![]() |
ถาม : ในขณะที่อยู่ในอรูปฌาน ทำไมจึงรู้สึกว่าร่างกายไม่มี ?
ตอบ : ความรู้สึกของเราไม่จับอยู่ที่ร่างกาย แต่ไปจับอยู่ที่ความว่าง หรือความไม่มีอะไรเลยแม้แต่น้อยหนึ่ง ก็เลยพลอยรู้สึกเหมือนกับไม่มีตัวตนไปด้วย เพราะว่าตัวตนนี่เขาถือเป็นรูป ในเมื่อรูปในส่วนที่ละเอียดคือรูปในกองกสิณ รูปในสมาธิเรายังไม่เอา รูปอย่างอื่นเลยพลอยไม่เอาไปด้วย ถาม : ในรูปฌานเหมือนกับมีรูปอยู่ คราวนี้ถ้าอรูปฌาน ตอบ : ถ้าจับเรื่องกสิณจะเห็นชัด เพราะว่าเราต้องอาศัยรูปกสิณเป็นนิมิต เมื่อถึงเวลาไปจับอรูปฌานก็ต้องทิ้งรูปกสิณที่เป็นนิมิตนั่นเสียก่อน ไปจับความไม่มีอะไรของอากาศ ไปจับความว่างของวิญญาณที่ว่าแม้อากาศจะว่างก็จริง แต่ความรู้สึกของเรายังครอบคลุมได้อยู่ ฉะนั้น..ความรู้สึกคือวิญญาณของเรากว้างไกลกว่า ก็ไปยินดีตรงนั้นแทน ท้ายที่สุดกระทั่งอะไรสักอย่างหนึ่งก็ไม่เอา ก็เลยกลายเป็นว่าสภาพจิตของเราในเมื่อไม่ยินดีในรูปอยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้สนใจร่างกายไปด้วย ความรู้สึกก็เลยเหมือนกับไม่มีร่างกายไปด้วย ถาม : (ไม่ชัด) ตอบ : ถ้าจะนับจริงก็คือว่าในฌานช่วงแรก ๆ ยังมีความรู้สึกชัดเจนอยู่ แต่ว่าไม่ได้ไปใส่ใจเท่านั้น จนกระทั่งพอถึงฌานสี่ขึ้นไป ความรู้สึกจะรวมอยู่จุดใดจุดหนึ่งเฉพาะ สว่างไสวอยู่ตรงนั้น ถ้าตอนนั้นนี่จะลืมหมดทุกอย่างเลย อยู่กับความสงบ ความเยือกเย็น ความสว่างนั้นเท่านั้น ถ้าไม่ได้คิดถึงร่างกาย ไม่ได้ให้ความสนใจร่างกายก็คือไม่มีร่างกายนี้ เพราะว่าสภาพจิตไม่เอาในส่วนภายนอก |
ถาม : ที่เขาบอกว่าบุคคลผู้ประกอบด้วยเหตุ ๓ กับบุคคลผู้ประกอบด้วยเหตุ ๒ ต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : เราใช้คำว่าเหตุนี่หมายถึงอะไร ? ถาม : ถ้าเป็นเหตุ ๓ คืออโลภะ อโทสะ อโมหะ กับเหตุ ๒ คือ อโลภะ กับ อโทสะ ตอบ : แล้วคำถามคือว่า...? ถาม : จะต่างกันอย่างไรครับ ? ตอบ : ก็เห็นชัดเจนอยู่ตรงตัวสุดท้ายว่า ถ้าเป็นบุคคลที่ประกอบไปด้วยเหตุ ๓ จะมีปัญญามากกว่า เพราะว่าเหตุ ๒ ตัวโมหะละไม่ได้ โมหะเป็นตัวบดบังปัญญาที่ชัดเจนที่สุด อาจจะเป็นว่าถึงคุณไม่มีความโลภ ถึงคุณไม่มีความโกรธ แต่ว่าคุณยังมีความหลงติด ยังยึดติดอยู่ เรื่องอย่างนี้จะสังเกตได้ง่ายถ้าปฏิบัติไปถึง ต้องอาศัยตัวปัญญาเป็นเครื่องสังเกต ถ้าประกอบไปด้วยปัญญาชัดเจน มีความแคล่วคล่อง มีความแกล้วกล้า ไม่ได้ไปหลงยึดติดอะไรง่าย ๆ ถ้าอย่างนั้นต้องบอกว่าเหตุ ๓ เข้าถึงมรรคเที่ยงแท้แน่นอนกว่า ถาม : ปัญญาในการทำงานหรือเปล่า ? ตอบ : นั่นเขาเรียกว่าปัญญาทางโลก เป็นปาริหาริกปัญญา ปัญญาทางธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นเนปักกปัญญา เป็นปัญญาในการประพฤติปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจากวัฏสงสารโดยเฉพาะ ถาม : ปัญญาทางโลกนี่เกิดจากอำนาจของโลภะหรือเปล่าครับ ? ตอบ : เกิดจากการสั่งสมมา จะว่าไปแล้วก็มาจากโมหะ เพราะว่าเรายังเกิดอยู่แสดงว่ายังมีโมหะอยู่เต็ม ๆ หลังจากเกิดมา สภาพจิตได้รับการย้อมขึ้นมา รัก โลภ โกรธ หลงอื่น ๆ ก็จะตามมาอีกมากมาย |
ถาม : ในโลกมนุษย์มีบุคคลที่ไม่สมประกอบ แล้วในเทวดามีบุคคลไม่สมประกอบไหมครับ ?
ตอบ : ในเรื่องของกายเทวดานั้น เป็นไปตามบุญก็ถือว่าสมบูรณ์บริบูรณ์ เพียงแต่ว่าบุญนั้นมากน้อยต่างกัน สภาพของขันธ์ก็เลยเสื่อมลงช้าเร็วกว่ากัน ฉะนั้น..ในส่วนของขันธ์ท่านสมบูรณ์บริบูรณ์ตามบุญของท่านอยู่แล้ว แต่ว่าในส่วนของปัญญานั้นต่างไปตามการอบรมมา ถ้าไม่เคยชินกับ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็มักจะหลงระเริงอยู่กับทิพยสมบัติจนโงหัวไม่ขึ้น ไม่มีประเภทพิการขาดตกบกพร่องเหมือนกับมนุษย์เรา มนุษย์เราเศษกรรมยังตามได้มาก ส่วนเทวดาเศษกรรมตามท่านตอนนั้นไม่ได้ แต่กรรมรออยู่ ถ้าท่านพ้นจากเขตนั้นเมื่อไรค่อยตามสนองใหม่ ถาม : หมายถึงว่าเวลาเป็นเทวดานี่อกุศลไม่ส่งผล ? ตอบ : หยุดให้ผลชั่วคราว หมดบุญเมื่อไรค่อยว่ากันใหม่ |
ถาม : ตอนที่เกิดสงครามระหว่างอสูรกับเทวดา เป็นเพราะอกุศลกรรมหรือเปล่า ?
ตอบ : จะบอกว่าเป็นวิบากก็ส่วนหนึ่ง เพราะเกิดจากโทสะ พวกบรรดาอสูรเขานึกถึงได้เมื่อไรก็โกรธเมื่อนั้น เลยไปทวงคืน เพราะเขาเคยเป็นใหญ่มาก่อน ถาม : เวลาโกรธจะจุติเลยใช่ไหมคะ ? ตอบ : ใช่..แต่คราวนี้ในส่วนอสูรนั้นคือว่านึกถึงเมื่อไรก็สวรรค์เคยเป็นของเรา เราต้องไปเอาคืน เรื่อง รัก โลภ โกรธ หลง ยังมีทั้งนั้นแหละ แต่ว่ามีมากมีน้อยต่างกัน ถ้าเป็นเทวดาในกามาวจรก็ยังเสวยผลใน รัก โลภ โกรธ หลง อยู่เต็ม ๆ แต่ว่าท่านที่สั่งสมบุญ สั่งสมบารมีมาก็เป็นไปตามวาสนาบารมีของตน รัก โลภ โกรธ หลง ก็น้อยลงไปตามลำดับ หลายท่านก็เป็นพระอริยเจ้าไปเลย |
ถาม : เทวดาข้ามไปฝั่งพรหมได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าท่านที่มีพื้นฐานการทรงฌานมาก่อน แต่ตอนตายไม่ได้เข้าฌานตาย หากว่าพ้นจากเขตเทวดาจะไปเป็นพรหมตามกำลังที่ตนเองเคยทำได้ แต่ว่าโดยทั่ว ๆ ไปแล้ว ถ้าเจ้าของไม่อนุญาตจะเข้าไปไม่ได้ ชั้นสูงกว่าลงมาชั้นต่ำกว่าได้ ชั้นต่ำกว่าจะขึ้นไปต้องได้รับอนุญาตก่อน เหมือนกับว่ากำลังของตัวเองมีแค่นั้น เราสามารถกระโดดข้ามรั้วได้ ๑.๕๐ เมตร ถ้ารั้วสูงกว่านั้นก็ไปไม่ได้ ต้องรอเจ้าของรั้วพาดบันไดมาให้ ถาม : แล้วเทวดาชั้นดาวดึงส์ไปยามาก็... ? ตอบ : ทุกเขตของเขาจะมีในลักษณะตามกำลังบุญของตนอยู่ ฉะนั้น..ท่านที่ระดับสูงกว่าสามารถไปไหนก็ได้ แต่ถ้าต่ำกว่าจะขึ้นขั้นสูงกว่าต้องรอเขาอนุญาต ถาม : แล้วเทวดาไปชั้นอรูปพรหมได้ไหมครับ ? ตอบ : ไม่รู้ว่าจะไปทำไม เพราะกำลังของตัวเองไม่ได้ทำมาอย่างนั้น จึงหาประตูไม่เจอ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเองท่านก็ไม่ไปให้เสียเวลาหรอก มีแต่พวกเราไปฟุ้งซ่านคิดแทนท่าน ถ้าอยากรู้ อยากเห็น อาศัยความเป็นทิพย์ท่านก็สามารถที่จะรู้เห็นได้เลย จึงไม่ต้องเสียเวลาไป แต่ถ้าเป็นชั้นที่สูงกว่าตนเอง ความละเอียดของเขามีกว่ามาก ชั้นที่ต่ำกว่าก็ไม่สามารถที่จะรู้เห็นได้ ต้องรอชั้นที่สูงกว่าท่านแสดงให้ ถ้าเป็นสมัยนี้คงประเภทโทรศัพท์หรือโทรทัศน์ ที่เป็นคนละคลื่นหรือคนละช่องกัน |
ถาม : มโนมยิทธิไปด้วยกายหรือใจ ?
ตอบ : ถ้าไปแบบเต็มกำลังจริง ๆ เหมือนกับเอาตัวนี้ไปเลย แต่ว่าไม่ใช่ตัว..ยังเป็นแค่ใจ แต่การรับรู้ทุกอย่างชัดเจนเหมือนกับเอาตัวจริงไป เพียงแต่ว่าสุดยอดของมโนยิทธิอย่างพระจูฬปันถก ท่านถอดออกมาเหมือนตัวจริง อย่างลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษีลิงดำที่ทำได้ เวลาถอดกายในไป ถ้าไม่ใช่พวกอภิญญาจะไม่เห็นกัน แต่ว่าหลวงพ่อพระจูฬปันถกนี่ ท่านสามารถแสดงให้คนทั่วไปเห็นท่านได้ เห็นเป็นกายหยาบ ท่านถึงได้เป็นเอตทัคคะคือสุดยอดในด้านนี้ อย่างเวลาขึ้นไปข้างบน ไปกราบพระหรือว่ากราบพ่อแม่ครูบาอาจารย์จำนวนมากมาย ถ้ามัวแต่กราบทีละคนก็พอดีแหละ สิ้นชีวิตเสียก่อนไม่รู้จะกราบครบหรือเปล่า ก็ต้องใช้วิธีแยกกราบทีเดียวพร้อมกัน จะเป็นพันเป็นหมื่นกายก็ได้ในความเป็นทิพย์ แต่คราวนี้ว่าพระจูฬปันถกท่านทำเป็นกายหยาบได้เลย บาลีบอกว่าลักษณะเหมือนกับเหมือนชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง ถาม : แต่ละคนสามารถทำหน้าที่คนละอย่าง ? ตอบ : สามารถทำคนละอย่างได้ด้วย ถาม : ทำอย่างไร ? ตอบ : ในความเป็นทิพย์ลักษณะอย่างนั้นท่านอธิษฐานไว้ ว่าแต่ละกายจะให้ทำอะไรบ้าง ต้องมีการตั้งใจไว้ก่อน ถาม : ถ้าเป็นพันกายไม่อธิษฐานเป็นพันครั้งหรือครับ ? ตอบ : ในความเป็นทิพย์แค่นึกก็เป็นแล้ว ถาม : ตำราเขาบอกว่าเนรมิตกายอื่นนอกจากกายนี้ ? ตอบ : สภาพจิตก็คืออารมณ์ที่ควบคุม เหมือนกับแบ่งการควบคุมเป็นหลาย ๆ ส่วน คล้ายกับถึงเวลาก็ต่อสายแยก ให้ไฟฟ้าไปในสายเส้นโน้นบ้างเส้นนี้บ้าง แต่ว่าตัวควบคุมใหญ่ก็คือคัตเอาท์ |
ถาม : มีผู้หญิงคนหนึ่งมาติดพันเรา และเขาก็มีครอบครัวด้วย ผมเลยปฏิบัติไม่ค่อยได้ ไม่รู้จะทำอย่างไร บางครั้งผมพยายามจะลืมเขาแต่ก็ลืมไม่ได้ครับ ?
ตอบ : วาระกรรมที่เข้ามา บางทีก็มีการผูกกรรมกันชั่วคราว ต้องตั้งใจทำสมาธิให้ได้ เพราะว่าการที่จะตัดใจ การที่หักห้ามใจตัวเอง ต้องมีกำลังของสมาธิช่วย ถ้ากำลังสมาธิทรงตัวจะตัดได้ชั่วคราว พอพ้นวาระไปเขาก็จะไม่มีอิทธิพลกับเราอีก แต่ถ้ายังไม่พ้นวาระ จำต้องอาศัยกำลังสมาธิช่วยอย่างมาก ถาม : เราก็พยายามจะตัดใจ ? ตอบ : นั่นแหละ..ทุกอย่างลงตรงสมาธิอย่างเดียว ถ้าสมาธิทรงตัวก็สามารถถอนตัวออกมาได้ง่าย ตัดใจได้ง่าย ถ้าสมาธิไม่พอ กำลังที่จะถอนตัวไม่มี ก็จะติดหล่มไปเรื่อย เพราะฉะนั้น..พยายามทำสมาธิกลับมาให้ได้ ถาม : บางครั้งก็ใช้วิธีแผ่เมตตาบ้างก็ได้ชั่วคราว ขอบารมีพระบ้าง ก็ได้ระยะหนึ่ง พอเขาคุยกับเรา ก็ไม่ได้อีก ? ตอบ : จะเอายั่งยืนจริง ๆ ต้องกำลังของเราเอง เพราะฉะนั้น..ให้เอาสมาธิคืนมาให้ได้ ถาม : พอเจอเรื่องพวกนี้จอดเลยครับ ? ตอบ : ไม่ต้องสงสัย ฤๅษียังฌานเสื่อม กำลังเหาะผ่านอุทยานแท้ ๆ เห็นสาวสรรกำนัลในกำลังเล่นน้ำอยู่ มัวไปสนใจด้านโน้นสมาธิคลาย..ร่วงเลย |
ถาม : เวลาสมาธิเสื่อม ต้องพิจารณาว่า..?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับการระงับยับยั้งของแต่ละคน ถ้าสามารถระงับยับยั้งได้ก็ไม่ล่วงศีลล่วงธรรม ถ้าระงับยับยั้งไม่ได้ กำลังกิเลสที่ตีกลับมานี่หนักกว่าเดิมหลายเท่า เพราะว่าเก็บกดมานาน ในเมื่อเป็นลักษณะอย่างนั้นก็จะอยู่ในลักษณะเดียวกับบรรดาอาจารย์ต่าง ๆ ที่เป็นข่าวเป็นคราวกัน เห็นว่าวันก่อนเพิ่งจะตายใช่ไหม ? ตายเร็วจัง จะว่าไปอายุ ๖๐ ก็มากแล้วนะ แต่ประเภทยังรู้จักกันหลัด ๆ เลยไปเสียแล้ว ใหม่ ๆ ท่านไปกราบหลวงพ่อวัดท่าซุง พวกเราเห็นบริวารท่านไปกันมาก ก็เลยถามหลวงพ่อท่านว่า "องค์นี่ถึงระดับไหนครับ ?" หลวงพ่อท่านหัวเราะแล้วบอกว่า “อาจารย์ทรงได้แค่ฌาน ๒ ลูกศิษย์ฌาน ๔ ตั้งหลายคน” แสดงว่าลูกศิษย์เก่งกว่า |
ถาม : พอแจ้งพระนิพพานแล้ว ก็เอาพระนิพพานครอบกายของเราไว้ ?
ตอบ : พระที่ท่านทำถึงพระนิพพาน ไม่มีท่านใดทิ้งพระนิพพาน ต้องยึดพระนิพพานเป็นหลักอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น..กำลังสมาธิมีเท่าไรก็อาศัยเกาะพระนิพพาน ไม่อย่างนั้นจะไปเกาะสมาธิแทน กลายเป็นยึดรูปราคะอรูปราคะไป แต่ถ้าเกาะพระนิพพานก็เป็นอุปสมานุสติ ก็ถือว่าเกาะในส่วนที่ถูกต้อง แต่ว่าท้ายสุดก็ต้องปล่อยอยู่ดี ตอนท้ายสุดอย่าเพิ่งไปพูดถึงเลย ถาม : แล้วที่บอกว่าต้องพิจารณาก่อน ? ตอบ : ในส่วนของบุคคลที่ไม่ชำนาญต้องพิจารณาก่อน ถ้าท่านที่ชำนาญนี่แค่คิดก็รู้รอบ ท่านก็เข้ายาวไปเลย |
ถาม : ถ้าเคยได้มรรคผลในฌานอะไร ผลสมาบัติก็ได้แค่ฌานนั้นหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระโสดาบันขึ้นไปก็ตั้งแต่ปฐมฌานละเอียด ซึ่งจะต่ำกว่านั้นไม่ได้ อย่างเช่นถ้าปฐมฌานของเราหยาบ ก็ไม่สามารถที่จะเป็นพระโสดาบันได้ เพราะกำลังไม่พอในการตัดกิเลส ดังนั้น..ต้องบอกว่าเริ่มนับต่ำสุดกันแค่นั้น แต่ถ้าใครมีต้นทุนของฌานสี่หรือว่าสมาบัติแปดก็ถือว่ามีเงินเยอะ ลงทุนได้ ถาม : แล้วการเข้าสมาบัติแปดในเนวสัญญาฯ เอามาพิจารณาเป็นวิปัสสนาญาณได้ไหมครับ ? ตอบ : ถึงเวลาก็ต้องคลายออกมาพิจารณาวิปัสสนาญาณแทน เนวสัญญานาสัญญายตนะนั้นเปรียบไปแล้วคล้าย ๆ กับสังขารุเปกขาญาณ แต่สังขารุเปกขาญาณนั้นวางเฉยเพราะปัญญารู้แจ้งเห็นจริงว่าเป็นทุกข์เป็นโทษอย่างไร ส่วนเนวสัญญานาสัญญาตยนะนั้น วางเฉยเพราะกำลังสมาธิกดไว้ |
ถาม : พิจารณาไตรลักษณ์ ?
ตอบ : ต้องพิจารณาเป็นปกติอยู่แล้ว อยู่ในลักษณะที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายได้ ในเมื่อยึดถือมั่นหมายไม่ได้ก็ไม่เอาเสียเลย ถ้าลำพังปฏิบัติตามแบบปฏิบัติของนักบวชนอกพุทธศาสนา ของท่านก็แค่ไม่ใส่ใจเท่านั้น แต่คราวนี้ว่าพุทธศาสนาของเรามีต่อยอดด้วยวิปัสสนาญาณ จึงไปได้ไกลกว่า ถาม : เนวสัญญาฯ จะพิจารณาอย่างไร ? ตอบ : เขาใช้คำว่ามีสัญญาเหมือนไม่มี ก็คือรู้สึกก็ไม่รู้สึก สนใจก็ไม่สนใจ แต่ถ้าจะพิจารณาวิปัสสนาญาณ อย่างน้อยต้องลดลงมาในส่วนของรูปฌาน ไม่อย่างนั้นแล้วจะพิจารณาไม่ได้ |
ถาม : เหตุแห่งธรรมทั้งหลายทั้งปวงมีไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีแล้วจะมาได้อย่างไรล่ะ ? ถ้าหากว่าเหตุแห่งธรรมทั้งหลายทั้งปวงจริง ๆ มาจากอวิชชา คือความไม่รู้ อย่าลืมว่าคำว่าธรรมก็คือธรรมชาติ ถ้าเราต้องการรู้ในส่วนของธรรมที่ดี ก็ต้องสร้างปัญญาให้เกิด ถ้าในส่วนที่ไม่ดีนี่อวิชชาครอบงำหมดทุกอย่างอยู่แล้ว ก็เลยกลายเป็นว่าในส่วนของปัญญานี่จะต้องลำบาก เหมือนกับว่าจะต้องฝ่าฝันผ่านความมืดมาตลอด จนกว่าที่จะทะลุผ่านไปได้ แต่ว่าตัวอวิชชาจริง ๆ ครอบงำอยู่ตั้งแต่ต้น ดังนั้น..ถ้าแยกธรรมของเป็นกุศลธรรมกับอกุศลธรรมก็จะง่าย ก็กลายเป็นว่าอวิชชาครอบงำในอกุศลธรรมทั้งหมด ส่วนวิชชาซึ่งก็คือปัญญาก็จะเป็นตัวครอบงำในกุศลธรรมทั้งหมดเหมือนกัน ถาม : ฝ่ายกุศลธรรมอย่างที่เราขวนขวายทำบุญโดยที่ไม่รู้ก็มีใช่ไหมครับ ? ตอบ : เราจะทำโดยรู้หรือไม่รู้ ถึงเวลากุศลก็ส่งผลให้ ในเมื่อกุศลแปลว่าส่วนของความฉลาด ส่งผลมาแล้วเกิดความสุข ความสบาย ก็จะเกิดปัญญาในลักษณะโลกิยปัญญาขึ้นมาก่อน ว่าสิ่งนี้ดีกับเรา เราควรทำต่อ จนกระทั่งพอสั่งสมไป ๆ ปัญญามากขึ้น เริ่มก้าวเข้าสู่ระดับโลกุตระก็จะรู้ว่าส่วนไหนควรละ ส่วนไหนควรเลือกไว้ แล้วท้ายที่สุดปัญญามาเต็มที่ ก็ปล่อยวางได้ทั้งหมด ถาม : แล้วเหตุแห่งพระนิพพาน ? ตอบ : พระนิพพานอยู่นอกเหตุเหนือผล คือไม่สามารถที่จะอธิบายได้ |
ถาม : งาช้างเป็นวัตถุอนามาสไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เป็น ถาม : เพราะ ? ตอบ : ไม่ได้เป็นอัญมณี แต่ว่าวัสดุบางอย่าง เช่น กล่องเข็มของพระ ท่านห้ามทำด้วยงาช้าง เพราะว่าบางคนจะหาว่าไปสนับสนุนเขาให้ฆ่าช้าง เป็นเภทนกปาจิตตีย์ ก็คือต้องทุบทิ้งก่อนถึงจะแสดงอาบัติตก ปัจจุบันนี้ทาง คสช.ขอให้คณะสงฆ์ออกคำสั่ง ห้ามพระภิกษุสามเณรทำวัตถุมงคลด้วยอวัยวะของสัตว์ป่าสงวน หรือสัตว์ป่าคุ้มครอง ไม่เป็นไรหรอก..ห้ามก็ห้ามไปเถอะ เพราะรู้สึกว่าห้ามมาแต่ละอย่าง ไม่ค่อยจะได้ผลทั้งนั้นแหละ ถาม : แต่ถ้าอัญมณีเป็นใช่ไหมครับ ? ตอบ : เป็น....เงิน ทอง สิ่งที่ใช้แทนเงินทอง แก้วมณี ข้าวเปลือกหรือผลไม้ที่เกิดอยู่กับที่ อาวุธทุกชนิด เครื่องประโคม (ดนตรี) ทุกชนิด แล้วก็เครื่องจับสัตว์ทุกชนิด สมัยก่อนข้าวเปลือกเขาถือเป็นทรัพย์อย่างหนึ่ง เอาไปแลกของกันได้ ส่วนผลไม้ที่เกิดอยู่กับที่ เขากลัวว่าจะตั้งใจขโมยก็เลยห้ามจับ ข้าวเปลือกจะใช้แลกอะไรก็ได้ เพราะคนต้องกินข้าวนี่ ถาม : พวกนี้ปรับปาจิตตีย์หรือครับ ? ตอบ : ปรับทุกกฎก่อน แล้วดูว่ามีห้ามในส่วนอื่นอีกหรือไม่ ? |
ถาม : ภพหรือที่เกิด ?
ตอบ : ในส่วนของภพเกิดจากตัวตัณหา ในเมื่อตัณหาคือความอยาก ก็เกิดอุปาทานยึดมั่น พอยึดมั่น ที่ ๆ ยึดก็คือภพ ภพก็คือสถานที่เกิด ถ้าไม่ยึดก็ไม่เกิด ต้องบอกตัณหาเป็นอดีตเหตุ เรื่องของภพเป็นปัจจุบันผล คราวนี้ในเมื่อเกิดความอยากขึ้นมา ก็ไปยึดมั่นถือมั่น พอยึดมั่นถือมั่นต้องมีที่ให้ยึด..ใช่ไหม ก็ตรงที่ยึดนั่นแหละที่ทำให้เกิด ถาม : แดนสวรรค์ก็เป็นดินแดนที่ดี บุคคลไปเกิดตามที่กรรม ถ้าอย่างนั้นแล้วดินแดนนั้นก็เป็นกรรมของเขาหรือครับ ? ตอบ : เป็นไปตามวาระ ถ้าไม่มีคนทำดี แดนเหล่านั้นก็ไม่มี ถ้ามีคนทำดีระดับนั้น แดนเหล่านั้นก็เกิดขึ้นเพื่อรองรับ ต้องบอกว่าจริง ๆ แล้วพวกเราเก่งนะ สร้างภพภูมิต่าง ๆ ขึ้นมาเองทั้งนั้นเลย ถาม : อย่างมีช่วงหนึ่งที่แดนสุทธาวาสพรหมไม่มี ? ตอบ : ถ้าโลกว่างเว้นจากหลักธรรม พระอริยเจ้าไม่ปรากฏ สุทธาวาสพรหมก็ไม่รู้จะไปรองรับอะไร โดยเฉพาะพระระดับอนาคามี ตอนนั้นโลกคงเฉาน่าดูเลย ถึงได้ว่าพอปรากฏพระอริยเจ้าขึ้นนี่ พรหมเทวดาท่านตื่นเต้น โมทนาสาธุการสะท้านสะเทือนไปเป็นหมื่นโลกธาตุเลย |
ถาม : เวลาขอให้พระพุทธเจ้าช่วยหรือขอให้เทวดาช่วย ขอได้ไหมครับ ?
ตอบ : ใครก็สามารถขอได้ ถ้าขอด้วยความเคารพ แต่เพียงแต่ว่าการขอต้องมีต้นทุนเพียงพอ ถ้าเราไม่มีต้นทุนเป็นเหตุรองรับเพียงพอ ผลก็ไม่เกิด อย่างที่เคยเปรียบเทียบไว้ว่า เรามีน้ำอยู่หน่อยเดียว เติมเท่าไรก็ไม่เต็มขันเสียที อย่างนั้นขอเท่าไรก็ไม่ได้ผล ถ้าอย่างน้อยเรามีน้ำเกือบเต็มขัน ก็แปลว่าเราสร้างเหตุรองรับไว้เพียงพอ ถ้าอย่างนี้ขอแล้วจะได้ |
ถาม : ก่อนพระพุทธเจ้าปรินิพพานแสดงนิมิตให้พระอานนท์หลายครั้ง ?
ตอบ : พระอานนท์ท่านติดตามใกล้ชิดอยู่ ถึงเวลาแล้วเป็นคนที่ควรจะรู้ อาจจะเป็นเพราะว่าพระอานนท์ท่านละเอียดที่สุด ช่างสังเกตที่สุด แต่ถึงจะช่างสังเกตขนาดนั้น ต้องบอกว่าวาระกรรมมาถึงจริง ๆ แสดงเท่าไรท่านก็ไม่ได้ใส่ใจ ขนาดเปรียบเทียบให้ฟังชัด ๆ ว่า เกวียนที่เก่าคร่ำคร่า จวนหมดสภาพ ยากแก่การซ่อม ควรจะซ่อมดี หรือควรที่จะเปลี่ยนเกวียนใหม่ดี ท่านยังกราบทูลว่าเปลี่ยนเกวียนใหม่ดีกว่า ก็เรียบร้อย จริง ๆ แล้วจะโทษพระอานนท์ไม่ได้หรอก ต้องบอกว่าวาระเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะว่ากรรมบางอย่างก็ทำให้เขลาได้ชั่วครู่เหมือนกัน แบบที่อาตมาโง่ตลอด ไม่ได้คิดว่าพระท่านจะเป็นพระองค์ที่ ๑๐ นั่งเถียงกันอยู่นั่นแหละ ขนาดท่านบอกชัดเจนขนาดนั้นแล้วก็ยังไม่เชื่อ ต้องบอกว่าตอนช่วงนั้นนี่อาตมาโง่ได้ที่จริง ๆ ถาม : ผู้ที่ขอได้ต้องมีต้นทุนบารมีมาก่อน ? ตอบ : ถ้าลำพังไม่ได้สร้างไว้ขอให้ตายผลก็ไม่เกิด สร้างเหตุไว้เพียงพอขอก็ได้ เราสังเกตได้ง่ายว่าบางคนบนพระบนเทวดา ทำไมสำเร็จได้ง่าย ? ขณะเดียวกันบางคนบนทั่วประเทศไทยก็ไม่สำเร็จสักที ก็เพราะมีต้นทุนไม่พอ |
ถาม : เวลาเราจับลมควบคู่กับคำภาวนา แล้วทีนี้ไปดูที่ลม คำภาวนาจะอยู่คำสุดท้ายตลอด ไม่ว่าออกหรือเข้า ?
ตอบ : อยู่ตรงไหนก็ได้..ไม่เป็นไร ถาม : แล้วเมื่อไรที่เราจะต้องเพิ่มคำภาวนาไป ? ตอบ : อยู่ที่ว่าเรายินดีในคำภาวนานั้นนั้นหรือไม่ ? ถ้ายังยินดีของเก่าอยู่ก็ขอใช้ไปเรื่อย ๆ ถ้ารู้สึกว่าไม่ค่อยอยากได้แล้วค่อยหาของใหม่ |
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนนั้นโยมเขาชวนไปดูของทนสิทธิ์อย่างหนึ่งที่สุราษฎร์ธานี เขาเรียกว่าไข่นกออก อาตมาก็แปลกใจว่าขลังตรงไหน ? เขาบอกว่าไฟไหม้ป่าแล้วเหลือต้นไม้เขียวอยู่ต้นเดียว ก็สงสัยว่ามีอะไร จึงปีนขึ้นไปดู มีรังนกออกอยู่ แล้วของนี้อยู่ในรังนก เขาก็เลยเก็บมาติดตัวไว้
เขาบอกว่าลักษณะเหมือนกับเป็นไข่นก แต่ว่าวาว ๆ เหมือนกับเป็นหินไปแล้ว เสร็จแล้วก็ไม่รู้ว่าทำอีท่าไหน ไปฝากพระที่ท่านอยู่เกาะสมุยไว้ เขาก็เลยชวนอาตมาไปเกาะสมุย บอกไปดูกันหน่อย อาตมาก็อยากรู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไรก็เลยไป ปรากฏว่าพระท่านเข้ากรุงเทพฯ มา นั่งรถฝ่าฝนไปทั้งคืน ไม่ได้เห็น ถ้าเป็นสมัยนี้มีโทรศัพท์แทบทุกคน โทรถามก่อนก็ไม่ต้องไปไกลถึงขนาดนั้น" |
ถาม : ...เป็นวิปัสสนาหรือเปล่า ?
ตอบ : เป็นวิปัสสนาเลย คือระลึกถึงความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา จะว่าไปแล้วในส่วนแรก ๆ จะเป็นสัญญาคือความจำ แต่พอทบทวนมากเข้า ๆ พอสภาพจิตยอมรับก็จะเป็นปัญญา ถ้าเป็นปัญญาเมื่อไรก็เป็นวิปัสสนาญาณแท้ เพราะคำว่าวิปัสสนานี้ระบุชัดเลยว่าเห็นแจ้ง เห็นอย่างวิเศษ ถาม : ต้องบริกรรมด้วย ? ตอบ : ไม่ต้อง..บริกรรมเป็นแค่สมถะเท่านั้น ไม่ใช่วิปัสสนา ต้องพิจารณาจนใจยอมรับถึงเป็นวิปัสสนา ถ้าดูใครไม่ได้ก็ดูตัวเอง ก่อนหน้านี้เราเป็นเด็กเล็ก แล้วเป็นเด็กโต แล้วมาเป็นหนุ่มสาว มาถึงปัจจุบันนี้จะเห็นการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ถ้าไปบริกรรมว่า “ไม่เที่ยง ไม่เที่ยง” นั่นเป็นแค่สมถะเฉย ๆ |
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ปกติอาตมาเป็นคนกลัวเข็มมาตั้งแต่เด็ก ที่กลัวเข็มฉีดยาเพราะว่าลุงหมอที่มาฉีดยาให้ตอนเด็ก ๆ แกเป็นทหารเสนารักษ์เก่า เกษียณแล้วก็มาเปิดร้านหมอ ไม่รู้ครูบาอาจารย์ที่ไหนสอนแกฉีดยา แกจะจิ้มก้นอาตมาแล้วกดยาทีเดียวหมดเข็มเลย ก็จะบวมเป็นก้อน เจ็บจนเดินตูดปัดไปเป็นอาทิตย์ ๆ ดังนั้น..อาตมาจึงเกลียดเข็มเข้าไส้ ก็เลยกลายเป็นคนกลัวเข็มมาตั้งแต่เด็ก
มาหายกลัวเข็มตอนเป็นทหาร ก็ยังไม่หายดีหรอก แต่กลัวเสียหน้า ก่อนนั้นพอเห็นเข็มแล้วร่างกายจะตัดระบบ เป็นลมไปเองเลย คราวนี้พอเป็นทหารแล้วเป็นลม ก็ขายหน้าเขา จึงต้องบอกตัวเองว่า “อย่าเป็นลม..อย่าเป็นลม” ถึงเวลาหมอฉีดยาเสร็จเดินออกมาก็รีบหาที่นั่งก่อน ถ้าเดินต่อแล้วเป็นลมขึ้นมา ล้มลงไปจะขายหน้าเขา เพิ่งรู้ตั้งแต่ตอนนั้นว่าร่างกายของเราจริง ๆ แล้วตั้งระบบได้ อยู่ที่ว่าเราจะตั้งระบบอย่างไร ระบบร่างกายที่ตัดเร็วก็เพื่อที่จะรักษาร่างกายของตัวเองเอาไว้ อย่างเช่น ได้รับบาดเจ็บหนัก ๆ แล้วจะช็อก เวลาช็อก ชีพจรจะเต้นช้า เลือดก็ไหลช้า ก็เป็นการรักษาและป้องกันตัวเองอย่างหนึ่งเพื่อไม่ให้ตายง่าย ๆ คราวนี้พอตัดเร็วเกินไป ยังไม่ทันไรก็เป็นลมเสียก่อนแล้ว อาตมาไปเข้าใจว่าร่างกายตั้งระบบได้ ก็ตอนที่เลิกกลัวเข็มไปเอง ดังนั้น..ญาติโยมบางคน ถ้ากลัวอะไรก็ให้บอกร่างกายตัวเองว่าเลิกกลัวได้แล้ว กลัวตุ๊กแกก็เดินหน้าเข้าหาตุ๊กแกเลย สมัยที่ไปอยู่เกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ มีโยมผู้ชายคนหนึ่งตัวใหญ่มาก ปรากฏว่ากลางคืนไปนอนกอดเข่าอยู่กลางสนามหญ้า ถามว่าทำไม ? เขาบอกว่า "บนศาลามีตุ๊กแก" ทำอย่างกับว่าอยู่กลางสนามแล้วตุ๊กแกไปไม่ได้ รุ่นของอาตมานี่เอาจิ้งจกตุ๊กแกใส่กระเป๋า ไปโยนใส่เพื่อนผู้หญิงกัน ปรากฏว่าไปเจอเพื่อนผู้หญิงที่เป็นเด็กชาวบ้านด้วยกัน แล้วจะมีสักกี่คนที่กลัว โยนใส่เขา เขาก็คว้าหมับแล้วขว้างคืนมา สรุปว่าความซวยตกอยู่กับจิ้งจกตุ๊กแกเอง ดังนั้น..ถ้าใครกลัวเข็มให้สั่งตัวเองว่าเลิกกลัวได้แล้ว ตั้งระบบใหม่ร่างกายก็จะค่อย ๆ ชินไปเอง ต่อไปก็จะเลิกกลัวไปโดยปริยาย" |
"ตอนเด็ก ๆ ที่โดนฉีดยาบ่อยจนกลัวเข็ม เพราะว่าเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นประจำ มารู้ตอนโตแล้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า “แกเป็นทหารมาทุกชาติ ฆ่าเขามาทุกชาติ เศษกรรมปาณาติบาตจะทำให้ป่วยบ่อย ให้ไปปล่อยสัตว์ที่เขาจะฆ่า อย่างเช่นปลาในตลาด เดือนละตัวสองตัว ให้ทำเป็นประจำแล้วจะบรรเทากรรมตรงนี้ได้”
อาตมาทำครั้งแรกวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๙ แล้วก็ปล่อยติดต่อกันมาทุกเดือนจนบัดนี้ เพิ่งจะมีปีนี้ที่รู้สึกว่าอาการป่วยห่างไป คำว่าห่างคือมีเวลาให้หายใจบ้าง ก็น่าดูเหมือนกันนะ เกือบ ๓๐ ปีกว่ากรรมจะยอมถอยให้หน่อย ตอนแรกก็ไม่ยอมปล่อย เพราะว่าการปล่อยชีวิตสัตว์เป็นการต่ออายุ อาตมาไม่ต้องการจะอยู่ แล้วจะปล่อยไปทำไม ? หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ”แกอย่าเพิ่งเข้าใจผิด การปล่อยชีวิตสัตว์จะเป็นการต่ออายุต่อเมื่อเรามีอุปฆาตกรรม” อุปฆาตกรรม คือ กรรมเก่าที่เคยฆ่าคน ฆ่าสัตว์ใหญ่ในอดีตตามมาทัน อาจจะทำให้เราถึงแก่ชีวิต ถ้าอย่างนั้นจะเป็นการต่อชีวิตของเรา แต่ถ้าไม่มีกรรมเก่าเข้ามา การปล่อยชีวิตเขาให้รอด ให้ได้รับความสุข ความสะดวกสบาย ต่อไปทำอะไรก็จะสะดวกสบายไปด้วย อาตมารู้สึกว่าระยะหลังทำอะไรก็สะดวกขึ้น มีคนช่วยงานมากขึ้น งานบางอย่างไม่น่าจะมีคนช่วย อยู่ ๆ ก็มีมาพอดี สรุปว่าปล่อยชีวิตสัตว์มาจนนับจำนวนไม่ถ้วน เพราะถ้าจะไปปล่อยทีละตัวสองตัว ก็เห็นตัวอื่นรอชะตากรรมเดียวกันอยู่ พอไปจึงมักจะเหมาหมดตลาดเลย ถ้าเอาคำของหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นเกณฑ์ว่าเป็นทหารมาทุกชาติ ก็น่าจะใช่ เพราะว่าชาตินี้จริง ๆ ไม่ได้คิดจะไปเป็นทหารก็ยังต้องไปเป็น เป็นไปทำไมวะ ? เคยดูย้อนหลังไปก็สารพัด แต่ละชาติ ทำดีแค่ไหนก็เสมอตัว พลาดเมื่อไรก็หิ้วหัวมาได้เลย ความจริงน่าจะลองเกิดอีกสักชาติ ว่าตัวเองจะต้องเป็นทหารอีกหรือเปล่า ? จะได้หายสงสัย ความหมายของคำว่าทหารคือคนหนุ่ม ดังนั้น..จะอ่อนแอไม่ได้ ต้องแข็งแรงอยู่เสมอ ไปนึกถึงพลเอกอิสรพงศ์ หนุนภักดี ท่านว่า “ไอ้น้องโว้ย..พี่เหนื่อยฉิบหา..เลย ขอนอนหน่อยเถอะ” อยู่ต่อหน้าลูกน้องทำเป็นเก่ง ลับหลังเข้าที่พักนายทหารได้ แผ่หลาสี่สลึงเลย" |
ถาม : เวลาเราไปทำบุญที่วัด แล้วเราพยายามชำระหนี้สงฆ์ตลอดเวลา ?
ตอบ : ถ้าคิดจะให้หมดเลย ต้องร่วมสร้างพระชำระหนี้สงฆ์กับเขา ไม่อย่างนั้นต้องชดใช้ตามราคาปัจจุบัน ถ้าไปเอาของแพงมาก็ใช้ไม่หมดสักที เพราะเขาคิดตามราคาปัจจุบัน |
พระอาจารย์กล่าวสอนโยมที่เป็นพ่อแม่ว่า "ถ้าเด็ก ๆ เขาสงสัยต้องตอบเขานะจ๊ะ เป็นช่วงที่เขาพัฒนาตัวเอง ไม่ใช่ว่าเขาถามมาก ๆ แล้วไปดุเขา จะทำให้เขาหยุดการพัฒนา ช่วงอายุนี้เด็ก ๆ จะเป็น "เจ้าหนูจำไม" ทุกคน"
|
ถาม : ระหว่างการที่เราทำบุญกับวัดในประเทศไทยกับวัดในต่างประเทศ โดยส่งเงินไปเพื่อช่วยเหลือพระพุทธศาสนา จะมีข้อดีข้อเสียต่างอย่างไรครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ความตั้งใจ ถ้าตั้งเจตนาถูกอย่างไรก็ได้บุญ อย่างเช่นว่าตั้งใจทำเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา เราตั้งกำลังใจถูก ไม่อย่างนั้นแล้วก็ต้องเลือกเนื้อนาบุญ ในเมื่อตั้งกำลังใจถูก เนื้อนาบุญก็ไม่จำเป็น เพราะผู้รับเป็นเพียงตัวแทนเท่านั้น แต่ถ้าวางกำลังใจไม่ถูก ก็ต้องดูว่าผู้รับมีความสะอาดของใจเท่าไร ดังนั้น..จะทำที่ไหนไม่สำคัญ อยู่ที่วางกำลังใจถูกหรือไม่ ? ถ้าทำด้วยเจตนาต้องการลด ละ เลิก ความโลภ ทำด้วยเจตนาเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา จะทำที่ไหนก็ได้ |
ถาม : เวลาทำงาน เราต้องพิจารณาคนให้ถูก บางคนเราต้องส่งเสริมเขาเพราะเขาทำงานดี ส่วนบางคนมีความรู้ความสามารถ แต่ไม่ได้ทำงานเพื่อให้ผลงานสำเร็จ แล้วเราไปกีดกันเขา อย่างนี้ถือว่าเป็นกรรมไหมครับ ที่เราไปดึงอีกคนขึ้นมาทำงาน ?
ตอบ : การทำทุกอย่างถือว่าเป็นกรรมอยู่แล้ว แต่ว่าจะเป็นกุศลกรรม..การกระทำที่ประกอบด้วยความฉลาด อกุศลกรรม..การกระทำที่ประกอบด้วยความไม่ฉลาด ในเรื่องของการเป็นผู้ใหญ่ ถ้าพิจารณาความดีความชอบ พิจารณาเรื่องหน้าที่การงาน ต้องไม่ประกอบไปด้วยอคติ ๔ คือ ไม่ลำเอียงเพราะรัก เห็นแก่พวกแก่พ้อง ไม่ลำเอียงเพราะกลัว ไอ้นี่เส้นใหญ่เดี๋ยวนายจะเล่นงานเรา ไม่ลำเอียงเพราะหลง เข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ |
ถาม : ลูกไม่กินเนื้อสัตว์ แล้วขาดสารอาหารจนเจ็บป่วย จะทำอย่างไรให้เขากิน เพราะป่วยตลอดเลยค่ะ ?
ตอบ : เรื่องป่วยเป็นเรื่องปกติจ้ะ ถ้ามีโอกาสก็ให้เขาปล่อยพวกสัตว์ที่เขาจะฆ่า อย่างปลาหรืออะไรก็ได้ เดือนละตัวสองตัว ก็จะบรรเทาตรงนี้ได้ ถาม : ปล่อยปลาหรือคะ ? ตอบ : เอาที่เขาฆ่าจริง ๆ นะ ไปในตลาดเลย อย่าไปเอาตามที่เขาเอามาให้เราปล่อย เรียกว่าแลกชีวิตกัน ปล่อยไปเรื่อย ๆ ถ้าลูกป่วยเราก็ไปปล่อยแทนลูก ส่วนเรื่องจะไม่กินเนื้อสัตว์อะไร เรื่องปกติ ปล่อยเขาเถอะ หาพวกโปรตีนเกษตรหรือไม่ก็ถั่วให้เขากินแทน ถาม : เขาไม่ยอมให้เข้าปากเลยค่ะ ? ตอบ : ให้กินพวกนมถั่วเหลืองแทนก็ได้ เรียกว่าไปกังวลแทนลูก ไม่เป็นไร..ถ้าลูกเขารู้ว่าร่างกายขาด เดี๋ยวเขาก็ตะกายหาเอง |
ถาม : นิยามคำว่าพระนิพพาน ?
ตอบ : พูดไม่ได้ เกิดจากใจ ถาม : อย่างนี้พระนิพพานก็ไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้สิคะ ? ตอบ : เกิดจากปัญญา ถ้าปัญญารู้แจ้งเมื่อไรก็จะเห็น ถึงได้บอกว่า ต่อให้บุคคลที่เป็นสุกขวิปัสสโกก็จะรู้ว่ามีพระนิพพานจริง ถาม : ทั้งหลายทั้งมวลที่เราติดอยู่เพื่ออาศัยเข้าพระนิพพาน ก็เพื่อให้เราเข้าใจว่าเราติดอยู่ตรงนี้ ? ตอบ : อาศัยสมมติเป็นทางเพื่อเดินไปสู่วิมุตติ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า รูปสดับสุรศัพท์พร้อม......................คำขาน พอกล่าวว่าพระนิพพาน..................สุขแท้ เป็นศิวาลัยสถาน.............................เลอเลิศ หายากหากเปรียบแม้....................ว่าด้าว แดนใด สรุปแค่นั้นแหละ ไม่รู้ว่าจะเปรียบอย่างไร |
ถาม : สงสัยว่าทำไมโบราณจึงชอบเปรียบพระนิพพานกับศิวาลัย ?
ตอบ : สมัยก่อนคนคิดว่าเป็นเทวดาดีที่สุด ไม่สามารถที่จะหาที่เปรียบได้ยิ่งกว่านั้น แต่ความจริงพระนิพพานเป็นอนาลัย อนาลโย ไม่มีซึ่งความอาลัย ก็คงเหมือนกับหลวงปู่บุดดา ในชีวิตหลวงปู่บุดดาเห็นโบสถ์วัดพระแก้วใหญ่ที่สุด พอท่านไปเจอศาลา ๑๒ ไร่ "อู้หู..ใหญ่กว่าโบสถ์วัดพระแก้วอีกน้อ.." ท่านไม่รู้ว่าจะเปรียบกับอะไร ท่านเห็นโบสถ์วัดพระแก้วใหญ่ที่สุด ท่านก็เอาโบสถ์วัดพระแก้วมาเปรียบ เปรียบกับที่สุดที่เรารู้จัก ถึงได้บอกว่ามนุษย์เรามักจะยึดติดกับสมมติ รูป ๑ ใบ ถ้าให้เด็กดู เด็กจะคิดอย่างหนึ่ง แต่ถ้าผู้ใหญ่ดูจะคิดอีกอย่างหนึ่ง เพราะผ่านสมมติมาเยอะแล้ว ถาม : ที่โบราณเขาเรียกพระนิพพานว่าเมืองแก้ว แสดงว่าการรู้เห็นเป็นสาธารณะมีมาแต่โบราณแล้ว ? ตอบ : แต่ไหน ๆ มาเขาก็รู้ มีรุ่นเรานี่แหละที่ค่อนข้างจะหูหนวกตาบอด..! |
ถาม : ความรู้ของพระพุทธองค์ไม่เหมือนกับความรู้ทางโลก ?
ตอบ : เป็นความรู้ทางโลกกับรู้ทางธรรม ถาม : จริง ๆ แล้วรู้ทางโลกก็เป็นสัญญาล้วน ๆ นี่คะ แม้แต่ที่เราเรียกว่าเข้าใจก็ไม่ได้เข้าใจ ? ตอบ : ท่านจัดเป็นปัญญาเหมือนกัน แต่เป็นปัญญาทางโลก ความรู้ลักษณะสัญชาตญาณที่ติดตามข้ามชาติข้ามภพมา ท่านเรียก สหชาติกปัญญา ปัญญาที่มาพร้อมกับการเกิด ที่เรามาเรียนรู้เพิ่มเติมศึกษาเพิ่มเติมในปัจจุบัน เขาเรียก ปาริหาริกปัญญา ส่วนปัญญาในการหาทางพ้นทุกข์ เขาเรียก เนปักกปัญญา เป็นปัญญาเหมือนกัน แต่เป็นปัญญาระดับไหนก็เท่านั้น ถาม : บางทีเวลาเราเข้าห้องน้ำห้องส้วม เราก็นั่งนึกภาพว่าไอ้ตัวนี้ก็ถุงขี้นะ แต่ความเข้าใจก็เหมือนไม่ได้เข้าใจจริง เพียงแต่ว่าตอนนี้เรานึกออกเท่านั้นเอง ? ตอบ : ค่อย ๆ สะสมไป ถ้าวันไหนยอมรับจริงจะสว่างไปสามโลกเลย เวลาเรายอมรับจริง ๆ จะไม่กลับกลอกอีก จะไม่ย้อนมาเบื่อ ๆ อยาก ๆ ขาดแล้วขาดเลย ยอมรับอย่างแท้จริง |
ถาม : สอุปาทิเสสนิพพาน ยังมีลมหายใจอยู่ไหมครับ ?
ตอบ : เขาบอกว่าบรรลุแล้วยังทรงสังขารอยู่ได้ ส่วนอนุปาทิเสสนิพพาน บรรลุแล้วไปเลย |
พระอาจารย์กล่าวว่า "สำหรับแม่ชี ใช้คำว่า "ทนไปวัน ๆ" ถ้าเราคิดทีละวันก็ไม่นาน เดี๋ยวก็หมดวันแล้ว แต่ถ้าช่วงไหนที่ใจอยากสึกนะ วันหนึ่งเหมือนเป็นปีเลย หลวงพ่อโดนมาเองแล้ว
ตอนบวชไม่ได้คิดจะบวชนาน ไม่ได้ตั้งใจบวชด้วยซ้ำไป ด้วยความที่ไปฝึกมโนมยิทธิได้ตั้งแต่อายุเพิ่งจะ ๑๙ ปี กลัวมาก เพราะไปดูนรกแล้วเห็นบรรดานักบวชตกนรก มากมายมหาศาลจนประมาณไม่ถูก พอแม่บอกจะให้บวช เป็นตายก็ไม่บวช กลัวจะลงนรก ท่านขอมาปีแล้วปีเล่าก็ไม่บวช พูดถึงเรื่องบวชเมื่อไรก็ "ไม่เอาหรอกแม่ กลัวตกนรก" ปีที่บวชนั้น หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ท่านต้องการพระบวชแก้บนสามรูป จะบวชให้ท่านได้ไหม โดยปกติของหลวงพ่อวัดท่าซุงแล้ว ถ้าได้ก็คือได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ต้องตอบให้ชัดไปเลย แต่ปรากฏว่าวันนั้นไม่ชัด กราบเรียนท่านไปว่า "ขอผมคิดดูก่อนครับ" ปกติถ้าตอบอย่างนี้โดนแน่ ๆ เลย แต่วันนั้นไม่โดน ท่านบอกว่า "ไม่เป็นไรลูก..รอหลวงพ่อกลับจากนิวซีแลนด์ก่อนก็ได้" ตอนไปนิวซีแลนด์ก็ไปส่งท่าน รู้กำหนดกลับแน่นอนว่าวันไหน ช่วงนั้นก็มาคิดว่า ความจริงเราเองอยากบวชมานาน แต่กลัวนรก แม่ก็อยากจะให้บวช แต่ไม่ได้บวชให้ท่านสักทีหนึ่ง มานึกดูว่าสมัยนี้ศีลพระมีไม่ถึง ๒๒๗ ข้อตามพระปาฏิโมกข์แล้ว เพราะว่าศีลเกี่ยวกับภิกษุณีก็ดี ศีลเกี่ยวกับการที่พระต้องทำสิ่งของเครื่องใช้ก็ดี สมัยนี้ไม่มีแล้ว ภิกษุณีไม่มีแล้ว การทำสิ่งของเครื่องใช้ โยมก็ซื้อมาถวายเอง ก็ในเมื่อมีกำไรตั้งเยอะแยะอย่างนี้แล้ว ถ้าบวชแล้วยังไม่รอดนรกก็ให้ลงไปเลย..! เมื่อตัดสินใจได้ วันที่หลวงพ่อท่านกลับ ก็ไปรับท่านที่สนามบินดอนเมือง พอท่านลงมาในห้องพักก็มากราบเท้าท่าน เรียนว่า "กระผมเต็มใจบวช แต่หลวงพ่อจะเอากี่วันครับ ?" ท่านก็หัวเราะ "บวชแก้บนใครเขาเอานานกัน แค่ ๗ วันก็พอลูก" กราบเรียนว่า "ถ้าอย่างนั้นผมยินดีบวช แล้วจะให้ผมไปอยู่วัดวันไหนครับ ?" ท่านบอกว่า "ถ้าพร้อมก็ไปได้เลย" อาตมาโดดขึ้นรถไปกับหลวงพ่อตอนนั้นเลย ไปอยู่วัดท่าซุง ตามปกติแล้วก่อนหน้านี้ไปวัดก็ไม่เคยเกิน ๔ วัน ก็คือจะไปก่อนงาน ๒ วัน เพื่อไปช่วยเตรียมงาน วันงาน ๑ วัน เก็บงาน ๑ วัน ค่อยกลับบ้าน ทุกครั้งไปไม่เกิน ๔ วัน งวดนี้พอเกิน ๔ วัน แม่ตามไปถึงวัด หอบเครื่องบวชไปครบชุดเลย แม่เขารู้ ไปถึงก็ไปถวายหลวงพ่อวัดท่าซุง บอกว่า "ดิฉันขอบวชลูกชายเจ้าค่ะ" หลวงพ่อบอกว่า "โยมตั้งใจเสียใหม่ นาคเขาสมัครบวชมาตั้งสามสิบกว่าคน อย่าไปตั้งใจบวชลูกชายคนเดียว เพราะได้บุญน้อย ให้ตั้งใจว่าเราเป็นเจ้าภาพบวชทุกคนเลย" แม่ก็ตั้งใจอธิษฐานใหม่ ขอบวชพระทุกรูปในงานนี้ อาตมาคิดว่าบวชแค่ ๗ วันก็สึก" |
"ด้วยความที่ไม่อยากให้มีกังวล ก่อนที่จะไปรับหลวงพ่อที่สนามบินดอนเมือง ก็จัดการเบื้องหลังเรียบร้อยแล้ว เงินเก็บโอนให้น้องสาวคนละครึ่งแบ่งกัน เพราะส่งเขาเรียนปีสุดท้ายอยู่ ข้าวของทุกอย่างก็บอกกับพี่สุรกานต์ว่า จะใช้อะไรเอาไปได้เลย ถ้าบวชแล้วสึกออกมาก็จะหาใหม่เอง
ไปกราบลาญาติผู้ใหญ่ บรรดาน้า ๆ เขาบอกว่า "เอ็งแน่ใจแล้วนะว่าจะบวช พระอรหันต์มีเมียไปคนหนึ่งแล้ว" ก่อนหน้านี้พี่ประสิทธิ์เขาตั้งใจอยู่อย่างเดียวว่า ชีวิตนี้ต้องบวชพระแล้วเป็นพระอรหันต์ให้ได้ ทีนี้พอพี่ประสิทธิ์ไปถามหลวงพ่อวัดท่าซุง ดันไปถามจังหวะอยู่กลางบ้านสายลมที่คนเป็นร้อยเป็นพันเลย ไปถึงก็ถามว่า "หลวงพ่อครับ..ถ้าผมบวชจะได้เป็นพระอรหันต์ไหม ?" เวลาหลวงพ่อวัดท่าซุงตั้งใจจะเฉ่งใคร ท่านใส่ไม่เลี้ยงอยู่แล้ว ท่านว่า "โคตรแม่มึงบวชเอง แล้วกูจะรู้ได้อย่างไร..!" ความจริงท่านตอบตรงเป๊ะเลยนะ เพราะเรื่องการพยากรณ์ขึ้นอยู่กับกำลังใจตอนนั้น ถ้ากำลังใจเปลี่ยน คำพยากรณ์ก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย แต่พี่ประสิทธิ์เขาไปตีความว่า ถึงบวชไปก็ไม่ได้อะไร ก็เลยไปแต่งงานมีลูกมีเมีย พออาตมาไปลาบวช บรรดาน้า ๆ ทั้งหลายเขาถึงได้ว่าเอา โดยเฉพาะเพื่อน ไม่มีใครเชื่อแม้แต่คนเดียว เพราะสมัยนั้นเวลาไปวัดท่าซุงก็จะพาบรรดาน้อง ๆ ผู้หญิงไปด้วย ๗-๘ คนเป็นประจำ ครั้งที่ไปด้วยกันมากที่สุด จำได้ว่าไปเชียงใหม่ เหมารถทัวร์คุณสมชาย เย็นทรวง ครึ่งคัน อาตมาเป็นหัวหน้าคณะ พาเขาไปทำบุญกัน เพราะช่วงนั้นบรรดาน้อง ๆ เพิ่งเรียนจบ ยังไม่มีงานทำบ้าง กำลังเรียนอยู่บ้าง จะไปวัดแล้วไม่มีใครพาไป เขาก็ไม่สามารถจะไปได้ อาตมาคิดแค่ว่าสงเคราะห์ให้เขาได้ทำบุญ แต่พอเพื่อนเห็นแบบนั้นก็ตีราคาว่า ไอ้หน้าอย่างนี้บวชไม่ได้หรอก พอไปกราบลาหลวงปู่มหาอำพัน หลวงปู่ท่านให้กำลังใจ ท่านบอกว่า "ถ้าบวชน้อยก็เอาให้ถึงพระโสดาบัน ถ้าบวชนานเอาให้เป็นพระอรหันต์ไปเลยนะคุณ" |
"พอไปเป็นนาคอยู่วัดก็มีเรื่องตลกที่หัวเราะไม่ออก อาตมาเข้าใจว่าวัดท่าซุงเป็นมหานิกาย ก็เลยท่องคำขอบรรพชาอุปสมบทแบบอุกาสะสำหรับมหานิกายไป พอไปสมัครเป็นนาค หลวงพี่บัญชาที่เป็นเจ้าหน้าที่รับสมัคร บอกว่า "เฮ้ย...วัดเราบวชแบบเอสาหัง" อาตมาก็เลยต้องยืมหนังสือมนต์พิธีไปท่องวิธีบวชแบบเอสาหัง สองวันท่องได้เสร็จสรรพ มีคนมาสมัครมากขึ้น ๆ จากไม่มีเลยกลายเป็น ๓๖ รูป ท่านก็บอกใหม่ว่า "บวชนาคหมู่ ให้ใช้เอเต มะยัง ภันเต" สรุปว่าอาตมาท่องขานนาคได้ทุกรูปแบบเลย
ด้วยความที่เป็นคนความจำแม่น แล้วดันไปอยู่วัดเสียตั้งแต่แรก ท่องขานนาคสองวันก็ได้หมดแล้ว ไม่รู้จะทำอะไรก็เลยท่องบทสวดมนต์เจ็ดตำนาน-สิบสองตำนาน ความจริงในเจ็ดตำนานและสิบสองตำนานมีพระอภิธรรม ๗ บท ที่อาตมาสามารถสวดได้ตั้งแต่ตอนงานศพพ่อแล้ว ตอนนั้นอาตมาอายุ ๑๖ ปี งานศพพ่อเขาสวดพระอภิธรรม ๗ วัน วันละ ๓ จบ อาตมาฟังแค่วันที่ ๓-๔ ก็จำได้หมดแล้ว เพราะฉะนั้นวันที่ ๕-๖-๗ ก็เท่ากับว่าทวนซ้ำ เวลาพระสวด ด้วยความที่เป็นเด็กวัยรุ่น ปากคันก็สวดตาม หลวงตาท่านก็ถาม "ไอ้หนู..เคยบวชหรือ ?" "ไม่เคยหรอกครับ" "แล้วไปหัดที่ไหนมา หลวงตาสอนให้อีก..เอาไหม ?" เพราะว่าสนิทกับหลวงตาเจ้าอาวาส บางคนเรียกหลวงพ่อ แต่คนทั้งตลาดเรียกหลวงตากันหมด เพราะว่าท่านบวชตอนอายุมาก ประมาณ ๔๐ ปีแล้วถึงบวช ท่านชื่อแหวน พวกเราเรียกว่าหลวงตาแหวน หลานของหลวงตาที่เป็นผู้หญิงชื่อ ขวัญตา อ่ำเย็น เป็นคู่แข่งเรื่องเรียนมาตั้งแต่ชั้น ป.๒-ป.๗ เป็นผู้หญิงเก่ง คะแนนจะไล่บี้กันมาตลอด จนกระทั่งมาอยู่ชั้น ป.๕-๖ ของเขาคะแนนรูดไปเลย พอขึ้นมัธยมก็ออกทะเลหายไปเลย อาจจะเป็นเพราะว่าเริ่มโตเป็นสาว มีอะไรที่น่าสนใจมากกว่าการเรียน พอมาท่องสวดมนต์ ควรจะไล่สวดตั้งแต่นะโมฯ แต่อาตมาชอบใจมังคลสูตร ที่ขึ้น อเสวนา จ พาลานังฯ ก็เลยตั้งใจท่องบทนี้ก่อน วิธีท่องจะมีเคล็ดลับก็คือ เขียนเลขกำกับไว้ อย่างเช่น บรรทัดที่ ๑ และ ๒ ก็เขียนกำกับเลข ๑ บรรทัดที่ ๓ และ ๔ ก็เขียนกำกับเลข ๒ ไล่ไปเรื่อย แบ่งเป็นช่วง ๆ พอตั้งใจท่องบรรทัดที่ ๑,๒ ก็จะอ่านบรรทัด ๓,๔ ไปด้วย พอถึงเวลาจำบรรทัดที่ ๑ และ ๒ ได้ บรรทัด ๓,๔ ก็ได้เกือบหมดแล้ว ๕,๖ ก็เริ่มคล่องปากแล้ว ท่องลักษณะนี้จะได้เร็วมาก ตกลงว่าอาตมาเป็นนาคอยู่วัด ๓๗ วัน ว่าเสียจนไม่มีเหลือ ท่องจนหมดเล่มเลย พระสูตรยาว ๆ อย่าง อาทิตตปริยายสูตร ธัมมจักกัปปวัตนสูตร อนัตตลักขณสูตร ท่องได้หมดเลย เพราะฉะนั้น..บวชพระไม่ทันจะ ๗ วัน เขามีกิจนิมนต์ อาตมาเป็นพระใหม่ ไปนั่งห้อยท้ายอยู่ พอหัวแถวขึ้นอะไรมาก็รับได้หมด จนกระทั่งหลวงน้ามีชัยหันมามองท้ายแถว สงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร พระเพิ่งบวชแต่ท่องได้หมด แม่นอีกด้วย" |
"อาตมาจะสึกตามที่ตั้งใจไว้ คือ บวช ๗ วัน ถือเป็นการสร้างชีวิตใหม่ของตัวเอง แต่ว่าในช่วงนั้นอาตมาขึ้นไปช่วยงานหลวงตาวัชรชัยที่ศาลานวราชบพิตร หลวงตามีหน้าที่รับคนเข้าพักและจำหน่ายวัตถุมงคล บางทีคนมาขอที่พักด้วย มาบูชาวัตถุมงคลด้วย ท่านแบ่งภาคไม่ได้ก็ขึ้นไปช่วยกัน จะมีโอกาสพบหลวงพ่อวัดท่าซุงเฉพาะช่วงบ่ายที่ท่านขึ้นไปรับสังฆทาน
วันนั้นหลวงพ่อท่านก็บอกว่า "พระเว้ย...ไปช่วยจัดที่ด้านหลังโบสถ์ เยื้อง ๆ ตึกธัมมวิโมกข์หน่อย" กราบเรียนถามว่า "เพื่ออะไรครับ ?" ท่านบอกว่า "จัดที่บูชาสักที่หนึ่ง จัดเป็นโต๊ะหมู่ เอากระถางธูปเชิงเทียนอะไรให้พร้อม หลวงพ่อขนมจีนท่านเป็นเจ้าอาวาสรูปที่ ๒ ของวัดท่าซุง ท่านมีหน้าที่ดูแลพวกแกอยู่ ท่านบอกว่าช่วยตั้งที่บูชาให้เป็นทางการ ท่านจะได้ทำหน้าที่ได้เต็มที่หน่อย" ก็เลยไปหาโต๊ะหมู่ได้ชุดหนึ่ง กระถางธูปเชิงเทียนเก่ามากสนิมขึ้นดำปี๋เลย ก็ต้องไปเอาบรัสโซจากป้าศุมาค่อย ๆ ขัด ขัดไปขัดมา ไม่เงาสักที อาตมาปากคันเลยออกปากว่า "ถ้าวันนี้ผมขัดขึ้นครบ ๗ ตัวจะว่าอย่างไร ?" สมัยนั้นสลากกินแบ่งเป็นเลข ๗ ตัวนะ ไม่ใช่ ๖ ตัวอย่างตอนนี้ หลวงตาวัชรชัยอยู่ใกล้ ๆ รู้ว่าไม่เหมาะไม่ควรก็ดุว่า "ไอ้นี่ทะลึ่งละ..!" ด้วยความที่ปฏิบัติมา ความรู้สึกตัวเองจะไวมาก จึงสังเกตเห็นว่า มีความรู้สึกหนึ่งผุดขึ้นว่า "เราไม่ควรที่จะอยู่วัดนี้แล้ว" ความรู้สึกบอกตัวเองอย่างนั้น ตอนทำงานอยู่ก็ไม่กระไรนะ พอตั้งที่บูชาอะไรเสร็จสรรพ กราบไหว้แล้วกลับกุฏิ ความรู้สึกยิ่งมากขึ้น ๆ ทุกที จนกระทั่งเหมือนกับจะรับไม่ไหว พอทำวัตรค่ำเสร็จ อยากจะออกไปจากวัดเดี๋ยวนั้นเลย ไปที่ไหนก็ได้ ไปให้ไกล ๆ เลย เพราะรู้สึกว่าวัดนี้เราไม่สมควรที่จะอยู่แล้ว จนกระทั่งท้ายสุดภาวนาก็ไม่ได้ นอนก็ไม่หลับ ไม่รู้ว่าทำอย่างไรก็วิ่งในกุฏิ วิ่งภาวนา เรื่องวิ่งภาวนานี่ถนัดตั้งแต่ตอนเป็นทหารแล้ว วิ่งภาวนาไปเรื่อย ไม่รู้เหมือนกันว่าผ่านไปกี่ชั่วโมง รู้แต่ว่าหมดแรงพับไปเลย พอตื่นเช้าขึ้นมา ความรู้สึกก็เกิดขึ้นมาใหม่อีก เดินบิณฑบาตก็รู้สึกอีก ความรู้สึกก็คือวันนี้ต้องไปให้พ้นจากวัดให้ได้ ที่วัดท่าซุงทำวัตรกันสาย คือ ทำวัตร ๘ โมงครึ่ง หลังฉันเช้าเสร็จ หลวงตาวัชรชัยเห็นเดินหน้าดำคร่ำเครียดมาก็ถาม "เฮ้ย...เป็นไรวะ ?" ก็เล่าให้ฟังว่าความรู้สึกเป็นตั้งแต่เมื่อวานตอนนั้น หลวงตาบอกว่า "สงสัยหลวงปู่จะเล่นงานแกแล้ว เดี๋ยวทำวัตรเสร็จให้ไปขอพานดอกไม้ธูปเทียนจากป้าศุ รีบไปกราบขอขมาหลวงปู่เสียก่อน" |
"ในเมื่อรุ่นพี่แนะนำ อาตมาก็ทำตาม พอทำวัตรเช้าเสร็จก็ไปที่ตึกเป๊ปซี่ บ้านป้าศุสมัยก่อนมีป้ายเป๊ปซี่ติดอยู่ เขาก็เลยเรียกแบบนั้น ป้าศุทำพานธูปเทียนแพให้ พอไปกราบขอขมาเสร็จ ความรู้สึกที่เหมือนจะอกระเบิดตาย อย่างไรก็จะต้องออกจากวัดให้ได้หายวับไปเลย เหมือนกับว่าของอะไรหนัก ๆ ที่แบกอยู่หล่นหายไปเลย เกิดความรู้สึกทึ่งว่าเป็นไปได้ขนาดนี้เลยหรือ ?
จึงน้อมใจนึกถึงหลวงปู่ขนมจีนว่า "หลวงปู่เล่นงานผมเป็นคนแรก ผมก็ถือว่าผมเป็นลูกคนโตก็แล้วกัน หลวงปู่สามารถแสดงให้ผมรู้ได้ไหมว่า อารมณ์พระอรหันต์จริง ๆ นั้นเป็นอย่างไร ? ถ้าผมทำไปถึงเมื่อไร ผมจะได้รู้ว่าตัวเองทำมาถึงแล้ว" ท่านบอกว่า "ได้..แกจะเอากี่วัน ?" กราบเรียนไปว่า "ถ้าหลวงปู่ทำได้ ผมขอสักสามเดือนเลยครับ จะได้บวชเอาพรรษาไปเลย" ท่านก็ตกลง ทันทีที่ท่านตกลง ตอนนั้นอาตมานึกว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ความรู้ตัวทั่วพร้อม มีสติทุกอิริยาบถ ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจจะหยุดอยู่แค่นั้น เพราะรู้เลยว่าคิดอย่างนี้จะดี ถ้าคิดอย่างนี้จะไม่ดี ถ้าคิดแบบนี้กิเลสจะเกิดได้ ก็ตัดไปตั้งแต่ต้นเหตุเลย กิเลสจึงไม่สามารถที่จะเกิดได้ โอ้โห...มีความสุขอย่าบอกใครเลย ตลอดระยะเวลาสามเดือนคิดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว พอวันที่ ๙๑ ก็เป็นหมาเหมือนเดิม จึงเหมือนกับว่าได้ไปกินอาหารของสุดยอดพ่อครัวมาแล้ว อย่างไรเสียชาตินี้ก็ต้องทำกินเองให้ได้ ก็เลยกัดฟันอยู่ต่อ พออยู่ต่อมา อารมณ์ใจอยากสึกก็มีมาบ้างเป็นระยะ ๆ ตอนนั้นไม่ทราบว่าพรรษาที่สามหรือพรรษาที่สี่ หลวงพี่วิรัชมาคุยด้วย หลวงพี่วิรัชเป็นพระที่แปลกมาก ท่านไม่เรียกหลวงพี่ ไม่เรียกท่านเหมือนคนอื่น ท่านจะขึ้นต้นด้วยคำว่า "พระ" เช่น พระตี๋ พระชลอ เป็นต้น ท่านบอกว่า "พระเล็ก..ขอลายมือให้ผมหน่อยได้ไหม ?" "หลวงพี่จะเอาไปทำอะไรครับ ?" "ผมเคยหัดดูลายมือมา เก็บสถิติเอาไว้เยอะ จึงอยากได้" ก็เลยให้ท่านพิมพ์ลายมือไป หลวงพี่วิรัชไปดูลายมือให้คืนนั้น พอรุ่งขึ้นท่านมาบอกว่า วันนั้นเดือนนั้นปีนั้น พระเล็กจะต้องสึก "จริงหรือหลวงพี่ ?" "ผมดูมาแล้วเป็นพันเลย ยังไม่เคยพลาดสักคน" พร้อมเปิดสถิติให้ดู ท่านดูหมอตั้งแต่ยังอยู่อเมริกา "ถ้าพลาดล่ะ ?" "ผมยอมเผาตำราทิ้ง..!" อาตมาเป็นคนรั้น อะไรที่ใครบอกว่าทำไม่ได้ก็จะทำให้ได้ ก็เลยดื้ออยู่ เพราะดื้ออยู่ก็เลยทำให้อยู่ได้ ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นอยากจะสึกใจจะขาด คิดอยู่อย่างเดียวว่าอย่างไรก็ต้องอยู่ให้ได้ จะต้องดูหลวงพี่วิรัชเผาตำราให้ได้ ดื้อสู้จนพ้น แล้วก็แปลก..เหมือนวาระกรรมจะอยู่แค่ตรงนั้น พอพ้นมาแล้วก็ไม่มีอะไร" |
"อาตมาเองตั้งกำลังใจเอาไว้อยู่แล้วว่า ถ้าอยู่ไม่ได้ก็สึก เป็นคนที่พร้อมจะไปได้ทุกเวลา เนื่องจากว่าไม่กลัวลำบาก คนเคยลำบากมาก่อน ไปไหนก็ไม่ลำบากไปกว่านั้นหรอก
ช่วงที่อยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านก็ถามว่าจะเรียนหนังสือไหม ? กราบเรียนหลวงพ่อไปว่า "จะเรียนไปทำไมละครับ ? เสียเวลาปฏิบัติเปล่า ๆ" ท่านบอกว่า "เรียนเอาไว้เป็นไม้กันหมาก็ดี พระปริยัติมักจะดูถูกว่าพระปฏิบัตินั้นโง่" อาตมาได้ยินก็คิดว่า "เรียนก็เรียน" ก็ไปถามรุ่นพี่ว่าพระท่านเรียนอะไรกันบ้าง ท่านบอกว่าต้องสอบนักธรรมชั้นนวกภูมิ ต้องสอบนักธรรมชั้นตรี นักธรรมชั้นโท นักธรรมชั้นเอก มีหนังสืออะไรบ้างก็ไปค้นหนังสือมาอ่านเอง แล้วก็ไปลงชื่อสอบร่วมกับเขาในจังหวัด ปีแรกสอบนวกะและนักธรรมชั้นตรีได้ เพราะว่านวกะสอบในพรรษา นักธรรมตรีสอบหลังลอยกระทง ได้ประกาศนียบัตรมาสองใบ ปีที่สองว่าจะสอบนักธรรมชั้นโท พอดีหลวงปู่มหาอำพันท่านป่วย ก็ลามาดูแลหลวงปู่มหาอำพัน ลาอย่างชนิดที่ลาบ่อยจนเกินเหตุ ปกติแล้วสำหรับวัดท่าซุง หลวงพ่อท่านอนุญาตว่า ให้ลาได้เดือนละไม่เกิน ๑๐ วัน ถ้าไม่ได้ลา ๒ เดือนขึ้นไป ให้ลาได้ ๑๕ วัน อาตมากลับมาถึงก็ลาใหม่ กลับมาถึงก็ลาใหม่ ไม่รู้หรอกว่าคณะกรรมการสงฆ์เขาจ้องเล่นงานอยู่ ปรากฏว่าวันหนึ่งเขียนใบลาทีเดียว ๑๕ วันเลย กะจะลักไก่ เพราะที่วัดท่าซุงต้องบอกขออนุญาตลาด้วยวาจาพร้อมกับส่งใบลา แล้วต้องไปลงสมุดลาด้วยว่าไปวันไหน..กลับวันไหน ทันทีที่ส่งใบลา หลวงพ่อท่านฉีกแคว่ก..! ส่งคืนให้ ท่านบอกว่า "ไปเขียนมาใหม่ให้ถูกต้อง" อาตมานี่เหงื่อหยดติ๋งเลย ท่านไม่ได้อ่านสักตัวแต่บอกให้เขียนใหม่ให้ถูกต้อง เพราะท่านอนุญาตให้ลาได้ครั้งละไม่เกิน ๑๐ วัน อาตมาตะบันไป ๑๕ วัน ต้องวิ่งไปหายางลบ ลบเสร็จแก้ตัวเลขใหม่ พอกลับมาก็โดนกรรมการสงฆ์เรียกสอบเลย เพราะลาเกินกำหนด แล้วลงมติว่าผิดระเบียบของวัด ให้ขับออกจากวัดไป หลังจากทำเรื่องรายงานขึ้นไป ปรากฏว่าหลวงพ่อท่านแทงลงมาว่า "การไปดูแลครูบาอาจารย์ถือว่าเป็นความกตัญญู ไม่ใช่ความผิด เนื่องจากลามากเกินไปให้ตัดวันลาเสีย จากที่ลาได้เดือนละ ๑๐ วัน ให้ลาแค่เดือนละ ๗ วันก็พอ" อาตมาก็เลยเป็นคนเดียวในวัด ที่ลาได้แค่เดือนละ ๗ วัน ไม่เหมือนคนอื่นเขา" |
"พรรษาที่ ๒ อาตมาไม่ได้สอบนักธรรมชั้นโท อาจจะเป็นเพราะว่ากรรมการสงฆ์ตั้งใจจะไล่ออกอยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้ส่งชื่อไปสอบ จึงไปลงชื่อสอบเอาพรรษาที่ ๓ และ ๔ ได้นักธรรมชั้นโทและนักธรรมชั้นเอก เวลาสอบทำข้อสอบแค่พักเดียว ไม่เคยเกิน ๑๕ นาที
ตอนนั้นสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) วัดพิชยญาติการาม ท่านเพิ่งจะเป็นเจ้าคุณราชปริยัติโมลี ท่านแอบไปดูสถิติการสอบของแต่ละจังหวัดมา เพื่อหาคนเก่ง ๆ มาเข้าโรงเรียน อาตมาก็ไม่รู้ว่าท่านแอบไปดูผลสอบของอาตมา แล้วท่านก็มาชวนไปเรียน นั่งเกลี้ยกล่อมอยู่เป็นครึ่งวัน จะให้ไปให้ได้ พอหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านออกมาฉันเพล ก็กราบเรียนหลวงพ่อว่า "เจ้าคุณสมศักดิ์ท่านมาชวนให้ไปเรียนครับหลวงพ่อ" "แกอยากเรียนไหม ? ถ้าไม่ชอบวัดพิชัยญาติก็ให้บอก จะส่งไปให้วัดพรรคพวกที่กรุงเทพฯ ก็ได้ มีอีกหลายที่" กราบเรียนหลวงพ่อว่า "ผมรู้ตัวว่าถ้าผมห่างหลวงพ่อ ผมเลวแน่ ๆ ขออนุญาตไม่ไปครับ" รู้ว่าคุมตัวเองไม่อยู่ เดี๋ยวเตลิดเปิดเปิง ก่อนหน้านี้ท่านที่วิ่งเต้นเป็นมือเป็นเท้าให้หลวงพ่อวัดท่าซุงก็จะมี มหาชุบ มหาวิจิตร มหาดำ (ท่านเจ้าคุณมหาสันติ) หลวงพี่ชุบท่านเป็นเจ้าคุณก่อนใครเพื่อนเลย พวกเราก็แซวท่านเล่น "หลวงพี่...ทำไมติดนายพลก่อนคนอื่นในรุ่น ?" ท่านบอกว่า "มันเสือกมาวิ่งเต้นกันกูไม่ให้เป็น กูก็เลยทำให้พวกมันรู้ว่า คนอย่างกูถ้าจะเอาแล้วกูต้องได้..!" นี่..นิสัยลูกหลวงพ่อขนานแท้เลย ทุกวันนี้ท่านก็เป็นแค่เจ้าคุณศรี น่าจะถึง ๓๐ ปีแล้วนะ ไม่เคยขยับเลย เพราะว่าท่านไม่ได้อยากได้ แต่คนดันไปกีดกันท่าน ท่านก็เลยทำให้เขารู้ว่า ถ้าท่านจะเอาแล้วต้องได้ อาตมาเองก็นิสัยแบบนี้แหละ ถ้าไปเรียนต่อ เดี๋ยวก็ต้องไปฆ่าแกงกับเขา เพราะฉะนั้น..ไม่ไปดีกว่า หลังจากไปเป็นเจ้าคณะตำบลที่ทองผาภูมิแล้ว มีหลักสูตร ปปส. ขึ้นมา ซึ่งก็คือหลักสูตรของท่านเจ้าคุณสมศักดิ์ หรือท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุทธชินวงศ์ปัจจุบันนี่แหละ วันเปิดหลักสูตรท่านไป พอเห็นหน้าอาตมาท่านหัวเราะ กล่าวว่า "ท้ายสุดต้องมาเป็นลูกศิษย์ผมจนได้" พอจบนักธรรมเอกพรรษาที่ ๔ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเมตตาบอกว่า "ความรู้พอคุ้มตัวได้แล้ว ถ้าจะออกธุดงค์ก็ได้นะ" อาตมาเองตั้งใจว่า จะเอาตามแบบโบราณ คือ อยู่กับครูบาอาจารย์ ศึกษาความรู้ให้ครบ ๕ พรรษาก่อน จึงจะออกจากวัดไปที่อื่น ช่วงก่อน ๕ พรรษานั้น อาตมาไม่เคยไปที่ไหนเลย นอกจากงานของหลวงปู่มหาอำพันและงานของหลวงปู่ครูบาธรรมชัย ที่ถือท่านเป็นครูบาอาจารย์มาตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้ว ไปอยู่สองที่เพราะคุ้นเคยกัน ที่อื่นก็ไม่กล้าไป กลัวไปทำผิดทำพลาดแล้วขายหน้าครูบาอาจารย์" |
"พอหลวงพ่อวัดท่าซุงเปิดทางให้ จำได้ว่าจะออกธุดงค์ครั้งแรก บรรดาพระพี่พระน้องขอตามไป ๘-๑๐ รูป แต่พอท่านรู้ว่าจะไปป่าแม่สาน ก็ถอนตัวกันเกลี้ยงเลย เหลืออาตมาอยู่คนเดียว อาตมาเองก็นิสัยไม่เหมือนใคร มีคติประจำใจว่า ขึ้นหน้าไปตายอย่างคนกล้า ดีกว่าถอยหลังมาตายอย่างคนขลาด เหลือคนเดียวก็ไป
ทุกครั้งที่ไปธุดงค์ หลวงพ่อก็จะสะกิดตรงนั้นตรงนี้ให้รู้ว่า ท่านก็รู้ว่าเราไปที่ไหนมา การไปไหนแล้วลาครูบาอาจารย์ดีตรงที่ว่า เมื่อเวลามีอะไรเกิดขึ้นท่านจะได้ช่วยสงเคราะห์ได้ อย่างที่หลวงพ่อท่านเคยเล่าให้ฟังว่า เวลาพระที่อยุธยาออกธุดงค์ ต้องไปขึ้นครูกรรมฐานกับหลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ ท่านบอกว่าหลวงพ่อขันเก่งแค่ไหนท่านก็ไม่รู้ รู้ว่าวันหนึ่งกำลังนั่งคุยกับท่าน อยู่ ๆ หลวงพ่อขันก็หยุดคุยเฉย ๆ แล้วก็กลั้นใจเอามือตบกระดานศาลา หลวงพ่อถามว่าทำอะไร ? หลวงพ่อขันบอกว่า ลูกศิษย์ที่ธุดงค์ในป่าจะโดนควายป่าขวิด จึงต้องช่วยหน่อย ตัวหลวงพ่อขันอยู่ที่วัดในอยุธยา ส่วนลูกศิษย์อยู่ในป่า ท่านรู้ว่าลูกศิษย์จะโดนควายป่าขวิด หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็รอ จนกระทั่งพระที่ออกธุดงค์ท่านกลับมา พอได้ข่าวว่าพระท่านกลับวัดแล้ว หลวงพ่อท่านก็ไปถาม เพราะว่าท่านจดวันเดือนปีเอาไว้ ไปถามว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้น พระที่ไปธุดงค์ท่านบอกว่าไปเจอควายป่า มันตั้งท่าวิ่งใส่แล้ว ตอนนั้นไม่รู้จะทำอย่างไร นึกอยู่อย่างเดียวว่า ถ้าครูบาอาจารย์ไม่ช่วยก็ตายแน่ อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยงลงมากลางวง ควายป่าตกใจ หนีเตลิดหมดเลย ท่านตบกระดานศาลาที่วัดนกกระจาบ แล้วฟ้าไปผ่าในป่า ฉะนั้น..เวลาไปไหนควรที่จะบอกลาครูบาอาจารย์ เพื่อที่ท่านจะได้รู้ว่าเราไปอยู่ที่ไหน ถ้าเกิดอันตรายขึ้น ท่านจะได้ช่วยปกป้องคุ้มครองรักษา เวลาอาตมาไปธุดงค์มักจะไปสถานที่ซึ่งหลวงพ่อท่านพูดถึง เพราะอาตมาเกิดความสงสัย อย่างท่านบอกว่าตรงนั้นมีภูเขาทอง ตรงนี้มีแร่ยูเรเนียม ไปดูมาหมด ตอนที่ไปดูแร่ยูเรเนียมมากลับมา ถึงช่วงเช้าเตรียมรับหลวงพ่อขึ้นตึก ท่านบอกว่า "เดี๋ยว..ยืนคุยกันก่อน แกไปดูยูเรเนียมมาใช่ไหม ?" "ครับ" "อยู่ตรงไหนวะ ?" ก็อธิบายให้ท่านฟัง ท่านก็ "เอ้อ..ใช่ ข้าก็กลัวเหมือนกันว่าจะรู้ผิด แกไปดูก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง แกไปไหนแกพกกล้องถ่ายรูปไปด้วย แกมีหลักฐาน ข้าเองบอกแต่ปากเปล่า ๆ ไม่มีหลักฐาน บางทีคนเขาไม่เชื่อหรอก" |
"เวลาอยู่วัดอาตมาก็ทุ่มเทให้กับวัดจริง ๆ เลิกงานก็เอาแต่ภาวนา ที่วัดท่าซุงมีธรรมเนียมบางอย่าง ก็คือพระใหม่ที่บวชเข้าไป จะต้องหาพระเก่าเป็นหลัก และเกาะกันเป็นกลุ่ม ๆ เหมือนกับว่าชอบใจพระเก่ารูปไหนก็เกาะรูปนั้น อาตมาเองเอาแต่ภาวนา ไม่เกาะใครเสียที แถมก็ยังเอาแต่ลา ไม่รู้ว่าโดนหมั่นไส้เอาท่าไหน คงจะโดนปูนหมายหัวไว้ ยังไม่ทันจะขึ้นพรรษาที่สองเลย ก็มีคำสั่งจากคณะกรรมการสงฆ์ให้ไปเป็นหน้าห้องของหลวงพ่อวัดท่าซุง
ท่านตั้งใจจะส่งอาตมาไปตาย..! เพราะบรรดาพระเก่าที่อยู่หน้าห้องหลวงพ่อ ส่วนใหญ่กระเด็นหมด ไม่มีใครอยู่ได้ ไล่มาตั้งแต่หลวงพี่โอ หลวงน้ามีชัย หลวงน้าอมร หลวงพี่ชัยวัฒน์ กระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง เหมือนอย่างกับว่าในเมื่อคุณไม่เกาะใคร ก็ไปให้หลวงพ่อฟันหัวซะ..! แต่บังเอิญอาตมาทำงานตรงไปตรงมา แล้วหลวงพ่อท่านชอบใจ อีกอย่างหนึ่งก็คือ อาตมาเป็นคนที่โดนด่าแล้วไม่ยุบ หน้าค่อนข้างจะด้าน คิดอยู่อย่างเดียวว่า หลวงพ่อด่าเพราะเราทำผิด ถ้าเราแก้ไขเราจะไม่ผิดอีก เป็นคนประเภทนี้ก็เลยกำลังใจไม่ตก ไม่เหมือนคนอื่น ถ้าโดนหลวงพ่อด่า เขาอยู่ไม่ได้แล้ว เขาจะต้องขอลาไปอยู่ที่อื่นเลย แล้วหาคนใหม่มาแทน โดยเฉพาะที่เห็นคาตาเลย คือหลวงพี่บัญชา ตอนนั้นปี ๒๕๒๘ หลวงพ่อบอกให้ญาติโยมสี่คนจัดกระทงรับพระเคราะห์ ท่านบอกว่าเคราะห์ไม่ดีให้ไปจัดกระทงมา วันแรกก็ ๔ กระทง วันที่สอง ๑๑ กระทง วันที่สาม ๑๒๘ กระทง เร็วจริง ๆ นะ คนที่ท่านไม่ได้บอกก็อยากมาลอยเคราะห์ด้วย พอจำนวนเยอะก็จดชื่อไม่ทัน หลวงพ่อจะออกรับแขกตอนบ่ายโมงแล้ว หลวงพี่บัญชาก็ถามรายชื่อแล้วเขี่ยเอาเลย พอตอนทำสะเดาะเคราะห์ ท้าวมหาราชจะมาอยู่ในพิธีด้วย ท่านก็จะชี้บอกหลวงพ่อว่า หมายเลขที่เท่านั้น ชื่อนั้น ต้องทำอะไรพิเศษต่างหาก หลวงพ่อท่านบอกว่า ท้าวมหาราชบอกว่ามีสี่คนที่ต้องสะเดาะเคราะห์พิเศษ ให้ไปปล่อยไก่คนละสองตัว แล้วก็อ่านหมายเลขที่ ๑ ชื่อนี้ หมายเลขที่ ๒๐ ชื่อนี้ พอไปถึง "หมายเลข... โคตรแม่งใครเขียนวะ..! อ่านไม่ออกเลย" หลวงพี่บัญชาหน้าซีดจนเขียว จะขาดใจตายตรงนั้น นั่น..โดนด่าแค่นั้นนะ พอเลิกรับแขกสี่โมงเย็น หลวงพ่อท่านเดินผ่านเพื่อลงไปขึ้นรถกลับที่พัก ท่านก็แวะมาคุยด้วย "เออ..บัญชา วันนี้วัตถุมงคลจำหน่ายเป็นอย่างไรบ้างวะ ?" "จำหน่ายดีครับ คนบูชากันเยอะ" "เออ..ดีแล้วลูก ทำหน้าที่ให้ดี" แล้วท่านก็ไป ถ้าไม่พูดประโยคนั้น คืนนั้นหลวงพี่บัญชาผูกคอตายแน่นอน แต่อาตมาไม่ใช่ อาตมาหน้าด้าน คิดอยู่อย่างเดียวว่า ไม่มีพ่อที่ไหนฆ่าลูกหรอก ถ้าท่านด่าแปลว่าเราผิด ถ้าอยากได้ดีต้องรีบแก้ไข ก็เลยทนอยู่มา กลายเป็นคนที่อยู่หน้าห้องหลวงพ่อได้นานที่สุด ก็คืออยู่ตั้งแต่ไม่เข้าพรรษาที่สอง จนกระทั่งหลวงพ่อมรณภาพ ไม่ได้เปลี่ยนเลย ทั้ง ๆ ที่เขาตั้งใจส่งให้ไปตายแท้ ๆ" |
"พอสิ้นหลวงพ่อวัดท่าซุงแล้ว ในวัดเขาเกาะกันเป็นกลุ่ม ๆ อยู่ ก็เลยมีคนคิดว่าตัวเองเหมาะสมที่จะเป็นเจ้าอาวาส จึงมีการประลองกำลังกันขึ้นมา อาตมาต้องกางปีกป้องหลวงพี่อนันต์ ซึ่งปัจจุบันก็คือ หลวงพ่อท่านเจ้าคุณอนันต์เอาไว้
พอออกจากโบสถ์มานี่ อาตมาโดนเขาทุบหลัง แถมด่าใส่หูมาว่า "ไอ้ห่..มึงชกผิดฟอร์มนี่หว่า" ปกติอาตมาเป็นคนฟัดหลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ประจำ แต่งานนั้นไปปกป้องท่านไว้ ปกติแล้วคนผิดอาตมาไม่คบ งานนั้นที่ต้องรักษาเอาไว้ ต้อง ให้เหตุผลท่านไปว่า "พวกเราจะเตะตูดกันเองในระหว่างลูกพ่อดี หรือจะให้คนอื่นมาขี่คอดี ?" หลวงพี่ท่านนั้นก็บอกว่า "ก็เตะตูดกันเองสิวะ" "นั่นแหละ..ผมถึงได้ต้องรักษาหลวงพี่อนันต์เอาไว้ เพราะถ้าพวกเราเอาท่านออก ไม่ให้เป็นเจ้าอาวาส ในจังหวัดเขาจ้องอยากได้วัดท่าซุงอยู่แล้ว เพราะเป็นวัดใหญ่ มีผลประโยชน์มาก เขาจะอ้างว่าพวกเราทะเลาะเบาะแว้ง ปกครองกันเองไม่ได้ แล้วส่งคนของเขาเข้ามา ถ้าคนของเขาเข้ามา ก็มาขี่คอพวกเรา" คืนนั้นยังมีการล่ารายชื่อกันอีก จะปลดหลวงพี่อนันต์ออกจากเจ้าอาวาส แต่ปรากฏว่าบัญชีรายชื่อเขาจะให้อาตมาเซ็นเป็นคนแรก เพราะช่วงสี่พรรษาสุดท้าย อาตมาทำงานแบบไม่กลัวเปลืองตัว ชนกับบรรดาทุจริตจนกระทั่งเขาพังไป ๓-๔ ราย หลวงพ่อก็เลยเรียกใช้อยู่คนเดียว ทำให้บรรดาพี่ ๆ น้อง ๆ จำนวนหนึ่งเขาเห็นดีเห็นงามด้วย กลายเป็นว่าถ้าอาตมาบอกซ้ายหันขวาหัน พระเกือบทั้งวัดจะหันมาหมด บุคคลที่มาล่ารายชื่อคือท่านตี๋ ซึ่งบวชพรรษาเดียวกันแต่คนละรุ่น ถือรายชื่อมาถึง "หลวงเฮีย..เซ็นหน่อยสิ เขาจะเอาพี่นันต์ออกจากตำแหน่งว่ะ" อาตมาดูรายชื่อยังไม่มีใครเซ็นสักคน ก็มองทะลุตั้งแต่ต้นยันปลายเลย ด้วยความสนิทกันมาตั้งแต่ฆราวาส จึงบอกท่านว่า "ไอ้ตี๋..มึงรู้หรือเปล่าว่าเขาหลอกใช้มึง งานนี้ถ้ามึงทำสำเร็จ มึงก็แค่เสมอตัว แต่ถ้ามึงทำไม่สำเร็จ มึงเป็นหมาอยู่คนเดียว เพราะเขาถือว่ามึงเป็นคนนำ มึงเชื่อไหมว่าถ้ากูไม่เซ็นเสียคน ในวัดจะไม่มีพระรูปไหนเซ็นเลย" อาตี๋ก็นั่งตาปริบ ๆ "มึงไปลองได้เลย" แกหายไปประมาณชั่วโมงกว่า กลับมา ขยำกระดาษขว้างลงพื้น "ไอ้ห่..พระมันหลอกกันขนาดนี้เลยหรือวะ ?" "มึงเชื่อกูหรือยัง ?" อาตมาโทรหาหลวงพี่อนันต์ตอนนั้นเลย "ผมอยู่ไม่ได้แล้วครับ ตราบใดที่ผมอยู่ เขาต้องการผมไปเป็นพวก เขาก็จะเล่นหลวงพี่ไม่เลิก วัดจะไม่สงบ ถ้าผมไปเสีย กำลังของสองฝ่ายใกล้เคียงกัน ทำอะไรกันไม่ได้ ก็จะจบลงไปเอง" อาตมาก็เลยออกจากวัดตั้งแต่วันนั้นเลย ตอนแรกท่านไม่อนุญาตให้ออกไป ท่านบอกว่า "คุณไปสักเดือนหนึ่งก็แล้วกัน ค่อยกลับมา" "ไม่หรอกครับ ผมไปแล้วไปเลย ไม่ค่อยชอบเดินย้อนรอยเดิม" ท่านบอกว่า "คุณไปแล้วใครจะช่วยผม ?" "พรรคพวกมีตั้งเยอะตั้งแยะครับ ผมไปสักคนเขาไม่มีความหวัง เขาก็เลิกไปเอง" "แล้วจะให้ผมแจ้งกับคณะสงฆ์อย่างไร ?" "บอกไปว่า ผมทำผิดอะไรก็ได้ ใส่ข้อหาให้หนัก ๆ ไปเลย บอกว่าขับผมออกจากวัดไปแล้ว" พอวางหูเสร็จ อาตมาก็ไปเลย จากวันนั้นถึงวันนี้ นอกจากไปกราบหลวงพ่อแล้ว ก็ไม่ได้ไปสุงสิงหรือเสวนากับใครเลย" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:01 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.