขาจนได้ เขาจะรู้หรือไม่รู้ก็ต้องได้ ถ้าไม่เคยเนื่องกันมา เขาก็ไม่เคยนึกอยากจะถวายอยู่แล้ว

เถรี 19-10-2016 21:50

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้พวกเราส่วนหนึ่งไปบ้านสายลมกันมา แม้ว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านจะจากเราไป ๒๔ ปีแล้ว พวกเราก็ยังคงจัดงานวันเกิดให้ท่านตามปกติ เหมือนกับว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ ลักษณะอย่างนี้แหละที่โบราณกล่าวว่า "ตัวตายแต่ชื่อยัง" ก็คือ แม้ว่าหลวงพ่อท่านจะมรณภาพไปนานแล้ว ด้วยความที่ท่านสร้างสมคุณงามความดีเอาไว้มาก ถึงเวลาชื่อเสียงเกียรติคุณของท่านก็ยังเป็นที่เคารพนับถืออยู่ในหมู่คณะศิษย์ มีการจัดงานเพื่อการระลึกถึงอยู่เสมอ

ญาติโยมลองนึกดูว่า ในสมัยที่หลวงพ่อท่านยังอยู่ เวลาจัดงานแต่ละครั้ง มีบรรดาพระที่ให้ความเคารพเลื่อมใสท่าน ไปในฐานะลูกศิษย์ประมาณสามร้อยรูปเศษ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านกล่าวว่า
"พระเหล่านี้ที่มา ต่อไปข้างหน้าถ้าท่านไปบอกกับคนอื่นว่าเป็นลูกศิษย์ของข้า ข้าก็ปฏิเสธไม่ได้ แต่ให้พวกแกดูด้วยว่า มีใครที่ดำเนินรอยตามปฏิปทาของข้าหรือไม่ ? ถ้าท่านดำเนินตามปฏิปทาเดิมที่ข้าได้ทำเอาไว้ ท่านเหล่านั้นจึงจะถือว่าเป็นลูกศิษย์ของข้าที่แท้จริง"

ถ้าเรานึกย้อนไปสมัยหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงปู่ปานจัดงานแต่ละที เรือจอดแน่นแม่น้ำชนิดเดินข้ามฝั่งได้เลย คนเป็นหมื่น อาตมาถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า "ระหว่างหลวงพ่อกับหลวงปู่ปาน ถ้านับแล้วใครดังกว่ากัน ?" หลวงพ่อตอบว่า "หลวงปู่ปานดังกว่า ข้าจัดงานสมัยนี้คนเป็นแสน แต่มีวิทยุ มีหนังสือพิมพ์ มีทั้งโทรศัพท์ สมัยโน้นหลวงปู่ไม่มีอะไรเลย นอกจากบอกกันปากต่อปาก"

หลวงปู่ท่านเลี้ยงทั้งพระทั้งเณรเอาไว้จำนวนมหาศาล เพราะท่านเปิดสอนบาลีด้วย หลวงปู่ปานเรียนบาลี ถ้าสมัยนี้ท่านต้องจบประโยค ๘ เพราะท่านแปลวิสุทธิมรรคได้ ชนิดตั้งวิเคราะห์ได้ทุกตัว แต่หลวงปู่ปานไม่ได้ไปสอบ เรียนเอาความรู้เฉย ๆ เพื่อไปแปลพระไตรปิฎกแล้วปฏิบัติให้ตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอน

ลูกศิษย์พระเณรที่ศึกษากับหลวงปู่ปาน ไม่ว่าจะศึกษาบาลีก็ดี ศึกษากรรมฐาน หรือศึกษาวิชารักษาโรคก็ตามเกินสามร้อยรูป แล้วทำไมถึงได้มีบุคคลที่กล่าวได้ว่าเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ปานอยู่แค่นับนิ้วได้ ? แค่มือเดียวยังนับไม่หมดอีกด้วย"

เถรี 19-10-2016 22:04

"มาถึงยุคสมัยของหลวงพ่อวัดท่าซุงก็เหมือนกัน พระเณรที่ไปงานแต่ละครั้งเกินสามร้อยรูป พระเณรที่บวชอยู่ในวัด ทั้งที่หลวงพ่อท่านบวชให้ตั้งแต่แรกเริ่มก็ดี และอยู่ในวัดจนกระทั่งท่านมรณภาพก็ตาม ทั้งใหม่ทั้งเก่าเกินสี่สิบรูป ทำไมปัจจุบันนี้บุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่ปรากฏมีอยู่แค่ไม่กี่รูป ? พวกเราต้องนึกถึงตรงจุดนี้เอาไว้

อย่างที่หลวงพ่อท่านกล่าวไว้ คือ ต้องดูว่าได้ปฏิบัติตามที่ท่านสอนไว้หรือเปล่า ? บุคคลที่ยึดถือปฏิปทาหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค สืบสายลงมา สามารถเสริมสร้างเกียรติคุณครูบาอาจารย์ได้อย่างชัดเจน ก็คือ หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง ลำดับต่อจากนี้ ก็คือ บุคคลที่สืบสายปฏิปทาของหลวงพ่อวัดท่าซุงไป จะมีใครที่สามารถหนุนเสริมให้ชื่อเสียงเกียรติคุณของครูบาอาจารย์ขจรขจายไปมากกว่าปัจจุบันที่เป็นอยู่ ?

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะพิสูจน์ได้ในระยะเวลาอีกไม่นาน สำคัญตรงที่ญาติโยมทั้งหลายต้องจับจุดให้ได้ ปฏิบัติตามสิ่งที่ท่านสอนมา หรือสิ่งที่ท่านทำให้เราดู หลังจากนี้ไปในรุ่นของหลานศิษย์ เหลนศิษย์ จะมีใครสืบทอดปฏิปทาต่อไปได้ ก็จะเป็นเครื่องวัดได้เช่นกันว่า เราเป็นลูกศิษย์สายหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ลูกศิษย์สายหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง จริงหรือเปล่า ?

นี่เป็นเรื่องที่ฝากไว้ให้เป็นข้อคิดว่า ทำไมหลวงพ่อท่านมรณภาพไปนานแล้ว หลวงปู่ปานท่านมรณภาพไปนานยิ่งกว่านั้น หลวงปู่เนียมมรณภาพไปนานยิ่งกว่านั้นอีก หลวงปู่หลวงพ่อทั้งหลายจึงยังมีชื่อเสียงเกียรติคุณ เป็นที่นับถือของคนทั้งในและต่างประเทศ ลองนำเอาไปตรองดูแล้วปฏิบัติตาม จะได้เกิดผลดีแก่ตัวของเราเอง"

เถรี 20-10-2016 15:47

มีโยมเอาหนุมานเชิญธงมาถวาย "หนุมานเชิญธงตนนี้เป็นของหลวงพ่อเพี้ยน วัดเกริ่นกฐิน หนุมานเชิญธงนี่ต้องพร้อมลุยนะ เพราะเป็นธงนำทัพ ส่วนหนุมานหักศรนี่กำลังลุยอยู่ ถ้าจะเอาสบายต้องหนุมานครองเมือง แต่ก็สบายเกิน ท้ายสุดหนุมานก็หนีออกบวช เพราะขี้เกียจครองเมืองต่อ"

เถรี 20-10-2016 15:53

พระอาจารย์กล่าวว่า "กฐินปีนี้อาตมาจะเข้ากรรมฐานก่อนสามวัน จะอดข้าวลดน้ำหนักเสียหน่อย เพราะเริ่มอ้วนแล้ว สามวันน่าจะลดได้หลายกิโลกรัม

วันตักบาตรเทโวให้พวกเราไปแข่งกันเดินขึ้นเขา ว่าใครจะเดินถึงก่อนกัน ปีที่แล้วอาตมาอดข้าวสามวัน เดินขึ้นยอดเขารวดเดียวจบ ส่วนสมุห์กอล์ฟไม่ได้อดสักวัน พักสักสามพักกว่าจะถึงยอดเขา...!"

เถรี 20-10-2016 16:05

ถาม : กำลังติดอยู่ในหล่ม ?
ตอบ : รู้ว่าติดหล่มก็รีบถอนตัว ไม่อย่างนั้นก็จมลึกไปเรื่อย ๆ

หัดล้มเหลวเสียบ้าง ถ้าสำเร็จทุกอย่างชีวิตก็ไร้รสชาติ เรื่องของงานจำไว้ว่าขอให้ได้ทำ ไม่ได้แปลว่าทำแล้วต้องสำเร็จ ทำแล้วอย่าไปเสียใจ แต่ถ้าไม่ได้ทำก็น่าเสียดาย เราจะไม่รู้ว่าบทเรียนดี ๆ อย่างนี้ยังมีอยู่อีกเยอะเลย แต่อย่ามาให้ตูขุดออกจากหลุมบ่อยนักก็แล้วกัน


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:20


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว