กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3285)

เถรี 26-04-2012 10:19

วันอาทิตย์มีการขอขมาพระอาจารย์เนื่องในวันสงกรานต์ พระอาจารย์จึงให้โอวาทว่า "เนื่องในวาระสงกรานต์ ตามประเพณีของเรานิยมรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ คราวนี้การรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่นั้น เราไปในลักษณะของการรดน้ำขอพร เด็กรุ่นใหม่ทำผิดกันเยอะมาก เพราะไปรดน้ำอวยพรผู้ใหญ่ ไม่ต้องทะลึ่งไปอวยพรให้ท่านหรอก วัยวุฒิคุณวุฒิของเราไม่มีอะไรพอที่จะเป็นความดีให้ท่านได้ ถ้าหากว่าจะอวยพรให้ท่าน ต้องอ้างคุณพระรัตนตรัยแทน แต่ว่าก็เป็นสิ่งที่ไม่สมควรอยู่ดี เพราะว่าเราเป็นเด็กกว่า

ในส่วนที่เราได้กระทำในครั้งนี้ ข้อที่ ๑ เป็นการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีแต่ดั้งเดิมของเราเอาไว้ ข้อที่ ๒ เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ใหญ่ ต่อครูบาอาจารย์ ต่อบุคคลที่เรารัก ข้อที่ ๓ เป็นการแสดงอปจายนมัย คือการอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ สิ่งที่เราทำนี้เป็นส่วนของความดีทั้งสิ้น เพราะว่าการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งช่วยให้สังคมและประเทศชาติของเราเป็นปึกแผ่นเป็นมั่นคงได้

เนื่องจากสังคมของเรานั้น ต้องประกอบไปด้วยขนบธรรมเนียมประเพณี กฎหมายบ้านเมือง และระเบียบวินัยของแต่ละสถานที่ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นกติกา ที่ยึดโยงให้คนหมู่มากอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ถ้าหากว่าเราละเมิดกฎกติกา สังคมก็จะวุ่นวาย มีแต่ความทุกข์ยากเดือดร้อน

ดังนั้น..ที่เราทำนั้นมีผลประการแรกก็คือ เป็นการสร้างความเข้มแข็งและมั่นคงของสังคมไทยเรา แสดงออกซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามให้ทั้งคนรุ่นหลังและคนต่างชาติได้เห็น ประการต่อมา ในส่วนของการไปแสดงอปจายนมัยต่อผู้ใหญ่ ก็เป็นไปตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในส่วนของบุญกิริยาวัตถุ เพราะว่าการอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้อื่น ทำให้คนเห็นมีความเย็นตาเย็นใจ เกิดความรักใคร่เมตตา แปลว่าเราสร้างความดีให้เกิดขึ้นในจิตใจของผู้อื่น

ดังนั้น..ในส่วนของคุณความดีนี้จึงเป็นอานิสงส์ที่ส่งผลมาถึงเราด้วย ว่าท่านทั้งหลายจะให้ความรักใคร่เมตตา เอ็นดูเรามากกว่าปกติ ถ้ามีสิ่งใดที่ไม่เกินวิสัย ที่ท่านจะช่วยเหลือสงเคราะห์ได้ ท่านก็จะช่วยเหลือสงเคราะห์เรา "

เถรี 26-04-2012 10:27

"ในส่วนของการที่เรานำเอาวัตถุมา ไม่ว่าจะเป็นทองคำ หรือว่าดอกไม้ของหอม ที่ตั้งใจถวายเป็นพุทธบูชา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นส่วนอานิสงส์ของอามิสบูชา ซึ่งมักจะไปปรากฏเป็นโภคสมบัติ หมายความว่าในส่วนของอามิสบูชานั้น อานิสงส์ถัดไปข้างหน้าคือความร่ำรวย มีความคล่องตัวในความเป็นอยู่

แต่ขณะเดียวกัน เรามาปฏิบัติในส่วนของปฏิบัติบูชา ก็คือกระทำอปจายนมัยตามวาระสำคัญของประเพณีต่าง ๆ ในส่วนนี้ถือเป็นส่วนของปฏิบัติบูชา แต่ว่าในส่วนที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ความดีที่ระดับสูงกว่านี้ คือ ศีล สมาธิ และปัญญานั้น เป็นสิ่งที่พวกเราจะทิ้งไม่ได้ การกระทำของเราในครั้งนี้เป็นพื้นฐาน ในเมื่อเรามีพื้นฐานที่หนาแน่น ศีล สมาธิ ปัญญามีที่หยั่งลงได้อย่างมั่นคง โอกาสที่เราจะก้าวล่วงขึ้นไปสู่ภพภูมิที่สูงกว่า หรือว่ากระทั่งหลุดพ้นไปสู่พระนิพพานก็จะมีมากกว่าปกติ

ในวาระอันสำคัญก็คือวันสงกรานต์ และท่านทั้งหลายได้กระทำซึ่งอปจายนมัย นำเอาวัตถุซึ่งเป็นอามิสทั้งหลายนี้ มาแสดงออกซึ่งความกตเวที คือความรู้คุณในสิ่งที่อาตมาได้กระทำมาตั้งแต่ต้น ก็ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นประธาน บารมีของครูบาอาจารย์มีหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุงเป็นที่สุด ตลอดจนความดีทั้งปวงที่อาตมาภาพได้บำเพ็ญมาเป็นอเนกชาติ และความดีทั้งหลายที่ท่านได้บำเพ็ญมานับแต่ต้นจวบจนบัดนี้

ขอจงรวมกันเป็นตบะเดชะ เป็นพลวปัจจัย บันดาลดลให้ท่านทั้งหลาย มีความเป็นอยู่ที่คล่องตัว มีความปรารถนาที่สมหวังจงทุกประการ แม้ว่าปรารถนาสิ่งหนึ่งประการใด ที่ไม่ผิดศีลผิดธรรมและไม่เกินวิสัยแล้ว ขอความปรารถนาของท่านทั้งหลายนั้น จงพลันสำเร็จดังมโนรถปรารถนาจงทุกประการ โดยถ้วนหน้ากันทุกท่านทุกคนเทอญ"

เถรี 26-04-2012 11:21

ถาม : พ่อผมเสียมา ๘ ปีแล้ว ทีนี้ทางวัดต้องการใช้ที่ ผมก็เลยจะนำศพพ่อที่ยังไม่เผาออกมาเผา สามารถทำภายในวันเดียวได้เลยไหมครับ คือกลางวันเลี้ยงพระ พอบ่ายสามก็เผาเลย ?
ตอบ : ถึงคุณจะไม่เลี้ยงพระ เผาไปเลยก็ไม่เป็นอะไร

ถาม : ไม่ต้องมีฤกษ์ยามอะไรหรือครับ?
ตอบ : ไม่ต้องมี เพียงแต่ว่าใบมรณบัตรยังอยู่ไหม ? ถ้าอยู่ถ่ายเอกสารใบมรณบัตรให้ทางวัดไว้ใบหนึ่งด้วย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะเจอข้อหาเผาทำลายศพ เพราะว่าพวกรีบร้อนทำในวันเดียว ส่วนใหญ่เป็นการเผาทำลายศพ วัดท่าขนุนเคยโดนมาแล้วสมัยอาจารย์สมพงษ์เป็นเจ้าอาวาส

เขาเอาพวกต่างด้าวยัดมาในรถคันเดียวกันเยอะ ๆ แล้วเบียดกันตาย เสร็จแล้วก็เอาไปเผาที่วัด สวดวันนั้นเผาวันนั้น อาจารย์สมพงษ์ก็ไม่ได้ขอใบมรณบัตรเอาไว้ พอถึงเวลาตำรวจสืบคดีมาถึงก็วุ่นไปหมด ยังดีที่ว่าเป็นวัดหลวงปู่สาย ตำรวจให้ความเกรงใจอยู่ เขาก็เลยลงบันทึกไปว่ามิได้เจตนา เพราะว่าไม่รู้ว่าเป็นคดีอาญา นึกว่าเป็นการตายแล้วเผาตามปกติ

ไม่อย่างนั้นก็ได้ไปสวัสดีเธอจ๋าอยู่ในตะราง เพราะว่าเจ้าพนักงานกระทำความผิดนี่หนักกว่าคนอื่นหลายเท่า มาตราที่ ๔๕ ระบุไว้ชัดเจนเลยว่าเจ้าอาวาสเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา

เถรี 26-04-2012 11:35

ถาม : การเป็นเจ้าภาพปิดทองพระประธาน ต้องทำอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ดูว่าพระประธานนั้นองค์ใหญ่แค่ไหน ? ถ้าหน้าตัก ๔ ศอกขึ้นไป จะมีอานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์ที่เราทำมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันได้ ถ้าหากว่าหน้าตักไม่ถึง ๔ ศอก การที่เราปิดทองพระประธาน เป็นการซ่อมบำรุงพระพุทธรูปให้มีความสวยงาม เป็นที่น่าเคารพน่าเลื่อมใสของบุคคลทั่วไป อานิสงส์นี้ถ้าหากว่าเป็นผู้หญิงจะได้เป็นเบญจกัลยาณี ถ้าหากว่าเป็นผู้ชายน่าหล่อประมาณพระมหากัจจายนะ

พระมหากัจจายนะรูปงามขนาดผู้ชายเห็นแล้วหลงเลยนะ ผู้ชายคิดว่าถ้าเมียเราสวยขนาดนี้ได้ก็ดี ด้วยความที่พระมหากัจจายนะท่านเป็นพระอรหันต์ พอไปคิดล่วงเกินท่านนิดเดียว คนคิดกลายเป็นผู้หญิงไปเลย แล้วก็อายหนีข้ามเมืองไป ดันไปตกหลุมรักเศรษฐีต่างเมือง แต่งงานแต่งการไปมีลูก ๒ คน เพื่อนเก่าตามเจอ พอเล่าให้ฟังก็บอกให้ไปขอขมาพระเถระเสีย พอท่านไปขอขมาจึงกลับเป็นผู้ชายเหมือนเดิม

แย่ละสิ..ตอนเป็นผู้ชายก็มีลูกมีเมียอยู่ทางนี้ ตอนเป็นผู้หญิงก็ไปมีลูกมีผัวทางนั้น ท้ายสุดก็เลยต้องให้พระราชาเป็นคนชี้แจงทั้ง ๒ ฝ่ายว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องนี้ก็เลยจบลงตรงที่ว่า พระมหากัจจายนะต้องอธิษฐานให้ท่านมีร่างกายอ้วน คนจะได้ไม่ไปหลงเสน่ห์ท่านอีก

ถ้าอานิสงส์แบบนางอุบลวรรณาเถรีนั้นมีผิวเหมือนทองเลย ขนาดเขาหล่อรูปทองคำใส่เสลี่ยงไป สาวใช้เห็นรูปหล่อทองคำนึกว่าเป็นนางอุบลวรรณาจึงตี หาว่าหนีมาแอบเล่นอยู่ที่นี้ทำให้ตามกันแทบตาย พอตีเข้าไปเพิ่งจะรู้ว่าเป็นรูปหล่อทองคำ แสดงว่านางอุบลวรรณาเถรีสวยพอ ๆ กับรูปหล่อทองคำ

อย่างพวกเราถ้าไปที่อินเดีย ก็ถือว่าอยู่ในตระกูลผิวทองเหมือนกัน สุวณฺณวณฺโณเหมือนกัน เพราะคนอินเดียเป็นนีลวณฺโณ ผิวดำ ผิวเขียว พวกเราไปนี่เป็นผิวทอง เขาถือว่าอยู่ในวรรณะที่สูง ถ้าแต่งตัวโกนหัวอย่างอาตมานี้เขาเรียกว่าจัณฑาล เพราะคนอินเดียเขาจะไว้ผมเกล้ามวยทั้งผู้หญิงผู้ชาย

เถรี 26-04-2012 11:47

ถาม : พระควัมปติกับพระมหากัจจายนะใช่องค์เดียวกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : คนละองค์กันจ้ะ พระควัมปติเป็นสหายของพระยสะ ท่านชอบเข้านิโรธสมาบัติ ทีนี้การเข้านิโรธสมาบัติก็คือการดับสัญญาและเวทนาทั้งหมด ก็คือปิดอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหล่านั้น เขาก็เลยมักจะทำเป็นรูปพระปิดตา

แต่เรื่องนี้ถ้าสืบสาวไป พระปิดตาอาจจะมีส่วนของทางฮินดูมา เพราะว่ามีการสร้างพระพิฆเนศอยู่ในปางนี้เหมือนกัน แล้วฮินดูมาก่อนศาสนาพุทธ ในเมื่อฮินดูเกิดก่อนศาสนาพุทธต้องยกให้เขาเป็นพี่ เราอาจจะเลียนแบบเขามาก็ได้

เถรี 26-04-2012 14:41

ถาม : มีวัดใหญ่แห่งหนึ่งเดินธุดงค์ในเมือง พระสงฆ์กว่า ๑,๐๐๐ รูปทำให้รถติดขัดใจกลางเมือง ผิดหลักศาสนาหรือไม่ อย่างไร?
ตอบ : การธุดงค์คือการขัดเกลากิเลสตามความมุ่งหมายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การธุดงค์จึงเป็นการละรัก โลภ โกรธ หลง ในใจของผู้ออกธุดงค์ ถ้าการกระทำของเขาทั้งหลายเหล่านั้นเป็นไปเพื่อการละรัก โลภ โกรธ หลง ก็ถือว่าไม่ผิดไปจากคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าการกระทำนั้นเป็นการเพิ่มรัก โลภ โกรธ หลงขึ้นมาจึงถือว่าผิดจากคำสอน เพราะฉะนั้น..จึงต้องไปถามท่านผู้เดินธุดงค์เองว่าตั้งใจละกิเลสหรือเพิ่มกิเลส ?

ส่วนการทำให้รถติดนั้นถือว่าผิดกาลเทศะไปนิดหนึ่ง เพราะว่าปรกติแล้วการเดินธุดงค์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดเอาไว้ว่าแม้แต่จะปักกลด ก็ต้องให้ห่างจากบ้านประมาณ ๕๐๐ ชั่วธนู หมายถึงคันธนูนะ ไม่ใช่ลูกธนูยิงไป เอาคันธนูรบสมัยก่อนวางต่อ ๆ กัน ๕๐๐ คัน กะดูระยะในปัจจุบัน ก็ประมาณ ๑ กิโลเมตรเป็นอย่างน้อย

ดังนั้น..ในส่วนคำถามที่ว่าผิดหลักศาสนาหรือไม่ ? ถ้าหากว่าเป็นการขัดเกลากิเลสของตนเอง ลดละรัก โลภ โกรธ หลง ก็ไม่ผิด แต่ถ้าเป็นการเพิ่มกิเลสของตัวเองก็ผิด

เถรี 26-04-2012 14:50

ถาม : ใครที่ไปทำบุญวัดนี้จะได้ยินคำว่า “บริจาคมากได้บุญมาก ลำบากมากยิ่งต้องบริจาคเงินทำบุญให้มาก แล้วบุญจะกลับมาเป็นเงินมากมายหลายเท่านัก” การกระทำเช่นนี้ถูกหลักศาสนาหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าถามว่าถูกหลักศาสนาหรือไม่ ? องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เราให้ทาน ก็ถือว่าถูกหลัก แต่ว่าการทำบุญนั้น อย่าให้ตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อน มีน้อยทำน้อย ถ้ามีมากจะทำมากก็ไม่เป็นไร

ถ้ามีมากทำน้อย แม้จิตยังมีความตระหนี่อยู่ อย่างน้อยได้เสียสละออกตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน แต่ถ้ามีน้อยทำมาก ถือว่าไม่รู้ภาวะของตน จะทำให้คนรอบข้างและตนเองเดือนร้อนได้ อันนี้ก็ถือว่าเป็นการทำบุญที่ไม่ควรสรรเสริญ

ถาม : ทำไมผู้ที่มาทำบุญและปฏิบัติธรรมที่นี่ ถึงได้เชื่อว่าทำบุญเยอะแล้วจะเจริญทันตาเห็น ?
ตอบ : เพราะแรงโฆษณาอย่างหนึ่ง อย่างที่สองก็คือโดนตามจิกอยู่ทุกวัน ไม่ไปก็รำคาญ ก็เลยไปซื้อรำคาญ

ถาม : วัดแห่งนี้เชิงพาณิชย์เกินไปหรือไม่?
ตอบ : ถ้าหากว่าไปถามท่าน ท่านก็บอกว่ากำลังดี ฉะนั้น..คนถามต้องตัดสินใจเอง

ถาม : ลายเซ็นนี้บอกลักษณะว่าเป็นอย่างไร โปรดชี้แนะและเมตตาสงเคราะห์ด้วย ?
ตอบ : โอ้โห...ลายเซ็นนี้ถ้าเป็นอาตมาไม่คบเลย ใครอยู่ใกล้ก็เดือดร้อนไปหมด เพราะนิสัยนอกจากไม่ลงให้ใครแล้ว ยังปากไวใจเร็วอีกต่างหาก พูดง่าย ๆ ว่าชอบจิกกัดคนอื่นเป็นปกติ เลิกนิสัยนี้ได้แล้วจะดี

หมายเหตุ :
คนถามเขียนคำถามใส่กระดาษมาค่ะ

เถรี 26-04-2012 14:55

ถาม : ในอดีตชาติของพระพุทธเจ้า ท่านเลี้ยงดูพ่อแม่ด้วยความกตัญญู ด้วยอานิสงส์นั้นท่านก็ได้บังเกิดเป็นพระอินทร์อยู่บนสวรรค์ สำหรับท่านที่บูชาพระอรหันต์ จะได้อานิสงส์ไปเกิดเป็นพระอินทร์ในขณะที่ยังไม่เข้าพระนิพพานหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าบูชาถูกต้องไม่ใช่เกิดเป็นพระอินทร์เท่านั้น แต่จะเข้าพระนิพพานไปเลย ถ้าบูชาถูกต้องแต่ทำได้ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ก็อาจจะไปเป็นพรหมหรือเทวดาอยู่ เพราะคำว่า "บูชา" นั้น ส่วนหนึ่งก็คือปฏิบัติตามในสิ่งที่ท่านได้สอนให้เราทำ คราวนี้พระอรหันต์ท่านนิยมสอนอย่างเดียวก็คือการไปพระนิพพาน

ดังนั้นว่า..ถ้าเราบูชาถูกต้อง ก็สามารถที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ในชาตินี้ แต่ถ้าหากว่าปฏิบัติได้ไม่เต็มที่ตามที่ท่านสอน อย่างน้อย ๆ กำลังใจเกาะความดี ก็แปลว่าเราพ้นทุกข์ชั่วคราว คือการไปเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหม ยกเว้นว่าเป็นสุธาวาสพรหมที่เป็นตั้งแต่พระอนาคามีขึ้นไป ไม่ต้องลงมาเกิดอีก แต่ยังมีความทุกข์อยู่ ก็คือกังวลกับการชำระใจของตนให้สะอาดเพื่อความหลุดพ้นอย่างแท้จริง ถือว่ายังไม่พ้นเหมือนกัน

การจะเป็นพระอินทร์นั้นต้องปฏิบัติในวัตตบท ๗ ประการเป็นการเฉพาะ เช่น ไม่โกรธเลยตลอดชีวิต เลี้ยงดูพ่อแม่ด้วยความกตัญญูรู้คุณ เป็นต้น ดังนั้น การบูชาพระอรหันต์ยังไม่ใช่กติกาโดยตรงของการปฏิบัติเพื่อเป็นพระอินทร์

เถรี 27-04-2012 08:05

ถาม : ขอถามเรื่องพระอนุรุทธเถระครับ ที่บอกว่าท่านเป็นพระวิชชาสาม ไม่ใช่พระอภิญญาหรือพระปฏิสัมภิทาญาณแล้ว ทำไมท่านเก่งเกินอภิญญา ?
ตอบ : พระอนุรุทธท่านได้วิชชาสามที่เปรียบเหมือนกับช้าง ส่วนท่านที่ได้อภิญญาหรือปฏิสัมภิทาญาณในยุคนั้นเปรียบเป็นแค่มด เพราะฉะนั้น..แค่ช้างเดินเฉี่ยว ๆ มดก็อาจจะตายแล้ว พระอนุรุทธท่านบำเพ็ญมาเฉพาะด้าน คนอื่นจึงถนัดสู้ท่านไม่ได้ เหมือนอย่างคนเรียนหมอผ่าตัดมาโดยตรง คนอื่นไม่ได้เรียนผ่าตัดมา ต่อให้คนอื่นจบด็อกเตอร์ก็สู้หมอผ่าตัดที่้เรียนจบปริญญาตรีไม่ได้หรอก

ถาม : แสดงว่าการที่ได้ส่วนของวิชชาสามก็ดี อภิญญาก็ดี ก็ไม่ได้ตัดสินถึงความชำนาญของท่านได้หรือครับ ?
ตอบ : ไม่ได้เป็นเครื่องตัดสิน บุคคลที่เรารู้สึกว่าอยู่ในระดับต่ำกว่า แต่มีความสามารถมากกว่าบุคคลที่สูงกว่านั้นมีน้อยจนนับนิ้วได้ ท่านจะต้องสร้างมาในลักษณะพิเศษจริง ๆ ตัวอย่างบุคคลอีกบุคคลหนึ่งที่สำเร็จวิชชาสามแต่ความสามารถคลุมหมดในพระอรหันต์ทุกองค์ ก็คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า..!

ถ้าไปอ่านพุทธประวัติจะเห็นว่ายามต้นพระองค์ท่านสำเร็จปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้ไม่จำกัด ยามสองสำเร็จจุตูปปาตญาณ รู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วไปไหน ยามสุดท้ายบรรลุอาสวักขยญาณ ทำกิเลสให้สิ้นไป ก็วิชาสามชัด ๆ เลย เพราะฉะนั้น..อย่าเอาช้างไปเปรียบกับมด

เถรี 27-04-2012 08:24

ถาม : พระอานนท์ท่านเป็นเอตทัคคะตั้งหลายด้าน และในอดีตชาติยังเคยเกิดเป็นพระอนุชาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง ถ้าดูไปแล้วเหมือนท่านจะโดดเด่นมากกว่าพระอัครสาวกเสียด้วยซ้ำ ข้อนี้ผมเข้าใจผิดอย่างไรหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ผิด...แต่สิ่งที่เราเข้าใจนั้นเราต้องดูตัวอย่างปัจจุบัน ถ้าสมมติว่าเลขานุการนายกรัฐมนตรีมีความสามารถเด่นมาก แต่เลขาฯ ต่อให้เด่นแค่ไหนตำแหน่งก็ยังเล็กกว่ารองนายกรัฐมนตรี

ถ้าเป็นทางประเทศจีน รูปอัครสาวกที่ยืนซ้ายขวาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่ใช่พระโมคคัลลานะและพระสารีบุตร แต่เป็นพระมหากัสสปะและพระอานนท์ ทางมหายานเขาถือว่าพระอานนท์เป็นผู้ทรงจำพระไตรปิฏก พระมหากัสสปะเป็นประธานในการรวบรวมสังคายนาพระไตรปิฎก เขาก็เลยให้ความสำคัญทั้ง ๒ องค์นี้สำคัญกว่าพระอัครสาวก ซึ่งความเชื่อไม่เหมือนกับทางเรา แต่เขามีเหตุผลรองรับของเขาอยู่

ดังนั้น..ในส่วนที่ว่าพระอานนท์มีบทบาทมากกว่าก็ถือว่าเป็นความจริง แต่ว่าลักษณะของการเผยแผ่ธรรมนั้น พระอัครสาวกทั้ง ๒ ช่วยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มากมหาศาล เพราะว่าท่านเป็นพระอรหันต์ทั้งคู่ ขณะที่พระอานนท์ไม่สามารถช่วยเผยแผ่ธรรมได้มาก เนื่องจากว่ายังเป็นพระโสดาบันอยู่ บทบาทของพระอานนท์มามีมากหลังจากพระพุทธปรินิพพานแล้ว

ในช่วงที่ก่อนพระพุทธปรินิพพานพระอานนท์เป็นพุทธอุปัฏฐาก ลักษณะเหมือนเลขานุการส่วนตัว ต้องบอกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถที่จะบำเพ็ญพุทธกิจได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยนั้น เกิดจากการจัดสรรของพระอานนท์ส่วนหนึ่งด้วย

เถรี 27-04-2012 08:37

ถาม : ในกัปนี้ถือว่าเป็นภัทรกัป คือมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ๕ พระองค์ ในกัปหน้าจะมีพุทธเจ้ากี่พระองค์ ?
ตอบ : อีก ๕ พระองค์ ช่วงนี้เป็นภัทรกัป ๒ กัปติดต่อกัน ดังนั้น..พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้อีก ๖ พระองค์ต่อเนื่องกันไป ถือว่าเป็นช่วงที่โชคดีที่สุดของบุคคลที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เพราะว่ามีภัทรกัป ๒ ภัทรกัปติด ๆ กัน จะมีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ต่อเนื่องกันไปถึง ๑๐ พระองค์

ถ้าหากว่าเราศึกษาประวัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่พระองค์ท่านยังเป็นสุเมธดาบสที่ได้รับการพยากรณ์ครั้งแรกจากองค์สมเด็จพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังจากสิ้นองค์สมเด็จพระพุทธทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ผ่านไป ๑ อสงไขยกัปจึงมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโกณฑัญญะอุบัติขึ้น สรุปว่าตั้งแต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโกณฑัญญะมาถึงพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน มีพระพุทธเจ้ามาแล้ว ๒๔ พระองค์ด้วยกัน ใช้เวลา ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปพอดี ส่วนเรากัปเดียวได้มา ๕ องค์นี่ถือว่าโชคดีสุด ๆ แล้ว

เถรี 27-04-2012 08:57

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ถามว่าเหมือนไหม? ก็ไม่เหมือนหรอก คนก็ยังเป็นคนอยู่ เพียงแต่ว่าอยู่ในภาวะที่ไม่มีศีลไม่มีธรรม ต่างคนต่างกอบโกยเพื่อตัวเอง ถ้าวัดจากมาตรฐานของปัจจุบัน ต้องบอกว่าต่อไปการกระทำของคนค่อนข้างจะน่าเกลียดน่าชัง แต่มาตรฐานของปัจจุบันนี้ถ้าเปรียบกับในอดีต คนอดีตก็บอกว่าน่าเกลียดมาก เพราะฉะนั้น..ไม่สามารถที่จะเอาตัวเราเป็นบรรทัดฐานในการวัดทั้งตนเองและผู้อื่น เพราะต้องดูว่ามาตรฐานของใคร

เราวัดว่าเราดี แต่คนที่ดีกว่ามองมาก็บอกว่าไม่เป็นเรื่องเลย ขณะเดียวกันเราว่าคนอื่นไม่ดี คนที่ด้อยกว่าคนนั้นมองมาก็บอกว่าเขาดีจังเลย เพราะฉะนั้น..มาตรฐานก็เลยขึ้นอยู่กับกำลังใจของบุคคลนั้น ๆ

เถรี 27-04-2012 09:01

ถาม : สำหรับผู้ที่ปรารถนาอรหัตผลแบบธรรมดา ไม่ได้เป็นอัครสาวก ไม่ได้เป็นเอตทัคคะ จำเป็นต้องตั้งความปรารถนาไว้ล่วงหน้าหรือไม่ครับ หรือว่าสามารถทำได้เดี๋ยวนั้นเลย ?
ตอบ : นอกจากต้องตั้งความปรารถนาไว้ล่วงหน้าแล้ว ยังต้องบำเพ็ญบารมีมาอย่างน้อย ๑ อสงไขยกับแสนมหากัป ไม่ใช่คิดจะเป็นเดี๋ยวนี้ก็เป็นได้ เหมือนกับเด็ก ๆ ไม่เคยเรียนหนังสือ รู้ว่าดีก็พยายามเรียนหัดเขียน ก.ไก่ ข.ไข่ สระอะ สระอา ไปเรื่อย กว่าจะประสมตัวได้ก็ต้องผ่านการทดสอบความรู้ไปเรื่อย จบชั้น ป.๔ จบชั้น ป.๖ จบชั้น ม.๖ แล้วก็จบปริญญาตรี เป็นต้น ต้องไล่ไปทีละลำดับ ถ้าหากว่าคุณอยู่ในช่วงปลายเทอมท้าย ๆ ของปริญญาตรี คุณก็มีสิทธิ์สอบได้ แต่ถ้าหากว่ายังอยู่แค่ชั้น ป. ๑ ก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาเรียนไปอีกนาน

ดังนั้น..ในเรื่องของการปรารถนาหรือว่าตั้งความหวังไว้เกี่ยวกับมรรคกับผล จะต้องผ่านการสะสมศีล สมาธิ ปัญญา มาในระยะเวลาที่พอสมควรทีเดียว ต่ำสุดก็ ๑ อสงไขยกับแสนมหากัป ถ้าใครจะเรียนปริญญาโทปริญญาเอกก็ใช้เวลามากกว่านั้น เอาแค่ปริญญาตรีก่อนแล้วกัน จบได้ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว

เถรี 27-04-2012 09:19

ถาม : ในกรณีฝรั่งหรือคนที่อยู่นอกพระพุทธศาสนา ไม่ได้มาอยู่ในพระพุทธศาสนาเพราะว่าไม่เคยทำบุญหรือไม่เคยเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา หรือเพราะว่าเขายังไม่มีโอกาสที่จะบรรลุนิพพานในชาตินี้..ถูกไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่...แต่ละคนเวียนตายเวียนเกิด ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเกิด เป็นคนชาตินั้นบ้างชาตินี้บ้าง เคยนับถือพระพุทธศาสนาบ้าง เคยนับถือศาสนาอื่นบ้าง แต่บุคคลที่ไปเกิดนอกเขตพระพุทธศาสนานั้น สาเหตุใหญ่มี ๒ ประการด้วยกัน ประการแรก..เพื่อไปนำคนหมู่มากในจุดนั้น ๆ ประการที่สอง..เพราะว่าขาดความยึดมั่นในพุทธานุสติ

ถ้าเขาต้องไปเกิดเป็นผู้นำของคนหมู่มากในจุดนั้น ๆ ส่วนใหญ่ท่านทั้งหลายเหล่านี้จะมาทางสายพระโพธิสัตว์ ต้องบำเพ็ญบารมีในลักษณะสงเคราะห์บริวารของตัวเองเป็นจำนวนมาก ครั้นเกิดมาพร้อม ๆ กันทีเดียวหลายคน จะมาแย่งเป็นผู้นำในที่เดียวกัน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องแยกย้ายกันไป แต่ว่าพอวาระถัดไปก็จะหมุนเวียนกลับมาเกิดในเขตของพระพุทธศาสนาใหม่

แต่สำหรับท่านที่ไม่มั่นคงในพุทธานุสตินั้น ถ้าหากว่ายังมุ่งอยู่กับความดี ก็จะเลี้ยวกลับมาได้เร็ว ถ้าไม่ได้มุ่งอยู่กับความดี ก็อาจจะเตลิดเปิดเปิงออกไปไกล กว่าจะย้อนกลับมาก็เนิ่นนานแสนนาน แต่ถ้าบารมีที่เขาสั่งสมมาถึงระดับท้าย ๆ แล้ว การฟังธรรมสามารถเข้าถึงมรรคผลได้เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น..เราจะเห็นว่ามีฝรั่งจำนวนมาก มาบวชปฏิบัติธรรมอยู่ในประเทศเรา ท่านที่บวชปฏิบัติจนอาตมามั่นใจว่าเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า เพราะเคยได้ยินหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านกล่าวไว้ ก็คือหลวงพ่อสุเมโธ (หลวงพ่อโรเบิร์ต สุเมโธ) ตอนนี้ท่านเป็นพระราชสุเมธาจารย์

อาตมาเพิ่งจะเจอท่านเมื่อไม่นานนี้เอง ท่านจำแม่นมาก พอเจอหน้าท่านทักอาตมาก่อนเลย ตอนแรกอาตมาก็แปลกใจว่าเท้าท่านบวมหรือไม่ ? ถามพระครูสันติธรรมวิเทศที่สนิทกันว่า "หลวงพ่อท่านเป็นอะไร ?" ท่านก็บอกว่า “แสดงว่าคุณไม่เคยมองเท้าหลวงพ่อเลย..ใช่ไหม ?” "ใช่..ท่านสูงมาก ส่วนใหญ่แล้วผมต้องแหงนหน้ามองท่าน"

ท่านบอกว่า หลวงพ่อมาอยู่เมืองไทยเลยป่วยเป็นโรคเท้าช้าง เพราะปฏิบัติธุดงค์แบบอุกฤษฏ์ อยู่ในป่าในดงโดนยุงกัดเข้าเลยเป็นโรคเท้าช้าง เท้าท่านจะบวม ๆ เหมือนอย่างกับเลือดคั่ง ท่านบอกว่ารำคาญหน่อยแต่ไม่ได้มีอะไร ก็ปล่อยไปเรื่อยอย่างนั้น

เถรี 27-04-2012 09:25

ถาม : พระอรหันต์ในเมื่อท่านปรินิพพานไปแล้ว แต่ว่าเราได้เคยฝากตัวเป็นศิษย์ไว้กับท่าน เมื่อเราปฏิบัติธรรมถึงจุดหนึ่ง ท่านสามารถกลับมาสอนเราได้ อันนี้เป็นความจริงไหมครับ?
ตอบ : จริง...หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านกล่าวไว้ว่า บุคคลที่ปฏิบัติธรรม ถ้ายังไม่มีครูบาอาจารย์ที่คนมองไม่เห็นตัวถือว่ายังใช้ไม่ได้ ถ้าหากว่าปฏิบัติธรรมไปแล้ว มีครูบาอาจารย์ที่มองไม่เห็นตัวมาให้การสงเคราะห์ จะมีโอกาสเข้าถึงมรรคผลเร็วกว่า เพราะท่านจะเน้นเฉพาะจุดที่เราติดขัดอยู่

แล้วก็มีคนจำนวนหนึ่งสงสัยว่าพระอรหันต์นิพพานไปแล้วกลับมาได้หรือ ? อย่างพระนาคเสนท่านบอกว่า คนที่พ้นคุกไปแล้วสามารถกลับมาเยี่ยมเยียนคนในคุกได้ตลอดเวลา ส่วนคนที่ไม่พ้นคุกต่างหากเล่าที่ไปไหนไม่ได้

ถาม : ในเมื่อพระอรหันต์ท่านสิ้นอาสวะแล้ว คือไม่มีความอยาก ไม่มีความปรารถนาใด ๆ แล้ว ในกรณีที่เราไม่เคยปวารณาไว้ก่อน แม้ว่าเราจะต้องการให้ท่านมาสอน ท่านก็จะไม่มา อันนี้จริงไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่เคยมีกรรมเนื่องกันมา ท่านก็ไม่ให้การสงเคราะห์ เพราะว่าพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป สิ่งที่เป็นพื้นฐานเลยก็คือยอมรับกฎของกรรม ต้องรอท่านที่เคยมีกรรมเนื่องกันมากับเรา มาสงเคราะห์เราแทน นี่ไม่ต้องกล่าวถึงพระอรหันต์นะ แม้แต่ พรหม เทวดา นางฟ้า ก็เหมือนกัน ถ้าไม่เคยมีกรรมเนื่องกันมาท่านก็ไม่มายุ่งกับเราหรอก

เถรี 27-04-2012 09:29

ถาม : เนื่องจากว่าภพภูมินี้ยาวนานมาก ยาวนานเท่าไรเราคงไม่สามารถที่จะประมาณได้ ช่วงที่ผ่านมาก็คงจะมีเวรมีกรรมเกี่ยวเนื่องกันมามากมาย คงจะมีคนที่เรารู้จักไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง เป็นพระอรหันต์บ้าง ถ้าท่านกับเรามีกรรมเนื่องกันมา ท่านก็สามารถที่จะมาช่วยเราได้..ใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : เป็นไปได้ ๑๐๐ % ครึ่ง แต่ต้องรอวาระที่เหมาะสมด้วย ท่านจะทะนุบำรุงฟูมฟักให้ผลไม้นั้นสุกงอมหอมอร่อย เหมาะแก่การเป็นอาหารของเราได้ ต้นไม้ต้นนั้นต้องออกดอกออกผลก่อน ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะโผล่จากเมล็ดมาก็จะให้ท่านมาทำหน้าที่นั้นแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ยังไม่ใช่วาระที่สมควร

เถรี 27-04-2012 09:42

ถาม : ภัทรกัปหน้ามีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแบบวิริยาธิกะทั้งสิ้นเลยหรือว่าแบบไหนครับ ?
ตอบ : สลับกันไป ไม่มีกัปไหนที่จะมีพระพุทธเจ้าประเภทเดียว ยกเว้นว่ากัปนั้นเป็นสารกัป คือมีพระพุทธเจ้าองค์เดียว ถ้าตั้งแต่มัณฑกัปขึ้นไป พระพุทธเจ้าท่านอาจจะสร้างบารมีมาแบบเดียวกันหรือว่าต่างกันก็ได้

ภัทรกัปหน้าจะมีพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งที่ตอนนี้ยังอยู่ในอเวจีมหานรก แต่ไม่ต้องห่วงท่านหรอก ท่านขึ้นมาทันแน่นอน

เถรี 27-04-2012 09:53

ถาม : ป่าหิมพานต์ที่มีคนไปเอานารีผลซึ่งเป็นรูปของหญิงชัดเจนแต่ว่าเป็นเปลือกไม้ แล้วเขาก็อ้างว่ามีหลายผล ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าป่าหิมพานต์มีจริง แล้วอย่างนั้นป่าหิมพานต์อยู่ที่ไหนครับ ?
ตอบ : เป็นมิติที่ซ้อนทับกันอยู่ ถ้าหากว่าเราเข้าถึงความละเอียดนั้นก็สามารถเข้าไปได้ ขณะเดียวกันบุคคลที่สามารถที่เข้าถึงความละเอียดนั้นสามารถนำสิ่งของที่อยู่ในมิตินั้นออกมาได้ ถ้าเป็นผู้อื่นไม่สามารถที่จะนำออกมาได้

ถาม : แสดงว่าพระคุณเจ้ายืนยันว่าป่าหิมพานต์มีจริงและมักกะลีผลก็มีจริง ?
ตอบ : มี...แต่ป่วยการ อย่างพวกเราไปก็ตายหมด โดยเฉพาะผู้ชายเจอมักกะลีผลเข้านี่เสร็จทุกราย ถ้าไม่ใช่บุคคลที่ได้โลกุตรอภิญญาแล้วไม่เหลือหรอก เพราะว่าบรรดาฤๅษีชีไพร นักสิทธิ์ วิทยาธร ที่ได้ฤทธิ์อภิญญาก็ยังไปแย่งชิงมักกะลีผลกัน

มักกะลีผลไม่ได้มีเสน่ห์แต่รูปร่างเท่านั้น แค่คนได้ยินเสียงก็หลงแล้ว ยิ่งคนได้กลิ่นยิ่งหลงหนักเข้าไปใหญ่ พูดง่าย ๆ ว่ารูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ของเขาสมบูรณ์พร้อม ไปเจอแม่เจ้าประคุณแขวนโตงเตงอยู่ ร้องเพลงเสียงไพเราะเพราะพริ้ง เสียงเพราะชนิดได้ยินแล้วตะลึง อ้าปากจะกินข้าวก็คงอ้าค้างลืมกลืน

ถาม : มักกะลีผลนี่ออกผลมาเป็นมนุษย์จริง ๆ ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นผลไม้ในรูปมนุษย์ มีอายุแค่ ๗ วันตามแบบของผลไม้ ถึงเวลาก็เหี่ยวเฉาเน่าไป

ถาม : มีจิตใจไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มี..มีแต่วิญญาณที่เป็นประสาท ลักษณะคล้ายกับต้นไม้กินแมลงแบบนั้นแหละ สามารถที่จะเคลื่อนไหวได้ ร้องเพลงได้ แต่ไม่สามารถที่จะมีสภาพจิตรับรู้เรื่องความสุขความทุกข์ได้เหมือนกับมนุษย์ เพราะว่าเป็นแค่ประสาทร่างกาย

ถาม : ในป่าหิมพานต์นี่ยังมีพืชผักอะไรที่แปลกพิสดารแบบมักกะลีผลอีกไหมครับ ?
ตอบ : มีเยอะแยะไป ส่วนพวกพืชผัก พวกสัตว์ต่าง ๆ อาตมาไม่ได้ใส่ใจหรอก อาตมาใส่ใจพวกภูเขาทอง ภูเขาแก้ว เพียงแต่ว่าเขาไม่ให้ ถ้าให้อาตมาจะเอาใส่ย่ามมา..!

เถรี 27-04-2012 10:06

ถาม : มีพระรูปหนึ่งกล่าวไว้ว่า บรรณศาลาของพระเวสสันดรที่พระอินทร์ท่านเนรมิตไว้ ก่อนที่พระเวสสันดรท่านจะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ยังอยู่ในป่าหิมพานต์ ?
ตอบ : สิ่งนี้เกิดขึ้นเฉพาะบุญคน ต่อให้อยู่นอกพระพุทธศาสนาก็เป็น อย่างเช่นพอคนป่วยได้จับต้องกายพระคริสต์ก็หายป่วย พระองค์ท่านมีขนมปังแค่ ๒ ชิ้นสามารถแจกให้คนกินจนอิ่มทั่วกันเป็นร้อยเป็นพันคนได้

เพราะฉะนั้น..บุญญาบารมีที่สั่งสมมาถือว่าเป็นส่วนของกรรมวิบาก พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า พุทธวิสัยอย่างหนึ่ง ฌานวิสัยอย่างหนึ่ง กรรมวิบากอย่างหนึ่ง โลกจิณไตยอย่างหนึ่ง ไม่พึงคิด ผู้ใดคิดพึงมีส่วนของความเป็นบ้า เพราะว่าการส่งผลหรือความสามารถของท่านทั้งหลายเหล่านี้ พิลึกพิลั่นเกินกว่ามนุษย์มนาทั่วไปจะคิดถึง ในขณะที่เราจบชั้น ป.๑ แล้วเราไปสงสัยว่าด็อกเตอร์เรียนอะไรกันก็เจ๊งพอดี

ส่วนบรรณศาลาของพระเวสสันดรนั้นเป็นของทิพย์ พอเลิกใช้ก็จะอันตรธานไปเอง

เถรี 27-04-2012 10:12

ถาม : ถ้าถวายพระไตรปิฎกแล้วเขาเอาไปเก็บไว้ ไม่มีคนเปิดอ่านเลย บุญกุศลมีมากน้อยเพียงใดครับ ?
ตอบ : ทันทีที่ทำเกิดธัมมะบูชา มหาปัญโญ เจตนาของเราตั้งใจเป็นธรรมทาน เกิดกี่ชาติก็จะมีปัญญามาก ถ้าหากว่ามีคนไปใช้งานเพิ่มเติม อานิสงส์ก็ยิ่งมากขึ้นไปตามลำดับ ถ้าไม่มีคนใช้งาน อานิสงส์มาตรฐานเราก็ได้แน่นอนอยู่แล้ว

เพราะฉะนั้น..บุญมาตรฐานได้แล้ว ที่เหลือเป็นส่วนเกิน ได้มาก็ถือว่ากำไร ไม่ได้มาก็เท่าทุน ไม่ได้เสียอะไร

เถรี 27-04-2012 10:25

ถาม : พระพุทธรูปสำคัญ ๆ ของประเทศไทย อย่างเช่น พระพุทธชินราชก็ดี หลวงพ่อโสธรก็ดี มีมนุษย์หรือเทวดาที่จัดสร้างไว้ ไม่ทราบว่าท่านเหล่านี้ยังเสวยกุศลอยู่ในสวรรค์หรือไม่อย่างไรครับ ?
ตอบ : มีผู้สร้างหลายท่านไปพระนิพพานแล้ว หลายท่านก็เวียนตายเวียนเกิดมาหลายชาติหลายภพแล้ว หลายท่านอาตมาก็รู้จักด้วย การสร้างบุญในครั้งนั้นร่วมกันสร้างหลายคน

ท่านที่มุ่งตรงระยะทางก็สั้นกว่า ถึงเป้าหมายไปแล้วก็มี ท่านที่ไม่ได้มุ่งตรง มีการแวะพักบ้างระยะทางก็ยาวขึ้น เวลามากขึ้น ก็ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ก็มี มาตกระกำลำบากในโลกมนุษย์ก็มี เป็นเทวดานางฟ้าหรือพรหมอยู่ก็มี

เถรี 27-04-2012 15:49

ถาม : เฉพาะหลวงพ่อพระพุทธโสธรมีผู้ไปบูชาเยอะมาก แต่ว่าส่วนใหญ่ไปลักษณะของการบนบานศาลกล่าว น่าจะเป็นเทวดาที่รักษาหลวงพ่อโสธร เป็นผู้ประทานความสำเร็จให้แก่ผู้บนบาน ?
ตอบ : นอกจากเทวดาที่รักษาท่านมีจิตเมตตาให้การสงเคราะห์ไม่เลือกหน้าแล้ว บุญกุศลเดิมที่เราทำมาเป็นส่วนสำคัญที่สุดที่จะทำให้เรื่องที่เราอธิษฐานหรือบนบานศาลกล่าวนั้นสำเร็จหรือไม่สำเร็จ

อาตมาเคยเปรียบเทียบว่าเหมือนกับน้ำแก้วหนึ่ง ถ้าหากว่าเราขาดน้ำอยู่แค่นิดเดียว แล้วตั้งใจว่าขอน้ำของท่านก่อน แล้วเราจะตักคืนทีหลัง ถ้าอย่างนั้นท่านสงเคราะห์ให้ได้ แต่ถ้าเรามีน้ำอยู่นิดเดียว ติดก้นแก้วอยู่ ไปขอใช้ของท่าน ถ้าท่านมีไม่พอเหมือนกัน เราเติมลงไปไม่เต็มแก้ว สิ่งที่เราบนอย่างไรก็ไม่สำเร็จ

ดังนั้น..ท่านที่บนสำเร็จก็มี ไม่สำเร็จก็มี ขึ้นอยู่บุญเก่าที่เราสั่งสมไว้ด้วย ถ้าหากว่าอยู่ในจำนวนที่พอเหมาะพอสมแล้ว เรายังสัญญาว่าจะสร้างความดีเพิ่มเติม เช่น การถวายสังฆทานก็ดี จะสร้างพระแก้บนก็ดี ถวายผ้าไตรจีวรก็ดี หรือไม่ก็บวชลูกบวชหลาน เป็นต้น ผลบุญนี้เมื่อเติมเข้าไปก็พอเหมาะ พอสมพอควรกับผลรับที่จะพึงได้ สิ่งที่เราหวังไว้ก็จะสำเร็จ แต่ถ้าหากว่าสร้างไว้ไม่เพียงพอ เติมเท่าไรก็ยังไม่เต็ม ก็ไม่สามารถที่จะบนแล้วสำเร็จเช่นคนอื่นได้

เถรี 27-04-2012 16:08

ถาม : มีคนพูดถึงการตัดกรรมไว้มาก จะเป็นไปได้หรือครับว่า คนที่ทำกรรมไม่ว่าเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม จะไปตัดผลของกรรมได้ ?
ตอบ : การตัดกรรมในพุทธศาสนา มีอยู่ข้อหนึ่งเรียกว่าอโหสิกรรม อโหสิกรรมนั้นเกิดได้ด้วย ๒ สาเหตุ สาเหตุแรก...โจทก์และจำเลยอยู่ต่อหน้ากัน กล่าวสำนึกความผิด ขอโทษขออโหสิกรรมกัน ถ้าหากว่าอีกฝ่ายหนึ่งตกลง ก็แปลว่ากรรมนั้นสิ้นสุดลง สาเหตุที่สอง...บุคคลที่สร้างกรรมนั้น ชำระจิตใจของตนเองบริสุทธิ์จนกระทั่งเข้าสู่พระนิพพาน กรรมทั้งหลายก็ไม่สามารถที่จะตามได้ กลายเป็นอโหสิกรรมโดยอัตโนมัติ

ถ้าหากว่าเป็นการตัดกรรมในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้ากล่าวไว้แต่เพียงเท่านี้ นอกเหนือจากนั้นก็ถือว่าแล้วแต่ใครจะเชื่อ

ถาม : หมายความว่าถ้าบรรลุพระนิพพานแล้ว กรรมทั้งหมดก็เป็นอโหสิกรรมถูกไหมครับ ?
ตอบ : เป็นอโหสิกรรมไป เขาก็ไม่ได้อยากอโหสิกรรมให้หรอก แต่ว่าลูกหนี้หนีไปต่างดาวแล้ว เจ้าหนี้ก็ไม่มีความสามารถตามไปทวงด้วย ก็จบกันแค่นั้น

ถาม : ท่านไม่มีอายตนะที่จะรับรู้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสแล้ว กรรมจึงไม่สามารถส่งผลได้หรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่..สิ่งที่ท่านทำประกอบไปด้วยสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ เหนือบุญเหนือบาปไปแล้ว บุญบาปจึงไม่สามารถที่จะตามท่านได้

เถรี 28-04-2012 08:11

ถาม : ในเรื่องของมาร พญามารที่มีฤทธิ์มากเพราะท่านเป็นพระโพธิสัตว์ใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่พระโพธิสัตว์ทุกรูปทุกนามก็ต้องเกิดเป็นมารมาด้วย ถ้าถามว่ามีฤทธิ์มากไหม ? ต่อให้หางแถวของมารเล่นงานเราก็หงายท้องเหมือนกัน ต้องบอกว่าเป็นมวยคนละชั้นกัน ท่านเองมีการซักซ้อมอยู่ตลอดเวลา ส่วนเราเองนี่นาน ๆ จะขยับที ไม่มีทางลุ้นท่านได้อยู่แล้ว

เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของฤทธิ์ของอภิญญาต่าง ๆ เทวดาท้ายแถวยังเหนือกว่ามนุษย์หัวแถวเยอะ เพียงแต่ว่าถ้ามนุษย์หัวแถวนั้นเป็นโลกุตรอภิญญาตั้งแต่ระดับพระโสดาบันขึ้นไป เทวดาท่านก็ยอมยกให้ เพราะว่าความดีสูงกว่าท่านมาก

เถรี 28-04-2012 08:18

ถาม : ขอถามเรื่องของนาคพิภพ จริง ๆ แล้วร่างของนาคนี้ไม่ใช่ร่างจริง เป็นร่างเนรมิตใช่ไหมครับ ?
ตอบ : นาคมี ๒ ประเภทด้วยกัน ประเภทหนึ่งเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชที่เป็นบริวารของท้าววิรูปักข์ ท่านทั้งหลายเหล่านี้เวลาปฏิบัติหน้าที่ก็แต่งตัวเป็นรูปงู เครื่องแบบของท่านเป็นอย่างนั้น ถ้าอย่างนี้ถือว่าเป็นร่างเนรมิต พอหมดหน้าที่ก็กลับเป็นร่างเทวดานางฟ้าสวยงามเหมือนเดิม

ส่วนนาคอีกประเภทหนึ่งเป็นเดรัจฉานกึ่งทิพย์ กายเป็นงูนั้นเป็นเพศภาวะดั่งเดิมของท่าน แต่ว่าท่านสามารถเนรมิตลักษณะเหมือนเทวดานางฟ้าที่สวยงามได้ แต่ถ้าหากว่าขาดสติก็จะกลับคืนไปเป็นเพศของงูใหญ่ตามเดิม

ถาม : แล้วที่มีรอยไหม้ตามโบสถ์ ตามฝากระโปรงรถนั้น เป็นรอยนาคจริงไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่...ถ้านาคมาจริงบ้านหลังนี้ไม่พอหรอก เลื้อยทีก็ราบไปทั้งหลัง รอยเล็กแค่นั้นไม่ใช่รอยนาคหรอก แต่ว่าท่านสามารถหดตัวลงเป็นงูตัวเล็กได้นะ เพียงแต่ว่างูเลื้อยอย่างไรก็ต้องเป็นรอยงูอยู่ ถ้าท่านตั้งใจแสดงต้องไม่ใช่มีสารพัดขาแบบนั้น

เถรี 28-04-2012 08:31

ถาม : ผมเคยฟังเทศน์ของพระอาจารย์ท่านหนึ่งในทีวี ท่านพูดเกี่ยวกับเรื่องนาคไว้ว่า นาคสามารถจะเนรมิตร่างให้เป็นเรือก็ได้ เป็นผู้หญิงสวยก็ได้ เป็นคนก็ได้ แล้วก็สามารถจะเอาคนที่อยู่ริมน้ำให้ตกน้ำไปก็ได้ จริง ๆ แล้วเป็นอย่างนั้นไหมครับ ?
ตอบ : เป็นตามที่ท่านว่า แต่ส่วนหนึ่งที่เรานึกไม่ถึงก็คือ นาคตัวเดียวสามารถเนรมิตคนเป็นร้อย ๆ คน พร้อม ๆ กันได้ ไม่ใช่เนรมิตเป็นคน ๆ เดียวนะ เป็นร้อย ๆ คนเลย

ถาม : ถ้าอย่างนี้นาคก็มีฤทธิ์มาก แต่ก็ยังเป็นภพภูมิที่ต่ำกว่ามนุษย์ ก็น่าจะมีสมาธิ มีฤทธิ์ได้ แต่ทำไมไม่สามารถที่จะบรรลุธรรมได้ ?
ตอบ : ในภูมิของความเป็นเดรัจฉาน ปัญญาที่เข้าถึงธรรมอย่างแท้จริงยังไม่มี ความมืดบอดในภพภูมิที่ต่ำกว่าทำให้เข้าถึงธรรมไม่ได้ แต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้รู้ว่าธรรมะดีอย่างไร จึงพยายามสร้างสมบุญกุศลเพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา

ที่น่าเสียดายมากกว่าก็คือภูมิมนุษย์ของเรานี่แหละ เราอยู่ในภพภูมิที่มีสิทธิ์บรรลุมรรคผลได้ แต่แทนที่จะสั่งสมความดีเพื่อที่จะบรรลุมรรคผลให้เร็วขึ้น กลับกลายเป็นว่าน้อยคนที่จะทำอย่างนั้น เราลองมานึกว่าปัจจุบันนี้ประชากรโลกจำนวนหกพันล้านคนแล้ว มีคนที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมจริง ๆ ถึงหกล้านหรือเปล่า ? แล้วหกล้านคนที่ว่านี้ ตั้งใจปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นจริง ๆ มีถึงล้านคนไหม ?

ฉะนั้น..เราเสียท่าสัตว์เดรัจฉานอย่างพญานาค เขารู้ว่าอะไรดี เขาก็พยายามสั่งสมบุญความดี ดิ้นรนเพื่อให้พ้นจากภพภูมิที่ต่ำอย่างนั้น เราอยู่ในภพภูมิที่สูงกว่า กลับละทิ้งโอกาสของตนไป เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง

เถรี 28-04-2012 08:57

ถาม : ผมพบกับบุคคลหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกับเข้าทรงได้ แต่อยู่นอกพระพุทธศาสนา เขาสามารถที่จะบอกเหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำพอสมควร ถ้าเหตุการณ์ในระยะใกล้ ๆ นี้จะแม่นยำมาก ไม่ได้รู้เพราะตัวเขาเอง เขาบอกว่ามีพญานาคมาบอกเขาอีกที เขาสามารถติดต่อได้เพราะเหตุใดครับ ?
ตอบ : มีกรรมเนื่องกันมา ถ้าไม่มีกรรมเนื่องกันมา ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็ไม่สามารถจะทำได้ ในเรื่องของร่างทรง ถ้าหากว่าเป็นการทรงจริง ๆ เราดูถูกไม่ได้เลย เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นมีกรรมเนื่องมา ขณะเดียวกันบางท่านก็ต้องการสร้างบุญบารมีเพิ่มเติม จึงมาให้การสงเคราะห์แก่คนหมู่มาก

การทรงจริงมีข้อสังเกตว่า ๑.จำกัดด้วยระยะเวลา บางร่างทรงมาเฉพาะวันพระ บางร่างทรงมาเฉพาะวันพฤหัสบดี บางร่างทรงมาเดือนละ ๑ ครั้งเฉพาะวันพระใหญ่ ร่างทรงบางร่างมาปีละครั้งเดียว ๒.ท่านทั้งหลายเหล่านี้ไม่เรียกร้องผลประโยชน์จากผู้อื่น ต้องการความเคารพมากกว่า ดังนั้นสิ่งที่ต้องการมักจะเป็นดอกไม้ธูปเทียน หรือถ้าเป็นเงินบูชาครูก็ ๓ บาท ๖ บาท ๙ บาท เต็มที่ที่เคยเจอมาคือ ๑๐๘ บาท ๓. สิ่งที่ท่านบอกมักจะมีผลตามนั้น

ถ้าหากว่าเราไม่สามารถจะรู้ได้ว่าร่างทรงนั้นเป็นจริงหรือปลอม ให้ดูได้จากข้อสังเกตทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าใครก็ตามที่ไปแล้วทรงได้ทุกเวลา ให้หมายเหตุไว้ในใจก่อนว่าน่าจะปลอม สมัยอาตมายังอยู่ที่วัดท่าซุง มีอยู่วันหนึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านปรารภว่า “เฮ้ย...เล็ก ข้ายังไม่ทันจะตายเลย สำนักทรงหลวงพ่อฤๅษีลิงดำมี ๖๐ กว่าสำนักแล้ว” นั่นท่านบอกให้รู้เลยว่าปลอมแน่ ๆ

เถรี 28-04-2012 09:24

ถาม : นรกเป็นที่ที่ลงโทษสัตว์ สัตว์ทุกตัวตนก็รักสุขแล้วเกลียดทุกข์ นรกก็เป็นที่ที่มอบความทุกข์ให้กับสัตว์ทั้งหลาย เมื่อสัตว์ได้รับความทุกข์นั้นแล้ว สัตว์จะเข็ดหลาบแล้วจดจำไหมครับ ? ถ้านรกไม่ได้มีไว้ให้สัตว์จดจำ แล้วนรกจะมีประโยชน์อะไร ?
ตอบ : นรกไม่ได้เกิดมาเพื่อประโยชน์ นรกเกิดมาเพราะคุณสร้างขึ้นมาเอง ทุกสิ่งที่เราทำ ไม่ว่าจะดีหรือชั่วก็ตาม เท่ากับว่าเราได้สร้างนรก สวรรค์ พรหม พระนิพพานขึ้นมา ในเมื่อเราทำ ถึงวาระเราก็ต้องรับผลอันนั้น เขาถึงใช้คำว่า "กฎของกรรม" แต่ว่าขณะเดียวกันสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เมื่อผ่านการเกิดในภพภูมิใหม่ ถ้าความจำส่วนนี้ถ้าไม่ได้รับการฝึกหัดก็จะลบเลือนไป

เหตุที่เป็นดังนั้นก็เพราะว่า ถ้าเราทำความดีเพื่อต้องการไปสวรรค์ก็ไม่ใช่ความดีที่แท้จริง ขณะเดียวถ้าเราไม่ทำความชั่วเพราะกลัวนรก ก็ไม่ใช่การทำความดีหนีชั่วที่แท้จริงเหมือนกัน ฉะนั้น..สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะต้องเกิดจากน้ำใสใจจริงของเรา ว่าเราต้องการละชั่วทำดีเพื่อมรรคผลหรือว่าเพื่อความดีนั้นจริง ๆ

เหมือนอย่างกับเขาไม่ได้ต้องการที่จะสร้างคุกขึ้นมา แต่เพราะคนไปปล้น ไปฆ่า ไปก่ออาชญากรรมต่าง ๆ จึงจำเป็นที่ต้องมีคุกขึ้นมาเพื่อเอาคนทั้งหลายเหล่านี้ไปรวมกันไว้ ไม่ให้ไปสร้างความลำบากเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น แต่ขณะเดียวกันเราก็จะเห็นว่า นักโทษจำนวนมากด้วยกันเข้าคุกไปแล้วก็ใช่ว่าจะเข็ดหลาบ หากแต่กลายเป็นไปฝึกวิชาจนกระทั่งทำชั่วได้ถนัดขึ้น เป็นการพัฒนาขึ้นในทางชั่ว ไม่ใช่พัฒนาขึ้นในทางดี

ฉะนั้น..สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีขึ้นไม่ได้หวังประโยชน์ต่อการที่ลงโทษแล้วให้หลาบจำ แต่ว่ามีขึ้นเพราะการกระทำของเขาเอง ตัวเขาทำตัวเขาเอง เขาจึงได้รับกรรมนั้น ๆ พอศึกษาไปแล้วจะรู้ว่าคนเราชั่วกว่าที่คิด แต่ขณะเดียวกันพอทำความดีก็ดีกว่าที่คิดอีกเหมือนกัน

เถรี 28-04-2012 09:33

ถาม : เป็นไปได้ไหมครับว่าคน ๆ หนึ่งยังไม่สิ้นบุญ แต่ว่าต้องมาตายก่อนกำหนด ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเขายังไปเกิดไม่ได้ เพราะว่ากุศลเก่ายังค้างอยู่ แล้วจะเป็นอย่างไรต่อครับ ?
ตอบ : บุคคลไม่ได้สร้างบุญอย่างเดียว แต่ว่ามีการสร้างบาปไปด้วย เมื่อถึงวาระบาปหนักในด้านปาณาติบาตมาถึง ต่อให้มีบุญเหลือมากเพียงใดก็ตาม บาปตัวนี้ก็จะมาตัดรอนกำลังบุญนั้นลง ให้ไปรับความชั่วนั้นก่อน เขาเรียกว่า อุปฆาตกรรม

เมื่อถึงเวลายังไม่หมดบุญแต่ต้องตายไป ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องไปรับบาปนั้นก่อน หรือว่าไปรับบุญนั้นก่อน เพราะว่าโดยกฎกติกาแล้วต้องรออายุขัยความเป็นมนุษย์หมดลง ถึงจะไปรับบุญรับบาปนั้นได้ ท่านทั้งหลายเหล่านี้จึงมีศัพท์เรียกเฉพาะว่า สัมภเวสี คือบุคคลที่เร่ร่อน ยังไม่มีที่ไปอย่างแน่นอน ส่วนใหญ่ท่านทั้งหลายเหล่านี้อยู่ในอาการที่เขาเรียกว่า "ตายโหง"

คำว่า "ตายโหง" ส่วนใหญ่เราก็คิดว่าไม่ดี แต่ว่าในทางปฏิบัติแล้ว การตายโหงกลับได้เปรียบ เพราะว่าถ้าหากญาติสนิทมิตรสหายรู้ ทำบุญส่งไปให้ ทำไปเท่าไรเขาก็ได้เท่านั้น มีสิทธิ์โมทนาเต็ม ๆ เลย บ้านเราจะมีการกำหนดเป็นประเพณี พอถึงเวลาก็สวดศพ ๓ วัน ๕ วัน เป็นการทำบุญอุทิศให้กับผู้ตาย แล้วหลังจากนั้นก็มีการทำบุญ ๗ วัน ทำบุญ ๕๐ วัน ทำบุญ ๑๐๐ วัน ทำบุญครบรอบปี ถ้าท่านทั้งหลายเหล่านี้ยังไปรับความดีความชั่วไม่ได้ เมื่อได้รับผลบุญที่อุทิศไป เขามีความสุขความสบายเหมือนกับเทวดาเหมือนกับนางฟ้า เขาก็ไม่ต้องไปทนทุกข์ยากลำบากอยู่ในเขตนั้น รอเวลาหมดอายุขัยความเป็นมนุษย์ก็รับความดีไปเลย

แต่ถ้าหากว่าญาติพี่น้องไม่รู้จักทำบุญให้ เขาก็ต้องร่อนเร่ อด ๆ อยาก ๆ บางทีก็พยายามที่จะไปปรากฏกายเพื่อที่จะเรียกร้องให้ญาติของตนทำบุญให้ ก็โดนกล่าวหาว่ามาหลอกหลอนกันอีก ดังนั้น..คนที่ตายเพราะหมดบุญมีน้อย คนที่ตายเพราะโดนอุปฆาตกรรมมาตัดรอนมีมาก เพราะว่าเราสร้างบุญสร้างบาปสับสนปนเปกันไป กรรมที่เราได้ทำเอาไว้โดยเฉพาะฆ่าคนหรือสัตว์ใหญ่ไว้ มักจะเป็นอุปฆาตกรรมสำคัญที่มาตัดชีวิตของเราก่อนที่จะหมดบุญนั้นลง

เถรี 28-04-2012 09:40

ถาม : สัมภเวสีได้รับบุญจากการบวชเนกขัมมะกับสังฆทาน สามารถไปพระนิพพานทันทีได้เลยหรือไม่ ?
ตอบ : เป็นไปไม่ได้ คนถวายสังฆทานให้ยังนั่งอยู่ตรงนี้เลย แล้วจะให้คนรับไปพระนิพพาน..! เราทำได้แค่ไหนคนรับก็ได้แค่นั้น

เถรี 28-04-2012 09:47

ถาม : ปัจจุบันนี้มีผู้มีจิตศรัทธาได้สร้างสมเด็จองค์ปฐมไว้ในหลาย ๆ วัด เรียนถามว่าอานิสงส์การสร้างสมเด็จองค์ปฐม จะเทียบเท่ากับในสมัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีได้สร้างไว้สมัยท่านยังมีชีวิตอยู่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าสร้างด้วยทองคำแบบท่านก็เทียบกับท่านได้ แต่ส่วนใหญ่ที่สร้างเห็นเป็นปูนเสียมาก รูปเคารพโดยเฉพาะรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยิ่งสร้างด้วยวัตถุมีค่าสูงเท่าไร อานิสงส์ก็มากขึ้นเท่านั้น เพราะสิ่งนั้นหามาได้ยาก เรายังพากเพียรพยายามที่จะเสาะหามาเพื่อสร้างขึ้น

สมัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อสร้างสมเด็จองค์ปฐม เฉพาะทองคำที่บริจาคมาโดยบุคคลทั่วไป ๗๘ กิโลกรัม นี่นับเฉพาะทองนะ บรรดาทองที่ติดเพชรติดพลอยมาด้วย ท่านคัดออกเก็บเอาไว้บรรจุแทน เพราะว่าเพชรพลอยถ้าลงเตาหลอมจะระเบิดหมด แต่ว่าท่านที่เรามองไม่เห็นตัวเล่นทองเป็นแท่ง ๆ เลย พวกนี้รวยกว่าเรา มาแต่ละก้อนอย่างกับอิฐมอญ ถ้าเราสร้างด้วยวัสดุมีค่าขนาดหลวงพ่อก็อานิสงส์เท่ากัน

เถรี 28-04-2012 09:54

ถาม : ผมยังติดใจเรื่องที่ว่าอาชีพดารานักร้องเป็นบาปเป็นกรรม แล้วอาชีพอะไรที่ดี เป็นอาชีพแนะนำในทางพระพุทธศาสนา นอกจากมาบวชแล้วครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่สรุปปิดท้ายเสียก่อนโดนแน่ เพราะอาตมาจะแนะนำให้ไปบวช..! อาชีพอะไรก็ได้ที่ไม่ผิดกฎหมายบ้านเมืองและศีลธรรม พระพุทธเจ้าท่านเรียก สัมมาอาชีวะ สามารถที่จะทำสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เพื่อเป็นการหนุนเสริมให้ตัวเองมีความคล่องตัวในการปฏิบัติธรรมมากขึ้น เพราะว่าเมื่อเราทำมาค้าขายจนกระทั่งมีฐานะดี ก็สามารถทำบุญได้เต็มที่ การสนับสนุนพระศาสนาของเราก็มาก การสร้างบุญสร้างบารมีของเราก็มากไปด้วย

แต่ว่าให้เว้นจากมิจฉาวณิชชา ก็คืออาชีพที่ขัดต่อหลักของพุทธศาสนา ก็คือการขายอาวุธ ขายยาพิษ ขายสุรา ขายมนุษย์ และขายสัตว์ที่มีชีวิตเพื่อให้เขาฆ่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า ถ้าเป็นพุทธมามกะไม่ควรทำ ต่อให้เราขายอาวุธแต่ไม่ได้บังคับให้เขาไปฆ่า คนเขาเอาอาวุธนั้นไปฆ่าฟันกันเอง คนที่ไม่เข้าใจก็จะกล่าวโทษว่าเราคนขายเป็นผู้สนับสนุน ถ้าหากว่าเราปฏิบัติความดีอยู่ในระดับของพระอริยเจ้า คนที่กล่าวโทษนั้นก็จะเกิดโทษหนักมาก

ท่านจึงกำชับไม่ให้พุทธมามกะ คือบุคคลที่ปฏิญาณตนนับถือพุทธศาสนานั้น กระทำอาชีพทั้งหลายเหล่านี้ ป้องกันคนเดือดร้อนเพราะปากและใจที่ไปคิดไปว่าเขา ส่วนอาชีพอื่นถ้าไม่ผิดกฎหมายบ้านเมืองก็ทำไปเถอะ ขนาดเปิดร้านขายยาไม่ได้ฆ่าสัตว์สักตัวยังโดนว่าจนได้ เพราะเขามาซื้อยาถ่ายพยาธิพอดี..!

เถรี 28-04-2012 15:49

ถาม : เมื่อปฏิบัติแล้วคนที่ไม่ได้สมาธิอาจจะไม่มีอะไร แต่คนที่เริ่มได้สมาธิจะมีอะไรต่าง ๆ มาปรากฏเรื่อย ๆ จิตใจก็จะหวั่นไหว พอถูกทำลายสมาธิไป การที่จะกลับมาปฏิบัติแล้วได้สมาธิอีก ก็เป็นเรื่องที่ยากกว่าจะได้เท่าเดิมหรือดีกว่าเดิม อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้สมาธิมีความมั่นคงและสามารถไปได้ถึงฌานสมาบัติครับ ?
ตอบ : กระทำอย่างต่อเนื่อง รักษาอารมณ์ปฏิบัติไว้ในทุกอิริยาบถ ส่วนใหญ่พวกเราทำแล้วทิ้ง ในเมื่อทำแล้วทิ้งช่วงเวลาที่ใจสงบจะมีน้อย แต่เวลาฟุ้งซ่านมีมากกว่า ทำให้อกุศลกรรมเข้าได้มากกว่า กำลังใจจึงไม่ทรงตัว โดยเฉพาะเวลานั่งสมาธิ พอลุกแล้วเราทิ้งหมดเลย ไม่มีการประคับประคองรักษาอารมณ์นั้นไว้

การเจริญสมาธิภาวนาเหมือนกับว่ายทวนน้ำ เราต้องว่ายอยู่ตลอดเวลา ถ้าปล่อยเมื่อไรก็จะไหลตามน้ำไป ดังนั้น..การปฏิบัติให้ต่อเนื่อง สม่ำเสมอ จริงจัง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ถ้าหากว่าขาดความสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง จริงจังแล้ว โอกาสที่สมาธิทรงตัวจะมีน้อยมาก แต่ว่าบุคคลที่เคยทำได้แล้ว ถ้าวางกำลังถูกก็จะทำได้ไม่ยาก แต่ถ้าหากว่าวางกำลังใจผิด ไปทำเพราะอยากได้เหมือนเดิม จะกลายเป็นความฟุ้งซ่าน สมาธิก็จะยิ่งทรงตัวยากขึ้น

เถรี 28-04-2012 15:52

ถาม : การทรงกำลังใจให้เต็มในกรรมฐาน โดยการไล่ไปเรื่อย ๆ ส่วนตัวผมเองจะเริ่มจากพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ แต่พอทำไปถึงจุดหนึ่ง จะมีคำถามแย้งมาว่า ที่เราเคยรู้ว่ากำลังใจเต็มแล้วในกรรมฐานนั้น ๆ เราหลอกตัวเองหรือเปล่า ?
ตอบ : หลอกตัวเองแน่นอน เพราะว่ากำลังใจเต็มนั้นมี ๒ ประเภทด้วยกัน เต็มที่ของโลกียฌาน อย่างน้อยกำลังใจในกรรมฐานกองนั้นต้องทรงฌาน ๔ ได้ ถ้าหากว่าเต็มที่ในด้านโลกุตรธรรม กรรมฐานกองนั้นต้องส่งผลให้เราเข้าพระนิพพานได้

ถาม : แล้วการทรงสมถะดังกล่าวต้องระดับไหนครับ คือนึกก็เป็นฌาน ๔ ทันทีเลยหรือครับ ?
ตอบ : นึกเมื่อไรต้องเข้าฌาน ๔ ได้เมื่อนั้น ถ้ายังไม่คล่องตัวถึงระดับนั้นก็ยังเชื่อไม่ได้

เถรี 29-04-2012 07:36

ถาม : เทวดายังต้องไปทำบุญ เทวดายังต้องไปกราบพระบรมสารีริกธาตุ หรือว่ายังทำวัตรอยู่ได้ไหมครับ ? หรือว่าเป็นเทวดาแล้วเสวยสุขอย่างเดียว ?
ตอบ : เทวดาที่เป็นสัมมาทิฐิ มีความเห็นว่าตนเองได้ดีมาเพราะบุญกุศล ก็จะเสริมสร้างบุญกุศลนั้นไปเรื่อย ๆ ส่วนเทวดาที่ท่านไม่รู้จริง ๆ จะเรียกว่ามิจฉาทิฐิก็ไม่เต็มปาก เมื่อขึ้นไปพบกับทิพยสมบัติก็เสวยสุขโดยที่ไม่ได้สนใจว่าสิ่งนี้มาอย่างไร และจะหมดสิ้นไปอย่างไร

ฉะนั้น..แบ่งออกได้ทั้ง ๒ ฝ่าย ท่านที่รู้ว่าตนเองได้ดีเพราะอะไร ก็พยายามเสริมสร้างความดีไป ส่วนท่านที่ไม่รู้สาเหตุ หลับหูหลับตาเสวยสุขอย่างเดียว รอบุญหมดเมื่อไรเหลือแต่บาปล้วน ๆ ก็เฮงไป

เถรี 29-04-2012 07:39

ถาม : ถ้ามีเงินตกอยู่เราเก็บไปทำบุญได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเงินตกอยู่ เก็บขึ้นมาไม่ถือว่าผิดศีล ถือเป็นลาภลอยที่เกิดขึ้น แต่ว่าบางทีเก็บเงินไว้เป็นของตัวเอง จะทำให้ขัดลาภใหญ่ที่จะมา สมมติว่าไปเจอเงินตกอยู่หนึ่งร้อยบาท เราเก็บใส่กระเป๋าเอาไว้ แต่ว่าจริง ๆ อีกไม่กี่วันเราจะถูกรางวัลที่ ๑ ก็เลยกลายเป็นว่าตัวนี้มาขัดลาภสิ่งที่ควรจะได้ เขาถือว่าได้แล้วก็เลยให้แค่นั้น ลาภที่มากไปกว่านั้นก็เลยไม่มา

เถรี 29-04-2012 07:47

ถาม : บางทีเรานั่งแท็กซี่อยู่ เรานั่งกอดอกแล้วรู้สึกว่ามือใหญ่ เป็นปีติหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เริ่มเข้าสู่ความเป็นปีติ

ถาม : แล้วเราจะเก็บอารมณ์นี้ไปพิจารณาหรือว่าแค่ดูเฉย ๆ ?
ตอบ : กำหนดรู้ไว้เฉย ๆ ถ้ายังมีลมหายใจเข้าออกอยู่ ให้ดูลมหายใจเข้าออก มีคำภาวนาอยู่ก็ให้กำหนดคำภาวนาไป ไม่ต้องไปให้ความสนใจ ถ้าอยู่ ๆ รู้สึกว่าเกิดระเบิดตูม แท็กซี่กระจายไปทั้งคันเลย ก็ปล่อยให้เป็นไปอย่างนั้น

ถาม : ถ้าเป็นตอนขับรถละคะ ?
ตอบ : ถ้าเป็นตอนขับรถมักจะใช่ แต่ว่าให้รีบคลายกำลังใจโดยเร็ว เพราะว่าถ้ามัวแต่เพลินอยู่กับสมาธิเดี๋ยวจะบังคับรถไม่ได้ มีโยมอยู่คนหนึ่งอยู่วังปลิง จ.สงขลา เขาคิดว่าตัวเองป่วย เพราะขึ้นรถจักรยานยนต์ทีไรก็แข็งไปทั้งตัว ต้องเขย่าให้หลุดแล้วก็ขับรถไป พอไปอีกหน่อยก็ต้องเขย่าให้หลุดอีก แกถามว่าแกป่วยเป็นอะไร ?

อาตมาบอกว่าไม่ได้ป่วยเป็นอะไรหรอก สมาธิทรงตัวอยู่ระดับฌาน ๓ พอดี คน ๆ นี้ต่อไปจะคล่องตัวมาก เพราะซ้อมการเข้าออกฌานอยู่ทุกวัน ๆ ละหลาย ๆ รอบ เขาไม่รู้ว่าสมาธิตัวเองทรงตัว การที่สมาธิทรงตัวก็เพราะว่าเวลาขับรถต้องตั้งใจ ถ้าไม่ตั้งใจโดยเฉพาะจักรยานยนต์จะทำให้ล้ม เมื่อตั้งใจสมาธิทรงตัวลงร่องพอดี กลายเป็นว่าตัวเองเข้าฌานโดยอัตโนมัติ แล้วก็ต้องไปเขย่าให้หลุด เพื่อที่จะได้ขับรถต่อ ป่านนี้ก็คงเขย่าอย่างเพลิดเพลินอยู่นั่นแหละ

เถรี 29-04-2012 08:36

ถาม : ทำไมในสังฆทานมีรองเท้าด้วยครับ ?
ตอบ : หลวงปู่มหาอำพันท่านให้เพิ่มเข้าไป มาจากเรื่องของพระโพธิสัตว์ที่ไปปราบยักษ์ ยักษ์ได้พรจากท้าวเวสสุวรรณให้อยู่ที่โคนไม้ไทร ถ้าคนหรือสัตว์เข้าไปในบริเวณนั้นก็ให้จับกินได้ คนจึงตายกันเยอะ หาคนไปปราบยักษ์ไม่ได้สักที พระโพธิสัตว์อยากได้รางวัลไปเลี้ยงแม่ที่แก่แล้ว ก็เลยอาสาไปปราบ ขอร่ม ขอรองเท้า ขอพระขรรค์อาญาสิทธิ์จากพระราชาแล้วก็ไป

พอยักษ์เห็นพระโพธิสัตว์ก็จะมาจับ พระโพธิสัตว์ถามว่ามีสิทธิ์อะไรมาจับท่าน ยักษ์บอกว่าท่านยืนอยู่ในร่มเงาของต้นไทร เราสามารถจับได้ พระโพธิสัตว์ท่านบอกว่าไม่จริง ท่านยืนอยู่บนรองเท้า ส่วนร่มเงาก็เป็นร่มของท่านเองไม่เกี่ยวกับต้นไม้ สุดท้ายก็เจรจากันได้

ต่อมายักษ์ตนนั้นพระราชาเชิญไปเป็นองครักษ์คอยเฝ้าประตูเมือง ถ้าหากว่าข้าศึกมาให้จับกินให้หมด แล้วชาวบ้านจะหาอาหารให้กินเอง ยักษ์ก็เลยตกลง เป็นอันว่าได้ประโยชน์ด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย ไม่มีข้าศึกที่ไหนกล้ามาตีเมืองนี้ ขณะเดียวกันยักษ์ก็ไม่ต้องไปจับใครกินอีก ชาวบ้านก็สบายแค่หาอาหารให้ยักษ์ หลวงปู่มหาอำพันท่านอ่านชาดกแล้วชอบใจจึงให้เพิ่มรองเท้ากับร่มเข้าไปในสังฆทานด้วย

เถรี 29-04-2012 08:58

ถาม : เมื่อจิตเริ่มเป็นสมาธิบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ จากขณิกสมาธิไปสู่อุปจารสมาธิ แล้วก็สู่อัปปนาสมาธิ อันนี้ท่านพอจะบรรยายเป็นคำพูดได้ไหมครับ ไม่ใช่ในส่วนของการปฏิบัติแต่เป็นในส่วนของความรู้สึกที่เกิดขึ้น แล้วในแต่ละขั้นจิตไปจับอยู่ตรงไหน อย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : อันดับแรกความรู้สึกทั้งหมดต้องอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หลุดจากลมหายใจเข้าออกเมื่อไรจะไม่สามารถสร้างสมาธิได้ เมื่อลมหายใจเข้าออกเริ่มทรงตัวอยู่ในลักษณะละเอียดขึ้น นั่นจะเป็นลักษณะของขณิกสมาธิ

ปกติสภาพจิตของเราอยู่ในลักษณะน้ำที่กระเพื่อมอยู่ตลอดเวลา น้ำที่กระเพื่อมอยู่ไม่สามารถที่จะสะท้อนเงาสิ่งต่าง ๆ ลงไปได้ แต่พอน้ำเริ่มนิ่ง เงาจากสิ่งต่าง ๆ จะสะท้อนลงไปให้เห็น บางทีก็ชัดเจนเหมือนกับมองของจริงเลยก็มี การรู้เห็นจะเริ่มปรากฏ นี่เป็นขั้นตอนของอุปจารสมาธิ

ก่อนที่จะถึงฌาน สมาธิที่เรียกว่าอุปจารสมาธิ ก็คือใกล้จะทรงเป็นฌานนั้นจะมีอาการต่าง ๆ เกิดขึ้นกับร่างกายที่เรียกว่าปีติ ก็จะมี ขณิกาปีติ ก็คือบางคนก็ขนลุกเป็นพัก ๆ ถ้าขุททกาปีติก็น้ำตาไหล โอกกันติกาปีติ ร่างกายโยกไปโยกมา ดิ้นตึงตังโครมคราม ถ้าหากว่าเป็นอุเพ็งคาปีติก็ลอยขึ้นได้ ลอยไปไกล ๆ ก็มี ถ้าหากว่าเป็นผรณาปีติ บางทีก็ตัวพอง ตัวใหญ่ ตัวแตก ตัวระเบิด ความรู้สึกเป็นอย่างนั้นชัดเจนมาก จนบางคนไม่กล้าทำสมาธิอีก เพราะกลัวว่าจะตาย..!

เมื่อลมหายใจเข้าออกของเราทรงตัวมากขึ้น อาการภายนอกที่เกิดกับร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง (ซึ่งเป็นส่วนที่ชัดเจนที่สุด) แต่ไม่ก่อเกิดความรำคาญ ความรู้สึกทั้งหมดผูกอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก นี่เป็นอาการของ อัปปนาสมาธิขั้นแรกที่เรียกว่าปฐมฌาน

เถรี 29-04-2012 09:03

เมื่อก้าวเข้าไปถึงในส่วนอัปปนาสมาธิขั้นปฐมฌาน สิ่งที่มากระทบอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะไม่ได้รับความสนใจ เห็นสักว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน สมาธิจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้า พอไปถึงอัปปนาสมาธิขั้นที่ ๒ ก็คือทุติยฌาน ความรู้สึกผูกแน่นอยู่กับลมหายใจเข้า รู้สึกว่าลมละเอียดขึ้น บางทีคำภาวนาก็หายไป หรือท่านที่กำลังใจหยาบหน่อยก็ไม่รู้สึกถึงลมหายใจเลยก็มี แต่ว่าความรู้สึกยังคงจดจ่อแน่วนิ่งอยู่เฉพาะภายในเท่านั้น

พอไปถึงอัปปนาสมาธิขั้นที่ ๓ ที่เรียกว่าตติยฌาน ความรู้สึกทั้งหมดจะค่อย ๆ รวบเข้ามา บางทีจะรู้สึกเย็นจากปลายมือปลายเท้าเข้ามา บางทีจะรู้สึกเย็นจากปลายจมูก หรือริมฝีปาก หรือคาง แล้วขยายตัวออกไป ความเย็นที่ขยายตัวออกไปนั้นบางทีก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเราแข็งเป็นหิน หรือกลายเป็นก้อนน้ำแข็งไปแล้วก็มี บางทีก็รู้สึกว่าตึงแน่นเหมือนกับโดนมัดศีรษะจรดปลายเท้าเลยก็มี อาจจะเปรียบเทียบง่าย ๆ ว่าเหมือนโดนสาปเป็นหินไปเลยก็มี แต่ว่าความรู้สึกทั้งหมดก็ยังจดจ่อมั่นคง แน่วนิ่งอยู่ภายในเหมือนเดิม อันนี้เป็นลักษณะของอัปปนาสมาธิขั้นที่ ๓ หรือตติยฌาน

แล้วความรู้สึกทั้งหมดก็จะรวบมาอยู่จุดใดจุดหนึ่งภายในร่างกายของเรา อาจจะเป็นตรงหน้าก็ดี ในศีรษะก็ดี หรืออาจจะเป็นในอกในท้องก็ตาม จะสว่างไสว สว่างโพลงอยู่ตรงนั้น ความรู้สึกทั้งหมดจดจ่อแน่วนิ่งอยู่ภายใน ไม่ส่งออกมาภายนอกเลย อะไรเกิดขึ้นภายนอกไม่รับรู้โดยสิ้นเชิง อันนี้เป็นอัปปนาสมาธิขั้นสุดท้ายคือขั้นที่ ๔ คือจตุถฌาน

สรุปว่าไม่ว่าจะเป็นฌานขั้นไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ หรืออัปปนาสมาธิก็ตาม ใจจะจดจ่ออยู่ภายใน ไม่ได้ส่งออกนอก ส่งออกนอกเมื่อไร ความฟุ้งซ่านเกิดขึ้น สมาธิก็จะไม่ทรงตัว


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:38


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว