![]() |
๙. ให้ถือทุกอย่างเป็นกรรมฐาน ห้ามบ่นถึงสุขภาพไม่ดี ห้ามบ่นถึงโชคชะตาไม่ดี เพราะทุกอย่างล้วนเป็นครูทดสอบอารมณ์จิตของตน ทุกคนที่ปรารถนาจักไปพระนิพพาน ก็จักต้องมีข้อทดสอบทยอยเข้ามากระทบอยู่เนือง ๆ ให้พิจารณาเข้าหาทุกข์ อันเป็นอริยสัจ กรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ อันเป็นตัวปัญญาสูงสุดในพุทธศาสนาเป็นหลักสำคัญ
พิจารณาเข้าหาสัทธรรมทั้ง ๕ ซึ่งทุกคนจักต้องพบ คือความปรารถนาไม่สมหวังก็เป็นทุกข์ หากจิตไม่ยอมรับ.. จิตก็จักดิ้นรน ก็ยิ่งเพิ่มทุกข์ให้กับจิตตนเองเป็นธรรมดา ให้พิจารณาตามเหตุตามผลตามความเป็นจริง จิตที่ยอมรับในกฎของกรรมก็จักคลายความเดือดร้อนลงได้มาก คือรู้อย่างผู้มีปัญญา ฉลาดในธรรม รู้ว่าสิ่งใดเป็นบุญกุศล สิ่งใดเป็นบาปอกุศล รู้แล้วยอมรับในกฎของกรรม กฎของธรรมดาอันเป็นอริยสัจ จิตก็จักไม่ปรุงแต่ง หรือหวั่นไหวไปในกรรมนั้น ๆ ทุกอย่างเป็นธรรมดาหมด จิตก็สงบเป็นสุข เป็นอัพยากตธรรม หรืออัพยากตาธรรมา จำไว้พระตถาคตเจ้าทั้งหลายสอนให้พ้นทุกข์ ด้วยการให้รู้จักตัวทุกข์จึงจักพ้นทุกข์ได้ มิใช่สอนให้หนีทุกข์ และไม่รู้จักตัวทุกข์ก็พ้นทุกข์ไม่ได้ ก็คือ อริยสัจหรือกรรมทั้งหลายมาแต่เหตุนั่นเอง |
๑๐. ร่างกายที่ประกอบด้วยกายกับจิต คือตู้พระไตรปิฎกแสดงธรรมอยู่ตลอดเวลา พวกเจ้ามีปัญญาก็เห็น ไม่มีปัญญาก็ไม่เห็น เช่น มีความไม่เที่ยงอยู่เป็นปกติ กาย - เวทนา อารมณ์ของจิต และธรรมะที่เป็นสมมติธรรม ล้วนเกิด - ดับ ๆ เป็นสันตติธรรม เกิด - ดับ ๆ อยู่อย่างนั้น ยึดถือเข้าก็เป็นทุกข์ ผู้รู้ไปรู้ธรรมเกิด - ดับ หรือธรรมไม่เที่ยงทั้ง ๔ นี้ก็คือตัวเรา หรือจิตใจ หรือจุติวิญญาณที่มาอาศัยร่างกายที่ไม่เที่ยงนี้อยู่ชั่วคราวตามกฎของกรรม แล้วเห็นความตายของร่างกายนี้เป็นธรรมดา ทุกชีวิตหนีความตายไม่พ้น ให้พิจารณาไปจนจิตปล่อยวางร่างกาย เบื่อหน่ายในร่างกาย แล้วตั้งใจมั่นว่าจักไม่กลับมามีร่างกายอย่างนี้อีกต่อไป ในแนวทางของวิปัสสนาญาณ ๙ หรือตามปกิณกธรรมที่ให้ไว้มากมายหลายวิธี ล้วนเป็นอุบายในการพิจารณาเพื่อละ ปล่อย – วางร่างกาย หรือขันธ์ ๕ ว่ามันหาใช่เรา หาใช่ของเราไม่
จิตเราชอบอุบายใดก็ให้เร่งรัดปฏิบัติตามอุบายนั้น ๆ โดยมีสังโยชน์ ๑๐ เป็นเครื่องวัด ซึ่งหากเข้าใจก็คือมุ่งให้เกิดอธิศีล-อธิจิต และอธิปัญญาตามลำดับนั่นเอง และมีบารมี ๑๐ เป็นเครื่องช่วย มีอานาปานุสติที่จักต้องเจริญอยู่ตลอดเวลา เพื่อระงับนิวรณ์ทั้ง ๕ ทำจิตให้สงบเป็นสุข ช่วยระงับเวทนาของกายไปด้วยในตัว พิจารณากายคตาฯ ควบอสุภกรรมฐาน และมรณาฯ ควบอุปสมานุสติอยู่เสมอ ด้วยความไม่ประมาทในชีวิต จิตใครจิตมัน จักต้องรีบปฏิบัติธรรมให้เห็นผลที่จิตของตนเอง เพราะธรรมของตถาคตเป็นปัจจัตตัง ทุกอย่างมุ่งหวังพระนิพพานเป็นหลักใหญ่ แต่อย่าคิดเอาตัวรอดแต่ผู้เดียว ในพุทธศาสนาจักเกื้อกูลกันเป็นทอด ๆ เพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนา ไม่ใช่สอนให้เห็นแก่ตัว แต่ที่สำคัญ จักต้องตัดสังโยชน์เบื้องต่ำ ๓ ข้อแรกให้ได้ก่อน คือพ้นจากอบายภูมิ ๔ จิตเป็นพระโสดาบันแล้วจึงจักออกประกาศพระพุทธศาสนาได้ เพราะจักไม่สอนผิด ไม่พูดผิด ๆ ในพระธรรมคำสั่งสอนของตถาคต ไม่สงสัยในธรรมของตถาคตเรื่องพระนิพพานแล้ว จิตรู้แค่ไหนก็สอนแค่นั้น ไม่เดาส่ง ไม่คาดคะเนเอาแบบโหร ไม่แสดงธรรมที่ยังไม่มีในตนเป็นอันขาด |
๑๑. อย่าไปเอาวิชา - ความรู้ - ศักดิ์ศรี - ฐานะ - ตระกูล มาเป็นเครื่องตัดกิเลส เพราะนั่นเป็นเพียงสิ่งภายนอก มิใช่ตัวจิตแท้ ๆ ถ้าไปยึดถือเอาก็เป็นมานะกิเลส ให้พิจารณาถึงตัวจิตล้วน ๆ วิชาความรู้นั้นเกิดจากสัญญา แต่วิชาในพุทธศาสนา คนที่ไม่ได้ศึกษาวิชาทางโลกมาเลย เช่น ชาวนา - ชาวสวน – ชาวไร่ มาศึกษาวิชาทางธรรม ก็ยังจบกิจได้ โดยอาศัยปัญญาตัดกิเลสในจิตของตนเอง คือธรรมภายในอันมี ศีล – สมาธิ - ปัญญา ซึ่งเป็นธรรมภายใน หรือ ทาน - ศีล - ภาวนา ซึ่งเป็นปฏิบัติบูชา เป็นกรรมหรือการกระทำทาง กาย - วาจา - ใจ ของตนเอง หาได้เกี่ยวกับ วิชา - ความรู้ - ศักดิ์ศรี - ฐานะ หรือตระกูลแม้แต่อันใด
ดังนั้น จงอย่าไปติดแม้อันใดอันหนึ่งที่ว่ามานี้ เพราะปุถุชนมีความทะเยอทะยานอยาก ไม่รู้จักพอในสิ่งเหล่านี้ (จิตพร่องอยู่เป็นนิจ เพราะตกเป็นทาสของตัณหา) กล่าวคือ อยากมีวิชาดี - ความรู้ดี - ศักดิ์ศรีดี - ฐานะดี และตระกูลดี จักดีแค่ไหนก็ยังไม่รู้จักพอ ยังจักขอให้ดีกว่าบุคคลอื่น จำไว้..ในการปฏิบัติธรรมเพื่อนำไปสู่ความหลุดพ้น จงอย่าหวังผลตอบแทนในการกระทำความดีทั้งหมด แม้แต่คำว่าขอบใจหรือคำสรรเสริญ เรามุ่งทำเพื่อพระนิพพานจุดเดียว หากทำได้จิตจักเป็นสุขเป็นที่สุด อย่าไปเอาอารมณ์ของปุถุชนมาเป็นอารมณ์ของตน เพราะปุถุชนทำอะไรนิดหนึ่งก็หวังผลตอบแทนเป็นธรรมดา และคำว่าทำดีแล้วจงอย่าติดดี ก็คือการกระทำดีที่เป็นกุศล แล้วไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น แม้แต่คำสรรเสริญจากบุคคลภายนอก แต่ก็ต้องไม่สรรเสริญตนเองด้วย |
๑๒. คุณหมอสบสันต์มีโอกาสบวช ก็นับว่าโชคดี เพราะโอกาสอย่างนี้หาได้ยาก การปฏิบัติของคุณหมอก็ไม่ทิ้งกรรมฐานอยู่แล้ว เรียกว่าเข้าถึงพระพุทธศาสนาได้เต็มตัว ทั้งกาย - วาจา - ใจ เมื่อเข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ก็เป็นโชคดี เพราะโอกาสอำนวย หนทางทุกอย่างเปิดช่องให้สะดวกหมด แต่สำหรับคุณหมอสมศักดิ์นั้น โอกาสยังไม่มี การบวชเป็นเรื่องของบุญวาสนาบารมีด้วย อยู่ที่ความพร้อมของกายหรือครอบครัวด้วย เมื่อคุณหมอยังไม่สะดวกก็บวชใจไปพลาง ๆ ก่อน ตัดสังโยชน์ ๑๐ ได้ขาด ก็เป็นพระอรหันต์ได้เช่นกัน ทุกอย่างเป็นบุญกรรมที่ทำเอาไว้ก่อนในอดีต การบวชใจบวชได้ทุกคน แต่การบวชกายนั้นมีได้แต่เฉพาะบางคนเท่านั้น
|
(พระธรรม ที่ทรงตรัสสอนในเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๐) ปกิณกธรรม สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสสอนปกิณกธรรมไว้ มีความสำคัญดังนี้ ๑. ร่างกายไม่มีสาระแก่นสารก็จริงอยู่ แต่ถ้าใช้ให้เป็นก็เป็นประโยชน์ได้ อย่างใช้ร่างกายไปสร้างความดีก็เป็นกุศล เรียกว่าใช้ร่างกายไปในทางที่ถูก เป็นหนทางของการสร้างบารมี แต่ถ้ากำลังใจเลว ก็ใช้ร่างกายไปทำบาปเป็นอกุศล ทั้งนี้ทั้งนั้น คนเราหรือร่างกายจักทำเลวหรือดีได้ ก็อยู่ที่จิตเป็นผู้บงการ เพราะฉะนั้น จงดูอารมณ์จิตของตนเองเอาไว้ให้ดี อย่าให้กรรมอกุศลเข้ามาครอบงำจิต ให้พิจารณาร่างกายย้อนไปย้อนมาจนกระทั่งเป็นหนุ่มเป็นสาว จนกระทั่งแก่ จนกระทั่งตาย ร่างกายนี้หาความเที่ยงไม่ได้เลย มีแต่ความแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา แม้เวทนาก็เหมือนกัน แต่เด็กมาก็เคยเจ็บ - ป่วยอยู่เสมอ มันก็ไม่เที่ยง มันเป็นได้มันก็หายได้ เป็น ๆ หาย ๆ ป่วยก็เป็นทุกขเวทนา พอหายก็เหมือนกับเป็นสุขเวทนา แต่จริง ๆ มันทุกข์น้อยลงเท่านั้นเอง หากคิดให้ดี ๆ ร่างกายนี้ไม่มีเวลาสุขจริงเลย มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย แสดงธรรมที่ไม่เที่ยงอยู่ตลอดเวลา หากจิตพิจารณาบ่อย ๆ ทำอย่างต่อเนื่องก็จักเห็นสันตติธรรม เห็นกายมันเกิด - ดับ ๆ อยู่เหมือนกับสายน้ำไหล ไม่มีเวลาหยุด ระหว่างที่กายยังไม่ตาย ก็ต้องเป็นภาระดูแลมัน (ภาราหะเว ปัญจักขันธา) ให้ร่างกายเป็นสุขในทางสายกลาง พอยังอัตภาพให้เป็นไป ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป คือสบายเกินไป หรืออยู่อย่างเบียดเบียนร่างกายเกินไป จักต้องอยู่ในความพอดีโดยอาศัยพรหมวิหาร ๔ เป็นหลักในการปฏิบัติ |
๒. อย่าไปแก้กรรมของใคร อย่าไปรับกรรมของใคร ให้ปล่อยวาง กรรมใครกรรมมัน เพราะทุกคนต่างก็มีกรรมหนักที่จักต้องเลี้ยงดูร่างกายตนเองและครอบครัวซึ่งหนักอยู่แล้ว หากขาดปัญญาก็มักจักไปยุ่งกับกรรมของผู้อื่น ในบางครั้งทั้ง ๆ ที่มีเจตนาดี หากไปทำกรรมที่เป็นโทษ โดยคิดว่ามันไม่เป็นโทษ ก็ยังเป็นโทษอยู่ดี อนึ่ง.. จงอย่าไปบังคับศรัทธาของผู้อื่น เพราะการศรัทธาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน ให้จิตปล่อยวางกรรมของผู้อื่นด้วยปัญญา อย่าเอาแค่สัญญา
|
๓. อย่าเศร้าใจ อย่าเสียใจ เมื่อถูกกระทบโดยอายตนสัมผัส ให้เห็นทุกอย่างเป็นครูหรือบทเรียนสอนใจ ปรับจิตให้เห็นธรรมดาในเรื่องของทุกเรื่องไป ให้เอาเรื่องที่เข้ามากระทบนั้นเป็นพระกรรมฐานทั้งหมด และอย่าไปโทษใครว่าทำให้เราเป็นทุกข์ ให้โทษความโง่ของเราเองที่หลงเกิดมามีขันธ์ ๕ ทำให้ต้องพบกับความทุกข์กับสัทธรรมทั้ง ๕ อย่างหนีไม่พ้น ทุกๆ ครั้งที่เกิดมามีร่างกาย ใช้ปัญญาให้ยอมรับกฎของกรรมอันเป็นอริยสัจ ทำจิตของเราให้ผ่องใส บริสุทธิ์ใจเข้าไว้กับทุก ๆ คน จักทำให้เข้าถึงพระนิพพานได้โดยง่าย
|
๔. ร่างกายไม่มีสาระแก่นสาร แต่เหตุไฉนจึงเป็นที่ผูกพันของจิตมาเป็นอสงไขยกัปนับไม่ถ้วน หากไม่หมั่นพิจารณาร่างกาย จักออกจากกองสังขารนี้ได้อย่างไรกัน ขอพวกเจ้าจงอย่าขี้เกียจ แม้จิตมันจักคร้าน ไม่ขยัน ก็ให้พยายามพิจารณาวันละนิด วันละหน่อย เหมือนดังสมัยรักษาศีล ตั้งใจไม่ให้ศีลขาด - ศีลด่าง - ศีลพร่อง ก็ระมัดระวังอยู่ การพิจารณาร่างกายก็เช่นกัน หรือแม้แต่การพิจารณาอารมณ์จิตก็เช่นกัน มีอะไรมากระทบจิต ทำให้ความทุกข์เกิดขึ้นแก่จิต ลักษณะอาการของความทุกข์ย่อมกำหนดรู้ได้ เพราะเป็นเครื่องเสียดแทง เมื่อรู้ก็พึงหมั่นละ - ปล่อย - วางอารมณ์ที่เป็นทุกข์ให้ออกไปจากจิต ต้องค่อย ๆ ทำไป มิใช่จักฝึกได้กันในวันสองวันเท่านั้น
อย่าลืม พระสาวกกว่าจักบรรลุได้ต้องอาศัยเวลาบำเพ็ญบารมีตั้งหนึ่งอสงไขยกำไรแสนกัป พวกเจ้าแม้จักบำเพ็ญบารมีตามท่านฤๅษีมามากก็จริงอยู่ แต่ก็เพิ่งจักมาลาพุทธภูมิตามท่านฤๅษีในชาตินี้ พุทธภูมิที่บำเพ็ญมาไม่ได้บำเพ็ญเพื่อเป็นพระอริยเจ้า เมื่อลาพุทธภูมิก็ต้องมาขึ้นต้นกันใหม่ แม้อารมณ์พุทธภูมิจักเข้มข้นกว่าพระสาวกก็ตาม การรู้มากก็มิใช่ว่าจักดีเสมอไป เพราะจับหนทางไม่ถูก เรียกว่ากรรมฐาน ๔๐ กองนั้น ตั้งท่าว่าจักชอบหมดทุกกอง เลยจับอะไรไม่ถูก เรียกว่าส่วนใหญ่รู้ดี แต่จิตยังเข้าไม่ถึงความดีอย่างแท้จริง คือ การกำหนดรู้ตัดสังโยชน์ ๑๐ ยังมีกำลังอ่อนไป จึงจำเป็นต้องหมั่นฝึกฝนการพิจารณาร่างกาย และอารมณ์ของจิตที่เข้ามากระทบให้เกิดทุกข์ขึ้นบ่อย ๆ มาถึงจุดนี้แล้วก็จักเห็นว่า เกาะสุขก็เป็นทุกข์ เพราะสุขทางโลกก็ไม่เที่ยง หากไม่เข้าใจจุดนี้ จิตก็จักมีอุปาทาน หลงแสวงหาสุขที่ไม่เที่ยงนั้น ๆ ซึ่งต่างกับสภาวะจิตที่เข้าถึงพระนิพพาน ไม่สุข - ไม่ทุกข์ ไม่เกิด - ไม่ดับ เป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง กล่าวคือกิเลสทั้งปวงไม่มีเข้ามากล้ำกลายในจิต จิตไม่มีอาการเสียดแทงหรือหวั่นไหวด้วยประการทั้งปวง (มีผู้เข้าใจผิดเป็นอันมากว่า พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์สาวกก็ดี เป็นผู้ไกลจากกิเลส) พึงพิจารณาจุดนี้ให้ดี เห็นอารมณ์แล้ว หมั่นสอบจิต สำรวมจิต ระมัดระวังจิต หากรู้ไม่เท่าทันก็สอบตกอยู่เป็นธรรมดา จงอย่าละความเพียรเสียอย่างเดียว แล้วที่สุดจิตจักรู้หนทางหลุดพ้นได้เอง |
๕. มองเห็นโทษของทุกขเวทนาแล้ว ก็พึงมองไปถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์นั้นด้วย เมื่อเห็นต้นเหตุ คือสมุทัยนั่นแหละ จึงพึงแก้ที่ต้นเหตุ ไม่มีทุกข์อันใดหรือโทษอันใดที่รู้ต้นเหตุแล้ว จิตนั้นจักล่วงทุกข์ไม่ได้ นอกเสียจากว่าเป็นอาภัพพบุคคล ที่ธรรมะของตถาคตเจ้าทั้งหลายโปรดไม่ได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกำลังใจอย่างเดียวเท่านั้น หากบุคคลใดเดินให้ตรงทางของ ศีล - สมาธิ - ปัญญา หรือมรรค ๘ แล้ว จึงจักล่วงทุกข์ไปได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกำลังใจอย่างเดียว แม้ร่างกายจักไม่ดี ก็ขอให้รักษากำลังใจให้ดีไว้ก็แล้วกัน
|
๖. มองทุกสิ่งทุกอย่างในโลกก็ไม่เที่ยง ยึดถือเข้าก็เป็นทุกข์ ทุกอย่างที่สุดเป็นอนัตตา โลกนี้ทั้งโลกในที่สุดแล้วไม่มีอะไรเหลือ อย่าคิดหวังพึ่งโลกอีกต่อไป และให้พิจารณาตัด - ปล่อย - วางอุปาทานขันธ์ ๕ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จักมากได้ กฎของกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำซ้อน ก็ให้เห็นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะกรรมใดที่จิตเราไม่เคยก่อไว้ในอดีต วิบากนั้น ๆ จักเกิดขึ้นกับเรานั้นเป็นไปไม่ได้ ที่เป็นทุกข์นั้นเพราะจิตมันฝืน ไม่ยอมรับนับถือกฎของกรรมจึงทำให้ทุกข์ ต้องฝึกฝนอบรมจิต อย่าให้ดิ้นรนไปฝืนโลกฝืนธรรมแล้วจิตจักเป็นสุข โดยการยอมรับนับถือกฎของธรรม กฎธรรมดาของขันธ์ ๕ ทุกอย่างล้วนเป็นธรรมดาทั้งสิ้น สิ่งใดไม่ดีอย่าจำมาทำร้ายจิตของตนเอง ทิ้งออกไปให้หมด ตั้งหน้าตั้งตาเดินไปตามศีล - สมาธิ - ปัญญาอย่างไม่หยุดยั้ง อย่าท้อถอย แล้วสักวันหนึ่งก็จักถึงจุดหมายปลายทางได้เอง
|
๗. ร่างกายไม่มีแก่นสารก็จริงอยู่ แต่เมื่อมีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนร่างกาย ก็จำเป็นที่จักต้องหาทางรักษาเพื่อบรรเทาทุกขเวทนาของร่างกาย จักได้ไม่ส่งผลมาถึงจิต ทำให้จิตพลอยถูกเบียดเบียนไปด้วย ให้พยายามแยกกาย - เวทนา - จิต – ธรรม ออกจากกัน ว่าสิ่งไหนเป็นเรื่องของกาย สิ่งไหนเป็นเรื่องของจิต ให้ตั้งใจทำให้ดี อย่าท้อแท้กับเหตุใด ๆ ทั้งปวง ให้พิจารณาลงตัวธรรมดาเสียให้ได้ แล้วทุกอย่างก็จักไม่เป็นเรื่องที่สร้างความหนักใจให้
เรื่องนี้ให้ดูท่านพระ... เป็นตัวอย่าง ร่างกายของท่านไม่ดี ท่านยิ่งตัดใจวางขันธ์ ๕ ให้มากขึ้น จิตอยู่ในอารมณ์สักแต่ว่าให้มันเป็นไปตามเรื่องของขันธ์ ๕ เท่านั้น จิตของท่านจึงเป็นสุข ร่างกายยิ่งใกล้จักพังยิ่งเป็นสุขใหญ่ แต่มิใช่แกล้งให้มันพัง จิตท่านมีเมตตากับร่างกายตนเองมาก แต่ในขณะเดียวกัน อารมณ์วางเฉยในร่างกายก็ทรงตัว.. เป็นเอกัคตารมณ์ |
๘. ร่างกายไม่ดีย่อมพาจิตให้ไม่ดีไปด้วย มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่ร่างกายไม่ดี.. จิตใจไม่เกี่ยวเกาะร่างกาย จิตของท่านดีอยู่เสมอ อารมณ์ของท่านไม่มีไหลขึ้นไหลลง จิตคงที่ไม่มีความหวั่นไหวไปกับร่างกาย เพราะฉะนั้น..เจ้ายังไม่ใช่พระอรหันต์ จึงยังมีอารมณ์ไหลขึ้นไหลลง ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ยิ่งวันไหนร่างกายแย่ จักเห็นอารมณ์ของจิตแย่ตามชัด ก็นับว่าเป็นปกติธรรมอยู่ เพราะผู้มีอารมณ์จิตไม่ไหลขึ้นไหลลง มีอยู่แต่พระอรหันต์เท่านั้น เวลานี้พวกเจ้าให้สังเกตท่านพระ...ให้ดี ปฏิปทาจริยาของท่านจักเป็นครูสอนพวกเจ้าสืบไป
|
๙. งานทางโลกทำเท่าไหร่ไม่รู้จักจบ ต่างกับงานทางธรรมทำแล้วมีทางจบ ไม่ต้องกลับมาทำแล้วทำอีก และจงหมั่นพยายามปล่อยวางความกังวลใจในเรื่องทุกเรื่องลงเสีย ด้วยการพิจารณาให้เห็นทุกข์ และเห็นธรรมดาในเรื่องนั้น ๆ อย่าเอาจิตไปเกาะงานให้มากนัก ให้พิจารณาลงตัวธรรมดาเข้าไว้ เพราะนี่แหละคือความปรารถนาที่ไม่สมหวัง มันเป็นของธรรมดา พึงวางอารมณ์ให้อยู่ในความดี และเห็นเป็นกฎของกรรมลงเสีย จิตก็จักไม่ดิ้นรนฝืนโลก ฝืนธรรมให้เกิดความทุกข์ จิตปล่อยวางทุกอย่างลงตัวธรรมดาหมด ความสุขก็จักเกิดขึ้นได้ ให้พิจารณาค้นหาความจริงให้พบ น้อมจิตพิจารณาลงไป อย่าทิ้งอารมณ์แล้วจักเห็นหนทางไปได้ดีในการปฏิบัตินี้
|
๑๐. ร่างกายที่เห็นอยู่นี้ เป็นของใครก็ไม่รู้ มันเป็นสมบัติของโลก ซึ่งไม่มีใครเอาไปได้ อย่าไปดูว่ามันดีหรือมันเลว ให้เห็นมันเป็นธรรมดาทุกอย่าง จักแก่ จักเจ็บ จักตายด้วยโรค หรือด้วยเหตุประการใดก็เป็นธรรมดา อย่าไปวิตกอย่าไปกังวลให้มากนัก ร่างกายจักเป็นเช่นไรก็เป็นเรื่องธรรมดา ให้ใช้จิตพิจารณาคำว่าธรรมดาเข้าไว้ จิตจักไม่ดิ้นรน.. เยือกเย็นทุกอย่าง ความสุขจักเกิดขึ้นกับจิตมาก.. หากรักษาอารมณ์ที่เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมเข้าไว้ ที่สุดแม้แต่ความตาย จักเข้ามาถึงร่างกายก็ยังเป็นของธรรมดา
|
๑๑. ให้ดูร่างกายที่ไม่เที่ยงเข้าไว้ แล้วก็ให้ดูจิตที่มีอารมณ์ไม่เที่ยงเข้าไว้ แล้วหวนดูความปรารถนา หรือความทะยานอยากของจิตเข้าไว้ ใครจักเป็นผู้ดับความกระหาย หรือความทะยานอยาก หรือความปรารถนาของจิตได้ ถ้าดับด้วยการสนองตัณหาก็คือกิเลส ถ้าดับด้วยปัญญาก็จักเห็นแนวทางความสุขของจิตชัด ไม่มีความทะยานอยากด้วยกิเลส ไม่มีการสนองกิเลส จิตเห็นธรรมดาของอารมณ์ เห็นช่องทางที่จักไปให้พ้นได้จากวัฏสงสาร อย่าท้อถอย อย่าอ่อนแอ อะไรเกิดขึ้นกับร่างกาย อะไรเกิดขึ้นกับอารมณ์ นั่นเป็นของธรรมดา.. ปล่อยวางไปให้ถึงที่สุด ปล่อยวางด้วยปัญญาอันตั้งมั่นมาจากสมาธิ อันเกิดมาแต่ศีลบริสุทธิ์เท่านั้น ทำกำลังใจให้เต็มเข้าไว้ เรื่องของการปฏิบัติไม่มีใครช่วยใครได้ สำคัญอยู่ที่กำลังของตนเองเป็นสำคัญ
|
๑๒. อย่ากังวลกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งปวง ทำจิตให้สบาย ๆ ให้เห็นกฎของกรรมให้ชัด อย่าทำจิตให้เดือดร้อน ดูกรรมดี กรรมที่เป็นกุศลเข้ามาก็ส่งผลดีให้ (เป็นธรรมดา) อย่าให้หลงใหล ดูกรรมชั่ว กรรมที่เป็นอกุศลเข้ามาก็ส่งผลให้เป็นผลเสียเข้ามา (เป็นธรรมดา) ไม่ว่าทางด้านกาย - วาจา - ใจ ก็ให้เห็นเป็นของธรรมดา โลกนี้ทั้งโลกหาความเที่ยง หาความสงบไม่ได้ กำหนดจิตปล่อยวางโลกให้ได้มากที่สุดแล้วจิตจักเป็นสุข แต่ไม่ใช่ไม่รู้เท่าทันโลกเลยนะ ให้รู้แจ้งโลก จึงวางโลกได้ ไม่ว่าจักเป็นโลกภายนอกหรือโลกภายใน อะไรมันเกิดก็ให้เห็นเป็นเรื่องธรรมดา แล้วหมั่นดูจุดยืน คือกระทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพานเอาไว้ให้ดี จิตจักได้มั่นคง ไม่อ่อนไหวง่าย เห็นทางไปพระนิพพานได้อย่างชัดเจนแจ่มใส อย่าลืมพระนิพพาน เขาเอาใจไปกัน..ใช่เอากายไปกัน อย่าห่วงร่างกายให้มากนัก และจงอย่าประมาทในกรรมทั้งหลายทั้งปวง เตือนเพียงเท่านี้แล้วนำไปพิจารณาเอาเอง
|
๑๓. เห็นโทษของการเกิดนั้นเป็นของดี ให้พิจารณาย้อนไปว่า การเกิดเป็นสัตว์ เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรก จักทุกข์มากขนาดไหน ? พิจารณาย้อนไปให้เห็นชัดถึงตัวโทษของการเกิดอารมณ์ รัก - โลภ - โกรธ - หลงนั้น ๆ มีผลอย่างไร ? ทุกอย่างล้วนเป็นอริยสัจ กรรมทั้งหลายมาแต่เหตุทั้งสิ้น ใครทำใครได้ กฎของกรรมนั้นเที่ยงเสมอและให้ผลไม่ผิดตัวด้วย จุดนี้หมั่นพิจารณาให้มาก การพูดการอ่านเท่าไหร่ก็ไม่ละเอียดเท่ากับการใช้จิตพิจารณาเอาเอง ให้จิตของเรารู้เอง ใครจักมาบอกเราให้รู้สัก ๑๐๐ ครั้ง ๑,๐๐๐ ครั้ง ก็สู้เรารู้ด้วยจิตของเราเองครั้งเดียวไม่ได้ ตถาคตไม่จำเป็นต้องตรัสให้มากไปกว่านี้ ตรัสเพียงเท่านี้ก็สามารถนำไปพิจารณาปฏิบัติได้แล้ว
|
๑๔. การนินทาว่าร้ายคนอื่น จิตของผู้นั้นจักร้อนรุ่มเป็นที่สุด พิจารณาจุดนี้ให้มาก พยายามรักษากาย - วาจา - ใจให้สงบเป็นสุขเป็นสิ่งที่ดี คิดไว้เสมอว่ากรรมของใครก็กรรมของมัน เตือนใจไว้เสมอ อย่าไปสนใจกับกรรมของผู้อื่น ใครจักด่าจักนินทาก็เรื่องของเขา เรามิได้ดี หรือเลวไปกับคำด่าคำนินทาของเขา ดีหรือเลวอยู่ที่ศีล - สมาธิ - ปัญญา ของกาย - วาจา - ใจของเราเท่านั้น มิได้เกี่ยวกับบุคคลอื่นเลย ให้มีสติกำหนดรู้จุดนี้เอาไว้ให้ดี จักไปพระนิพพานต้องผ่านจุดนี้ให้ได้ ดูภายในคือกาย - วาจา - ใจของตน อย่าให้บกพร่องในศีล-สมาธิ-ปัญญา แม้แต่ชั่วขณะจิตหนึ่ง ดูภายนอกคือกาย-วาจา-ใจของบุคคลอื่น ปล่อยวางให้มากที่สุดเพราะไม่เกี่ยวกันเลย พยายามพิจารณาให้ลงตัวธรรมดา เห็นธรรมดาของร่างกาย เห็นธรรมดาของโลกธรรม ๘ เห็นธรรมดาของอารมณ์ให้มาก.. จิตจักได้ไม่ดิ้นรน เยือกเย็นลง เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง ไม่ทวนกระแสโลก (ไม่ฝืนโลก) ไม่ทวนกระแสธรรม (ไม่ฝืนธรรม) ทุกอย่างเป็นธรรมดาหมด วางอารมณ์ให้ถูกแล้วจิตจักเป็นสุข ยังมีชีวิตอยู่ก็ทำหน้าที่ทุกอย่างให้ครบด้วยกำลังใจเต็ม เพื่อพระนิพพานจุดเดียว
|
๑๕. อย่าไปขวางกรรมหรือแก้กรรมของใคร ปล่อยวางทุกอย่างให้เป็นไปตามกรรม แม้แต่สภาพของร่างกายตนเองก็เช่นกัน ดูความเกิด ดูความดับของร่างกายเป็นของธรรมดา ไม่ควรอาลัยใยดีหรือกังวลให้มากจนเกินไป มองร่างกายตามสภาพความเป็นจริง แล้วปล่อยวางด้วยปัญญาให้มากที่สุดเท่าที่จักมากได้ หากร่างกายเราเกิดมีอาการเจ็บป่วยขึ้น จงคิดว่าเราอาจโชคดี รีบตัดร่างกายทิ้งไปให้ได้ เราก็ถึงซึ่งพระนิพพานได้เช่นกัน
ขอจงอย่าประมาทในชีวิต และอย่ากลัวความตาย เพราะถ้าไม่ตายก็เข้าถึงซึ่งพระนิพพานอย่างถาวรไม่ได้ เมื่อวาระนั้นมาถึง จงอย่าห่วงอะไรทั้งหมด ให้ตัดใจวางภาระและพันธะหน้าที่ทั้งหมด ทั้งภายนอกและภายใน เพราะมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่มีใครเอาสมบัติของโลกไปได้ จิตมุ่งสู่พระนิพพานจุดเดียวเท่านั้น (รู้ลม - รู้ตาย - รู้นิพพาน) |
๑๖. เมื่อสอบถามอารมณ์จิตของพระ.... ที่ท่านวางอารมณ์สังขารุเบกขาญาณได้จริงแล้วมีความว่า หากมีผู้หญิงมาสนใจตัวท่าน ของใช้ส่วนตัวท่าน แม้แต่ห้องนอน - ห้องน้ำของท่านจนเกินพอดี ท่านจะคิดอย่างไร ? ท่านตอบว่าแม้แต่ร่างกายหรือ รูป - เวทนา - สัญญา - สังขาร - วิญญาณ ยังไม่ใช่ของเรา เราคือจิต แล้วห้องน้ำ - ห้องนอน สิ่งภายนอกกาย จะเป็นเราเป็นของเราได้อย่างไร การวางอารมณ์วางเฉย หรือสังขารุเบกขาญาณ คือวางทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับร่างกายว่า หาใช่เรา หาใช่ของเราไม่ โดยไม่มีอารมณ์ฝืนกระแสโลก ไม่ฝืนกระแสธรรม มองทุกอย่างเป็นธรรมดาหมด จิตก็จะไม่เป็นทุกข์
ท่านสอนให้ดูจิตที่เป็นดวงแก้วใสสว่าง ๆ นั่นแหละ คือเราดูอยู่เพียงอย่างเดียว หากยังมีอารมณ์ฝืนโลก - ฝืนธรรมอยู่ ก็ไม่แน่ว่าจะไปพระนิพพานได้ จึงต้องไม่มีอารมณ์ฝืนโลก ฝืนธรรม เหมือนว่ายตามน้ำ ไม่ว่ายทวนน้ำ โลกจะเป็นอย่างไรก็เรื่องของโลก ให้รักษาอารมณ์จิตอย่างเดียว เพื่อไปให้ถึงพระนิพพานให้ได้ นี่ก็เป็นตัวอย่างของพระที่ท่านหมดความยึดมั่นถือมั่น ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก รวมทั้งร่างกายที่จิตท่านอาศัยอยู่ว่า ไม่ใช่ท่าน ไม่ได้เป็นของท่าน รู้ชัดว่าไม่มีใครเอาสมบัติของโลกไปได้ ทุกอย่างในโลกเป็นเพียงแค่สภาวธรรมที่เกิดดับ ๆ อย่างเป็นสันตติธรรม ทุกอย่างในโลกจึงเป็นแค่สมมุติธรรมที่แสดงอยู่ ล่อจิตที่โง่ (มีอวิชชา) ให้ติดและหลงใหลอยู่กับมัน หากวางจุดนี้ได้ก็จบกิจในพระพุทธศาสนา |
๑๗. ให้มีจิตระลึกไว้เสมอว่า ร่างกายนี้จักต้องตายอยู่เสมอ อาจจักตายเดี๋ยวนี้ หรือขณะจิตข้างหน้านี้ก็ได้ อย่ามีความประมาทในชีวิต แล้วจงหมั่นพยายามเลี่ยงให้พ้นซึ่งอารมณ์เศร้าหมองของจิต ให้พิจารณาลงตัวธรรมดาเสียให้หมด ได้เมื่อไหร่ก็เป็นพระอรหันต์เมื่อนั้น ร่างกายที่เห็นอยู่นี้ อย่าไปคิดว่ามันจักอยู่นาน เพียรพิจารณาถึงความอนัตตาอยู่เสมอ ร่างกายภายนอก สัตว์ - วัตถุธาตุทั้งหลายก็เช่นกัน ที่สุดก็อนัตตาเหมือนกันหมด โลกนี้ทั้งโลกไม่มีอะไรเหลือ จักพึงยึดถือสิ่งใดกับโลกเล่า ถามจิตให้จิตตอบ และให้ยอมรับทุกอย่างตามความเป็นจริง อย่างเช่น ทำงานอะไรก็ให้เอาความสุขกาย - สุขใจเป็นที่ตั้ง และทำด้วยความเต็มใจไม่หวังผลตอบแทนในโลกธรรมทั้งปวง มีอารมณ์หวังเพียงอย่างเดียวคือทำเพื่อการละ การตัดซึ่งความโกรธ – โลภ - หลง นั่นคือการเข้าใจถึงซึ่งกำลังใจเต็ม การกระทำนั้นได้ชื่อว่าทำเพื่อพระนิพพาน ตรัสไว้เพียงสั้น ๆ แค่นี้ แล้วนำไปพิจารณาและปฏิบัติให้ดี
|
(พระธรรม ที่ทรงตรัสสอนในเดือนสิงหาคม ๒๕๔๐) ปกิณกธรรม ๑. จงอาศัยการกระทบให้เป็นประโยชน์ของการตัดกิเลส เห็นทุกข์มากเท่าไหร่ ยิ่งเบื่อทุกข์มากขึ้นเท่านั้น จิตจักปล่อยวางทุกข์ลงได้ในที่สุด แต่ต้องอาศัยปัญญาพิจารณาประกอบไปด้วย มิฉะนั้น เห็นทุกข์จักเกาะทุกข์ก็ยิ่งทุกข์ใหญ่ ถ้าหากมีปัญญาก็จักปล่อยวาง เนื่องด้วยเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง การที่จักพ้นทุกข์ได้ จักต้องรู้จักพิจารณาใช้ปัญญาใคร่ครวญอยู่เสมอ จึงจักปล่อยวางได้ |
๒. พิจารณาร่างกาย พิจารณาอารมณ์ ทุกอย่างเกิดขึ้น - ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป อย่าเอาความไม่เที่ยงมาเกาะติดอยู่ในจิตให้เป็นทุกข์ พยายามรักษาอารมณ์เกาะพระนิพพานให้มาก ๆ อย่าห่วงใคร อย่ากังวลกับเหตุการณ์ใด ๆ ทั้งปวง ตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อพระศาสนา เพื่อพระนิพพานจุดเดียว ปล่อยวางเรื่องภายนอกลงเสียบ้าง แม้ชั่วขณะหนึ่งก็ยังดี เพราะยังไม่ใช่พระอนาคามีผล การเจริญพระกรรมฐานต้องหมั่นฝึกให้ได้ทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ ก็ให้จิตจับมาเป็นกรรมฐานให้ได้ การเผลอนั้นย่อมยังมีอยู่เป็นธรรมดา พยายามประคองจิตอย่าให้หวั่นไหวกับเหตุการณ์ที่เข้ามากระทบมากนัก แล้วจักมีความสุขขึ้นในจิต
|
๔. มองเห็นร่างกายแล้ว ให้ดูอารมณ์ของจิตว่ายึดเกาะร่างกายในส่วนไหนบ้าง การมีอาการถูกกระทบกระทั่งใจ ก็เนื่องด้วยร่างกายเป็นเหตุ ใครจักเกลียด - จักโกรธ - จักกล้ว - จักติ - จักชม ก็เนื่องด้วยร่างกายเป็นต้นเหตุทั้งสิ้น ดังนั้น..การพิจารณารูปและนาม จักต้องย้อนไปย้อนมา จึงจักเกิดปัญญารู้เท่าทันรูป - นาม ตามความเป็นจริงได้ จงอย่าละความเพียรในการปฏิบัติ พึงเร่งรัดกำลังใจขอตนให้ตั้งมั่นอยู่ในการพิจารณารูป - นามอยู่เสมอ นั่นแหละคือหนทางที่จักไปพระนิพพานได้
|
๕. การป้องกันคุณไสยทำร้ายกายและจิตให้ไม่สงบ จักต้องไม่มีอารมณ์ปฏิฆะหรือโกรธ เพราะการภาวนาคาถาต่าง ๆ เพียงเพื่อป้องกันเท่านั้น เจ้าไม่ได้ต่อสู้เพื่อทำร้ายเขา ให้ทำจิตให้สงบ ไม่คิดเป็นศัตรูกับใครเข้าไว้ อย่าโกรธ อย่าอาฆาต ภาวนาเพื่อป้องกันเท่านั้นเป็นพอ และจำไว้ว่า อย่าใช้บารมีของตนเองในขณะที่ภาวนาต่อสู้ ให้กำหนดจิตขอบารมีพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ หรือพระอริยสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ จักทำให้เจ้าปลอดภัยจากอำนาจคุณไสยทั้งปวง และจงอย่าคิดว่าตนเองเก่ง ถ้าคิดว่าตนเองเก่งเมื่อไหร่ ดีเมื่อไหร่ พระทุกองค์ก็จักไม่ช่วยเจ้า
|
๖. ร่างกายที่เห็นอยู่นี้เป็นสมบัติของโลก ไม่มีใครสามารถเอาไปได้ โลกนี้ทั้งโลกกอปรไปด้วยธาตุ ๔ ดิน - น้ำ - ลม - ไฟ มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความเสื่อมไปในท่ามกลาง มีความสลายตัวไปในที่สุด เจ้าจักยึดถือร่างกายเป็นสรณะที่พึ่งไม่ได้ จักยึดถืออะไรในโลกเป็นที่พึ่งก็ไม่ได้ พิจารณาถึงจุดนี้ ฝึกฝนจิตให้รู้จักกับคำว่าธรรมดาให้มาก และยอมรับคำว่าธรรมดาให้มาก และจงรู้จักคำว่าไม่เบียดเบียนร่างกายตนเองให้มากจนเกินไป และรู้จักเมตตาร่างกายตนเองด้วย เพื่อความอยู่เป็นสุขของจิต ผู้อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ และอย่ากังวลกับสิ่งภายนอกให้มาก จงเป็นผู้มีธุระน้อย หาความพอดีให้กับกายและจิตให้มาก ๆ จึงจักพบกับความสุขอย่างแท้จริง
|
๗. การอาศัยความกระทบกระทั่งของอารมณ์ เป็นเครื่องวัดกำลังใจที่จักตัดกิเลส นั่นแหละเป็นของจริง ได้ก็รู้ ตกก็รู้ ใช้อริยสัจเป็นหลักสำคัญในการแก้ปัญหา อะไรที่เข้ามาในชีวิตก็จักต้องทนได้ เพราะต้องการที่จักไปพระนิพพาน ต้องทนได้กับทุก ๆ สภาวะ ให้ตรวจบารมี ๑๐ เข้าไว้ ขาดตัวใดตัวหนึ่งก็ต้องทำตัวนั้นให้เต็ม อย่าให้พร่องแม้แต่หนึ่งนาที แล้วการเจริญพระกรรมฐานก็จักคล่องตัวเอง ทำกำลังใจให้สงบ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างจักดีขึ้นเอง อย่าหวั่นไหวในการกระทบ สิ่งใดรู้ว่าแพ้ก็ให้แพ้ไป ตั้งกำลังใจกันใหม่ แผ่เมตตาให้มาก ๆ การปฏิบัติอย่าเครียด คือเอาจริงเอาจังเกินไป อารมณ์ต้องเบา ๆ สบาย ๆ จงอย่าสนใจกรรมหรือการกระทำของผู้อื่น ให้ดูแต่กรรมของตนเองเป็นที่ตั้ง ดูกาย – วาจา - ใจของตนเอง เพียรให้อยู่ในศีล – สมาธิ - ปัญญาเท่านั้น อารมณ์เผลอย่อมมีบ้างเป็นธรรมดา ได้สติก็ตั้งต้นดึงเข้ามาใหม่
|
๘. เหตุการณ์บ้านเมืองเวลานี้ไม่ดี ไม่ต้องไปวิพากษ์วิจารณ์ว่าใครดีใครเลว เพราะกฎของกรรมเป็นของตายตัว จึงมิใช่ของแปลก เป็นเรื่องธรรมดาของกฎของกรรม นักปฏิบัติเพื่อต้องการพ้นทุกข์ จงเห็นกฎของธรรมดาเหล่านี้ให้มาก และยอมรับนับถือกฎของธรรมดาด้วย จิตจึงจักสงบเย็นลง ไม่โทษเขาหรือโทษใคร ให้เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริงไว้เสมอ และจงอย่าได้มีความประมาทในชีวิต พร้อมตายและซ้อมตาย เพื่อเอาจิตเข้าสู่พระนิพพานไว้ด้วยความไม่ประมาท ให้จิตยอมรับนับถือกฎของธรรมดาให้มาก แล้วจิตจักเป็นสุข
|
(พระธรรม ที่ทรงตรัสสอนในเดือนกันยายน ๒๕๔๐) ปกิณกธรรม สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสสอนปกิณกธรรมไว้ มีความสำคัญดังนี้ ๑. สถานการณ์บ้านเมืองก็เสื่อมลงทุกวัน แต่ให้พึงเห็นเป็นกฎของกรรมที่ไม่สามารถจักหลีกเลี่ยงได้ ให้เห็นทุกข์ของการเกิดมาในโลกมนุษย์นี้ กรรมทั้งหลายที่เกิดเนื่องด้วยความไม่รู้จักพอของมนุษยชาติ ด้วยจิตที่พร่องอยู่ในความโลภ - โกรธ - หลง มนุษย์จึงทำปัญหาให้เกิดขึ้นในทุกยุคทุกสมัย นี่เป็นกฎของธรรมดา อย่าไปโทษว่าใครดี ใครเลว ตราบใดที่จิตยังเข้าไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ยังนับว่ายังดีไม่พอ เพราะฉะนั้น..จักตำหนิใคร ให้ดูจิตของตนเองเสียก่อน เพราะจิตของตนเองยังเอาดีไม่ได้ ก็ไม่พึงไปติคนอื่นเขา ให้พิจารณาลงตัวธรรมดาเสียให้ได้ แล้วอย่าไปแก้จิตของคนอื่น ให้แก้จิตของตนเองอยู่นี้ให้ดีให้พอ แค่นั้นจิตก็จักเป็นสุข และเป็นที่พอใจของตถาคตเจ้าแล้ว |
๒. ในกรณีเรื่องอาหารอันเป็นคุณแก่ร่างกาย และเป็นโทษแก่ร่างกาย จิตละเอียดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นชัดมากเท่านั้น พระอรหันต์ท่านไม่ฉันเพราะอารมณ์โลภในรสของอาหาร หรือไม่ฉันเพราะเสียดายในอาหารที่จักเสียหรือเน่าแล้ว ท่านฉันเพื่อยังอัตภาพให้เป็นไป กล่าวคือเพื่อร่างกายมีสุขภาพอนามัยดี ไม่บังเกิดทุกขเวทนาขึ้นมาเบียดเบียนจิตผู้อาศัยอยู่ในกายนี้ เรื่องเหล่านี้คุณหมอน่าจักเข้าใจดี เพราะรู้หลักโภชนาในฐานะของความเป็นหมอ แต่จุดหนึ่งที่คุณหมอไม่รู้ก็คือ ร่างกายพร่องหรือขาดสิ่งใดบ้าง ต่างกับท่านพระ... ซึ่งจิตท่านละเอียดมาก เป็นผลจากการปฏิบัติของท่าน ทำให้ท่านไม่เบียดเบียนร่างกาย มิใช่ท่านเลือกฉัน กรณีนี้คุณหมอพึงต้องพิจารณาด้วย ร่างกายเมื่อบริโภคอาหารถูกกับสุขภาพ มีอนามัยพร้อม ร่างกายนี้ไม่มีเวทนาของทุกข์อันเกิดจากโภชนาการเป็นโทษ จิตที่อาศัยกายอยู่ก็เป็นสุข พร้อมที่จักปฏิบัติธรรมได้ผลสมบูรณ์อยู่ตลอดเวลา จำไว้ว่าพระอรหันต์ท่านไม่เบียดเบียนจิตใจ และไม่เบียดเบียนร่างกายของท่านด้วย
|
๓. ให้ดูร่างกายเข้าไว้ อย่าวางใจว่ามันจักดีขึ้นมาเป็นอันขาด การกินยาหรืออาหารก็แค่ระงับทุกขเวทนา หรือยังอัตภาพให้เป็นไปเท่านั้น อย่าพึงคิดว่าจักสามารถช่วยให้พ้นเจ็บพ้นตายได้ จุดนี้จักต้องสำรวจใจทุกครั้งที่กินอาหารและกินยาดูว่าหลงในรสหรือไม่ จักพอใจหรือไม่พอใจก็ผิดทั้งคู่ เช่นหลงคิดว่ากินยาแล้วเราจักไม่ตาย หรือหลงจักหาอาหารรสอร่อยอย่างนี้กินอีกหรือไม่ จุดทั้งหลายต่าง ๆ เหล่านี้จักต้องสำรวจใจ จึงจักทำให้จิตมีความละเอียดขึ้น
|
๔. ร่างกายที่เห็นอยู่นี้ ไม่ช้าไม่นานเมื่อมีวิญญาณไปปราศแล้ว ก็เสมือนหนึ่งท่อนไม้ถูกทิ้งให้ทับถมจมปฐพี สภาพของร่างกายของใครก็เหมือนกันหมด แม้แต่ร่างกายของเราเอง แล้วในที่สุดก็เน่าเปื่อยผุพังไป พิจารณาให้จิตยอมรับนับถือกฎของธรรมดาให้ได้ แล้วจิตจักพร้อมที่จักวางร่างกายในทุก ๆ ขณะจิต คำว่าทุก ๆ ขณะจิต ไม่ได้หมายความว่าใกล้จักตายถึงจักวาง หรือมีลางมรณภัยใกล้เข้ามาถึงจึงจักวาง อย่างนั้นไม่ใช่ของจริง ประมาทเกินไป จักต้องพึงวางร่างกายให้ได้ตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ปกติสุขอยู่นี้แล้ว พิจารณาให้เห็นความตาย ความไม่เที่ยงอยู่ทุก ๆ ขณะจิต ทำจิตให้พร้อมปล่อยวางร่างกายให้ได้ทุกเมื่อ นั่นแหละจึงจักเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้โดยง่าย
|
๕. ร่างกายมิใช่ของเราก็จริงอยู่ แต่พึงพิจารณาน้อมจิต ให้เห็นร่างกายตามความเป็นจริง เท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็จัดว่าเห็นเช่นกัน แต่ยังไม่รู้แจ้งแทงตลอดในอาการ ๓๒ และธาตุ ๔ นั้น จึงเป็นเหตุให้ละ – ปล่อย - วางไม่ได้ หมั่นพิจารณาร่างกายให้มาก เพราะจุดนี้เป็นจุดใหญ่อันนำไปสู่ความพ้นทุกข์
|
๖. ร่างกายที่เห็นอยู่นี้มีความไม่เที่ยงอยู่เป็นนิจ แต่ตราบใดที่มันยังไม่ตาย ก็มีความจำเป็นจักต้องดูแลไปตามหน้าที่ แต่มิใช่ห่วงใยให้มากจนเกินไป ให้ทำจิตวางอารมณ์พอสบาย ๆ จักได้ไม่ทุกข์ ไม่กังวลจนเกินไป แล้วทำทุกอย่างไปตามหน้าที่ รักษาอารมณ์จิตให้เป็นสุขก็เป็นพอ ดูอนาคต ดูได้ เตรียมได้ แต่ไม่ควรกังวล รักษาจิตให้อยู่กับปัจจุบันเท่านั้นเป็นพอ พอหรือไม่พอให้ดูอารมณ์ดิ้นรนของจิต ผู้รู้ ผู้ไม่ประมาท จักพร้อมทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต แต่เขาไม่ทุกข์ อะไรเกิดก็พร้อมรับทั้งกาย – วาจา - ใจ ด้วยความรู้และความไม่ประมาทนั้น
|
๗. ร่างกายพังหรือจิตพังกันแน่ ให้สังเกตเวลารับทุกขเวทนา หรือแม้แต่สนทนา แยกอาการนี้ให้ถูก ถ้าหากความตายเข้ามาถึง ร่างกายพังแต่จิตไม่พัง แต่ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ เวลาได้รับความกระทบกระทั่งทางอายตนะ จิตนี้แหละทำท่าจะพัง คือทนไม่ไหวไปทุกที เรียกว่าไม่รู้เท่าทันอารมณ์ของกิเลส ที่ปรุงไปตามกิเลสในขณะจิตนั้น ๆ ถ้าหากรู้เท่าทันเสียแล้วก็ปล่อยวาง กระทบแล้วก็ดับไป ไม่รู้สึกเศร้าเสียใจ ทุกข์ใจ หรือสุขใจแม้แต่ประการใด ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามธรรมดา จิตก็ไม่พัง กำหนดรู้ความสงบสุขของจิตเอาไว้ให้ดี แล้วจักเห็นหนทางวางเฉยในปฏิฆะและราคะได้
|
๘. เหตุการณ์ทั้งหลายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ขอจงอย่าเบื่อหน่ายเพราะเป็นเรื่องธรรมดา เป็นวาระของกฎของกรรมจักให้ผล ซึ่งเลี่ยงอย่างไรก็ไม่พ้นไปได้ ให้พิจารณาให้ชัด แล้วจักได้ประโยชน์จากกฎของกรรมอันนี้เป็นอันมาก มองธรรมภายนอกแล้วน้อมเข้ามาเป็นธรรมภายใน พิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้วจักได้ประโยชน์เป็นอันมาก
อนึ่ง..ให้เลี่ยงการตำหนิกรรมของบุคคลอื่นให้มาก ๆ เพราะไม่มีใครอยากเป็นคนเลว คนที่เขาได้กระทำการหลงผิดไป ก็ด้วยอกุศลกรรมเข้าครอบงำ เห็นผิดเป็นชอบ คิดว่าดีจึงทำไปตามนั้น บุคคลเหล่านี้น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง พิจารณาให้ลึกซึ้งแล้วจิตจักเป็นสุข วางกรรมภายนอกลงเสีย แล้วจักได้ระมัดระวังกรรมภายในให้ดีขึ้นด้วย อย่าละความเพียรในการปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน |
๙. อย่าเอาความดีไปแลกกับความชั่ว ใครเขาอยากชั่วก็ให้เขาชั่วไปแต่เพียงผู้เดียว ให้ดูตัวอย่างท่านพระ... เป็นหลัก ท่านอบรมจิตของท่านดีแล้ว จึงไม่เก็บความชั่ว และไม่โต้ตอบความชั่วด้วยอารมณ์จิตชั่วทั้งปวง พึงดูแล้วพึงปฏิบัติตามให้ได้ จิตจักได้เป็นสุข ใครดี - ใครเลว จิตที่อบรมดีแล้วไม่ยุ่งเกี่ยวกับกรรมของผู้ใด จึงเป็นสุขอย่างบรมสุข มองทุกอย่างตามความเป็นจริง พิจารณากฎของกรรมอันเป็นปัจจัตตังให้ชัดเจน แล้วจักวางอารมณ์เป็นอุเบกขารมณ์ได้มาก
|
๑๐. อย่าสนใจในจริยาของผู้อื่น แต่พึงให้เห็นธรรมดาของบุคคลผู้นั้น เพื่อประโยชน์ของการปล่อยวางให้เป็นไปในปกติธรรม กรรมใคร - กรรมมัน คนถ้ามีดีอยู่บ้างก็เกื้อหนุนส่งเสริม แต่ถ้าไม่ดี หรือดีน้อยแต่ชั่วมาก ก็ปล่อยวาง คนที่ไม่มีชั่วเลย มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นจึงเป็นผู้มีดีหมดจดสมบูรณ์ นอกนั้นแม้กระทั่งพวกเจ้าเอง ก็จงอย่าพึงคิดเข้าข้างตนเองว่าดีแล้วเป็นอันขาด เพราะฉะนั้น จงเป็นผู้โจทย์ตนเองเอาไว้ดีกว่า อย่าไปตำหนิผู้อื่นอันหาประโยชน์ไม่ได้ ดูแต่ชั่ว แก้ความเลวของ กาย – วาจา - ใจ ของตนเองนั่นแหละ ได้ประโยชน์มากกว่า แล้วจักพบหนทางพ้นทุกข์อย่างแท้จริง
|
๑๑. เห็นความไม่เที่ยง เห็นความเปลี่ยนแปลงให้มาก ไม่ว่าภายใน - ภายนอกก็เหมือนกัน ไม่ว่าทั้งร่างกายและจิตใจ หรืออารมณ์ก็ไม่เที่ยง (สัพเพสังขารา อนิจจา) เห็นอันใดจักให้ได้ดังใจนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ทุกอย่าง มีแต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่กับความเสื่อม แล้วก็ดับไป เมื่อหาความเที่ยงไม่ได้ดังนี้แล้ว จักหาความปรารถนาที่สมหวังมาจากไหน มองทุกอย่างให้เป็นสภาวธรรม ยอมรับตามความเป็นจริง แล้วปล่อยวาง จิตก็จักเป็นสุข จิตที่ยอมรับทุกอย่างตามความเป็นจริง จิตนั้นย่อมจักไม่ดิ้นรน กล่าวคือไม่เดือดร้อนไปด้วยประการใด ๆ ทั้งปวง (สัพเพธัมมา อนัตตา)
|
๑๒. ให้เห็นความปรารถนาไม่สมหวังเป็นเรื่องธรรมดา จงอย่าผิดหวังหรือเสียใจ อันเป็นอารมณ์ความเศร้าหมองของจิต จุดนี้เมื่อกำหนดรู้แล้ว ให้พิจารณาลงตัวธรรมดา ความผิดหวังหรือเสียใจก็ไม่มีให้เห็น เป็นธรรมดาให้หมด ทุกสิ่งในโลกตั้งความหวังไว้ไม่ได้ ถ้าเราเอาจิตไปหวังผู้ใดนั้นเป็นการหาทุกข์ใส่จิตแล้ว ตั้งความหวังเมื่อไหร่ ทุกข์ก็เกิดขึ้นกับจิตเมื่อนั้น เพราะอาการของการผิดหวังย่อมมีตามมาเป็นธรรมดา
|
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:12 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.