กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๗ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4133)

เถรี 19-09-2014 14:15

ถาม : พวกผีดิบ ซอมบี้มีจริงไหมครับ ?
ตอบ : มี..หากจะว่าไปแล้วพวกวิชาการเหล่านี้ ประเทศจีนเขามีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขาเรียกว่าวิชาต้อนศพ เป็นของพวกนักพรตเหมาซาน สมัยก่อนการเดินทางในประเทศจีนนี่ สุดเหนือสุดใต้เป็นพัน ๆ กิโลเมตร แล้วรถราม้าช้างก็ไม่ได้คล่องตัวเหมือนกับสมัยนี้ ถึงเวลาไปตายต่างแดนก็ต้องจ้างพวกนี้ให้เขาต้อนศพกลับบ้าน เขาจะมี ๒ คน คุมหน้าคนหนึ่ง คุมหลังคนหนึ่ง ถึงเวลาก็ไปพักโรงเตี๊ยม

เขามีคำพูดว่า ถ้ามา ๓ คนกินข้าวแค่ ๒ คน ให้รู้เลยว่าเป็นพวกต้อนศพ เพราะอีกคนไม่ต้องกิน แต่ถ้าเดินระยะทางไกล ๆ เป็นเดือน ๆ ก็ต้องให้ศพกินข้าว เขาจะให้กินข้าวเปล่า ไม่ให้กินพวกกับข้าว เขาบอกว่าถ้าให้กินศพจะรู้ตัวว่าตายแล้ว และจะหนีไป ไม่ยอมกลับบ้าน

ทำไมเรื่องนี้ไปตรงกับทางด้านเฮติก็ไม่รู้ เพราะคนละซีกโลกเลย พวกเฮติที่เขาปลุกศพขึ้นมาใช้งานก็เหมือนกัน เขาให้กินแต่พวกข้าวเปล่า ถ้ากินเกลือเมื่อไรศพก็หนีกลับทันทีเหมือนกัน ไปตรงกันได้อย่างไรไม่รู้ แต่ว่าวิชาการพวกนี้ก็เหมือน ๆ กัน แต่ทางเฮตินั้นเขาต้องการแรงงานไปใช้งาน ไม่ต้องจ่ายค่าแรงนอกจากให้ข้าวกินวันละมื้อเดียว เพียงอย่าเผลอให้กินเกลือนะ ให้กินเกลือเมื่อไรก็เป็นเรื่องเมื่อนั้น ถ้าเราดูหนังประเภทผีกัด จะเห็นว่าเขาให้ผีกินแต่ข้าวเปล่า ไปตรงกันได้ ฉะนั้น..พวกที่ปลุกศพขึ้นมาใช้งานนี่แหละคือต้นตำหรับของซอมบี้

เถรี 19-09-2014 14:22

ถาม : เขาคุมได้อย่างไร ?
ตอบ : เขาใช้คาถาสะกดเอาไว้ ขณะเดียวกันก็เลี้ยงด้วยอาหาร พอจะมีอาหารหล่อเลี้ยงศพไว้ แต่ว่าต้องเป็นศพที่ตายใหม่ ๆ ถ้าตายนานแล้วเดี๋ยวอวัยวะภายในไม่ทำงาน

ถาม : มีแต่ตัวเปล่า ๆ ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ใช่มีแต่ตัวก็คงใช้พวกสัมภเวสีหรือว่าอสุรกายบางอย่างไปบังคับร่าง แต่ว่าเขาก็เก่งนะ เพราะว่าคนจีนเขาใช้วิธีนี้มาเป็นพันปีแล้ว ถึงเวลาต้อนศพเดินทาง ถ้าคนไหนเก่ง ๆ ก็ต้อนไปที ๕ - ๑๐ ศพ แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วเขารับ ๑ ศพ จะมี ๒ คนคุมหัวคุมท้าย จนกระทั่งกลายเป็นวลีว่า "มา ๓ คนกินข้าวแค่ ๒ คน" ก็ให้รู้เลยว่าพวกนี้แหละ

แต่เขาจะบอกเลยว่า ไปถึงให้ทางญาติเตรียมโลงเตรียมอะไรไว้ให้พร้อม พอปล่อยผีลงโลงต้องรีบปิดเลย เพราะว่าตายมานานแค่ไหนก็จะเน่าเละแค่นั้น พอเขาถอนเวทย์มนต์คาถาหรือผีที่คุมร่างออก ศพจะเน่าเท่ากับที่ตายมา ถือว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์อย่างหนึ่งเหมือนกัน

เถรี 20-09-2014 06:37

ถาม : กรรมสุราฯ ขวางการฝึกสติไหมคะ ?
ตอบ : ก็มีส่วน

ถาม : ถ้าตั้งใจฝึกปฏิบัติมาก ๆ จะทำให้อกุศลกรรมที่ทำไว้ยังไม่ส่งผลได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจฝึกปฏิบัติอย่างจริงจัง เรื่องของกรรมฐานเป็นบุญใหญ่ "อาจจะ" สามารถฝืนกรรมเก่าได้

เถรี 20-09-2014 08:34

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีโยมอยู่คนหนึ่ง อาตมารู้จักมาตั้งแต่สมัยที่เขายังเรียนหนังสืออยู่ เขาทำงานแล้วเก็บเงินซื้อทองเดือนละบาท ๆ จนกระทั่งเก็บทองได้ ๑๕๐ บาทแล้ว มีคนประกาศขายตึกแถวที่เป็นอาคารพาณิชย์ เขาก็เลยขายทองไปซื้อตึกแถวแล้วก็มาทำกิจการอยู่ ปัจจุบันนี้ก็ผลิตขนมปังส่งร้าน 7 Eleven ทั่วภาคเหนือ บอกว่าจะเริ่มไปเก็บทองใหม่แล้ว ซึ่งเกิดจากว่าพ่อเป็นสายส่งหนังสือพิมพ์ ก็เลยทำงานแทนพ่อ พอพ่อจะจ่ายเงินเดือนก็ขอเป็นทองเดือนละบาท ตอนช่วงนั้นก็ได้สิ ทองบาทหนึ่ง ๒,๐๐๐ กว่าบาทเอง ตอนซื้อตึกนี่ทองขึ้นไปเจ็ดแปดพันบาทแล้ว ปัจจุบันนี้ก็เริ่มเก็บใหม่

เรื่องการเก็บทองก็ดีอยู่อย่างหนึ่งว่าราคาไม่ค่อยตก แต่ว่าไม่ค่อยสะดวกอยู่อย่างหนึ่งว่าเก็บยาก ถ้าคิดว่ามีทองสักแต่ว่าเก็บ ๆ ก็ไม่ใช่นะ บางทีถ้ามีคนเขารู้นี่ยุ่งเหมือนกัน ฉะนั้น..ถ้ารักจะเก็บนี่ต้องเงียบอย่างเดียวเลย ดาราสมัยก่อนมีคุณสมบัติ เมทะนี พอค่าแรงในการแสดงออกก็ซื้อทองเส้นหนึ่ง ถ้าได้ค่าแรงมากก็ซื้อเส้นใหญ่ ได้ค่าแรงน้อยก็ซื้อเส้นเล็ก แต่จะซื้อทุกครั้ง

คุณสมบัติ เมทะนีนี่ หนังสือ กินเนสบุ๊ค ออฟ เรคคอร์ด บันทึกไว้ว่า เล่นหนังเป็นตัวเอก
มากที่สุดในโลก ๖๐๐ กว่าเรื่อง เราลองคิดดูว่าถ้าเขาเก็บทองเรื่องละบาท อย่างไม่มี ๆ ก็ ๖๐๐ กว่าบาทแล้ว การรู้จักอดออมตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทำให้มีฐานะมั่นคง"

เถรี 20-09-2014 08:37

"ดาราสมัยก่อนต้องบอกว่ารักเกียรติ รักชื่อเสียงครอบครัววงศ์ตระกูลมาก เราจะสังเกตว่าดารารุ่นเก่านี่แทบจะไม่มีเรื่องเสียหายอะไรให้ปรากฏเลย รักเกียรติยศ รักศักดิ์ศรี รักชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ฉะนั้น..ดารารุ่นเก่าพอมาสมัยหลังก็เป็นแบบอย่างให้รุ่นใหม่ ๆ เขา อย่างคุณพิศมัย วิไลศักดิ์ ไปไหนเขาก็เรียก "ป้าหมี" ท่านทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีเรื่องอะไรเสียหายเลย

ดารารุ่นหลัง ๆ ตั้งแต่หลังยุคของคุณจารุณี สุขสวัสดิ์มา รู้สึกว่าเริ่มเอานิสัยฝรั่งมาใช้กัน เปลี่ยนคู่กันเป็นว่าเล่น ไม่ได้เหมือนดาราสมัยก่อน เราดูอย่างคู่ของคุณสมบัติกับคุณกาญจนา คุณชรินทร์กับคุณเพชรา คนไปถามคุณชรินทร์ว่า "ภรรยาตาบอด ทำไมยังเลี้ยงดูอุ้มชูเสียอย่างดี ไม่รู้จักหาใหม่หรืออย่างไร ?" คุณชรินทร์บอกว่า “ก่อนหน้านี้กว่าจะได้
มาสุดจะยากเย็นเข็ญใจ ได้มาก็ต้องทะนุถนอมรักษาไว้” หรือไม่ก็อย่างปัจจุบันก็คุณเศรษฐากับคุณอรัญญา ที่โฆษณาประกันชีวิตแบบผู้สูงอายุ

ดาราสมัยก่อนเขารักเกียรติรักชื่อเสียงมาก อย่างป๋าต๊อกนี่เราก็รู้ว่าเจ้าชู้จะตาย แต่ว่าไม่มีเรื่องเสียหาย มารุ่นหลัง ๆ นี่เขาจะไม่มีเกียรติยศชื่อเสียงให้รักษา หรืออาจจะประเภทไม่มีวงศ์ตระกูลให้รักษา ก็เลยเละเทะไปเรื่อย"

เถรี 20-09-2014 08:42

"ในโภควิภาคของพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านให้รู้จักแบ่งทรัพย์สิน ท่านว่า เอเกน โภเค ภุญเชยยะ ส่วนที่ ๑ ใช้ในการเลี้ยงชีพตนเอง ทวีหิ กัมมัง ปะโยชะเย ๒ ส่วนเอาไว้ใช้ในเรื่องของหน้าที่การงาน จะตุตถัญจะ นิธาเปยยะ ๑ ส่วน เก็บไว้เป็นทุนสำรอง โบราณเขาจึงผูกไว้เป็นกลอนว่า
ทรัพย์มีสี่ส่วนไซร้..................ปูนปัน
ส่วนหนึ่งพึงเกียดกัน...............เก็บไว้
สองส่วนคิดควรผัน การกิจ..........งานนา
เหลืออีกส่วนควรใคร่ ไว้ใช้..........ยามจน

ของโบราณส่วนใหญ่เอามาจากหลักธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ถ้าเราพิจารณาหลักธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว จะแบ่งได้เป็น ๓ ส่วนด้วยกัน ส่วนแรกคือความสุขในปัจจุบัน คือหลักธรรมต่าง ๆ เราประพฤติปฏิบัติแล้วก็เป็นคนชั้นดี คำว่า "คนชั้นดี" ในที่นี้ก็คือ มีศีล มีธรรม มีฐานะมั่นคง

ส่วนที่ ๒ สำหรับผู้ปฏิบัติแล้วมุ่งเอาสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไป ส่วนที่ ๓ ก็มุ่งเอาการหลุดพ้นจากกองทุกข์ ที่พระพุทธเจ้าตรัสธรรมะมา ถ้าเราพิจารณาดูก็จะไม่เกินใน ๓ ส่วนนี้"

เถรี 20-09-2014 08:48

พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมหลายท่านปวารณาไว้ก็ถามว่าเมื่อไรอาตมาจะขออะไรสักที ก็ไม่รู้จะขออะไร เพราะมีทุกอย่าง ส่วนใหญ่โยมจะเจอว่าพระขอโน่นขอนี่ ช่วยเป็นเจ้าภาพอย่างนั้นอย่างนี้ อาตมาออกระเบียบวัดห้ามบอกบุญห้ามเรี่ยไร จบเลย..หมดเรื่องไป

ฉะนั้น..โยมปวารณาของอาตมานี่ ประเภทมีแต่รายชื่ออยู่ในบัญชีเฉย ๆ ว่าปวารณาไว้ มีหลายท่านที่เสียชีวิตไปแล้ว อาตมาก็อุทิศส่วนกุศลไปให้ ไม่ได้ขอจนโยมตายเลยละ...!

มีอยู่รายหนึ่งนี่ปวารณาได้ดุมาก ปวารณาว่า “พระอาจารย์จะสร้างหนี้เท่าไรเชิญตามสบายเลยครับ สิ้นปีผมจะเคลียร์ให้” ไม่ต้องหรอกโยม อาตมามีปัญญาจ่าย มีโยมอยู่ท่านหนึ่งเป็นวิศวกร นั่งนับจำนวนคนอยู่เป็นวัน ๆ นับเสร็จแล้วก็บอกว่า “ที่มาหาพระอาจารย์อย่างเก่งก็ไม่เกินวันละพันคน พันคนถ้าทำบุญเฉลี่ยคนละ ๕๐๐ ก็ได้ห้าแสน แล้วอาจารย์เอาเงินที่ไหนไปจ่ายเดือนหนึ่งเป็นสิบล้านก็ไม่รู้” ก็มีให้จ่ายได้นี่นะ

สถิติล่าสุด เบิกเงินจากธนาคารห้าล้าน ปรากฏว่าวันนั้นจ่ายค่าวัสดุก่อสร้างและค่าแรงช่างไปแปดล้านกว่า ต้องบอกว่าเราทำได้..!"

เถรี 20-09-2014 08:50

พระอาจารย์กล่าวว่า "บรรดาอาการข้อพลิกข้อแพลง ให้เอาใบพลับพลึงลนไฟให้ร้อนแล้วพันไว้จะหายเร็ว"

เถรี 20-09-2014 12:42

ถาม : ลูกกำลังทำสมาธิ ลูกได้ยินเสียงแล้วทำให้ลูกตกใจค่ะ ลูกเลยต้องภาวนามากค่ะ ?
ตอบ : อยู่กับลมหายใจเข้าออก แสดงว่าสติหลุดจากลมหายใจไปแล้วถึงได้ตกใจ ฉะนั้น..ถึงเวลาเราจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออกก็พอ

ถาม : เสียงนี้ทำให้หนูสติแตกหรือกรรมฐานแตก...(ไม่ชัด).... ?
ตอบ : แล้วแตกหรือยัง ? เขาแค่กวนไม่ให้เรานั่งได้แค่นั้นเอง ไม่ต้องไปสนใจ ไม่รู้ไม่ชี้ อยู่กับลมหายใจเข้าออกก็พอ ถ้าเราไปสนใจ เผลอ ๆ ส่งใจไปที่อื่น ถึงเวลาเขากวนแล้วจะตกใจอีก

เถรี 20-09-2014 12:44

พระอาจารย์เล่าว่า “วันก่อนอาตมายกบาตรใบใหญ่ทำจากหินอ่อนกลึง ถามว่าใหญ่แค่ไหน ก็แค่ฝาบาตรกว้าง ๑๖ นิ้ว ยกจากใต้บันไดออกมาตรงประตูของตึกแดง พระท่านเห็นก็วิ่งมาช่วยกันใหญ่ ปรากฏว่า ๒ รูปมาถึงก็ยกไม่ขึ้น มองหน้ากันแล้วส่ายหัว สรุปว่ายังแก่ไม่พอ เดี๋ยวรอให้แก่เท่าหลวงพ่อแล้วจะแข็งแรง ก็เลยไปนึกว่า รถสิบล้อถึงเก่าแค่ไหนก็บรรทุกได้มากกว่ารถกระบะใหม่ ๆ อยู่นะ”

เถรี 20-09-2014 14:00

พระอาจารย์กล่าวว่า "เดี๋ยวนี้ชาวนาบ้านเราลำบากไม่เป็นแล้ว ไถก็ใช้รถ ดำก็ใช้รถ เกี่ยวก็ใช้รถ สีก็ใช้รถ เดี๋ยวนี้เขาเล่นสีข้าวตั้งแต่ข้าวเขียว ๆ ที่พวกเราเคยใช้ทำข้าวเม่ากัน สีเสร็จแล้วก็เอาไปตาก ก็เลยกลายเป็นข้าวคุณภาพไม่ดี เพราะข้าวยังไม่แก่จัด เขารีบสีตั้งแต่ตอนนั้น เพราะเอารถลุยลงไปเกี่ยว เกี่ยวเสร็จสีเลย อาตมาเห็นว่ามักง่ายขึ้นเยอะเลย

ที่น่าสงสารที่สุดอะไรรู้ไหม ? เดี๋ยวนี้นกปากห่างหาหอยกินไม่ได้ เพราะหอยโดนยาชาวนาตายหมด สมัยก่อนนกปากห่างเวลาลงนานี่ลงกันทีสามสี่ร้อยตัวแน่นไปหมด เดี๋ยวนี้นกลงนาละ ๓-๔ ตัว เพราะลงมากก็ไม่มีอะไรให้กิน ลงนาละ ๓-๔ ตัวแล้วก็แยกกันเดินห่อเหี่ยว หาดูว่าจะมีหอยหลงอยู่สักตัวไหม เพราะถ้าไม่ใช้วิธีดาวกระจายแบบนี้ก็หากินไม่ได้ มีไม่พอให้กิน"


ถาม : ไม่ลงไปกินข้าวหรือคะ ?
ตอบ : นกปากห่างกินข้าวไม่ได้เพราะปากโบ๋อยู่ เอาไว้ใช้งับหอยโข่ง แล้วหอยสมัยนี้ที่โดนยาก็ตายหมด ไม่ได้กิน ตัวที่รอดจากยามาก็มีแต่สารพิษตกค้าง พอนกกินลงไปก็ทำให้ไข่เปลือกบางบ้าง เปราะบ้าง ถึงเวลานกฟักไข่ก็ทับแตกอีก คงจะสูญพันธุ์อยู่เร็ว ๆ นี้แล้ว ที่น่าสงสารคือนกปากห่างกินอาหารจำกัดมากเลย ไม่ใช่กินได้หลาย ๆ อย่าง จะให้ไปไล่จับปลากินก็ไม่ได้ เพราะปากเอาไว้สำหรับขบหอยโข่ง พอจะกินพวกตั๊กแตนอะไรได้ก็โดนยาตายหมดอีก

พอคนไปทุ่มเทในเรื่องของยาเรื่องของปุ๋ยหนัก ๆ รายจ่ายก็สูง พอร่ายจ่ายสูงขายข้าวไม่ได้ราคาก็เจ๊ง เพราะฉะนั้น..บ้านเราต้องใช้เกษตรอินทรีย์ อยู่อย่างพอเพียงแบบในหลวงท่านว่า ซึ่งแต่ละคนก็ล้วนแล้วแต่ไหลตามกระแสบริโภคนิยม รถก็ผ่อน บ้านก็ผ่อน โทรทัศน์ก็ผ่อน ตู้เย็นก็ผ่อน ถ้าไม่รีบทำก็ดอกเบี้ยกินตาย ก็เลยต้องใช้วิธีเร่งปุ๋ยเร่งยา ยิ่งเร่งมากก็ยิ่งต้นทุนแพง

เถรี 20-09-2014 14:02

พอทุกอย่างอยู่ในกระแสบริโภคนิยม ก็ต้องเร่งรัดหาเงิน แต่หามาเท่าไรก็ไม่ใช่เงินตัวเอง กลายเป็นเงินคนอื่นเขา อันนี้เงินผ่อนบ้าน นี่ผ่อนรถ ผ่อนโทรทัศน์ ผ่อนตู้เย็น หามาเท่าไรก็ของเงินชาวบ้านเขา โดยเฉพาะเรื่องรถ ถ้าไม่ใช่รถเพื่อทำมาหากินแล้ว อาตมาไม่ได้สนับสนุนการมีรถเลย โดยเฉพาะเดี๋ยวนี้ผ่อนรถ ๘๔ เดือน พอผ่อนเสร็จรถก็หมดสภาพ ต้องเอาไปเปลี่ยน ออกคันใหม่มาแล้วก็ผ่อนต่อ

อาตมาเคยซื้อรถอยู่ ๕ คัน ซื้อเงินสดตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะว่าดีลเลอร์รู้จักกันละก็ รับรองว่าโดนด่าไปแล้ว เพราะว่าลองไปคิดหักกลบลบล้างแล้ว ระหว่างซื้อเงินสดกับซื้อเงินผ่อน ซื้อเงินผ่อนมีดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นคันละเกือบสามแสนบาทของตอนช่วงนั้น แต่พอน้ำมันดีเซลขึ้นถึงลิตรละ ๑๓ บาท อาตมาก็โละรถหมดวัด..เลิกใช้ บรรดาพรรคพวกเพื่อนฝูงก็ยังไม่กระดิกตัว พอดีเซลลิตรละ ๒๐ บาทร้องจ๊ากเลย เขาบอกว่า "อาจารย์เล็กคิดถูกแล้วที่ไปนั่งรถแท็กซี่"

ปัจจุบันที่มีรถใช้เพราะโยมให้ยืม โยมมีหน้าที่ไปต่อทะเบียน ไปต่อประกัน อาตมามีหน้าที่ใช้อย่างเดียว ถ้าโยมมีปัญหาก็เอาคืนไปเลย ไม่มีรถจะได้ไม่ต้องรับกิจนิมนต์ จะได้บอกกับเจ้าภาพว่าไม่มีรถ ไปไม่ได้ นี่กำลังวางแผนว่าพออายุ ๖๐ จะโละรถทิ้งให้หมดแล้วไม่รับใหม่อีก แก่แล้ว ไม่มีรถไปไม่ได้หรอก ใครจะนิมนต์ต้องเช่าเฮลิคอปเตอร์มารับ ไปนึกถึงหลวงปู่เณรคำ ท่านมีเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว..ใช่ไหม ?

เถรี 20-09-2014 14:14

พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเราต้องบอกว่าน่าชื่นชมตรงที่บางอย่างเอาหลักธรรมมาใช้กันจริง ๆ ก็คือรู้จักอโหสิกรรมและให้อภัย ไม่ยุ่งกับใครหรอก ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขา ส่วนเรื่องที่ควรจะเอาหลักธรรมไปใช้จริง ๆ ไม่ค่อยเอากันหรอก..!

ระยะนี้สถานการณ์บ้านเมืองก็ต้องบอกว่า wait and see รอดูว่ารัฐบาลทหารมีฝีมือแค่ไหน ตอนนี้ทุกอย่างรวมศูนย์อยู่ที่รัฐบาล ถ้ามีอำนาจที่ครบถ้วนขบวนความขนาดนี้แล้วไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ก็ไม่ต้องไปรอรัฐบาลไหนแล้ว เพียงแต่ว่าชาวบ้านเขาตั้งความหวังไว้สูง แล้วคณะรัฐบาลก็ไม่ใช่ทศกัณฐ์มาเกิด มีอยู่แค่ ๒ มือทำงานไม่ไหวหรอก"

เถรี 20-09-2014 14:38

พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมทั้งหลายที่ได้บูชาวัตถุมงคลไป บางทีก็ไม่ชัดเจนว่าวัตถุมงคลเรามีไว้เพื่ออะไร อาตมาอธิบายรายละเอียดเอาไว้ในหนังสือประวัติวัดท่าขนุน ซึ่งจะออกประมาณกลางเดือนกันยายนนี้ ถ้ามีโอกาสแล้วก็ไปดูว่า โบราณาจารย์หรือครูบาอาจารย์ท่านสร้างวัตถุมงคลเพื่อวัตถุประสงค์อะไร จะได้รู้กันแล้วก็ปฏิบัติได้ถูก

ต้องบอกว่าคนโบราณท่านลึกซึ้งมาก แต่คราวนี้บางทีท่านลึกไปจนเรามองไม่เห็น ฉะนั้น..บางทีในปัจจุบันของเราได้วัตถุมงคลไปก็ใช้ได้แค่ผิว ๆ เท่านั้น"

เถรี 20-09-2014 14:41

ในเรื่องของวัดวาอารามต่าง ๆ มักจะมีปัญหาใหญ่อยู่อย่างหนึ่ง คือ คนใกล้ชิดเจ้าอาวาสไปทำมาหากินในเรื่องพวกนี้ เมื่อเดือนก่อนมีโยมคนหนึ่งไปหาที่วัด บอกว่าโอนเงินให้กับหลานอาตมาไปแล้ว จะมารับวัตถุมงคล อาตมาก็นั่งกุมกบาล "กูจะเอาที่ไหนให้ ?" เพราะวัตถุมงคลวัดท่าขนุนก็รู้ ๆ อยู่ว่า คนที่ไม่มีเลยก็คือเจ้าอาวาส..!

อาตมามีหลานอยู่คนหนึ่ง เขาไปบอกคนอื่นว่าเป็นหลานที่ใกล้ชิด มีวัตถุมงคลรุ่นนั้นรุ่นนี้ ราคาเท่านั้นเท่านี้ คนก็เชื่อถือและก็โอนเงินไปให้ แต่ปรากฏว่าเขาหายเข้ากลีบเมฆไปเลย แล้วทุกวันนี้อาตมาก็ไม่ได้เจอหน้าหลานคนนี้มาเป็น ๑๐ ปีแล้ว อยู่ ๆ ก็มีคนไปจะรับวัตถุมงคล บอกว่าโอนเงินให้หลานไปแล้ว อาตมาก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร บอกเขาว่าไปแจ้งความข้อหาฉ้อโกงเอาก็แล้วกัน

เรื่องของคนใกล้ชิดเจ้าอาวาส ถ้าไม่มีจิตสำนึกจะสร้างความเสื่อมเสียให้กับวัดอย่างมาก เพราะคนมักจะให้ความเกรงใจ นั่นก็พ่อแม่เจ้าอาวาส นี่ก็พี่ป้าน้าอาเจ้าอาวาส นั่นก็พี่ นี่ก็น้อง นั่นก็หลานเจ้าอาวาส บรรลัยเลย อาตมาถึงได้ออกระเบียบวัดว่า ถ้าผู้ใดอ้างว่าเป็นพวกพ้องหรือพี่น้องของพระภิกษุในวัด แล้วมาทำผิดระเบียบ ให้ไล่ออกจากวัดไป แล้วห้ามเข้าวัดตลอดชีวิตเลย จะมีระเบียบอยู่ข้อเดียวที่ห้ามเข้าวัดตลอดชีวิต

ตอนแรกมีคนสงสัยว่าน้องเล็กทำอย่างนี้หรือเปล่า ? ปรากฏว่าเขาเพิ่งรู้ว่าน้องเล็กเป็นผู้หญิง ตอนแรกคิดว่าเป็นหลานเจ้าอาวาสที่โทรคุยกันว่าเสียงผู้ชาย แล้วญาติโยมโปรดทราบว่า ก่อนอาตมาบวช บรรดาพี่ทั้ง ๘ คน หาหลานให้อาตมา ๓๒ คน แล้วอาตมาก็ไม่รู้ว่าหลังจากที่บวชไปแล้วมีหลานเพิ่มหรือเปล่า ? แต่ตอนนี้มีเหลน ๒๐ กว่าคนแล้ว เมื่อครู่ก็อุ้มมาคนหนึ่ง คือบรรดาหลาน ๆ โตเป็นหนุ่มเป็นสาว มีลูกเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วเยอะเลย

เถรี 20-09-2014 14:44

ฉะนั้น..ใครอ้างว่าเป็นญาติเจ้าอาวาส ให้พวกเราดูด้วยว่าเป็นญาติเจ้าอาวาสแล้ว มีความประพฤติเหมือนกับเจ้าอาวาสบ้างหรือเปล่า ? ถ้าไม่เหมือนก็เอาปูนกาหัวไว้เลย สมัยก่อนเขากินหมาก สมัยนี้ไม่มีเอาอะไรดี ? เอาบุหรี่จี้หน้าผากก็แล้วกัน สมัยก่อนเขาใช้คำว่า "ปูนหมายหัว" เพราะว่าคนกินหมากกันเยอะ ทำเครื่องหมายเอาไว้ว่าคนนี้คบไม่ได้ สมัยนี้ไม่ค่อยกินหมากกันแล้ว เอาหมากฝรั่งแปะหน้าผากเขาไว้ก็ได้

แบบเดียวกับหลวงพ่อวัดท่าซุง ช่วงอาตมาเป็นหน้าห้องของหลวงพ่อท่าน มีคนมาอ้างเป็นญาติเยอะมาก มีอยู่รายหนึ่งมาถึงก็ส่งบัตรประชาชนให้เลย นามสกุลสังข์สุวรรณ บอกว่ามาจากพัทลุง เป็นญาติของหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาเห็นแก่นามสกุลนี้ก็เลยยอมให้หลวงพ่อด่า โทรศัพท์เข้าไป ปรากฏว่าหลวงพ่อท่านไม่ด่า ท่านบอกว่าให้ไปพบตอนรับแขก คือตอนบ่ายโมงที่ตึกรับแขก อาตมาก็แจ้งเขาไป เขาก็ลังเล ๆ อยู่พักหนึ่ง แล้วท้ายสุดก็กลับไป

จนกระทั่ง ๑๐.๔๕ น. หลวงพ่อออกจากห้องทำงานมานั่งพักผ่อน อาตมาก็เข้าไปกราบถามท่าน บอกว่า “หลวงพ่อครับ เขาเป็นญาติหลวงพ่อนะครับ ผมดูแล้วว่านามสกุลนี้ด้วย” ท่านบอกว่า “แกจำไว้เลยว่า ตอนที่ข้าลำบากไอ้พวกนี้ไม่เคยโผล่หัวมาให้เห็น แต่พอข้าดังขึ้นมาพวกนี้ก็ตั้งใจจะมาโหน จะมาขอความช่วยเหลือ เพราะฉะนั้น..ต่อไปคนประเภทนี้มาแกไม่ต้องเกรงใจ บอกไปรอพบตอนรับแขก”

แล้วอีกรายหนึ่งก็มาอ้างว่า บ้านอยู่ติดกับบ้านหลวงพ่อ รู้จักสนิทสนมกับครอบครัวของหลวงพ่อดี ขอเข้าพบนอกเวลา อาตมาก็โทรเข้าไป หลวงพ่อบอกว่า “แกจำไว้นะ ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า มีลูกหลานพี่น้องนามสกุลสังข์สุวรรณอยู่ ๙คน ที่ดินติดกันหมดเกือบพันไร่ ไม่มีใครบ้านอยู่ใกล้ข้าหรอก พี่น้อง ๙ คนที่นาเกือบพันไร่ ใครจะมาอ้างว่าอยู่ใกล้บ้านข้าได้วะ ?”

พอได้ยินดังนั้นอาตมาก็หูตาสว่าง ใครอ้างขนาดไหนไม่ได้เข้าหรอก พี่น้อง ๙ คนตีว่าถ้ามีที่คนละ ๒๐๐ ไร่ ก็เกือบสองพันไร่แล้ว ท่านใช้คำว่าเกือบพันไร่ แสดงว่ามีคนละเป็นร้อยไร่เลย

เถรี 21-09-2014 15:44

พระอาจารย์กล่าวว่า "ป้าจี๋เคยเข้าห้องพระเครื่องของเว็บพลังจิตไหม ? สักประมาณ ๓-๔ ทุ่มนี่คนเข้ากันเป็นหมื่นคนเลย อย่างไม่มี ๆ ก็สี่ห้าพันคน ฉะนั้น..ไม่ต้องแปลกใจหรอกว่าท่านที่สนใจธรรมะจริง ๆ ทำไมมีไม่เท่าไร"

ถาม : เมื่อก่อนทำบุญก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องวัตถุมงคล ?
ตอบ : การปฏิบัติธรรมแรก ๆ ก็ต้องพึ่งพิงข้างนอก พอนาน ๆ ไปจิตใจเกิดความมั่นคงขึ้นมา ก็ไม่ต้องพึ่งข้างนอกแล้ว แต่ว่าบุคคลที่มีปัญญา โดยความไม่ประมาท ใส่เกราะเอาไว้ย่อมปลอดภัยกว่า อาตมาเองก็พกวัตถุมงคลเป็นปกติ

เถรี 21-09-2014 15:45

ถาม : คุณแม่ฝากมาถามว่าปฏิบัติธรรมแล้วไม่ขึ้นหน้า ไปต่อไม่เป็นครับ ?
ตอบ : ฉะนั้น..ก็จงไม่เป็นต่อไป เมื่อไม่สามารถจะบอกได้ว่าทำไปถึงตรงไหนแล้ว ใครจะบอกต่อได้ว่าทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ?

ถาม : เหมือนกับไม่รู้จะพิจารณาอย่างไร เหมือนเป็นทางว่าง ๆ ?
ตอบ : ต้องให้ท่านมาเอง เพราะรายละเอียดอื่นมีมาก อาตมาซักถามไปคุณก็ตอบไม่ได้หรอก ส่วนใหญ่ที่ทำแล้วไม่ก้าวหน้า ถ้าไม่ใช่ทำเกินก็ทำขาด ปัจจุบันนี้หาคนทำเกินไม่ได้หรอก..มีแต่ขาด

เถรี 21-09-2014 15:49

ถาม : ได้ยินเสียงปั้ง ๆ ๆ ๆ แวบแรกที่ได้ยิน ก็ตกใจกลัวนิดหนึ่ง ?
ตอบ : เป็นธรรมดา ไม่ว่าใครก็ตามที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ก็ย่อมกลัวตายทั้งนั้น อย่าลืมว่าความกลัวทุกชนิด มีสมุฏฐานมาจากความกลัวตาย ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

เถรี 21-09-2014 15:51

พระอาจารย์กล่าวถึงเสื้อยันต์เกราะเพชรพิชัยสงครามว่า “ถ้าจะให้ดีก็ให้ซักตัวเดียว อย่าไปปนกับเสื้ออื่น”

เถรี 22-09-2014 09:46

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระเกจิอาจารย์ของอยุธยาช่วงนี้ มีหลวงพ่อรวย วัดตะโก หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน เวลานิมนต์พุทธาภิเษกเขาก็เอา “รวย เพิ่ม พูน” ต้องบอกว่าชื่อของท่านได้เปรียบ

หลวงปู่พูน วัดบ้านแพน ท่านน่ารักมาก เจอหน้ากันทีไรท่านก็ให้ความรู้ตลอด ต้องบอกว่าท่านเป็นอาจารย์ที่ไม่หวงวิชา คุยกันไปท่านก็ช่วยแนะนำตลอด ที่ขำที่สุดคือไปรับพระครูพร้อมกัน บอกว่า “หลวงพ่อ หลวงพ่ออยู่มาจนเกือบ ๘๐ ปีแล้วนะ นี่ผมเพิ่ง ๕๐ กว่า ฉะนั้น..ผมถือว่าผมมาเร็วแล้วละ”

มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านเล่าเรื่องให้ฟังว่า ไปเจอหลวงพ่อรูปหนึ่งปลุกเสกปลัดขิก ปลักขิกก็ดิ้นดุ๊กดิ๊ก ๆ แล้วก็หล่นจากมือได้ ท่านก็บอกว่า “ข้ากำหนดใจดูแล้ว ก็ไม่ได้มีพลังอะไรเลย แล้วทำให้ปลัดขิกดิ้นได้อย่างไรวะ ?” แล้วท้ายสุดท่านก็สังเกตมือ คือเขาเสกในอุ้งมือ ๒ มือแล้วซ่อนนิ้วก้อยพับไว้ด้านใน พอถึงเวลาก็ใช้นิ้วก้อยช่วยดัน ไปเจอคนเป็นเข้าเขาก็ดู ไอ้นี่พลังสมาธิไม่มีเลย แล้วทำให้ปลัดขิกดิ้นได้อย่างไร ? ความลับเลยแตก

แล้วก็มีหลวงปู่หวล วัดพุทไธศวรรย์ โยมไปถามท่านเรื่องหลวงพ่อเสือดำ เสกจตุคามแล้วดิ้นจากบาตรได้ ท่านบอกว่า “เอ็งเห็นหรือเปล่า เขาเสกท่านี้ (ท่านทำท่าเขย่าให้ดู) แบบนี้ข้าก็เสกให้ดิ้นได้” หลวงพ่อหวลนี่พูดชัดมากเลย แล้วเวลาพระแก่ ๆ ท่านอยู่ด้วยกัน มีหลวงพ่อหวล หลวงพ่อแขก หลวงพ่อพูน ส่วนอาตมาก็เป็นพระเล็กเด็กน้อย ดันโดนนิมนต์ไปร่วมปลุกเสกด้วย ก็ไปนั่งอยู่ในวง ได้ความรู้เพียบเลย ท่านบอกว่า “เขาเสกท่านี้ ข้าก็เสกได้ อย่างไรเดี๋ยวก็เขย่าจนกระเด็นออกจากบาตรเองแหละ” ท่านทำท่าเขย่าให้ดูเลย

เดี๋ยวนี้หลวงพ่อหวล หลวงพ่อแขก เป็นเจ้าคุณกันหมดแล้ว ยังเหลือหลวงพ่อพูนว่าเมื่อไรจะได้เป็นบ้าง เพราะว่ายังเป็นพระครูอยู่ รู้สึกว่าแต่ละปีเขาจะมีตำแหน่งเจ้าคุณให้ฝ่ายพระเกจิอาจารย์ด้วย จะมีคำว่า "มงคล" อยู่ในพระราชทินนามให้รู้ว่ายกขึ้นมา เพราะว่าท่านมีลูกศิษย์ลูกหามากจริง ๆ

อย่างหลวงปู่สุภา ถ้าไม่ได้อยู่ถึงร้อยกว่าปี ก็คงไม่ได้เหมือนกัน ไปได้เป็นพระมงคลวิสุทธิ์ ตอนอายุ ๑๑๔ ปี ถ้าอยู่ไม่ถึงจะได้เป็นไหม ? นึกถึงอีกท่านก็หลวงพ่อสำราญ วัดปากคลองมะขามเฒ่า อายุ ๘๑ ปี แล้วค่อยเป็นพระมงคลชัยสิทธิ์ อาตมาไปกราบถวายมุทิตาสักการะท่าน ถามว่า “หลวงปู่เป็นอย่างไรบ้างครับ เป็นเจ้าคุณแล้วหนักขึ้นบ้างไหม ?” ท่านบอกว่า “เฮ้ย..ข้าก็ทำความดีมา เขาก็ต้องเห็นบ้างสิวะ” โห..เห็นเร็วมากเลยครับหลวงปู่ มาเห็นเอาตอน ๘๐ กว่า ถ้าตายก่อนก็ไม่ได้กับใครหรอก

บางทีเวลาพระเกจิอาจารย์ท่านอยู่ด้วยกัน แล้วท่านไม่มีอะไรจะคุย ท่านก็นั่งกันเงียบ ๆ ส่วนอาตมาเป็นพระเล็กเด็กน้อย เข้าไปขอความรู้เรื่องนี้เรื่องนั้น พอท่านพูดกันขึ้นมา ท่านนั้นนึกได้ ท่านนี้นึกได้ ก็ช่วยเสริมให้ สนุกสนาน"

เถรี 22-09-2014 10:06

ถาม : เคยได้รับตะกรุดจากหลวงพ่อพูนมา ท่านก็สอนว่าให้ใช้อย่างไร ?
ตอบ : "ถึงเวลาจะสู้เอาไว้ข้างหน้า ถึงเวลาจะหนีเอาไว้ข้างหลัง เข้าหาผู้หญิงเอาไว้ข้างซ้าย เข้าหาผู้ใหญ่เอาไว้ข้างขวา" ท่านแนะนำหมด หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพนนี่ ต้องบอกว่าถ้านับแล้วก็เป็นสายเดียวกัน เพราะว่าหลวงพ่อพระครูรัตนาภิรมย์ วัดบ้านแพน ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อฤๅษี อาตมากราบเรียนถามหลวงพ่อพูนว่า “พระครูรัตนาภิรมย์วัดบ้านแพนมี ๒ องค์ องค์ไหนที่เป็นพระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อฤๅษีครับ หลวงปู่จ้อยหรือหลวงปู่อยู่ ? ” ท่านบอกว่าหลวงปู่อยู่ เพราะว่าหลวงปู่จ้อยไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์

พระอุปัชฌาย์สมัยนั้นเขาก็แต่งตั้งเหมือนกัน ถ้าไม่ได้รับการแต่งตั้งก็เป็นพระอุปัชฌาย์ไม่ได้ อาตมาเองไปคิดว่าเป็นหลวงปู่จ้อยอยู่ตั้งนาน เพราะว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยเอ่ยถึงหลวงปู่จ้อยหลายครั้ง แล้วท่านก็งอนิ้วไล่ให้ฟังว่า เจ้าอาวาสตั้งแต่รูปแรกของวัดบ้านแพนมีใครบ้าง จนกระทั่งมาถึงท่าน โห...อายุ ๘๐ นี่ความจำเป๊ะเลย พ.ศ.นั้นถึงพ.ศ.นั้นไม่มีพลาดเลย


ถาม : เป็นความจำหรือความเป็นทิพย์คะ ?
ตอบ : พระที่ปฏิบัติสมาธิภาวนาส่วนใหญ่ความจำจะดี ต้องบอกว่าเป็นความเคยชินด้วย ท่านอยู่วัดของท่านมา ท่านย่อมรู้ว่าเจ้าอาวาสเดิม ๆ เป็นใครบ้าง แต่ถึงขนาดบอก พ.ศ.ละเอียดนี่เราต้องคิดนะ เป็นเราก็จำได้ว่านี่องค์ที่ ๑ องค์ที่ ๒ ไม่ถึงขนาดบอก พ.ศ.ได้ นี่ท่านเล่นไล่ ๑,๒,๓ แต่ละรูปตั้งแต่ พ.ศ. ไหนเลย อยุธยาอย่างหนึ่ง นครปฐมอย่างหนึ่ง ไม่ค่อยขาดพระเกจิอาจารย์ จะต้องมีต่อเนื่องกันมาเรื่อย

เถรี 22-09-2014 10:10

นครปฐมถ้าขาดหลวงปู่แผ้วแล้วก็คงเหลือรุ่นหลัง รุ่นหลังก็มีหลวงพี่ยุ่ง วัดปลักไม้ลาย หลวงพี่โรจน์ วัดสระพัง อย่างไรคงไปไม่ถึงหลวงพี่น้ำฝนหรอก เสาร์อาทิตย์อย่าวิ่งถนนเส้นนั้นนะ รถออกมาจากวัดหลวงปู่แผ้วนี่ เจ้าประคุณเถอะ..พารถติดไปทั้งสายเลย ท่านอาจารย์สังเวียนนี่ได้เปรียบ ทำพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลตอนนั้น ทำตะกรุดเป็นคันรถสิบล้อเลย ถึงเวลางานก็เอาออกจำหน่าย จำหน่ายทีรายรับเป็นล้านเพราะว่าท่านจะเปิดวีดิโอที่เขาลองตะกรุดหลวงปู่แผ้วกันให้ดูเลย

ท่านเคยพูดถึงทีหนึ่งเป็นใครจำไม่ได้ ที่พระรูปนั้นเวลาแจกวัตถุมงคลแล้วเอาขวานฟันหลังให้ ท่านบอกว่า “เอ็งเห็นไหม ?” ตอบว่า "เห็นครับ" ท่านก็บอก “รู้แล้วสิ ?” "รู้ครับ" คือท่านจะเอาขวานวางบนโต๊ะ เอาขวานไถกระดาษขาด แล้วก็ฟันหลังคนปั้ก..! ไม่เป็นไร ขวานนั้นมีคมอยู่แค่มุมหลังนิดเดียว นอกนั้นเขาลบคมหมด เพราะฉะนั้น..เวลาตัดกระดาษท่านจะต้องไถขึ้นหน้าอย่างเดียว ไม่สามารถจะไถกลับหลังได้ ไถกลับหลังกระดาษจะไม่ขาด แล้วเวลาฟันเอาหน้าขวานกินเต็ม ๆ มุมขวานด้านหลังที่มีคมนิดหนึ่งที่งอขึ้นก็ไม่โดน หรือถ้าใครโดนก็จะเป็นรอยเลือดไหลอยู่ด้านล่างนิดหนึ่ง เขาก็คิดว่า โอ๊ย..ฟันแรงขนาดนั้นเลือดออกนิดเดียวเอง เหนียวจริง ๆ

เวลาไปอยู่ ๆ กับพวกนี้แล้วก็ เออ..คนที่ไม่มีความสามารถ ก็พยายามแหกตาให้ชาวบ้านเขาคิดว่ามี ส่วนท่านที่มีความสามารถจริง ๆ ท่านก็นั่งเงียบ ๆ ถึงเวลาคนก็หยิบขวานของท่านไม่ได้ เพราะท่านใส่ย่ามไปเลย ถ้าหยิบขวานมาดูก็จะรู้ มีคมอยู่ตรงปลายหลังหน่อยเดียว ฉะนั้น..เวลาท่านตัดกระดาษท่านจะต้องไถขึ้นหน้า ถ้าขวานคมจริงก็หยิบกระดาษมาตัดให้เขาดูเลยสิ นี่ต้องวางกระดาษกับพื้นแล้วไถเอา

เถรี 22-09-2014 10:11

พระอาจารย์กล่าวว่า "นักเลงสมัยก่อนต้องเก่งจริง ไม่อย่างนั้นไม่ดังหรอก สมัยก่อนนี่แค่ประเภทหัวแตกเขาถือว่าหมดทางหากินแล้ว ไม่เก่งจริง ไม่เหนียวจริง ฉะนั้น..คนสมัยก่อนเขาจะสอนวิธีว่า ตีคมแฝกตีแบบไหนเป็นการตีสั่งสอน ตีแบบไหนที่จะเอาให้ตายเลย

คมแฝกมีแค่ ๒ จังหวะ จังหวะตีจริงกับจังหวะตีหลอก เขาเรียกไม้ยั่วกับไม้ยับ คมแฝกสมัยก่อนมักจะใช้ไม้มะเกลือ อาศัยตัวไม้อย่างเดียวก็หนักอย่าบอกใคร สมัยเด็กอาตมาเคยเล่นอยู่ระยะหนึ่ง แต่ว่าไม่ประทับใจ สู้หนังสติ๊กไม่ได้ หลวงปู่อินทร์ท่านบอกว่า “หนังสติ๊กดีที่สุดไอ้หนู เหนียวเท่าเหนียว ถ้าโดนเข้าไปก็ร้องจ๊ากทุกรายแหละ” ถามว่าทำไม ? ท่านว่ากระสุนดินเป็นปฐวีธาตุ ล้างอาถรรพ์ได้ ฉะนั้น..กระสุน
ดินยิงไปเถอะ เหนียวเท่าเหนียวก็จุกหน้าเขียว"

เถรี 22-09-2014 11:23

ถาม : ป้าเขาบูชาพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านไป เขาอยากให้เป็นมงคลแก่ชีวิต จึงฝากถามว่า ควรจะเริ่มบูชาติดตัววันไหนดี ?
ตอบ : เริ่มได้เลย แต่ที่สำคัญคือให้ภาวนาคาถาเงินล้านทุกวัน บอกป้าว่าต้องขยันนะ

เถรี 22-09-2014 11:40

ถาม : ศาลพระภูมิตั้งผิดทิศ จะถอน ?
ตอบ : ให้จุดธูปบอกว่ากล่าวท่านก่อน ว่าขออนุญาตย้ายไปในทิศที่ถูกต้อง ขอให้ช่วยให้มีความสุขความเจริญด้วย แล้วก็ย้ายไปเถอะ

ถาม : หนูจะนำท่านท้าวมหาราชใส่ไว้ในศาลด้วย ?
ตอบ : ก็ได้อยู่ แต่ท้าวมหาราชท่านเป็นเจ้านายของพระภูมิ ควรจะตั้งอยู่ที่ศาล ๔ เสาไม่ใช่ตั้งที่ศาลพระภูมิ

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เสียดาย ไม่ต้องไปตั้งที่ศาลหรอก เอาบูชาไว้ที่หิ้งพระของเรานั่นแหละ ดีกว่าด้วย กราบพระจะได้กราบท่านไปด้วย

ถาม : แม่เขาจะถอนออกเลย ให้มีแต่ศาลตี่จู้เอี้ย ?
ตอบ : ถ้าถอนออกอย่างไรก็ต้องสร้างใหม่ บอกคุณแม่ด้วยแล้วกันว่า ถ้าถอนออกต้องสร้างใหม่ ไปถอนออกเฉย ๆ เดี๋ยวเป็นเรื่อง

เถรี 22-09-2014 11:48

พระอาจารย์กล่าวว่า "เสกวัตถุมงคลที่ไม่ใช่รูปพระให้มีอานุภาพเหมือนพระนี่สาหัสเลย อาตมาพยายามเลี่ยงสุดชีวิต วัตถุมงคลที่ปลุกเสกง่ายที่สุดคือพระพุทธรูป เพราะว่าเป็นพระอยู่แล้ว ถ้าวัดไหนนิมนต์ไปปลุกเสกพระพุทธรูปจะชอบใจมาก"

ถาม : พระปิดตาคือพระสงฆ์หรือครับ ?
ตอบ : พระปิดตาก็คือพระสงฆ์ อยู่ในพระรัตนตรัยก็ง่ายหน่อย ถ้าหลุดจากพระรัตนตรัยนี่ลำบาก อาตมาถึงได้ชื่นชมหลวงปู่หลวงพ่อที่ทำเครื่องรางของขลัง โดยเฉพาะท่านที่สามารถเสกให้อานุภาพเหมือนพระได้

เถรี 22-09-2014 12:10

พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงบ่ายวันจันทร์ถ้าใครไม่ติดงานก็เจอกันที่วัดราชคฤห์ ถ้าครูบาต้นบุญมาด้วย ก็จะเห็นคนที่เอาปืนลองวัตถุมงคลกันตรง ๆ เสียดายที่อาตมาเป็นพระจึงใช้ปืนไม่ได้ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านรับรองไว้ว่า วัตถุมงคลเหนียวแค่ไหน อาตมาก็ยิงออก เพราะกำลังใจเกินวัตถุมงคล หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเองก็กำลังใจเกินวัตถุมงคล คือยิงออก ท่านบอกว่าถ้าไม่ใช่วาระกรรมจริง ๆ ก็ไม่สามารถที่จะทำให้เขาตายได้

สมัยที่หลวงพ่อท่านขึ้นจากเรือหลวงธนบุรีเพราะว่าเรือไปจมที่เกาะช้าง ก็เท่ากับว่าท่านตกงาน ไม่มีเรือให้ประจำการ ทางกรมตำรวจจึงขอตัวไปเอาไปปราบพวกอ้ายเสือที่หนังเหนียว เพราะหลวงพ่อทั้ง ๓ องค์เป็นประเภทยอดฝีมือ ถ้าเราอ่านประวัติหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่าเฉพาะพวกที่สุดยอดที่ท่านต้องไปยิงทิ้ง เพราะตำรวจอื่นปราบไม่ได้ ก็มีตั้ง ๓๐ กว่าราย

คราวนี้ที่พื้นที่อยุธยามีขาใหญ่อยู่ท่านหนึ่ง ไม่ใช่โจร แต่เหมือนกับเป็นหัวหน้าชุมโจร เพราะว่าเวลาโจรไปปล้นวัวปล้นควายใครมา ก็แวะบอกกับเขาว่าซ่อนไว้ที่ไหน ต้องการค่าไถ่เท่าไร ถ้าเจ้าของมาตามก็ให้บอกเขาด้วย ถ้าเจ้าของเอาค่าไถ่มาส่ง ก็ให้บอกว่าวัวควายอยู่ที่ไหน ตำรวจพยายามจะจับแต่จับแกไม่ได้ เพราะว่ายิงไม่ออก จะค้นบ้านแกบอกไม่ให้ค้น "บ้านข้า ถ้าขึ้นมาค้น พ่อฟันหัวขาดเลย" แกยืนถือดาบอยู่บนบันได ตำรวจจะยิงก็ยิงไม่ออก ขึ้นไปโดนฟันหัวขาดเอาจริง ๆ

ปรากฏว่าพอทางกรมตำรวจขอให้หลวงพ่อไปปราบ ท่านบอกว่า ไปถึงความรู้สึกบอกเลยว่าคนนี้ฆ่าไม่ได้ เพราะว่าเขามีของดีจริง ไปถึงก็ตะโกนเรียก เขาก็ถาม "ไอ้หนูมาทำอะไร ?" "มาขอเลือดลุงเซ่นปืนหน่อย" นักเลงเขาคุยกันอย่างนี้ เขาก็หัวเราะ "ถ้าเอ็งสามารถเอาเลือดข้าออกได้แค่แมลงวันกินอิ่ม ข้ายอมกราบตีนเอ็งเลย"

หลวงพ่อท่านก็เลยต้องยิง ยิงเฉียดสะโพกให้ได้แผลหน่อยหนึ่ง เขายอมกราบจริง ๆ บอกว่า "คนดีมาแล้ว" ตอนหลังหลวงพ่อท่านก็เลยขอร้องว่า มีความสามารถขนาดนี้ให้มาช่วยราชการดีกว่า ก็เลยแนะนำทางกรมตำรวจไป ทางกรมตำรวจก็เลยบรรจุเข้ารับราชการ รู้สึกว่ายศสุดท้ายเป็นร้อยตำรวจเอกขุนบำราบปรปักษ์ พอแกไป ชุมโจรภาคกลางนี่ยอมหมด ไม่มีใครยิงออก แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่าท่านยิงออก แต่ฆ่าเขาไม่ได้ ความรู้สึกบอกชัดว่า คนนี้ฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย ต้องปล่อยไปตามวาระ

พอมีคนทำหน้าที่แทน ไม่นานหลวงพ่อท่านก็มาบวช ไม่อย่างนั้นคงมีอีกหลายศพ ท่านบอกว่าเฉพาะพวกหนังเหนียวที่ตำรวจปราบไม่ได้ ท่านยิงไป ๓๐ กว่าศพ ตอนบวชนี่มานอนเป็นทางเลย เขาไม่ยอมอโหสิกรรมให้ ต้องประเภทนั่งกรรมฐาน อุทิศส่วนกุศล แผ่เมตตา บวชพระให้ตั้งหลายปี กว่าเขาจะยอมยกโทษให้

ถ้าเป็นอาตมามีคนมาขอเลือดเซ่นปืน ก็ต้องคุยกันหน่อย นักเลงท้ากันชัดมากเลย"

เถรี 22-09-2014 12:23

"หลวงพ่อท่านบอกว่าไม่ได้ยิงปืนแม่นตั้งแต่แรกหรอก แต่เกิดจากการฝึก ช่วงนั้นเสด็จในกรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน เป็นเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ มีพลเรือตรีพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ซึ่งเป็นนายทหารเรือที่มีชื่อเสียงมาก ท่านว่าวันนั้นเสด็จในกรมพระกำแพงเพ็ชรฯ เรียกพบ พอ ๓ คนไปถึง เข้าไปเจอเสด็จในกรมพระกำแพงเพ็ชรฯ กำลังเสวยน้ำจัณฑ์ก็คือสุรา อยู่กับเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ

เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ พอท่านเห็นหน้าก็อยากลองฝีมือ ตรัสว่า "เฮ้ย..แกเอามะม่วงลงมาทำน้ำปลาหวานแกล้มเหล้าหน่อย" หลวงพ่อวัดท่าซุงพอได้ฟังก็รู้ท่า ชักปืนยิงเปรี้ยง มะม่วงกระจาย เสด็จในกรมหลวงชุมพรท่าว่า "ทุด..ยิงแบบนั้นจะได้แดกหรือวะ ?" แล้วพระองค์ก็แสดงให้ดู ยิงตัดขั้วมะม่วงลงมาเลย บอกว่ายิงแบบเอ็งไม่ได้แดกหรอก วันนั้นที่เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ แวะไปหาเสด็จในกรมพระกำแพงเพ็ชรฯ เพราะว่าฝรั่งเศสเอาเรือรบมาปิดอ่าว แล้วเขาก็แสดงฝีมือให้คนไทยดู ฝรั่งเศสให้ทหารไทยคาบบุหรี่ไว้ แล้วก็ยิงตัดบุหรี่ได้

เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ท่านบอกว่าหยามเกียรติทหารไทย ท่านจะลงไปเล่นด้วยก็คนละชั้น ท่านเลยมาหาทหารที่มีฝีมือไปแสดงแบบเดียวกันบ้าง เสด็จในกรมพระกำแพงเพ็ชรฯ ก็แนะนำ ๓ ทหารเสือของท่าน แต่ฝีมืออย่างนี้ยังสู้เขาไม่ได้ ท่านบอกว่าให้ไปฝึกยิงให้ได้อย่างเขา อนุมัติให้เบิกกระสุนได้ไม่อั้น ตอนหลังท่านก็ถ่ายทอดคาถากระสุนคด ประเภทยิงไปข้างหน้าไปถูกเป้าข้างหลังอะไรได้

เสียดายว่าเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ไม่ได้เป็นใหญ่เป็นโตเหมือนเสด็จในกรมพระกำแพงเพ็ชรฯ เพราะว่าท่านอยู่ยงคงกระพัน ชอบไปหาหลวงปู่หลวงพ่อเพื่อศึกษาวิชา มีคนไปยุยงในหลวงรัชกาลที่ ๖ ว่าท่านจะชิงบัลลังก์ จึงโดนกดเอาไว้ ส่วนเสด็จในกรมพระกำแพงเพ็ชรฯ
ได้รับความวางพระราชหฤทัย ดำรงตำแหน่งใหญ่ ๆ โต ๆ มีอยู่ช่วงหนึ่งเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ โดนถอดยศ พอโดนถอดยศท่านก็ไปศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ ช่วยรักษาชาวบ้านจนเขาเรียกกันว่า "หมอพร"

จำไว้ว่าลูกผู้ชายไทยต้องรักชาติ ขนาดฝรั่งให้คาบบุหรี่แล้วยิงให้ดู ถือว่าหยามเกียรติกัน ต้องทำให้ได้อย่างนั้น..!"

เถรี 22-09-2014 13:07

พระอาจารย์เล่าว่า "ก่อนปี ๒๕๒๘ วัดท่าซุงงานยังไม่เร่งรัดมาก ตอนเย็น ๆ หลวงพ่อท่านยังแข็งแรง ท่านก็จะเดินตรวจงานรอบวัด พอตรวจงานเสร็จท่านจะมานั่งพักที่ม้านั่งหินอ่อน ตรงหน้าซุ้มประตูวัดหน้าโบสถ์ ตอนนั้นใครจะคุยเรื่องอะไรก็ได้ ท่านคุยด้วยหมด ถ้าเวลาทั่ว ๆ ไปคุยนอกทุ่งนอกท่าไม่เป็นอรรถไม่เป็นธรรมโดนทั้งนั้น

ช่วงนั้นเป็นช่วงผ่อนคลาย เห็นงานเรียบร้อยสบายใจดีท่านก็นั่งคุย แต่หลวงพ่อท่านไปไหนก็มีหมาเป็นองค์รักษ์ ต่อให้ไม่มีพระตาม หมาก็ตาม ตัวแรกก็ "แม่นม" พอแม่นมตายก็เป็น "โคล่า" ลูกแม่นมมาทำหน้าที่แทน รุ่นพวกเราทันแต่โคล่ากระมัง หลายคนก็ไม่ทัน"

เถรี 22-09-2014 13:08

ถาม : พวกน้ำหมักต่าง ๆ รักษาโรคได้จริงหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : โบราณเขาบอกว่าลางเนื้อชอบลางยา บางคนเหมาะกับยาบางอย่าง ดังนั้น..แม้ว่าบางคนรักษาหาย คนอื่นก็ไม่แน่ว่าจะหาย คนที่รักษาหายเขาก็บอกว่าจริง คนที่รักษาไม่หายเขาก็บอกว่าไม่จริง แต่ถ้าเป็นคำแนะนำของอาตมาก็คือ ถ้าราคาไม่แพงมากนักก็ลองดู ถ้าหายก็ถือว่ากุศลยังพอมีอยู่ ถ้าไม่หายก็เสมอตัว ทนป่วยต่อไป

เถรี 22-09-2014 13:09

ถาม : ผมนั่งสมาธิรู้สึกแค่ฌาน ๑, ๒, ๓ หลังจากนั้นตัวก็ลอยไปตามที่ต่าง ๆ ที่ไม่ใช่สภาพแวดล้อมจริง บางครั้งเจอบางคนมาชวนคุยในเรื่องต่าง ๆ พอเราสนใจก็กลับมามีความรู้สึกที่ร่างกายเดิม อยากถามว่าตอนที่ลอยออกไปเป็นฌานอะไรครับ ?
ตอบ : เรื่องของสมาธิ โดยเฉพาะในส่วนของทิพจักขุญาณ หรือในส่วนของมโนมยิทธิ ถ้าเราเห็นได้จะเป็นส่วนของอุปจารสมาธิ ถ้าไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้จะเป็นกำลังของฌาน ๔

ถาม : ตอนที่ลอยออกไปแล้ว ให้ภาวนาต่อ รู้ลมหายใจ หรือคิดเรื่องเฉพาะหน้า ไม่สนใจเรื่องการภาวนาหรือลมหายใจ ?
ตอบ : ถ้าเรากลับมาดูลมหายใจและการภาวนา เท่ากับดึงจิตกลับมาสู่สภาพที่ต่ำกว่า ถ้าดึงกำลังใจมาที่ต่ำกว่าก็ไม่สามารถไปไหนได้ เพราะความรู้สึกทั้งหมดจะกลับมาที่กายเดิม ดังนั้น..ไม่ควรสนใจลมหายใจเข้าออกหรือเรื่องของร่างกาย ปล่อยให้เป็นไปตามเหตุการณ์เฉพาะหน้าตอนนั้น

ถาม : ทำไมตอนที่ออกไปแล้วถึงไม่ใช่สภาพแวดล้อมจริง ?
ตอบ : คุณรู้อย่างไรว่าไม่ใช่สภาพแวดล้อมจริง เนื่องจากว่าเราไปในเขตของความเป็นทิพย์ สภาพแวดล้อมนั้นเป็นสภาพแวดล้อมที่เป็นทิพย์ จะว่าไปแล้วคือสภาพแวดล้อมที่แท้จริง ที่เราเจอทุกวันนี้ของปลอมล้วน ๆ แต่สภาพแวดล้อมที่เป็นทิพย์จริงเฉพาะระดับนั้น มีสภาพที่จริงกว่านั้น ละเอียดกว่านั้นอีก ค่อย ๆ ทำไป

ถาม : เราควรสนใจคนที่มาชวนคุยหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าหากว่าไม่มีจุดมุ่งหมายที่แท้จริงอยู่ที่หนึ่งที่ใด เขาชวนคุยก็คุยด้วย มีโอกาสก็ถามหวยมาแบ่งกันบ้าง..!

เถรี 22-09-2014 13:13

ถาม : ทำอย่างไรถึงจะอยู่ในสภาพที่กายในออกไปได้นาน ๆ ?
ตอบ : ต้องซักซ้อมเรื่องของกำลังสมาธิให้สูงขึ้น และมีความคล่องตัวมากขึ้น ถ้ากำลังสมาธิของเราไม่เพียงพอ ออกไปได้ระยะหนึ่งกำลังตก ก็จะกลับคืนสู่ร่างกายตามเดิม หรือว่าเกิดอะไรที่น่าสนใจขึ้นเกี่ยวกับร่างกาย สภาพจิตจะกลับสู่ร่างกายเอง ก็ไม่สามารถไปต่อได้ ในส่วนที่กำลังตกนั้น ในเมื่อสมาธิของเรากำลังไม่พอ ให้สังเกตว่าความชัดเจนจะหมดไปก่อน หลังจากนั้นพอจิตดึงกลับสู่ร่างกาย ความชัดเจนจะไม่มี จะหายไปเลย

ถาม : ตอนที่ออกไปทำไมไปสวรรค์หรือพระนิพพานไม่ได้ หรือเพราะหาไม่เจอ ?
ตอบ : อันนี้เกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุที่ ๑ ที่สำคัญที่สุด คือไม่ได้พิจารณาตัดร่างกาย ถ้าเราพิจารณาจนเห็นชัดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง สภาพจิตไม่เกาะไม่ห่วงในร่างกาย ก็สามารถที่จะออกไปได้โดยง่าย แล้วจะรู้เห็นได้ละเอียดยิ่ง ๆ ขึ้น

ข้อที่ ๒ คือ เราไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ก่อนว่าจะไปที่ไหน นั่งสมาธิจนอารมณ์ใจทรงตัวแล้ว ให้ตั้งใจว่าเราจะไปที่ไหน แล้วภาวนาต่อไป เมื่อสภาพจิตหลุดออกไป จะตรงไปยังสถานที่ที่เราต้องการ การที่เราออกไปแล้วไปไหนไม่ถูก บางคนออกไปแล้วมืดมาก เปะปะไปหน้าไปหลัง ไปซ้ายไปขวา ไปไม่ถูกแล้วย้อนก็กลับร่างกายตัวเอง ให้รู้ว่าเป็นเพราะเราขาดการพิจารณาวิปัสสนาญาณ ถ้าพิจารณาตัดร่างกายได้ละเอียดเท่าไร ก็สามารถรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ละเอียดเท่านั้น ก็แปลว่านอกจากไม่ได้ตัดร่างกายแล้ว เรายังไม่ได้ตั้งเป้าไว้ด้วยว่าออกไปแล้วจะไปไหน ก็เลยหาสวรรค์หาพระนิพพานไม่เจอ


ถาม : คนที่เข้ามาชวนคุยเป็นใครครับ ?
ตอบ : ตรงนี้ความจริงไม่ต้องถาม ในสภาพความเป็นทิพย์ ทันทีที่อยู่ต่อหน้าเขา สภาพจิตจะรายงานว่าเขาเป็นใคร ถ้าไม่มั่นใจให้ถามเขาด้วยตัวเราเอง ในเขตอื่นเขาไม่มีการโกหกกัน

ถาม : ถ้าทำสมาธิจนกายในออกไปได้แล้ว ต้องทำอย่างไรถึงจะก้าวหน้าในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไป ?
ตอบ : เป็นคำตอบที่ได้ตอบไปแล้วคือ หมั่นพิจารณาในวิปัสสนาญาณต่าง ๆ เอาไว้ ให้รู้เห็นอย่างชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่มีอะไรที่ควรแก่การยึดถือมั่นหมาย เราออกไปในลักษณะนั้นจะเห็นชัดมาก เพราะเหมือนกับการถอดเสื้อ หรือเหมือนกับเราขับรถแล้วออกจากรถไป จะเห็นว่าเสื้อไม่ใช่ตัวเรา รถยนต์ไม่ใช่ของเราอย่างชัดเจน ในเมื่อร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ร่างกายของคนอื่นก็ไม่ใช่ของเรา

ถ้าเห็นกว้างออกไป เออ...ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่ใช่ของเราเลย ไม่มีอะไรควรค่าแก่การยึดถือมั่นหมายทั้งหมด ควรจะพิจารณาบ่อย ๆ ทุกวัน ๆ วันละหลาย ๆ รอบ ยิ่งพิจารณาละเอียดมากขึ้นเท่าไร ความก้าวหน้าในการปฏิบัติจะยิ่งมีมากเท่านั้น

เถรี 22-09-2014 13:14

ถาม : ถ้าเราซื้อวัตถุมงคลมาในราคาถูก แล้วเก็บไว้ขายแพง ๆ จะบาปหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าอีกฝ่ายยินดีซื้อต่อในราคาแพงก็ไม่บาป ถ้าเราไปบีบคอให้เขาซื้อในราคาแพงก็บาป

เถรี 23-09-2014 09:26

พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนนี้รายจ่ายที่หนักของศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย กลายเป็นพวกเครื่องเสียง ไฟฟ้า พัดลม ตอนแรกจะติดเครื่องปรับอากาศ ปรากฏว่ากำลังไฟไม่พอ เขาดูแล้ว พื้นที่หนึ่งไร่แล้วสูงตั้ง ๘ เมตร เครื่องปรับอากาศขนาด ๒๘,๐๐๐ บีทียู ชั้นหนึ่งต้องใช้ ๕๐ ตัวถึงจะพอ ในเมื่อกำลังไฟไม่พอ ก็เลยเปลี่ยนเป็นพัดลมแทน ติดพัดลมไม่ต้องนับตัวกันเลย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะไม่เย็น

ชั้นสองก็ติดเท่ากับชั้นแรก ยกเว้นไฟฟ้าแสงสว่างที่ลดกำลังวัตต์ลงได้ เพราะแค่สูง ๔ เมตร เพดานเตี้ยกว่า อะไรที่เราคิดว่าเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่น่าจะมาก เช่น มุ้งลวดเหล็กดัด หน้าต่างกระจก ของชั้นแรกโดนไปสองล้านกว่าบาท เหล็กดัดชั้นเดียว ช่างตีราคามาล้านสี่แสนกว่าบาท เพราะว่าทำทั้งทีก็อย่าให้น่าเกลียด จึงสั่งทำเป็นเสตนเลส คราวนี้ช่องหน้าต่างแต่ละช่องยาวเกือบ ๘ เมตร แต่ละช่องเท่ากับรั้วบ้านเลย จะไม่ติดก็ไม่ได้ เพราะจะเอาพระพุทธรูปเก่าที่มีราคาไปไว้ให้โยมได้เห็น ได้กราบ ได้ไหว้ รู้สึกว่าท้าทายดีเหมือนกัน เผื่อจะมีคนระเบิดตึกเข้าไปขโมย

ขนาดย้ำกับช่างว่าไม่ใช่กระชากทีเดียวหลุดนะ ต้องแข็งแรงที่สุด ช่างบอกว่าขอเวลาดำเนินการ ๓ เดือน แค่มุ้งลวดเหล็กดัดอย่างเดียวใช้เวลา ๓ เดือน ที่จะใช้ศาลาในงานทำบุญถวายหลวงปู่สาย วันที่ ๑๔ กันยายนคราวนี้ยังไม่มีพระประธาน พระประธานจะหล่อปีหน้า ในส่วนของไฟฟ้าแสงสว่าง พัดลมและพระประธาน พระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม วัดปากน้ำภาษีเจริญและคณะศิษย์ ขอเป็นเจ้าภาพทั้งหมด ส่วนเครื่องเสียงนั้น ชมรมโมทนาบุญเว็บพลังจิต โดยคุณชยาคมน์ ธรรมปรีชา ขอเป็นเจ้าภาพ จะจัดเป็นผ้าป่าไปถวายเป็นค่าเครื่องเสียงทั้งหมดในศาลา

มณฑปตั้งพระพุทธรูปทองคำนั้น คาดว่า
กว่าที่ช่างจะทำให้ได้ก็ต้องปีหน้า ช่วงนี้กำลังถ่ายแบบอยู่ ออกแบบแล้วต้องมาเขียนรายละเอียด กว้างเท่าไร สูงเท่าไร ขั้นตอนนี้ช้ามาก ช่างต้องคำนวณละเอียด เสร็จแล้วต้องเอาช่างฝีมือระดับสุดยอดเซียนมาทำ นอกจากช้าแล้วยังแพงอีกต่างหาก

เคยเห็นบุษบกตั้งพระธาตุหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่สิงห์ หลวงปู่มั่นไหม ? จะทำหน้าตาแบบนั้นแหละ จะเป็นบุษบกลักษณะเหมือนกับเรือแล้วมี ๓ ยอด ของเราจะเพิ่มบุษบกเล็ก ไว้สำหรับพระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว สำหรับพระพุทธรูปทองคำองค์เล็กและ พระพุทธรูปหยกองค์เล็ก ช่างไปออกแบบเป็นปีแล้ว ออกแบบไม่นาน แต่ถ่ายแบบช้า เพราะ
ต้องแจงรายละเอียดออกมาว่า แต่ละชิ้นกว้างเท่าไร ยาวเท่าไร ใช้วัตถุแบบไหน กะว่าให้เวลาเขาสัก ๒ ปี พอเสร็จที ให้โยมเข้าไปเห็นก็ โอ้โห..อลังการ จะตั้งพระทองคำทั้งที เอาให้สวยแบบสุด ๆ ไปเลย ไม่ต้องไปเสียดายเงิน"

เถรี 23-09-2014 09:31

พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนไปรดน้ำศพป้านิภาและช่วยเอาลงโลง ป้าเขาไปง่าย ๆ เลย นั่งคุย ๆ แล้วอยู่ ๆ ก็เงียบไปเฉย ๆ กว่าลูกหลานจะรู้ หมดลมไปสักพักหนึ่งแล้ว ป้านิภาอายุ ๙๑ ปี ไม่เสียทีที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง ปฏิบัติธรรมมาตลอด ป้านิภาตายแล้วไปดี

เขาบอกว่ารดน้ำศพ ๔ โมงเย็น จัดงานศพที่วัดรางขาม
ที่บ่อพลอย อยู่ใกล้ ๆ จุฬามณีที่ป้าเขาอยู่ อาตมาวิ่งจากกรุงเทพฯ ไป พอเอาศพลงเรียบร้อย มอบปัจจัยให้ลูกสาวป้า ๑๐,๐๐๐ บาท บอกว่าขอร่วมจัดงานศพให้ป้านิภาด้วย อาตมาไม่ได้มาเผาหรอกเพราะติดงาน

บรรดาลูกศิษย์ก็เหงาเลย ก่อนหน้านี้มีอะไรก็ต้องพึ่งป้านิภา ป้าเขาฝึกมโนมยิทธิมาแล้วใช้ในลักษณะดูหมอ บรรดาลูกศิษย์ลูกหาเยอะมาก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้แล้วว่า มโนมยิทธิถ้าไม่ถึงระดับดูหมอได้ ยังไม่จัดว่าคล่องตัว ฉะนั้น...ต้องดูหมอได้ ดูได้ต้องดูตรงด้วยนะ ไม่ใช่มั่วเอา"

เถรี 23-09-2014 14:06

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีระเบียบบังคับไม่ให้เจ้าอาวาสออกใบอนุโมทนาบัตรเกิน ๕ แสนบาท เขากลัวจะมีปัญหาเรื่องไปขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สมัยเจ้าคุณ...ท่านเล่นออกใบอนุโมทนาบัตรครั้งหนึ่งเป็น ๑๐ ล้าน แต่โยมอาจจะถวายแค่ล้านเดียว พอยอดบริจาคถึงก็ไปขอเครื่องราชฯ ได้ คุณหญิงคุณนายเขาก็ชอบ

จนกระทั่งเจ้าคุณ...ท่านโดนจับสึก เขาก็เลยออกระเบียบบังคับไว้ว่า เจ้าอาวาสออกใบอนุโมทนาบัตรได้สูงสุดไม่เกิน ๕ แสนบาท ครอบครัวแสงอุทัยบริจาคมาล้านบาทเศษ ไม่ได้ต้องการใบอนุโมทนาบัตรหรอก แต่พระเอาโปร่งใสไว้ก่อนดีกว่า อาตมาจึงออกใบอนุโมทนาบัตรให้ แต่ต้องแยกเป็นใบละไม่เกินห้าแสนบาท"

เถรี 23-09-2014 14:38

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานเพิ่งจะรู้ว่าเครื่องใช้สำนักงานลดราคาได้ถึงครึ่งหนึ่ง สั่งโต๊ะคอมพิวเตอร์ ๖ ตัวให้ห้องสมุด เพื่อให้เขาใช้ค้นคว้าข้อมูลกัน ราคาตัวละ ๗,๕๐๐ บาท ลดฮวบลดมาครึ่ง ส่งถึงทองผาภูมิเลย เพราะว่าอาตมาใช้ของเขามาตลอด ตู้หนังสือยุคแรก ๆ ๒๐-๓๐ ใบก็ของเขาทั้งหมด โต๊ะหนังสือก็ใช่ อาตมาสามารถวางหนังสือเต็มชั้นตู้โดยที่เหล็กรองของเขาไม่แอ่น ยี่ห้ออื่นแอ่นหมดเลย

เปิดห้องสมุดทั้งทีก็ให้มีอินเตอร์เน็ตบ้าง แต่ถ้าใครไปเล่นเกม จะโดนตบกะโหลก...! เพราะว่าทางองค์การโทรศัพท์เขาให้ฟรีมา ๑ ช่อง เขาขอเช่าที่ของวัดท่าขนุนเพื่อตั้งเครื่องส่งสัญญาณไวร์เลสให้ครอบคลุมทั้งอำเภอ เนื่องจากยอดเขาอยู่ในวัด อาตมาบอกเขาว่าไม่อยากเก็บค่าเช่า เขาเลยตกลงให้ทางวัดใช้คลื่นฟรี ๑ ช่อง

ตอนนี้หนังสือเข้าไปเยอะแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่ได้จัดเป็นหมวดหมู่ที่ชัดเจน เพราะว่าอันดับแรก..หนังสือมีไม่ครบทุกประเภท อันดับสอง..คนจัดไม่มีเวลา ได้แต่ขอร้องว่า ใครอ่านแล้วช่วยใส่คืนที่เดิมด้วย พอศาลาใหญ่ข้างในใช้ได้ ก็จะเปิดห้องสมุดได้เต็มที่ ไม่ต้องใช้พื้นที่จัดงานแล้ว ถ้าศาลาใหญ่ยังใช้ไม่ได้ ก็ต้องอาศัยจัดงานที่ห้องสมุดใต้ฐานพระ ซึ่งกว้างเท่ากับศาลาหลังหนึ่ง ฐานพระขนาด ๙๐๐ ตารางเมตร ส่วนศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย ๑,๖๐๐ ตารางเมตร"

เถรี 23-09-2014 15:01

ถาม : คนที่เสกของ ระหว่างทำปรากฏว่าตัวเองหายและของหาย เหลือแต่ความว่าง พระอาจารย์เคยเป็นไหมครับ ?
ตอบ : ต้องตัวเองหายก่อน

ถาม : เป็นเพราะอะไรครับ ?
ตอบ : ถ้าพิจารณาจนถึงระดับนั้น เขาเรียกว่า อภิญญาผลสมาบัติ ไม่ใช่สมาบัติทั่วไป เพราะเป็นสมาบัติที่ประกอบไปด้วยวิปัสสนาญาณคือความรู้แจ้ง ว่าร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นสาระแก่นสาร ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา

ถาม : แต่คนธรรมดาก็ทำได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าทำถึงก็ได้ ดึงกำลังใจให้เท่าพระโสดาบันขึ้นไปก็เป็นอภิญญาสมาบัติ

ถาม : แต่ได้แค่พักเดียวครับ
ตอบ : เราก็เอาแค่พักเดียว จะไปเอาอะไรมากมาย

ถาม : จะได้ทุกครั้งไหมครับ ?
ตอบ : อยู่ที่คุณเอง ไปถามคนอื่นไม่ได้หรอก

เถรี 23-09-2014 15:03

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เสือมเหศวรเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปส่งบ้าน ปรากฏว่ามอเตอร์ไซค์วิ่งออกนอกทาง คนขับไม่รู้จักแก เห็นแกอ้วน ๆ แต่งตัวดีหน่อย คาดว่าคงเป็นคหบดีบ้านนอกพกเงินเยอะ กะจะปล้น โดยอ้างว่าเป็นทางลัด พอไปถึงกลางดงอ้อยเบรกเอี๊ยด..! หันมาเจอเสือมเหศวรเอาปืนจิ้มพุง บอกว่า "มึงยังอ่อนนักไอ้หนู มึงยังไม่ทันจะเกิดเลย กูก็เลิกหากินแล้ว" แกเล่าให้ฟัง อาตมาก็ขำ"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:43


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว