![]() |
พระอาจารย์กล่าวว่า "พ่อแม่รักลูกมีความเป็นตัวกูของกูอยู่เต็ม ๆ เลย คือนอกจากจะลูกของกูแล้ว ลูกก็คือเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง จะว่าไปแล้วก็คือแบบจำลองของตัวเอง ในเมื่อเหมือนตัวเองก็เลยรัก"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเราบางวาระเป็นช่วงทดสอบกำลังใจ คราวนี้ช่วงทดสอบจะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เลี้ยวผิดก็ไปยาวเลย พลาดไปนานเลย เพราะฉะนั้น..ของบางอย่างความหวังดี ปรารถนาดีของเราก็อาจจะไปผิดจังหวะ ผิดเวลา ก็ทำให้คนอื่นเขาเข้าใจผิดได้
ขณะเดียวกันก็จะมีการดลใจจากสิ่งภายนอก คือบรรดากิเลสมารต่าง ๆ ด้วย ในเมื่อรวมกันเข้าไปก็จะกลายเป็นเตลิดเปิดเปิงกันไปใหญ่โต นักปฏิบัติต้องระมัดระวังอยู่เสมอในเรื่องของการทดสอบ มารจะใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัวในการทดสอบเรา โดยเฉพาะคนที่จะสร้างความสะเทือนใจให้เราได้มากที่สุด ก็คือคนที่เรารักมากที่สุด ฉะนั้น..ต้องระวังให้ดี เรื่องทั้งหลายเหล่านี้พอเกิดขึ้น ก็สำคัญตรงที่ว่าเราได้แก้ไขเต็มความสามารถแล้วหรือยัง ? บางอย่างแก้ไม่ได้เพราะต่างคนต่างถือทิฐิ ถ้ายอมลด ละ ทิฐิของตัวเองลง ลักษณะเหมือนกับไปง้อเขาก่อน ไปขอโทษเขา ก็น่าจะทำให้อะไร ๆ ดีขึ้นมาได้" |
ถาม : อนาคตเขาจะดีได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..คนเคยตรงแล้ว เดี๋ยวก็เลี้ยวกลับมาเอง ตอนช่วงนี้เขาอาจจะมีเรื่องครอบครัวเข้ามาด้วยก็เตลิดไปหน่อย พอถึงเวลาทุกข์ใจหาทางไม่ออก ก็เคยรู้ว่าทางด้านนี้ดี เดี๋ยวเขาก็เลี้ยวกลับมา ถึงเวลาเขากลับมาเอง ไม่ต้องไปกังวล จะช้าจะเร็วก็ต้องมา อะไรที่เคยดีอยู่แล้วพอถึงเวลาคิดถึงก็มาใหม่เอง กลัวอยู่อย่างเดียว..พอเลี้ยวกลับมาแล้วจะรู้ตัวว่าไม่น่าเสียเวลาไปนานขนาดนี้เลย ถ้าคนเราขาดการทดสอบ ขาดประสบการณ์จะไม่โต ในเมื่อโต มีประสบการณ์ก็แปลว่าโดนจนจุกแล้ว ไม่ต้องไปกังวลหรอก เราเอาตัวเราก่อน เราคิดว่าเวลาเราน้อยแล้ว ตะกายไปให้เต็มที่เลย ถ้าคิดกันอย่างคนประมาทก็คือลูกอายุยังน้อยอยู่ เดี๋ยวเขาก็มาเอง เราเองไม่มีเวลาแล้ว เราต้องประกันความเสี่ยงให้ตัวเองก่อน ลูกหลานหลวงพ่อวัดท่าซุงถึงไปก็ไปไม่ไกลหรอก เดี๋ยวก็กลับมา |
ความรู้จักมักคุ้นก่อให้เกิดความผูกพัน ในเมื่อทั้งผูกทั้งพันก็แปลว่าดิ้นหลุดได้ยาก จึงต้องระมัดระวังให้ดี มีสติอยู่เสมอ ไม่อย่างนั้นจะเอาตัวไม่รอด มารเขามีสารพัดวิธี ที่จะดึงเราให้จมอยู่กับห้วงวัฏสงสาร เขารู้ว่าแต่ละคนมีจุดอ่อนที่ไหน เขาก็จะจิ้มตรงนั้นแหละ
เพราะฉะนั้น..ทำความดีหนีความชั่วไปเรื่อย ๆ ทำไปถึงที่สุดแม้กระทั่งดีก็ต้องปล่อย กลายเป็นว่า “รู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ ไม่เอาทั้งดีทั้งชั่วแล้วจึงจบได้” ถ้าถามว่าในเมื่อดีก็เกาะไม่ได้ ชั่วก็เกาะไม่ได้ ไม่ต้องทำความดีไม่ได้หรือ ? ก็ต้องบอกว่าความดีต้องทำ เพื่อความไม่ประมาท เพราะกำลังความดีจะส่งเราหนีห่างจากความชั่วไป แต่พอหนีถึงจุด ๆ หนึ่งแล้ว ก็จะสุดกำลังของความดี ถ้าถึงเวลานั้นดีเราก็เกาะไม่ได้ แต่ยังต้องทำความดีไว้เพื่อเป็นเนตติ คือเป็นแบบอย่างกับคนอื่นเขา เขาเรียกว่ายังคิดเผื่อผู้อื่นที่มาทีหลัง |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงเกรงใจนะ แต่คนที่เอาหนังสือธรรมะก็ดี หนังสือสวดมนต์ก็ดีมาถวาย อยากถามว่าตัวเองได้อ่านหรือสวดแล้วหรือยัง ? ..(หัวเราะ).. ต้องให้เกิดประโยชน์กับเราให้มากที่สุดก่อน พอเราเห็นประโยชน์อันนั้นแล้วค่อยเอาไปให้คนอื่น ไม่อย่างนั้นถึงเวลาเขาถามว่าดีอย่างไร แล้วเราตอบไม่ได้ ขายหน้าตายเลย"
|
ถาม : ขอคำแนะนำในการทำกำลังใจพุทธภูมิให้บารมีให้เต็มครับ
ตอบ : อันดับแรก..เล่นสมาธิให้เต็มที่เลย ถ้าไม่ได้สมาบัติ ๘ ก็ต้องเอาฌาน ๔ ให้ได้ อันดับสอง..ในส่วนของสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทานหรือการสร้างพระพุทธรูป มีใครเขาทำที่ไหนเมื่อไรร่วมกับเขาทันที หรือถ้าคิดว่ากำลังทรัพย์พอ กำลังคนพอก็เริ่มทำเองเลย สุดท้ายก็คือตัวปัญญาของเรา ที่จะต้องพินิจพิจารณาให้เห็นความเป็นจริงในชีวิตอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะดูในลักษณะของอริยสัจ ในลักษณะของไตรลักษณ์ หรือวิปัสสนาญาณ ๙ ต้องทำให้คล่องตัว เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้าไม่คล่องตัว เราก็ไม่สามารถที่จะบอกต่อ สอนต่อได้ จะว่าไปแล้วเป็นงานมหาศาลเลย แต่ก็ไม่เกินความสามารถหรอก ขอให้ทำจริงเท่านั้น |
มีผู้นำหนังสือพระเครื่องไปถวายพระอาจารย์ ท่านดูไปแล้วเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยต่าง ๆ ให้ฟัง "ตอนพระครูแสงท่านศึกษาเรื่องพระเครื่องแทบเป็นแทบตาย ท่านบ่น ๆ มาเข้าหูอาตมา อาตมามองแล้วก็จำ พอถึงเวลาเจ้าตัวลืมแล้วแต่อาตมายังจำได้ แค่เห็นรูปเห็นเหรียญก็แยกวัดแยกพิมพ์ได้แล้ว
แม้กระทั่งเรื่องคาถาอาคม อักขระเลขยันต์จริง ๆ ก็เริ่มที่พระครูแสงทั้งนั้นแหละ ท่านหัดลบผง ทำผงปถมัง ผงมหาราช ผงอิทธิเจ ผงตรีนิสิงเห ขึ้น พินทุเอกัง สุมังพันธัง นะกุเอกัง สุมังพันธัง ฯลฯ ว่าไปเรื่อย ๒๐ ปีให้หลังไปถามท่านลืมหมดแล้ว แต่ยังอยู่ในหัวอาตมาเลย ท่านไม่นึกหรอกว่าที่ท่านว่าไปเรื่อย ๆ แล้วเข้าหู อาตมาได้ยินแล้วจะจำได้ขนาดนั้น เพราะสมัยฆราวาสนอนอยู่ห้องเดียวกัน การเล่นพระเครื่องนั้นเซียนเขาแยกง่าย ๆ ว่าก่อน พ.ศ.๒๕๐๐ กับหลัง พ.ศ.๒๕๐๐ ถ้าหลังพ.ศ. ๒๕๐๐ นี่เขาถือว่าเป็นพระเครื่องรุ่นใหม่ รูปนี้เป็นเหรียญหล่อหลวงพ่อวัดบ้านแหลม สมัยก่อนชาวบ้านเขาเรียกว่า “คุณพ่อวัดบ้านแหลม” เหรียญหล่อของเก่าจุดตายจะอยู่ตรงขอบเหรียญ เพราะว่าใช้เลื่อยฉลุ ฉะนั้น..จะมีรอยเลื่อยอยู่ ถ้าเป็นพระบูชาดูที่ฐาน ถ้าเป็นของเก่า รอยตะไบจะเป็นแนวตรง ถ้าเป็นของรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ใช้หินเจียรหมุน รอยจะโค้ง สายตาต้องดีพอ โค้งก็โค้งนิดเดียว เพราะขอบพระไม่กว้าง ฉะนั้น..ที่แนวตรงเลยกับโค้งจะต่างกัน แค่เราพลิกขึ้นมาก็จะเห็น เหรียญมหาสมณุตตมาภิเษกของกรมสมเด็จพระปวเรศฯ นี่บางคนเรียกว่าเหรียญบาตรน้ำมนต์ เพราะท่านตั้งใจให้เป็นเหรียญทำน้ำมนต์เลย จะเป็นเหรียญที่ใหญ่มาก เป็นที่ระลึกงานมหาสมณุตตมาภิเษกของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์ วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ร.ศ.๑๑๐ ก็ พ.ศ.๒๔๓๕ เพราะว่า พ.ศ.๒๓๒๕ เป็น ร.ศ.๑ เราก็เอาจำนวน ร.ศ.บวก ๒๓๒๕ เข้าไป" |
"รูปนี้เหรียญหลวงปู่จิต วัดสัตตนารถปริวัตร ถ้าถัดจากรุ่นท่านก็คือท่านเจ้าคุณพระธรรมเสนานี (เงิน) ที่ท่านเจอพระองค์ที่ ๑๐ ท่านเป็นรุ่นอาจารย์ของหลวงปู่เงิน วัดสัตตนารถปริวัตรแต่ก่อนนี่อยู่บนเนินเขาที่ราชบุรี เขานั้นเดิมชื่อเขาศัตรูพินาศ เพราะว่าไทยรบชนะพม่าที่นั้น คราวนี้พอเรียกไปนาน ๆ ชื่อกร่อนเหลือสัตตุนารถ คนเขาว่าไม่มีความหมายก็เลยเรียกใหม่เป็นสัตตนารถ
คราวนี้พอรัชกาลที่ ๕ ท่านจะไปสร้างวังที่นั้น เห็นว่ามีวัดเก่าอยู่ท่านก็เลยใช้การผาติกรรมโดยการลงมาสร้างวัดข้างล่าง เพื่อถวายให้เป็นสมบัติพุทธศาสนา ลักษณะว่าผาติกรรมแลกเปลี่ยนเพื่อที่จะเอาที่ยอดเขานั้นไปสร้างวัง เพราะฉะนั้น..วัดที่ลงมาสร้างข้างล่างก็เลยเรียกว่าวัดสัตตนารถปริวัตร ก็คือแลกเปลี่ยนกับเขาสัตตนารถ ปริวัตรคือแลกเปลี่ยนกัน สับเปลี่ยนกัน พระกริ่งปวเรศรุ่น ๒ หรือพระกริ่งในหลวง ๕ รอบ หลวงพ่อฤๅษีเสก หลวงพ่อฤๅษีท่านไม่เคยเสกพระกริ่งเลยนอกจากรุ่นนี้ ตอนนี้ปลอมกันระเบิดเถิดเทิง ใต้ฐานบรรจุเส้นพระเจ้า (พระเกศาในหลวง) อาตมาพกติดตัวตั้งหลายปีเพิ่งให้เขาแลกบูชาไปตอนสร้างพระทองคำนี่แหละ คนรู้จักของนี่ประเภทลงเว็บเขาเห็นปุ๊บก็คว้าปั๊บเลย" |
ถาม : วัตถุมงคลต่าง ๆ นี่ต้องเข้าพิธีพุทธาภิเษกไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระเครื่องต้องเข้า เพราะว่าพระเครื่องเราพกติดตัวเป็นการตัดเคราะห์ ถ้าเป็นพระบูชาไม่ต้องก็ได้ เพราะพระบูชาส่วนใหญ่เราบูชาไว้อยู่กับบ้าน |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องขุนโจรคู่บัลลังก์ นอกจากจะเป็นการปลอมประวัติศาสตร์ ที่เขาเอาคนจริงกับคนปลอมมาใส่รวมกันแล้ว เขาแสดงให้เห็นชัดอยู่อย่างหนึ่งคือความเปลี่ยนแปลงของบุคคลที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมบังคับ ตัวเองเป็นคนดีมากเลย แต่คนอื่นนึกถึงแต่ผลประโยชน์ ทำดีแค่ไหนท้ายสุดก็โดนเขาขายทิ้ง ก็เลยต้องค่อย ๆ เปลี่ยนแนวความคิดของตัวเองไป กำลังจะดูว่าท้ายสุดแล้วเขาจะรักษาอุดมการณ์ไว้ได้ไหม อย่าลืมว่าแม้ว่าแนวความคิดเปลี่ยน แนวทางการปฏิบัติเปลี่ยน แต่ท้ายสุดเป้าหมายเปลี่ยนไหม ? ต้องการรู้แค่นี้
ลักษณะแบบเดียวกับที่เราปฏิบัติธรรม ถ้าเราปฏิบัติแบบทื่อ ๆ ตรง ๆ บางทีก็ไปไม่ถึงไหนหรอก เพราะว่าสารพัดอุปสรรคจะเกิดขึ้น แบบเดียวกับที่ว่าเรารักษาศีล ๘ พอเพื่อนถามว่าทำไมไม่กินข้าวเย็น เราบอกว่ารักษาศีล ๘ เขาก็มองเราเป็นสัตว์ประหลาด แต่ถ้าบอกว่ากำลังลดความอ้วนอยู่ ก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาของเขา เขาจะเข้าใจแล้วรับได้ง่ายกว่า ฉะนั้น..จึงต้องมีการพลิกเพลง เพื่อที่จะให้อยู่ในสังคมได้โดยที่กระทบกระทั่งกันให้น้อยที่สุด ขณะเดียวกันการปฏิบัติของเราก็ให้มีความก้าวหน้ามากขึ้น จึงต้องการจะดูว่าในเมื่อคุณเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนวิธีการปฏิบัติ แต่เป้าหมายของคุณยังเหมือนเดิมหรือเปล่า อาตมาจะรออ่านให้ถึงตอนจบ" |
ถาม : เปลี่ยนอย่างไรไม่ให้ผิดสัจจะ ?
ตอบ : เปลี่ยนอย่างไรก็ได้ แต่ให้เราประสบความสำเร็จเหมือนเดิม เพราะบางทีเราเพิ่งจะเข้าใจว่าความตั้งใจเดิมใช้ไม่ได้ ไม่ถูกต้อง เราก็ต้องเปลี่ยนให้ถูก แบบเดียวกับบางคนตั้งอธิษฐานบารมีไว้ อย่างเช่น ตั้งความปรารถนาพระโพธิญาณ แล้วเห็นว่ากลายเป็นความเนิ่นช้า เพราะระยะเวลาอีกยาวนาน ไม่เห็นต้นเห็นปลายเลย ลาดีกว่า ก็เปลี่ยนความตั้งใจใหม่ได้ เปลี่ยนเป้าหมายใหม่ได้ ถ้าจะไม่ให้เสียสัจจะก็คือเปลี่ยนจากสิ่งที่ไม่ถูกมาให้ถูก ถือว่าไม่เสียสัจจะ เขาเรียกว่ามีปัญญา แต่ถ้าเปลี่ยนจากสิ่งที่ถูกไปผิดนี่เสียสัจจะแน่ ๆ |
ถาม : จริตหรืออัชฌาสัยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ?
ตอบ : คำว่าจริตอย่างหนึ่ง อัชฌาสัยอย่างหนึ่ง จริตคือความชอบพอเฉพาะตัว อัชฌาสัยคือแนวทางที่ตนเองยึดถือปฏิบัติ ในเมื่อเรามาคนละอย่างกันจะให้เหมือนกันย่อมเป็นไปไม่ได้ วันก่อนบอกไปแล้วว่า บางคนเดินขึ้นบันไดมามีกี่ขั้นยังไม่รู้เลย แต่บางคนบันไดมีกี่ขั้น กว้างยาวเท่าไร ทำด้วยวัสดุอะไรเขาต้องรู้ เพื่อที่จะสร้างบันได้ให้คนอื่นใช้ แค่นี้ก็ไม่เหมือนกันแล้ว บางคนแค่รู้ว่าบันไดกี่ขั้นก็พอใจแล้ว แต่บางคนต้องไปดูลงรายละเอียดว่าสร้างด้วยวัสดุอะไร แต่ละขั้นทำไมไม่เหมือนกัน ทำไมบันไดขั้นที่ ๑ ของชั้นที่ ๒ เป็นไม้ตะแบก แต่ขั้นที่ ๓ เป็นไม้ชิงชัน ก็ต้องไปติดตามดูรายละเอียด จริตนิสัยที่สร้างมาไม่เหมือนกัน ความชอบพอต่างกัน แนวทางปฏิบัติและสิ่งที่ประสบความสำเร็จช้าเร็วก็เลยต่างกันไปด้วย |
ถาม : เวลาสงสัยบางอย่างจะนึกถึงหลวงพ่อฤๅษี บางทีก็เห็นภาพมาลาง ๆ โดยไม่รู้ว่าจินตนาการไปเองหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจหรอกจ้ะ นึกได้ก็ใช้ได้แล้ว เพราะว่าใจเราที่นึกไป นึกถึงพระก็ได้พุทธานุสติ นึกถึงหลวงปู่หลวงพ่อก็ได้สังฆานุสติ นึกถึงท่านปู่ท่านย่าก็ได้เทวตานุสติ ถาม : แล้วทำไมเวลาเห็นพระข้างบนถึงเห็นไม่ชัด ? ตอบ :อาตมาไปกราบพระนี่สูงไม่เคยถึงเข่าท่านสักที จะมองดูหน้าคงยากหน่อย ถ้าเห็นไม่ชัดแสดงว่าจิตยังหยาบไปหน่อย วิปัสสนาญาณต้องพิจารณาให้ละเอียดกว่านี้ ถาม : เราไม่เห็นหน้าท่าน แล้วคุยกับท่านได้ด้วยหรือครับ ? ตอบ : ในความเป็นทิพย์แค่วินาทีเดียวมีคำตอบเสร็จสรรพ มาแบบเขียนได้หลายหน้ากระดาษเลย |
ถาม : เวลาเราฟังเทปธรรมะ จะบอกว่าเราคือจิต แต่ที่เพิ่งได้ยินมาว่า เราคือผู้รู้อยู่ระหว่างจิตกับกาย จริง ๆ แล้วผู้รู้คือเรา ? ?
ตอบ : ผู้รู้นั้นแหละคือจิตดั้งเดิมของเรา ส่วนสิ่งที่เขาไปรับรู้นั้นเป็นอาการเคลื่อนไปของจิต ภาษาอภิธรรมเขาเรียกว่า ชวนะ เขาถึงได้บอกว่าจิตมีตั้ง ๘๙ ดวง มี ๑๒๑ ดวง แต่จริง ๆ นั่นเป็นการทำงานของจิต ฉะนั้น..เราไปดูบาลีที่เขาบอกว่า จิตตัง เอกะจะรัง อะสะรีรัง คูหาสะยัง ฯลฯ จิตเดียวเที่ยวไป ถาม : จิตเราก็ไม่ข้องแวะกับธาตุทั้งสี่ใช่ไหมคะ ? ตอบ : จำเป็นที่จะต้องควบคุมให้สภาพร่างกายที่เกิดจากธาตุ ๔ นี้ทำงานทำการต่าง ๆ ตามที่เราต้องการ แต่การควบคุมต้องมีสติสัมปชัญญะรู้อยู่เสมอว่านั่นไม่ใช่ของเรา เป็นเพียงสมบัติที่เรายืมโลกมาใช้ชั่วคราวเท่านั้น ไม่อย่างนั้นถ้าเผลอจะไปยึด ถ้ายึดเมื่อไรก็ติดอยู่ตรงนั้น |
ถาม : ทำไมพระอรหันต์ถึงอยู่ในร่างของฆราวาสไม่ได้ ?
ตอบ : การอยู่ของท่านมีโทษมากกว่าประโยชน์ คนที่ไม่รู้ว่าท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ขนาดนั้น ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ แม้แต่นิดเดียวก็เกิดโทษมหันต์แล้ว ดูอย่างนางขุชชุตตราที่ไปล้อเลียนพระปัจเจกพุทธเจ้าว่าเป็นคนหลังค่อม แล้วทำท่าให้เพื่อนดู ไปเกิดเป็นเป็นคนหลังค่อม ๕๐๐ ชาติ และยังขอให้เพื่อนที่เป็นภิกษุณีอรหันต์ส่งกระเช้าเครื่องแต่งตัวให้ จึงต้องกลายเป็นคนรับใช้เขา ๕๐๐ ชาติ นางสิริมาด่าภิกษุณีอรหันต์ที่บ้วนน้ำหมากมาเปื้อนผ้าตัวเองว่าหญิงแพศยา ตัวเองต้องไปเป็นโสเภณีอยู่ ๕๐๐ ชาติ เพราะฉะนั้น..การอยู่ที่มีโทษมากกว่าประโยชน์จึงต้องตัดให้ตายไปเลย เขาไม่เชื่อว่าคนด้วยกันแล้วจะต่างกัน แต่ถ้าอยู่ในเพศนักบวชที่เป็นที่ยอมรับว่าเป็นอุดมเพศ คือเพศอันสูง คนให้ความเคารพอยู่ โอกาสที่คนจะล่วงเกินหนัก ๆ แบบนั้นไม่มี ก็เป็นอันว่าอยู่ได้ ไม่อย่างนั้นโดนตัดหมด แล้วที่บอกว่าอยู่ไม่เกิน ๗ วันนี่เห็นอยู่ไม่เกินวันสักที ไฟฟ้าเป็นหมื่นโวลต์ แตะปุ๊บตายปั๊บ ฉะนั้น..สิ่งที่มีคุณอนันต์ก็มีโทษมหันต์ ใช้ประโยชน์ได้ งานการทุกอย่างก็เป็นไปได้ดีเพราะไฟฟ้า แต่ถ้าเผลอไปโดนสายเปลือย ๆ เข้าก็คาที่เลย..! ถาม : ใครเป็นผู้ตัดให้ท่านตายคะ ? ตอบ : ต้องบอกว่าวาระบุญวาระกรรมตัด ร่างกายไม่สามารถรองรับความบริสุทธิ์ขนาดนั้น ได้ก็เลยต้องตาย |
ถาม : บางท่านทราบว่าจะอยู่ได้ไม่นาน แต่ก็รั้งอยู่ได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้...แต่ถ้าทำถึงขนาดนั้นแล้วไม่มีใครอยากอยู่หรอก มีท่านแม่จันทนา วีระผล ท่านพิจารณาไปเรื่อย ๆ กำลังใจถึงระดับเกิดความเป็นทิพย์ รู้ว่าก้าวเลยตรงนี้ไปเราก็อยู่ได้ไม่เกิน ๗ วัน แต่ถ้ารั้งเอาไว้แต่เพียงนี้จะอยู่ได้อีก ๑๒ ปี ท่านเห็นว่า ๑๒ ปีมีแต่ความทุกข์ แล้วงานที่ตัวเองจะต้องรับผิดชอบก็ไม่มี ท่านก็ตัดใจไปวันนั้นเลย ต้องบอกว่าอย่างพวกเราทนลำบากไปอีกเป็นร้อยปีแล้วได้พระโสดาบันก็เหลือที่จะคุ้ม เพราะฉะนั้น..บุคคลที่เข้าถึงความเป็นพระอรหัตมรรคจนถึงพระอรหัตผลนี่ เอาอะไรไปแลกท่านก็ไม่ยอมหรอก ไปได้ไปก่อน ประกันความเสี่ยงไว้ดีกว่า ถาม : แล้วอย่างแม่ชีที่ปฏิบัติจนได้ จะอยู่ต่อไหมครับ ? ตอบ : ไม่เหลือจ้ะ เพราะแม่ชีก็ถือว่าเป็นฆราวาส ถือศีล ๘ เท่ากัน |
ถาม : เด็กน้อยอายุ ๗ ขวบที่ได้ญาณ ๘ ตั้งแต่เกิด เป็นเพราะอะไรเขาถึงได้มา เทียบกับคนอื่น ฝึกมาตั้งนานแต่ก็ยังไม่ได้ ?
ตอบ : ของเก่ามี เหมือนอย่างกับเราจะซื้อของชิ้นหนึ่ง จำนวนเงินต้องเพียงพอ เด็กคนนั้นต้นทุนพอมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว เกิดมาชาติใหม่สามารถใช้ต้นทุนตัวเองได้เลย แต่คนอื่นสะสมมายังไม่พอก็ต้องตะเกียกตะกายหาเพิ่มไปก่อน ถาม : เด็กโตขึ้นแล้วญาณนั้นจะเสื่อมไหมครับ ? ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วจะเสื่อม ที่เสื่อมเพราะว่าเผลอไปรับเอารัก โลภ โกรธ หลงเข้ามา ยิ่งอายุมากขึ้น ความอยากได้ใคร่มีก็มากขึ้นตามไปด้วย สภาพความผ่องใสของจิตก็ลดน้อยลงไปเรื่อย แต่จริง ๆ ถ้าตั้งใจปฏิบัติขัดถูพักเดียวก็คืนมา แต่ส่วนใหญ่ไปเข้าใจว่าเสื่อมแล้ว ก็เลยตามเลยปล่อยทิ้งไปเฉย ๆ |
ถาม : ครูบาอาจารย์ที่ไปพระนิพพานแล้ว ท่านยังมาช่วยเหลือบริวารได้ไหมคะ ?
ตอบ : ในความเป็นจริงแล้วได้ แต่ส่วนใหญ่คนทั่ว ๆ ไปเขาไม่เชื่อ เขาถือว่าไปพระนิพพานแล้วก็จบกัน ไม่มีอะไรเหลือ มีหลายคนเคยบอกกับอาตมาว่า “ไปพระนิพพานแล้วไม่มีอะไรทำก็เบื่อแย่สิ” คนไม่เคยไปนี่ก็เดาไปเรื่อย ถาม : ส่วนใหญ่เขาสอนกันมาแบบนั้น ว่าเข้าพระนิพพานก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของโลกมนุษย์แล้ว ตอบ : ในอรรถกถาจารย์เขาบอกไว้ชัดว่า บุคคลที่พ้นคุกไปแล้วสามารถกลับมาเยี่ยมคนในคุกเมื่อไรก็ได้ แต่บุคคลในคุกต่างหากที่ออกไปไหนไม่ได้จนกว่าจะหลุดพ้น ก็เลยกลายเป็นว่าความเชื่อกับความจริงเป็นคนละอย่างกัน ส่วนใหญ่ก็เข้าใจว่าพระนิพพานสูญ ตายแล้วไม่มีอะไร วันก่อนโยมก็ไปถามว่าพระนิพพานมีจริงหรือ ? อาตมาก็บอกกับโยมว่า “เสียเวลาที่จะคุยเรื่องอย่างนี้ ตราบใดที่โยมยังเป็นปลา แล้วอาตมาเป็นเต่า คุยกันไม่รู้เรื่องหรอก เพราะคนหนึ่งอยู่ในน้ำ คนหนึ่งอยู่บนบก จนกว่าโยมจะยอมเป็นเต่าอย่างอาตมา หรืออาตมากลับไปเป็นปลาอย่างโยมจึงจะคุยภาษาเดียวกันได้” ของอย่างนี้ต้องทำเอง ถึงเอง ถึงจะรู้เห็นเอง เราไปยืนยันอย่างไรก็ตาม เขาก็ยังสงสัยอยู่นั่นแหละ เสียเวลาไปคุยด้วย ถาม : แสดงว่าครูบาอาจารย์ที่ไปพระนิพพาน ท่านก็ยังสงเคราะห์บริวารได้ใช่ไหมคะ ? ตอบ : ท่านจะคอยดูอยู่ด้วยความเมตตากรุณาที่มีประจำใจ ถ้าสามารถที่จะช่วยเหลือให้เราเดินตรงทางได้ก็พยายามช่วยขนาบ แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับความพยายามของเราเองด้วย ไม่ใช่ว่าท่านช่วยดึงเราไปพระนิพพานได้ ท่านแค่พยายามตะล่อมเราตรงทางเท่านั้น ถ้าไปไกลมากก็ต้องพยายามดึงหน่อย ออกไปโน่นแล้วจะทำอย่างไรให้โค้งกลับมาเส้นทางเดิมได้ |
ถาม : ปัญญาวิมุตติกับเจโตวิมุตติต่างกันอย่างไรคะ ?
ตอบ : ปัญญาวิมุตติใช้การพิจารณาจนสภาพจิตยอมรับ ระหว่างการพิจารณาสมาธิจะค่อย ๆ ดิ่งลึกทรงตัวไปตามลำดับ พอถึงระดับที่ใช้งานได้ก็จะตัดกิเลสตรงส่วนนั้นไปเลย ส่วนเจโตวิมุตติเป็นการใช้กำลังใจข่มกิเลส ถ้าข่มอยู่ในระยะที่ยาวนานพอ กิเลสไม่สามารถจะเกิดได้ ก็ดับลงไปได้เหมือนกัน เหมือนเราเอาหินทับหญ้าไว้นาน ๆ หญ้าก็ตายไปเอง แต่ทั้งสองอย่างนี้ถ้าทำอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะช้า ปัญญาวิมุตติเหมือนอย่างกับคนมีอาวุธคมกล้าอยู่ในมือแต่กำลังน้อย จะยกอาวุธขึ้นตัดฟันอะไรก็ลำบาก ส่วนคนที่เป็นเจโตวิมุตติเป็นคนที่กำลังมากแต่ไม่มีอาวุธอยู่ในมือ ดังนั้น..ทั้งสองอย่างควรจะทำร่วมกัน ก็คือภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัว แล้วก็คลายออกมาพิจารณา ถ้าพิจารณาจนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัวแล้ว จะย้อนกลับไปภาวนาโดยอัตโนมัติ ทำสลับไปสลับมาอย่างนี้จะได้เร็วกว่า ถาม : เหมือนกับสมถะกับวิปัสสนา ? ตอบ : เจโตวิมุตตินั่นสมถะเต็ม ๆ เลย ปัญญาวิมุตตินั่นแหละวิปัสสนา ถาม : เพื่อนบางคนรู้ว่าเรานิ่ง เขาก็ดูถูกว่าอยู่แต่สมถะแล้วไม่ไปไหนต่อ ตอบ : บอกเขาว่า “ไม่ถึงไหนก็ช่างมัน ขอให้ฉันไม่โกรธเวลาแกปากเสียก็พอ” เรื่องอย่างนี้ถ้าเพื่อนไม่สนิทนี่โกรธกันเลยนะ |
ถาม : ปฏิสัมภิทาญาณเป็นอย่างไรคะ ?
ตอบ : ปฏิสัมภิทาญาณเป็นกำลังที่ครอบคลุมได้ทั้งอภิญญา ๖ วิชชา ๓ และสุกขวิปัสสโก บุคคลอย่างน้อยต้องปฏิบัติจนถึงระดับพระอนาคามีขึ้นไป กำลังของปฏิสัมภิทาญาณ ๔ ถึงจะปรากฏขึ้น ปฏิสัมภิทาญาณนอกจากความสามารถแบบเดียวกับอภิญญา ๖ แล้ว ยังมีความสามารถพิเศษ ๔ อย่าง คือ อรรถปฏิสัมภิทา ธัมมาปฏิสัมภิทา คือเป็นผู้รู้ทั้งเหตุและผล รู้ว่าผลที่เกิดขึ้นตรงนี้ สาวไปแล้วมาจากเหตุอะไร รู้ว่าเหตุนี้ถ้าเราทำแล้วจะเกิดผลอะไร แล้วก็ละในเหตุที่ไม่ดี ทำแต่ในเหตุที่ดีเท่านั้น ก็จะได้แต่ผลที่ดี ปฏิภาณปฏิสัมภิทา เป็นผู้เฉลียวฉลาด สามารถที่จะแก้ไขปัญหาทุกอย่างไปโดยสะดวกง่ายดาย นิรุกติปฏิสัมภิทา มีความชำนาญในภาษาคน ภาษาสัตว์ ภาษากาย ภาษาใจทุกอย่าง ก็เลยกลายเป็นความสามารถพิเศษที่ครอบคลุมอภิญญา ๖ ไปอีกชั้นหนึ่ง พูดง่าย ๆ ว่ามีมากกว่าอภิญญา ๖ อีก ๔ อย่าง ถาม : ในปัจจุบันนี้ยังมีท่านที่เป็นปฏิสัมภิทาอยู่ไหมคะ ? ตอบ : มี..แต่ส่วนใหญ่อยู่ในป่า ท่านทั้งหลายเหล่านี้อยู่เมืองเมื่อไรเขาก็แตกตื่นกันหมด ถาม : ที่ป่าทองผาภูมิมีเยอะไหมคะ ? ตอบ : ป่าทองผาภูมิตอนนี้ไฟไหม้ ถึงมีอยู่ก็คงย้ายหนีไฟไปแล้ว..! ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะว่าบ้านเราเมืองเราตอนนี้จะหาป่าที่พระปฏิบัติอยู่จริง ๆ หาได้น้อยมากแล้ว ส่วนใหญ่ก็เหลืออยู่บริเวณวัด ตอนนี้ถ้าขึ้นเขาวัดท่าขนุน มองไปรอบ ๆ บริเวณที่มีต้นไม้ก็คือบริเวณวัดเท่านั้นแหละ นอกเขตวัดไปก็ราบเป็นหน้ากลอง |
ถาม : เขาเจตนาเผาป่าหรือคะ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เขาคิดจะปลูกนั่นปลูกนี่ โดยที่ลืมไปว่าต้นเก่าโตมานานแล้ว พอดีปีนี้ป่าไผ่วัดท่าขนุนตกขุย ก็คือออกดอก พอต้นไผ่ออกดอกจะตายหมด กะว่าเดี๋ยวคงได้โอกาสล้างป่าไผ่ออกมา ว่าจะเอาตะเคียนไปลงแทน เวลาอดข้าวจริง ๆ เรายังบิณฑบาตกับต้นไม้ได้ ..(หัวเราะ).. ที่นั่นมีต้นไม้เกือบทุกอย่าง ช่วงทำศาลาครั้งนี้ก็โค่นไป ๔ ต้น เสียดายมากเลย ตอนทำพิธียกเสาเอกถึงได้บอกโยมว่า อย่าใส่วัตถุมงคลลงไป เพราะรับปากกับพวกเขาไว้ว่า ถ้าถึงเวลาทำศาลาเสร็จ อนุญาตให้พวกเขาเอาวิมานไปแปะเสาได้ ถามว่าไม่ใช่ต้นไม้อยู่ได้ไหม ? ได้..แต่ต้องให้เจ้าของอนุญาต คราวนี้ถ้าเราเอาวัตถุมงคลไว้ข้างล่าง เขาหมดสิทธิ์ที่จะไปแปะ ถึงได้ขอร้องไว้ว่าถ้าเป็นวัตถุมงคลอย่าเอาบรรจุลงไปในหลุมเสาเอก คนเราก็แปลก บอกว่าอย่าใส่ก็รีบใส่เลย กลัวจะไม่ได้บุญ..! |
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนประชุมกรรมการวัด ไล่รายการให้เขาดูว่า งานที่ตั้งใจทำที่วัดท่าขนุนมาจนถึงปัจจุบันนี้เหลืออยู่อีก ๒ อย่างเท่านั้น ก็คือปรับปรุงกุฏิเตชะไพบูลย์กับกุฏิประจวบดี อีก ๒ หลังให้เรียบร้อย ก็เหลือเพียงการปลูกต้นไม้ นอกนั้นดำเนินการเสร็จแล้ว และที่กำลังดำเนินการล่าสุดอยู่ก็คือการสร้างศาลาหลังใหม่
ศาลานี่ ๒ ปีก็คงไม่เรียบร้อยหรอก เพราะว่าอันดับแรกก็คือในส่วนของหมู่เรือนไทยด้านบนไม่ใช่ทำง่าย ๆ อีกอย่างบรรดาพวกมณฑปหรือบุษบกที่จะเอาไว้ตั้งพระ ซึ่งจะต้องมีรายละเอียดมาก และจะทำได้จริง ๆ ก็ต่อเมื่ออาคารส่วนนั้นเสร็จแล้ว ก็จะช้าลงไปอีก แต่ปีหน้าครบ ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย แจ้งกับกรรมการไว้ ให้บอกลูกศิษย์หลวงปู่ทั้งใหม่ทั้งเก่าแก่แค่ไหนก็เอา ช่วยกันบวชถวายหลวงปู่สัก ๑๐๐ รูป โครงการแรกก็คือศาลาจะสร้างเป็นศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย โครงการที่ ๒ ก็คือบวชลูกศิษย์ถวายท่าน ๑๐๐ รูป โครงการที่ ๓ ก็คือสร้างวัตถุมงคลหลวงปู่สาย เพราะของเก่าจะหมดแล้ว แล้วแจ้งพวกกรรมการวัดว่าถ้ามีโครงการอะไรที่จะทำเพื่อหลวงปู่ ให้นำเสนอขึ้นมา จะได้ช่วยกันคิดว่า จะทำอะไรออกมาให้กับหลวงปู่ได้อีก เขาก็บอกว่าขอเวลากลับไปคิดก่อน พอเลิกประชุมก็เลยบอกกับญาติโยมที่อยู่รอบข้างว่า “การที่คิดอะไรจนครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว จะไปรอให้เขาเติมอีกก็คงยาก” อาจจะสร้างสุขนิสัยที่ไม่ดีให้กับกรรมการชุดนี้ จนกระทั่งไปเสียหายเจ้าอาวาสใหม่หรือเปล่าก็ไม่รู้ กรรมการวัดท่าขนุนปัจจุบัน มีเอาไว้รับรู้รับฟังเรื่องราวของทางวัด แล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย นอกนั้นไม่ต้องทำอะไรเลย ถ้าเป็นรุ่นเก่า ๆ นี่เขายังต้องไปขวนขวาย ไปแจกซองกฐินผ้าป่าให้ยุ่งไปหมด รุ่นของอาตมาไม่ต้อง คุณเป็นกรรมการตั้งแต่แรกเริ่มมา อาตมาก็ตั้งทับไปเลย เพียงแต่ว่าจะไม่ไปรบกวนในเรื่องพวกนั้น" |
ถาม : บวชถวายหลวงปู่สาย เริ่มบวชตั้งแต่ช่วงไหนครับ ?
ตอบ : กันยายน ๒๕๕๗ กะว่าสัก ๓ - ๗ วันเท่านั้น ไม่เอามากหรอก เพราะลูกศิษย์หลวงปู่ระดับอายุ ๗๐ - ๘๐ ปีมีเยอะมาก เอาไปทรมานอดข้าวหลาย ๆ วันเดี๋ยวแย่ ตอนบวชคงต้องแบ่งสัก ๓ โบสถ์ โบสถ์วัดทองผาภูมิ วัดท่าขนุน วัดปรังกาสี โบสถ์หนึ่งสัก ๓๐ กว่ารูป ปีถัดไปก็ครบ ๑๐๐ ปีหลวงพ่อวัดท่าซุง หลายท่านบอกว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงเกิดปี ๒๔๕๙ แต่อาตมาไปไล่ดูรายชื่อของวันเดือนปีเกิดของพี่น้องท่านแล้ว เห็นชัด ๆ ว่า ๒ - ๓ ปีต่อ ๑ คน ฉะนั้น..ไม่มีหรอกที่จะไปเกิดติดกัน ตามที่ทราบว่าตั้งแต่แรกก็คือหลวงพ่อท่านเกิดวันเสาร์ที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๘ อาตมาก็จัดงานฉลอง ๑๐๐ ปีให้ ใครเขาจัดปีไหนแล้วแต่เขา อาตมาไม่ค้าน ส่วนอาตมาจัดแล้วเขาจะค้านก็จะจัด ก็เท่ากับว่าหลวงพ่อท่านมรณภาพตอนอายุ ๗๗ ปี |
ถาม : ชาวตะวันตกเริ่มสนใจพุทธศาสนา แต่ทำไมเขาถึงไปเกิดในที่ไกลคะ ?
ตอบ : ถ้ามีให้สนใจแปลว่าไม่ไกลแล้วจ้ะ น่ากลัวอยู่อย่างหนึ่งก็คือ เวลาฝรั่งเขาทำอะไรเขาจะทำจริง เพราะว่าเขาเพาะนิสัยความมุ่งมั่นมาตั้งแต่เด็ก บ้านเราไปรับแบบธรรมเนียมฝรั่งมาก็เฉพาะส่วนที่ไม่ดี ส่วนที่ดี ๆ เราไม่ได้รับมา อย่างเด็กฝรั่งพอเริ่มต้นจับช้อนกินข้าวได้เขาก็ส่งจานให้เลย กินหรือไม่กินหรือจะละเลงให้เละไปหมดเขาก็ไม่ว่า ถึงเวลาเก็บล้าง จับอาบน้ำเปลี่ยนผ้าเรียบร้อย ไม่ถึงมื้อต่อไปไม่มีกิน คราวนี้เด็กโดนเข้าสักสองครั้งรู้แล้วว่า ถ้าไม่กินก็หิวตายชัก จึงต้องตักใส่ปากเอง เด็กเขาจึงทำอะไรได้ด้วยตัวเองตั้งแต่เล็ก ๆ รู้จักวิเคราะห์สถานการณ์แล้วว่าจะรอดหรือไม่รอด การเรียนการศึกษาของเขา เขาถึงเอาเด็กเป็นศูนย์กลางได้ ส่วนบ้านเราบางที ๗ - ๘ ขวบแล้วยังไล่ป้อนข้าวอยู่เลย แล้วจะให้เด็กของเรามาเป็นศูนย์กลาง รู้จักคิดรู้จักทำ ซึ่งเป็นไปได้ที่ไหน อีกส่วนหนึ่งเด็กของฝรั่ง พอถึงวัยทีนก็คือตั้งแต่ ๑๓ ขึ้นไป ส่วนใหญ่จะเริ่มแยกจากพ่อแม่แล้ว ไปทำงานด้วยตัวเอง ถึงเวลาสามารถที่จะอยู่ด้วยตัวเองได้ แต่งงานแต่งการได้ คราวนี้บ้านเราพอถึงเวลาอยากจะมีคู่ แต่เป็นประเภทยังขอเงินแม่ใช้ทั้ง ๒ ฝ่ายเลย ก็เจ๊งสิ..! |
ฉะนั้น..ขนบธรรมเนียมประเพณีต่างกัน แล้วเราก็ไปรับมาเฉพาะส่วนที่เราคิดว่าดี แต่จริง ๆ แล้วไม่ดี เพราะไม่เหมาะกับสภาพแวดล้อมของเรา ในเมื่อสภาพแวดล้อมของเขาเป็นอย่างนั้น พวกฝรั่งเขาเคยชินกับการทำอะไรแล้วต้องทำอย่างจริงจัง ทำให้สำเร็จ ไม่อย่างนั้นชีวิตนี้ของคุณไม่มีใครช่วย ดูมหาเศรษฐีอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์หรือว่าบิล เกตส์ เขายังบอกเลยว่าเขาจะไม่โอนเงินให้ลูกเยอะแยะหรอก เขาให้แค่พออยู่ได้เท่านั้น ที่เหลือคุณต้องการก็ไปหาเอาเอง
แต่บ้านเรามีเท่าไรเทให้หมด เด็ก ๆ เขาได้มาง่ายก็ไม่เห็นคุณค่า เมื่อไม่เห็นคุณค่าเราก็จะเจอพวกเด็กแว้นเยอะแยะไปหมด จึงทำให้สภาพสังคมของเราสับสนวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ ดังนั้น..ในเรื่องของศาสนา เมื่อคนต่างชาติมาสนใจก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะว่าเขาทำอย่างจริงจัง คนที่ทุ่มเทจริงจังก็จะเกิดผลได้ง่าย แล้วก็จะทำให้ศาสนาของเราแผ่กว้างออกไปในเขตประเทศของเขา ฝรั่งเขาเห็นแล้วว่าความเจริญมีแต่โทษ จนกระทั่งเขาต้องย้อนกลับเข้ามาหาศาสนาซึ่งเป็นความเจริญทางจิตใจ เพราะความเจริญทางวัตถุมีแต่โทษ ความเจริญทางจิตใจสำคัญกว่า แต่บ้านเรากลับวิ่งไขว่คว้าหาความเจริญทางวัตถุ แล้วก็ละเลยในเรื่องของความเจริญทางจิตใจไป กลายเป็นงูกินหาง ไล่งับกันอยู่อย่างนี้ |
ถาม : ทำไมเรื่องราวในประวัติศาสตร์แลดูแปลก ๆ ไม่รู้ว่าตัดออกหรือเปล่า ?
ตอบ : คนเราพออยู่ในอำนาจไประยะหนึ่งก็จะเกิดอาการเมา พอเมาอำนาจก็พยายามรักษาอำนาจเอาไว้ ถ้าใครมีวี่แววว่าจะทำให้ตนเองต้องสูญเสียอำนาจไป เพื่อรักษาอำนาจของตนก็จะไม่คำนึงถึงวิธีการที่ใช้ ดังนั้น..ส่วนใหญ่แล้วบุคคลที่อยู่ในบันทึกประวัติศาสตร์ เมื่อได้รับอำนาจอยู่ในมือ ถ้าไม่ใช่บุคคลที่เห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตนแล้ว ส่วนใหญ่จะเสียคนหมด บาลีเขาบอกว่า ยโส ลทฺธา น มชฺเชยฺย บุคคลได้ยศแล้วไม่พึงเมา พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้แล้วว่า การกิน การนอน การเสพกาม การเสวยอำนาจ ถ้าไม่ใช่บุคคลที่เห็นภัยในวัฏฏสงสารจริง ๆ จะไม่เบื่อหน่ายเด็ดขาด ใครลองกินจนบอกว่าเบื่อดูสิ..รุ่งขึ้นจะกินอีกไหม ? ก็กินจนได้ การนอนก็เหมือนกัน บอกว่านอนจนเบื่อ แต่เดี๋ยวก็นอนอีกแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือ การบันทึกประวัติศาสตร์ต่าง ๆ บันทึกตามมุมมองของตนเองอย่างหนึ่ง มุมมองของตนเองไม่แน่ว่าจะถูกต้อง ขณะเดียวกันอีกอย่างหนึ่งก็คือบันทึกตามที่ผู้มีอำนาจสั่งการ ถ้าเป็นฝ่ายเราก็เขียนจนดีเลิศลอยไปเลย อีกฝ่ายหนึ่งก็เละเป็นโจ๊กไปเลย ประวัติศาสตร์ที่ไม่มีใส่สีใส่ไข่หาไม่ได้หรอก มีทั้งนั้น เพียงแต่ว่าจะซื่อตรงต่อข้อมูลเท่าไรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง พูดง่าย ๆ ว่านักบันทึกประวัติศาสตร์ที่ได้รับคำชมเชยนั้น ถึงจะประเภทใส่สีตีไข่อย่างไรก็ตาม แต่แก่นแท้เนื้อเรื่องที่เป็นจริงจะไม่ทิ้ง ในเมื่อว่ากันตามเนื้อเรื่อง จะชมใครอาจจะชมเลิศลอยเกินไป จะด่าใครอาจจะด่ารุนแรงเกินไป แต่ความชัดเจนก็คือฝ่ายนั้นผิด ฝ่ายนี้ถูก ตรงนี้จะไม่ทิ้ง |
แต่ถ้านักประวัติศาสตร์ที่ดีจริง ๆ ก็ต้องดึงตัวเองออกจากเหตุการณ์ไปเลย ทำเหมือนผู้ดู แล้วก็เขียนตามที่ตนเห็นทั้งสองฝ่าย ก็จะได้ภาพที่เป็นจริงโดยปรุงแต่งน้อยที่สุด แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ สิ่งที่เห็นกับสิ่งที่ทำ บางทีก็ไม่แน่ว่าจะเป็นความจริง
ดูอย่างพระนางบูเช็กเทียน ที่จีนกลางเขาเรียกอู่เจ๋อเทียน คนนั้นก็ว่าท่านไม่ดี คนนี้ก็ว่ามักมากกามคุณ คนนั้นก็ว่าโหดเหี้ยมชั่วร้าย แต่ราชวงศ์ถังสมัยของท่านเจริญรุ่งเรืองที่สุด ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ? ก็เพราะว่าตัวเองเอามุมมองของตัวเองไปมองแทน บูเช็กเทียนจากนางสนมเล็ก ๆ ก้าวขึ้นมาถึงระดับนั้น ถ้าไม่จัดการคู่แข่งอย่างเฉียบขาดใครจะไปเกรงใจ พอก้าวขึ้นไปเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน ท่านมีแนวคิดว่า ในเมื่อฮ่องเต้ผู้ชายหาสนมมาสามพันนางเพื่อเสริมบารมี ท่านเป็นฮ่องเต้ผู้หญิงก็จะต้องมีผู้ชายสามพันนายเหมือนกัน เป็นเรื่องปกติในความรู้สึกของท่าน ส่วนคนทั่วไปไปว่าท่านมักมาก แล้วทำไมผู้ชายที่ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย จำหน้าไม่ได้ด้วยซ้ำว่านอนกับผู้หญิงคนไหน เพราะว่าตั้งสามพันกว่าคนกลับไม่โดนด่า ? ฉะนั้น..อยู่ที่มุมมองของตัวเอง โดยที่ไม่ได้คิดถึงความเป็นจริงในตอนนั้นว่าต้องทำอย่างไร เรื่องบางอย่างต้องคิด ถ้าไม่คิดความเป็นจริงบางส่วนก็โดนปกปิดไป |
ถาม : ชอบไหลไปตามกระแสกิเลส ?
ตอบ : สติสัมปชัญญะยังไม่พอ สติต้องระลึกรู้อยู่เสมอ สัมปชัญญะต้องทราบว่าตนเองขณะนี้ทำอะไร อยู่ที่ไหน ไม่อย่างนั้นถ้าขาดเมื่อไรจะไหลไปทันที ไม่สามารถจะรักษาปณิธานความตั้งใจของตนเองไว้ได้ คราวนี้การที่จะมีสติสัมปชัญญะมั่นคงก็คือสมาธิต้องมั่นคง ถ้าสมาธิไม่มั่นคงการหยุดยั้งจะไม่มี จะมีแต่ไหลลงอย่างเดียว ให้ย้อนกลับมาว่ากันเรื่องสมาธิอีก ไม่ใช่เดินไปถึงหน้าปากซอย รถจอดช้าหน่อยด่าแล้ว สติสัมปชัญญะเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ สติสัมปชัญญะจะทรงตัวได้สมาธิต้องดี ถาม : อย่าว่าแต่เรื่องปัจจุบัน เรื่องราวในอดีตก็เข้ามา อนาคตก็ยังแบกไว้อีก ตอบ : ฉะนั้น..ต้องรีบหยุดให้ได้ |
ถาม : เวลากลางวันเราทำงานมาเหนื่อยแล้ว เหนื่อยทั้งแรงกายแรงใจ ก่อนนอนมีเวลาปฏิบัติได้ไม่นาน ?
ตอบ : เวลาก่อนนอนเอาแค่ว่า ถ้าไม่ไหวให้กราบพระ ๓ ครั้ง นอนหงายลงไปนึกถึงพระว่า "ถ้าเราตายลงไปวันนี้ขอไปพระนิพพาน" แล้วภาวนาหลับไปเลย แต่ตื่นนอนนี่เราพักผ่อนมาเต็มที่แล้ว ภาวนาอย่างเป็นทางการสักหน่อย เอาให้ได้สัก ๒๐ นาทีหรือครึ่งชั่วโมง พอกำลังใจทรงตัวก็ตั้งใจว่า "เราจะไปทำหน้าที่การงานของเราแล้ว ถ้าหมดอายุขัยตายลงไปก็ตาม หรือเกิดอุบัติเหตุอันใดถึงแก่ชีวิตก็ตาม เราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว" แล้วก็แบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งประคับประคองภาพพระหรือคำภาวนาของเราไว้ แล้วก็ทำหน้าที่ของเราไป ฉะนั้น..เวลาก่อนนอนอย่าไปบังคับตัวเองมาก เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ก็เหลือแต่ตื่นนอนที่ขี้เกียจไม่ได้ ถาม : กลายเป็นว่าเหนื่อยล้ามาก เวลานอนไม่ฟุ้งซ่าน กลับสงบนิ่ง ตอบ : ถูก...แต่ถ้าไปฝืนมาก ๆ ร่างกายไม่ไหว เดี๋ยวจะไม่เอากับเราอีก เหมือนกำลังเหนื่อยมาก ๆ แล้วไปโหมทำงานต่อ พอร่างกายล้ามากวันรุ่งขึ้นก็จะทำงานไม่ไหว |
พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงปู่จ้อย วัดบางช้างเหนือ ที่บางทีเขาเรียกว่าหลวงปู่เจ๊ก ถึงเวลาก็แบกไหเหล้าเมาหัวทิ่มทั้งวัน เขาส่งพระจากกรุงเทพฯ ไปสอบท่านว่าฉันเหล้าเมาผิดพระวินัย จะถอดท่าน ไปถึงหลวงปู่ท่านก็รินน้ำชาให้ แล้วถามว่า "พระเดชพระคุณมา มีธุระอะไรขอรับ" เขาก็อึก ๆ อัก ๆ ท้ายสุดก็บอกว่าจะมาดูว่าหลวงพ่อฉันเหล้าจริงหรือเปล่า ถ้าฉันเหล้าก็จะต้องถอดจากเจ้าอาวาส
หลวงปู่จ้อยท่านบอกว่า “ถ้าถอดผม พระเดชพระคุณทั้ง ๒ ท่านก็ต้องโดนถอดด้วย” เขาก็สงสัยว่าทำไมจะต้องโดนถอด หลวงปู่ก็ว่า “ท่านก็ฉันเหล้าเหมือนกัน” พอยกจอกน้ำชาขึ้นมาดม กลิ่นเหล้าทั้งนั้นเลย แต่ตอนฉันเข้าไปเป็นน้ำชา ทั้งสองท่านรู้ว่าเจอดีเข้าแล้วก็กราบลากลับเลย รู้แล้วว่าท่านแกล้งเมา หลวงปู่จ้อยท่านดังทางตะกรุดไม้ไผ่ตัน เอาไม้ไผ่ตันมาทำตะกรุด รับประกันยิงไม่ออก แต่มีจำนวนน้อย บรรดาคนแถวบางช้างเหนือ บางช้างใต้ ได้มาก็เก็บรักษาในลักษณะเป็นมรดกตกทอดถึงลูกถึงหลาน ไม่มีหลุดไปที่อื่นเลย" |
ถาม : เราเกิดมานานแค่ไหนคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องสงสัยจ้ะ...นับชาติไม่ถ้วน อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า แต่ละชาติแค่น้ำตาไม่กี่หยด รวมกันแล้วมากกว่าน้ำในมหาสมุทรอีก บุคคลที่เกิดมาจะค่อย ๆ สร้างสมบารมีมาเรื่อย ๆ กว่าจะรู้จักคำว่าพระนิพพาน กว่าจะรู้จักศีล สมาธิ ปัญญา ครบถ้วนนี่เกิดมานับไม่ถ้วนทั้งนั้น มองเห็นแล้วจะเบื่อเอง เพราะแต่ละชาติไม่มีชาติไหนที่ไม่ทุกข์ |
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนที่งานของหลวงพี่เอก พอกราบหลวงปู่ครูบาครองเสร็จท่านก็ดึงไว้ไม่ให้ถอย มานึก ๆ แล้วพระผู้เฒ่า คนรุ่นเดียวกันก็ล่วงลับไปหมด ตอนนี้ในเขตนั้นเหลือท่านองค์เดียวจริง ๆ หลวงปู่ครูบาอินต๊ะจะว่าไปแล้วท่านก็ไม่สนิท หลวงปู่ครูบาผัดมรณภาพ หลวงปู่ครูบาอ่อนมรณภาพ หลวงปู่ครูบาครองจึงเหลือองค์เดียวเลย ถ้าถามว่าท่านเหงาไหม ? ท่านก็ไม่เหงาหรอก แต่ในความรู้สึกของคนทั่ว ๆ ไปก็คือพระผู้เฒ่าไม่มีเพื่อนแล้ว ตอนมีเพื่อนท่านก็เล่นกันสนุกสนานเฮฮา
เมื่องานศพหลวงปู่ครูบาผัด หลวงปู่ครูบาอ่อนไปกราบหลวงปู่ครูบาครอง เอาสีผึ้งทาหัวเข่าปิดทองเลย ท่านบอกใบ้ให้รู้ว่าเป็นพระดีถึงขนาดที่สมควรจะปิดทองได้แล้ว" |
ถาม : ปัจจุบันนี้พระอริยเจ้าท่านมีอยู่เท่าไรคะ ?
ตอบ : เสียเวลาไปคิด ทำตัวเองให้เป็นพระอริยเจ้าถึงจะดีที่สุด เพราะว่าท่านจะมีเท่าไร หรือท่านจะเป็นพระอริยเจ้าระดับไหน ก็เหมือนกับสมบัติมหาเศรษฐี เราดูไป เรารู้ไปก็ยังเป็นของท่านอยู่ดี สำคัญที่เราต้องหาสมบัติของเราเองให้ได้ ถาม : พระโพธิสัตว์เป็นพระอริยเจ้าได้ไหมคะ ? ตอบ : ไม่ได้จ้ะ ถ้าพระโพธิสัตว์ไม่ได้ละการปรารถนาพุทธภูมิ จะเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ แต่พระโพธิสัตว์ท่านสามารถปฏิบัติจนกำลังใจเทียบเท่าพระอริยเจ้าได้ ดังนั้น..พระโพธิสัตว์บางท่าน ถ้าไปขอคำสอนท่าน ท่านจะสอนลักษณะเดียวกับพระอริยเจ้า แต่จะไม่สอนเกินกำลังใจของตน อาตมาเคยกราบขอให้หลวงปู่อ่ำ วัดโสมนัส ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่าเป็นช้างปาลิไลยกะมาเกิด ขอให้ท่านพูดถึงอารมณ์พระอริยะเจ้า ท่านบอกว่า ฌานโลกีย์อย่างคุณ ผมพูดไปก็ผิดเสียเปล่า ๆ อาตมากราบเรียนว่า แค่กราบขอความรู้ไว้เป็นแนวทางการปฏิบัติเท่านั้น ถ้าหากว่ากระผมทำถึง จะได้รู้ว่าตนเองเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าจริงหรือไม่ ? ท่านถึงได้แสดงให้ แต่ว่าท่านจะพูดวนอยู่แค่สังโยชน์ ๕ ก็แปลว่ากำลังใจของท่านเทียบเท่าพระอนาคามี ฉะนั้น...พระอริยเจ้าจะไม่มีในพระโพธิสัตว์ ถ้ายังไม่ละความปรารถนาในพระโพธิญาณ เพราะภาระที่ตนเองตั้งใจไว้ จะทำให้จิตไม่ยอมตัดละเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้า ต่อให้กำลังใจเทียบเท่าพระอริยเจ้า ก็ไม่สามารถจะเป็นพระอริยเจ้าได้ ถาม : พระโพธิสัตว์ตัดลาจากพุทธภูมิก็เข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้าได้ ? ตอบ : ได้..และการปฏิบัติจะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าเร็วกว่าบุคคลทั่วไป เพราะกำลังของท่านสูงมากแล้ว |
:cebollita_onion-09: เก็บตกเดือนเมษายน ปี ๕๖ จบแล้วค่ะ:cebollita_onion-09: ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:03 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.