กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4887)

เถรี 18-03-2016 14:21

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ให้พิจารณาต่อไปว่าร่างกายนี้ใช่ของเราไหม ? เพราะว่าลักษณะอย่างนั้นก็คือไปกระทบกับสิ่งที่เราเคยประพฤติปฏิบัติในอดีตมา ปีติถึงได้เกิด เราก็ดูต่อไปเลยว่า เรื่อง “ตน” นี้จริง ๆ ยึดถือมั่นหมายได้หรือเปล่า ? เรายังมีความต้องการอยู่หรือไม่ ? จนกระทั่งเห็นชัดว่าไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราแล้ว ก็กองเอาไว้ตรงนั้นแหละ ทำหน้าที่ไปวัน ๆ จนกว่าจะหมดอายุ

ถาม : แล้วเวลาสวดมนต์จะมีเสียงคนแก่แทรกขึ้นมา ?
ตอบ : ตั้งใจแผ่เมตตาแล้วอุทิศส่วนกุศลให้เขาทุกครั้ง ขอให้เขาอโหสิกรรมให้ด้วย ส่วนเขาจะอโหสิกรรมหรือไม่ก็เป็นเรื่องของเขา

ถาม : ให้แผ่เมตตาให้เขาไป ?
ตอบ : แล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้เขาไปด้วย

เถรี 18-03-2016 14:24

ถาม : เจ้าภาพบวชพระรูปละเท่าไรคะ ?
ตอบ : ๓,๐๐๐ บาท ถูกไปไหม ?

ถาม : ไม่ถูกค่ะ แพงไป เดี๋ยวต้องไปเพิ่มเงิน
ตอบ : อย่าทำบุญแบบคนโง่ ทำบาทเดียวตั้งใจเป็นเจ้าภาพบวชพระทุกรูปก็ได้ ไม่ใช่เขาบวชรูปหนึ่ง ๓,๐๐๐ บาทเราต้องทำ ๓,๐๐๐ บาท แล้วก็ได้แค่รูปเดียว

เถรี 18-03-2016 14:58

พระอาจารย์สนทนากับหลวงพี่เอ (พระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม) "เวลาป่วยหนัก ๆ นี่ผมเห็นประโยชน์ตรงที่ว่า เรารู้ว่าต้นทุนเรามีเท่าไร พร้อมที่จะไปหรือยัง ? ป่วยขึ้นมาแต่ละทีนี่ไม่อยากกลับเลย โดนถีบกลับมาทุกที"

ถาม : ใช่ครับ ทำใจยากจริง ๆ ไปเลยเสียยังดีกว่า ?
ตอบ : พอรู้ต้นทุนของเราแล้วก็เหลืออยู่อย่างเดียวว่าพอหรือยัง ? ถ้ายังไม่พอก็ต้องรีบตะกายทำให้มากไว้

ไปนึกถึงหลวงปู่ธรรมชัย พอท่านรู้ว่าเป็นวันที่ ๕ ธันวาคม ท่านก็ตั้งใจเข้าสมาธิถวายกุศลในหลวง คราวนี้หลวงปู่ท่านเข้าสมาธิชีพจรก็หยุดเต้น โหย...พยาบาลเขาช่วยกันปั๊มหัวใจ แล้วคราวนี้เขากระแทกกันแรง ๆ หลวงปู่ท่านก็คงรำคาญ
เลยไปดีกว่า คนที่ไม่เข้าใจนี่ลำบาก

หลวงปู่มหาอำพันท่านเข้าสมาธิอยู่ หมอมาตรวจร่างกายพอดี พอจับชีพจรหมอตกใจวิ่งไปตามคน ผมรู้ก็เลยสะกิด “หลวงปู่ครับ ๆ ถ้าหลวงปู่ไม่กลับนี่หมอเขาเอาไปเผาแน่”


ถาม : เดี๋ยวต้องไปบูชาวัตถุมงคลที่เข้าพิธีเมื่อวานครับ ตอนทำพิธีนี่สะเทือนไปถึงพระเจดีย์วัดปากน้ำ นั่งไม่ติดเลยครับ ?
ตอบ : ท่านฝากไว้ทุกที่ ที่ไหนที่มีพระเจดีย์เป็นหลักก็เอาหมดเลย ครูบาอาจารย์ท่านตั้งใจสงเคราะห์จริง ๆ สำคัญที่ว่าเราจะรับกันหรือเปล่า แต่ว่าเป็นห่วงเหมือนกันเพราะสถานการณ์ประเทศชาติแย่มาก โดยเฉพาะองค์ในหลวง ไม่รู้ว่าจะประคองพระองค์ท่านไปได้อีกนานเท่าไร

ถาม : ตอนนี้ข่าวเขาปิดกันครับ ?
ตอบ : เพราะข่าวไม่ออกนี่แหละถึงลำบาก คือถ้าออกข่าวคนทั้งประเทศพร้อมใจกันทำความดีถวายพระองค์ท่านก็จะมีผล ไม่อย่างนั้นแค่จุดเล็ก ๆ อย่างพวกเราเหมือนกับเอาน้ำถังเดียวไปดับไฟทั้งกองก็ยาก

ถาม : (พูดถึงพระอุปคุตชัยวัฒน์)
ตอบ : ไม่ทันรู้ตัวว่าพระเต้นได้ พวกนี้เขาดูอยู่ พิธีอย่างนี้ก็คงไม่มีอีกแล้ว เพราะฉะนั้น...เก็บได้ก็เก็บเถอะ เผื่อลูกศิษย์เขาต้องการจะได้มีให้

เถรี 18-03-2016 15:08

ถาม : มีเพื่อนบอกว่ากสิณเป็นการส่งจิตออกนอก ผมจะบอกเขาว่าอย่างไร ?
ตอบ : จิตส่งออกที่แท้จริงคือตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส แล้วก็ไปฟุ้งซ่าน การฝึกกสิณใช้สมาธิควบคุมอยู่เฉพาะหน้า แล้วก็ไม่ได้ไปไกล ไปแค่รูปกสิณนั้น แล้วก็กลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกของตัวเอง บอกเขาว่าการฝึกทุกอย่าง ถ้าหากว่าผิดก็มีโทษ ถ้าหากว่าถูกก็มีประโยชน์ ขึ้นอยู่กับว่าคุณทำถูกไหม ?

ถาม : การที่จิตออกไปนอกกาย แล้วสามารถควบคุมจิตให้ทรงตัวได้ก็ไม่ใช่จิตส่งออก ?
ตอบ : ลักษณะของมโนมยิทธิก็คือการส่งจิตออกไปข้างนอก แต่มีการควบคุมด้วยอำนาจสมาธิของตัวเอง ก็ไม่ได้ฟุ้งซ่านไปใน รัก โลภ โกรธ หลง จิตส่งออกที่เป็นโทษคือฟุ้งซ่านไปใน รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ แล้วก็ทำให้เราปรุงแต่งมากขึ้น ๆ กลายเป็นยึดเกาะว่าสิ่งนี้เราชอบ สิ่งนี้เราไม่ชอบ

เถรี 18-03-2016 15:17

ถาม : อรูปฌานกับวิปัสสนาญาณใกล้เคียงกันมาก การที่เราได้เห็น ได้รู้ ได้เข้าใจในความไม่มีตัวตน เช่น ผู้ชาย พ่อ ซึ่งเป็นวิปัสสนาญาณ ถ้าคนที่จะได้อรูปฌานต้องได้รูปฌานสี่ก่อน คนที่ได้วิปัสสนาญาณต้องได้อรูปฌานก่อนหรือเปล่าจึงจะสามารถเป็นวิปัสสนาญาณได้ ?
ตอบ : เอาทีละอย่าง ของคุณไปไกลเกินไปแล้ว เรื่องของรูปฌานไม่จำเป็นต้องได้กสิณก็ได้ ใช้อานาปานสติอย่างเดียวก็สามารถเข้าถึงรูปฌานได้ แต่ถ้าต้องการจะทำอรูปฌานต้องได้กสิณกองใดกองหนึ่งในกสิณ ๑๐ ที่ไม่ใช่อากาสกสิณ เสร็จแล้วเพิกภาพกสิณนั้นเสียถึงจะกลายเป็นอรูปฌาน คราวนี้คำถามต่อไป

ถาม : ทีนี้วิปัสสนาญาณที่เห็นภาวะของอนัตตา จำเป็นต้องได้รูปฌานก่อนหรือเปล่า ?
ตอบ : การปฏิบัติ ถ้าหากว่าเป็นฌานสมาบัติแล้วนำมาพินิจพิจารณาวิปัสสนาญาณ จนกระทั่งสามารถปลดใจตัวเองออกได้ ไม่ยึดเกาะอะไร ๆ ทั้งปวง เขาเรียกว่าบรรลุโดยเจโตวิมุติ ใช้สมถะนำหน้า

แต่ถ้าพิจารณาวิปัสสนาญาณมาก่อน จนกระทั่งกำลังใจค่อย ๆ ทรงตัวกลายเป็นสมาธิขึ้นมา แล้วสามารถละวางทุกอย่างลงได้ เขาเรียกว่าปัญญาวิมุติ คือหลุดพ้นด้วยปัญญา

แต่ทั้งสองแบบจะต้องมีอำนาจของสมาธิเป็นพื้นฐาน ก็คืออย่างหนึ่งเริ่มจากสมาธิแล้วไปใช้ปัญญา อีกอย่างหนึ่งเริ่มจากปัญญาพิจารณาไปจนกระทั่งกลายเป็นสมาธิ คนส่วนใหญ่จะไปเข้าใจว่าฝ่ายปัญญาวิมุตินั้น บรรลุโดยไม่มีสมาธินั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าไม่มีกำลังของสมาธิจะไม่สามารถตัดกิเลสได้ เพียงแต่ท่านพิจารณาจนจิตดิ่งลึกไปเรื่อย ๆ แล้วทรงตัวเป็นสมาธิไปเอง


ถาม : ปัญญาวิมุตติไม่จำเป็นต้องได้อรูปฌานก่อน ?
ตอบ : ไม่จำเป็น จะเป็นปัญญาวิมุติหรือเจโตวิมุติก็ไม่จำเป็นที่จะต้องฝึกกสิณ แต่ว่าเรื่องของสมาธิต้องได้ ต่ำสุดต้องเป็นปฐมฌานขึ้นไป ไม่อย่างนั้นเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ เพราะกำลังไม่พอตัดกิเลส

เถรี 18-03-2016 15:20

ถาม : การช่วยเหลือคนอื่นจำเป็นต้องได้กสิณไหมครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าช่วยด้านไหน ถ้าช่วยในเรื่องของ ทาน ศีล ภาวนา ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องได้กสิณ ๑๐ แต่ถ้าคุณจะไปแบกกรรมแทนคนอื่นเขา ก็จำเป็นที่จะต้องได้กสิณหน่อย แต่ว่าก็เดือดร้อนทีหลังจนได้ เพราะว่าไปรับกรรมแทนเขา

เถรี 19-03-2016 14:33

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนตอนเด็ก ๆ เวลาหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี หรือหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ท่านพุทธาภิเษกวัตถุมงคล สามารถเอาเสื่อไปนอนรอได้เลย ท่านนั่งลงไปทีหนึ่ง ๓-๔ ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ไม่กระดิกเลย

สมัยนั้นอาตมารู้จักหลวงปู่ทิม หลวงปู่โต๊ะ เพราะพระครูแสงทั้งนั้นแหละ แล้วใครจะไปคิดว่าเหรียญเจริญพรสมัยโน้นราคาไม่กี่บาท สมัยนี้ราคาเป็นแสนเป็นล้าน

สมัยแรกที่ไปหาหลวงปู่โต๊ะไม่ได้เจตนาจะไปหาท่าน ตั้งใจจะไปกินอาหารโรงทาน เพราะโรงทานเยอะมาก แล้วสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จทุกปี พูดง่าย ๆ ว่าเป็นพระอาจารย์ในดวงใจของพระองค์ท่าน สมัยเด็ก ๆ ไม่ได้รู้จักคุณงามความดีของครูบาอาจารย์ท่านหรอก เพราะว่าบ้านยายอยู่สามแยกไฟฉายนี่เอง วัดหลวงปู่โต๊ะใกล้นิดเดียว

พอเขาบอกว่ามีงานวันเกิดหลวงปู่ก็ไป ตั้งใจจะไปกินโดยเฉพาะ แย่จริง ๆ เลยนะ แต่ก็ดีอยู่อย่างว่า ใจคิดแต่จะไปวัด ไม่รู้หรอกว่าท่านมีความดีอย่างไร คนโน้นบอกหลวงปู่เก่งอย่างโน้น คนนี้บอกหลวงปู่เก่งอย่างนี้ อาตมาก็ เออ...ท่านเก่ง แต่ตูจะไปกิน..!

หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ รักตรงท่านั่งของท่าน เพราะท่านจะนั่งเหมือนหลวงปู่แหวน คือจะนั่งเอียง ๆ ข้างหนึ่ง ไม่ทราบว่าเส้นท่านเสียหรือเปล่า ? แต่หลวงปู่แหวน ทราบว่าท่านไปธุดงค์แล้วตกเขา เส้นเสีย ทำให้นั่งเอียงไปข้าง เวลาหลวงปู่ทิมท่านนั่ง บางทีก็ ๗-๘ ชั่วโมง นั่งลงไปก็เงียบหายไปเลย"

เถรี 19-03-2016 14:55

ถาม : เวลาภาวนา รู้ได้อย่างไรว่าใจสงบ ?

ตอบ : "รู้จักนิวรณ์ ๕ ไหม ? ถ้านิวรณ์ ๕ ไม่มีแปลว่าใจสงบ ถ้าหากว่าใจไปประหวัดคิดถึงเพศตรงข้ามก็ดี ความโกรธเกลียดอาฆาตคนอื่นก็ดี ฟุ้งซ่านไม่อยู่กับการภาวนาก็ดี หรือในส่วนของการลังเลสงสัยในคุณพระรัตนตรัยก็ดี ไปคิด ๆ อยู่กับเรื่องพวกนี้ก็ไม่สงบ ถ้าไม่คิด อยู่กับลมหายใจเข้าออกได้ อยู่กับคำภาวนาได้ ก็คือสงบ"

เถรี 19-03-2016 16:11

ถาม : มีดหมอสำหรับไล่ผี เขาไล่กันอย่างไรครับ เป็นผีอยู่ในหมู่บ้านครับ ?
ตอบ : ไปหามีดหมอหลวงพ่อแจ่ม วัดวังแดงเหนือให้ได้ ท่านทำเอาไว้สำหรับลุยกับผีโดยเฉพาะ มีดหมอสำนักอื่นมักจะใช้รักษาโรค แต่ของหลวงพ่อแจ่มเอาไว้เล่นกับผีโดยเฉพาะ พอ ๆ กับมีดหมอของวัดเขาอ้อ มีดหมอของวัดเขาอ้อชื่อมีดหมอมหาปราบ เอาไว้ลุยสิบทิศเลย

เถรี 20-03-2016 14:06

พระอาจารย์ให้พรญาติโยมว่า "ใครเขาจะวางระเบิดสร้างสถานการณ์ ใครเขาจะวางระเบิดหวังผลทางการเมือง ก็ขอให้พวกเราทุกคนปลอดภัย"

เถรี 20-03-2016 14:13

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันงานหล่อพระ มีคนทำไอโฟนหาย ประกาศอยู่ครึ่งค่อนวันไม่มีใครมารับ ตอนประมาณบ่าย ๓ โมงอาตมาไปโกนหัวนาค ปรากฏว่ามีเจ้าหนุ่มคนหนึ่งมาบอกว่าโทรศัพท์ของเขาหาย อาตมากำลังยุ่ง ๆ กับเรื่องโกนหัวนาค ก็เลยส่งให้ไปโดยไม่ได้ตรวจสอบ

ปรากฏว่าพอตอนประมาณ ๕ โมงเย็น ทิดโจ้โทรมาบอกว่าไอโฟนหาย น่าตายไหม ? อาตมาประกาศอยู่ครึ่งค่อนวัน ย้ำแล้วย้ำอีกว่าอย่ามั่นใจว่าของตัวเองอยู่ ให้ล้วงดูก่อน คือทุกคนมักจะมั่นใจว่าของเราไม่หาย ปรากฏว่าโดนเจ้านั่นคาบไปเรียบร้อยแล้ว ก็เลยสั่งเปิดกล้องวงจรปิดดูว่าเป็นใคร

โยมไปวัดท่าขนุนไม่รู้ว่ามีวงจรปิดอยู่ ๑๐ กว่าตัว ปรากฏว่าเป็นเด็ก กศน. ที่ไปปฏิบัติธรรม ก็เลยให้โยมโทรไปหาครู บอกว่าให้เด็กเอามาคืน ไม่อย่างนั้นจะเดือดร้อนแน่ ปรากฏว่าที่วิ่งขี้แตกมาก่อนเลยคือพ่อ และตามด้วยครู โดยเฉพาะครูไม่ยอมเด็ดขาด ลูกศิษย์ฉันเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร ที่ไม่ยอมเพราะคิดว่าพระไปใส่ร้ายเด็กของเขา

ปรากฏว่าหลักฐานระบบวงจรปิด ระบบ HD ชัดกว่าตาเห็นอีก วงจรปิดวัดท่าขนุน ๑๐ กว่าตัว พร้อมกับฮาร์ดดิสก์ ๒ เทราไบต์ ๓ ตัว รวมราคาทั้งหมด ๘๑,๐๐๐ บาท เป็นระบบ HD ชัดกว่าตาเห็น อาตมายังสงสัยว่าของรัฐบาลทำไมฮาร์ดิสก์ตัวหนึ่ง ๔๐๐,๐๐๐ บาท ทั้ง ๆ ที่ห่วยกว่าของอาตมาตั้งเยอะ..!"

เถรี 20-03-2016 14:17

"อาตมาบอกพ่อเขาว่า "เอาอย่างนี้...ถ้าลูกคุณเอาไอโฟนมาคืนก็จบแค่นี้ ไม่มีปัญหาอะไรกันต่อ แต่ถ้าหากว่าไม่ยอมสารภาพ ไม่ยอมเอามาคืน แต่จนด้วยหลักฐานเพราะกล้องวงจรปิด ถึงอาตมาได้ของคืน ก็จะแจ้งความ" สรุปว่าไอ้เจ้านั่นคลานมาสารภาพแต่โดยดี ถามว่า "มึงนึกอย่างไรถึงมาเอา ?" เขาบอกว่า "เพื่อนอยากได้" "แล้วมึงไม่รู้หรือว่าวัดนี้วงจรปิดเพียบเลย ?"

ถามว่า "ของอยู่ไหน ?" "เข้าร้านไปแล้ว" "ไหนบอกว่าเพื่อนอยากได้ เสือกเอาไปขายแล้ว...! ไปเอาคืนมา" เขาก็ติดต่ออยู่พักใหญ่ บอกว่าทางร้านส่งเข้ากรุงเทพฯ ไปแล้ว เร็วขนาดนั้นเลยหรือ ? เลยบอกว่า "มีสองวิธี วิธีแรกคือให้ร้านเอามาคืน วิธีที่สองคือมึงซื้อเครื่องใหม่มา แต่กูให้เวลาแค่ ๕ โมงเย็นนี้เท่านั้น" ก็เลยไปซวยที่พี่สาว

พี่สาวบอกว่าน้องคนนี้ ทำเรื่องให้เดือดร้อนมาหลายครั้งแล้ว จึงบอกเขาว่า "อาตมาไม่ได้ใส่ใจตรงนั้น ว่าจะทำด้วยเหตุผลอะไร แต่ตอนนี้ที่ต้องการคืออยากได้ของคืน เพราะของมาหายในวัด ซึ่งปกติแล้วไม่เคยหาย ฉะนั้น...อาตมาให้เวลาแค่ ๕ โมงเย็น ถ้าเอามาคืนไม่ได้จะแจ้งความ...! โดยเฉพาะคุณเป็นต่างด้าว กำลังรอบัตรประชาชนไทย ถ้าแจ้งความเมื่อไรโดนถอนสิทธิ์การรับบัตรประชาชนแน่นอน" พี่สาวก็เลยซวย น้ำตาไหลน้ำตาร่วง โทรไปสั่งร้านในเมืองกาญจนบุรีให้ส่งของมากับรถตู้ มา
อีก ๑๐ นาทีจะหมดเวลา ทันเส้นตายพอดี

ส่วนไอ้ตัวแสบไม่รู้สึกรู้สาอะไรหรอก เพราะรู้อยู่แล้วว่าทำแล้วมีคนจ่ายแทน ตกลงทิดโจ้ได้ไอโฟน ๔s ใหม่เอี่ยมเลย ของเก่าเข้ากรุงเทพฯ ไปเอาคืนไม่ทัน เลยบอกว่า ความจริงอาตมาจะแจ้งความว่าร้านรับของโจรก็ได้นะ แต่ไม่อยากทำ ความจริงอยากได้ ๖s มากกว่า แต่จะขูดรีดโยมมากไป"

เถรี 20-03-2016 14:19

"อาตมาเป็นคนไม่โหดร้าย ที่เขาลือว่าอาตมาดุมาก นั่นเขาใส่ร้ายอาตมา...! เพราะอาตมาจะเปิดทางให้คนเสมอ ว่าถ้าคุณเอามาเป็นอันว่าจบกัน ไม่แจ้งความ แต่ถ้าคุณไม่เอามา ก็คือแจ้งความ พอเป็นคดีขึ้นมา อาตมาไม่รอมชอมกับใคร ในเมื่อเราเปิดทางให้เขา เขาก็ต้องเลือกตามทางที่ดีกับเขา

เหมือนสมัยที่อยู่วัดท่าซุง อาตมาจับพระปลอมได้ พกอาวุธ พกโพยหวย แล้วไปยืนจีบเด็กนักเรียน อาตมาบอกว่าให้เลือกเอาสองทาง ทางแรกคือแจ้งข้อหาพกอาวุธ และเล่นหวยเถื่อน แล้วคุณก็ติดคุกไป ทางที่สองคือยอมสึกเสียดี ๆ แล้วหมดเรื่องกันแค่นี้ เขาก็ยอมสึกเสียโดยดี แต่อาตมาเสียเสื้อผ้าให้ไปชุดหนึ่ง ต้องไปซื้อให้เขาใส่ คืออาตมาต้องการให้เขาสึกอยู่แล้ว อย่างไรเขาก็ต้องเลือกทางที่อาตมาต้องการ แต่อาตมาเปิดทางให้เขาเลือก ว่าจะติดคุกดีหรือสึกดี ? ฉะนั้น...ที่เขาว่าอาจารย์เล็กโหด ไม่จริงหรอก เขาใส่ร้ายอาตมา...!"

เถรี 20-03-2016 14:42

ถาม : นั่งสมาธิ หายใจเข้าหายใจออก แล้วร่างกายลั่นกริ๊ก...! หายไปเลยค่ะ วูบออกไปคุยทักทายกับใครไม่รู้ ? เยอะแยะเลย จิตไม่รวมสักที ออกไปเรื่อยค่ะ ?
ตอบ : อันนั้นแหละเรียกว่ารวม ถ้ารวมไม่พอก็ออกไม่ได้ ต้องรวมพอถึงจะออกได้ ถ้าตามที่ว่ามาช้าไปนิดหนึ่ง เพราะว่าต้องภาวนาจนถึงลั่นกริ๊ก แล้วไปได้...ใช่ไหม ? ปกติเขาแค่คิดก็ไปแล้ว ไม่ทันภาวนาหรอก ไปซ้อมให้เร็วกว่านี้นิดหนึ่ง

ถาม : ไปดูกายแล้วก็งง ๆ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปดูแล้ว ถึงเวลานั้นถ้ารู้จักสังเกตจะเห็นว่า รัก โลภ โกรธ หลง กินใจเราไม่ได้ ต้องตั้งเป้าให้ชัด ๆ ไว้อย่างหนึ่งว่า หลังจากทักทายเขาเสร็จก็จะไปกราบพระที่จุฬามณี หรือที่พระนิพพานไปเลย อันนั้นยิ่งกว่ารวมอีกนะ

ถาม : ก็ต้องนั่งก่อน ?
ตอบ : อย่างไรก็ได้ หกคะเมนตีลังกาอย่างไรก็ไปได้

ถาม : เหมือนมีผีอยู่เยอะแยะเลยค่ะ แต่หนูก็กลัวว่าคนนี้หน้าตาเหมือนเราเลย บางคนก็แยกออกไปค่ะ ไม่รู้ว่าหนูจะทำอย่างไรดีค่ะ ?
ตอบ : ไม่ต้องทำ ถ้าต้องการจะอยู่คนเดียวก็รวมทั้งหมดมาอยู่ที่เรา ถ้าไม่ต้องการก็แยกออกไปเยอะ ๆ

ถาม : แล้วเราไม่ใช่ผีหรือคะ ?
ตอบ : ถ้าคิดว่าผี เราเป็นผีนานแล้ว ก็ตัวเรานั่นแหละ เพียงแต่แยกจิตทำงานหลายอย่างพร้อมกัน หลงกลัวแทบตาย กลัวตัวเอง ให้สังเกตไว้อย่างหนึ่งว่า ขนาดเราทรงสมาธิขนาดนั้น เรายังกลัวอยู่ เจ้าตัวนั้นเรียกว่ากลัวตาย

ผีหลอก เดี๋ยวผีบีบคอเรา แล้วเราจะตาย ถ้ากำลังใจยังยึดร่างกายอยู่ก็จะกลัวเป็นปกติ ต่อให้อยู่ในสมาธิระดับไหนก็กลัว

เถรี 20-03-2016 14:46

ถาม : พยายามทำความเพียร แต่ง่วงมากค่ะ ข้างในจะออกตลอด ขยับได้แล้ว มักจะพุ่งออกไปก่อน ?
ตอบ : อาการที่ว่ามาไม่ใช่อาการง่วง แต่เป็นอาการที่จิตกับกายจะแยกออกจากกัน ทำให้ประสาทรับรู้ทางร่างกายไม่ค่อยจะรับรู้แล้ว เพราะจิตกับประสาทเริ่มแยกคนละส่วน จะบังคับร่างกายได้ยาก

ใจจะไป เราก็ดื้อไปรั้งเอาไว้ คราวหน้าถ้าไปก็ปล่อยให้ไปเลย จะไปไหนก็ไป ท้ายสุดนึกถึงพระไว้ก็พอ

เมื่อจิตกับประสาทแยกออกจากกัน เราจะบังคับร่างกายไม่ได้ ก็เหมือนกับคนง่วง ร่างกายไม่ค่อยอยากจะทำงาน บางทีก็เหมือนเคลิ้ม ครึ่งหลับครึ่งตื่น


ถาม : ควรทำอะไรเพิ่มเติม ?
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ เอาใจเกาะพระนิพพานไว้ตอนท้าย ตั้งใจเสมอว่าถ้าตายลงไปเมื่อไร เราขอไปอยู่กับพระท่านที่พระนิพพานเท่านั้น คนทำไม่ได้ก็อยากได้ ส่วนคนทำได้ก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย

เถรี 20-03-2016 14:54

พระอาจารย์กล่าวว่า "บางทีพระไปต่างประเทศแล้วทำตัวตามสบาย ละเมิดศีลบ้างอะไรบ้าง เพราะคิดว่าฝรั่งไม่รู้ ปรากฏว่าคนรู้ดันถ่ายคลิปมาออกยูทูบ ซวยไปตาม ๆ กัน

พระผู้ใหญ่ท่านไปชมสนามฟุตบอลในอังกฤษ ไปนั่งฉันไอศกรีมแล้วเขาถ่ายรูปมา ไอศกรีมฉันได้ไหม ? ถ้าเป็นนมเป็นเนยอย่างเดียวได้ แต่อาตมาถือตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอก เคยถามท่านว่าตกลงว่าไอศกรีมฉันได้ไหม ? ท่านบอกว่า "ถ้ามีแต่นมแต่เนย ไม่ได้ใส่อย่างอื่นก็ได้ แต่พ่อขอร้องเถอะ...ถ้าไม่ถึงกับจะตายห่า มึงอย่าไปแดกเลย มันน่าเกลียด..!"

ปรากฏว่าพระที่ท่านไปสนามฟุตบอล ท่านไปฉันไอศกรีมโคน แล้วดันแทะถ้วยเข้าไปด้วย ถ้วยเป็นแป้ง จัดเป็นอาหาร ก็เลยแก้ตัวไม่หลุด เพราะเขาถ่ายรูปมาชัด ๆ

แม้จะเป็นอาบัติเล็กน้อยสามารถแสดงคืนได้ แต่ถ้าเราใจด้านทำโดยไม่ละอาย พอไปทำบ่อย ๆ เข้า ความเคยชินจะทำให้ละเมิดอาบัติที่หนักกว่านั้นได้ คือเราทำชั่วเล็ก ๆ ไปเรื่อย เดี๋ยวก็ทำชั่วที่มากขึ้นได้ เหมือนกับเขื่อนที่เริ่มมีรูรั่ว ถึงเวลาน้ำไหลออกมาเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็ดันเขื่อนแตกจนได้ จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องระมัดระวังตัวเอง โยมไม่รู้...พระก็ต้องเตือนโยมให้รู้ แล้วก็อย่าไปทำในลักษณะที่ว่าบัญญัติเอง บอกว่าฉันได้ หรือทำได้ ทั้ง ๆ ที่ทำไม่ได้"

เถรี 20-03-2016 14:58

"อาตมาไปพม่า ทางด้านโน้นเขาฉันอาหารเย็นกันเป็นปกติ เพราะพม่าเขาถือพระวินัยไม่ลักลั่นกัน บ้านเราถือพระวินัยลักลั่นกันอยู่ คือพระวินัยมีอยู่ ๒ ข้อ ข้อหนึ่งว่า ภิกษุฉันอาหารในเวลาวิกาล ต้องอาบัติปาจิตตีย์ อีกข้อหนึ่งคือภิกษุเข้าบ้านยามวิกาลโดยไม่ได้บอกลา ต้องอาบัติปาจิตตีย์

ของเราการฉันอาหารในเวลาวิกาล บอกว่าหลังเที่ยงไปแล้ว แต่เข้าบ้านยามวิกาล เราไปตีความว่าตะวันตกดินไปแล้ว ส่วนพม่าเขาตีความราคาเดียวกันว่า วิกาลคือตะวันตกดินแล้ว ฉะนั้น... ๕ โมงเย็น ๖ โมง เขานั่งฉันอาหารกันเป็นปกติ เพราะถือว่ายังไม่วิกาล แต่บ้านเราในเมื่อตีราคาคนละอย่างกัน จนเป็นจารีตประเพณีแล้ว บ้านเราจึงทำไม่ได้ ในเมื่อทำไม่ได้ บ้านเราคตินิยมเป็นแบบนี้ก็ต้องถือแบบนี้

พอไปอยู่รวมกับพวกเขา ตอนเย็นอาตมาก็แวบออกไปตั้งแต่ ๔ โมงเย็น ไปนั่งสวดมนต์ภาวนาที่พระเจดีย์หรือพระพุทธรูปสำคัญ อย่างเช่น พระมหาเจดีย์ชเวดากอง พระบรมธาตุอินทร์แขวน หรือหลวงพ่อพระมหามุนี หรือไม่ก็ถึงเวลาก็หาเรื่องไปเดินดูของ ทำเป็นนักท่องเที่ยวไปหาดูของที่ระลึก รอจนหนึ่งทุ่มหรือทุ่มครึ่งแล้วค่อยกลับมา ให้เขาทำอะไรให้สบายใจเขาก่อน ไม่อย่างนั้นก็ต้องไปปฏิเสธเขา กลายเป็นว่าเราไปถือเคร่งกว่าเขา ทำให้เจ้าถิ่นเขาหนักใจ

ทางเหนือของเรายังมีฉันข้าวเย็นกันเป็นปกติ เพราะว่าทางเหนือของเราโดนพม่ายึดครองอยู่ ๖๐ กว่าปี เลยถือธรรมเนียมพม่ามาจนชิน ปัจจุบันนี้ถ้าจะบวชวัดทางเหนือ พ่อแม่ต้องถามลูกให้ดีว่าจะกินข้าวกี่มื้อ ถ้ากินมื้อเดียว ก็บวชวัดป่าสายธรรมยุต กินสองมื้อก็บวชวัดทั่วไป สายมหานิกาย กินสามมื้อก็บวชวัดที่ถือธรรมเนียมพม่า"

เถรี 20-03-2016 15:01

"การฉันอาหารในเวลาวิกาลเป็นอาบัติปาจิตตีย์ แสดงคืนได้ ก็กลายเป็นว่า ถึงเวลาก็ไปกินแล้วก็มาปลงอาบัติกัน คุณเสฐียรพงษ์ วรรณปก ตอนเป็นเณรอยู่อีสาน เพื่อนเณรสะกิดให้ไปแอบดูหลวงพี่กินข้าวเย็นกัน ก็เลยไปกัน ปรากฏว่าเขาอุตส่าห์หนีไปอยู่ในป่าช้า นี่ก็ไปย่องหมอบ ๆ คลาน ๆ มุดพุ่มไม้ไปแอบดู ด้วยความที่เป็นเด็ก ไม่รอบคอบ ไปทำกิ่งไม้หักกร๊อบ...! โดนหลวงพี่หิ้วคอมา จับบีบปาก เอาข้าวเหนียวจิ้มปลาแดกยัด บังคับว่ากลืนลงไปเดี๋ยวนี้นะ ไม่อย่างนั้นโดน กินไปเรียบร้อยแล้วบอกว่า "มึงไปฟ้องหลวงพ่อเลย มึงก็กินเหมือนกัน"

ส่วนหลวงพ่อฤๅษีเจอทีเด็ดกว่านั้นอีก ท่านบอกว่าพอขึ้นวัดเท่านั้น เจ้าถิ่นต้อนรับแข็งขัน "นิมนต์ครับ ๆ" พอขึ้นมาจัดน้ำใช้น้ำฉันเสร็จสรรพ ลงไปตะโกนสั่งเด็กวัดให้ฆ่าไก่ แกงเลี้ยงพระเย็นนี้ เล่นเอาหลวงพ่อห้ามเจ้าอาวาสแทบแย่ ความจริงท่านต้อนรับดีนะ น่ารักมากเลย "ตามธรรมเนียมไทยแท้แต่โบราณ ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ อย่างดีเลิศตามมีและตามเกิด ให้เพลินเพลิดกายากว่าจะกลับ"

เถรี 20-03-2016 15:06

ถาม : พระผิดศีล พระอุปัชฌาย์มีส่วนรับผิดชอบไหม ?
ตอบ : พอบวชเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว พระอุปัชฌาย์มีหน้าที่ต้องสั่งสอน ถามว่ามีส่วนรับผิดชอบไหม ? ถ้าสอนแล้วพระไม่ฟัง ก็เป็นโทษของพระท่าน แต่ถ้าไม่สอนแล้วพระท่านไปทำ ต้องถือว่าพระอุปัชฌาย์มีส่วนด้วย

เถรี 20-03-2016 15:20

ถาม : อ่านเรื่องไสยศาสตร์มา ทำไมเขาถึงต้องมีวันปล่อยของ เขาไม่กลัวพลังของมันหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ใช่พวกที่ตั้งใจทำร้ายใครโดยเฉพาะ ตามสายการปฏิบัติของไสยศาสตร์ วันเสาร์กับวันอังคารจะต้องปล่อยของครั้งหนึ่ง ไม่อย่างนั้นตัวเองจะร้อนรุ่มกระวนกระวาย พูดง่าย ๆ คือกินไม่ได้นอนไม่หลับ เดือดร้อนเอง ในเมื่อเขาปล่อยไป ก็แล้วแต่เวรแต่กรรม โบราณเรียกว่าลมเพลมพัด

เรื่องของลมเพลมพัด ถ้าเราไม่ทักก็ไม่เกิดโทษ แต่ถ้าทักเมื่อไรก็เข้าตัวเมื่อนั้น แสดงว่าคนนั้นมีวาระกรรมเปิดอยู่ แต่ถ้าพวกที่เขารับเงินรับทองมาเพื่อไปเล่นงานคนอื่น เขาไม่สนใจว่าคุณจะเป็นใคร กำลังใจของคุณจะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์แค่ไหน รู้อยู่อย่างเดียวว่ารับเงินมาก็เล่นคนนั้นแหละ ส่วนจะทำได้หรือไม่ได้ ค่อยมาคิดกันทีหลัง


ถาม : ถ้าปล่อยของมาจะมีผลกับใครบ้างครับ เกี่ยวกับคนที่มีกำลังสูงกว่าหรือต่ำกว่าหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ต่อให้กำลังสูงกว่า แต่ถ้าวิบากกรรมเปิดให้พอดี ก็มีช่วงเผลอให้โดนได้ อย่างหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ท่านโดนบังฟัน วิชาบังฟันต้องบอกว่าเป็นการฆ่าที่โหดมาก เพราะว่าคนที่โดนตายโดยที่ร่องรอยบาดแผลภายนอกไม่มี แต่ข้างในขาดหมด

ถาม : ทำไมห้อยพระเครื่องแล้วยังโดน ?
ตอบ : เข้าใจคำว่าวาระกรรมไหม ? กรรมมาถึงอย่างไรก็เผลอจนได้ ถ้าปกติเราเผลอสติ วัตถุมงคลก็ป้องกันได้ แต่ท่านถอดวัตถุมงคลออกจากตัวเพราะกำลังจะสรงน้ำพอดี ฉะนั้น...วิธีที่ปลอดภัยที่สุด หลัง ๆ ที่หลวงปู่ท่านทำคือเป่ายันต์เกราะเพชร เพราะยันต์เกราะเพชรถอดไม่ได้ ยกเว้นคุณไปกินเหล้า หรือขโมย ถึงจะสูญไป

ถาม : แล้วการรักษาศีล ถ้าผิดแล้วรักษาใหม่ ยันต์จะอยู่ไหมครับ ?
ตอบ : หมดแล้วหมดเลย เริ่มรักษาใหม่ก็ไม่มีประโยชน์ นอกจากได้อานิสงส์ในการรักษาศีล ของสูญไปแล้วจะเอาคืนมาอย่างไร ?

ถาม : มองในแง่ของคนทั่วไปที่ไม่ได้มีวาระกรรม เราจะสร้างเหตุอย่างไรในแง่ของการป้องกันไม่ให้โดนของ ?
ตอบ : ภาวนาให้กำลังใจทรงตัวเป็นปกติ เริ่มตั้งแต่เช้ามืดเลย พอกำลังใจทรงตัวแล้วอาราธนาบารมีพระครอบตัวไว้ ถ้าคุณไม่เผลอ วันนั้นก็รอด รอวันต่อไปก็อาราธนาใหม่

ถาม : คนที่ครูบาอาจารย์ เทวดาคุ้มครอง รอดไหมครับ ?
ตอบ : คำว่าเทวดาหรือครูบาอาจารย์คุ้มครอง ก็คือวาระบุญยังมีอยู่ ถ้าวาระกรรมมาถึง พระหรือเทวดารักษาเราไม่ได้ ก็โดนได้ ฉะนั้น...อย่าพึ่งครูบาอาจารย์ หรือพรหมเทวดาอย่างเดียว ตัวเราควรจะมีศีล สมาธิ ปัญญา เอาไว้ด้วย จะได้รักษาตัวเองได้

ถาม : การที่เราตั้งใจสะสมผลบุญ บุญเราทั้งหมดจะได้ชาติไหน หรือว่าทำได้เรื่อย ๆ ?
ตอบ : บุญทำแล้วไม่ได้ไปไหน เพียงแต่ว่าอยู่ในลักษณะที่อย่าเผลอ พูดง่าย ๆ ว่าเรามีปืนอยู่ ป้องกันไม่ให้โจรมาปล้นเรา แต่อย่าเผลอลืมพกปืนนะ

เถรี 21-03-2016 14:06

ถาม : ฤทธิ์กับอภิญญา คือสิ่งเดียวกัน หรือต่างกัน ?
ตอบ : อภิญญาเป็นความสามารถพิเศษที่เกิดจากการที่เราฝึกกรรมฐานในหมวดของกสิณ ๑๐ ถ้าเราฝึกกรรมฐานหมวดอื่นก็จะไม่ได้อภิญญา

แต่ถามว่าฝึกกรรมฐานกองอื่นแล้วมีฤทธิ์ไหม ? มีเหมือนกันแต่เป็นฤทธิ์ด้านอื่น เรื่องของอภิญญาสามารถสำแดงฤทธิ์ที่เกินมนุษย์ได้อย่างชัดเจน แต่ฤทธิ์ในหมวดอื่น เช่น ฤทธิ์เกิดจากฌานสมาบัติ หรือฤทธิ์เกิดจากแรงอธิษฐานหรือฤทธิ์เกิดจากบุญที่สั่งสมมา สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเราไม่สามารถแสดงให้ผู้อื่นเห็นชัดได้เหมือนกับอภิญญา

เถรี 21-03-2016 14:08

ถาม : เข้าใจมาตลอดว่า คนเราถ้าตายไปก็ถูกตัดสิน กรรมไม่ดีก็ลงนรก กรรมดีก็ขึ้นสวรรค์ แต่คนที่ตายก่อนหมดอายุขัย ทำไมจึงไม่ไปตามภพภูมิ ผมไม่เข้าใจครับ ?
ตอบ : ถ้าคุณเรียนไม่จบ คุณมีสิทธิ์จบจากโรงเรียนนั้นไหม ? ในเมื่อไม่หมดอายุขัย ไปภพภูมิอื่นไม่ได้ ก็ต้องเร่ร่อนไปก่อน

ความจริงเรื่องของภพภูมิ ไม่ต้องรอคนอื่นตัดสิน เราทำดีก็เสวยผลความดีของเรา เราทำชั่วก็ไปเสวยผลความชั่วของเรา พวกที่ต้องไปรอตัดสิน ต้องบอกว่าดีก็ดีไม่ทั่ว ชั่วก็ชั่วไม่หมด ครึ่ง ๆ กลาง ๆ สะเทินน้ำสะเทินบกเหมือนกบเหมือนเขียด ก็เลยต้องไปให้พระยายมราชตัดสินว่าจะอยู่บนบกหรืออยู่ในน้ำ ถ้านึกถึงความดีได้ก็ไปอยู่บนบก นึกถึงความดีไม่ได้ก็ลงไปอยู่ในน้ำ

เรื่องของความดี ถ้าขึ้นตรงหรือลงตรงก็จบเลย แต่ส่วนใหญ่แล้วที่ต้องรอตัดสินก็เพราะว่ามีดีมีชั่วปะปนกันมั่วไปหมด บางคนก็อุตส่าห์ชั่วมาตลอดชีวิต แต่ตอนท้ายดันไปเกาะความดีได้ บางคนดีมาตลอดชีวิต ตอนท้ายดันไปคิดถึงความชั่วหน่อยหนึ่ง ประเภทนี้ต้องบอกว่าอุปฆาตกรรมมาตัดรอน

เรื่องของกรรมมีอยู่ทั้งหมด ๓ หมวด ๑๒ ประเภท ค่อย ๆ ไปศึกษาดู จะเห็นถึงความพิลึกพิลั่นพิสดารของกรรมว่าเป็นอย่างไร

เถรี 21-03-2016 14:26

ถาม : คนที่นับถือผีมีไหมครับ ?
ตอบ : มีเยอะแยะไป สารพัดศาสนา นับถือผีบ้าง นับถือธรรมชาติบ้าง ถือผีพวกเรารู้ใช่ไหมว่าคืออะไร นับถือธรรมชาติอย่างเช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็จะมีแม่ธรณี แม่คงคา แม่พระเพลิง แม่พระพาย เขาจะถือพวกนี้มาก่อน จนกระทั่งมาระยะหลัง ๆ สร้างเป็นเทพเจ้าขึ้นมา มีเทวดาอย่างโน้นอย่างนี้ ไป ๆ มา ๆ พอศาสนาพุทธเกิด ก็นับถือพระ อย่างของบ้านเรานับถือผีมานาน เล่นไสยศาสตร์กันมานาน พอถึงเวลาแล้วก็เลยปน ๆ กันอยู่ระหว่างพุทธ พราหมณ์ ผี

เถรี 21-03-2016 14:31

พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนไปสอบพระอุปัชฌาย์ เขามีคำถามเกี่ยวกับการคิดอายุ ถ้าหากคิดอายุออกมา ๑๙ ปี ๖ เดือนบวชได้ไหม ? บวชได้...เพราะว่าเขาให้บวกอายุในท้องได้ ๖ เดือน ถามว่าทำไมไม่ให้บวก ๙ เดือน ? เขาให้เหตุผลว่ามีคนที่คลอด ๗ เดือน ถ้าบวก ๙ เดือนเดี๋ยวอายุขาด บวชไปแล้วไม่เป็นพระ"

ถาม : ถ้าเกิดมา ๗ ปี ?
ตอบ : คณะสงฆ์ไทยบวกให้ ๖ เดือน ถ้า ๗ ปี อย่างพระสีวลี ก็บวชเณรเลย

ถ้าเอาอายุบวชแน่นอน ต้องบรรดาลูกท่านหลานเธอของฮ่องเต้สมัยก่อน เพราะคืนไหนนอนกับนางสนมคนไหน ขันทีต้องจดไว้หมด รู้ชัด ๆ เลยว่าเกิดวันไหน คนจีนนับจะมากกว่าไทยหนึ่งปีเสมอ อย่างอาตมาปีนี้ ๕๘ ปี แต่ถ้านับไทยก็เพิ่งจะ ๕๗ ปี

เถรี 21-03-2016 14:35

ถาม : รู้สึกว่าเฉย ว่าง ?
ตอบ : แล้วสามารถเฉยได้ทุกครั้งไหม ? เอาเป็นว่าถ้ากำลังเราสูงกว่าก็จะเฉยได้ กิเลสทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้ากำลังตกเมื่อไร ก็โดนกิเลสตีหงายท้องเหมือนเดิม ต้องระมัดระวังให้ดี

ถ้าช่างสังเกต ตอนที่เราปฏิบัติธรรมเสร็จใหม่ ๆ กำลังใจจะทรงตัวมาก แต่พอกระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไปเรื่อยกำลังเราจะตก จะรู้สึกว่าค่อย ๆ ขุ่นขึ้นมาเรื่อย ๆ แล้วก็ไปหงุดหงิดโกรธง่ายตอนกำลังหมด ถ้ารู้จักสังเกต ต่อไปจะพัฒนาตัวเองได้ง่ายขึ้น ถ้าไม่รู้จักสังเกตก็พัฒนายาก เพราะไม่รู้สาเหตุว่าเกิดจากอะไร

เถรี 21-03-2016 14:41

พระอาจารย์เล่าว่า "หลายวันก่อนไฟป่าลามเข้าวัด จะบอกว่าไฟป่าก็ไม่ใช่...เพราะมีคนเผา พระเลยไปช่วยกันดับ คราวนี้ไฟลามขึ้นกอไผ่ด้านบน พระอื่นเข้าไม่ถึงเพราะเปลวไฟแรง อาตมาเลยต้องเข้าไปเอง เอาไม้ยาว ๆ ตีให้ร่วงลงมาจะได้ดับ ก็เลยพลอยร่วงใส่ตัว ได้มาหลายแผล

โทรศัพท์ไปบอกทางเทศบาลให้เอารถดับเพลิงมาช่วยดับหน่อย เขามาฉีดให้เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วถามว่า "ทำไมหลวงพ่อไม่ปล่อยให้ไหม้ ๆ ไปให้หมด ? จะได้ไม่ไหม้อีก" เข้าท่าเหมือนกันนะ ไหม้หมดเกลี้ยงไปแล้วก็ไม่มีอะไรให้ไหม้...ใช่ไหม ? เลยบอกเขาว่าการที่ไฟไหม้ ไม่ใช่แค่ต้นไม้ตาย สัตว์ตายก็เป็นเรื่องใหญ่ แต่เรื่องใหญ่จริง ๆ คือไหม้จนหน้าดินกลายเป็นอิฐ ถ้าไหม้จนหน้าดินกลายเป็นอิฐ ฝนตกลงมาเท่าไร ดินจะรับน้ำไม่ได้ จะเกิดอุทกภัยได้ง่ายที่สุด

คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าแค่ไหม้ ๆ เดี๋ยวต้นไม้ก็ขึ้นใหม่ สัตว์ก็หนีเองได้ แสดงว่าไม่เคยเห็นเต่าโดนไฟไหม้ ต่างจังหวัดเวลาชาวบ้านจะกินเต่า เขาจะเข้าไปเผาป่า แล้วถือกระสอบไปเดินรอที่ริมห้วย เพราะอย่างไรเต่าก็ต้องหนีลงไปทางห้วย ก็เป็นอันว่าโทษ ๒ ชั้น ๓ ชั้น เผาป่าด้วย ฆ่าสัตว์ด้วย แต่ส่วนใหญ่พอตัวเองลงไปโดนเผาข้างล่างก็แก้ตัวไม่ทันแล้ว..!"

เถรี 21-03-2016 14:46

พระอาจารย์กล่าวว่า "คำว่า นะ ภาษาบาลีแปลว่า ไม่ คำว่า โน ก็เช่นเดียวกัน ดังนั้น...ภาษาอังกฤษที่บอกว่า No ก็เอาจากภาษาบาลีไป

เช่น อุปะสัมปันเนนะ ภิกขุนา เมถุโน ธัมโม นะ ปะฏิเสวิตัพโพ อุปสัมบันก็คือพระภิกษุ ห้ามเสพเมถุนก็คือห้ามมีเมีย นะ ปฏิเสวิตัพโพ ห้ามส้องเสพเกี่ยวข้องด้วย ถ้าเกิดคำว่า นะ หายไป ก็แปลว่าสั่งให้ลูกศิษย์ไปมีเมียได้..!"

เถรี 21-03-2016 14:48

"เมื่ออาทิตย์ก่อนอาตมาทำการซักซ้อมคู่สวดที่วัดท่าขนุน ให้สวดใหม่แบบ "อุกาสะฯ" ปรากฏว่าแต่ละคนติดของเก่าก็มี ติดความเคยชินตัวเองที่แก้ไม่ตกก็มี ก็เลยบอกให้ไปซ้อมใหม่ ถ้ากลับจากที่นี่ไปแล้วจะกลับไปซ้อมอีก เอาจนกว่าที่จะแก้ได้

เรื่องของการสวดมนต์นั้น ญาติโยมอย่าพยายามให้เกิดความเคยชินในทางที่ผิด อย่างเช่น นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ‘อะระหะโต’ ไม่ใช่ ‘อาระหะโต’ พวกเราจะเคยชินเป็น ‘อาระหะโต’ กันหมด

ผู้เข้าสอบพระอุปัชฌาย์รูปหนึ่ง ขึ้นนะโมฯ อยู่ ๑๖ รอบ โดนปรับตกไปเลย เพราะว่าท่านขึ้นนะโมฯ แล้วลงว่า ‘สัมมาสัมพุทตัสสะ’ ทุกครั้ง แก้ไม่หาย ให้แก้ตัวแล้วแก้ตัวอีกก็เหมือนเดิม

ส่วนท่านชาย เจ้าพ่อเกาะพระฤๅษีก็ตกเหมือนกัน เดี๋ยวกลับไปแล้วจะให้ไปซ่อมใหม่ เพราะออกเสียงว่า ‘สัม-มา-สัม-พุด-ถัด-สะ’ ตัว ‘ธ’ ต้องออกเสียงว่า ‘สัม-มา-สัม-พุด-ทัด-สะ’

เถรี 21-03-2016 14:53

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อเช้าบอกว่าเอาเหรียญของขวัญปีใหม่เข้าพิธี ๔,๐๐๐ องค์ ความจริงเป็น ๔,๐๐๒ องค์ มีเหรียญของคุณลูกเจนนี่อยู่ในย่ามอีก ๒ เหรียญ คุณลูกเขาฝากเงินมาทำบุญตั้งแต่งานสวดพระคาถาเงินล้าน ไม่ได้มารับสักที จึงติดย่ามหลวงพ่อไปเรื่อย ๆ"

เถรี 22-03-2016 14:36

ถาม : การที่คนเขียนเรื่องราวให้เขาแช่งชัก จะเป็นกรรมไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าเขียนให้เขาแช่งชักหักกระดูกก็เป็นกรรม ถ้าหากว่าเขียนให้เขาสรรเสริญก็เป็นบุญ

เถรี 22-03-2016 14:58

พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเราที่บอกว่าจะเปิดเทอมตามอาเซียน น่าจะได้เฉพาะระดับอุดมศึกษา แต่ก็ไม่ได้เหมาะกับบ้านเรา เพราะบ้านเราร้อนมาก ถ้าอากาศร้อนแล้วไปเรียนหนังสือโดยที่ห้องเรียนไม่มีเครื่องปรับอากาศก็จบกัน

อาตมาจำได้ว่าเรียนหนังสือตั้งแต่ชั้น ป.๑ จนถึง มศ. ๓ ไม่มีแม้แต่พัดลม เพราะสมัยโน้นเด็ก ๆ อึดมาก นั่งเรียนกันเหงื่อไหลไคลย้อยก็เอา ถึงเวลากลับบ้านคอเสื้อเป็นคราบเลย สมัยนี้โรงเรียนหลัก ๆ ส่วนใหญ่ติดเครื่องปรับอากาศให้ ปรากฏว่าเด็กกลับไม่สนใจการเรียน น่าเสียดายมาก

ที่อาตมาสอนเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ ปรากฏว่าในมหาวิทยาลัยสงฆ์ พระ เณร ตลอดจนฆราวาส ทุ่มเทให้กับการเรียนมากเป็นพิเศษ ถ้ามหาวิทยาลัยข้างนอกเราอาจเห็นเด็กเรียนบ้าง โดดเรียนบ้าง ถึงอยู่ในห้องเรียนก็อาจจะนั่งคุยบ้าง กินขนมหลังห้องบ้าง นั่งแต่งหน้าบ้าง แต่ของมหาวิทยาลัยสงฆ์ไม่มี เหตุที่ไม่มีเพราะว่าพระเณรส่วนใหญ่ที่มาเรียนมีโอกาสเรียนน้อยมาก จึงอยากเรียน พยายามไขว่คว้าหาโอกาสที่จะได้เรียน

เมื่อมาบวชแล้วหลวงพ่อครูบาอาจารย์ส่งเรียน ก็ทุ่มกันเต็มที่เลย เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เลยทำให้ต่างจากเด็กข้างนอกทั่วไป เด็กข้างนอกทั่วไปส่วนใหญ่พ่อแม่ตั้งใจส่งเรียน อดตาหลับขับตานอน ยิ่งเวลาสอบบางทีพ่อแม่เหนื่อยหนักกว่าลูกอีก เพราะต้องคอยลุ้น ส่งข้าว ส่งน้ำให้ลูก อ่านหนังสือ ซ้อมทำแบบฝึกหัด แต่ก็น้อยมากที่เป็นอย่างนั้น

ส่วนใหญ่แล้วก็นั่งเล่นเกม แชทไลน์ ออกไปแว้นกับเพื่อน คนที่มีโอกาสและพ่อแม่ทุ่มเทให้กลับไม่สนใจเรียน ส่วนคนไม่มีโอกาสก็ไขว่คว้าหาทางเรียนให้ได้ เมื่อได้โอกาสเข้ามาเรียนจึงทุ่มเทอย่างชนิดที่เรียกว่าเหลือเชื่อ...!"

เถรี 22-03-2016 15:00

"วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี ที่อาตมาสอนอยู่ที่วัดไร่ขิง ปีนี้มีลูกศิษย์จากจังหวัดตากมา ๔ รูป จากจังหวัดอุตรดิตถ์ ๕ รูป มาเรียนปริญญาโท ก่อนหน้านี้อาตมาเป็นนักศึกษา มจร. ที่มาเรียนไกลที่สุด คือเดินทางประมาณ ๓๐๐ กิโลเมตร ตอนนี้แพ้เขาราบเลย

ถามว่านักศึกษาจากตาก ทำไมไม่ลงวิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์ ? จากอุตรดิตถ์คุณเข้าวิทยาลัยสงฆ์พระพุทธชินราชที่พิษณุโลกก็จบแล้ว เขาบอกว่าปริญญาโทของที่นั่นไม่มีสาขาการจัดการเชิงพุทธ ที่ใกล้ที่สุดเป็นวัดไร่ขิง ปีนี้อาตมาก็เลยมีลูกศิษย์เป็นเจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภอ กับเจ้าคณะตำบล จากจังหวัดตากและอุตรดิตถ์มารวม ๙ รูปด้วยกัน นั่งคุยกันแล้วก็เห็นใจในความเพียรของท่าน ท่านตั้งใจว่าจะเปิดห้องเรียนทางด้านจังหวัดของตัวเอง แต่คราวนี้ว่าท่านจบปริญญาโทมาจากมหาวิทยาลัยข้างนอก ซึ่งไม่ใช่สาขาที่จะมาเป็นอาจารย์เองได้ ก็เลยต้องมาเรียนสาขาการจัดการเชิงพุทธเพื่อให้ตรงกับหลักสูตร เพื่อที่ตัวเองจะได้เป็นอาจารย์ประจำหลักสูตรได้เอง

ลองคิดดูว่าท่านต้องวิ่งจากจังหวัดตากมาวัดไร่ขิง มานอนค้างที่วัด ๓ คืน เรียนเสร็จแล้วก็วิ่งกลับไป ตอนที่อาตมาบอกว่าเดินทางมา ๓๐๐ กิโลเมตรเพื่อเรียน ครูบาอาจารย์เขาตกใจกันทุกคน แล้วเรียนแบบไม่เคยขาด ปรากฏว่าตอนนี้โดนทำลายสถิติไปเรียบร้อยแล้ว เด็ก ๆ ข้างนอกมีความพยายามแบบนี้บ้างไหม ?"

เถรี 22-03-2016 15:04

"วิธีที่โยมจะทำให้ลูกรักเรียนได้ อาตมาอยากยกตัวอย่างคุณติ๊ก (ถาวภักดิ์ ตียาภรณ์) ลูกสาวคุณติ๊กเรียนมหาวิทยาลัยอยู่สองคน ลูกชายเรียนมัธยมปลาย

เด็กสามคนนี้ วัน ๆ ก็หน้าทิ่มอยู่กับหนังสือ ไม่ไปไหนเลย พ่อเขาสอนให้รักการอ่าน รักการเรียนมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เด็กชอบอ่านหนังสือมาก ถ้าโยมสังเกตที่นี่จะมีนาทามลูกของคุณวรวรรณา หนังสือเล่มหนาอย่างนี้ หนูนาทามนั่งอ่านทั้งวัน ถ้าสามารถสอนลูกอย่างนี้ได้ เด็กจะเรียนดีทุกคน เพราะจิตใจเขาจดจ่อมุ่งมั่นอยู่ในลักษณะกระหายความรู้

อาจารย์ฐะปะนีย์ นาครทรรพ ท่านว่า เรียนเก่งเรียนอย่างไร เรียนด้วยใจหิววิชา อยากรู้ดูตำรา ยิ่งค้นคว้ายิ่งพาเพลิน ยิ่งเรียนยิ่งสนุก ผลักความทุกข์พ้นทางเดิน ไม่หิวไม่อิ่มเกิน ไม่ห่างเหินไม่โหมเอย" ใครทำแบบนี้ได้จะเรียนเก่งทุกคน

เถรี 22-03-2016 21:57

"อีกคนที่อยากยกตัวอย่างคือลูกสาวของอาตมาเอง ลูกอ้อย ตอนเด็ก ๆ เรียนไม่เก่ง แต่พอมาระดับประถมปลาย มัธยมต้น มัธยมปลาย ลูกอ้อยแซงเพื่อนรูดเลย พอเข้ามหาวิทยาลัย จบมาเรียนปริญญาโทคนแรก เหตุที่เป็นอย่างนั้นเพราะช่วงวัยรุ่นโดยปกติแล้วเด็กจะไปสนใจเพศตรงข้าม แต่อ้อยหน้าทิ่มอยู่กับหนังสือ เป็นคนที่รับมรดกหนังสือของอาตมาไปเยอะที่สุด ขนไปทีเป็นคันรถ อาตมาอ่านอะไรเขาก็อ่านด้วย

อาตมาเป็นคนอ่านหนังสือทุกแนว ลูกอ้อยก็อ่านอย่างนั้นด้วย เขาบอกว่าอ่านหนังสือตามหลังหลวงพ่อสบายดี เพราะตรงไหนผิดหลวงพ่อแก้ให้หมดแล้ว อาตมาทนเห็นของผิดไม่ได้ ฉะนั้น...หนังสือตรงไหนผิด จึงแก้ไปเรื่อย มีตัวหนังสือน้ำเงินบ้างแดงบ้าง เต็มไปทั้งเล่ม

ทำอย่างไรถึงจะให้เด็กของเรา โดยเฉพาะช่วงวัยรุ่น ทุ่มเทกับการเรียน แรงขับทางเพศเป็นพลังธรรมชาติที่เราต่อต้านและฝืนได้ยาก ก็ไม่ต้องไปฝืน แต่เปลี่ยนความสนใจเขาไป ให้เขาไปเล่นกีฬาก็ได้ ไปสนใจการเรียนก็ได้ ในเมื่อมีที่ให้ไปได้ ก็จะไม่ไปสนใจใส่ใจกับเพศตรงข้าม แต่จะไปใส่ใจกับการเรียนแทน"

เถรี 22-03-2016 21:59

"อาตมาสังเกตว่า ตัวเองจบชั้น ป.๔ อายุ ๑๒ ปี ไปเรียน ป.๕ ป.๖ ป.๗ ยังตัวแคระแกร็นแค่นี้ แต่เพื่อน ๆ ที่จบ ป.๔ แล้วออกไปไม่เรียนต่อ โตพรึ่บขึ้นมาเป็นหนุ่มเป็นสาวหมดเลย คล้าย ๆ กับว่าพอเราทุ่มเทใช้สมองไปกับการเรียน พัฒนาการทางเพศก็น้อยลง แต่บรรดาเพื่อน ๆ ที่ไม่ได้เรียน โตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมด พออาตมาขึ้นมัธยม พวกที่ไม่ได้เรียนหนังสือเขาก็แต่งงานกันหมดแล้ว แต่ของอาตมาอยู่ชั้นมัธยมยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพราะมัวแต่สนใจการเรียนอยู่

ก็แปลว่าร่างกายของเราปรับตัวเองได้ ถ้าคุณสนใจการเรียน ทุ่มเทพลังงานไปด้านนั้น ก็โตเป็นหนุ่มเป็นสาวช้า แต่ถ้าไม่สนใจการเรียน ไม่ได้ใช้สมองทุ่มเทกับการเรียน ก็โตเป็นหนุ่มเป็นสาวเร็ว คราวนี้พอเป็นหนุ่มเป็นสาวเร็ว แรงขับทางเพศก็แรง เพราะเป็นพลังในการสร้างโลก ถ้ากำลังใจไม่ดีพอ ไม่มุ่งมั่น สมาธิไม่ดีพอ เอาไม่อยู่สักราย ทำให้แทนที่จะสนใจการเรียน ก็ไปสนใจเพศตรงข้ามแทน แล้วก็จะก่อให้เกิดปัญหาท้องในวัยเรียน เสียอนาคต ไม่ได้เรียนต่อ

จึงสำคัญตรงพ่อแม่ ว่าทำอย่างไรให้ลูกรักการอ่าน รักการเรียน ยิ่งสมัยนี้มีสถานที่อย่าง ทีเค ปาร์ค สมัยอาตมามีที่ไหน มีแต่ท้องนาป่าเขา ต้องไปศึกษาเรียนรู้เอาเอง สมัยนี้มี ทีเค ปาร์ค มีพี่เลี้ยง มีอาจารย์คอยแนะนำคอยสั่งสอนให้ วันเสาร์วันอาทิตย์พาลูกพาหลานไปทิ้งไว้ได้เลย แทนที่จะปล่อยให้หัวทิ่มหัวตำอยู่กับไลน์อยู่กับเกม ไปที่โน่นยังได้เพื่อน ได้พัฒนาตัวเอง ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เขาสอนให้ทำโน่นทำนี่ บางคนสามารถพัฒนากลายเป็นวิชาชีพด้วยซ้ำไป"

เถรี 22-03-2016 22:00

"ปัจจุบันนี้สถานศึกษาแต่ละแห่ง จะมีวิสัยทัศน์ พันธกิจ ตลอดจนกระทั่งปณิธานของแต่ละที่ ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นคำพูดหรู ๆ เท่านั้น แต่ทำยาก เหตุที่ทำยากเพราะเด็กไม่สนใจเรียน ไปสนใจเพศตรงข้ามแทน

เนื่องจากว่าสมัยนี้การเข้าถึงสื่อต่าง ๆ ง่ายขึ้น ทำให้เด็กเรียนรู้เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ได้ง่าย ไม่เหมือนรุ่นสมัยอาตมา ๑๒-๑๓ ปี ยังแก้ผ้าโดดน้ำอยู่เลย ไม่รู้ว่าผู้หญิงผู้ชายต่างกันตรงไหน โมโหขึ้นมาก็วางมวยกันปากแตกตาเขียวทั้งผู้หญิงผู้ชาย"

เถรี 22-03-2016 22:01

ถาม : ถวายทองคำ สร้างพระทองคำครับ พระทองคำที่จะสร้างนี้มีอานุภาพด้านไหนครับ ?
ตอบ : ตามที่ท่านบอกไว้ว่า ถ้าสร้างเสร็จประเทศชาติจะดีขึ้น ก็แปลว่าพวกเราต้องรอถึงปี ๖๒ เราจึงจะดีขึ้น ท่านบอกให้อาตมาเตรียมตัวมาเป็น ๑๐ ปีแล้ว

เถรี 23-03-2016 11:07

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ทางวัดเริ่มบวชสามเณรภาคฤดูร้อนอย่างเป็นทางการ ปรากฏว่าความโหดของวัดท่าขนุนเป็นที่เลื่องลือ ปีนี้จึงมีเด็กสมัครมาแค่ ๘ คน จากที่เดิมอาจารย์เขาบังคับมาเป็นร้อย ๆ คน ปีนี้ให้สมัครเอง เนื่องจากอาตมาตั้งใจว่าพอบวชครบ ๑๐ วัน วันสึกจะให้ทุนการศึกษาทุกคน ต่อให้สมัครมาเป็นร้อย ก็จะให้ทั้งร้อย ปรากฏว่าแต่ละคนแหยงสายไฟฟ้า โดนตีจนกระทั่งเป็นที่เลื่องลือ

น่าเสียดายที่พ่อแม่ของเขาต่อยอดไม่ได้ เพราะเวลาออกจากวัดไปนี่เรียบกริบเลย เป็นระเบียบเรียบร้อยทุกอย่าง พูดอะไรรู้ฟังหมด ทำงานทำการได้ทุกอย่าง กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างจาน กลับบ้านไปไม่กี่วันเหมือนเดิมอีกแล้ว เพราะว่าพ่อแม่มักจะไปบริการลูก ไปทำงานแทน ไม่ใช้ลูก ในเมื่อไม่ใช้ลูก ลูกก็สบาย ท้ายสุดก็เป็นเหมือนเดิม วัดฝึกออกไปดีขนาดไหน กลับไปไม่นานก็เป็นเหมือนเดิม แต่คาดว่าปีนี้ถ้าพวกที่บวชได้รับทุนการศึกษาไป ปีหน้าคงมีคนยอมเสี่ยง ถึงเจ็บตัวหน่อยแลกกับ ๒,๐๐๐ – ๓,๐๐๐ บาทก็ยอม"

เถรี 23-03-2016 11:10

"ส่วนใหญ่พ่อแม่ทำใจไม่ได้ที่จะตีลูก อาตมาตีเด็ก พ่อแม่บางคนนั่งร้องไห้เลย แต่ก็ยังอุตส่าห์บอกว่าดีที่หลวงพ่อตี เพราะผมเองไม่กล้าตี วันก่อนบวชเณร ๑๗๐ กว่ารูป เณรต่อยกัน อาตมาเลยตีต่อหน้าพ่อแม่เลย ถามว่ารับได้ไหม? เขาบอกว่าถ้าตัดสินยุติธรรมแบบนี้รับได้ครับ เด็กหาเรื่องทะเลาะ...ต่อยกัน อาตมาฟาดทั้งสองฝ่าย

มีคนเขาสงสัยว่าเวลาอาตมาพูด ทำไมพระ เณร หรือแม่ชี ฟัง ในขณะที่คนอื่นว่าแล้วเขาไม่ฟัง ญาติโยมสงสัยบ้างไหม ? ที่เขาฟังเป็นเพราะว่ากำลังของอาตมาสูงกว่า คำว่า "กำลังสูงกว่า" ตรงนี้คือกำลังสมาธิสูงกว่า ในเมื่อกำลังสมาธิสูงกว่า การแสดงออกทาง กาย วาจา ใจ จะเหนือกว่า เหมือนแม่เหล็กดูดเศษเหล็ก เศษเหล็กไม่ได้อยากวิ่งเข้าหาแม่เหล็กหรอก แต่ทานแรงแม่เหล็กไม่ได้ ก็โดนดึงเข้ามาเอง

ฉะนั้น...ถ้าญาติโยมอยากจะพูดแล้วให้ลูก ๆ ฟัง หรือเป็นครูบาอาจารย์อยากพูดให้เด็กยอมฟัง ต้องทำสมาธิให้มากเข้าไว้ ถ้าสมาธิดีกว่า อาตมายืนยันว่าพูดอะไรลูกก็ฟัง เพราะข่มกันอยู่"

เถรี 23-03-2016 11:12

"ลูกศิษย์เก่าแก่ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านหนึ่ง คือ พี่ขวัญ (เยาวลักษณ์ มิตรศรัทธา) สนิทสนมคุ้นเคยกัน เขาก็นิมนต์ไปเจริญพระพุทธมนต์ไปฉันเพลที่บ้าน ก็มีหลวงตาวัชรชัยไป มีพระรูปอื่นไป รวม ๙ รูปด้วยกัน ปรากฏว่าการ์ตูน ลูกสาวพี่ขวัญ ตอนนั้นยังเด็กอยู่ ด้วยความที่ใกล้ชิดสนิทสนมเห็นพระเป็นปกติ การ์ตูนเห็นก็ลืมตัว วิ่งมายื้อจีวรอาตมา จะตะกายขึ้นตัก พี่ขวัญเห็นก็ดุลูกเสียงดังเลยว่า "ต่อไปอย่าทำอย่างนั้นอีก หลวงน้าเป็นพระ เราเป็นผู้หญิง จะทำอย่างนั้นไม่ได้"

ปรากฏว่านอกจากลูกเงียบฉี่แล้ว พระเกือบทั้งหมดยังเงียบฉี่ไปด้วย จนอาตมาเห็นว่าบรรยากาศจะเคร่งเครียดเกินไป เลยต้องเปลี่ยนเรื่องไปเป็นเรื่องอื่นแทน นั่นแสดงว่ากำลังใจของพี่ขวัญสูงกว่าพระอีก ขนาดพระยังเงียบไปด้วยเลย ทั้ง ๆ ที่ดุลูกนะ พระอ้าปากไม่ขึ้นไปด้วย ในเรื่องอย่างนี้เห็นผลมาแล้ว

ฉะนั้น...ญาติโยมที่เป็นเจ้านายก็ดี เป็นครูบาอาจารย์หรือเป็นพ่อแม่เลี้ยงเด็กเลี้ยงลูก ต้องทำสมาธิเข้าไว้ ถ้าสมาธิของเราสูงกว่า กำลังจะสูงกว่า กาย วาจา ใจ เหมือนมีอำนาจมากกว่า ถึงเวลาก็ดึงดูดคนรอบข้างให้คล้อยตามมาเอง จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องของหญ้าปากคอก แต่พวกเรามักจะไม่ได้นึกถึงกัน"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:10


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว