![]() |
ถาม : เซ้งตึกไว้ที่หนึ่ง มีเจ้าที่เป็นศาลตี่จู้เอี้ยของเจ้าของเดิม ถ้าจะถอนต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าเป็นตี่จู้เอี้ยเราก็บูชาต่อได้เลยจ้ะ ไม่เป็นไร ถาม : แต่ศาลเก่ามากแล้วค่ะ ตอบ : ถ้าเก่ามาก เราจุดธูปบอกท่านแล้วขอเปลี่ยนของใหม่ให้ท่านไป ของเก่าเราก็เอาไปลอยน้ำหรือไปไว้โคนไม้ใหญ่ ถาม : ต้องบวงสรวงไหมคะ ? ตอบ : ไม่ต้อง เพราะว่าตี่จู้เอี้ยพิธีท่านไม่มากหรอก ประเภทถวายน้ำชา ๔ เหล้า ๔ โหงวก้วย ซาแซเท่านั้นเอง ทำแบบจีนไปเลย ถาม : วันศุกร์ที่ ๒ เป็นวันฤกษ์พรหมประสิทธิ์ เตรียมงานไม่ทันค่ะ ตอบ : นิมนต์พระเข้าไปวันนั้น ส่วนวันอื่นก็ช่าง วันที่นิมนต์พระท่านเข้าไปถือว่าเป็นการขึ้นบ้านใหม่ วันไหนฤกษ์ดีเรานิมนต์พระเข้าวันนั้นแหละ เพราะอย่างไรเสียหิ้งพระตั้งทันอยู่แล้ว ส่วนงานอื่นเราก็ทำของเราไปก่อน สะดวกเมื่อไรค่อยจัดทำบุญบ้านอย่างเป็นทางการอีกที |
ถาม : ตี่จู้เอี้ยเป็นภูมิเทวดาไม่ใช่หรือครับ?
ตอบ : เขาก็บอกชัด ๆ ว่าภูมิเทวดา แต่ธรรมเนียมจีนเขาตั้งบนพื้น คำว่า "ตี่จู้" คือ เจ้าของที่ดิน เขาก็เลยให้วางแปะติดดิน ส่วนธรรมเนียมของเรานิยมตั้งเสมอดวงตา ก็เลยกลายเป็นศาลเพียงตา |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ณญาดา แปลว่าไม่มีญาติ ณ แปลว่า ไม่ ญาดาหรือญาตะ ก็คือญาติ ฉะนั้น..ณญาดาแปลว่าคนไร้ญาติ ณเดช แปลว่าไม่มีอำนาจ ณพล แปลว่าไม่มีกำลัง คนไหนชื่อขึ้นด้วย ณ หรือ นิ ให้รีบเปลี่ยน อย่างนิโรจน์ แปลว่าไม่รุ่งเรือง
มี นิ คำที่ถูกก็คือ นิรัช แปลว่า ไร้ธุลี ก็คือสะอาด ผ่องใส เพราะฉะนั้น..ตั้งชื่ออย่าไปตั้งส่งเดช ชื่อไพเราะ แต่พอแปลออกมาคนไร้ญาติ แสดงว่าชื่อเล่นไม่ได้ชื่อยุ้ย ถ้าชื่อยุ้ยต้องญาติเยอะ..! ภาษาบาลี วรรค ตะกับ วรรค ฏะ ใช้แทนกันได้ ต ถ ท ธ น แล้วก็ ฏ ฐ ธ ฒ ณ ฉะนั้น..บาลีจะมีคำหนึ่งคือ นัตถิ แปลว่า ไม่มี ฉิบหาย หมดสิ้นแล้ว พอมาแปลงข้ามวรรคอีกทีเป็น ณัฏฐิ แต่ถ้าเราเขียนเป็น ณัฐ ก็แปลว่านักปราชญ์" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครได้อ่านข่าวขอทานทำบุญเป็นล้านบ้างไหม ? เขาทำบุญ ๙๙๙,๙๙๙ บาท เป็นขอทานที่วัดไร่ขิง ทำบุญร่วมบูรณะฐานชุกชีโบสถ์หลวงพ่อวัดไร่ขิง ขาดไป ๑ บาทก็ครบหนึ่งล้าน ความจริงเขามีเงินเกินกว่านั้นแต่เขาให้แค่นั้น ทำเลข ๙ หกตัวเรียงเป็นตับ ท่านเจ้าคุณพระราชวิริยาลังการเจ้าอาวาสวัดไร่ขิงติดป้ายยกย่องให้เลย
คนแถวนั้นเขาเคารพและรักหลวงพ่อวัดไร่ขิงมาก ถึงขนาดอาตมาเรียนปริญญาตรีอยู่ ๒ ปีกว่า ไปฉันข้าวร้านไหน ๆ ก็ไม่เก็บเงิน เขาบอกว่าอยู่ได้เพราะหลวงพ่อวัดไร่ขิง เพราะฉะนั้น..ขอเขาเลี้ยงพระเถอะ จนสุดท้ายไปเป็นลูกค้าร้านประจำร้านหนึ่ง เพราะว่าตกลงกันไว้ว่ามาฉันอาหารเขาจะเก็บมื้อละ ๑๐ บาท ไม่อย่างนั้นอาตมาก็ไม่เข้าร้าน มีปัญญาฉันเท่าไรฉันไป เขาเก็บแค่ ๑๐ บาท แต่ร้านอื่นไม่เก็บอาตมาเลยไม่เข้า" ถาม : แล้วขอทานคนนั้นจะได้บุญกุศลไหมครับ ? ตอบ : เขาตั้งใจทำบุญเขาต้องได้แน่ เขาถือว่าได้เงินเพราะอาศัยบารมีหลวงพ่อวัดไร่ขิง เวลานั่งขอทาน คนเข้าคนออกวันหนึ่งเป็นหมื่น ได้คนละบาทก็เหลือเฟือแล้ว ฉะนั้น..จะไปดูถูกขอทานไม่ได้นะ เคยมีการ์ตูนของอาวัฒน์เขียนภาพว่า มีผู้จัดการธนาคารขับรถมา จอดรถแล้วลงไปพินอบพิเทากับขอทาน “ท่านครับ..ท่านจะเบิกเท่าไหร่ครับ ?" ขอทานมีเงินเยอะขนาดนั้น ผู้จัดการต้องไปหาด้วยตัวเองเลย "กรุณาฝากกับสาขาของผมต่อไปก่อนนะครับ อย่าเพิ่งเบิกเลย" |
อย่างชูชกมีเทคนิคในการขอทาน ยกยอปอปั้นจนคนต้องให้ เหมือนกับเรื่องที่ชายหนุ่มยอคนหัวล้านจนได้วัวไป ชายหัวล้านกำลังจูงวัวจะไปขาย ชายหนุ่มคนนี้ผ่านมาถึงก็บอกว่า “พ่อผมดกปรกไหล่ พ่อจะจูงวัวไปไหน ?” ชายหัวล้านก็ว่า “พ่อตั้งใจจะเอาวัวไปขาย แต่เห็นเจ้าน่ารักพ่อก็เลยยกให้” ชายหนุ่มได้วัวไปแบบง่าย ๆ
พอจูงวัวเดินไปเจอเพื่อน เพื่อนถามว่าได้วัวมาจากไหน ? ชายหนุ่มบอกว่า “ไอ้หัวล้านให้มา” เพื่อนปากหมาก็วิ่งไปบอกชายหัวล้าน ชายหัวล้านโมโหถือปฏักไล่ตามมาจะฟาดกบาล ชายหนุ่มหันมาเจอ รู้ทางก็ตะโกนทักแต่ไกลเลย “พ่อผมดกปรกไหล่ พ่อถือปฏัก วิ่งทะเลิ่กทะลั่กไปทำอะไร ?” ชายหัวล้านได้ยินหายโกรธเลย พูดว่า “ลูกเอ๋ยลูกรัก เห็นเจ้าลืมปฏัก พ่อเลยเอามาให้” เสร็จอีกจนได้ ถ้าขืนไปบ่อย ๆ มีหวังหมดตัวแน่นอน อย่างที่โบราณบอก “ปากเป็นเอกเลขเป็นโทโบราณว่า หนังสือตรีมีปัญญาไม่เสียหลาย” แบบเดียวกับซูฉิน ซูฉินเกิดในสมัยรัฐสงคราม (จ้านกว๋อ) ยุคนั้นรบกันแหลก ซูฉินจบมาจากหุบเขาปีศาจ ถือว่าเป็นสุดยอดของสถาบันวิชาการสมัยนั้น จบออกมาก็อาสาเป็นนักการทูต แต่ดันไปพูดผิดหู เพราะดันไปแนะนำเขาให้สงบศึก ทำสัญญาเป็นพันธมิตรกัน อีกฝ่ายเขาต้องการรบ จึงสั่งจับเฆี่ยนซูฉินจนปางตาย หอบหิ้วสังขารกลับบ้านไป ฝ่ายภรรยาก็ใส่ยาไปร้องห่มร้องไห้ไป บอกกับซูฉินว่า “พี่เลิกเถอะ..อาชีพนักการทูต ไม่รุ่งหรอก เดี๋ยวโดนตีตาย” ซูฉินแลบลิ้นให้ดูแล้วถามว่า “ลิ้นของพี่ยังปกติอยู่หรือเปล่า ?” เมียก็บอกว่าปกตินะสิ ไม่ได้โดนอะไร ซูฉินบอกว่า “ถ้าลิ้นยังอยู่ไม่ต้องกลัวหรอก พี่เอาดีจนได้แหละ” เขามั่นใจตัวเองขนาดนั้น แล้วในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ เพราะว่าเขาใช้กลวิธี “ร่วมประสานแนวดิ่ง” คือให้รัฐที่อยู่ทางด้านทางตรงประสานจับมือหมด เพื่อโดดเดี่ยวรัฐฉินของฉินซีฮ่องเต้ |
พระอาจารย์บอกว่า "คุณโอรสเบิกเงินมาถวาย เงินจากการให้บูชาพระปิดตามหาเศรษฐีชุดกรรมการ ๑๙๙ ชุด เป็นเงิน ๑,๖๕๕,๘๐๐ บาท และญาติโยมที่ร่วมบุญตามกำลังศรัทธา ๑๐๔,๒๐๐ บาท รวมทั้งสิ้น ๑,๗๖๐,๐๐๐ บาท เกือบพอแล้วเพราะว่าต้องการแค่ ๗,๒๐๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น ..(หัวเราะ).. ต้องการเจ็ดล้าน ได้มาล้านเจ็ดถือว่าได้ตามเป้าแล้ว
ท่านใดที่จองพระปิดตาชุดกรรมการหรือจองพระนาคปรกไว้รีบมารับนะจ๊ะ ขืนช้าเดี๋ยวโดนยึดเป็นของกลางหมด จ่ายเงินแล้วไม่มาเอาสักที เจ้าหน้าที่ก็มารอแล้วรออีก" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้กำลังวางแผนที่เป็นไปไม่ได้ ก็คือพออายุ ๖๐ ปีแล้วอาตมาจะเกษียณ พระที่วัดพอเวลาอาตมาพูดถึงตำแหน่งเจ้าอาวาสนี่ ยอมให้อาจารย์ไล่ออกจากวัดเลย ไม่ยอมเป็นเจ้าอาวาสกันเด็ดขาด..!"
ถาม : ต้องไปนมัสการหลวงปู่ปานให้ลงมา? ตอบ : ไม่ทันแล้ว ช่วงจังหวะนี้เป็นจังหวะที่ดีที่สุดแล้ว เพราะว่าอาตมาทันเห็นของโบราณและทันเห็นของทันสมัย ยืนอยู่ตรงกลางพอดี คนมาใหม่ก็เห็นแต่ของทันสมัย ไม่รู้อะไรที่เป็นโบราณเลย |
ถาม : งานพุทธาภิเษกที่วัดเนินสุทธาวาสบรรยากาศเป็นอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : อาตมาแอบดูครูบาอาจารย์ทุกท่าน ส่วนใหญ่ร้อยละ ๙๙ ใช้กำลังของตัวเองทั้งนั้น แต่ว่าดูถูกไม่ได้เลยนะ บางท่านกำลังใจพุ่งเป็นเข็มเลย บางท่านไปเป็นลำอย่างกับไฟฉายแรงสูง ถือว่ากำลังสูงมากเลย แต่ประเภทที่จะครอบคลุมทีเดียวหมดแบบกำลังของพระพุทธเจ้านั้นไม่มี ถาม : แล้วท่านละครับ ? ตอบ : อ๋อ..นั่งดูพระท่านอย่างเดียว พอท่านบอกว่าพอแล้วก็ลืมตาได้ ถาม : ท่านเก่งกันขนาดนี้แล้ว ทำไมท่านอื่น ๆ ไม่ใช้วิธีอาราธนาบารมีพระบ้าง ? ตอบ : ท่านไม่รู้วิธี ถาม : จริงหรือครับ ? ตอบ : จริง ๆ ตามสายครูบาอาจารย์ของท่านไม่ได้สอนมาอย่างนี้ ถึงได้บอกว่าพวกเรานี่โชคดีสุด ๆ เลย ครูบาอาจารย์ของพวกเรารู้จักพระพุทธเจ้า ก็เลยสอนลูก ๆ ให้รู้จัก แล้วก็ขอบารมีท่านสงเคราะห์ได้ เหมือนอย่างกับเด็กมีเส้น ส่วนท่านอื่นไม่มีเส้น ท่านไม่รู้จัก ก็ต้องปล่อยไปเรื่อย ท่านก็คงไปสอนลูกศิษย์หลานศิษย์ต่อ ๆ กันไปแบบเดิม ถาม : เหมือนอย่างกับลูกคนรวยแล้วไม่ยอมทำมาหากินเองเลยครับ ? ตอบ : แบบนั้นเลย..แต่ของเราต้องไม่ประมาทนะ เรารวยก็จริง แต่ถ้ารวยแล้วประมาทก็ไม่เกิน ๓ รุ่น..เจ๊งแน่นอน..! |
ถาม : แต่ความจริงการขอบารมีพระ ตั้งแต่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนมา ท่านก็ไม่ได้ปกปิดเป็นความลับอะไรเลยนี่ครับ ?
ตอบ : คนอาจจะรู้วิธีมากขึ้น แต่คนที่รู้วิธีแล้วขอได้ถูกต้องกลับมีน้อยลง ถาม : ยากหรือครับ ? ตอบ : เหมือนกับคุณไปขอในหลวงให้เสด็จฯ ถาม : อ๋อ..รู้ว่าขอได้ แต่จะขออย่างไร ? ตอบ : จะขออย่างไรให้ท่านเสด็จฯ แบบเดียวกับสมัยอาตมาอยู่วัดท่าซุง ไปขอหลวงพ่อออกธุดงค์ ขอทีไรได้ทุกที คนอื่นไปขอนี่หัวหดกลับมา ไม่ได้สักคน ขึ้นอยู่กับการใช้คำพูดนิดเดียว อาตมามอบความไว้วางใจว่า ไม่ว่าจะไปทำอะไรที่ไหน พระเดชพระคุณหลวงพ่อรู้ทุกเรื่องอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเข้าไปถึงส่งใบลาก็ “หลวงพ่อครับ..ผมขออนุญาตไปกาญจนบุรี ๑๐ วันครับ” ท่านก็ “เออ..ไปเถอะ” บางทีก็ “หลวงพ่อครับ..ผมขออนุญาตไปอุทัยธานี ๑๕ วันครับ” ท่านก็ “เออ..ไปเถอะ” ก็แค่นั้น คนอื่นเข้าถึงส่งใบลาแล้วบอกว่า “หลวงพ่อครับ..ขออนุญาตไปธุดงค์ ๑๕ วันครับ” หลวงพ่อท่านก็พูดเสียงเข้มว่า “แกแน่ใจแล้วนะ ?” เรียบร้อย..หงายท้องตึงกลับมา คนหนึ่งขอไปธุดงค์ คนหนึ่งขอไปเฉย ๆ แต่หอบอะไรต่อมิอะไรออกไปธุดงค์ จนกระทั่งเป็นที่อิจฉามารศรีของพระพี่พระน้อง ว่าทำไมอาตมาขอทีไรได้ทุกที อยู่ที่ใช้คำพูดนิดเดียว แล้วท่านก็รู้ กลับมาท่านก็ถามทุกทีแหละ “แกไปตรงนั้นตรงนี้มาใช่ไหม ?” ไม่ต้องไปเถียงเลย ถูกต้องทุกครั้ง ถาม : แล้วตอนนี้ถ้าพระที่วัดท่าขนุนไปธุดงค์ ท่านจะรู้ไหมครับ ? ตอบ : ไม่อยากรู้หรอก แต่เขาพยายามจะให้รู้ เตือนเขาอย่างหนึ่งว่า “ที่ต้องไปแล้วบอกครูบาอาจารย์เพราะว่าบางสถานที่ พวกคุณจะเอาตัวไม่รอด ครูบาอาจารย์ส่งใจไปล่วงหน้า อุทิศส่วนกุศลให้เขาแถวนั้นซะจนทั่วแล้ว ฝากท่านว่าถ้าลูกศิษย์ผมมาช่วยดูแลให้ด้วย คุณไปถึงก็นอนตีพุงสบายใจเฉิบ ลำพังคุณไปเองอาจจะโดนตื้บกลับมา..!" |
ถาม : โยมนำสร้อยพระไปวางแล้วคนอื่นเดินข้าม เกิดไม่มั่นใจขอหลวงพ่อเสกให้หน่อยเจ้าค่ะ
ตอบ : จำเอาไว้นะ..มีคนไปถามหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ “หลวงพ่อครับ แขวนพระหลวงพ่อแล้วลอดใต้ถุนบ้านได้ไหม ?" “หลวงพ่อครับ แขวนพระหลวงพ่อแล้วลอดราวผ้าได้ไหม ?” หลวงพ่อเดิมบอกว่า “งูเห่าเลื้อยลอดใต้ถุนบ้าน เลื้อยลอดราวผ้ามากัดเอ็ง เอ็งตายห่..ไหม ?” ตายสิครับ..หลวงพ่อเดิมบอกว่า “เออ..พระที่ข้าเสกก็เหมือนกันนั่นแหละ ลอดไปเถอะ ถ้าไม่ได้เจตนาจะลอดให้เสื่อมก็ไม่เป็นไร” (ท่านอธิษฐานให้) เอ้า...เอาไป แสดงว่ากำลังใจยังไม่พอ แค่นี้เราก็ฝ่อแล้ว พระที่เสกด้วยพุทธานุภาพ อยู่ที่ต่ำอย่างไรก็ไม่เสื่อม แต่อย่าไปตั้งใจทำ อย่างเช่นตั้งใจเดินข้าม ตั้งใจลอดใต้ถุนบ้าน ตั้งใจลอดราวผ้าเพื่อให้เสื่อม ถ้าอย่างนั้นจะเสื่อมจริง ๆ แต่เสื่อมแล้วคนทำลงนรก เพราะข้อหาปรามาสพระรัตนตรัยด้วย ถ้าไม่ได้เจตนาก็มุดไปเถอะ ตรงไหนก็ไปได้ ต้องบอกว่าใจเสื่อมจากคุณพระ ตั้งใจทำให้เสื่อมแปลว่าไม่เคารพแล้ว ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็เสื่อมจริง ๆ แต่ตัวเองลงอเวจีไปด้วย |
ถาม : งานพุทธาภิเษกวัดเขาวงเป็นอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : พี่ ๆ ทุกท่านมอบความไว้วางใจให้ นั่งรอเลยว่าอาตมาจะบอกว่าเต็มเมื่อไร ถาม : พอท่านลืมตาปุ๊บ หลวงพ่อมนัสก็ลืมตาปั๊บ ตอบ : พวกท่านที่รู้นะรู้เท่ากัน แต่ท่านที่ไม่รู้ก็รอจังหวะว่าอาตมาจะให้สัญญาณเมื่อไร ถาม : ทำไมหลวงตาท่านไม่ใช้ฤกษ์เสาร์ ๕ ครับ ? ตอบ : ฤกษ์เสาร์ ๕ รวมลูกศิษย์สายหลวงพ่อไม่ได้นะสิ ต่างคนต่างจัดงานไหว้ครู ถาม : แล้วอย่างนี้วัตถุมงคลพุทธานุภาพเท่ากันไหมครับ ? ตอบ : อยู่ที่พระท่านจะมาสงเคราะห์ไหม ? ถ้าพระท่านมาสงเคราะห์ก็เหมือนกันนั่นแหละ ถาม : ลูกแก้วที่เข้าพิธีที่วัดเขาวงนั้นเป็นอย่างไรบ้างครับ ? ตอบ : รีบไปหาไว้ อาตมานี่นาน ๆ จะโดนประเภทยาวไม่เลิกสักที เพราะว่าเสกแก้วเป็นพระจะเสกยาก ถ้าหากว่าปกติไม่ได้มีแก้วจักรพรรดิเป็นองค์ประธานอยู่ด้วยไม่หนี ๒ ชั่วโมง นั่นยังดีประมาณ ๔๐ - ๔๕ นาที ถาม : อย่างนี้ใครพกลูกแก้วไปในบริเวณงานก็ได้ด้วย ? ตอบ : อยู่ที่คุณตั้งใจหรือเปล่า ? แต่วันนั้นอาตมาตั้งใจขอให้หมดเลย แม้กระทั่งที่อยู่ที่บ้านก็ให้ ถ้าเขาตั้งใจรับ ถาม : ขอตอนนี้ยังทันไหมครับ ? ตอบ : ไม่ทันแล้ว โดยเฉพาะว่าขออนุญาตท่านปู่ท่านย่า ขอบารมีองค์แก้วจักรพรรดิช่วยสงเคราะห์พวกเราให้มีความสะดวกคล่องตัว เพราะว่าสถานการณ์ประเทศชาติดียาก คนเราไม่อยากให้ดีว่าอย่างนั้น มีแต่คนเอาเท้าราน้ำ ถาม : กำลังใจที่พวกเราตั้งใจทำสมาธิละครับ ? ตอบ : ช่วยได้เฉพาะพวกเรา เหมือนอย่างกับน้ำถังหนึ่งเทลงในทะเล ก็หายเค็มแค่จุดนั้นหน่อยหนึ่ง ที่อื่นก็ยังเค็มปี๋เหมือนเดิม ตรงนี้ทำให้ไปนึกถึงหลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ ญาติโยมไปเล่าให้ท่านฟังเรื่องหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด หลวงพ่อแดงวัดเขาบันไดอิฐบอกว่า ข้าเหยียบน้ำจืดเป็นน้ำทะเลได้ ลูกศิษย์ก็ตาลุก บอกว่า “หลวงพ่อทำได้จริงหรือครับ ?” ท่านบอกว่า “จริงสิวะ...แค่เอาตีนแหย่ลงท่าน้ำตรงนี้ เดี๋ยวพอไหลถึงปากอ่าวก็เค็มแล้ว” |
ถาม : ถ้าจะขอสร้างวัตถุมงคลถวายท่านได้ไหมคะ?
ตอบ : ไม่ต้อง..ไม่เอา อะไรที่พระไม่ได้สั่ง..ไม่ทำ ทำแล้วเหนื่อย ไม่เห็นหรือว่าอะไรที่ท่านสั่งเป็นเงินเป็นทองทั้งนั้น เรื่องวัตถุมงคลไม่ต้องเจตนาดีมาทำให้เลย ถ้าทำก็ไปแจกกันเอง |
ถาม : เป็นมะเร็งปากมดลูก ?
ตอบ : จริง ๆ พวกนั่งกรรมฐานถ้าใจสบายจะหายเลย พวกโรคภัยที่เกี่ยวกับระบบอวัยวะสืบพันธุ์เกิดจากฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงเพราะความเครียด ถ้าหายเครียดโรคจะหายเลย ต่อให้เป็นมะเร็งอย่างมะเร็งปากมดลูก มะเร็งท่อรังไข่ มะเร็งเต้านมพวกนี้ก็เหมือนกัน ถ้าหายเครียดก็จะหายเลย เพราะฉะนั้น..มีโอกาสเข้าวัดเข้าวาทำสมาธิบ้าง ถาม : แล้วเราอุทิศส่วนกุศล ? ตอบ : อุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวรของเรา ให้เขาโมทนาและอโหสิกรรมให้ด้วย ขอให้เราหายจากโรคภัยนี้ไว ๆ ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ใช้คุณพระรัตนตรัยก็ได้จ้ะ อิติปิโสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ เพียงแต่ว่าทำด้วยความเคารพ ยึดท่านเป็นที่พึ่ง อยู่กับลมหายใจเข้าออกจริง ๆ พอหายเครียดก็หายป่วย ขนาดบางคนหมอบอกว่าอยู่ได้อีก ๖ เดือน เป็นจนกระทั่งขึ้นตามแขนตามขาเป็นตุ่มหมดแล้ว เขาตั้งใจจะไปตายอยู่ที่วัดก็ยังหายเลย เขาไม่ได้เจตนาให้หายหรอก เขาคิดว่าไม่รอดแล้วก็เอาแค่นั้น แต่ปรากฏว่าเพราะว่าไม่เครียดก็เลยหาย |
พระอาจารย์เล่าเรื่องอภิญญาให้ฟังว่า "ตาอินเทวดาไปยืมเงินคนนั้นคนนี้มากินเหล้า ยืมแล้วก็ไม่ใช้คืนสักที เจ้าหนี้เจอหน้าก็เข้ามากระชากแขนตาอิน ปรากฏว่าแขนตาอินหลุดติดมือ เจ้าหนี้ก็ตกใจวิ่งหนี ทิ้งแขนตาอินไว้ คนอื่นเห็นตาอินเดินไปเก็บแขน ซึ่งกลายเป็นผ้าขาวม้าพาดบ่า เดินหัวเราะหึ ๆ ไป
เรื่องตาอินเทวดามีวีรกรรมเยอะ เห็นชัด ๆ เลยว่าเป็นอภิญญาโลกีย์ เพราะว่าแกกินเหล้าเป็นปกติ แบบเดียวอาจารย์ศุข ถึงเวลาก็ไปซื้อเหล้ากิน สั่งเจ๊กซื้อเหล้าชามหนึ่ง นั่งกินกับเพื่อนอยู่ครึ่งค่อนคืน กินจนเมาหัวทิ่มบ่อแล้วก็กลับ เจ๊กก็สงสัยว่าตาอินกินได้อย่างไร เหล้าชามเดียวกินได้ครึ่งค่อนคืน พอไปดูที่ไหนได้ เหล้าในร้านหมดไปเป็นไหเลย..!" ถาม : แล้วเขาใช้อภิญญาได้อย่างไรในเมื่อศีลไม่ครบ ? ตอบ : ตอนแกใช้อภิญญาศีลครบ ตอนที่แกกินเหล้าแกไม่ได้ใช้ วันดีคืนดีก็บอกชาวบ้านว่า “อยากเห็นเทวดาไหม ?” ชาวบ้านก็บอกอยากเห็น แกก็ให้เอาผ้ามาคนละผืน "เดี๋ยวข้าต่อผ้าแล้วจะขึ้นไปเรียกเทวดามาให้ดู" ชาวบ้านก็เอาผ้ามาคนละผืน ผ้าขาวม้าบ้าง ผ้าดิบบ้าง มัดต่อ ๆ กัน ตาอินแกมัดแล้วตัวแกลอยสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหมดผ้า แกก็ตะโกนเรียก “เทวดาโว้ย..!” ก็มีเสียงตอบมาว่า "โว้ย..!" ตาอินพูดต่อ “ชาวบ้านเขาอยากเห็น..โผล่มาให้เขาดูหน่อย” โอ้โห..โผล่มาตามกลีบเมฆเต็มเลย ชาวบ้านกำลังดูเพลิน ๆ ตาอินกระตุกผ้าผลุบ เหมือนกับว่าวหลุดลอยหายไปเลย ชาวบ้านก็ตายละหว่า..ตาอินไปไหน ? แต่ไม่กลัวหรอกว่าตาอินจะเป็นอะไร เพราะว่าแกเก่ง น่าจะขึ้นไปคุยกับเทวดาข้างบนกระมัง ? แต่ที่ไหนได้..เถ้าแก่โรงจำนำเห็นตาอินหอบผ้ามาจำนำเยอะแยะเลย แล้วตาอินก็เอาเงินไปซื้อเหล้ากินต่อ ถาม : เป็นเรื่องสมัยไหนครับ ? ตอบ : สมัยรัชกาลที่ ๓ ถาม : สมัยนี้ยังมีอย่างนี้ไหมครับ? ตอบ : มี..แต่โผล่มาไม่ค่อยได้หรอก โผล่มาทีไรก็โดนรุมตอมหึ่ง สรุปแล้วผ้าคนละผืนเป็นค่าดู ให้ตาอินจำนำเอาเงินไปกินเหล้า |
ถาม : ตอนใช้อภิญญา อยู่ที่กำลังใจอย่างเดียวเลยหรือครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ความมั่นใจของเราและความคล่องตัวของสมาธิ ถ้าหากว่ามีความคล่องตัว มีความมั่นใจ จะใช้อภิญญาเมื่อไรก็ได้ ถาม : อย่างนี้ก็อยู่ที่ตัวมั่นใจแต่ละคนสิครับ ? ตอบ : ใช่..ซักซ้อมให้คล่องตัว ไม่อย่างนั้นต้องตั้งหลักกันนาน ถ้าตั้งหลักนานไม่ใช่อภิญญาหรอก อภิญญาไม่ต้องตั้งหลัก แค่คิดก็เป็นแล้ว ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ถ้าหากว่าผิดศีลก็เสื่อม หลังจากนั้นเขาก็รวบรวมกำลังใจได้ใหม่ เพราะผิดจนชิน พวกนี้จะหน้าด้าน พอผิดจนชินถึงเวลาก็รู้นี่ ถ้าหากว่าศีลบริสุทธิ์ก็ทำได้ เขาก็ตั้งใจว่าตอนนี้ศีลของเราบริสุทธิ์ ก็ทำได้เดี๋ยวนั้นเลย ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : อย่างน้อย ๆ ช่วงที่เขาทำได้ กำลังใจเขาก็สะอาด แล้วอีกอย่างพวกนี้พอตอนช่วงหลัง ๆ ก็มาอยู่ในศีลกินในธรรมกันหมด แรก ๆ ก็ประเภทร้อนวิชา เฮี้ยนไปอย่างนั้นเอง พอถึงเวลา "ท่าน" ที่ควบคุมอยู่เล่นเอาหนัก ๆ ก็ต้องเลิกไปเอง ถาม : คนสมัยก่อนกับคนสมัยนี้ใครมีอภิญญามากกว่ากัน ? ตอบ : สมัยก่อนสภาพจิตของเขาสงบง่ายกว่า สังเกตดูรุ่นปู่ย่าตาทวดของเราสิ อยู่ในศีลกินในธรรม สวดมนต์ไหว้พระ ทำบุญเข้าวัดเข้าวาเป็นประจำ ในเมื่อจิตเย็น สงบ สมาธิก็เกิดได้ง่าย วิสัยเดิมถ้ามีมาในด้านอภิญญาก็จะโผล่มาเอง |
ถาม : สายสิญจน์ที่อยู่ในพิธีจะมีพุทธคุณเหมือนกับวัตถุมงคลที่อยู่ในพิธีไหมครับ ?
ตอบ : พุทธคุณมีแน่นอน แต่บางอย่างก็ต่างกันไป อย่างเช่นลูกแก้วกับพระศรีอาริยเมตไตรยก็ต่างกันแล้ว เพราะว่าท่านที่เสกเป็นคนละองค์กัน ถาม : ไม่ใช่พระท่านเสกทั้งหมดหรือครับ ? ตอบ : ไม่ได้ทั้งหมดหรอก บางทีเจ้าของงานมาเอง ก็ต้องยกให้ท่านไปจัดการเอง |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ประเทศไทยเราเรื่องรากเหง้าของบรรพบุรุษไม่ค่อยจะศึกษากันให้ลึกซึ้ง ก็เลยไม่เห็นคุณค่าของพิพิธภัณฑ์ ต่างประเทศอย่างอเมริกาเขาต่อคิวกันเข้าพิพิธภัณฑ์ยาวเป็นกิโลฯ เด็ก ๆ ขนาดใช้คอมพิวเตอร์เป็นว่าเล่น แต่ถึงเวลาต้องต่อคิวเข้าห้องสมุดยาวเป็นกิโลฯ เพื่อยืมหนังสือ เนื่องจากอาจารย์บังคับว่าต้องอ้างอิงจากหนังสือเท่านั้น อ้างอิงจากในอินเตอร์เน็ตไม่ได้
ในเมื่อบ้านเราไม่เห็นคุณค่า พิพิธภัณฑ์ดี ๆ ก็ตั้งอยู่ไม่ได้ รายจ่ายมากกว่ารายรับ แบบเดียวกับพิพิธภัณฑ์จ่าทวีที่พิษณุโลก สู้ค่าใช้จ่ายไม่ไหว ถ้าทางการไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยอาจจะต้องปิดไปเลย จ่าทวีท่านสะสมพวกข้าวของเครื่องใช้พื้นบ้านเอาไว้มาก เปิดบ้านตัวเองเป็นพิพิธภัณฑ์ได้เลย" |
แบตเตอรี่ไมโครโฟนเสื่อม พระอาจารย์กล่าวว่า "นี่แหละคืออัจฉริยภาพของพระพุทธเจ้า สัพเพ สังขารา อนิจจาติ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ บุคคลผู้มีปัญญาจึงมองเห็นได้ อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา การเข้าถึงความดับแห่งทุกข์จึงเป็นหนทางให้เข้าสู่ความบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น..เมื่อทุกอย่างไม่เที่ยง จะให้ไมโครโฟนดังตลอดไปก็ไม่ได้ เพียงแต่ว่าพังเร็วไปหน่อย
ฟัง ๆ ดูธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้วรู้สึกว่าพระองค์ท่านอาจหาญเหลือเกิน ประกาศในสิ่งที่เป็นจริงซึ่งคนมองไม่เห็น และไม่รู้ว่าเขาจะเห็นตามได้หรือเปล่า แต่ว่าพระองค์ท่านก็กล้าประกาศ แบบเดียวกับตอนที่ส่งพระอรหันต์รุ่นแรก ๖๐ องค์ออกประกาศพระศาสนา มุตตาหัง ภิกขะเว สัพพะปาเสหิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราพ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง มุตตะ กับ อะหัง คือตัวเราพ้นแล้ว คนที่พูดได้เต็มปากเต็มคำอย่างนี้มีหรือในตอนนั้น ? เย ทิพพา เย จะ มะนุสสา ทั้งที่ของเป็นทิพย์และของมนุษย์ อะไร ๆ ก็เอาไม่อยู่แล้ว พระองค์ท่านถึงได้ส่งออกไปประกาศพระศาสนา แล้วก็ได้ผลมหาศาล ประชาชนหันมานับถือศาสนาพุทธจนกระทั่งกลายเป็นศาสนาหนึ่งที่คนนับถือเป็นจำนวนมากในโลกปัจจุบันนี้ เราลองไปนึกถึงความอาจหาญของบุคคลที่กล้าประกาศอย่างชัดเจน เอาอย่างพระปิณโฑลภารทวาชะก็ได้ "ใครไม่รู้ธรรมจงมาถามเรา ใครมีข้อสงสัยในธรรมจงมาถามเรา" ประกาศแบบนี้ในสมัยนี้สงสัยว่าจะโดนชกหน้า..! ในเมื่อพระองค์ท่านอาจหาญกล้าประกาศ เขาจึงใช้คำว่าบันลือสีหนาท ประหนึ่งราชสีห์คำรณ คราวนี้เราเห็นว่าในปัจจุบันของเรา การที่หลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ ถ้าหากว่าเป็นท่านที่ปฏิบัติจนหลุดพ้นแล้วก็ไม่เป็นไร ท่านทำหน้าที่ได้เต็มสติกำลังของท่านอย่างแน่นอน แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่มุตตาหัง ตนเองยังไม่ได้หลุดพ้น แทนที่จะเป็น "เราทั้งหลายพ้นจากบ่วงทั้งปวง" ก็เป็น "เราทั้งหลายยังไม่พ้นจากบ่วงอะไรเลย ทั้งที่เป็นของทิพย์และของมนุษย์" จะให้ไปประกาศศาสนาแล้วให้ได้ผลชัดเจนเหมือนอย่างกับในสมัยพุทธกาลก็เป็นเรื่องยาก ดังนั้น..ญาติโยมจึงต้องมีปุพเพกะตะปุญญะตา บุญที่สร้างสมมาแต่ปางบรรพ์ ทำให้เราได้เข้าไปสู่สำนักที่ครูบาอาจารย์ท่านทำจริง ได้ผลจริง แล้วจึงนำมาสั่งสอน อย่างนั้นต้องถือว่าบุญเก่าเราดี หนุนเสริมให้ไปถูกที่ถูกทาง หลายท่านที่อยากจะทำจริง ประพฤติจริง แต่ว่าไปเจอสำนักที่ท่านไม่เป็นมวยอะไร นอกจากมั่วไปเรื่อย ก็ถือว่าเป็นเวรเป็นกรรมไป" |
"สัพพะปาเสหิ พ้นจากบ่วงทั้งปวงแล้ว สัพพะคือทั้งหลาย ปาสะก็คือบ่วง ที่เราเรียกบ่วงบาศ บาลีเป็นตัว ป พอมาเป็นไทยใช้ บ ที่เราเรียกหัตถบาส ฉะนั้น..เห็นความอาจหาญ กล้าทำในสิ่งที่ดีเพื่อประโยชน์คนอื่นล้วน ๆ เลย ไม่ได้เพื่อประโยชน์ของพระองค์ท่านเองเลย พหุชะนะหิตายะ พหุชะนะสุขายะ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของชนหมู่มาก
โลกานุกัมปายะ เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก อัตถายะ หิตายะ เทวะมะนุสสานัง เพื่อประโยชน์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ลำพังพระองค์ท่านเองพ้นแล้ว จะไปนอนตีพุงเฉย ๆ ก็ได้ แต่ว่าด้วยความเมตตากรุณาที่มีอยู่ ก็ยอมเหนื่อยยากทนสั่งสอนพวกเรามา คราวนี้พวกเรามีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้อยู่ในช่วงที่พระธรรมของพระองค์ท่านยังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ ควรจะรีบตักตวงกอบโกยความดีให้มากที่สุด ไม่ใช่ปล่อยให้เวลาล่วงพ้นไปวันหนึ่ง ๆ ปฏิบัติธรรมไป ฟุ้งซ่านแค่ไหนก็ให้รู้ว่าเราฟุ้ง ควบคุมความฟุ้งซ่านไว้อย่าให้หลุดกรอบของศีลก็ใช้ได้แล้ว เพราะถ้าเรายังมีสติรู้ ควบคุมตัวเองอยู่ ตัวกามาวจรจิตมหากุศลจะเกิดขึ้นจากสตินั่นเอง ชั่วให้รู้ว่าชั่ว ระมัดระวังไว้อย่าให้หลุดออกมาเป็นกายกรรม วจีกรรม ดีให้รู้ว่าดี พยายามสร้างกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมให้เจริญขึ้นไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวพอความดีมากขึ้น ๆ ก็จะกลบกลืนความชั่วไปเอง เหมือนกับเติมน้ำสะอาดไปเรื่อย เดี๋ยวน้ำเกลือก็จางลง ๆ ต่อให้มีเกลือปนอยู่ก็ไม่รู้แล้วว่าเป็นรสของเกลือ เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าเราสร้างความดีมากขึ้น ๆ ความชั่วไม่มีโอกาสโต เดี๋ยวก็โดนเบียดเฉาตายไปเอง ถ้าหากทำแล้วรู้ว่าเราชั่วถือว่ามาถูกทาง ถ้าหากมาไม่ถูกทางก็เห็นว่าตัวเองดี เพราะฉะนั้น..ให้ตั้งหน้าตั้งตาทำต่อไป พยายามลด ละ เลิกให้ความชั่วเหลือน้อยลง ๆ ท้ายที่สุดก็จะหมดไปเอง สำคัญที่ต้องสู้จริง ๆ พระองค์ท่านอุตส่าห์เหนื่อยยากสั่งสอน เพราะประโยชน์ เพราะความสุขของเราแท้ ๆ เราเองที่เป็นผู้รับคำสั่งสอนนั้นมาปฏิบัติ ถ้าไม่ยอมทำเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของตัวเองก็ถือว่าเสียชาติเกิด..!" |
"มุตตะ แปลว่าความพ้น วิมุตตะ พ้นอย่างยิ่ง พ้นอย่างวิเศษ พอมุตตะ บวกกับ อะหัง เสียงรัสสะคือเสียงอะของตะ กับเสียงอะของอะหัง รัสสะกับรัสสะรวมกันเป็นฑีฆะ ก็เป็นเสียงยาว กลายเป็นมุตตาหัง
ถ้าหากว่าเราดูรูปประโยคออกก็ง่าย ถ้าดูไม่ออกก็มืดแปดด้านคลำไม่ถูก โดยเฉพาะนักเรียนบาลีจะแปลบาลีต้องรอบคอบสุด ๆ เลย กาล บท วจนะ บุรุษ วาจก ปัจจัย ยุ่งไปหมด" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกนักสัตววิทยารุ่นหลัง ๆ ไปจากนี้ ถ้ามาขุดเจอโครงกระดูกสัตว์คงกลุ้มใจมากเลยว่าตัวอะไรกันแน่ อย่างขุดได้กระโหลกหมาปั๊ก คงงงมากว่าเป็นตัวอะไร หน้าตาประหลาด ๆ สมัยก่อนเขาเจอโครงกระดูกตัวลีเมอร์ ไม่รู้ว่าคือตัวอะไร ระยะหลังพอไปเจอตัวจริงเข้า เอามาเพาะเลี้ยงจนมีมากขึ้นถึงได้รู้ว่าเป็นพวกแมวกระรอกนี่เอง แมวก็ไม่ใช่ กระรอกก็ไม่ใช่ ก็เลยเรียกว่าแมวกระรอก
ส่วนที่มีข่าวว่าหมาพิทบูลกัดคนตาย ต้องบอกว่าเขาตั้งใจผสมพันธุ์มาให้เป็นอย่างนั้น ก็คือเขาผสมพันธุ์จนได้พันธุ์หมาที่เวลางับแล้วปากจะล็อกเลย เพราะสมัยก่อนเขาให้หมาช่วยล่าวัว บูลก็แปลว่าวัวอยู่แล้ว คราวนี้ถ้างับไม่แน่น เวลาวัวสลัดออกอาจจะโดนเหยียบโดนขวิดได้ ฉะนั้น..ตัวไหนปากเหนียวแน่นงับติด ถึงเวลาเจ้านายล่าวัวได้หมาตัวนั้นก็ได้รางวัลเยอะหน่อย ท้ายสุดเขาก็เลยผสมมาเรื่อย ๆ ตัวไหนเก่งก็เอาตัวนั้นเป็นพ่อพันธุ์ ระยะหลัง ๆ พอผสมเป็นพิทบูล ก็เลยกลายเป็นหมาล่าวัวที่เวลางับแล้วปากล็อกเลย อย่างไรก็ไม่ปล่อย ที่งับเจ้าของติดแล้วดึงไปเรื่อย เพราะปากอ้าไม่ออก ถ้าไม่คายซะเองก็ไม่หลุดหรอก อย่างที่เขาบอกว่าถ้าเต่ากัดแล้วฟ้าไม่ร้องก็ไม่ปล่อย อาตมาไม่เชื่อใครหรอก ถ้าอาตมามีไฟแช็กอยู่ก็จุดลนคาง ดูซิว่าจะปล่อยไหม ? เคยเจอหมาปั๊กอยู่ตัวหนึ่ง ลิ้นห้อยอยู่ตลอดเวลา เพราะว่ากล้ามเนื้อลิ้นไม่ทำงาน เจ้าของซื้อไปเพราะเห็นว่าน่ารัก เห็นแลบลิ้นแฮ่ก ๆ อยู่ ไม่รู้หรอกว่าเป็นหมาป่วย ซื้อไปแล้วก็ข้องใจว่าทำไมแลบลิ้นได้ทั้งวัน ไม่หดซะที เอาไปให้หมอตรวจจึงรู้ว่ากล้ามเนื้อไม่รั้ง ลิ้นห้อยอยู่ตลอด เลยกลายเป็นหมาน่าสงสารไป ตอนแรกเป็นลูกหมาน่ารักเชียว" |
"อย่าลืมว่าสัตว์ทุกชนิดมีพื้นฐานมาจากสัตว์ป่า ถึงเวลาสัญชาตญาณป่าก็คืนมา อย่างแถว ๆ ชายแดนไทย - พม่า พวกวัวพวกควายเจอหน้าคนนี่ตื่นครืนเหมือนกับพวกวัวป่าควายป่าเลย เพราะว่าถึงเวลาเขาก็ปล่อยให้ไปหากินในป่า พอต้องการถึงไปต้อนคืน จึงแทบจะกลายเป็นสัตว์ป่าไปแล้ว
เวลาเลี้ยงสัตว์ที่เราเห็นชัดที่สุดก็ตอนติดสัด ช่วงฤดูจะผสมพันธุ์ ขนาดนางอายที่ว่าน่ารัก ๆ ต้วมเตี้ยม ๆ ยังกัดเจ้าของถลอกปอกเปิกมาแล้ว เพราะว่าสัตว์เขามีกติกาของเขา เราไม่เข้าใจกติกาเขาหรอก โยมถาวร สองเมือง อยู่ที่ศูนย์ฯ ต้นน้ำ แมวกัดกันแล้วเข้าไปห้าม ตัวเองต้องโดนเย็บ ๒๐ กว่าเข็ม ตอนที่จะเอาแพ้เอาชนะกันพวกเขาฟังเสียเมื่อไรเล่า เข้าไปผิดจังหวะก็เจอลูกหลง" |
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : มีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าคนเราพัฒนาขึ้นมาถึงระดับมีมโนธรรม ก็คือจิตใต้สำนึกที่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด แม้ว่าไม่มีข้อห้ามอยู่ก็รู้ว่าควรหรือไม่ควร เพราะฉะนั้น..เราจะเห็นได้ว่า ต่อให้เด็ก ๆ เขาไม่รู้ว่าสิ่งไหนผิดศีล แต่ถ้าหากว่าทำไปแล้ว เขาเองก็มานั่งโศกเศร้าเสียใจเพราะรู้สึกผิดเหมือนกัน อย่างเช่น เด็กไม่รู้ว่าฆ่าสัตว์แล้วเป็นบาป แต่ถ้าตัวเองเผลอพลั้งฆ่าสัตว์ไป เด็กบางคนช็อกไปเลย ทำอะไรไม่ถูก เพราะว่าเขามีมโนธรรมอยู่ ถ้าหากว่าได้รับการขัดเกลาก็จะหันเข้าหาเรื่องของศีลของธรรมได้ง่าย แต่สัตว์เขาไม่มีตรงนี้ มีแต่สัญชาตญาณมากกว่า ในเมื่อเป็นสัญชาตญาณมากกว่าก็ต้องปล่อยตามแรงขับของรัก โลภ โกรธ หลงไป ถาม : มโนธรรมเสื่อมไปเรื่อย ๆ ตอบ : เสื่อมไปเรื่อย พอถึงเวลาท้าย ๆ พระศาสนาก็กลายเป็นมิคสัญญี มิคคะ แปลว่า เนื้อ สัตว์ป่านั่นแหละ มิคสัญญี คือ สำคัญว่าเป็นสัตว์เนื้อที่ล่าได้ ถึงเวลาก็เข่นฆ่าทำลายกัน ปัจจุบันนี้ยังไม่ทันจะถึงปลายพระศาสนาเลย แค่กลาง ๆ เท่านั้นยังเข่นฆ่ากันเป็นว่าเล่น |
มีพระรูปหนึ่งมาบ้านวิริยบารมี
หลวงพ่อเล็ก : หลวงพี่หนู..นิมนต์ครับ พวกเรารุ่นหลังน่าจะรู้จักหลวงพ่อศักดิ์พิชัย ธมฺมวโร (หลวงพ่อหนู) ลูกศิษย์หลวงปู่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา รับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่สมเด็จฯ ท่านมาตลอด ก่อนหน้านั้นเวลาออกกิจนิมนต์นั่งชนกัน อาตมาก็นั่งบ่น "ไอ้อาหารที่เขาทำซะสวย แต่รสไม่เอาอ่าวเลย เพราะว่าเขาตั้งไว้ตั้งแต่ ๘ โมง กว่าจะถวายพระก็ ๑๐ โมงครึ่ง " บอกหลวงพี่หนูว่า "เราออกไปหาก๋วยเตี๋ยวกินกันข้างนอกเถอะ.." หลวงพี่ท่านบอกว่า “กินไปเถอะ ตามสังคม” เข้าสังคมก็ต้องว่าตามเขา สมัยก่อนหลวงปู่สมเด็จฯ วัดสามพระยาไปไหนมาไหนก็มีหลวงพี่หนูนี่แหละ ท่านคอยช่วยเหลือดูแลอยู่ตลอดเวลา หลวงพ่อหนู : ท่านไม่ได้ว่าอะไร ท่านเอาไปเป็นไม้เท้า ไม้เท้าไม่ได้หายใจ ไม้เท้าไม่ดื้อ ไม้เท้าไม่เกี่ยงงอน ไม้เท้าที่ไหนเกี่ยงงอนได้ ไม้เท้ากันล้มได้ หลวงพ่อเล็ก : ที่บาลีท่านว่า “ไม้เท้าของคนเฒ่า ดีกว่าลูกเต้าอกตัญญู” พราหมณ์พอแบ่งสมบัติไปแล้วลูก ๆ ทิ้งหมด พอลูกทิ้งตัวเองก็ต้องขอทานเร่ร่อนไปเจอพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านก็ตรัสว่า “พราหมณ์เคยเป็นที่นับถือของหมู่ชนมาก่อน ให้ไปเล่าประวัติให้เขาฟังในท่ามกลางที่ชุมชนนั่นแหละ แล้วอย่าลืมประโยคทีเด็ดว่า ไม้เท้าของคนเฒ่า ดีกว่าลูกเต้าอกตัญญู” แล้วคอยดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ? พราหมณ์ก็ไปเล่าให้ฟัง พอชาวบ้านไปได้ยินก็รวมหัวกันคว่ำบาตรพวกลูก ๆ ไม่มีใครคบด้วย ท้ายสุดก็ต้องมาขอขมาแล้วก็รับพ่อกลับไปเลี้ยงตามเดิม ความจริงถ้าพ่อไม่แบ่งสมบัติให้ แกก็เป็นมหาเศรษฐีนะ แต่คราวนี้พอแบ่งสมบัติให้ลูกทั้ง ๗ คนหมดแล้วลูกก็ทิ้งไปเลย ไม่มีใครเลี้ยงพ่อ เพราะฉะนั้น..ไม้เท้านี่ต้องกตัญญูมากกว่า ๒ เท่า ใช้งานได้ทุกอย่าง ไม่มีบ่น ไม่มีเกี่ยง หลวงพ่อหนู : ถ้าจะบอกว่าเป็นพินัยกรรมก็ไม่ชัดเพราะว่าพ่อยังไม่เสีย พ่อบอกว่า “พ่อแก่แล้ว หลวงปู่แก่กว่าพ่อ พ่อเคยช่วยเหลือหลวงปู่ เพราะฉะนั้น..ไปบวชแล้วอยู่รับใช้หลวงปู่แทนพ่อ ” ก็เลยต้องทำ ตอนนั้นเรียนบริหารธุรกิจอยู่ หลวงพ่อเล็ก : นี่กตัญญูยังไม่พอ ต้องกตเวทีด้วย พอโยมพ่อบอกก็บวชเลย อยู่รับใช้หลวงปู่จนกระทั่งหลวงปู่สมเด็จฯ สิ้น ก็ยังครองสมณเพศยาวมาจนบัดนี้ |
หลวงพ่อเล็ก : รู้จักหลวงพี่หนูมาเกิน ๒๐ ปีแล้วนะ เพียงแต่ว่าโอกาสที่เจอกันน้อย เพราะว่าท่านอยู่วัดสามพระยา ส่วนอาตมาตะลอนทั่วประเทศไทย ถึงเวลาไปเจอที่วัดสามพระยากันทีก็ดีอกดีใจ นาน ๆ เจอกันที บางทีเจอหน้าท่านแล้วยืนคุยกันจนหลวงพี่หนูท่านลืมเลยว่าจะไปธุระอะไร แล้วก็ถามว่า “เอ๊ะ..นี่ผมมาทำอะไร ?”
วันก่อน วัดเขาวงของหลวงตาวัชรชัยเขารวมลูกศิษย์สายหลวงพ่อ ขาดหลวงพี่เจ้าคุณชุบไปรูปหนึ่ง ท่านไปอยู่ที่คลองสะท้อนที่โคราช นิมนต์ไปแล้วแต่ว่าท่านไม่ได้ให้เบอร์โทรไว้ ท่านบอกเดี๋ยวมาเอง พอถึงวันก็รอท่านจนเลยเวลา จึงต้องเริ่มพิธี ไม่สามารถจะสอบถามได้ว่าติดธุระอะไร น่าเสียดายว่าตอนนั้นก็มีเจ้าคุณศรีวิสุทธิโมลี มีท่านเจ้าคุณโสภณธรรมเมธีหรือหลวงพี่มหาดำ แล้วก็มหาวิจิตร สามท่านเป็นมือเป็นไม้ให้หลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่ หลวงพ่อหนู : ตอนนั้นพอเจอท่านแล้วลืมหมดเลยว่าจะไปทำอะไร เพราะว่าสิ่งที่วางแผนไว้ไม่สำคัญแล้ว ทำไมไม่สำคัญ ? เพราะว่าความหยาบถูกกลบไปด้วยความละเอียด ที่เล่านี่คือความรู้สึกตรงนั้น ตอนนั้นได้อะไรเยอะ แค่ไม่กี่นาทีตรงนั้น จริง ๆ ไม่ต้องไปหาเหตุผลหรอก หาก็ไม่เจอ ถึงเจอก็ไม่ตรง อย่างที่หลวงพี่เคยไปซักไซ้ไล่เลียงเขาว่าทำไมเอานี่มาถวาย ของมีตั้งหลากหลายทำไมต้องเป็นอันนี้ หลวงพ่อเล็ก : จะว่าไปแล้วในพระพุทธศาสนา คำว่าบังเอิญไม่มี ทุกอย่างเป็นไปตามบุญตามกรรมทั้งนั้น หลวงพี่หนูท่านสร้างบุญอย่างนั้น ต้องการแบบนั้นถึงเวลาก็ได้อย่างนั้น เขาทำขายตั้งเยอะแยะแต่เขาเอาแบบนี้มาถวาย แล้วก็เป็นอย่างที่ท่านชอบพอดี เราชาวพุทธจำเป็นต้องเชื่อกรรม ต้องเชื่อการส่งผลของกรรม ท้ายที่สุดก็เชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าว่าท่านตรัสรู้จริง เมื่อเป็นอย่างนั้น ความเชื่อก็ทำให้เราสรุปลงได้ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” แต่คราวนี้เราเกิดมาจนนับชาติไม่ถ้วน การที่เราทำก็มีดีชั่วสลับกันมา บางคนอาจจะเห็นว่าทำไมคนที่ทำไม่ดี แต่ปัจจุบันนี่ฐานะชื่อเสียงเกียรติยศเขาเยอะแยะ อันนั้นกินบุญเก่าอยู่ หมดเมื่อไรสาหัสแน่นอน เพียงแต่ว่าเราไม่เข้าใจ สายตายาวไปไม่ถึง เราก็ไปคิดว่า ทำไมคนนั้นทำชั่วได้ดี ไม่จริงหรอก..ทำชั่วได้ชั่วนั้นแหละ เพียงแต่ว่าความชั่วที่ทำยังไม่ปรากฏ ปรากฏเมื่อไรดีเอาไม่อยู่ก็เรียบร้อย |
หลวงพ่อเล็ก : หลวงปู่สมเด็จฯ วัดสามพระยาเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่หาได้ยาก ที่หาได้ยากเพราะว่าอันดับแรกท่านอยู่กรุงเทพฯ พระกรุงเทพฯ จะปฏิบัติดีปฏิบัติให้เข้าถึงได้จริง ๆ นั้นยาก เพราะว่าสิ่งแวดล้อมรอบข้างไม่อำนวยเลย ต้องทุ่มเทหนักหน่วงกว่าคนอื่นหลายเท่า
ประการที่ ๒ ท่านเป็นเจ้าคณะปกครอง โดยเฉพาะเป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลาง เป็นกรรมการมหาเถรมหาคม เป็นสมเด็จพระราชาคณะ งานหนักมหาศาล แต่ความที่เอาจริงเอาจังและไม่ทิ้งในการปฏิบัติ ทำให้ท่านสามารถทำได้ ฉะนั้น..ก็มาเปรียบกับพวกเราว่า เราเองส่วนใหญ่ก็ทำมาหากินอยู่กรุงเทพฯ อยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย แต่ถึงเวลาเราก็มาปฏิบัติธรรมกัน เราก็มีหลวงปู่สมเด็จฯ ท่านเป็นผู้เดินนำไปแล้ว เราก็ตามรอยเท้าท่านไป อย่างไรเสียก็ทำตามแล้วไม่ผิดทางแน่ ในเมื่อไม่ผิดทาง ตั้งหน้าตั้งตาทำไป เราก็จะมีความหวังว่าทำแล้วจะได้ดีอย่างหลวงปู่สมเด็จฯ ท่านเหมือนกัน ธรรมะของพระพุทธเจ้ายังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ บุคคลใดที่ประกอบไปด้วยความเพียรเป็นปกติ ย่อมได้ดื่มซึ่งอมตรสแห่งพระนิพพานนั้น อันนี้เป็นบาลีที่เป็นพุทธวจนะ พระองค์ท่านยืนยันกับเรา พวกเรายังเกิดทันในสมัยที่ธรรมะยังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ พระพุทธเจ้าตรัสกับสุภัททะปริพาชกว่า “ศาสนาใดก็ตาม ถ้าหากประกอบไปด้วยมรรคมีองค์ ๘ ย่อมมีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ เป็นปกติ” ก็คือย่อมมีพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ เป็นปกติ พระองค์ท่านไม่ได้บอกว่าศาสนาพุทธจะมีอย่างนี้ แล้วไม่ได้บอกว่าศาสนาอื่นจะไม่มีอย่างนี้ แต่พระองค์ท่านบอกว่าศาสนาใดถ้าหากว่าประกอบด้วยมรรคมีองค์ ๘ ศาสนานั้นย่อมมีสมณะทั้ง ๔ ที่ว่ามาสมบูรณ์บริบูรณ์ หลวงพ่อหนู : ขอเสริมสักนิดหนึ่งว่า สถานที่ ๆ จะปฏิบัติธรรมเป็นองค์ประกอบเหมือนกัน แต่ว่าไม่ใช่องค์ประกอบหลัก หลวงปู่สมเด็จฯ ท่านเคยบอกว่า ท่านอยู่กลางบางลำพู กระแสโลกียะครอบเหมือนฝาชี ผู้ที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยวและเข้มแข็งแกร่งจริง ๆ ถึงจะสามารถพลิกได้ ผ่านได้ เชื่อมโยงได้กับอารมณ์พระนิพพานก็ดี หรือสิ่งที่ละเอียดยิ่งขึ้นไป สถานที่ไม่ใช่องค์ประกอบหลัก และหน้าที่การงานก็ไม่เสีย คำว่าปลีกวิเวกที่เราเข้าใจกันไม่ใช่การอยู่คนเดียว หรืออยู่ในป่า ไม่เสมอไป สมเด็จฯ ท่านก็ไม่ได้ไปเดินธุดงค์ ไม่ใช่ว่าธุดงค์ไม่ดี ไม่ได้พูดกดฝ่ายหนึ่ง เจริญอีกฝ่ายหนึ่ง..เปล่า ที่เดิมตั้งแต่หนุ่มท่านก็อยู่ตรงนั้น จนกระทั่งท่านชราภาพ งานเสียอีกที่มากขึ้น ๆ รับผิดชอบ ๒๓ จังหวัด ก่อนนั้นทั่วประเทศ แล้วค่อยมาแบ่ง ๆ กันไป ๒๓ จังหวัดของหนกลาง สถานที่ไม่ใช่ แล้วก็ไม่ใช่ว่าจำเป็นต้องเดินธุดงค์ แต่ศึกษาจนกระทั่งเป็นครูบาอาจารย์สอนเขา ออกข้อสอบเขา ตรวจเขา ให้เขาได้ผ่านประโยค ๙ ทฤษฎีนี่เข้มแน่นอนสำหรับท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ แต่ท่านก็พลิกทฤษฏีนั่นแหละ เอาหลักเขามาใช้งานจริง สถานที่ไม่ต้องอยู่ในป่าก็ได้ แล้วก็ยังทำธุดงควัตรอย่างอุกฤษฏ์ด้วย กลางกรุงนั่นแหละ ถือธุดงควัตรอย่างอุกฤษฏ์ ไม่ได้ฉันในบาตร ฉันในจาน มีช้อนมีส้อม บางทีเขาก็มีตะเกียบมาให้ด้วย แต่ท่านทำอารมณ์จิตที่ธุดงควัตรกำหนดไว้ เพราะฉะนั้น..ไม่แปลกเลยที่ท่านไม่ได้ผ่านการไปอยู่ป่า อยู่โคนไม้ แต่ในขณะที่ท่านอยู่ในเรือน เป็นคามวาสี ท่านก็สามารถที่รักษาหรือประคองจิต ด้วยอารมณ์อุกฤษฏ์ของธุดงควัตร ๑๓ ได้ด้วย คือให้เห็นว่าการงานไม่เสีย ทำไปด้วย และจิตก็ได้พัฒนายิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วย |
หลวงพ่อหนู : สถานที่อาจจะสำคัญสำหรับพวกเรา เพราะเรายังมีความแกร่งยังไม่พอ แต่สมเด็จฯ ท่านพลิกจากทฤษฎี ถ้าภาษาอย่างคุณโยมก็คือ “ทฤษฏีจ๋า” ที่ช่ำชองมาก ความจำแตกฉาน เรื่องบัญญัติ เรื่องภาษา ท่านพลิกมาจับต้องไม่ได้แล้ว เป็นนามธรรมละเอียด แต่สภาวะนั้นเชื่อมกันในดวงจิตของท่าน งานก็สำเร็จ สภาวะจิตท่านก็ไม่ได้ตกต่ำ
จึงเป็นตัวอย่างให้ว่า ไม่ต้องหนีไปไหน หลักการมีอยู่อย่างหนึ่งว่า จะออกจากสิ่งใด ต้องอยู่ในสิ่งนั้นก่อน อย่างคุณโยมนั่งอยู่ในพรม จะออกจากพรม โยมต้องนั่งอยู่ในนั้นก่อน แล้วจะมาบอกว่าอาตมานั่งอยู่ตรงนี้ อาตมาออกมาจากพรมที่โยมนั่ง นั่นเป็นไปไม่ได้ ยังไม่ได้ไปนั่งที่พรมเลยแล้วบอกว่าออกจากสิ่งนั้นไปแล้ว เป็นไม่ไปได้ แล้วก็ไม่เห็นทางว่าจะเป็นได้ ทุกคนจะออกจากห้องนี้ต้องผ่านประตู แปลว่าทุกคนต้องอยู่ในห้องนี้ก่อน จิตของทุกคนจะออกจากกิเลสก็ต้องแช่ในกิเลสนั้นก่อน แล้วรู้ว่ากำลังแช่อยู่ เห็นบันไดขั้นตอนของกิเลส เห็นกิเลสว่ากำลังแช่อยู่กับตัวไหน เริ่มเห็นชัดแล้วว่ามีเยอะแยะหลากหลาย เห็นว่าเรามีตรงนี้อยู่ จะกิเลสเข้มข้นหรือเจือจางก็อีกเรื่องหนึ่ง แล้วแต่ความละเอียดของสติปัญญาแล้ว จะออกไปอย่างไร ก็คือรู้เท่านั้นแหละ อย่างที่ท่านเจ้าคุณพระราชญาณกวี (สุวิทย์ ปิยวิชฺโช) เจ้าของนามปากกา "ปิยโสภณ" ท่านพูดไว้ว่า “ฟอร์แมตจิต ดีลีทกรรม” นั่นคือศัพท์ทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ อุบายก็มีแค่เพียง “รู้” เท่านั้นแหละ รู้ว่ากำลังมีอะไรอยู่ จะไม่ให้เกิดหรือพัฒนาไปในทางที่เสื่อมมากกว่านี้ ก็เพียง “รู้” แล้วก็จบการรู้เท่านั้นแหละ รู้ว่ามีอะไรอยู่ จะคิดอะไรก็ช่างมันเถอะ แล้วก็จบการรู้ เพราะทุกอย่างก็อยู่ไม่ได้ทั้งการรู้และถูกรู้ หลวงพ่อเล็ก : สรุปลงตรงที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนไว้เสมอว่า “เรียนให้รู้ ดูให้จำ แล้วทำให้จริง” ถ้าทำจริงได้ผลทุกคน เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วปัจจุบันนี้ พอพวกเราลำบากนิดหนึ่งเราก็ท้อแล้ว อันนั้นยังเรียกว่าทำไม่จริง ถ้าหากว่าทำจริงเราต้องได้ |
หลวงพ่อเล็ก : อย่างที่เคยบอกว่า มีนักปฏิบัติอยู่จำนวนมากที่เข้าใจผิด อะไร ๆ ก็จะเอาแต่อนัตตา สุญญตา ถ้าไม่มีอัตตาก็เป็นอนัตตาไม่ได้หรอก ที่หลวงพ่อหนูของเราว่ามาก็เหมือนกัน คือถ้าเราไม่ได้อยู่ในกิเลส แล้วเราจะไปออกจากกิเลสได้อย่างไร เพราะฉะนั้น..ถ้าเราไม่มีอัตตาก็ไม่สามารถที่จะเป็นอนัตตาได้
การที่จะก้าวขึ้นไปสู่เบื้องสูงต้องค่อย ๆ ไต่ผ่านจากเบื้องต่ำไป หลายต่อหลายคนที่จะเอาแต่ธรรมะบริสุทธิ์ ขอยืนยันว่าคนพูดไม่เคยทำอย่างแน่นอน ถ้าคนพูดเคยทำจะรู้ว่าเราจะเน้นเอาธรรมะบริสุทธิ์อย่างเดียวไม่ได้ เพราะว่า “สมมติ” ก็เป็นสัจจะ “ปรมัตถธรรม” ก็เป็นสัจจะ คือสมมุติก็เป็นจริงโดยสมมติ คือตัวเราชื่อนี้ นี่เป็นสมมุติ แต่ขณะเดียวกันคำว่าตัวเราจริง ๆ ไม่มี ถ้าในสภาวะของปรมัตถธรรมก็คือสิ่งที่ประกอบขึ้นมาจากมหาภูตรูป ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้เราอาศัยอยู่ชั่วคราว นี่เป็นปรมัตถสัจจะ คือความจริงแท้ เถียงไม่ได้ คราวนี้ที่ว่าตัวเราเป็นสมมติสัจจะ ก็คือจริงเฉพาะตอนนี้ ดังนั้น..บุคคลที่เข้าถึงธรรมะจริง ๆ จะไม่ปฏิเสธสมมติทางโลก แต่ขณะเดียวกัน กำลังใจของท่านก็อยู่กับปรมัตถสัจจะ ก็คือความจริงแท้ตลอดเวลา ท่านก็เลยอยู่กับโลกแบบน้ำกลิ้งบนใบบอน ก็คืออยู่กับโลก แต่ไม่ได้ติดในโลกเลย เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติ สถานที่ อากาศ อาหาร ตลอดจนเพื่อนสหธรรมิกต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนประกอบสำคัญ ถามว่าขาดได้ไหม? ได้...การเข้าถึงธรรมยังมีอยู่ แต่ต้องใช้ความเพียรพยายามที่มากขึ้น ฉะนั้น..จึงไปลงที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านย้ำเอาไว้ตอนท้ายว่า “ทำให้จริง” ในเมื่อทำจริงผลต้องได้แน่ ท่านบอกให้หวังเป้าสูงสุดไว้ก่อน ก็คือพระนิพพาน พอตะเกียกตะกายเต็มที่ ต่อให้ไม่ถึงนิพพาน ก็ไปได้ไกลเต็มสติเต็มกำลังของเรา แต่ถ้าเราไปตั้งความหวังไว้ต่ำ ถึงเวลาก็ไปได้น้อย ระยะทางที่เราจะหลุดพ้นก็ยาวไกลออกไปอีก ดังนั้น..เมื่อได้ยินหลวงพ่อหนูบอกพวกเราแล้ว หลายท่านที่ปฏิบัติธรรม แล้วรู้สึกว่าทำไม รัก โลภ โกรธ หลง เหมือนกับแรงขึ้น ขอยืนยันว่าไม่ได้แรงขึ้นหรอก เท่าเดิมนั่นแหละ แต่กำลังใจของเราละเอียดขึ้น สัมผัสได้ชัดเจนขึ้น จงดีใจเถอะที่มีกิเลส เพราะจะทำให้เราเบื่อหน่าย และอยากจะไปให้พ้น ถ้าไม่มีกิเลส...เราไม่เบื่อ เราก็อาจจะอยากเกิดอีก ถึงได้ว่าถ้าต้องการจะหลุดพ้น ก็ต้องคลุกคลีอยู่ในสถานที่นั้น แล้วก็ก้าวล่วงออกมา ไม่ใช่ว่าเราอยู่ข้างนอกแล้วเราก็บอกว่าเราอยากจะพ้น ๆ นั่นไม่อยู่ในฐานะที่เป็นไปได้ |
หลวงพ่อหนู : หลวงพี่ช่วยย้ำประโยคสักครู่อีกทีครับ
หลวงพ่อเล็ก : การจะหลุดพ้นจากกิเลส คือเราคลุกคลีอยู่กับกองกิเลสเป็นปกติ เพราะว่ากรรมนำมาให้เราเกิดในกองกิเลสนี้ ในเมื่อเราก้าวล่วงพ้นออกไป ถึงจะกล่าวได้ว่าเราพ้นจากกิเลส ถ้าเราไม่ได้อยู่ในกองกิเลส แล้วไปบอกว่าเราก้าวพ้นจากกองกิเลสมา ไม่ใช่วิสัยที่จะเป็นไปได้ กิเลสชัดเจนขึ้น เลยทำให้เรารู้สึกว่ามีมากขึ้น จริง ๆ แล้วไม่ได้มากขึ้นหรอก มีเท่าเดิม เพราะฉะนั้น..สู้ต่อไปไอ้มดแดง อย่าถอยเสียก่อนนะ..! วันนี้นับเป็นโอกาสอันดี ที่เราได้บุคคลรุ่นที่ทันหลวงปู่สมเด็จฯ วัดสามพระยา ทันหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านได้มาบอกกล่าวในสิ่งที่ท่านได้รับไปจากหลวงปู่หลวงพ่อทั้ง ๒ องค์ ได้ทำความเข้าใจในสิ่งนั้น แล้วนำมาบอกพวกเรา ทำให้พวกเรารู้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างได้ชัดเจนขึ้น แล้วการที่เราจะก้าวเดินต่อไปในเบื้องหน้าก็จะง่ายและสะดวกขึ้น เรียกว่าพอวาระบุญมาถึง เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ก็มาบรรจบกัน เพราะว่าปกติแล้วหลวงพ่อหนูของเราท่านมาตรงนี้ไม่ถูกหรอก ท่านไม่ค่อยได้ออกไปไหน นอกจากไปเรียนแล้วท่านก็กลับกุฏิ มีแค่นั้นจริง ๆ ยังดีว่าวันนี้ ดร.เอ อุตส่าห์พาท่านมา คนเยอะ ๆ แบบนี้ปกติท่านเผ่นแน่บไปแล้ว ไม่เอาหรอก เข้ากุฏิดีกว่า |
:4672615: เก็บตกเดือนนี้จบแล้วค่ะ :4672615: |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:31 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.