![]() |
ถาม : ผมถือศีล ๘ แต่ก็มีหน้าที่ที่ต้องติดตามข่าวสารบ้านเมือง ?
ตอบ : ถ้าดูลักษณะนั้นก็อย่าไปใส่อารมณ์ตาม ดูแค่รับรู้ว่าโลกเป็นอย่างไร ? หรือไม่ก็ดูไปปลงไปก็ได้ |
ถาม : มโนมยิทธินี่คือสมาธิใช้งานใช่ไหมครับ ?
ตอบ : คนละอย่างกัน...มโนมยิทธิเป็นกำลังอภิญญา ใช้ถอดจิตออกไป สมาธิใช้งานหมายถึงสมาธิที่เราทรงตัวก็สามารถทำสิ่งอื่น ๆ ไปพร้อมกันได้ แต่ถ้าใครทำมโนยิทธิได้คล่องตัวจะสามารถทำสมาธิใช้งานได้ด้วย อย่างเช่นทำงานอยู่ก็จับภาพพระไปได้ด้วย ทำงานอยู่สามารถกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกและคำภาวนาไปด้วย ลักษณะเหมือนกับแยกจิตทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน แต่สรุปโดยรวมแล้วมโนมยิทธิเป็นส่วนหนึ่งของสมาธิใช้งาน ถาม : สมาธิหมายถึงการที่เรามีอารมณ์ปักมั่นเป็นอารมณ์เดียว การแยกทำหลายอย่างก็ไม่ใช่สมาธิ ? ตอบ : นั่นสำหรับพวกที่อ่านแต่ตำรา ถ้าทำได้จริง ๆ จะเลิกสงสัยไปเอง ถาม : เรื่องของสมาธิสมาบัติ พวกพราหมณ์เขาก็ทำได้เหมือนกันหรือครับ ? ตอบ : เขาทำกันจนเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่กำลังเหลือเฟือแล้วแต่ไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้อะไร เราจะเห็นว่าพื้นฐานเขาเหล่านี้ดีมาก พอพระพุทธเจ้าเทศน์จบเดียวก็บรรลุไปตาม ๆ กัน |
ถาม : การฝึกแนวมหาสติปัฏฐาน เขาบอกว่าใช้แค่ขณิกสมาธิ ?
ตอบ : นั่นไม่ใช่พระพุทธเจ้าบอก ในมหาสติปัฏฐานสูตรขึ้นด้วยอานาปานสติ มีอานาปานสติที่ไหนที่ทำแค่อุปจารสมาธิ ส่วนใหญ่แล้วครูบาอาจารย์รุ่นหลัง ๆ ทำไม่ได้แล้วก็มั่วไปเรื่อย ตีความผิดเข้าป่าดงไปจนทุกวันนี้ ถาม : อุทยัพพยานุปัสสนาญาณเขาบอกว่าแค่อุปจารสมาธิ ? ตอบ : อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ถ้าทำถึงปฐมฌานขึ้นไปก็จะเห็นได้ชัดเจน เพราะฉะนั้นถ้าไปฟังญาณ ๑๖ ของเขาแล้วคุณอาจจะบ้าตาย..! ถาม : แล้วสังขารุเปกขาญาณเขาบอกว่าถึงขั้น....? ตอบ : คุณไม่ต้องไปสนใจว่ากำลังถึงไหน ถ้าทำสังขารุเปกขาญาณได้ ส่วนใหญ่จะเป็นพระอริยเจ้ากันหมดแล้ว ของเขาสังขารุเปกขาญาณยังไปแค่ครึ่งทางเอง บุคคลที่สามารถวางสังขารคือการปรุงแต่งของจิตลงได้ กิเลสต่าง ๆ เกิดไม่ได้แล้ว ในเมื่อกิเลสเกิดไม่ได้ก็ต้องเป็นพระอริยเจ้า แต่ของเขาเองตะกายขึ้นไปอีกเท่าไรกว่าจะไปถึงมรรคญาณ ผลญาณของเขา ปัจจุบันนี้ยังมีคนเป็นจำนวนมากที่ไปฝึกปฏิบัติตามสายนี้แล้วหลงว่าตัวเองเป็นพระโสดาบัน เพราะไปสรุปว่าถ้าผ่านถึงญาณ ๑๖ จะเป็นพระโสดาบัน แต่ญาณ ๑๖ ของเขาบางคนกระทั่งปฐมฌานยังขึ้นไม่ถึง ไปเก็บเอาอาการตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อยมา แล้วก็สรุปว่าได้ญาณนั้นญาณนี้ อาตมาเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้เล่มหนึ่ง หลายปีมาแล้ว แต่ต้องให้เรียนจบปริญญาเอกก่อนแล้วค่อยเผยแพร่ เพราะเขียนด่าเขาโดยตรงตั้งแต่แรกจนจบเลย มหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่เขาก็ชูเส้นทางนี้ ขืนออกตอนนี้มีหวังโดนไล่ออกไปด้วย..! |
ถาม : จิตสังขาร คืออะไรครับ ?
ตอบ : ความคิดของคุณนั่นแหละ จะปรุงไปทางดีหรือชั่วก็ตาม เขาเรียกว่าจิตสังขาร คือการปรุงแต่งของใจ เริ่มคิดเมื่อไรก็เป็นจิตสังขารเมื่อนั้น ถ้านับแล้วอยู่ในส่วนของจิตในจิต ถาม : จิตตานุปัสสนา ? ตอบ : รู้ว่าตอนนั้นสภาพจิตเป็นอย่างไร มีกิเลสหรือไม่มีกิเลส รัก โลภ โกรธ หลงหรือว่าไม่มีก็สามารถที่จะรู้ได้ อย่าลืมว่า “รู้” ไม่ได้แปลว่าสามารถจะชำระจิตให้สะอาดได้ |
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ตอนนี้สามารถรู้ได้เพราะจิตข่มกิเลสลงอยู่ ถ้าเป็นไปตามวิมุติ คือการหลุดพ้น เขาเรียกว่าวิขัมภนวิมุตติ ก็คือหลุดพ้นได้เพราะองค์ฌานข่มเอาไว้ ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็แปลว่าถ้าฌานเสื่อมเมื่อไรกิเลสก็เกิดใหม่ ไม่ใช่การกำหนดรู้อนุสัย แค่รู้ว่ากิเลสหยาบเกิดขึ้นมาทำอันตรายเราไม่ได้เท่านั้น ส่วนกิเลสอื่น ๆ ยังรอจังหวะอยู่ เผลอเมื่อไรก็โดนเมื่อนั้น ความจริงเรื่องนี้เขาปฏิบัติกันมานาน น่าจะสรุปผลได้นานแล้ว แต่ก็สรุปไม่ได้ สมัยที่ท่านเจ้าคุณใหญ่ท่านยังอยู่ ท่านบอกว่า “ลูกศิษย์ผมคนนี้เก่งมาก นั่ง ๒๓ ชั่วโมงไม่กระดิกเลย” ถามว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างครับ ? ท่านว่า “สึกไปมีเมียแล้ว” ก็น่าจะสรุปได้แล้วว่าวิธีนี้ผิด แต่เขาก็ยังอุตส่าห์สอนกันมาจนทุกวันนี้ ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : สภาพจิตของเรามีกิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียดอยู่ ถ้าสภาพจิตสามารถที่จะละเอียดถึงตรงจุดไหน ก็จะก้าวข้ามกิเลสที่หยาบกว่าตรงส่วนนั้นไป นั่นก็คืออาการที่เปลื้องจิตออกจากกิเลสตัณหาต่าง ๆ ตามลำดับไป แต่คราวนี้ก็ต้องดูด้วยว่า สภาพปัญญาตอนนั้นยอมรับแล้วกำลังมีเพียงพอไหม ? ถ้าไม่ยอมรับ กำลังไม่พอก็แค่ได้เห็นเท่านั้น ได้รู้ขั้นตอนเท่านั้น แต่ยังไม่สามารถที่จะทำให้เป็นของเราเองได้ ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : คุณไปดูตรงท้ายมหาสติปัฏฐานสูตรทุกบรรพ บทสรุปจะอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าจะหมวดไหน ตอนไหนก็ตาม ท่านจะลงไว้ว่า น จ กิญฺจิ โลเก อุปาทิยติ เราจะไม่ยึดติดอะไร ๆ ในโลกนี้ ลงตรงนั้นก็จบแล้ว ไม่ต้องทะลึ่งไปดูอย่างอื่นให้เสียเวลาหรอก แสดงว่าคุณอ่านตำรามากเกิน อ่านมากไม่เป็นไร อ่านมากแล้วจับจุดไม่ถูกก็จะงงต่อไปเรื่อย ๆ ถ้าเราดูตั้งแต่ต้นจนปลายของมหาสติปัฏฐานสูตรทุกบรรพ เขาสรุปลงตรงนี้ที่เดียว เราจะปฏิบัติแค่ตรงนั้นที่เดียวเลยก็ได้ |
ถาม : การภาวนาคาถายาว ๆ พร้อมกับจับลมหายใจเข้าออกทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : เอาที่เราถนัด คุณจะว่ายาวตลอดเข้า ยาวตลอดออกก็ได้ คุณจะว่าทีละคำก็ได้ ว่าเป็นคู่ก็ได้ อยู่ที่เราหายใจสะดวกไหม ? เขาไม่ได้กำหนดตายตัวว่าจะต้องภาวนาอย่างไร |
โยมกำลังดูหนังสือพระเครื่องอยู่ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "เมื่อก่อนทิดตู่ก็เป็นแบบนี้แหละ เปิดดูไปแล้วกิเลสเกิด พวกวัตถุมงคลของเก่า ถ้าไม่เคยเห็นของจริงอย่าไปเล่น ต้องได้เห็นของจริงมามากพอจนกระทั่งมั่นใจแล้วถึงไปเล่นได้
วัตถุมงคลเหมือนกับต้นไม้ นึกออกไหม ? ถ้าคุณรู้จักต้นไม้มองดูเมื่อไรก็รู้ว่านี่คือต้นนี้ ต้องดูให้ได้แบบนั้น มองไปถึงต้นนั้นเราก็จะรู้ว่า อ้อ..ต้นคูณ เวลาเขาเอาต้นคูณมาเรามองเมื่อไรก็รู้ว่าต้นคูณ เรื่องของการเล่นวัตถุมงคลจะต้องรู้ให้ซึ้งก่อน ไม่อย่างนั้นไปเปิดหนังสือมองแบบนั้นรับรองได้ว่ามีค่าครูอีกเยอะ..! บรรดาพวกเซียนต่าง ๆ มักจะมีตำนานมา มีที่มาอย่างนั้นอย่างนี้ เราไปฟังตามตำนานเมื่อไรตายคาที่ทุกราย เล่นพระต้องเล่นด้วยตาไม่ใช่เล่นด้วยหู ดูให้เข้าใจอย่างแท้จริง ศึกษาให้รู้ว่าแต่ละพิมพ์ แต่ละเนื้อมีลักษณะอย่างไร เช่น ถ้าเขาบอกว่า “ผิดเนื้อผิดพิมพ์” เขาวางเลย เวลาเขาเอาต้นมะรุมมาดันบอกว่าเป็นต้นมะขาม ใบคล้ายกันแต่คนรู้จักมองดูก็รู้แล้วว่านี่ต้นมะรุม" |
ถาม : ต้องการทำบุญด้วยการทำความสะอาดพระพุทธรูป ?
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ...ทำความสะอาดถือว่าดี แต่ต้องเป็นพระพุทธรูปพวกทองเหลือง อย่าเอาพระพุทธรูปที่ปิดทอง เพราะถ้าไปทำความสะอาดเดี๋ยวทองหลุดหมด หรือไม่ก็ไม่ต้องทำความสะอาด ซื้อแบบมีตู้ครอบถึงเวลาก็เช็ดแต่ตู้เท่านั้น |
พระอาจารย์กล่าวว่า "จำไว้นะว่า ทอง ๒๔ เค คือทอง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ๑๘ เคเป็นทองประมาณ ๗๐ เปอร์เซ็นต์ ภาษิตจีนเขามีอยู่บทหนึ่งว่า “ทองคำแท้ไม่กลัวไฟเผา” ไม่ใช่ว่าเผาแล้วไม่ละลาย คำนี้เขาหมายถึงว่าหลอมอย่างไรก็เป็นเนื้อทอง แต่ถ้าทองปลอมพอหลอมแล้วโลหะอื่นจะโผล่ ทองคำแท้ไม่กลัวไฟเผาก็คือของจริงไม่กลัวการพิสูจน์
สมัยนี้เขาเล่นกันจนร้านทองเองตามไม่ทัน เสียท่าเขามาเยอะแล้ว เขาเล่นตีทองโปร่งไปหุ้มโลหะอื่น แล้วทำเป็นรูปพรรณอย่างดีเลย พวกนี้ต้องสุดยอดฝีมือเลยนะ แต่คราวนี้ด้วยความที่เขาหุ้มโลหะอื่น น้ำหนักก็จะมากกว่าเดิมหลายเท่า พอเอาไปขายแล้วส่วนกำไรจะได้เยอะ เขาให้หินลองทอง ใช้น้ำยาป้ายดูก็เป็นทอง เพราะข้างนอกเอาทองหุ้มไว้ ช่วงที่ทองไมครอนออกใหม่ ๆ ตัดดูเนื้อข้างในก็เหลืองอร่าม แต่ว่าไม่ใช่ทอง นั่นเป็นไพไรต์ ที่ซาอุดิอารเบียเขามีภูเขาทอง เป็นทรายทองทั้งภูเขา เขาใส่ขวดเล็ก ๆ ขายให้เป็นที่ระลึก อันนั้นเป็นไพไรต์ทั้งหมด เขาบอกว่าไพไรต์ ๑ ตันจะหลอมได้ทอง ๒ บาท ๑,๐๐๐ กิโลกรัม จะได้ทอง ๓๐.๔ กรัม ลองดูบ้างไหม ? แค่ค่าถ่านค่าฟืนก็ไม่ไหวแล้วนะ ที่ซาอุฯ เขาบอกว่าถ้าจะตั้งโรงงานผลิตทองจริง ๆ ก็คุ้ม แต่คราวนี้ซาอุฯ เขารวยจนไม่รู้จะทำไปทำไม ก็เลยเอาไว้ให้นักท่องเดียวดู และเอาใส่ขวดเล็ก ๆ ขายเป็นที่ระลึก" |
ถาม : ทางมหายานเขากล่าวถึงพุทธเกษตรที่มีพระพุทธเจ้าประทับอยู่ เป็นไปอย่างนั้นหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : สุขาวดีพุทธเกษตรของเขาก็คือสวรรค์ชั้นดุสิต เป็นที่อยู่ของบรรดาพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ถาม : แล้วที่เขาบอกว่ามีหลายจักรวาล แล้วมีพุทธเกษตรต่าง ๆ แสดงว่าสวรรค์ชั้นดุสิตมีหลายที่จริงไหมครับ ? ตอบ : ถ้าเจอพระที่เป็นมหายาน ถามท่านดูแล้วกัน อาตมาเป็นพระเถรวาท วันก่อนไปวัดธรรมปัญญารามบางม่วง ไปดูสุขาวดีพุทธเกษตรของเขา เขาใช้ทรายสี ๆ โรยทำเป็นแมนดาล่าหรือมัณฑะเลย์ เขาทำได้งามจริง ๆ อาตมาถึงได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วการปฏิบัติธรรมไม่ใช่นั่งเฉย ๆ การปฏิบัติธรรมต้องใช้งานจริงได้ ทำสมาธิค่อย ๆ โรยทราย แล้วบางอันเขาประกอบขึ้นมาคล้ายกับแบบย่อส่วนเล็ก ๆ แต่รายละเอียดเหมือนกับของจริงทุกอย่าง เขาทำด้วยความศรัทธาจริง ๆ ทางสายมหายานโดยเฉพาะทิเบต เขาเชื่อในพลังของอัญมณีต่าง ๆ เขาจะมีการใช้ปะการังกับพลอยขี้นกการเวกประดับ อาตมาก็นึกว่าต้องใช้จำนวนมหาศาล แต่ปรากฏว่าไปเจอมัสยิดในซินเกียงกับในรัสเซีย โดมมัสยิดเขาประดับด้วยพลอยขี้นกการเวกทั้งโดมเลย ต้องใช้เวลาตกแต่งนานขนาดไหน ? เพราะต้องทำเป็นชิ้นแล้วค่อย ๆ ติดจนเต็มทั้งอัน ไม่ต้องไปประมาณศรัทธาคนเลยว่าราคาเท่าไร แค่เทอร์คอยซ์เราก็ไม่มีปัญญาจะซื้อแล้ว แล้วยังบวกแรงศรัทธาไปอีกตั้งเท่าไร |
ถาม : แม่เขาชอบฝันเห็นก้อนเนื้อ ?
ตอบ : มีเปรตชนิดหนึ่งเรียกว่า มังสเปสิกเปรต เป็นก้อนเนื้ออย่างเดียว ถาม : แล้วควรทำอย่างไรครับ ? ตอบ : อุทิศส่วนกุศลให้เขาบ่อย ๆ ถาม : แล้วทำไมจำเพาะจงกับแม่ด้วยครับ ? ตอบ : มีกรรมเนื่องกันมา |
ถาม : ที่บอกว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านทำหน้าที่รักษาการณ์พระศาสนา คำว่า “รักษาการณ์พระศาสนา” หมายความว่าอะไรครับ ?
ตอบ : สรุปง่าย ๆ ว่าทำหน้าที่แทนพระพุทธเจ้า เช่น ทางโลกเราอาจจะมีพระสังฆราช แต่บุคคลที่ท่านมอบหมายให้ทำหน้าที่แทนจะเป็นใครก็อีกเรื่องหนึ่ง ถาม : พระส่วนใหญ่มักจะทราบใช่ไหมครับ ? ตอบ : ถ้าพระที่ได้ตั้งแต่วิชชาสามขึ้นไปมักจะทราบ เรื่องนี้ถ้าไปพูดวัดแถว ๆ ปทุมฯ เขาไม่ยอมนะ เขามั่นใจว่าต้องเป็นอาจารย์เขา หลังจากมีการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๒ มีการแตกออกเป็นมหายาน เถรวาท และนิกายต่าง ๆ รวมแล้ว ๑๐ กว่านิกาย มาดูในปัจจุบันบ้านเรา ถ้าเอาคำว่านิกายห้อยท้ายไปจะเห็นชัดเลย อย่างเช่น นิกายสันติอโศก นิกายธรรมกาย เพราะว่ามีวัตรปฏิบัติที่ต่างจากคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด ไม่ได้ไปด้วยกับคนอื่นเขา ถ้าไปศึกษาดูคำสอนของเขา เป็นคำสอนที่จะดึงคนให้สร้างประโยชน์ให้กับเขาให้มากที่สุด เช่น ในเรื่องของสวรรค์ ๖ ชั้น เขาบอกว่าบุคคลที่จะไปสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชจะต้องทำทานประมาณนั้นประมาณนี้ ไปชั้นดาวดึงส์ต้องทำทานให้ยิ่งขึ้นกว่า ไปชั้นยามาต้องทำทานยิ่งกว่าดาวดึงส์ ไปชั้นดุสิตต้องทำทานยิ่งกว่ายามา เพิ่มไปเรื่อย สรุปว่าเน้นตรงทานอย่างเดียวเพื่อให้บริวารสร้างทานเยอะ ๆ แล้วพวกทานนั้นก็จะส่งผลคือความสุขความสบายของพวกเขา ตรงจุดนี้พอนาน ๆ ไปบรรดาท่านที่ศรัทธาก็จะเชื่อถือและยึดมั่น คำสอนนี้ก็จะเป็นอาจาริยวาท ก็คือยึดมั่นในคำสอนของอาจารย์ เรื่องของอาจาริยวาทนี่แหละที่ทำให้บรรดามหายานก็ดี เถรวาทก็ดี แตกออกเป็นสารพัดสาย เป็นนิกายนั้นนิกายนี้เต็มไปหมด |
ถาม : เรียกว่าลัทธิได้ไหมครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เราจะเรียกหรือไม่ จะลัทธิหรือนิกายเราก็จะเห็นว่าต่าง ในเมื่อเราเห็นต่างคนอื่นเขาก็ต้องเห็นด้วย เพียงแต่ว่าคนอื่นเขาเห็นแล้วจะพูดหรือเปล่า ? เป็นที่น่าเสียดายว่าธรรมกายของหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านสอนถึงพระนิพพาน แต่วัดธรรมกายที่มีผู้คนนับถือมากที่สุดในประเทศไทยช่วงนี้สอนแค่ดุสิตบุรี ถาม : แล้วจะไปได้จริงไหมครับ ? ตอบ : ก็ต้องดูว่ามุ่งมั่นจริงหรือเปล่า ? สมัยก่อนเพื่อนหลายคนก็เข้าไปคลุกอยู่ในนั้น แล้วก็อธิษฐานขอถึงซึ่งพระนิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้า ก็เลยถามว่าแล้วทำไมคุณไม่ขอให้ไปได้ชาตินี้เลย มักจะได้ยินคำถามย้อนกลับมาว่า “พระนิพพานไปชาตินี้ได้ด้วยหรือ ?” ก็ต้องบอกว่าถ้ากำลังใจพอก็ไปได้ ถ้ากำลังใจไม่พอก็ไปไม่ได้ ถาม : อย่างนั้นเป็นมานะใช่ไหมครับ ? ตอบ : ไม่ใช่มานะ เป็นมิจฉาทิฐิ หนักกว่ามานะหลายล้านเท่า มิจฉาทิฐิคือความเห็นผิด เป็นที่น่าเสียดาย ก่อนหน้านี้มีอาจารย์ที่สอนว่าสวรรค์ไม่มี นรกไม่มี พระนิพพานสูญ ท้ายสุดพอท่านตายก็ลงเลยอเวจีไปอีก พอมาเจอสอนลักษณะอย่างนี้ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะไปทางไหน คงต้องรอดูกันต่อไป |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ผ้าที่ทอจากขนสัตว์ บาลีเขาเรียกว่า ผ้ากัมพล เขาจะมีสาณัง ผ้าป่าน อย่างเช่นทอจากป่านศรนารายณ์ ผ้าใยกัญชาพวกนั้น โขมัง ผ้าเปลือกไม้ กัปปาสิกัง ผ้าฝ้าย โกเสยยัง ผ้าไหม กัมพะลัง ผ้าขนสัตว์ ภังคัง ผ้าแกมกัน อย่างสมัยนี้พวกผ้าโทเรผสม มีฝ้าย ๓๐ เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าเทคนิคสมัยก่อนเขาเก่งกว่า เขาทำผ้าแกมกันได้มานานแล้ว
ผ้าที่สำคัญในพระศาสนาที่กล่าวถึงไว้ ก็คือผ้าสิงคิวรรณ สิงคิแปลว่าทองคำ สิงคิวรรณแปลว่าสีเหมือนทองคำ ที่ปุกกุสสะมัลลบุตรถวายพระพุทธเจ้าก่อนปรินิพพาน แล้วพระพุทธเจ้าท่านก็เก็บไว้ใช้เองผืนหนึ่ง มอบให้พระอานนท์ผืนหนึ่ง พระอานนท์ไม่กล้าใช้เอามาถวายคืน พระพุทธเจ้าจึงนุ่งผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง เสร็จแล้วรัศมีพระกายเปล่งปลั่งผิดปกติ พอพระอานนท์ถามถึงได้รู้ว่า วันก่อนตรัสรู้กับวันก่อนปรินิพพานจะสวยที่สุด" |
ถาม : พระปัจเจกพุทธเจ้าต้องทำบารมี ๓๐ ทัศไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ว่าใคร ถ้าจะเข้าพระนิพพานต้องทำทั้งหมด เพียงแต่ว่าจะทำแค่ไหน ทำแค่ ๑ อสงไขยกับแสนมหากัป หรือ ๒ อสงไขย หรือ ๔ อสงไขย หรือ ๘ อสงไขย หรือ ๑๖ อสงไขย แต่อยู่ใน ๓๐ ทัศทั้งหมดเพราะมีหยาบ กลาง ละเอียดเหมือนกัน แบ่งเป็นสามัญบารมี อุปบารมี ปรมัตถบารมีเหมือนกัน ถาม : แล้วมหากัปนานแค่ไหนครับ ? ตอบ : ต้องเริ่มจากอันตรกัป ให้ตั้งเลข ๑ ขึ้นมาต่อด้วยเลขศูนย์ ๑๔๐ ตัว ระยะเวลาผ่านไปร้อยปีลดลง ๑ ปี ร้อยปีลดลง ๑ ปีไปจนเหลืออายุขัยแค่ ๑๐ ปี แค่นี้ครึ่งอันตรกัป ต้องร้อยปีเพิ่มอีก ๑ ปีไปเรื่อยจนได้เลข ๑๔๑ หลักเหมือนเดิม ถึงจะได้ ๑ รอบอันตรกัป ๖๔ รอบอันตรกัปจะได้ ๑ อสงไขยกัป ๔ อสงไขยกัป ถึงจะ ๑ มหากัป แค่อันตรกัปเดียวก็หมดสภาพแล้ว ต้องลูบภูเขาเหล็กสึกเสมอพื้นไป ๑ ลูก ถาม : แล้วกำไรแสนกัปหมายถึงอะไรครับ ? ตอบ : คำว่ากำไรก็คือเกินมา ได้กำไรคือได้เกินมา เกินมาอีกแสนกัป แสดงว่าไม่เข้าใจภาษาโบราณใช่ไหม ? ถ้าขาดทุนคือเสียไป ถ้ากำไรคือเกินมา |
ถาม : นิตยโพธิสัตว์นี่ต้องทรงอยู่ในสังขารุเปกขาญาณไหมครับ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น..ยกเว้นช่วงที่อารมณ์ใจท้าย ๆ ที่เทียบเท่าพระอริยเจ้าได้ถึงจะรู้จักสังขารุเปกขาญาณ กิเลสเต็มหัวแต่อารมณ์เท่าพระอรหันต์ ฟังแล้วเท่สุด ๆ เลยนะ กิเลสท่วมหัวแต่กิเลสเกิดไม่ได้ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้ฝนเริ่มน้อยลง ถ้าฝนแล้งแล้วอาตมาจะส่งข้าวสารอาหารแห้งไปให้ที่บ้านจะแก บ้านจะแกมีโรงเรียนอยู่ ชื่อโรงเรียนบ้านหินตั้ง เป็นโรงเรียนที่น่าสงสารมาก ครูบาอาจารย์จะได้ลาก็ต่อเมื่อปิดเทอม โดยเฉพาะหน้าฝนจะเข้าออกไม่ได้ อยากจะเข้าออกก็ได้แต่ว่าต้องใช้เวลาเดินเข้าออกประมาณ ๕ วัน สรุปว่าถ้ามีวันลาแค่ ๕ วัน เดินไปแล้วก็เดินกลับ ไม่ต้องไปไหนหรอก
เขามีหน่วย ตชด. อยู่ที่นั่น จะมีเฮลิคอปเตอร์เข้าไปส่งเสบียงเดือนละ ๓ ครั้ง วันที่ ๒ วันที่ ๑๒ และวันที่ ๒๒ ของแต่ละเดือน ปรากฏว่าบางทีครูทำหนังสือลาแล้วก็ไปไม่ได้ จะอาศัยเฮลิคอปเตอร์ออกมาก็มีแต่คนป่วย มาลาเรียขึ้นสมองชักกระตุกบ้าง หรือไม่ก็โดนหมูป่าขวิดไส้ไหลเรี่ยราด ต้องให้คนป่วยออกไปก่อน คนดี ๆ อยู่ไปเถอะ รอปิดเทอมแล้วค่อยออกมา เมื่อหลายปีก่อนมีข่าวว่าผู้อำนวยการโรงเรียนออกมาติดต่อราชการที่อำเภอทองผาภูมิ ขากลับเข้าไปสาบสูญไปกลางทาง เพื่อนตามไปก็เจอแต่รอยตีนเสือกับเลือด" ถาม : ต้องเดินเท้าหรือครับ ? ตอบ : เดินเท้า..ขนาดโฟร์วีลยังหนาวเลย คุณลองนึกถึงตอนฝ่าทุ่งใหญ่ในวันฟ้าฉ่ำฝนดูสิ โฟร์วีลยังไปไม่รอด ทั้งขุดทั้งเข็น มีอยู่เที่ยวหนึ่งมีรถขับเคลื่อน ๔ ล้อติดรอกไฟฟ้าด้วย ถ้าติดหล่มจะได้ดึงตัวเองขึ้นได้ ปรากฏว่าพอรถติดเข้าจริง ๆ ก็ลากรอกไปโอบกอไผ่รวกทั้งกอ ดึงเสร็จเรียบร้อยกอไผ่ลอยติดรถมา ไม่ใช่รถขึ้นจากหล่ม เพราะว่าดินเละมาก ต้นไม้ก็เลยไม่ติดพื้น ลอยตามรถมาเลย..! |
สมัยก่อนที่ธุดงค์ไป เห็นความลำบากของเขาก็เลยอยากจะช่วย โดยเฉพาะที่วัดจะแก กะว่าจะเอาเครื่องปั่นไฟเข้าไปให้เขา เขาบอกว่าไม่ต้องหรอก ซื้อน้ำมันก๊าดให้เขา ๒ ปีบจะดีใจมากกว่า เพราะเครื่องปั่นไฟเวลาน้ำมันหมดก็ทำอะไรไม่ได้ จะให้เดินออกมา ๕ วันเพื่อมาซื้อน้ำมันคงจะมีอารมณ์กันอยู่หรอก
ถาม : ไม่ใช้แผงโซล่าเซลล์ล่ะครับ ? ตอบ : ...(หัวเราะ)...แสดงว่าไม่เคยอยู่ป่า ในป่าเวลาหน้าฝนจะมืดจนมองอะไรไม่เห็น จะเอาแสงอาทิตย์ที่ไหนมา อย่างกับเมืองในหมอกดี ๆ นี่เอง ถาม : ทึบขนาดนั้นเลยหรือครับ ? ตอบ : ก็ป่าทุ่งใหญ่..ทึบหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ถาม : มีที่รวมไฟฟ้าเก็บไว้ได้ ตอบ : รวมได้ แต่ไม่มีให้รวม อย่างผู้ใหญ่บ้านที่ทุ่งเสือโทน ห่างจากจะแก ๙๓ กิโลเมตร เขาใช้เซลล์นี่แหละเพื่อที่จะต่อโทรศัพท์คุยกับโลกภายนอก อาตมาต้องโทรแล้วโทรอีกกว่าจะติด เพราะวันไหนที่มีแดดก็จะติดเพราะมีไฟชาร์จแบตฯ ๗ - ๘ วันกว่าจะโทรได้สักที หมดอารมณ์ไปตาม ๆ กัน |
ถาม : เวลานั่งกรรมฐานจะรู้สึกปวดหัวบ้าง ปวดท้องบ้าง ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ โบราณเขาเรียกว่าขันธมาร ไม่มีอันตรายอะไรหรอก เขาแค่ก่อกวนเราไม่ให้ทำสมาธิเท่านั้น ตั้งหน้าตั้งตาทำต่อไป ถ้าสมาธิทรงตัวเมื่อไรอาการที่ว่าจะหายไปเลย ถาม : หรือไม่เขาก็พยายามจะครอบงำใจเรา ? ตอบ : ก็บอกแล้วว่าคำตอบอยู่ตรงสมาธิ พวกนี้ส่วนใหญ่เป็นคุณไสยชั้นต่ำหรือพวกใช้ผีคุม ถ้าเราทรงสมาธิตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป กำลังเราจะเท่ากับพรหม แล้วผีที่ไหนจะสู้ได้เล่า ? ฉะนั้นบอกเขาว่าภาวนาให้สมาธิทรงตัวให้ได้ ทรงตัวเมื่อไรเขาก็เจ๊งไปเอง ถาม : แล้วอย่างของผมเวลานั่งกรรมฐานรู้สึกแน่นตรงลิ้นปี่ ? ตอบ : เขาให้ตัดสินใจว่าตายเป็นตาย พวกขันธมารจะกลัวคนรู้ทันและหน้าด้าน ถ้าเราตั้งใจว่าเราทำความดีอยู่ ตายอย่างไรเราก็ไปดีอยู่แล้ว ตัดสินใจยอมตาย ทำต่อไปเขาจะถอย แต่ถ้าเราตัดสินใจไม่ได้...เรากลัวตาย เราเลิกทำเสียก่อน ถ้าอย่างนั้นทำเมื่อไรก็ติดอยู่ตรงนั้นแหละ ไปลองใหม่ ลองดูซิว่าตัดสินใจได้ไหม ? ถ้าตัดสินใจได้ว่าตายเป็นตายก็จะก้าวผ่านไปเอง ครูบาอาจารย์สายอีสานท่านถึงได้บอกว่า “ธรรมะอยู่ฟากตาย” ถ้ายังอยู่ฟากเป็น เอาไม่อยู่หรอก ต้องตัดสินใจยอมตายกันไปข้างหนึ่ง |
ถาม : เราเมื่อยขาเมื่อยแขนเวลานั่งสมาธิ ควรขยับร่างกายให้หายหรือว่าทนดูต่อไปครับ ?
ตอบ : อยู่ที่วัตถุประสงค์ของเรา ถ้าเราต้องการทำสมาธิเพื่อรักษาสภาพจิตใจให้ผ่องใสธรรมดา ก็กำหนดสติให้มั่นคงแล้วก็ขยับได้ แต่ถ้าเราต้องการดูเวทนาอย่าไปขยับ นั่งแช่ไปเรื่อย ดูว่าเวทนาจะมาสักเท่าไร เวทนาเป็นของเราจริงไหม ? หรือว่าเวทนาเป็นของร่างกาย หรือเวทนาไม่ได้เป็นของอะไรเลยนอกจากมาแหกตาเรา ถาม : แต่ปวดจริงนี่ครับ ตอบ : ปวดจริง...แต่พอถึงเวลาดูเข้าไปแล้วกัน ตอนนี้เฉลยไม่ได้หรอกเดี๋ยวความลับแตกหมด อาตมานั่งจนเหงื่อไหลลงมากลางหลังอย่างกับงูเลื้อยเลย ก้นเหมือนกับบางลง ๆ กระดูกจะทะลุออกมาแล้ว อาการพวกนี้จะเกิดขึ้นหลังจากชั่วโมงที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ไปแล้ว ถาม : ต้องนั่งขนาดนั้นเลยหรือครับ ? ตอบ : ไม่นั่งขนาดนั้นก็ไม่รู้สิ ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ลองดู...พอถึงเวลาจะได้รู้ว่าเขาหลอกเราเก่งขนาดไหน นึกถึงหลวงตาบัวบอกว่า ท่านนั่งจนก้นพองเป็นเม็ด ๆ แล้วแตก นึกถึงแล้วของอาตมาก็แบบนั้นแหละ เพียงแต่ว่าอาตมานั่งไม่นานพอที่จะเป็นแบบนั้น แต่ก็รู้สึกว่าก้นร้อนขึ้น ๆ เหมือนกับเนื้อบางลง ๆ กระดูกจะทะลุมานอกเนื้อแล้ว ความจริงอย่างคุณนี่น่าจะนั่งได้นานนะ กว่าจะบางคงหลายชั่วโมง |
ถาม : ผมฟังบทคาถาชินบัญชรที่เขานำมาทำเป็นเพลง แล้วกำหนดมโนมยิทธิไปด้วย แจ่มใสมากเลย จริง ๆ วิธีนี้ควรไหมครับ ?
ตอบ : ควร..สำหรับคนหัดใหม่ ๆ ต้องอย่างนั้นไปก่อน ถ้าไม่มีขนมมาล่อก็ไม่อยากทำ ในเมื่อเราเป็นเด็กหัดใหม่ก็ให้ทำไปก่อน ถาม : ถ้าผมเอาไปเผยแพร่ ทำแผ่นไปแจกนี้เป็นธรรมทานไหมครับ ? ตอบ : เป็น...ถือเป็นธรรมทานอย่างหนึ่ง ระวังเรื่องลิขสิทธิ์เอาไว้ด้วย ถาม : แล้วถ้าทำไปเรื่อย ๆ เราจะไปติดตรงนี้ไหมครับ ? ตอบ : ถ้าเราไม่มีพัฒนาการก็จะติดอยู่แค่ตรงนั้น |
ถาม : ตัว “สุข” ในโพชฌงค์ เป็นสุขที่มีอามิสไหมครับ ?
ตอบ : สิ่งใดก็ตามถ้ายังมีเครื่องยึดโยงอยู่ สิ่งนั้นเป็นอามิส ถ้าปราศจากเครื่องยึดโยงก็ไม่มีอามิส อย่างเช่น สภาพจิตของเราที่ปล่อยวางจากการยึดเกาะสิ่งต่าง ๆ ถ้าปล่อยวางได้จริง ๆ ความเบาความสบายจะสุขจนบอกไม่ถูก นั่นเป็นสุขที่ไม่มีอามิส แต่ถ้าเป็นสุขที่เกิดจากการกระตุ้นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พวกนี้ยังมีอามิสอยู่ เพราะฉะนั้น...ในเรื่องของสมาธิก็ต้องบอกว่า ถ้ายังมีสมาธิเป็นเครื่องยึดโยงก็ถือว่ายังมีอามิสอยู่ ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : อากิญจัญญายตนฌานยังต้องอาศัยกำลังสมาธิอยู่ ถ้าไม่มีกำลังสมาธิจะไม่สามารถกดกำลังใจให้นิ่งสนิทอย่างนั้นได้ ตัวปล่อยวางจริง ๆ นั้น ถึงคุณไม่ใช้สมาธิแต่สภาพจิตยอมรับแล้ว อากิญจัญญายตนฌานเหมือนอย่างกับแชมป์เปี้ยนยกน้ำหนักโอลิมปิก ให้มาถือข้าวสาร ๕ กิโลกรัมนี่สบายมาก ไม่รู้สึกหนักหรอก เหมือนกับไม่มีอะไรเลย แต่สำหรับคนที่เขาถึงในส่วนของการปล่อยวางจริง ๆ แม้แต่ข้าวสารถุงนั้นก็ไม่เอาด้วย ต่อให้เขาไม่แข็งแรง แต่เขาไม่จำเป็นต้องไปแบกอะไรนี่..ปล่อยไปหมดแล้ว ถาม : ปีติและปัสสัทธิในสัมโพชฌงค์เกิดแล้วสืบเนื่องมาเป็นปัญญา ? ตอบ : เมื่อเข้าถึงอารมณ์แล้วจะเห็นว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นเป็นจริง ก็เลยไม่ท้อถอย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพากเพียรไปให้ถึง จึงเป็นเครื่องช่วยในการตรัสรู้ ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : พูดถึงว่าเกิดก่อนก็ได้ พอเกิดแล้วก็เข้าใจว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเป็นจริงอย่างนี้ ในเมื่อรู้ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเป็นจริงอย่างนี้เอง ส่วนที่นอกเหนือกว่านี้ก็ต้องพากเพียรทำให้ถึง ก็เท่ากับว่าปีติหรือปัสสัทธิเป็นตัวเสริมให้เราเข้าถึงพระนิพพานได้ |
ถาม : เตโชกสิณจะมีผลกับคนที่ปฏิบัติให้ตัวร้อนหรือเป็นอันตรายหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่เกี่ยวกัน เพราะว่าถ้าทำได้จริงเราจะควบคุมได้ทุกอย่าง จะให้อยู่ส่วนไหนก็ได้ ต้องการให้ลุกท่วมร่างกายของเรา ถ้าอธิษฐานไว้ว่าไม่ให้ทำอันตรายกับเสื้อผ้าเผ้าผมผิวหนัง เราก็ไม่เป็นอะไร เพราะเราสั่งได้ทุกอย่าง ถาม : ถ้าเราอธิษฐานขอให้ขับไล่สิ่งอาถรรพ์ในร่างกายออกไปได้หรือไม่ครับ ? ตอบ : ได้...สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเอาไปไล่เผาพวกเจ้ากรรมนายเวรเสียด้วยซ้ำไป คือเจ้ากรรมนายเวรมาเข้าแถวคอยทวง หลวงพ่อท่านโดนทวงจนเบื่อเต็มทีแล้ว ท่านจึงอธิษฐานเตโชธาตุเผาพวกนั้นจนเกลี้ยงเลย ก็คิดว่าสบายแล้ว..ต่อไปจะได้ไม่มาทวง ปรากฏว่าพระท่านหัวเราะ ท่านบอกว่า “ไอ้ที่คุณเผาไปนั้นเป็นแค่รูป แค่ในส่วนของนามยังอยู่ เขาก็ทวงได้อยู่ดี” สรุปว่าทำไปก็เสียเวลาเปล่า |
ถาม : น้ำปานะที่เขาบอกว่าจะต้องทำให้สุกด้วยแสงอาทิตย์ ?
ตอบ : ไม่ใช่...เขาบอกว่าทำให้สุกแล้วไม่ควร คือน้ำปานะส่วนใหญ่จะคั้นจากผลไม้ ถ้าเราเอาไปต้มสุกพวกสารอาหารต่าง ๆ จะสลายไปหมด จึงมีท่านที่เข้าใจว่าในเมื่อเราไม่ต้ม ก็แปลว่าใช้ได้ เขาก็เลยเอาไปตากแดดแทน แต่ความจริงไม่ต้องหรอก เขาให้สด ๆ เลย ต้มไม่ได้ ท่านบอกแล้วว่าทำให้สุกไม่ควร ถาม : ก็เก็บไว้ได้ไม่นานสิครับ ตอบ : ก็ท่านไม่ได้ให้เก็บ อย่าลืมว่าปานะเป็นยาวกาลิก ถ้าเลยเที่ยงแล้วเราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะฉันแล้ว แล้วจะไปเก็บทำไม ? ถ้าให้ลูกศิษย์เก็บแล้วไม่เอามาประเคนก็อดอยู่ดี สรุปแล้วทำอย่างอาตมาสบายที่สุด น้ำเปล่าไม่จำกัดเวลา แม้กระทั่งนอนไปแล้วก็ยังได้ เพราะท่านบอกแล้วว่าเว้นน้ำเปล่ากับไม้สีฟัน ไม่อย่างนั้นแล้วแปรงฟันไม่ได้ ตื่นขึ้นมากลางดึกจะทำกรรมฐานก็ล้างหน้าแปรงฟัน เสร็จสรรพเรียบร้อยก็ดื่มน้ำสักแก้วใหญ่ ๆ นั่งกรรมฐานไป อีก ๒ ชั่วโมงก็วิ่งฉี่แทบไม่ทัน |
ถาม : เวลาถึงฌานสี่ที่เขาบอกว่าไม่มีลมหายใจ แต่ผมรู้สึกว่ายังมี ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วถ้าจะรู้เราก็สามารถรู้ได้ แต่ความละเอียดของเกินกว่าเครื่องมือวิทยาศาสตร์จะตรวจได้ เป็นลมที่ละเอียดมาก ๆ เหมือนอย่างกับเส้นเอ็นใส ๆ เล็กนิดเดียวเท่านั้น เส้นนี้ถ้าขาดก็ตายเลย แต่ด้วยความที่จิตละเอียดมากจึงจับได้ อย่างไรก็ไม่ขาด ถาม : เขาบอกว่าเวลาถอดจิตไปจะมีสายใยเชื่อมกับร่างกายอยู่ ? ตอบ : อันนั้นจริง ๆ ต้องบอกว่าสายแห่งความเป็นห่วง ที่ยังยึดอยู่ ยังห่วงใยร่างกายอยู่ ถาม : ถ้าไม่ห่วงใยร่างกายก็ไม่มี ? ตอบ : ก็ตัดไปเลย เดี๋ยวจะเหมือนกับท่านลุค ท่านลุคเป็นฝรั่งไปบวชอยู่วัดท่าขนุน ท่านไปแล้วไม่ยอมกลับ ข้างบนก็เลยบรรจงถีบลงมา..! ถาม : โดนถีบแล้วเป็นอย่างไรครับ ? ตอบ : เขาถีบก็อยู่ไม่ได้..ต้องกลับ โครมเดียวมารู้สึกตัวที่ข้างล่าง พอเห็นว่าร่างกายไม่ได้เรื่องก็ไม่อยากกลับ ข้างบนเขาบอกว่ายังไม่ถึงเวลา..ให้ลงไปก่อน ท่านไม่ยอมลง ในเมื่อไม่ยอมลงเขาก็ต้องบรรจงถีบให้ |
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "เสี่ยตือเคยไปดูเขาตามประทีปเป็นพุทธบูชาที่วัดท่าขนุนสักครั้งแล้วหรือยัง ? ลองไปดูสักทีสิ เผื่ออาการของผู้ปรารถนาพระโพธิญาณจะกำเริบแล้วทำให้ดีกว่านั้น
ครั้งนี้เขาตะกายขึ้นไปประดับจนถึงครึ่งพระเจดีย์แล้ว อาตมาบอกว่าฝากหน่อย ช่วยขึ้นไปตามประทีปบนยอดฉัตรนั้นดวงหนึ่ง แต่ไม่มีใครทำให้ ปีก่อนตอนซ่อมพระเจดีย์ทาสีใหม่ เขาทำนั่งร้านขึ้นไป พอไปยืนสูงกว่ายอดตาลข้างศาลาอีก ถ้าไม่ใช่คนไม่กลัวตายอย่างไรก็ต้องเสียว เพราะถ่ายรูปลงมาเป็นภาพถ่ายทางอากาศหมดเลย เพิ่งจะรู้ว่าต้นตาล ๒ ต้นของวัดสูงขนาดนั้น" |
ถาม : ผมเคยนั่งเฉย ๆ แล้วนึกปัญหาธรรมให้ท่านตอบ จริง ๆ แล้วนึกอย่างนี้คำตอบที่ได้จะถูกไหมครับ ?
ตอบ : เอาไปพิสูจน์..ถ้าพิสูจน์แล้วถูกก็ถูก ถ้าพิสูจน์แล้วไม่ถูกก็แปลว่ามั่วเอง..! ถาม : ทำอย่างไรเราถึงจะมั่นใจได้ครับว่าสิ่งที่เรารู้มาถูก ? ตอบ : ก็บอกแล้วว่าให้พิสูจน์ พอเราพิสูจน์ทุกครั้งแล้วเป็นไปตามนั้นทุกครั้ง ถ้าวางกำลังใจอย่างนั้นได้อีกก็จะถูกอีก ถาม : แต่ผมใช้วิธีนี้แล้วรู้สึกดีมากเลยครับ เหมือนกับตัวหายไปแล้วใจเย็นบอกไม่ถูก ? ตอบ : ควรจะทำไว้ เพราะถึงจะไม่ได้อะไรแต่ความเป็นกีฬาสมาธิยังคงอยู่ ขณะที่เราทรงสมาธิอยู่ รัก โลภ โกรธ หลงก็เข้ามากินไม่ได้ ในเมื่อไม่มีกิเลสมาให้แบกเราก็ไม่หนัก |
ถาม : ถ้าเราทำอภิญญาให้คล่อง แล้วได้ยินเสียงที่ไพเราะ เขาบอกว่าเสื่อมได้ เสื่อมได้จริงหรือครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ว่ามีสติไหม ? ถ้าสติสัมปชัญญะทรงตัวก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าสติสัมปชัญญะไม่ทรงตัว เผลอปรุงแต่งเมื่อไรก็เจ๊งเลย เพราะว่าทันทีที่ปรุงแต่งก็แปลว่าจิตหลุดออกจากฌาน ก็จบแค่นั้นแหละ ถึงเหาะอยู่ก็ร่วงเดี๋ยวนั้น..! ถาม : ไม่ใช่ค่อย ๆ เหาะลงหรือครับ ? ตอบ : ในเมื่อเสื่อมแล้วจะไปบังคับได้อย่างไร ? แบบเดียวกับฤๅษีที่เหาะผ่านสวนอุทยานของพระราชา ไปเจอบรรดานางสนมกำลังเล่นน้ำอยู่ก็ตกพลั่กเลย..! อย่างป่าอิสิปตนะ อิสิก็คือฤๅษี ปตนะคือในความตก อิสิปตนมฤคทายวัน ก็คือป่าสวนกวางที่ฤๅษีตก คาดว่าตรงนั้นในอดีตน่าจะเป็นที่ตั้งของเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พวกฤๅษีพอเหาะผ่านเทวดาเขาไม่ยอมเขาจึงสอยลงมาหมด..! |
ถาม : พระท่านเปล่งฉัพพรรณรังสีอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : สามารถทำได้ตลอดเวลาหรือเฉพาะกิจก็ได้ ฉะนั้น..ต้องดูว่าท่านจะสงเคราะห์อย่างไร ปกติแล้วเหมือนอย่างกับเราไปเชื่อมกระแส ถ้าเรานึกถึงเมื่อไรพระองค์ท่านก็ส่งมาให้ เพราะฉะนั้น..รีบ ๆ ต่อสายเชื่อมไว้ อย่าปล่อยให้หลุด ถาม : ยากครับ ทำไปเดี๋ยวก็มีเรื่องมาทำให้ลืม ? ตอบ : รู้ตัวก็เริ่มทำใหม่ ลืมพระไม่อันตรายเท่าไรหรอก ถ้าลืมลูกลืมเมียนี่ถึงตาย..! |
ถาม : ทรงฌานหนึ่งนี่ยังพูดคุยได้ไหมครับ ?
ตอบ : ฌานไหนก็คุยได้ถ้าเป็นฌานใช้งาน คนที่ทำได้เขาใช้กันจนเป็นปกติอยู่แล้ว ต้องอาศัยเจโตปริยญาณไปดูกำลังใจท่านทั้งหลายเหล่านั้น เราจะเห็นว่าสภาพจิตของท่านทรงอยู่ในระดับไหน ไม่ดูตรงจุดนี้ก็ได้แต่ต้องทำให้ถึงเอง ถ้าทำให้ถึงเองก็จะยืนยันว่าคุยได้หรือไม่ได้ |
ถาม : ผมได้เช่าวัตถุมงคลที่เขาลงหนังสือพระว่ายิงไม่ออก ก่อนเช่าผมก็ถามว่าทดลองแล้วหรือยัง ? เขาตอบว่าทดสอบหมดแล้ว ผมเช่าแล้วทำการทดสอบปรากฏว่ายิงออกทุกนัด วัตถุมงคลพังเสียหายหมด ปัจจุบันผมไม่อยากทดสอบแล้ว แต่มาสะสมวัตถุมงคลของพระเกจิอาจารย์ที่ท่านมรณภาพแล้วไม่เน่าหรือกลายเป็นพระธาตุ เลยคิดว่าท่านปฏิบัติแล้วพิสูจน์ให้เห็นว่าท่านได้จริง ผมอยากทราบความเห็นของท่านว่าการทดสอบวัตถุมงคลและประสบการณ์ของท่าน มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้และพระเกจิอาจารย์ที่ศพไม่เน่าอย่างไรครับ ?
ตอบ : ขอบอกว่าสะสมแบบนี้ก็เจ๊งเหมือนเดิม..! วัตถุมงคลเหมือนกับเครื่องส่ง จะส่งพลังงานอยู่ตลอดเวลา ใจของเราที่เป็นเครื่องรับต้องเปิดรับด้วยความเคารพ พลังงานนั้นถึงจะก่อให้เกิดผล การที่เราทดสอบแปลว่าขาดความเชื่อมั่น ขาดความเคารพ มีเท่าไรก็พังหมด..! ลำดับต่อมาก็คือพระเกจิอาจารย์หลายต่อหลายรูป แม้กระทั่งหลวงพ่อวัดท่าซุงเอง ท่านบอกว่าท่านทำวัตถุมงคลให้คงกระพันไม่ได้ เพราะลูกศิษย์ของท่านแต่ละคนแสบมาก ถ้าทำวัตถุมงคลพวกหนังเหนียวออกมามีหวังไปเป็นโจรกันหมด สายของหลวงพ่อฤๅษีท่านจึงเน้นในเรื่องลาภเป็นหลัก ส่วนอื่นถือว่าเป็นของแถมเท่านั้น ส่วนในเรื่องของพระเกจิอาจารย์ที่มรณภาพแล้วไม่เน่าไม่สามารถยืนยันผลการปฏิบัติได้ เพราะว่าการที่ศพไม่เน่านั้นเกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน ประการแรกคือท่านอธิษฐานทิ้งเอาไว้ให้ ประการที่สอง คือ กินว่านยาบางอย่างซึ่งรักษาสภาพร่างกายไว้ได้ ประการที่สาม คือ เสกข้าวกินด้วยคาถาบางอย่างเป็นประจำ ตายไปก็ไม่เน่าเหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าคุณทำอย่างนี้ก็คงเหมือนเดิม คือเสียของเปล่า ถ้าใครอยากตายแล้วศพไม่เน่าให้ทำตั้งแต่วันนี้ ก็คือก่อนกินข้าวให้เสกด้วยพระอภิธรรม ๗ บท อันนี้หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่าพระสั่งให้ท่านทำเอง เพื่อรักษาสภาพสังขารร่างกายไว้ให้ลูกหลาน |
ถาม : คาถาว่าอย่างไรครับ ?
ตอบ กุสลา ธัมมาฯ ไปยันจบนั่นแหละ ถ้าใช้คำย่อถือว่าขี้เกียจเกินไป ถาม : แล้วท่านจะทำไหมครับ ? ตอบ : ไม่รู้จะสวดไปทำไม เพราะตั้งใจแล้วว่าสามวันจะให้เน่าเละเลย ไม่อย่างนั้นแล้วคนจะยึดแต่ร่างกาย ไม่ใช่แต่เน่าเละเฉย ๆ นะ กระดูกก็จะให้ผุด้วย ไม่ให้เหลืออะไรเลย..! |
ถาม : ที่บอกว่า ช่วงพรรษาแล้วพญานาคท่านจำศีลเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็แค่ตั้งใจนอนเท่านั้นเอง ลักษณะที่เรียกว่าจำศีล อย่าลืมว่าเขาทรงฌานนะ อาการจำศีลเป็นการทรงฌานอย่างหนึ่ง ถ้าไม่ได้ระยะเวลาที่ต้องการเขาก็ไม่ตื่น |
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อตอนที่รับสังฆทานอยู่ที่บ้านอนุสาวรีย์ใหม่ ๆ มีอาเสี่ยชินวัตรท่านหนึ่งปวารณาไว้ว่า ให้ก่อสร้างได้ตามสบาย สิ้นปีเคลียร์หนี้ให้ทุกอย่าง นาน ๆ เขาก็แวะมาเยี่ยมที วันนั้นแกมาแล้วก็บ่น “หลวงพี่มาไม่โทรบอกผมเลย จะได้มีโอกาสทำบุญ หลวงพี่ขาดเงินเท่าไรครับ ?”
อาตมาบอกไปว่า “ขาดเท่าไร เอ็งไม่ต้องสนใจหรอก เอ็งมีในกระเป๋าเท่าไรเอามาแค่นั้นก็พอ” เขาเทกระเป๋ามาให้ มีอยู่สี่แสนกว่าบาท ขอคืนเป็นค่าน้ำมันไปสองพัน เขาบอกว่าเพิ่งไปจ่ายค่าแรงคนงานมา ไม่อย่างนั้นจะเหลือเยอะกว่านี้ บุคคลผู้นี้บูชาบูชาพระสมเด็จคำข้าวกับสมเด็จหางหมากวัดท่าซุงอย่างละแสน ๆ บาทเลย พระหลวงปู่ปานวัดบางนมโคที่ประกวดได้ที่ ๑ เขาไปตามเก็บมาในราคาสองแสนบาท ตั้งแต่นั้นมาราคาพระหลวงปู่ปานพุ่งกระฉูดเลย เขาเป็นคนแรก ๆ ที่ทุ่มขนาดนั้น มีอยู่หลายสิบองค์ เลี่ยมทองทั้งนั้น เขาถามว่าหลวงพี่อยากได้องค์ไหนขอได้เลยผมจะให้ อาตมาบอกว่าไม่ชอบขอ และก็มีแล้วด้วย ไม่ได้ตื่นเต้น พระหลวงปู่ปานนี่ได้มาเยอะ แต่ว่าท่านก็ไปของท่านเรื่อย ไม่ค่อยจะอยู่ด้วย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "รูปนี่แหละ เป็นรูปที่อาตมาใช้เพ่งกสิณอยู่ ๓ ปีเต็ม ๆ พอมาฝึกมโนมยิทธิพระองค์ท่านยืนได้ถึงได้เชื่อ จากนั่งกลายเป็นยืน อธิษฐานขอว่าถ้าพระองค์ท่านเสด็จมาโปรดจริง ขอให้ประทับยืน พระองค์ท่านก็ประทับยืนขึ้นเฉยเลย ตอนนั้นรู้สึกพองทั้งตัวเหมือนจะลอย ไม่นึกว่าจะมีโอกาสเห็นอย่างนั้น" ถาม : ชัดเหมือนตาเห็นเลยหรือครับ ? ตอบ : บอกไม่ถูก ตอนนั้นรู้สึกว่าชัดจริง ๆ บรรยายได้ทุกอย่างเลย แต่ถ้าถามตอนนี้ว่าชัดเหมือนตาเห็นหรือเปล่าก็บอกไม่ได้ คืออะไรที่รู้แล้วจะยุ่ง ถ้าไม่รู้จะชัดมากเลย เพราะฉะนั้น..ฝึกแบบโง่ ๆ จะดีที่สุด |
ถาม : พวกใช้สมาธิทำวิชาไสยศาสตร์ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วไม่ต้องมากหรอก แค่อุปจารสมาธิปลาย ๆ ก็เกิดผลแล้ว แต่ถ้าระดับตะปูเข้าท้องนั้นต้องทรงฌานได้ พวกนี้พอทำแล้วสมาธิจะเสื่อม เนื่องจากว่าเป็นโลกียฌาน พอรวบรวมความมั่นใจได้ใหม่ก็ทำได้อีก สมาธิเขาก็เลยประเภทไป ๆ มา ๆ เสื่อม ๆ หาย ๆ ถาม : แล้วเป็นการละเมิดศีล ? ตอบ : ตอนที่เขาทำไม่ได้ทำผิดศีลอะไร ตอนที่เขาทำอยู่กำลังใจทรงตัวเพราะว่าความชำนาญที่เป็นวสี แค่ตั้งใจก็เป็นแล้ว แต่พอทำแล้วโทษที่เกิดขึ้นสมาธิก็เสื่อม พอสร้างความมั่นใจขึ้นมาใหม่ก็ทรงได้อีก ท่านทั้งหลายเหล่านี้เวลาตายมักจะเป็นมหิทธิกาเปรต ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : เขาแปลงวัตถุเป็นพลังงาน เมื่อแปลงวัตถุเป็นพลังงานเสร็จแล้วตั้งใจให้ไปไหนก็แค่คิดให้ไปตรงนั้น เรื่องนี้วิทยาศาสตร์เขาจะไม่แปลกใจ เพราะเขายืนยันว่าแกนกลางของวัตถุทุกชนิดเป็นพลังงาน พอเข้าไปอยู่ในร่างกายของคนอื่นก็คืนสภาพเป็นวัตถุตามเดิม คราวนี้ก็เป็นเรื่อง ถาม : แล้วการถอนของต้องใช้กำลังระดับไหนครับ ? ตอบ : ถ้าทรงฌานได้ยิ่งดี แต่ต้องรู้วิธีดึงมาอยู่ที่จุดเดียวแล้วก็บังคับให้ออกมา สมัยก่อนอาจารย์โสมทัต เป็นฆราวาสที่ถอนของพวกนี้เก่งมากเลย เวลา อ.โสมทัตเรียกของพวกนี้ออกมานี่ จะโผล่มาเห็น ๆ ให้เขาใช้คีมดึงแล้วกระชากออกมาเลย ท่านอยากให้คนเขารู้ว่าเป็นของจริง คนไหนขี้สงสัยท่านจะส่งคีมให้เขาหนีบดึงออกมากับมือเลย |
ถาม : นิมิตก่อนตาย ?
ตอบ : ดูว่ากรรมนิมิตเป็นอย่างไร ถ้าเห็นไฟลุกท่วมฟ้าก็ไปนรกแน่ ๆ ถ้าเห็นดินแดนรกร้างแห้งแล้งก็ไปเป็นเปรตเป็นอสุรกาย ถ้าเห็นป่าไปเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ถ้าเห็นชิ้นเนื้อก็มักจะไปเกิดเป็นคน ถ้าเห็นเทวดาอยู่หน้า พรหมอยู่กลาง พระอยู่หลังก็ไปเกิดเป็นเทวดา ถ้าเห็นพรหมอยู่หน้า เทวดาอยู่กลาง พระอยู่หลัง ก็ไปเกิดเป็นพรหม ถ้าเห็นพระอยู่หน้า ไม่ต้องสนใจอะไรแล้ว ตามท่านไปเลย ถาม : แล้วโดนหลอกได้ไหมครับ ? ตอบ : เป็นนิมิตก่อนตาย หลอกกันไม่ได้หรอก เป็นสภาพจิต สภาพกรรม สภาพบุญที่แท้จริงที่เราทำมา เหมือนอย่างกับเปิดช่องให้รู้ว่าเราจะไปไหน |
ถาม : ก่อนพระพุทธเจ้าท่านปรินิพพาน พระองค์ท่านแสดงการเข้าสมาบัติระดับต่าง ๆ ?
ตอบ : พระองค์ท่านไม่ได้แสดง เป็นการกระทำที่เป็นปกติ แต่พระอนุรุทธท่านทราบแล้วบอกคนอื่น คนอื่นเขาสงสัยว่าทำไมพระพุทธเจ้าเงียบไป ปรินิพพานแล้วหรือยัง พระอนุรุทธจึงต้องแจ้งให้ทราบเป็นระยะว่าตอนนี้พระพุทธเจ้าอยู่ในสมาธิระดับไหน แค่บอกให้คนอื่นรู้จะได้หายกังวลแค่นั้น ถาม : เพื่อประโยชน์อะไรครับ ? ตอบ : จะไปพระนิพพานเขาก็ทำอย่างนั้นทุกคน ถาม : อย่างนั้นเป็นเพราะพุทธานุภาพหรือเพราะความสามารถของพระอนุรุทธครับ ? ตอบ : ความสามารถของพระอนุรุทธ ถาม : แล้วคนที่ไม่ได้ฌานสูงละครับ ? ตอบ : ไม่ได้ฌานสูงก็ไปพระนิพพานไม่ได้ เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่ว่าไม่ได้ฌานสูงไปพระนิพพานไม่ได้อย่างเดียว ไม่ได้ฌานสูงก็ตัดกิเลสระดับสูงไม่ได้ด้วย แล้วจะไปอย่างไร ? ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ต่ำสุดต้องฌานสี่คล่องตัวถึงจะไปได้ โดยเฉพาะการตัดกิเลสในระดับของพระอนาคามีและพระอรหันต์ ถ้ากำลังไม่ถึงฌานสี่ตัดไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้น..ต่อให้เป็นพระอรหันต์สุกขวิปัสสโกท่านก็ทรงฌานสี่เป็นปกติ |
ถาม : อย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนชาวบ้านทั่ว ๆไป ให้คิดตัดร่างกายช่วงตื่นใหม่ ๆ กับก่อนหลับ แล้วท่านบอกว่าคนเหล่านั้นไปพระนิพพานได้ นั่นไปได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : ถ้าทรงฌานไม่ได้ก็ไปไม่ได้สักคน การจะตัดกิเลสระดับอนาคามีหรืออรหันต์ต้องได้เท่าฌานสี่ ถ้าไม่ได้ก็ตัดกิเลสไม่ไหว แต่คราวนี้สายสุกขวิปัสสโกบางทีทรงฌานได้ไม่รู้ตัว คือตัวเองพิจารณาธรรมไปเรื่อย ๆ แล้วก็ตัดกิเลสได้ แต่ความจริงตอนพิจารณาธรรมจิตจะนิ่งดิ่งลึกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเป็นฌานในระดับนั้นถึงจะตัดได้ แปลว่าท่านทรงฌานได้แต่บางท่านก็ไม่รู้ว่าตัวเองทรงฌานได้ บางทีกว่าจะรู้ก็ทรงฌานซะเต็ม ๆ แล้ว ตัดกิเลสไปแล้วยังไม่รู้เลย คราวนี้บุคคลที่จะไปพระนิพพาน ไม่จำเป็นที่จะต้องรู้เห็นพระนิพพานในลักษณะของมโนมยิทธิหรือในลักษณะทิพจักขุญาณของอภิญญา หรือว่าไปทั้งตัวแบบอภิญญาใหญ่ บุคคลที่ทำถึงกระแสพระนิพพาน ความสงบเย็นจากการปราศจากกิเลสจะบ่งชัดอยู่ในใจตนเอง ท่านทั้งหลายเหล่านี้ถึงได้รู้ว่านิพพานมีจริง พูดง่าย ๆ แล้วคือสำหรับท่านแล้ว ไม่ว่าตรงไหนก็คือนิพพาน กิเลสหมดแล้วนี่ ถ้ากิเลสไม่หมดก็ยังเลือกอยู่ ถ้ากิเลสหมดแล้วตรงไหนก็นิพพาน เพราะฉะนั้นท่านมั่นใจว่าตรงไหนก็นิพพาน |
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนวิชาลูกเสือจะยากตรงการยังชีพในป่า โดยเฉพาะการก่อไฟให้ใช้ไม้ขีดไม่เกิน ๓ ก้าน สมัยนี้มีไฟแช็กแก๊ส เขาไม่กลัวกันหรอก
สมัยนั้นเขาบังคับใช้ไม้ขีดไม่เกิน ๓ ก้าน แล้วต้องหาวิธีก่อไฟแบบอื่น วิธีก่อไฟที่ง่าย ๆ เลยก็คือเอาไม้สีกันอย่างหนึ่ง กับใช้เชือกทำลักษณะเป็นคันธนูแล้วก็ปั่น แต่ต้องปั่นเป็น อย่างไม้ที่สีกันนั้นจริง ๆ ไม่ใช่สีหรอก เป็นการถูแล้วอัดแรง ๆ ประมาณ ๒๐ วินาทีไฟก็ติดแล้ว แต่ต้องรู้วิธี รู้มุมรู้เหลี่ยม อันดับแรกต้องเอาไม้ไผ่แห้งที่ไม่อ่อนและไม่แก่เกินไป เอามาขูดให้เป็นขุยให้ได้ขยุ้มใหญ่ ๆ แล้วเอาไม้ไผ่อีกซีกหนึ่งมาเฉาะให้เป็นรูเพื่อให้อากาศเข้าได้ แล้วเอาไปคร่อมไว้กับขุยไผ่กองนั้น แล้วเหลาไม้ไผ่อีกชิ้นหนึ่งให้เป็นเหลี่ยมค่อนข้างคม อย่าเหลาให้ลื่น เหลาให้ลื่นแล้วจะถูไม่เป็นไฟ เมื่อได้เหลี่ยมที่เหมาะได้เอามาถู ต้องทั้งแรงและเร็ว ขอยืนยันว่าไม่เกิน ๒๐ วินาทีจะเกิดสะเก็ดไฟไปติดอยู่กับขุยไผ่ที่เราขูดไว้ ให้รีบเป่า ก็จะติดเป็นเปลว ถ้าทำไม่เป็น ถูให้ตายก็ไม่ติด" ถาม : ทำไมไม่ใช้เตโชกสิณเลยล่ะครับ ? ตอบ : มักง่ายเกินไป กว่าจะฝึกได้มีหวังอดตายก่อน..! อาตมาเสียเวลาฝึกอยู่ตั้งหลายเดือน ฝึกจนหลังคามุ้งดำเลย ที่บ้านมีแต่ตะเกียงกระป๋อง อาตมาจะจุดตะเกียงกระป๋องไว้ในมุ้ง ถ้าแม่รู้นี่โดนตบหัวทิ่มเพราะเปลือง ก็ต้องทำเป็นขยัน ถือหนังสือไว้ด้วย แม่เขาคิดว่าอ่านหนังสือ แต่ความจริงเปล่าหรอก...กำลังเพ่งกสิณ |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:58 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.