![]() |
ถาม : หนูก็ไม่กล้าจะมาหาท่านมากเพราะเดี๋ยวแฟนหนูเขาไม่เข้าใจ
ตอบ : ดีแล้วจ้ะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเขาหึงขึ้นมาแล้วจะยุ่งอีก ถาม : หนูควรจะอธิบายให้เขาฟังอย่างไรดีคะ ? ตอบ : ไม่ต้องอธิบายจ้ะ ปล่อยเขาไปก่อน เอาไว้วันร้ายคืนร้ายเดี๋ยวเขาหลงมาเข้าทางนี้เมื่อไร ค่อยชักชวนเขามา ไม่ต้องรีบพามาตอนนี้ ถาม : คนรอบข้างเขามักจะมองหนูเป็นคนไม่ปกติ ตอบ : บอกเขาไปว่าเราบ้า ปล่อยเราไปตามทางของเรา ถ้ามายุ่งกับเราเดี๋ยวจะงับซะ..! ถาม : เขาว่าหนูว่าหน้าตาอย่างนี้ไม่น่าจะสวดมนต์ได้ ตอบ : บอกไปว่าหน้าตาอย่างคุณดันสวดไม่ได้ก็ยุ่งอีก ไม่ต้องไปใส่ใจคำพูดคนอื่นจ้ะ กองทิ้งไว้ตรงนั้นแหละ ไม่ใช่แต่หนูหรอก อาตมาเองก็โดนเขาว่าบ้าตั้งแต่เริ่มปฏิบัติแล้ว ถาม : แฟนหนูเขาบอกว่าไม่ต้องมาหาพระมาก ประมาณว่าให้อยู่ได้ด้วยตัวเอง ตอบ : จริง ๆ แล้วถูกของเขา ถ้าตัวเราพึ่งตัวเราเองได้ ต่อไปถึงไม่มีหลวงปู่หลวงพ่อเราก็อยู่ได้ ไม่อย่างนั้นเราก็ต้องวิ่งไล่หาที่เกาะไปเรื่อย ๆ แต่เพื่อความมั่นคงก็ให้ทำในลักษณะว่า ในแต่ละเดือนท่านมีงานอะไรที่สำคัญเราก็ไปร่วมงานบ้าง เพียงแต่ว่าอย่าให้ถี่ยิบเหมือนกับสมัยก่อน ถาม : อย่างที่ทำงานเขาก็ไม่ค่อยให้หนูลา โดยเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ เพราะมีลูกค้ามาก แล้วหนูจะแบ่งเวลาไปวัดอย่างไรคะ ? ตอบ : บอกแล้วว่าดูตามความเหมาะสม ถ้าเป็นปีละครั้งต่อให้เป็นวันเสาร์ก็ไปเถอะ แต่ถ้าหากว่าทุกเดือนก็เว้น ๆ เสียบ้าง ถาม : ถ้าหนูจะทำแบบว่า ถึงเวลาจะไปวัดอย่างไรก็ต้องไป ไม่สนใจที่ทำงานถูกไหมคะ ? ตอบ : ถ้าเราจะเอาในทางธรรมอย่างเดียวต้องเป็นอย่างนั้น แต่คราวนี้เราอยู่กับโลก ก็ต้องดูความเหมาะสม ความพอเหมาะพอดี แต่ถ้าถึงกำหนดที่เราเห็นว่าสมควรจะไปก็ต้องเด็ดเดี่ยวอย่างนั้น ถึงมีอุปสรรคอย่างไรเราก็จะไป |
ถาม : ช่วงนี้เวลาผมภาวนาก่อนนอน พุทโธได้แค่ครู่เดียวก็หลับไปเลย เกิดจากอะไรครับ ?
ตอบ : แปลว่าสมาธิดีขึ้น ถ้าสมาธิไม่ทรงตัวถึงระดับปฐมฌานหยาบจะไม่หลับ เพียงแต่ว่าเป็นการหลับแบบขาดสติ ควรที่จะนั่งภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัวเพื่อข้ามจุดนั้นไปให้ได้ ไม่อย่างนั้นกี่ปีกี่ชาติก็จะตัดหลับอย่างนั้น แล้วก็เอาไปใช้งานอะไรมากกว่านั้นไม่ได้ ถาม : เมื่อก่อนดีกว่านี้ แต่ตอนนี้รู้สึกตัวว่าแย่ลงครับ ตอบ : ในเมื่อวิเคราะห์ตัวเองได้ก็ทำให้ดีขึ้นสิวะ..! |
พระอาจารย์กล่าวว่า "บรรดาโรคต่าง ๆ ที่โบราณว่าเกิดจากลม ก็คือเลือดลมในร่างกายของเราเดินไม่ปกติ ทำให้เป็นโรคได้หลายโรค เรื่องของโยคะช่วยได้เรื่องพวกนี้ได้เยอะมากทีเดียว"
|
ถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กคนนี้ก่อนเกิดมาจากไหนครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าใช้ทิพจักขุญาณดูก็ยังมีโอกาสพลาดได้ สังเกตดูว่าถ้าหากท่านที่มาจากพรหมส่วนใหญ่จะนิ่ง ไม่ค่อยพูด พูดน้อย มีเหตุมีผล ถ้าพวกมาจากเทวดาจริยาจะนุ่มนวลกว่า ขณะเดียวกัน..ถ้าเราไปตึงตังหรือหยาบคาย เขาจะไม่คบเราเลย ถาม : เขาเป็นลูกเราครับ ตอบ : ถ้าเป็นลูกไม่ต้องไปสนใจหรอกว่ามาจากไหน มาจากนรกก็ต้องเลี้ยง..! ถาม : อยากรู้ครับ ตอบ : ถ้าคุณรู้เมื่อไรแล้วจะซวยไม่รู้จบ เพราะจะไปเลือกว่าจะรักคนนี้จะเกลียดคนนั้น ซึ่งจะเป็นเองโดยอัตโนมัติ อย่างน้อย ๆ ศีลเขาต้องมีถึงได้เกิดเป็นคน แต่พอเกิดมาแล้วจะรักษาศีลต่อได้หรือไม่ ก็อยู่ที่เขาว่าจะเอากำไรหรือขาดทุน ฉะนั้น..ต้องอบรมเขาให้ดี |
พระอาจารย์กล่าวถึงพวกที่ปลอมวัตถุมงคลว่า "จะว่าไปแล้วเขามีความพยายามมาก เขาพยายามทำของใหม่ให้เก่า แล้วเอาไปจำหน่ายฝรั่ง แต่วิธีที่ทำให้เก่านี่แหละ เกิดใหม่จะซวยไม่รู้จบ บางคนเอาไปแช่น้ำกรด บางคนเอาไปแช่น้ำไว้เป็นเดือน ๆ บางทีก็เอาไปหมกโคลนไว้เพื่อให้ดูเก่า"
|
ถาม : การหวงวัตถุมงคลเป็นความโลภไหมคะ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าโลภเจตนา อย่างน้อย ๆ มีความโลภแฝงอยู่ แต่ต้องดูว่าเราใช้เป็นอนุสติหรือเปล่า ? ถ้าเป็นอนุสติก็ถือว่าในส่วนของบุญกุศลมีมากกว่า โดยเฉพาะวัตถุมงคลเราทำบุญแล้วได้มา เราก็จะได้ระลึกถึงในเรื่องของจาคานุสติ และในเรื่องของทานบารมีด้วย แต่ถ้าว่ากันตามหลักอภิธรรม เขาถือว่ามีส่วนของโลภเจตนาอยู่ ก็คือมีส่วนของความโลภอยู่ แต่ว่าไม่ต้องไปฟังตรงนั้นหรอก ทำไปเถอะ..จะไม่ให้มีความโลภเลยต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น แม้แต่พระอนาคามีท่านยังอยากในการทำบุญ แล้วอภิธรรมก็ใส่เต็ม ๆ ว่ายังเป็นโลภเจตนาอยู่ ก็ถูกตามตำราเขา ถาม : หนูมีสมุดบันทึกจดเวลาหนูทำบุญไว้นะคะ ตอบ : ไม่ต้องหรอกจ้ะ ถึงเวลารายการบุญที่เราทำก็ไปโผล่ที่นายบัญชีท่านเองแหละ ถ้ารู้ว่าใกล้ตายก็ใส่ซองส่ง ems ไปถึงพระยายมราชล่วงหน้าไว้เลย ถาม : หนูจะเอาวัตถุมงคลไปถวายวัดนี้เป็นการตัดความโลภ ? ตอบ : เป็นจ้ะ กว่าจะตัดได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะว่า มัจฉริยะ คือ ความตระหนี่ถี่เหนียว มีทุกคน แต่ว่าเราทำไป สมมติว่าถวายวัดเผื่อว่าใครทำบุญทางวัดจะได้ให้เขาต่อไป ก็เท่ากับว่าเรามีส่วนในบุญต่าง ๆ ที่ทางวัดเขาทำด้วย ถาม : หนูจะเอาวัตถุมงคลไปให้ญาติพี่น้องก็กลัวเขาจะไม่เห็นคุณค่า ตอบ : นั่นเป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเราแล้ว ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : มีส่วนจ้ะ สิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อชีวิต เรารักเขา เราชอบเขา ความคิดเห็นของเขาก็มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของเรา เราก็เลือกที่เรามั่นใจไว้สัก ๓ องค์ ๕ องค์ นอกจากตัวเองแล้ว ยังเผื่อคนอื่นในครอบครัวของเราด้วย แล้วที่เหลือก็จัดการ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปให้เขาตำหนิใหม่ |
ถาม : ขอทำบุญให้คนป่วยครับ
ตอบ : ทำบุญเสร็จแล้วกลับไปบอกเขาอีกรอบ ต้องกระตุ้นให้นึกถึงบุญไว้บ่อย ๆ โดยเฉพาะคนป่วยถ้าเกาะบุญได้บางทีจะไม่รู้สึกเจ็บเลย |
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเราหลายคนรู้ว่าลาวอยู่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ไทยอยู่ฝั่งขวาแม่น้ำโขง แต่อีกเป็นจำนวนมากไม่รู้เลย แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าทำไมถึงแบ่งเป็นซ้ายกับขวา
หลักการแบ่งฝั่งแม่น้ำว่าเป็นซ้ายหรือขวานั้น โดยสากลเขาให้หันหน้าออกทะเล ด้านไหนอยู่ซ้ายมือของเราก็คือฝั่งซ้าย ด้านไหนอยู่ขวามือก็คือฝั่งขวา ฉะนั้น..เราสงสัยว่าทำไมลาวอยู่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ให้รู้ว่าหลักสากลเป็นอย่างนั้น อย่างกรุงเทพฯ อยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา ธนบุรีอยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำเจ้าพระยา จริง ๆ แล้วอยากจะให้เขาแยกธนบุรีออกเป็นจังหวัดต่างหาก เพราะว่าโดยศักดิ์ศรีแล้วธนบุรีเป็นเมืองหลวงเก่าเช่นกัน สมัยก่อนนี้การพัฒนาเมืองหลวงจะพัฒนาฝั่งกรุงเทพฯ มากกว่า ฝั่งธนบุรีเขาเรียกว่าลูกเมียน้อย ช่วงนั้นเขายุบธนบุรีเข้ามาเป็นจังหวัดเดียวกับกรุงเทพฯ แล้วใช้ชื่อว่านครหลวงกรุงเทพธนบุรี จำได้ไหมว่าเขาเคยมีชื่อนี้ ? หลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนเป็นกรุงเทพมหานคร ฉะนั้น..กว่าจะเป็นกรุงเทพมหานครนี่ สมัยก่อนเขาเป็นกรุงเทพฯ กับธนบุรี แล้วก็มาเป็นนครหลวงกรุงเทพธนบุรี แล้วถึงจะมาเป็นกรุงเทพมหานครอย่างในปัจจุบัน แต่อาตมาอยากจะให้แยกออก เพราะถ้าแยกออกจะได้ใช้งบประมาณของตัวเองโดยตรง และเดี๋ยวนี้ฝั่งธนบุรีก็เจริญไม่แพ้ฝั่งกรุงเทพฯ แล้ว สมัยอาตมาเด็ก ๆ อยู่บ้านยายตรงสามแยกไฟฉาย คนรุ่นใหม่เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาเรียกสามแยกไฟฉาย เพราะว่าตอนช่วงสงครามโลก เขาตั้งปืนต่อสู้อากาศยานที่สามแยกท่าพระ แล้วก็ตั้งไฟฉายสำหรับส่องหาเครื่องบินข้าศึกตอนกลางคืนที่ตรงสามแยกไฟฉาย พอเลิกสงครามเขาก็เลยเรียกสามแยกไฟฉายเพราะชื่อเก่ายังไม่มี แต่สามแยกท่าพระมีชื่อแล้วก็เลยยังคงเรียกสามแยกท่าพระอยู่ ไม่อย่างนั้นก็คงกลายเป็นสามแยก ปตอ. ไปแล้ว" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นญาติโยมหอบลูกจูงหลานมาทำบุญก็ดีใจ เพราะว่าเด็ก ๆ ต้องมีตัวอย่าง สมัยนี้เราจะเห็นว่าเด็กรุ่นใหม่ ๆ ไม่ค่อยใส่บาตรกัน เขามีการออกแบบสอบถามทำวิจัยแล้ว เด็กรุ่นใหม่ร้อยละ ๖๐ ไม่เคยใส่บาตรเลย ร้อยละ ๔๐ ที่เหลือ เคยใส่บาตรเฉพาะวันเกิดตัวเอง แล้วในร้อยละ ๔๐ พอมาแบ่งใหม่มีร้อยละ ๓๐ เท่านั้นที่เคยไปทำบุญถึงวัด จัดว่าน้อยมาก
จะไปว่าเด็กก็ไม่ได้ เพราะว่าผู้ใหญ่ไม่ได้ทำตัวเป็นแบบอย่าง ถ้าหากว่าผู้ใหญ่ทำตัวเป็นแบบอย่างให้เด็กเห็น ว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นสิ่งที่ดี เขาก็จะทำตาม โดยเฉพาะว่าระยะหลังนี้ การรับนักศึกษาในระดับอุดมศึกษา คือปริญญาตรีขึ้นไป มีหลายแห่งแล้วที่ใช้คะแนนคุณธรรม ก็แปลว่าถ้าเด็กคนไหนเคยเรียนธรรมศึกษาตรี โท เอก มา ได้รับประกาศนียบัตรรับรองว่าสอบผ่านแล้ว หรือว่าท่านใดเคยไปปฏิบัติธรรมที่วัด ได้รับวุฒิบัตรผู้ปฏิบัติธรรมแล้ว หรือว่าท่านใดเคยทำบุญแล้วมีอนุโมทนาบัตร ถ้ามีเครื่องยืนยันทั้งหลายเหล่านี้ ถึงเวลาเกณฑ์พิจารณาเรื่องคะแนนคุณธรรมของสถาบันอุดมศึกษา ที่ยึดคะแนนคุณธรรมเป็นส่วนหนึ่งของการรับเด็กเข้า ก็จะได้เปรียบว่าคนอื่นเขา เพราะยืนยันได้ว่าตัวเองไปทำความดีมาจริง ๆ พยายามศึกษาพระพุทธศาสนาจริง ๆ เป็นต้น ถ้าหากว่าเราจะเตรียมการให้ลูกหลานก็ควรจะพาเขาเข้าวัด แบบยายหนูเมื่อเช้านี้ บอกว่าพอหนูมีความสุขแล้วหนูไม่ได้เข้าวัดเป็นปีเลย ไม่เหมือนตอนทุกข์ นั่งสวดมนต์ไปร้องไห้ไปก็ยังเอา" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยนี้เทคโนโลยีต่าง ๆ ทำให้บรรดาสัตว์เลี้ยงไม่ได้ผสมพันธุ์กันตามฤดูกาล แต่จะผสมพันธุ์กันทั้งปี พวกปลาช่อนไข่ ปลาดุกไข่ที่เราซื้อปล่อยกันนี่เป็นปลาเลี้ยงแน่นอน ถ้าไม่ยอมไข่เขาก็จับฉีดฮอร์โมนบังคับให้ไข่
แบบเดียวกับสมัยเด็ก ๆ พวกไม้ผลในสวน ไม่ว่าจะเป็นลำไย ทุเรียน มะม่วง ถ้าไม่ออกลูกเขาให้เอามีดไปฟัน ฟันหลาย ๆ แผล แผลใหญ่ ๆ เลย แล้วต้นไม้ต้นนั้นจะรีบออกลูก เพราะว่าพวกต้นไม้หรือสัตว์ ถ้าเขารู้ตัวว่าจะตาย จะต้องหาทางทิ้งพืชพันธุ์เอาไว้ก่อน เท่ากับบังคับให้ออกดอกออกผล แบบเดียวกับกุ้งกุลาดำ บ้านเรามีเทคนิคการเพาะเพื่อที่จะให้ออกลูกได้ แต่ไต้หวันทำไม่ได้ ต้องรับซื้อแม่กุ้งจากเมืองไทย จึงมีการขโมยแม่กุ้งไป ตัวหนึ่งซื้อกันเป็นหมื่น เขาจะเอาไปช็อกด้วยน้ำเย็นให้สลบ แล้วก็ใส่ถุงอัดออกซิเจนส่งไป เทคนิคการทำให้กุ้งไข่ของไทย ก็คือ เอาคีมบีบตาทิ้งไปข้างหนึ่ง พอตาบอดไปข้างหนึ่ง กุ้งรู้ว่าใกล้ตายแล้วก็รีบผลิตไข่ เทคนิคนี้น่ากลัวมาก คนทำจะโดนกรรมสนองคืนแน่นอน..! ส่วนคนที่คิดเทคนิคการผสมพันธุ์กบนอกฤดูได้ ต้องบอกว่าบังเอิญมาก คือพอดีวันนั้นอากาศร้อนจัด เขาจึงเอาสังกะสีไปปิดปากบ่อไว้ แล้วเปิดน้ำฉีดใส่สังกะสีจะได้เย็น ปรากฏว่าเสียงน้ำที่ฉีดใส่สังกะสีกราว ๆ ทำให้กบคิดว่าฝนตก ก็เลยร้องรับแล้วก็ผสมพันธุ์กันใหญ่ ตั้งแต่นั้นมากบเลยเจอน้ำฉีดใส่สังกะสีอยู่เรื่อย เด็กบ้านนอกสมัยก่อน พอหน้าแล้งอยากกินกบ ก็ไปเอาใบตาลแห้งคนละ ๒ ทาง แล้ววิ่งแข่งกันลากตามนาแล้ง ๆ แตกระแหงนั่นแหละ พวกกบ พวกปลา พวกหอยจะซุกกันอยู่ข้างใต้ เด็กที่วิ่งแล้วก็ลากใบตาลแห้งไป เสียงฝีเท้าตึง ๆ เหมือนฟ้าร้อง เสียงใบตาลแห้งลากพื้นจะซ่า ๆ เหมือนฝนตก กบก็ร้องอ๊บ ๆ พอเด็กได้ยินเสียงกบก็ตามหาตัว ขุดเอาได้ง่าย ๆ พวกบรรดาแม่ครัวในรั้วในวังสมัยก่อน เวลาจะยำกบใส่มะดัน ถ้าหากบไม่ได้จริง ๆ ก็เอาแก้มปลาช่อนแทน ซื้อแต่หัวปลาช่อน นำมานึ่งเสร็จแล้วก็แกะเอาเนื้อตรงแก้ม แล้วก็มาบี้ ก็ไม่รู้แล้วว่าเป็นแก้มปลา เพราะรสชาติจะเหมือนกับเนื้อกบ" |
พระอาจารย์เล่าว่า "โรงเรียนบ้านป่าไม้สะพานลาวจะไปจัดอบรมเยาวชนที่วัดท่าขนุน ในวันวาเลนไทน์ คือ วันที่ ๑๔ - ๑๕ กุมภาพันธ์นี้ เขาโทรมาสอบถามว่าตอนเย็นจะเปิดโรงครัวทำอาหารให้เด็กได้ไหม ? อาตมาบอกว่าได้ แต่อย่าทำเอามาถวายพระแล้วกัน..!
ระยะหลังการอบรมเด็กมีแทบทุกเดือน เหมือนกับว่าเป็นกิจกรรมภาคบังคับ โรงเรียนต่าง ๆ หมุนเวียนกันไป โดยเฉพาะโรงเรียนที่มีงบน้อย พอโดนบังคับให้จัดกิจกรรมก็อิงวัดเป็นหลัก สมัยก่อนโรงเรียนบ้านป่าไม้สะพานลาวจะมีเด็กต่างด้าวร้อยละ ๓๐ เด็กที่จะได้งบประมาณเลี้ยงอาหารกลางวันจากกระทรวงต้องเป็นเด็กไทยที่มีทะเบียน คราวนี้จะให้เด็ก ๗๐ คนนั่งกิน แล้วเด็กอีก ๓๐ คนที่เป็นต่างด้าวนั่งกลืนน้ำลายก็ไม่ได้ ท้ายสุดก็ต้องวิ่งมาวัด มีข้าวสารอาหารแห้งหรือเงินทองก็ต้องให้เขาไป มีอยู่ครั้งหนึ่งนำญาติโยมจัดผ้าป่าให้เขาเพื่อเป็นทุนอาหารกลางวันเด็ก ได้เงินไปสี่แสนกว่าบาท ไม่ทราบเหมือนกันว่าถึงมือเด็กเท่าไร แต่อาตมาทำแบบโปร่งใส ไปทอดที่โรงเรียนเลย นับเงินเสร็จก็ให้เจ้าภาพมอบให้กับทางโรงเรียนโดยตรง ทำงานลักษณะนี้ดีตรงที่ว่าเราสบายใจ เขาเองก็ไม่ต้องมาระแวงว่าเงินจะตกหายกลางทางหรือเปล่า หลังจากนั้นไปอาตมาก็ไม่ตามไปดูแล้ว ว่าเขาเอาเงินไปทำอย่างไร เพราะว่าให้เขาไปแล้วก็จบแค่นั้น" ถาม : น่าจะมีโครงการปลูกผักเป็นอาหารกลางวัน ตอบ : มี...แต่ไม่พอ โดยเฉพาะบางโรงเรียน อาตมาไปเริ่มโครงการไว้ เช่น ให้นักเรียนบ้านไกลได้พักหอพัก อาตมาเองก็ไปสร้างหอพักให้ ไม่ได้ดีอะไรหรอก เป็นแบบมุงแฝกมุงจากนี่แหละ ปัจจุบันนี้โรงเรียนทองผาภูมิวิทยา ถึงเวลาก็จะนิมนต์พระไปบิณฑบาตข้าวสารอาหารแห้ง มีวงเล็บว่า "บิณฑบาตเสร็จโปรดยกให้ทางโรงเรียนด้วย" ถ้ามีการคัดตัวนักกีฬาหรือว่านักเรียนที่ซ้อมวงโยธวาทิตก็มักจะมาขออาหารแห้งที่วัดเป็นระยะ ๆ ขาดอะไรวิ่งเข้าวัดไว้ก่อน |
อย่างบ้านปิล็อกคี่ “คี่” เป็นภาษากะเหรี่ยงแปลว่า “สุด” คือสุดเขตประเทศไทยแล้ว เด็ก ๆ ที่นั่นจะเป็นคริสต์เสียส่วนใหญ่ เพราะว่าศาสนาคริสต์มีนโยบายป่าล้อมเมือง เขาจะไปตีโอบจากข้างนอกเข้ามา เข้าไปตามหมู่บ้านชาวเขา หมู่บ้านชายแดน บ้านไหนที่เข้ารีตเป็นศาสนิกของเขา เขาก็จะระดมความช่วยเหลือด้านต่าง ๆ ไปให้ เสร็จแล้วก็อ้างว่าเป็นเพราะว่านับถือพระเจ้าของเขา ถึงได้เจริญรุ่งเรืองกว่าครอบครัวอื่น ก็เลยทำให้เปลี่ยนไปนับถือคริสต์กันเยอะมาก
อาตมาไปเลี้ยงอาหารกลางวันเด็ก ไปให้ทุนการศึกษาเด็ก แต่พวกนี้ดีมาก จะคริสต์จะพุทธถ้าไปให้เขาเอาทั้งนั้นแหละ เสียอย่างเดียวตอนที่มอบทุนการศึกษาให้ เด็กยื่นมือมาขอจับมือพระเพื่อ "เช็กแฮนด์" อาตมาก็เลยเขกกบาลให้ บอกว่า “มึงอยู่ประเทศไทยนะ..ควรจะรู้ว่าเวลาเจอพระแล้วต้องทำอย่างไร” ในช่วงเข้าพรรษาจะมีพระไปจำพรรษาที่นั่น ด้วยกันหลายรูป แต่เนื่องจากว่าเขาเป็นคริสต์กันเกือบหมดหมู่บ้าน เขาก็ไม่ใส่บาตร เวลาพระออกบิณฑบาตจึงไม่พอฉัน ถึงเวลาบรรดาอุบาสกอุบาสิกาหรือโยมวัดก็ต้องนุ่งขาวห่มขาว ถือฆ้องถือกลองมาเดินขบวนแห่อยู่ในตลาด ขอบริจาคข้าวสารอาหารแห้ง ได้ไปคนละนิดละหน่อย พออาตมารู้เข้าก็รำคาญ เดินกันเป็นวัน ๆ ได้ไปหน่อยเดียว บอกกับพวกเขาว่า "ไม่ต้องเดินหรอก ทีหลังให้ไปเอาที่วัดท่าขนุน ต้องการอะไรไปขนเอาได้เลย" เวลาให้ทีก็เป็นกระสอบ หมดเมื่อไรค่อยมาเอาใหม่ แต่คราวนี้รู้สึกเขามีความสุขที่ได้ทำอย่างนั้น เขาบอกว่า ขอเดินก่อนแล้วค่อยเข้ามาเอาที่วัด พูดง่าย ๆ ว่า ของวัดเป็นของตาย อย่างไรก็ได้แน่นอน เขาเดินขอบริจาคก่อน จะได้มากได้น้อยก็ขอให้ได้เดิน เรื่องนี้พอพูดไปก็โยงไปถึงเมื่อวานที่บอกว่า ทางด้านธรรมยุติเขามีการเกื้อกูลกัน มหานิกายเราจริง ๆ ก็มี แต่อยู่ในวงเล็กมาก ธรรมยุติท่านถึงกันหมด อาจจะเป็นเพราะว่าเขามีจำนวนน้อยกว่าเรา ทั่วประเทศมีประมาณสามพันวัด ส่วนมหานิกายทั่วประเทศมีสามหมื่นกว่าวัด ก็เลยกลายเป็นว่ามหานิกายของเรามีการเกื้อกูลกันแค่เฉพาะในวง แต่ว่าอาตมาก็พยายามช่วยเท่าที่จะช่วยได้ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดี๋ยวนี้เขามีเทคนิคใหม่อย่างหนึ่ง เรียกว่า อิเล็กโตรฟอร์มมิ่ง (Electroforming Technique) เป็นการขึ้นรูปทองคำด้วยไฟฟ้า ถ้าหากว่ามีต้นแบบ ก็ใช้ไฟฟ้าเป็นตัวเหนี่ยวนำ ดึงเอาโมเลกุลของทองคำมาฉาบไว้ องค์พระจะมีน้ำหนักเบา แต่ทองก็ยังเป็นทอง ถึงน้ำหนักจะน้อยแต่ก็ยังแพงอยู่ดี
เทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ งานศิลป์มีวิธีการให้เลือกมากขึ้น สำคัญที่ตรงความประณีต อาตมากำลังรอพระนาคปรกรุ่น ๒ คราวนี้เป็นนาคไทย ๙ เศียร เห็นว่าเดือนหน้าจะได้แบบขี้ผึ้งมาดู คุณปรัชญ์เริ่มมีเวลาว่างทำให้แล้ว อาตมากำชับเอาไว้ว่าให้เสร็จทันวิสาขบูชา เพราะว่าเป็นการฉลอง ๒,๖๐๐ ปี พุทธชยันตี แม้เขากำหนดว่าทั้งปี แต่ก็อยากให้ทันวิสาขบูชา พอวิสาขบูชาแล้วก็รอเข้าพิธีเสาร์ ๕ เลย" |
ถาม : ขอปรึกษาเรื่องฤกษ์ที่จะขึ้นบ้านใหม่ครับ ?
ตอบ : เอาตามฤกษ์พรหมประสิทธิ์นั่นแหละ เลือกให้ตรงกับวันศุกร์ ข้างขึ้น เดือนคู่ เว้นเดือน ๘ ข้างแรมกับเดือน ๑๐ ตามเดือนไทยนะ..ไม่ใช่เดือนฝรั่ง |
พระอาจารย์เล่าว่า "มีครอบครัวหนึ่งที่สงขลา ลูกเกิดมาแล้วมีอาการคล้าย ๆ กับเป็นโปลีโอปนกับอัมพาต ต้องนอนแผ่อยู่กับที่ ให้พ่อแม่ป้อนข้าวป้อนน้ำ เช็ดตัวไปเรื่อย เลี้ยงมาอย่างนั้นตั้ง ๑๗ ปี
พอเวลาอาตมาลงไปสงขลา เขาก็จะนิมนต์ไปบ้านให้ลูกเขาได้ทำบุญ ลูกเขาจะอยู่ในลักษณะที่ฟังรู้เรื่อง แต่สื่อกับคนอื่นไม่ได้ การแสดงออกซึ่งความดีใจของเขาเหมือนอย่างกับชักกระตุกไปทั้งตัว พอเห็นพระก็จะมีอาการอย่างนั้น เขาก็รักลูกของเขา..เลี้ยงมาอย่างนั้น ๑๗ ปีด้วยกัน" |
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ต้องบอกว่ามีบุญมีกรรมเนื่องกันมาด้วย ไม่อย่างนั้นคนตั้งเยอะตั้งแยะทำไมไปชี้เอาคนนั้น แบบเดียวกับไปซื้อลูกหมา พอมองเห็น..ใช่เลยตัวนี้แหละ แบบนั้นเลย เรื่องหมาต้องยอมรับในความแสนรู้ของเขา เขามีฤทธิ์โดยกรรมวิบาก บางตัวก็รู้เกินเหตุ มีอยู่ครั้งหนึ่งแวะสถานีบริการน้ำมัน แล้วก็เข้าห้องน้ำ เดินอ้อมตัวอาคารจะไปเข้าห้องน้ำข้างหลัง มีหมาเดินสวนมา พอเจอกับหมา ความคิดของเขาออกมาชัด ๆ เลยว่า "นั่นแน่..เราได้กินแน่" แล้วหมาก็กระดิกหางวิ่งเข้ามาเลย อาตมาก็ "เฮ้อ..ตั้งความหวังกับเราขนาดนี้ ก็ต้องให้แหละ" จึงไปซื้อขนมให้หมากิน คนขายเขาบอกว่า “อาจารย์อย่าไปตามใจมันนัก ไอ้นี่เจอใครก็ขอเขาหมด” แต่คราวนี้ความคิดเขาออกมาชัดเลยว่าได้กินแน่ แล้วก็วิ่งเข้ามา เขาดูออกว่าคนประเภทนี้ถึงจะได้กิน ถือว่าเก่งจริง ครั้งนั้นยังทึ่งเลยว่าความคิดเขาชัดขนาดนั้น แสดงว่าเขารู้จริง ๆ ไม่รู้ว่าหมาที่อายุยืนที่สุดมีอายุสักเท่าไร ที่บ้านอาตมามีหมาอยู่ตัวหนึ่ง เขาตายตอนอาตมาอายุ ๑๔ ปี โดนรถชนตาย ไม่ใช่แก่ตาย ก่อนตายเขายังปกติทุกอย่างเลย ยังนำฝูงได้ทุกวัน ด้วยความที่ต่างจังหวัดสมัยก่อนรถรามีน้อย หมาจึงไม่รู้จักรถ ข้ามถนนไม่ได้ระวังรถชนเลย แต่ขนาดรถชนแล้วก็ยังตะกายกลับมาตายที่บ้าน |
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยที่อาตมารบกับพวกเรือหาปลาหน้าวัดท่าซุง ช่วงแรก ๆ เขาก็ลงตาข่าย ตาข่ายผืนหนึ่งกว้าง ๒ เมตร ยาว ๑๒๐ เมตร เขาขึงตาข่ายเป็นรูปตัว z ขวางคลองเลย คนละ ๓ ชุด แล้วปลาจะเหลือไหมแบบนั้น ?
พอเขาเห็นว่าเราจับได้ไล่ทัน เห็นว่าเอาจริงแน่ เขาก็เปลี่ยนไปลงเบ็ดราวแทน ถ้าเขาลงเบ็ดราวตรงฝั่งเราเลย เราก็จะเห็น เขาจึงไปลงตรงข้างโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา ปักหลักแล้วผูกเบ็ด พายเรือข้ามไปฝั่งเขา แล้วก็โรยเบ็ดไล่ไปเรื่อยจนกระทั่งไปถึงหน้าวัดยาง แล้วเขาก็พายข้ามมาฝั่งนี้ พอดึงสายตึงก็จะอยู่ในเขตวัดพอดีเลย พอเราจับได้ไล่ทันอีกเขาก็เปลี่ยนวิธีใหม่ ใช้วิธีเอาแต่เบ็ดตัวเดียวพร้อมกับเหยื่อ แล้วก็ผูกไว้กับกอสวะ จะมีเศษพลาสติกผูกไว้หน่อยให้เป็นเครื่องหมายว่าอยู่ตรงนี้ เราจะไปเห็นก็ตอนที่กอสวะโดนปลาดึงยวบ ๆ เพราะปลาติดเบ็ดแล้ว พอจับได้ไล่ทัน เก็บขึ้นมาหมด เขาก็เปลี่ยนวิธีใหม่อีก เอาขวดน้ำผูกเบ็ดพร้อมกับเหยื่อ แล้วปล่อยลอยผ่านหน้าวัด พอปลากินติดเบ็ดก็ลอยไปเรื่อย เขาจึงพายเรือตามไปเก็บปลา เพราะปลาไปไหนไม่ได้ ติดขวดน้ำรั้งอยู่ เล่นไล่จับกันอย่างนี้แหละ กว่าเราจะรู้เท่าทันแต่ละครั้งเขาก็ได้ไปเยอะแล้ว" |
"พอมาระยะหลังเขาจะมาหาปลาตอนพระออกบิณฑบาต มีเส้นมีสายดูด้วยนะ พอพระเดินเลยคลองยางเมื่อไรเขาก็เริ่มลงมือเลย เขาจะวิ่งเรือเข้ามาถึง วางข่ายลอยซึ่งเป็นข่ายที่มีลูกทุ่นลอยอยู่ด้วย พอวางลงเขาก็เก็บขึ้นเลย
วันนั้นอาตมากระซิบบอกเจ้าวิม ซึ่งเป็นคนขับรถของหลวงพ่อท่านว่า “มึงเอาเรือไปซ่อนไว้ในคลองที” เขาถามว่า “แล้วหลวงพี่จะมาทางด้านไหน ?” อาตมาบอกว่า “เดี๋ยวกูจะเดินลงข้างคลองไป” อาตมาเองก็เดินบิณฑบาต เดิน ๆ ไปพอข้ามคลองยาง รีบส่งบาตรให้รุ่นน้อง บอกว่า "คุณไปต่อ ผมมีงาน.." แล้วก็เดินกลับไป พอเรือพุ่งปราดออกไป เขาลงข่ายพอดีเลย คราวนี้เก็บไม่ทันสิเพราะเป็นข่ายลอย อาตมาก็สาวขึ้นมาแทน ไม่น่าเชื่อว่าแค่ ๕ นาทีได้ปลาเป็นลำเรือเลย หน้าวัดมีปลาเยอะขนาดนั้น หลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนแผนใหม่ พอได้ยินเสียงตีกลองเพลก็ลงข่าย เพราะรู้ว่าพระฉันเพลอยู่ ทั้งวัดฉันพร้อมกัน พวกนี้เขารู้วัตรปฏิบัติของพระ จะสร้างบุญสร้างกุศลตอนไหนเขารู้หมด แต่เขาสร้างบาปอย่างเดียวเลย..! อาตมาก็ไม่ฟังเสียง พอได้ยินรีบวางช้อน บอกพระผู้ใหญ่ว่า “ขอเวลาผมเดี๋ยวหนึ่ง ได้ยินอะไรไม่ต้องตกใจ” แล้วรีบเผ่นขึ้นไปชั้นบนของตึกรับแขก บอกทหารว่า “ยืมปืนกูหน่อย..!” ยิงกราดทีเดียวหมดแม็กเลย พวกนั้นเผ่นกันอุตลุต อาตมายิงขู่เขา แต่ยิงขู่นี่ต้องยิงเป็นนะ ถ้าใช้อาวุธไม่เป็นจะตายเอาจริง ๆ คราวนี้อาตมาฝึกการยิงมาครึ่งชีวิต วิชาฆ่าคนจึงไม่ยากสำหรับอาตมา กราดไปอย่างกับฝนตกรอบเรือเลย พวกนั้นกระชากเครื่องเผ่นกันแทบไม่ทัน พอโดนเข้าแบบนี้เขาถึงจะยอมกลัว" |
"หลังจากนั้นเปลี่ยนแผนใหม่อีก ใช้เรือเครื่องวิ่งตีคู่กันมา แต่ละลำจะลากเรือพายอีกลำหนึ่ง วิ่งผ่านหน้าวัดตอนกลางคืน กว่าจะรู้ว่าเขาเอาอวนผูกท้ายเรือพายก็โดนเขากวาดปลาไปเยอะแล้ว ถ้าเขาเอาอวนผูกท้ายเรือเครื่อง หางเรือจะไปพันอวน เขาเลยต้องเอาเชือกโยงเรือพายอีกลำหนึ่ง แล้วก็เอาอวนลงต่อจากเรือพาย
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อาตมาประกาศทั้งทางโทรโข่งและติดป้ายประกาศ "เรือเครื่องทุกลำกลางคืนห้ามวิ่ง ใครวิ่งยิงหมด..!" พระในวัดโดยเฉพาะรุ่นพี่ ๆ เขาก็สนุก “ทำไมไม่เอาอาร์พีจีมาวะ ? บึ้มให้มันกระจายทั้งลำเลย..!” อาตมาบอกไปว่า “แล้วคนก็ตายห่_ไปด้วย” ที่ขำ ๆ ก็คือ พวกปลาเขารู้จริง ว่าเรารักและปกป้องพวกเขา พออาตมาพายเรือลงไป พวกปลากระสูบตัวยาวเป็นเมตร เกิดอาการตื่นเต้นเหมือนอย่างกับสนุกด้วย มาว่ายข้างเรือแล้วก็พุ่งขึ้นจนน้ำกระจาย กระทั่งพวกทหารตำรวจเขาบอกว่า “พวกปลารู้ขนาดนี้เลยหรือ ?”อาตมาบอกว่า “เขารู้ว่าใครมาช่วย” บางทีพอปลาติดเบ็ดราว อาตมาก็ลงไปนั่งขัดสมาธิอยู่หัวเรือ แล้วลากขึ้นมาพาดตัก ตัวยาวล้นตักเลย แล้วค่อย ๆ แกะเบ็ดให้ กลัวปลาจะเจ็บ ปลาก็ร้องอุ๊ด ๆ ๆ เพิ่งจะรู้ว่าปลาร้องดังมากเลย อาตมาก็ตบ ๆ ตัวปลา “เฮ้ย..แหกปากร้องไปได้ พยายามทำเบา ๆ แล้ว” พอแกะเบ็ดเสร็จปลาก็พลิกตูมลงน้ำไป ตอนช่วงแรก ๆ พอได้พวกเครื่องมือหาปลามา ตำรวจวัดเขามักจะมาอ้างว่าเป็นของกลาง แต่ได้ไปแล้วไม่ได้เอาไปโรงพัก เอาไปคืนเขา พอตอนหลังได้เครื่องมือหาปลามาแล้ว อาตมาจึงเผาทิ้งหมด เผาไปเผามา ๒ - ๓ ครั้ง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า “เฮ้ย..เก็บไว้หน่อย ถ้าไม่มีหลักฐานเดี๋ยวเขากล่าวหาว่าแกรังแกเขาฝ่ายเดียว เก็บเอาไว้ เดี๋ยวข้าจะสร้างพิพิธภัณฑ์ให้” ก็เลยมีพิพิธภัณฑ์เครื่องมือจับปลาที่ข้างใต้มณฑปท้าวมหาราช" |
"ช่วงนั้นมีปัญหากับชาวบ้าน ชาวบ้านเขาก็ยิงเอาบ้าง แจ้งความที่โรงพักบ้าง สารพัดคดี ข่มขู่พระที่บิณฑบาตบ้าง คราวนี้พอมีกิจนิมนต์ รุ่นพี่คือหลวงพี่ละออง ท่านจะบิณฑบาตบนเกาะหน้าวัดประจำ พอมีกิจนิมนต์ท่านบอกว่า “เล็ก..ผมไม่กล้าไปว่ะ” เลยบอกว่า “ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวผมไปแทนเอง” ว่าแล้วอาตมาก็เปลี่ยนตัวไป
พอไปถึงก็ขึ้นบ้านก็ไปนั่งรอบนอาสน์สงฆ์ พอขาใหญ่หาปลาหน้าวัดเดินขึ้นบันไดมาถึง "อ้าว.!" ถอยหลังเกือบตกบันได ไม่นึกว่าอาตมาจะกล้าไป แหม..เขานิมนต์ก็ต้องไปสิ" ถาม : ตอนแกะเบ็ดออกจากตัวปลายากไหมคะ ? ตอบ : อยู่ที่ว่าปลาตัวใหญ่หรือตัวเล็ก ปลาตัวใหญ่เบ็ดกินลึกจะปลดยาก เพราะว่าถ้าเราดึงแรง เงี่ยงเบ็ดจะทำให้เป็นแผล ต้องพยายามจะปลดช้านิดหนึ่ง แต่ว่าปลาคงเป็นประเภทพ้นน้ำนาน เขาก็บ่นใหญ่ แต่ละคืนอาตมาเปียกมะลอกมะแลกทุกคืน เทวดาท่านก็สนับสนุนดีเหลือเกิน พอเวลาอาตมาลงเรือหมาก็หอนส่ง พอขึ้นจากเรือหมาก็หอนรับ บอกชัด ๆ เลยว่าท่านไปด้วย ที่รู้ก็เพราะว่าบางที่เขาวางเครื่องมือจับปลาไว้ ดูเหมือนไม่มีทางที่จะวางได้แต่เขาก็วาง แล้วอาตมาก็บังเอิญต้องเข้าไปเจอทุกครั้ง เหมือนอย่างกับท่านพาไปอย่างนั้น บางที่น้ำลึกประมาณศอกเดียวก็วางเบ็ดราว บางทีเขาก็ประกาศมาก่อนเลย “งานวัดครั้งนี้ กูจะเอาให้หมดหน้าวัด” เขาเอาจริง ๆ นะ แต่ไม่ได้เอาปลาหน้าวัด เขาเอาปลาข้างวัด อาตมาเข้าไปถึงเห็นเบ็ดราวยาวตลอดคลองเลย |
มีแม่พาเด็กคนหนึ่งมาทำบุญ พระอาจารย์จึงบอกว่า "คนนี้แหละ ตัวอย่างของชื่อที่มีอิทธิพลต่อชีวิต ตอนเด็กเข้าโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นเลย พ่อแม่เขาพามาถามว่าเป็นอะไร ? อาตมาจึงบอกให้ไปเปลี่ยนชื่อเล่นเสีย พอเปลี่ยนก็หายเลย ร้อยวันพันปีจะมีสักคนหนึ่งที่ชื่อมีอิทธิพลต่อชีวิต ไม่ใช่ชื่อจริงด้วย เปลี่ยนแค่ชื่อเล่นก็หายดีเป็นปกติ"
ถาม : ชื่ออะไรคะ ? ตอบ : เขาตั้งชื่อเป็นเด็กฝรั่ง บางที "แม่ซื้อ" ไม่ชอบใจ เด็กรุ่นใหม่ ๆ นี่เขาไม่มีแม่ซื้อแล้วกระมัง ? หมอทรัพย์ สวนพลู เวลาเขียนเรื่องผี ๆ จะใช้นามปากกาว่าหลวงเมือง แกเล่าให้ฟังเรื่องแม่ซื้อนี่แหละ ตอนนั้นแม่อยู่คนเดียว ไกวเปลลูกไปเรื่อย พอใกล้เที่ยงแล้วก็หิวข้าว แต่ถ้าปล่อยไว้เดี๋ยวลูกจะตื่น ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้ยินเขาบอกว่ามีแม่ซื้อ ก็เลยเงยหน้ามองฟ้ามองดิน ร้องบอกว่า “ฝากลูกด้วยนะ จะไปซื้อก๋วยเตี๋ยวปากซอยหน่อย” แล้วแกก็ออกไปซื้อก๋วยเตี๋ยว ตอนกลับเดินถือถุงก๋วยเตี๋ยวมา เจอผู้หญิงผมยาวกำลังแกว่งเปลอยู่ แกตกใจถุงก๋วยเตี๋ยวตกแตกเลย ผู้หญิงผมยาวพอได้ยินเสียงถุงก๋วยเตี๋ยวตกก็เงยหน้าขึ้นมาบอกว่า “อ้อ..กลับมาแล้วหรือ ? อย่างนั้นฉันไปล่ะ” ว่าแล้วก็กระโดดขึ้นเพดานหายไปต่อหน้าต่อตา เล่นกันอย่างนี้เลย มาให้เห็นกันกลางวันแสก ๆ ส่วนคนเป็นแม่ก็วิ่งไปอยู่หน้าบ้าน ยืนสั่นอยู่ตั้งนาน พอนึกขึ้นได้ว่าลูกยังอยู่ในบ้านก็วิ่งกลับเข้ามาอุ้มลูก คราวนี้จึงคิดได้ว่า ถ้าตอนแรกอุ้มลูกไปกินก๋วยเตี๋ยวด้วยก็หมดเรื่องไปแล้ว จริง ๆ แม่ซื้อก็เป็นเทวดาประจำตัวนั่นแหละ ส่วนใหญ่จะเป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันมาก่อน มีความรักความเมตตาต่อเรา จะเป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ญาติพี่น้องเพื่อนฝูง พอท่านตายแล้วไปอยู่ข้างบน เห็นแล้วยังจำได้ก็มาตามดูแลเรา |
โยมนี้ก็อีกท่านหนึ่ง ชื่อณพล แปลว่า ไม่มีแรง ส่วนณเดช แปลว่า ไม่มีอำนาจ ไม่มีอำนาจกับไม่มีแรงก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี แต่ยังดีนะ ดีกว่าชื่อปราษณี ตั้งชื่อไพเราะเชียว แต่แปลว่าส้นเท้า
คำบางคำพอไปอยู่อีกภาษาหนึ่งแล้วน่ากลัว มีโยมนามสกุลฟักมี พอไปทำหนังสือเดินทาง เจ้าหน้าที่เขาแนะนำว่าให้เปลี่ยนนามสกุลเถอะ โยมที่เขาชื่อชิตก็เหมือนกัน พอเขียนเป็นภาษาอังกฤษแล้วออกเป็นคำด่าตรง ๆ เลย ที่ขำที่สุดก็คือคริสตีน เป็นฝรั่งผู้หญิงไปขอปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดท่าขนุน ตอนแรกเขาขออยู่ ๑ วัน แล้วก็ขออยู่อีก ๒ วัน ขออีก ๕ วัน เพิ่มไปเรื่อย พอวันท้าย ๆ ดวงจะเฮง เขาพยายามกินอาหารไทยทุกอย่าง วันนั้นก็สงสัยว่าแกงนี้คืออะไร เจ้าไพศาลก็ตอบหน้าตายว่า "ฟัก" คริสตีนขอกลับวันนั้นเลย นึกว่าโดนด่า..! รู้อยู่ว่าเจ้าไพศาลลูกศิษย์วัดเป็นคนประเภทหน้าตาย ยิ้มกับใครไม่เป็น แล้วไปตอบเป็นจริงเป็นจังขนาดนั้น ตัวเองก็ไม่รู้ว่าตอบไปแล้วดุเดือดขนาดไหน เล่นเอาฝรั่งปฏิบัติธรรมอยู่ดี ๆ เปิดแน่บไปเลย คงไปนั่งวิเคราะห์วิจัยกันยกใหญ่ว่า เราทำอะไรผิดถึงได้โดนด่า ไพศาลเป็นคนไม่ค่อยยิ้มแล้วก็พูดห้วน ๆ ด้วย อุตส่าห์ตอบคำถามให้กลายเป็นฝรั่งเปิดไปเลย |
ถาม : เวลาเราภาวนาก็ภาวนาไป ที่ฟุ้งก็ฟุ้งไป ควรทำอย่างไร ?
ตอบ : การแยกจิตเป็นหลายส่วนถ้าไม่ชำนาญจะคุมยาก แล้วจะมีผลเสียตรงที่ว่าภาวนาไปด้วยฟุ้งซ่านไปด้วย วิธีแก้ก็ต้องดึงความรู้สึกทั้งหมดมาอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้า คือรวมจิตให้เป็นหนึ่งเดียวใหม่ ไม่อย่างนั้นก็จะฟุ้งไปภาวนาไป ในส่วนของกุศลก็ได้ ในส่วนของอกุศลก็ได้ ก็เลยไม่รู้ว่าไปทำแล้วจะขาดทุนหรือเปล่า ? |
ถาม : ร้านคอมพิวเตอร์เขาลงโปรแกรมเถื่อนมาให้ค่ะ กลัวผิดศีลข้อสอง
ตอบ : แล้วเราได้ขโมยเขามาไหมเล่า ? ถาม : เปล่าค่ะ ตอบ : แล้วตอนที่เอาคอมพิวเตอร์ไปให้ร้าน เราระบุหรือเปล่าว่าเอาโปรแกรมเถื่อน ? ถาม : เปล่าค่ะ ตอบ : ถ้าไม่ได้ระบุ เขาลงอะไรมาให้ก็ใช้ไปสิ ถาม : แล้วอย่างหนังแผ่นเถื่อนล่ะคะ ? ตอบ : นั่นละเมิดลิขสิทธิ์ชัด ๆ เลย ถาม : เรายืมเขาดูค่ะ ตอบ : ยืมดูไม่เป็นไร แต่อย่ายืมบ่อย เดี๋ยวพาให้เพื่อนเขาละเมิดบ่อย |
ถาม : ช่วงนี้เพื่อนขับรถแล้วประสบอุบัติเหตุบ่อยค่ะ จะมีนิมิตทำให้เขาเกิดอุบัติเหตุ เช่น เห็นผู้หญิงมาเดินกลางถนนบ้าง
ตอบ : บอกเขาว่าให้ภาวนา ขอบารมีพระสงเคราะห์ทุกวันก่อนออกรถ ถ้าหากมีเวลาก็ว่าอิติปิโสฯ ๓ จบไปเลย ถ้าหากไม่มีเวลาก็ใช้คาถาบารมี ๓๐ ทัศก็ได้ ขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ จะได้ป้องกันเรื่องพวกนี้ได้ อันนี้ต้องมีกรรมเก่าเนื่องกันมาด้วยจ้ะ ถ้าไม่มีกรรมเก่าเนื่องกันมาเขาก็ทำอะไรไม่ได้ หรือไม่ก็ให้เขาไปปล่อยปลา ปล่อยวัวปล่อยควายสะเดาะเคราะห์ไปเลย |
พระอาจารย์กล่าวว่า "จริง ๆ แล้วถ้าให้เด็กมีสัตว์เลี้ยงแล้วจะดีนะ เขาจะได้รู้วิธีปฏิบัติต่อคนอื่น แต่ว่าต้องค่อย ๆ สอน บางคนไม่รู้หนักไม่รู้เบา เหมือนอย่างจ๊ะเอ๋สมัยก่อน อาตมาเลี้ยงอีเห็นไว้ จ๊ะเอ๋เขาวิ่งไล่ต้อนซ้ายต้อนขวา พักเดียวบีบคอห้อยร่องแร่งมาเลย ถ้าไม่รีบแย่งเอาไว้ก่อนก็ตายแน่นอน"
|
คุณบัง (นที) ซึ่งเคยอยู่รับใช้หลวงพ่อฤๅษีมาก่อน มากราบพระอาจารย์ที่บ้านวิริยบารมี พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "บังเมื่อครู่ที่มาเป็นอิสลามจริง ๆ นะ ช่วงแรก ๆ พี่อรรณนพ (ร.ต.ท. อรรณพ กอวัฒนา - ยศขณะนั้น) ส่งมารักษาความปลอดภัยให้หลวงพ่อ บังก็ยืนเฝ้าหน้าประตูโน้น เขาก็คงจะได้รับการสอนแบบของเขามาว่า การเข้าศาสนสถานของศาสนาอื่นจะลงนรก บังก็ได้แต่ยืดคอมองคนที่มาถวายสังฆทาน
วันหนึ่งก็แล้ว สองวันก็แล้ว คนเยอะขึ้น ๆ พอวันที่ ๓ บังเขานึกอย่างไรไม่รู้ กราบหลวงพ่อด้วย ตั้งแต่นั้นมาก็ค่อย ๆ เกิดความเลื่อมใสมาเรื่อย เพราะสิ่งที่หลวงพ่อบอกและสิ่งที่หลวงพ่อทำ เขาเห็นอยู่กับตาว่าเป็นจริงอย่างไร ตอนหลังจึงเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธแบบไม่บอกทางบ้าน ถึงเวลาก็แขวนลูกแก้วหลวงพ่อ ทางบ้านก็ว่าไม่ได้เพราะไม่ใช่รูปพระ ถามว่าบังเป็นคนเกเรไหม ? เป็นนะ..ที่เขามาบ่นเรื่องลูกให้ฟัง อาตมาถึงได้บอกว่าได้เลือดพ่อไปเยอะ แต่เขาเกเรแบบคนฉลาด เกเรอยู่ในกรอบ ไม่ไปนอกกรอบไกล อย่างไหนถ้าหลวงพ่อห้ามเขาเลิกเลย ถ้าหลวงพ่อไม่ห้ามเขาทำไปเรื่อยแหละ คนอื่นเห็นแล้วคิดว่าหวาดเสียวเกิน เขาไม่สนใจหรอก แต่ถ้าหลวงพ่อห้ามเขาจะหยุด" ถาม : ลูกศิษย์หลวงพ่อที่เป็นอิสลามมาก่อนมีอีกบ้างไหมคะ ? ตอบ : มีเยอะ..เจ้าแขก (นางสาววัลยาภรณ์ ปุณยัง) นั่นก็อิสลาม สมัยก่อนบวชอาตมาก็เพื่อนอิสลามเยอะแยะ ที่มีปัญหากันก็คือพวกรุ่นหลัง ๆ ที่ไปเรียนต่างประเทศแล้วก็โดนล้างสมองมา รุ่นก่อน ๆ เขาไม่เป็นแบบนั้นหรอก |
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : รักษาศีลได้ไหมจ๊ะ ? พอไหวไหม ? ถ้าได้เน้นในเรื่องความบริสุทธิ์ของศีล ศีลจะเป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันได้ดีมาก ๆ ถ้าเราไม่ละเมิดศีลด้วยตัวเอง ไม่ยุยงให้คนอื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อคนทำ อานุภาพของศีลจะคุ้มครองเราได้ คราวนี้ก็เพิ่มความมั่นคงด้วยการทำสมาธิไปด้วย การทำสมาธิที่ดีที่สุดก็คือการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ตื่นนอนมาก็ว่าสัก ๕ - ๑๐ นาที ก่อนนอนก็ว่าสัก ๕ - ๑๐ นาที พอกำลังใจมั่นคงก็อาราธนาบารมีพระ ถ้าหากว่าแขวนพระเครื่องก็นึกถึงพระเครื่องที่คอ ถ้าไม่ได้แขวนพระก็นึกถึงพระพุทธรูปสำคัญองค์ใดองค์หนึ่ง อย่างเช่น พระแก้วมรกต เป็นต้น ขอบารมีพระท่านสงเคราะห์คุ้มครองเราให้ปลอดภัย ถ้าทำอย่างนี้ได้ทุกวันก็ปลอดภัยแน่ ๆ ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ที่ทำแล้วก็แล้วกัน ถ้ามีโอกาสก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาไป ถ้าไม่มีโอกาสก็ตั้งใจว่าสิ่งที่เราทำ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาศีลหรือเจริญภาวนาเป็นบุญใหญ่อยู่แล้ว ให้ตั้งใจอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรบ่อย ๆ พวกนี้พอรับไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวเขาก็ใจอ่อนอโหสิกรรมให้เอง การสะเดาะเคราะห์ที่ดีที่สุดต้องทำด้วยตัวเองจ้ะ |
มีพระรูปหนึ่งกำลังตรวจต้นฉบับหนังสือ พระอาจารย์กล่าวว่า "อย่าดูบ่อย ดูบ่อยแล้วจะตาลาย เพราะคิดว่าถูกแล้ว ถ้านาน ๆ ดูทีจะเห็นข้อผิดพลาด พวกตรวจต้นฉบับหนังสือเขาก็มักจะคิดว่าถูกแล้ว พอดูแล้วเขาจะมองผ่าน ประสบการณ์นี้เจอด้วยตัวเอง ตรวจเมื่อไรมักจะเจอที่ผิดทีหลัง
เพราะฉะนั้น..หนังสือราชการเขาถึงได้มี ผู้พิมพ์ ผู้ตรวจ ผู้ทาน ถ้ามีข้อผิดพลาดขึ้นมา ๓ คนนี้รับผิดชอบร่วมกัน คนหนึ่งพิมพ์ คนหนึ่งตรวจแก้ คนหนึ่งสอบทาน ถ้า ๓ คนแล้วยังผิดอีกก็เตรียมตัวรับเละได้เลย" |
"คำว่า กราย ใช้ ร.เรือ ควบกล้ำ แปลว่า ผ่าน ใกล้ กระทบ เช่น “กรายหัวข้าเฝ้าเข้ามา ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าธานี” คือเดินเฉียดหัวเข้ามาเลย อันนั้นคือมาตุลีเทพบุตรแปลงเป็นพลถือสารเข้าไปหาท้าวสามล
ในสารว่าองค์พระทรงเดช.............. มงกุฎเกศกษัตริย์เป็นใหญ่ ยกทัพมาประชิดติดเวียงชัย............มิใช่จะณรงค์สงคราม ขอให้ท้าวสามลคนดี...................มาตีคลีพนันในสนาม จะได้มีชื่อยศปรากฏนาม.................ให้ชีพราหมณ์ราชครูดูเป็นกลาง แม้เราแพ้แก่ท่านในการเล่น..............จะยอมเป็นเมืองขึ้นไม่ขัดขวาง เราชนะจะริบไม่ละวาง...................สาวสรรกำนัลนางเป็นของเรา แม้วันนี้มิออกมาเล่นคลี..................จะเข้าตีกรุงไกรเอาไฟเผา ท้าวสามลแม้รู้อย่าดูเบา................จะวอดวายตายเปล่าทั้งเวียงชัย เรียกว่าทั้งปลอบทั้งขู่เลย แล้วไปตีคลีกับพระอินทร์ ใช่ว่าหน้าไหนจะชนะได้ เท่ากับว่าวางหมากให้อย่างไรก็ต้องออกไปเจอสังข์ทองจนได้ นั่นแหละมาตุลีเทพบุตร เดินเฉียดหัวบรรดาเสวกามาตย์ข้าราชบริพารเข้าไปเลย จริง ๆ แล้วสถาบันพระมหากษัตริย์ของเรานั้น ต้องบอกว่าเปิดกว้างมาตั้งแต่โบราณ ทั้งที่มีกฎมณเฑียรบาลบังคับอยู่ ยังเปิดกว้างทางวรรณคดี อย่างเรื่องสังข์ทองสถาบันพระมหากษัตริย์กลายเป็นตัวตลกไปเลย เพราะฉะนั้น..พวกที่จะมาแก้กฎหมายไม่ต้องมาแก้ให้เสียเวลาหรอก เขาระบายอารมณ์กันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว" |
ถาม : เรื่องคลีครับ ไม่ทราบว่านอกจากเรื่องสังข์ทองแล้วมีวรรณคดีเรื่องไหนอีกบ้างที่กล่าวถึงการตีคลี ?
ตอบ : น่าจะมีแต่เรื่องนี้ สมัยก่อนเขาเรียกตีคลี ปัจจุบันเป็นโปโล ถาม : ตามประวัติศาสตร์เขาบอกว่ามีในอินเดียมาก่อน ตอบ : เรารับวัฒนธรรมจากอินเดียเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว วรรณคดีเก่าทั้งหมดที่อ่านมาไม่มีเรื่องไหนเอ่ยถึงคลีมาก่อน ยกเว้นสังข์ทอง |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ทางร้านสมชัยดนตรีไทยเขาช่วยเอากลองหลวงไปซ่อมให้ใบหนึ่ง ทำเสร็จแล้วจะเอาไปจัดเข้าพิพิธภัณฑ์ไว้ กลองใบนั้นน่าจะโตสัก ๒ คนโอบเศษ ๆ ไม้ใหญ่ขนาดนั้นเดี๋ยวนี้หายากแล้ว กลองใบนี้เหลือแต่โครงอยู่ หนังกลองผุเปื่อยหมด เหล็กรัดก็แทบจะไม่เหลือแล้ว ทางร้านสมชัยดนตรีไทยก็เลยเอาไปขึงให้ใหม่ เขามารายงานว่าเหลือแต่การทำสี
การขึงหนังกลองควรจะขึงหน้าฝน เพราะว่าหนังจะชื้นแล้วก็หย่อน ถ้าเราขึงตึง พอถึงหน้าหนาวก็จะตึงได้ที่พอดี แต่ถ้าเราไปขึงหน้าหนาว ต่อให้ตึงขนาดไหน ถึงเวลาหน้าฝนก็จะหย่อน" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมากำลังรอจังหวะเอาผ้าไตรพระราชทานมาครอง ความจริงอาตมาเป็นคนที่ไม่ค่อยจะเปลี่ยนของ โดยเฉพาะผ้าไตรชุดเก่า ๆ จะห่มสบายกว่าเพราะอยู่ตัวแล้ว แต่คราวนี้พระผู้ใหญ่ท่านเตือนมาว่า ของพระราชทานควรจะเอามาใช้งาน เพื่อที่จะได้อุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็เลยกำลังคิดว่าจะเอาชุดเก่ามาประมูลก่อนดีไหม ?
แต่คิดว่าคงต้องเลยงานฉลองไปแล้ว เพราะว่าตอนงานฉลองนี่สัญญาบัตร พัดยศ กับผ้าไตรต้องอยู่ครบ ถ้ามาอยู่กับตัวเราก็ดูไม่ดี ต้องอยู่บนพานเท่านั้น" |
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยที่ทหารติดตามพระเจ้าตากออกรบกัน ตอนช่วงนั้นพระเจ้าตากมีทหารคู่พระทัยอยู่ ๑๐ ท่านด้วยกัน ท่านทั้งหลายเหล่านี้รบไปรบมากลายเป็นพระยากันหมด มีพระยาศรีสิทธิสงคราม พระยาสามเมืองระย่อ พระยาพนอราชบาท พระยาไพรีพินาศ พระยาพิฆาตไพรี พระยาพิชัยสงคราม เป็นต้น
มีศึกอยู่ครั้งหนึ่งพม่ามาตี จึงยกทัพออกไปตั้งค่ายรับ ปรากฏว่าตั้งค่ายเสร็จม้าเร็วก็ยังไม่มาแจ้งว่ากองทัพพม่าอยู่ที่ไหน แปลว่ายังห่างจากพม่าอยู่ ท่านพระยาทั้งสิบก็ “เฮ้ย..ไปหาหวากกินกันหน่อย” อันนี้เป็นเรื่องนอกประวัติศาสตร์นะ ถือว่าเล่านิทานให้ฟัง เด็กสมัยนี้คงไม่รู้จัก "หวาก" จริง ๆ แล้วก็คือกระแช่หรือน้ำตาลเมานั่นแหละ ขาไปนั่งคานหามไปอย่างโก้เลย เพราะว่าพระยาจะมีคานหามประจำตำแหน่ง พอไปถึงบ้านที่มีหวากขายก็ไล่ทหารรับใช้กลับ ถามว่าทำไมถึงไล่กลับ ท่านบอกว่า “เมาเหมือนหมา..เดี๋ยวคนจะไม่เคารพ” ต้องไล่กลับก่อนแล้วค่อยเมา พอกินกันหัวทิ่มหัวตำเรียบร้อยดีแล้วค่อยกลับค่าย ผลปรากฏว่ามาเอาค่ำแล้ว..ค่ายปิด กลางคืนค่ายปิดนี่อย่าไปเรียกให้เปิดนะ..หัวขาดเลย เพราะกลัวว่าข้าศึกจะปลอมตัวมาหลอกให้เปิดค่าย ท่านทั้งสิบก็ไปซุกนอนอยู่กับทหารยาม เมาก็เมา ง่วงก็ง่วงเลยนอนเพลิน ฟ้าสว่างโร่ทัพพม่ายกโผล่มาชายทุ่งแล้ว คราวนี้ต้องตาลีตาเหลือกลุก อาวุธก็ไม่มี คว้าดาบพลทหารได้ก็วิ่งดาหน้าเข้าหากองทัพพม่า บอกพลทหารว่าให้รีบไปแจ้งพระเจ้าตากให้ยกทัพมาช่วย เป็นการรบที่พร้อมเพรียงมาก ๑๐ กองทัพออกพร้อมกันหมดเลย กำลังพล ๑๐ นาย ไม่มีลูกน้องแม้แต่คนเดียว..!" |
"ด้วยความที่นายทหารแข็งแรง กำลังดีกว่า ก็จะใช้อาวุธที่ทั้งหนาทั้งหนัก แต่นี่ไปคว้าอาวุธทหารยามมา ซึ่งเป็นอาวุธน้ำหนักเบากว่า บางกว่า พอไปปะทะกับแม่ทัพฝ่ายตรงข้ามก็เป็นเรื่อง เพราะเอาอาวุธพลทหารไปปะทะกับอาวุธแม่ทัพ ครั้งนั้นพระยาพิชัยท่านถึงได้ฉายาว่า "ดาบหัก"
ความจริงไม่ใช่อันตรายที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เป็นอันตรายเกิดขึ้นกับพระยาศรีสิทธิสงคราม ข้าศึกฟันจากข้างหลังเพราะว่าตะลุมบอนกัน พระยาพิชัยท่านสอดดาบเข้าไปรับแทน ดาบจึงหัก ครั้งนั้นถ้าหากว่าพระเจ้าตากเปิดค่ายมาช่วยไม่ทันก็คงน่วม พอถล่มทัพพม่าเละเทะเรียบร้อยเสร็จสรรพ ยกทัพกลับค่าย สิบพระยาก้มหน้าดูดินกันหมดเลย พระเจ้าตากชี้หน้าบอกว่า “งานนี้ถ้าแพ้พม่า พวกมึงหัวขาดหมด..!” ยังโชคดีว่าสิบท่านยันพม่าอยู่ จนเปิดค่ายออกมาต่อสู้ได้ทัน ตอนนั้นพูดง่าย ๆ ว่าสู้กันถวายหัว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องยันให้หยุดให้ได้ สรุปว่าเรื่องนี้เป็นนิทาน อวสานแต่เพียงเท่านี้แล..!" |
"ตอนไปที่บ่อเหล็กน้ำพี้ จะมีบ่อพระแสง บ่อพระขรรค์ อาตมาไปหาดาบเผื่อได้ถูกใจตัวเอง จับดูทุกร้านแล้วไม่มีถูกใจเลย มีแต่เบาเกินไป จับไปก็บ่นไป จนกระทั่งท้ายสุดเจ้าของร้านหนึ่งบอกว่า “เดี๋ยวครับ..ผมเอาที่ทำพิเศษให้เลย” ว่าแล้วแกก็คว้าดาบมายาวเมตรครึ่ง อาตมาลองจับดูก็ยังเบาเกินไปอยู่ดี เลยถามว่านี่ถ้าสั่งตีจริง ๆ ทำให้หนากว่านี้ได้ไหม ? เขาบอกว่า “ได้ครับ..แต่ราคาต้องอีกระดับหนึ่ง เพราะว่าเหล็กน้ำพี้ปัจจุบันเป็นของหายากมาก”
ถ้าจะเอาน้ำหนักที่อาตมาต้องการ คงตีแบบเดิมได้อีกหลายเล่มเลย ฉะนั้น..เมื่อหาทั้งหนาทั้งหนักขนาดนั้นไม่ได้ ก็เลยรีรอมาถึงทุกวันนี้ เพราะว่าถ้าอยู่ ๆ ไปสั่งเอาสันดาบหนา ๑ เซนติเมตร เขาคงช็อกตาค้าง แต่อาตมาขำตอนที่บรรดาท่านพระยาพูดว่า “พวกเอ็งกลับกันได้แล้ว” ทหารเขาว่า “อ้าว..ทำไมละขอรับ ?” พอไล่ทหารไปเสร็จแล้วค่อยหันมาคุยกัน “ถ้าขืนเมาเหมือนหมาให้พวกนี้เห็น เดี๋ยวมันก็เลิกเคารพเท่านั้น” แสดงว่ายังมีสติ ไม่อยากให้ลูกน้องเห็นตอนหมดสภาพ เรื่องของการศึกการสงคราม บางอย่างถ้าไม่ใช่ผิดกฎอัยการศึกจริง ๆ ก็ต้องพยายามเมิน ๆ เสียบ้าง เพราะต่างคนต่างเครียดด้วยกันทั้งนั้น ถ้าไม่เสียงาน อยากจะไปกินเหล้าเมาหัวทิ่มบ่อให้หายบ้าสักหน่อยก็ไปเถอะ " |
"สมัยนั้นตำแหน่งอาลักษณ์จะเหนื่อยมาก ถ้าเทียบเป็นสมัยนี้ก็เป็นเลขานุการ ถึงเวลาออกรบ ถ้าใครมีความดีความชอบ หรือโดนปลดยศลดขั้น หรือตัดเบี้ยหวัด ก็จะมีรับสั่งออกมา อาลักษณ์จะต้องเป็นคนจดรายละเอียด เช่น ท่านนี้ได้รับเลื่อนขึ้นมาจากหัวหมื่นขึ้นมาเป็นคุณหลวง ท่านนี้จากคุณหลวงขึ้นไปเป็นพระยา ต้องรีบจดรายละเอียดไว้
พอถึงเวลากลับสู่บ้านเมืองแล้ว ก็แจ้งให้ทางกองพระราชพิธีเขาทำตราตั้ง เพื่อที่จะพระราชทานอย่างเป็นทางการอีกที เพราะฉะนั้น..อาลักษณ์จะพลาดไม่ได้เลย พลาดเมื่อไรเดี๋ยวหัวขาด เมื่อถึงเวลาจะมีการให้รางวัลคนนั้นเท่านั้น คนนี้เท่านี้ เบี้ยหวัดเท่าไร ผ้าปีเท่าไร ไปนึกถึงสมัยนั้นแล้วเรื่องการทอผ้าเป็นงานยาก เวลาบ้านเมืองต่าง ๆ ส่งบรรณาการเข้ามา เป็นผ้าหรือภาษีเข้ามาก็จะเป็นพวกผ้า ช้าง ม้า เครื่องเทศหรือข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ เก็บเข้าคลังหลวง แล้วเบิกมาแจกรางวัลทหาร คราวนี้ ผ้าปี ก็คือ ปีหนึ่งเบิกได้ครั้งหนึ่ง ปีหนึ่งพระราชทานครั้งหนึ่งเรียกว่าผ้าปี อย่างสมัยที่เจ้าพระยายมราช สมัยยังเป็นจมื่นไวยวรนาถ จะกี่ปีท่านก็ใช้ผ้าสมปักอยู่ชุดเดียว เพราะว่าเป็นชุดที่ต้องใส่เพื่อเข้าเฝ้า ในเมื่อกี่ปีก็ใส่อยู่ชุดเดียว คนเขาก็เลยไปอธิษฐานกันว่า ขออย่าให้เป็นผ้าสมปักพระนายไวย เขาอธิษฐานคล้องจองกันยาวยืดเลย แต่มีอยู่อันหนึ่งว่าขออย่าให้เป็นผ้าสมปักพระนายไวย เพราะใช้กันหัวไม่วางหางไม่เว้น ผืนเดียวใช้จนเปื่อยแล้วเปื่อยอีก" |
"มานึกถึงตัวอาตมาเองซึ่งมีความเคยชินอย่างหนึ่ง ก็คือประหยัดในเรื่องของบริขารต่าง ๆ ถ้าของเก่าไม่เสีย ของใหม่จะไม่ใช้ ตอนไปเรียนหนังสือ เพื่อนร่วมห้องเขาเห็นจีวรอาตมามีรอยเย็บรอยปะ ความที่สนิทกันเขาก็บอกว่า “เฮ้ย..เดี๋ยวอาทิตย์หน้ากูถวายชุดหนึ่ง” อาตมาก็หัวเราะบอกว่า “ไม่ต้องหรอก..กูมีเยอะกว่ามึงอีก" ด้วยความที่อาตมาประหยัด ก็ใช้ของเก่าไปก่อน
โดยเฉพาะจีวรเก่าจะห่มสบาย จีวรใหม่ ๆ ห่มไม่ติดตัวหรอก พับก็ไม่อยู่กับร่องกับรอย กว่าจะห่มติดตัวได้ก็ต้องปล้ำผีลุกปลุกผีนั่งกันหลายเดือน ส่วนใหญ่ถ้าเป็นพระเก่าจะไม่ค่อยใช้จีวรใหม่หรอก บางทีไปเล็งรอพระใหม่ออกพรรษา พอพระใหม่สึกก็ไปขอผ้าเขามา เพราะอย่างไรพระใหม่ต้องส่งคืนคลังอยู่แล้ว ก็ไปขออนุญาตเบิกมา เอามาเปลี่ยนแล้วทำพินทุ อธิษฐานใหม่ กลายเป็นว่าพระใหม่ใช้มาพรรษาหนึ่ง ผ้ากำลังนุ่มได้ที่ พระเก่าก็คว้าต่อเลย" |
"สมัยอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาพยายามที่จะเปลี่ยนบริขารท่านเพื่อเก็บไว้ แรก ๆ เปลี่ยนจีวรท่านทีไรโดนด่าทุกที พอถึงเวลาก็ “เฮ้ย..ใครเอาจีวรข้าไปวะ ?” อาตมากราบเรียนว่า “ผมครับ” ท่านบอกว่า “ไปเอาของเก่าคืนมา” อาตมาก็ต้องไปเอาของเก่ามาถวาย แล้วก็มานั่งเล็งดูว่าเป็นเพราะอะไร
ผืนใหม่ก็อุตส่าห์ซักจนดูเก่าแล้ว ระยะหลังต้องใช้วิธีกางออกมาวัด ปรากฏว่าผืนใหม่ยาวกว่า ๒ นิ้ว แค่จับก็รู้ว่าผิดปกติแล้ว ถึงเวลาจึงต้องหาผ้าที่เท่ากันให้ได้ แล้วก็ไปซักแล้วซักอีก สะบัดแล้วสะบัดอีก จนกว่าผ้าจะนุ่มใกล้เคียงผืนเก่าแล้วค่อยเอาไปเปลี่ยนกับท่าน เปลี่ยนมาแล้วก็เก็บไว้ กะว่าหลวงพ่อสิ้นเมื่อไรกูรวยแน่ อันนี้ไม่ใช่นะ..พูดเล่น..(หัวเราะ) พอมาช่วงหลังหลวงพ่อท่านป่วยหนัก ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายของท่านแล้ว ท่านเข้าโรงพยาบาล อยู่ ๆ หลวงปู่สมเด็จวัดสามพระยาก็โทรศัพท์มาหาหลวงพี่วิรัช บอกให้รีบจัดพิธีเผาศพสะเดาะเคราะห์ให้กับหลวงพ่อวัดท่าซุง โดยเฉพาะให้นำของใช้เก่าของหลวงพ่อเผาไปด้วย แล้วก็มีหน้าเหี้ยม ๆ ยื่นมาถามอาตมาว่า “เฮ้ย.! มีไหม ?” ตายละวา..ถ้าไม่ให้แล้วเกิดหลวงพ่อเป็นอะไรไป ก็ซวยคนเดียว ถ้าให้...อุตส่าห์เก็บมาแทบตายก็หมดเท่านั้น ท้ายสุดก็ต้องตัดใจให้ไป ปรากฏว่าสะเดาะเคราะห์ช้าไปหรืออย่างไรไม่รู้ หลวงพ่อช็อกไปก่อน หมอกู้ไม่คืน..!" |
ถาม : แล้วตอนนี้ยังเหลือบ้างไหมครับ ?
ตอบ : เหลือสังฆาฏิอยู่ ๒ ผืน โดนปล้นไปผืนหนึ่งแล้ว..! ถาม : ใครปล้นคะ ? ตอบ : พี่แถว ๆ สระบุรีท่านขอไป สังฆาฏิของหลวงพ่อนี่จะชัดมากเลย เพราะว่าท่านเป่ายานัตถุ์ประจำ จะมีผงยานัตถุ์เป็นรอยอยู่ ถ้าแกะออกมาแล้วไม่มีนี่ไม่ใช่หรอก ถาม : แล้วที่เปลี่ยนจีวร หลวงพ่อท่านรู้ได้อย่างไรว่านี่ไม่ใช่จีวรของท่านคะ ? ตอบ : พอกางจีวรออกมาแล้วจะรู้ อาตมายังรู้เลย พอกางออกมาแล้วยาวเกิน สั้นเกิน จะรู้ทันที เพราะว่าใช้จนชินแล้ว ด้วยความที่ไม่เคยชิน พอหลวงพ่อถอดจีวรอาตมาก็คลี่สะบัดแล้วเอาไปตากแดด จะได้ไม่ชื้น โดนด่าอีก ท่านบอกว่าจีวรตากแดดสีจะซีดเร็ว ให้ตากในร่ม สรุปว่าโดนทุกเม็ด อยู่กับท่านต้องละเอียดจริง ๆ เดินผิดจังหวะยังโดนเลย จนท้ายสุดต้องเดินอย่างไรให้เบา ไม่ใช่ไปลงส้นดังตึง ๆ |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:39 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.