กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3131)

เถรี 21-01-2012 16:03

ถาม : ขอพรหน่อยค่ะ จะแต่งงาน
ตอบ : ไม่ต้องขอพรอะไรหรอก อดทนให้มาก ๆ ก็พอ รับประกันซ่อมฟรี ชีวิตคู่เหมือนลิ้นกับฟัน เรื่องที่จะไม่กระทบกระทั่งกันไม่มีหรอก เพราะฉะนั้น..ต้องอดทนให้มาก ๆ

เถรี 21-01-2012 16:09

มีโยมนำพระบรมสารีริกธาตุมาถวาย พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของพระธาตุ ถึงแม้จะสร้างขึ้นมาเลียนแบบก็ตาม แต่ก็อยู่ในลักษณะเดียวกับพระพุทธรูป เป็นของที่สำคัญมาก เราจะทำเล่น ๆ ไม่ได้

พระบรมสารีริกธาตุของจริงนี่ วัตถุใดสัมผัสถูกเทวดาก็รักษาหมด เพราะฉะนั้น..ภาชนะที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไม่ใช่เราจะไปทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ได้ ถ้าเจอเทวดาท่านที่ปล่อยได้วางได้ปลงได้ก็แล้วไป เจอเทวดาท่านที่ไม่ชอบใจแล้วลงไม้ลงมือด้วยเราจะเดือดร้อน..!"

เถรี 21-01-2012 16:17

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาตั้งราคาตะกรุดมหาสะท้อนไว้แพง เพราะว่าเป็นของอันตราย ไม่อยากให้เอาไปใช้ เห็นผลมาเยอะต่อเยอะจนอาตมาสยดสยองเองแล้ว

พวกเราส่วนใหญ่สร้างบารมีมามาก บุคคลที่สั่งสมบารมีใน ศีล สมาธิ ปัญญา ไปถึงระดับหนึ่ง จะเกิดเป็นบุญฤทธิ์ขึ้น ในเมื่อเป็นบุญฤทธิ์ขึ้นมา คนคิดร้ายก็แย่แล้ว แถมเรายังไปเล่นตะกรุดมหาสะท้อนด้วย คนนั้นก็เดี้ยงสถานเดียว..!

ฉะนั้น..จริง ๆ แล้วไม่ต้องมีตะกรุดหรอก ภาวนาคาถา เมสัมมุกขา สัพพาหะระติ เตสัมมุกขา ไว้ทุกวัน กำลังใจทรงตัวก็คุ้มได้เหมือนกับมีตะกรุดนั่นแหละ ถ้าเรารู้สึกว่าราคาแพงก็ไม่ต้องห่วง..ของฟรีมี ภาวนาเอาเองก็ได้ แต่พวกเราส่วนใหญ่พอบอกให้ไปภาวนาก็ไม่มั่นใจ ท้ายสุดก็มาเอาตะกรุดไปจนได้

มีหลายท่านสงสัยว่าพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านรุ่น ๑ ที่อาตมาเผลอใส่ตะกรุดมหาสะท้อนไป มีเนื้อไหนบ้างที่ใส่ ก็มีเนื้อทองคำ เนื้อเงินและเนื้อนวโลหะ เพราะฉะนั้น..ถ้าใครใช้พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน ๓ เนื้อนี้ คนหรือสัตว์กำลังคลอดอยู่ อย่าเข้าไปใกล้นะ โปรดเมตตาเขาหน่อย ถ้าเขาคลอดไม่ได้แล้วจะยุ่ง"

เถรี 22-01-2012 08:46

พระอาจารย์อ่านหนังสือเรื่อง ปริศนาเอสกิโม แล้วเล่าให้ฟังว่า "พวกเอสกิโมพอไปเจอสบู่อาบน้ำของฝรั่ง อยากรู้ว่าอร่อยหรือเปล่า ก็เอาใส่ปาก อาตมาเลยนึกถึง อ.โมเช่ของเรานี่แหละ อาตมาพาท่านเสียคน กลายเป็นกะเหรี่ยงที่ทันสมัยไปเลย

เวลาเอาข้าวของแปลก ๆ พวกกาแฟซอง มีโอวัลตินซองเข้าไป อ.โมเช่ก็จะถาม พอไปเจอผงซักฟอกซองเข้า ท่านถามว่าอันนี้กินอย่างไร ?(หัวเราะ) ยังดีนะว่าท่านเป็นคนฉลาด ถามก่อนทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่องยา อ.โมเช่จะระวังมากเป็นพิเศษ ถ้าไม่ถามจนละเอียดจริง ๆ ท่านจะไม่กินเด็ดขาด เพราะรู้ว่ายาฝรั่งอันตราย ท่านยอมใช้สมุนไพรดีกว่า เป็นคนล้าสมัยแต่รอบคอบมาก

มีอยู่ครั้งหนึ่งไปค้างกัน ๗-๘ วัน ท่านต้มยาชนิดหนึ่ง ซึ่งผีบอกว่ากันเอดส์ได้ พวกเราก็แห่กันไปกิน พอกินแล้วจะเกิดผลหรือไม่ ตอนกลางคืนมืด ๆ ให้เอาฝ่ามือมาถูกันดู ถ้าเกิดผลจะมีประกายไฟแลบลั่นไปหมด ยาของท่านแปลกดีเหมือนกัน

คราวนี้พวกเราไปก็ทำอาหารเลี้ยงท่านบ้าง เพราะที่ผ่านมาให้ท่านเลี้ยงอยู่ฝ่ายเดียว ข้าง ๆ กระต๊อบมีดงไผ่ พวกเราไปเจอหน่อไม้เข้าก็เก็บมาเผา ปอกเปลือก ต้มใส่ใบย่านาง ต้มไว้ค้างคืน รุ่งขึ้นก็เอามาผ่าแล้วซอยหมักใบย่านางไว้ รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง อ.โมเช่เห็นว่ายังหมักน้ำใบย่านางอยู่ ท่านก็เอาขึ้นมาเพื่อที่จะทำอาหาร พวกเราก็บอกว่า “ยัง ๆ..โมเช่..ยังกินไม่ได้”

ท่านโมเช่ว่า “โอโฮะ..๒ วันยังกินไม่ได้อีก..!” ท่านไม่เคยเจออาหารอะไรที่ทำช้าอย่างนี้มาก่อน ความจริงหน่อไม้ถ้าหมักใบย่านางแล้วจะอร่อย พวกเราทำอย่างใจเย็น ส่วนท่านประเภททำเดี๋ยวนั้นกินเดี๋ยวนั้นเลย"

เถรี 22-01-2012 08:58

"ตอนนี้ท่านไปเป็นเจ้าอาวาสวัดกู่ไจ้ที่เมียวดี ทางฝั่งพม่า เวลาขาดแคลนอะไรท่านก็จะมาบอกว่าต้องการเงินไปทำอะไร อาตมาก็ควักให้ ท่านปลื้มใจมากเพราะว่าในบริเวณ ๒ เมืองนั้น ทั้งโกกะเร่ย (กรุกกริก) และเมียวดี มีแต่ส้วมของวัดท่านที่ไม่เหม็น

ปกติส้วมพม่ามีลักษณะเหมือนส้วมซึมบ้านเรา แต่เป็นรูลงไปเฉย ๆ ไม่มีท่อกักน้ำกันกลิ่นย้อนขึ้นมา เพราะฉะนั้น..ต่อให้ส้วมพม่าอยู่ห่าง ๑๐๐ เมตรก็ยังได้กลิ่น แต่ อ.โมเช่ท่านอุตส่าห์แบกหัวส้วมจากเมืองไทยข้ามไป ทำส้วมได้ ๓ ห้อง ท่านบอกว่าต่อไปอาจารย์ไปเที่ยววัดผมได้สบายแล้ว เพราะส้วมไม่เหม็น

อีกครั้งหนึ่งหลังจากท่านหายไป ๓ ปี โผล่มา “อาจาง..ขอเงินสองหมื่น” อาตมาถามว่าจะไปทำอะไร ท่านบอกว่าจะไปติดไฟฟ้าที่เจดีย์ หายไป ๓ ปีไปสร้างเจดีย์เสร็จแล้ว อาตมาก็ถามว่าจะเอาไปเอาไฟฟ้าที่ไหน ท่านบอกว่า “เดี๋ยวไปซื้อไอ้แผง ๆ มันทำไฟได้” ท่านทันสมัยขนาดนั้น ถามว่ามีขายหรือ ท่านบอกว่า “มี ๆ ไปดูมาแล้ว”

ถามว่าไฟพอใช้หรือ ? ท่านบอกว่าถ้าใช้เฉพาะไฟที่ประดับเจดีย์ก็พอใช้ สรุปว่าท่านซื้อโซลาร์เซลล์ไป ๒ แผงจากฝั่งแม่สอด แล้วก็แบกข้ามไป อาตมาเองยังไม่รู้เลยว่าแถวนั้นมีโซลาร์เซลล์ขาย ส่วนท่านโมเช่หายไปปีกว่าแล้วยังไม่โผล่มาเลย ถ้าโผล่มาก็ยังไม่รู้จะให้ช่วยทำอะไรอีก ท่านเป็นคนที่สร้างบุญอย่างเดียว หมู่บ้านไหนจะสร้างเจดีย์มาบอกท่าน ท่านจะไปสร้างให้ มีเงินหรือไม่มีเงินท่านก็ทำจนเสร็จ

ระยะหลัง ๆ นี่สร้าง ๓-๔ แห่ง อาตมามีหน้าที่เป็นนายทุนควักเงินให้ท่านไป ท่านจะไปหาคนเอง พวกชาวบ้านที่อยู่ตามชายแดนไทยพม่าเขานิยมสร้างเจดีย์กันมาก ชอบสร้างบนยอดเขา ยิ่งสูงยิ่งดี เขาบอกได้บุญเยอะดี ท่านไม่เคยขาดแรงงาน นอกจากขาดเงินก็มาขอที่อาตมา"

เถรี 22-01-2012 09:50

"อาตมาก็คิดว่า แล้วเขาจะเอากรวดเอาทรายที่ไหนไปสร้าง ปรากฏว่าเขาลงไปในลำห้วย เก็บก้อนกรวดก้อนหินที่เป็นหินน้ำตกลื่น ๆ กลม ๆ มาผสมปูน คนละถังสองถัง อาตมาก็มองว่าเข้าท่า ซื้อแต่ปูนอย่างเดียว หินทรายไม่ต้องซื้อ

ตอนไปช่วยสร้างเจดีย์ที่วัดห้วยหินดำ อาตมาก็ว่า “เอ๊ะ..ท่านโมเช่ เจดีย์เอียงนะ” ท่านมาเล็ง ๆ ดูแล้วบอกว่า “เอียงจริง ๆ แหละอาจาง..ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ ?” "ก็พวกเราเล่นเทปูนข้างเดียว ทำนั่งร้านขึ้นข้างเดียวแล้วเทปูนลงไปแบบนั้น น้ำหนักก็ถ่วงข้างเดียว จนแบบเอียงนะสิ"

ท่านถามว่าจะทำอย่างไร? อาตมาบอกว่า "เดี๋ยวรอให้ชั้นนี้แห้ง แล้วสกัดเอาส่วนที่เอียงออกค่อยเทต่อ ต่อไปจำไว้ว่า ให้เทปูนรอบ ๆ องค์เจดีย์ ไม่ใช่ไปเทข้างเดียวแบบนั้น" งานนั้นสนุกเพราะว่าพาพวกท่านกอล์ฟ ท่านยุ้ย มหาเคไปช่วยด้วย ทิ้งให้อยู่กับท่านโมเช่เป็นเดือน ๆ

งานของพระศาสนา ไม่ว่าจะทำที่ไหนก็เป็นงานของพระศาสนา โดยเฉพาะว่าถ้าพระสงฆ์ของเราช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างที่อาตมาทำ จะเป็นมอญ พม่า กะเหรี่ยง กะหร่าง ฝั่งไทยฝั่งพม่าช่วยเขาหมด ขอให้มีแรงช่วยได้เป็นช่วยหมด แบบนี้พระศาสนาก็จะเจริญ"

เถรี 22-01-2012 09:56

"แต่ทางฝั่งพม่ามีจุดบกพร่องอยู่อย่างหนึ่งคือ เมื่อถึงเวลาเขาจะประดังกันมาขอความช่วยเหลือ ถึงเราบอกว่ากำลังช่วยวัดนี้อยู่ เขาไม่สนใจหรอกเพราะวัดเขาจะเอา อาตมาบอกว่า “ตูไม่ได้บ้านี่หว่า ทำทีละวัดสิวะ ไม่ใช่ทำให้มั่วไปหมด” เล่นประดังกันมาขอทีละ ๓-๔ วัดใครจะไปทำให้ไหว

อย่างท่านอาจารย์เต้ก็เหมือนกัน พออาตมาถามท่านว่าไปทอดผ้าป่าให้เขาได้เท่าไร ท่านบอกว่า "ได้เจ็ดหมื่น เขาจะทำหรือไม่ทำก็ไม่รู้ ให้ไปแล้ว" ท่านอาจารย์เต้ก็ช่วยงานทั้ง ๒ ฝั่งเหมือนกัน ถ้าจะไปเที่ยวแถวมะริด ทวาย ตะนาวศรีไปขอใบผ่านจากท่านได้

อาตมาว่าจะไปดูบ่อน้ำมันเมืองมะริดตั้งแต่ยังไม่มีถนน จนตอนนี้มีถนนแล้วก็ยังไม่ได้ไปเลย ตอนยังไม่มีถนนถามท่านอาจารย์เต้แล้ว ท่านบอกว่าเดิน ๓ วัน ตอนมีถนนคาดว่าน่าจะวันเดียวก็ถึงแล้ว

บ่อน้ำมันเมืองมะริดอยู่ริมทะเล อาตมาต้องการไปดูแค่นั้นเองว่าอยู่ตรงไหน เป็นบ่อน้ำมันดิบแต่สีออกสนิมเหล็ก ไม่ใช่น้ำมันดิบดำปี๋เหมือนยางมะตอย ใช้จุดไฟได้เลย แสดงว่าข้างใต้จะต้องมีความร้อนใต้ดินผ่าน เพราะเท่ากับกลั่นน้ำมันขึ้นมาในตัว ถ้าน้ำมันดิบแท้ ๆ จะเหนียวหนึบ ขว้างใส่หัวนี่ติดหนับแกะไม่ออกเลย"

เถรี 22-01-2012 10:16

พระอาจารย์กล่าวว่า "จำไว้ว่าถ้าเป็นพระ อย่าไปเป็นเจ้าอาวาสใกล้บ้านตัวเอง ญาติจะมากวนตายชัก ไปให้ไกล ๆ เลย ถ้าเขาอุตส่าห์ตะกายตามไปหาถึงที่ แล้วค่อยให้เขากวน เป็นเจ้าอาวาสใกล้บ้านเดี๋ยวญาติข้างนั้น เดี๋ยวญาติข้างนี้มาเต็มไปหมด ถ้าไม่เด็ดขาดพอก็เอียงกระเท่เร่ โดยเฉพาะถ้าเขาเห็นเราสงเคราะห์ใครมากกว่าก็จะมองตาเขียวปั๊ด

พวกบรรดาญาติโดยเฉพาะพวกผู้ใหญ่ เขาไม่ได้เห็นเราเป็นเจ้าอาวาส ไม่ได้เห็นเราเป็นหลวงปู่หลวงพ่อเหมือนคนอื่นเขาหรอก เขาเห็นเป็นลูกเป็นหลานเขาอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่อยากให้เขาลงนรกก็หนีไปให้ไกล ๆ เลย"

เถรี 22-01-2012 11:30

ถาม : ครุกรรมหนักฝ่ายกุศล คือในส่วนของสมาบัติ ๘ และมรรคผลนิพพานใช่ไหมครับ ?
ตอบ : นิพพานไม่ใช่กุศลและไม่ใช่อกุศล พ้นจากนั้นไปแล้ว ครุกรรมฝ่ายกุศลจริง ๆ เขาเน้นที่สมาบัติ ๘

ถาม : ถ้าได้สมาบัติ ๘ คือฌานโลกีย์ เวลาสิ้นชีวิตก็ไปบังเกิดเป็นอรูปพรหมฝ่ายเดียวใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ก็ขึ้นอยู่กับพื้นฐานเดิม ถ้าเคยปรารถนาพุทธภูมิมา จะไม่ไปเกิดที่นั่น เพราะกติกาของความเป็นพระโพธิสัตว์จะไม่ไปเกิดในอรูปพรหม เนื่องจากว่าระยะเวลานานเกินไป ทำให้สร้างบารมียาก ถ้าหากว่าไม่ใช่พระโพธิสัตว์ก็อยู่ตรงนั้นแหละ อีกอย่างก็คือ ถ้าเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปแล้วได้สมาบัติ ๘ ก็ไปตามกำลังของตัวเอง ถ้าเป็นโลกียฌานก็อยู่ตรงนั้นแหละ

ถาม : ถ้าคนได้สมาบัติ ๘ แล้วไม่ปรารถนาจะไปอยู่อรูปพรหม พอก่อนตายก็ไม่เข้าสมาบัติ ๘ ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..แต่ส่วนใหญ่มักจะไปอยู่ตรงนั้น เพราะว่าเผลอเมื่อไรกำลังใจก็จะไปที่จุดสูงสุดที่ตัวเองเคยชิน มีอยู่อย่างเดียวคือต้องประกอบไปด้วยวุฎฐานวสี คือมีความคล่องตัวในการออกจากฌาน ถึงเวลาก็หลบลงมาที่สมาธิระดับต่ำ ๆ

ถาม : อยู่ในฌาน ๔ หรือครับ ?
ตอบ : ใช่..อย่าให้เกินนั้น หลบมาอยู่ในรูปฌาน แต่ส่วนมากแทบจะไม่มีใครรอด

ถาม : ยากนะครับ
ตอบ : เหมือนอย่างกับคุณสร้างทางใหญ่เป็นซูเปอร์ไฮเวย์ แล้วให้หลบลงทางเล็ก ๆ คุณก็ไม่ชิน มักจะไปตามซูเปอร์ไฮเวย์ของคุณนั่นแหละ

เถรี 22-01-2012 11:37

ถาม : คำว่าสัมมาสมาธิมีความหมายว่าอะไรครับ ? ต้องเป็นสมาธิระดับสมาบัติ ๘ หรือไม่ครับ?
ตอบ : สัมมาสมาธิ หมายความว่าเราตั้งสมาธิไว้ในทางที่ถูกต้อง ก็คือเป็นสมาธิที่หนุนเสริมให้เกิดปัญญา ถ้าหากว่าหนุนเสริมให้เกิดปัญญาได้ ไม่ว่าจะเป็นสมาธิระดับไหนก็เป็นสัมมาสมาธิทั้งนั้น

ถาม : ถ้าเราทำให้สมาบัติ ๘ เสื่อมก่อนตายล่ะครับ ?
ตอบ : ลองดูซิว่าจะทำได้ไหม ? ระหว่างที่เราดำรงชีวิตอยู่ก็ดีบ้างเสื่อมบ้าง แต่หากว่าความคล่องตัวมีจริง ๆ จิตสุดท้ายจะไปเกาะตรงนั้นทันที แล้วความซวยจะมาเยือน ถ้าเกิดในอรูปพรหมอย่างน้อย ๆ ก็สองหมื่นมหากัป..!

ถาม : แต่ถ้าเสื่อมแล้วเสื่อมหมดนี่ครับ ?
ตอบ : ตอนเสื่อมนั้นเสื่อมหมด แต่คนที่คนเคยได้แล้ว แวบเดียวก็ตีคืนได้แล้ว

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นอรูปพรหมหรือรูปพรหมต้องทรงฌาน ถ้าหากว่าหลุดมาข้างนอกเมื่อไรก็อยู่แค่ชั้นจาตุมหาราช

ถาม : บุคคลที่ได้มโนยิทธิ จิตเกาะพระนิพพานได้ เป็นโลกุตรฌานไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่..ยังเป็นโลกียฌานเต็ม ๆ อยู่ ถ้าสามารถสัมผัสพระนิพพานได้ อารมณ์ตอนนั้นเทียบเท่าพระโสดาปัตติมรรค จนกว่าคุณจะเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันจริง ๆ จึงจะเป็นโลกุตรฌาน

เถรี 22-01-2012 11:42

ถาม : เวลาเข้าอรูปฌาน ถ้าเกิดคนที่ไม่เคยผ่านรูปฌานมาในชาตินี้ แต่ว่ามีปัจจัยมาก่อน สามารถจะทำอรูปฌานให้เกิดได้เลยไหมครับ ?
ตอบ : ยากจนแทบไม่มีทางเป็นไปได้..เพราะว่าอย่างน้อยเราต้องซักซ้อมรูปฌานให้คล่องตัวก่อน แล้วทรงกสิณกองใดกองหนึ่งที่ไม่ใช่อาโลกกสิณหรืออากาศกสิณขึ้นมา จึงสามารถจับเป็นอรูปฌานต่อได้

ถ้ารูปฌานไม่คล่อง โอกาสที่จะเข้าอรูปฌานเลยทีเดียวแทบเป็นไปไม่ได้เลย ยกเว้นว่าชาติก่อนเราเป็นประเภทสุดยอดฝีมือมาจริง ๆ พอชาตินี้เผลอมองฟ้าหน่อยเดียวก็ได้เลยอะไรอย่างนี้

สรุปว่า ต้องมีพื้นฐานมาจากรูปฌานทั้งหมด อรูปถ้าไม่มีรูปเป็นพื้นฐานก็ทำไม่ได้

ถาม : ไม่ว่าจะมาจากอรูปพรหม ก็ต้องได้รูปฌานก่อน ?
ตอบ : เริ่มต้นที่รูปฌานก่อน ยกเว้นว่าท่านที่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า กำลังของท่านเกินแล้ว ของเก่าจะฟื้นคืนมาเอง แต่ก็ต้องซักซ้อมความคล่องตัว เพื่อที่จะใช้งานอย่างเต็มที่

เถรี 22-01-2012 11:47

ถาม : ปีนี้เป็นชง ควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : เหมือนเดิม ปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ให้ทรงตัวเข้าไว้ กำลังพวกนี้สูงอยู่แล้ว จะชงขนาดไหนก็ไปได้

ถาม : เราต้องไปทำพิธีอะไรอย่างคนอื่นเขาไหมครับ ?
ตอบ : เพื่อความสบายใจก็ไปทำเสีย เพราะอย่างน้อย ๆ ก็ได้กำลังใจเพิ่มขึ้น แต่ถ้ามั่นใจตัวเองก็ไม่ต้องหรอก อย่างอาตมานี่แหกคอกมาตลอด ใครว่าอะไรไม่ดี กูจะทำให้ดู ทำให้ดีจนได้

เถรี 22-01-2012 12:31

มีเด็ก ๒ คนกำลังนั่งกรรมฐาน พระอาจารย์ท่านกล่าวว่า "ไปยาวแล้ว (หัวเราะ) นั่งให้ได้คนละครึ่งชั่วโมงเลยลูก เอาอย่างนี้ลูก..พุทโธ ๆ ไปเรื่อย นึกถึงภาพพระไว้บนหัว แล้วค่อย ๆ เลื่อนภาพพระครอบเราลงมา ขอให้โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ หายไป"

เถรี 22-01-2012 16:26

พระอาจารย์กล่าวว่า "ด้วยพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวาระสำคัญต่าง ๆ จึงทำให้ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา มอบของสำคัญมาให้ทางบ้านเราได้สักการบูชากัน ซึ่งถ้าตามปกติแล้วเราเดินทางไปจนถึงบ้านเขา ยังไม่แน่ว่าจะได้กราบไหว้บูชาแบบนี้

อย่างพระบรมธาตุข้อนิ้วพระหัตถ์ของวัดหลินกวง ประเทศจีน พระบรมสารีริกธาตุของประเทศศรีลังกา มาครั้งนี้ก็พระทันตธาตุของสมเด็จพระพุทธกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าของประเทศภูฏาน"

เถรี 23-01-2012 14:25

ถาม : เวลานั่งสมาธิแล้วมีแสงสว่างขึ้นมาในตัว เป็นฌาน ๔ หรือเปล่าครับ ? เพราะผมเคยเจออยู่
ตอบ : แค่อุปจารสมาธิก็เป็นแล้ว ถ้าเป็นฌาน ๔ จะสว่างเจิดจ้าและไม่รับรู้อาการภายนอกเลย

ถาม : ผมเคยเจอเหมือนกับว่าเวลาไม่นาน แต่จริง ๆ ผ่านไป ๒ ชั่วโมงแล้ว
ตอบ : ใช่...รู้สึกว่าครู่เดียว แค่หายใจเข้าออกไม่กี่ที แต่ว่าระยะเวลาข้างนอกจะผ่านไปนานมาก

ถาม : ตอนนั้นเหมือนกับพื้นกว้างสุดลูกหูลูกตาเลย ?
ตอบ : ตอนนั้นไม่มีอะไรขวางได้แล้ว เพราะว่าทุกอย่างจะสว่างโล่งไปหมด ไปทำใหม่แล้วอย่าอยากให้เป็นอย่างนั้น คิดว่าเรามีหน้าที่ทำ จะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่าง ถ้าเราทำแล้วไปอยากให้เป็นก็จะไม่เป็นอีก เพราะตัวอยากมาขวาง ให้ไปซ้อมใหม่ ถ้าคล่องตัวเดี๋ยวก็สบายแล้ว

เถรี 23-01-2012 14:34

พระอาจารย์กล่าวว่า "เขามีสูตรว่าหนีช้างให้หนีขึ้นเขา เพราะช้างตัวใหญ่ขึ้นที่สูงลำบาก ถ้าหากว่าอยู่ในที่ราบอย่าวิ่งหนีเป็นทางตรง ให้วิ่งหลบวนไปวนมา ถ้ามีต้นไม้อยู่ก็วน ๆ อยู่รอบต้นไม้ เพราะช้างตัวใหญ่กลับตัวได้ยาก ถ้าวิ่งทางตรง ช้างก้าวยาวกว่าเรา ๓-๔ เท่า ไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวเราแล้ว

ถ้าหากว่าหนีต่อหนีผึ้งให้หนีทวนลม แต่เราจะมีสติดูทางลมหรือเปล่า ? ไม่ใช่ไปวิ่งตามลม มีแรงลมส่งผึ้งก็ถึงตัวเราเร็วขึ้น อย่างเราหนีเสือขึ้นต้นไม้ก็พอได้ ถ้าไม่ใช่พวกเสือดาวหรือเสือดำจะขึ้นต้นไม้ได้ยาก แต่ว่าขึ้นต้องขึ้นให้สูงพอ อย่างน้อย ๗-๘ เมตรไปเลย ถ้าต่ำกว่านั้นเสือกระโจนทีเดียวถึง..!

แต่ที่หนีไม่ได้คือหมี หมีวิ่งเร็วกว่าเรา ขึ้นต้นไม้เก่งกว่าเรา ว่ายน้ำเก่งกว่าเรา ไม่รู้ว่าจะหนีอย่างไร มีอย่างเดียวคือวิ่งเข้าหาแล้วตะโกนดัง ๆ ใส่หน้า พอเราตะโกนเข้าใส่ หมีตกใจจะกลับหลังหันวิ่งฝุ่นตลบเลย แล้วเราก็วิ่งหนีให้เร็วที่สุด เพราะหมีจะตกใจพักเดียว แล้วจะย้อนกลับมาใหม่ เพื่อดูว่าเมื่อกี้นี้เป็นตัวอะไรกันแน่

ถ้าหากว่าสัตว์ทำอันตรายเราไม่ได้ หรือว่าเราหนีพ้นเขต เขาก็เลิกยุ่ง เขาจะมีเขตหากินของเขาอยู่ ถ้าเราเข้าไปในเขตเขาจะถือว่าเราเป็นฝ่ายบุกรุก เขาก็จะขับไล่เราให้ออกจากเขต คราวนี้ระหว่างสัตว์กับสัตว์ด้วยกัน เวลาลงไม้ลงมือกันยังพอรับได้ แต่สัตว์แรงมากกว่าคน พอมาลงมือกับเราก็อาการหนัก ถ้าเราหนีพ้นเขตเขาก็เลิกไล่ หรือไม่ก็อย่าเข้าไปในเขตของเขาเลย

สัตว์แต่ละชนิดจะมีระยะปลอดภัยของเขาอยู่ ถ้าเราไม่ก้าวล่วงระยะปลอดภัย เขาก็จะไม่โจมตีหรอก ยืนมองช้างไปเถอะ เขาไม่ทำอะไรหรอก แต่บางทีเราก้าวเข้าไปอีกก้าวเดียว ช้างอาจจะวิ่งใส่เลย เพราะฉะนั้น..กับสัตว์แล้ว การอยู่นอกระยะปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ"

เถรี 23-01-2012 14:46

"คุณเชน(มล.ปริญญากร วรวรรณ)โดนเสือตบหน้าแหว่งไปแถบหนึ่ง แถมเสียเลนส์เทเลโฟโตยาวเหยียดไปหนึ่งตัวด้วย คุณเชนถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ แม้ว่าเสือจะแยกเขี้ยวขู่อยู่ก็คิดว่าไม่เป็นไร ขยับเกินจุดนิดเดียวเสือโดดเข้าใส่เลย คราวนี้เขี้ยวมาถึงคอหอยแล้วจะให้ทำอย่างไร คุณเชนก็เอาเลนส์กระแทกใส่ปาก เสือเลยงับเลนส์พัง ถ้าไม่มีเพื่อนป่าไม้ ๒ คนช่วยกันเอ็ดตะโร เสือคงขย้ำตายอยู่ตรงนั้น ขนาดนั้นก็ยังเย็บซะหลายเข็ม

พวกสัตว์เวลาเขาโจมตีจะเร็วมาก อาตมาเคยเลี้ยงลูกหมีควาย เขาเพิ่งให้มาใหม่ ๆ ตัวขนาดประมาณหมาไทย แต่เวลายืนขึ้น ๒ ขาสูงเกือบถึงอกเรา แต่ถ้ายืน ๔ ขาก็ประมาณหมาอ้วน ๆ หน่อย

อาตมาถือขันใส่นมไปให้ โดนตบผัวะเดียวขันกระจายเลย หมีตบไวจนมองไม่ทัน มาดูทีหลังว่าโดนตบ ๓ ทีทั้ง ๆ ที่เห็นแค่ทีเดียว นึกเอาแล้วกันว่าเร็วขนาดไหน ท่านชาติชายก็เหมือนกัน พยายามที่จะเลี้ยงงูเหลือม เอาตะเกียบคีบเนื้อไก่ไปยัดปาก งูก็ไม่ยอมกิน แหย่ไปแหย่มางูโกรธ ฉกเอาตอนไหนก็ไม่รู้ ตะเกียบกระเด็นหลุดมือไปแล้วเพิ่งจะรู้ว่างูฉก มองไม่ทัน เร็วได้ขนาดนั้น

เวลาสัตว์ชาร์จเข้ามา ความเร็วของคนสู้ไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าจะให้ดีอย่าเข้าไปในเขตที่เกินกว่าระยะปลอดภัยของเขา ถ้าเข้าไปแล้วโดนแน่ ๆ เคยเจอกระทิงอยู่ในป่า ตัวเกือบเท่าช้างที่เขาเอามาเดินขายอ้อย น้ำหนักเป็นตัน ๆ เลย

ที่ศูนย์เพาะพันธุ์สัตว์ป่าลำสะด่อง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ เขาไปได้วัวแดงมาตัวหนึ่ง ชื่อเจ้าเบิร์ด อาตมาเอารถปิกอัพโฟร์วีลล์ไปเทียบ ตัวใหญ่เท่าปิกอัพแต่สูงกว่า ประเภทนั้นถ้าอยู่ในป่าแล้วยิงตายก็นั่งร้องไห้อยู่นั่นแหละ เพราะเอาออกมาไม่ไหวหรอก..!"

เถรี 23-01-2012 14:54

"สัตว์ที่อยู่ในป่าตัวจะใหญ่มาก ช้างเลี้ยงกลายเป็นตัวเล็ก ๆ ไปเลย เวลาช้างป่าเดินแล้วเอาสีข้างถูต้นไม้ ขี้โคลนจะติดตามต้นไม้ซึ่งเป็นความสูงประมาณเอวของเขา รอยโคลนของต้นไม้มีความสูงขนาดอาตมาพร้อมกับด้ามกลดแหย่ไปไม่ถึง แสดงว่าช้างในป่าสูงประมาณ ๓ เมตร ช้างที่เราเห็นมาเดินให้เราลอดท้องบ้าง มาให้ซื้ออ้อยเลี้ยงบ้าง ถ้าเอาเทียบกับพวกช้างป่า จะเหลือตัวนิดเดียวเอง

พวกกระทิงในป่าตัวเกือบเท่าช้างเลี้ยงแล้ว และความเร็วก็เหลือเกิน วันนั้นอาตมาไปกับท่านโมเช่ และฤๅษีบุญทรง ท่านโมเช่เดินนำหน้า อาตมาอยู่กลาง ฤๅษีบุญทรงปิดท้าย พอเลี้ยวโค้งตรงมุมเขา เพราะลำห้วยโค้งอ้อมภูเขา พอพ้นโค้งก็เห็นท่านโมเช่วิ่งหน้าเริ่ดมา ตะโกนว่า “อาจารย์ หนีเร็ว..!” อาตมามองไปข้างหน้า ลำห้วยช่วงนั้นมีหินก้อนใหญ่เท่าบ้านเท่าตึกเยอะแยะไปหมด แล้วกระทิงกำลังก้มหน้ากินน้ำอยู่ ก็เลยดูเหมือนกับก้อนหินเพราะว่าตัวใหญ่มาก

ท่านโมเช่เดินไปเกือบจะชนก้นกระทิง ลมไม่ได้พัดมาทางเรา แต่ลมพัดจากเราไปหาเขา คราวนี้เราเพิ่งจะพ้นโค้งมา กระทิงยังไม่ทันได้กลิ่นก็เลยไปเจอกันอย่างกระชั้นชิด ตอนแรกเจ้ากระทิงหันมาหายใจพรืด..! ประเภทรำคาญ พออาตมาโผล่มาอีกคนเขาก็ชะงัก ยืดคอขึ้นมามอง พอฤๅษีบุญทรงโผล่มาอีกคนหนึ่งเขาเห็นท่าว่าคนเยอะ ไม่เอาด้วยแล้ว ก็กระโดดหนี ๓ ทีถึงยอดเขาเลย ไปอย่างกับลูกธนู..!

ตัวเขาใหญ่อย่างกับช้าง แต่ทำไมถึงแข็งแรงและเร็วขนาดนั้นก็ไม่รู้ ? กระโจนพรวด ๆ ๓ ทีถึงยอดเขาเลย ด้วยความเร็วและแรงขนาดนั้น ถ้าพุ่งใส่เราจะเหลือไหมนั่น ?"

เถรี 23-01-2012 14:57

"มีนายพรานคนหนึ่งไปเจอหมีเข้า แล้วหมีไล่กวด แกก็วิ่งอ้อมต้นไม้ หมีก็ล้วงกรงเล็บมาตบดักหน้า แกตกใจไม่รู้จะทำอย่างไรก็คว้าข้อมือหมีไว้ พอหมีล้วงอีกข้างหนึ่งแกก็คว้าข้อมือหมีเอาไว้ ยื้อกันไปยื้อกันมา จริง ๆ แล้วหมีแข็งแรงกว่า แต่ต้นไม้ขวางอยู่ ถูกนายพรานดึงตัวติดต้นไม้ หมีก็ออกแรงไม่ได้

ด้วยความกลัวตายแกก็รั้งไว้สุดชีวิต ยื้อกันอยู่ครึ่งค่อนชั่วโมงจนหมดแรงล้ม หมีหมดความสนใจก็เลยไป ถ้าหากว่าเป็นตอนหมีไล่ใหม่ ๆ นี่คงไม่ยอมนะ เพราะว่าตอนนั้นหมีกำลังโมโห จะไล่ให้พ้นเขตอย่างเดียว แต่ยื้อกันอยู่ครึ่งค่อนชั่วโมงจนหมดความสนใจแล้ว พอมือหลุดได้หมีก็เลยเดินหันหลังหนีไปเลย"

เถรี 23-01-2012 16:38

พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นเด็กกับเห็นผู้หญิงแต่งตัวสวย ๆ แล้วเหนื่อยแทน เหนื่อยตรงที่ว่ากว่าที่เด็กจะโตก็ยังอีกนาน เขาต้องทุกข์ยากลำบากอีกเยอะเลย ส่วนผู้หญิงกว่าจะแต่งตัวสวยให้ได้อย่างนั้น และต้องพยายามสวยให้ได้ทุกวันก็ยิ่งเหนื่อยเข้าไปใหญ่

ใครที่มีแฟนไม่แต่งหน้าแต่งตานี่โชคดีมหาศาล ยิ่งกว่าถูกรางวัลที่ ๑ อีก ถึงจะโทรมเป็นยายเพิ้งก็ปล่อยเขาไปเถอะ ไม่เปลืองดี..!"

เถรี 23-01-2012 16:51

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าอาตมาเป็นนายกรัฐมนตรี จะย้อนหลังไปดูว่าคำขวัญวันเด็กปีไหนเข้าท่าที่สุด แล้วก็เลือกอันนั้นแหละเป็นคำขวัญวันเด็กตลอดไป เพราะถ้าเปลี่ยนคำขวัญทุกปี เด็กก็จะจำไม่ได้

อย่างรุ่นของอาตมา คำขวัญวันเด็กคือ เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ ใช้มาตลอด สมัยนี้เด็กฉลาดชาติล่มจม เพราะส่วนใหญ่ฉลาดในทางโกงกิน งานวิจัยเขาสรุปออกมาว่า คนรุ่นใหม่ยอมรับว่าถ้าจะโกงบ้างก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้สร้างประโยชน์ให้กับประชาชนบ้างก็แล้วกัน

ถ้าเรื่องนี้ต้องดูอย่างคุณบรรหาร ศิลปอาชา ถามว่าคุณบรรหารโกงไหม ? ไม่ได้โกง แต่คุณบรรหารของบประมาณไปลงที่จังหวัดสุพรรณบุรีแล้วเอาบริษัทตัวเองไปประมูล ในเมื่อรู้ราคากลางก็ประมูลได้ทุกทีแหละ แล้วก็ทำจนสุพรรณบุรีเจริญมากจนจังหวัดอื่น ๆ อิจฉา ในตอนนั้นถนนสายตลิ่งชัน-สุพรรณบุรีเป็นถนนลาดยาง ๔ เลน อยู่มาไม่กี่ปีก็ขูดทิ้ง ทำถนนคอนกรีตแทน ที่อื่นยังไม่มีถนนดี ๆ อย่างนี้เลยนะ นี่ขูดทิ้งแล้วไปทำเป็นคอนกรีตแทน เพราะได้งบประมาณมาทำถนนคอนกรีต

คุณบรรหารเป็นคนที่ได้งบประมาณบ่อย เคยถามท่านว่าทำอย่างไรถึงได้งบประมาณเยอะขนาดนั้น ท่านบอกว่า..ผมของบประมาณทุกอย่างที่มีสิทธิ์ขอได้ แล้วโทรไปตามจี้ด้วยตัวเอง เราลองนึกดูว่าถ้าเราเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงบประมาณ รับโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วท่านบอกว่า "ผม..บรรหาร ศิลปะอาชาครับ งบประมาณเรื่องนั้น ๆ ที่ผมขอมาไปถึงไหนแล้ว ?" เป็นเราก็ต้องวิ่งทำให้จนตีนพลิกเหมือนกัน

เพราะท่านกล้าขอและกล้าทวงก็เลยได้เยอะ ในขณะที่คนอื่นขอแล้วเงียบ ไม่ได้ทวงเขาก็โยกไปใช้ทางอื่นหมด บริษัทคุณบรรหารนี่งานอื่นไม่รู้นะ แต่เรื่องทำถนนถือว่าใช้ได้เลย แต่อาตมาชอบถนนลาดยางมากกว่า ถนนคอนกรีตวิ่งแล้วเหมือนกับรถไม่ค่อยจะเกาะถนน ถนนลาดยางวิ่งแล้วมั่นใจกว่า เกาะดีกว่า ถนนคอนกรีตดีกว่าตรงซ่อมง่ายเท่านั้น พอถึงเวลาก็ตัดออกเป็นแผ่น ๆ แล้วเทใหม่เลย"

เถรี 23-01-2012 17:12

พระอาจารย์กล่าวว่า "การที่พ่อแม่รักลูก จะว่าไปก็คือสัญชาตญาณอย่างหนึ่งในการดำรงชีวิต เพราะว่าจะได้ดูแลทารกให้เติบใหญ่ขึ้นมา แล้วก็สืบเชื้อสายพืชพันธุ์ต่อไป แต่ว่าในส่วนลึก ๆ อยู่ในใจคือความหลงตัวเอง เพราะว่าลูกหน้าตาเหมือนเรา ในเมื่อลูกหน้าตาเหมือนเรา ในใจลึก ๆ ก็จะรักโดยที่ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้ว "เรารักตัวเราเอง"

โดยเฉพาะบางคนเจอไป ๒ ชั้นเลย คาดหวังจะให้ลูกคอยดูแลตอนแก่ นี่ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ กลายเป็นตัวกูของกู ๒ เท่าเลย"

เถรี 23-01-2012 17:19

"มีโฆษณาของไทยประกันชีวิต ที่ชื่อว่า ความรักแบบไร้เสียง ที่พ่อเป็นใบ้แล้วเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนก็ล้อว่า “ลูกไอ้ใบ้” โฆษณานี้สมบูรณ์แบบทุกอย่างเลย ไปพลาดอยู่อย่างเดียวตอนลูกฆ่าตัวตาย ลูกเชือดข้อมือตัวเองแล้วล้ม คนเป็นใบ้จะหูหนวกด้วย แล้วจะได้ยินตอนล้มได้อย่างไร ? ถ้าเป็นอาตมาจะทำให้เลือดหยดลงมาแปะบนโต๊ะตรงหน้าพ่อพอดี อย่างนั้นถึงจะสมเหตุสมผล

บางทีคนทำโฆษณาเขาก็ลืม แต่คนแสดง ๆ ได้ดีมากโดยเฉพาะภาษาใบ้ ดูเข้าใจเลยว่าเขาจะสื่ออะไร มาตอนหลังเขาก็สรุปว่า ไม่ว่าพ่อแม่จะเป็นอย่างไร แต่เขาก็เป็นคนที่รักเรามากที่สุด พอลูกเชือดข้อมือตัวเองขึ้นมา พ่อก็รีบพาไปส่งโรงพยาบาล แต่ไม่มีเลือด พ่อก็บอกให้หมอเอาเลือดจากพ่อไป ก็เลยต้องถ่ายเลือดข้ามตัวกัน ลูกฟื้นก่อนพ่อ เห็นสายโยงมาจากแขนพ่อมาถึงตัวเอง ก็เลยรู้ว่ารอดมาได้เพราะพ่อสละเลือดให้ ระยะหลังนี้ไทยประกันชีวิตทำโฆษณาดี ๆ น่าจะได้รางวัลประเภทสร้างสรรค์ออกมาเยอะมาก"

เถรี 24-01-2012 09:13

ถาม : ทหารไทยกับซามูไรนี่ใครเก่งกว่าครับ?
ตอบ : ซามูไรเก่งกว่า..แต่ซามูไรตายหมด เขาดวลกันมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแล้ว ทหารไทยสู้ไม่ได้ เพราะว่าที่มาไม่ใช่ซามูไรทั่ว ๆ ไป แต่เป็นนินจา เป็นหน่วยล่าสังหารไม่ใช่นักรบที่ปะทะกันซึ่ง ๆ หน้า แต่คราวนี้พอมาสู้กับทหารไทยแล้ว ส่วนใหญ่ทหารไทยฟันไม่เข้า ก็เลยบอกว่าทหารไทยเก่งสู้ไม่ได้ แต่ซามูไรที่เก่งกว่าตายหมด..!

ถาม : แล้วเขาไม่มีที่ฟันไม่เข้าบ้างหรือครับ ?
ตอบ : มีเหมือนกัน..แต่ว่าทำได้เป็นบางคน เขาไม่รู้ว่าหลักการอย่างไรที่จะทำให้หนังเหนียวได้ทุกคน ถ้ากำลังใจถึงก็ทำได้เหมือนกัน

เถรี 24-01-2012 10:24

1 Attachment(s)
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "การรับพระราชทานสัญญาบัตรพัดยศของพระครูชั้นสัญญาบัตรในสังกัดคณะสงฆ์หนกลาง ระบุมาในกำหนดการเลยว่า ให้ทุกรูปห่มจีวรสีพระราชนิยม คำว่า จีวรสีพระราชนิยมก็คือจีวรสีที่ในหลวงทรงโปรด




พระองค์ตรัสว่าสีพระป่าก็มืดไป สีเหลืองก็สว่างไป พระองค์ให้สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ตอนที่ยังเป็นสมเด็จพระญาณสังวรอยู่ ให้ไปค้นคว้าจนกระทั่งได้สีนี้มา แล้วพระองค์ท่านทรงโปรด จึงเรียกว่าสีพระราชนิยม บางคนเรียกว่า สีกรักทอง

คราวนี้มีนักเลงดีกราบเรียนหลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ตอนนั้นท่านเป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ว่าทำไมหลวงพ่อไม่สั่งให้พระในหนกลางทั้งหมดห่มสีพระราชนิยมไปเลย ท่านบอกว่า “ผมไม่สามารถจะล้มล้างพระพุทธบัญญัติได้ พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุใช้จีวรสีเหลือง สีกรักหรือสีเหลืองเจือแดงเข้ม ก็แปลว่าพระองค์อนุญาตให้ใครใช้ใน ๓ สีนี้ก็ได้ ถ้าผมไปสั่งให้ใช้สีเดียว ก็แปลว่าผมไปล้มล้างในสิ่งที่พระองค์ท่านทรงบัญญัติ ผมก็ซวยอยู่คนเดียวสิ..!"

พระผู้ใหญ่ท่านรอบคอบและแม่นต่อกฎหมายและระเบียบวินัยจริง ๆ ถ้าเป็นเราก็คิดว่าน่าจะทำได้ใช่ไหม ? ลองไปทำเข้าดูสิ..!"

เถรี 24-01-2012 10:39

ถาม : เวลาบวชพระ ถ้ามีพระที่ต้องอาบัติหนักแล้วไปร่วมสังฆกรรมด้วย ไม่เป็นเณรกันไปทั้งประเทศแล้วหรือครับ ?
ตอบ : ขนาดนั้นเชียว..อย่างน้อย ๆ สายพระป่าท่านก็มั่นใจว่าท่านบริสุทธิ์ แต่อาตมาว่าเป็นเณรดีกว่า ศีลไม่มาก รักษาง่ายดี แต่ถ้าไปนั่งร่วมกับพระ กินร่วมกับพระ นอนร่วมกับพระ ก็นรกกินหัวอยู่ทุกวัน..!

ถาม : ถ้าเกิดเป็นเณรกันหมดละครับ ?
ตอบ : อย่างนั้นไม่เป็นไร แต่คราวนี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่าอีกท่านหนึ่งไม่ใช่พระ ?

ถาม : (ไม่ได้ยิน )
ตอบ : ไม่ต้องกังวล อย่างไรก็ไม่เกิน ๕,๐๐๐ ปีแน่นอน ต่อไปไม่ได้หายแค่ลักษณะที่พระเป็นเณร หรือพระปฏิบัติไม่สมบูรณ์ถูกต้องตามพระธรรมวินัย แม้แต่เพศความเป็นพระเป็นเณรก็ค่อย ๆ หายไปด้วย ตอนนี้ลองไปดูพระญี่ปุ่นสิ ถ้าไม่ได้อยู่ในการทำพิธีท่านใส่สูทเท่เลย เขามีแถบเหลือง ๆ ติดที่คอเสื้อ นี่แค่กึ่งกลางศาสนาเท่านั้น ใกล้ ๆ ๒,๖๐๐ ปี เหลืออีกตั้ง ๒,๔๐๐ ปี ยังหายไปซะเยอะเลย

แต่ประเทศญี่ปุ่นมีสารพัดนิกาย ถ้าเป็นพวกชินโตก็สามารถมีครอบครัวได้ ถ้าเป็นเท็นไดก็จะเคร่งครัดหน่อย คุณไม่ต้องไปกังวลแทนเขาหรอก สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงยังอยู่วัดประยูรวงศาวาส สถานทูตญี่ปุ่นนิมนต์ท่านไปงานฉลองสถานทูต ระบุเอาไว้ในหนังสือนิมนต์ว่าถ้ามีภรรยาให้พาไปด้วย หลวงพ่อบอกว่า “เสียท่าเขาว่ะ..หาไม่ทัน..ถ้านิมนต์ล่วงหน้าหลายวันหน่อยอาจจะหาได้..!”

ถาม : เขามีเมียกันมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกแล้วหรือครับ ?
ตอบ : ตั้งแต่สมัยเมจิ ราว ๆ รัชกาลที่ ๓ ของเรา เพราะว่ายุคนั้นพวกบรรดาเจ้าผู้ครองนคร(ไดเมียว)กับโชกุนต่าง ๆ รบราฆ่าฟันแย่งชิงพื้นที่กันอยู่ตลอดเวลา พระจะเดินทางเผยแผ่ศาสนาก็มักจะโดนจับฆ่า เพราะคิดว่าเป็นสายลับของอีกฝ่ายหนึ่ง

ท้ายสุดท่านกลัวว่าศาสนาจะสาบสูญไป ก็เลยตัดสินใจว่า ในเมื่อไม่สามารถเผยแผ่ให้ผู้อื่นได้ ก็แต่งงานมีครอบครัวดีกว่า อย่างน้อยก็สอนเมียสอนลูกได้ ก็เลยกลายเป็นลักษณะอย่างนี้มา เพราะฉะนั้นคุณไม่ต้องห่วงหรอก จะทำตัวแบบพระญี่ปุ่นสอนเมียสอนลูกก็ได้ แต่ไป ๆ มา ๆ เดี๋ยวลูกมาสอนเราก็ยุ่งอีก..!

เถรี 24-01-2012 10:43

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : คุณจะไปเอาความถูกต้องกับเขาไม่ได้ จุดมุ่งหมายใหญ่ของเขา คือ รักษาคำสอนของพระพุทธเจ้าเอาไว้ โอกาสที่จะเผยแผ่คำสอนออกไปยังมีอยู่ แม้ว่าจะเป็นภายในครอบครัว ถ้าทางด้านครอบครัวภรรยาเห็นด้วยก็จะเพิ่มขึ้นอีก ญาติพี่น้องทั้ง ๒ ฝ่ายเห็นด้วยก็จะได้คนเพิ่มขึ้นอีก ลักษณะนี้เป็นสายพระโพธิสัตว์แน่ คือกูจะลงนรกก็ไม่ว่าหรอก แต่ขอให้รักษาศาสนาไว้

แบบเดียวกับที่คุณถามว่าศาสนาอิสลามให้มีเมีย ๔ คนถูกต้องหรือเปล่า ? คุณต้องไปดูในบริบทช่วงนั้นว่าเกิดอะไรขึ้น เขารบราฆ่าฟันกันจนแทบจะไม่มีผู้ชายเหลือ ถ้าคุณต้องการประชากรเพิ่มขึ้นก็ต้องมีภรรยาหลายคน เพราะว่าผู้ชายเหลือน้อย

พอเขาบัญญัติขึ้นมาแล้วรุ่นหลังไม่เปลี่ยน ก็มีไปเรื่อย ๆ เรื่องบางยุคเป็นเรื่องถูกต้อง แต่พอมาอีกยุคหนึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้องไปได้ เพราะว่าค่านิยมของสังคมเปลี่ยนไป ถ้าคุณไปมองว่าถูกหรือผิด ขาวดำชัดเจนก็เจ๊งตั้งแต่แรกแล้ว

ถาม : อย่างนั้นหลักคำสอนก็ผิดเพี้ยนไปสิครับ ?
ตอบ : เพี้ยน..แต่ดีกว่าไม่มีเลย

เถรี 24-01-2012 10:46

พระอาจารย์กล่าวว่า "เดี๋ยวนี้วัดไหนขาดเจ้าอาวาส เขาจะมาขอจากวัดท่าขนุนทุกที อาตมาผลิตให้แทบไม่ทัน

กว่าจะมีคุณสมบัติพอเป็นเจ้าอาวาสได้ อย่างน้อยต้อง ๖ พรรษา เราผลิตมาแทบเป็นแทบตาย เขามาโฉบแวบเดียวไปแล้ว แต่ก็ให้ไป..เพราะว่าอย่างน้อย ๆ เอาปฏิปทาสายหลวงพ่อวัดท่าซุงไปปฏิบัติให้เขาเห็น เขาจะได้รู้ไว้ว่าพระที่ทำเพื่อพระศาสนา เพื่อส่วนรวมจริง ๆ ยังมีอยู่ ไม่อย่างนั้นแล้วส่วนใหญ่ก็ทำเพื่อตัวเอง"

เถรี 24-01-2012 10:50

พระอาจารย์บอกว่า "พร้อมเมื่อไรจะบอกบุญในเว็บ ร่วมกันเป็นเจ้าภาพปิดทองพระชำระหนี้สงฆ์ที่วัดท่าขนุน มีพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านชุดกรรมการอยู่ ๓๐๐ ชุด คิดชุดละ ๗,๕๐๐ บาท ในแต่ละชุดจะมีพิเศษอยู่องค์หนึ่งคือเนื้อชินตะกั่วซึ่งมีแค่ ๓๐๐ องค์

เดี๋ยวรอคุณโอรส(อุดมศักดิ์ จิรบัณฑิตย์)เอาไปเข้าพิธีเป่ายันต์ก่อน แล้วค่อยแบกกลับมา ส่วนพระปิดตาที่ใส่ตะกรุดมหาสะท้อนลงไปด้วยมีเนื้อทองคำ เนื้อเงิน และเนื้อนวโลหะ ๓ เนื้อนี้ ถ้าหากว่าใครคลอดลูกอยู่ก็อย่าเข้าไปใกล้ ตอนนั้นอาตมาลืมไปจริง ๆ คิดอย่างเดียวว่าจะใส่ ลืมนึกถึงอานุภาพ คิดว่ามีอะไรดี ๆ ก็จะใส่ให้หมด

อย่างตะกรุดโสฬสของหลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง ท่านไม่มีข้อห้ามอย่างนี้ ใส่ลงไปก็ไม่มีปัญหา อันนั้นเป็นตะกรุดทองคำพอกครั่ง อาตมาก็ลอกครั่งมาใส่พระปิดตาเนื้อผง ส่วนทองคำก็แบ่งใส่เนื้อนวโลหะกับเนื้อทองคำไป

พระปิดตาเนื้อนวโลหะกับเนื้อผงจะมีส่วนผสมมากที่สุด ถ้าอยากได้ของแพงหน่อยเนื้อนวโลหะ โดยเฉพาะนวโลหะรุ่นนี้อาตมาบ้าเลือด ใส่ทองคำลงไป ๑๐๐ บาทพอดี..!"

เถรี 24-01-2012 11:01

ถาม : รุ่นองค์ใหญ่จะให้บูชาเมื่อไรครับ?
ตอบ : ยังไม่รู้เลย ต้องดูอารมณ์ก่อน กลัวได้เงิน ได้เงินมาแล้วก็เหนื่อย ที่รีบทำไว้ก่อนเพราะรู้ว่าต่อไปของจะขึ้นราคาไปเรื่อย จึงทำเอาไว้ก่อน ของในท้องตลาดจำหน่าย ๑,๐๐๐ บาท เราก็จำหน่าย ๕๐๐ บาท เขาจำหน่าย ๕๐๐ บาท เราก็จำหน่าย ๓๐๐ บาท

อย่างวัตถุมงคลที่เป็นเนื้อทองคำ มาตรฐานเลยก็คือพอทำสำเร็จแล้วคิดน้ำหนักทองคูณราคา ๓ เท่า ถ้าสมมติว่าน้ำหนักทอง ๑ บาท ก็คิดเท่ากับราคาทอง ๓ บาท เพราะฉะนั้น..ในท้องตลาดราคาจะแพงมาก อาตมาก็ไม่รู้จะเอาเงินมากไปทำไม บางรุ่นแทบจะไม่มีกำไรเลย ปีที่แล้วติดลบไปหกล้านกว่าบาท ติดลบแบบไม่มีหนี้ คือตัวเลขติดลบแต่มีเงินจ่ายให้เขา ก็ไม่แปลกหรอก

อย่างล่าสุดที่สร้างพระนาคปรกทองคำ ให้ทองคำเขาไป ๒๖ บาท พอหล่อพระเสร็จแล้วยังเหลือเศษทองอีก ๙.๘ กรัม แต่พระที่หล่อออกมานั้นน้ำหนัก ๒๗ บาทกว่าแล้ว ก่อนนั้นครั้งหนึ่งโยมเอาทองมาเปลี่ยนเป็นพระไป เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาทองเกินมา ๕ บาท แต่เขาก็ได้พระไปครบถ้วนดี ไม่มีใครเสียหาย แล้วทองคำโผล่มาจากไหน ? ของอย่างนี้เลิกคิดไปนานแล้ว ถ้าท่านจะมาก็นิมนต์เถอะ มีก็ใช้ไปเรื่อย ๆ

วันก่อนพระปลัดสถิตย์ เลขานุการเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิเขามาบอกว่า “อาจารย์มีเศษเงินติดกระเป๋ามาสักสองหมื่นไหม ?” อาตมาก็ “เฮ้ย..สองหมื่นนี่เศษเงินหรือ ?” ท่านว่า “ถ้าของอาจารย์ก็เศษเงิน..!” อาตมาถามว่าจะทำอะไร ? ท่านบอกว่าจะทำฐานพระประธาน มีคนสร้างพระประธานมาให้แต่ไม่มีฐาน อาตมาก็เลยควักเงินให้ นับไปนับมาได้สองหมื่นถ้วน หมดตัวพอดี..!

จึงบอกว่า "นี่ถ้าขอเกินแค่บาทเดียว ผมก็ไม่มีให้" ให้ไปแล้วอาตมาก็กลับวัดตัวเปล่า เพื่อน ๆ พระด้วยกันก็อย่างนี้แหละ คนไหนโชคดีมาตอนมีก็เอาไป ถ้ามาตอนไม่มีก็แล้วไป

เถรี 24-01-2012 12:22

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในหนังสือปกิณกธรรมที่ใส่รูปเอาไว้เยอะ นอกจากเพื่อพักสายตาแล้วยังเป็นอนุสติด้วย เสียดายรูปสวย ๆ สมัยก่อน ตอนหัดใช้กล้องใหม่ ๆ ถ้าจำไม่ผิดเป็นปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ไล่ถ่ายรูปหลวงพ่อวัดท่าซุง ถ่ายไปถ่ายมาได้ยินเสียงสวรรค์ลงมาว่า “แกจำไว้นะ..ถ้าใครอยากเจ๊งก็ให้เล่นกล้อง..!”

จริง ๆ ด้วย กว่าจะถ่ายรูปเป็น หมดเงินไปเป็นหมื่นของสมัยนั้น เพราะว่าบางทีถ่ายทั้งม้วนได้มาจริง ๆ แค่ ๒-๓ รูป แต่บังเอิญว่าอาตมาเป็นคนช่างสังเกตและจำแม่นว่า รูปที่ออกมาดีและสวยอยู่ในสภาพอากาศอย่างไร แสงสีเป็นอย่างไร และถ่ายจากมุมไหน หลังจากนั้นก็ปรับปรุงตัวเองมาเรื่อย ๆ จากที่ทั้งม้วนขอแค่รูปสองรูป ก็เริ่มจะได้มากขึ้น

แบบเดียวกับภาพพระธาตุอินทร์แขวน ตอนนั้นอาตมาดูซ้ายดูขวา ดูหน้าดูหลัง ใกล้จะตะวันตกดินแล้ว ตะวันจะตกมุมนั้น ถ้าถ่ายพระธาตุจากตรงนี้ถึงจะสวย คำนวณทิศทางไว้หมดแล้ว ไปยืนรอถ่ายอย่างเดียว พวกฝรั่งก็สงสัยว่าพระรูปนี้ปีนขึ้นไปยืนอยู่ตรงนั้นทำไม ? พอเขาเห็นว่าถ่ายรูป คราวนี้กรูกันมาหมดเลย เพราะเขาเพิ่งเห็นว่ามุมนี้สวย

แต่ว่ารูปที่ถ่ายยากที่สุดก็คือรูปที่พระมหาเจดีย์ชเวดากอง พระอาทิตย์ที่นั่นตกไวมาก ถ่ายรูปแรกเสร็จจะถ่ายรูปที่ ๒ ตกลับไปครึ่งทางแล้ว ทำไมเร็วขนาดนั้นก็ไม่รู้ ?"

เถรี 24-01-2012 12:38

ถาม : สมัยก่อนถ่ายรูปได้ ให้หลวงพ่อวัดท่าซุงดูไหมครับ ?
ตอบ : นาน ๆ ที บางทีท่านถามอาตมาก็ถวายให้ท่านดู แต่ว่ามีบางรูปที่พรรคพวกขออัดกัน อย่างรูปที่หลวงพ่อท่านพรมน้ำมนต์ ท่านสะบัดมือพอดี อาตมาถ่ายไปมีน้ำมนต์เป็นรูปครึ่งวงกลมสีขาวอยู่ตรงอกท่าน แย่งกันยืมอัด ไป ๆ มา ๆ ฟิล์มม้วนนั้นไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มีหลายชุดที่ถ่ายดีแล้วเขาขอฟิล์มไปอัดแล้วก็ไม่ได้คืน

มีภาพที่ถ่ายในงาน ๑๐๐ วันหลวงพ่อ อาตมาจะถ่ายไว้ทุกวัน เช้ากับเย็นเพื่อดูความเปลี่ยนแปลง ปรากฏว่ากรรมการสงฆ์เขากลัวว่า อาตมาจะเอาไปหากินหรืออย่างไรไม่รู้ ? เขาให้หลวงพี่วิรัชมาขอฟิล์มไป ตอนหลังอาตมาไปหาหลวงพี่ประทีป หลวงพี่ประทีปท่านหาคืนมาได้แค่ ๓ ม้วน ท่านบอกว่า “กูหาเจอแค่นี้แหละ ไม่รู้เขาเอาไปซุกไว้ที่ไหนกันหมด”

หลวงพี่ประทีปท่านเป็นพระที่เชื่อใจคนอื่น รู้ว่าอาตมามีนิสัยอย่างไร ถึงถ่ายไปก็ไม่ได้เอาไปอัดขายเหมือนคนอื่นเขาหรอก พอออกมาได้สัก ๓ ปีก็ย่องกลับไปหาบอกว่า “พี่ทีป..ยังมีรูปป๋าเหลือไหม ?” พี่เขาไปค้นมาให้ได้มาแค่นี้แหละ ท่านบอกว่า “ถ้าเอ็งไม่ได้เขียนลายมือติดไว้ ข้าก็หาไม่เจอหรอก” อาตมาจะเขียนไว้ว่าถ่ายวันไหนถึงวันไหน คนอื่นเขาไม่ได้คิดกัน โดยเฉพาะทางวัดงบประมาณเหลือเฟืออยู่แล้ว ทั้งภาพนิ่งทั้งวีดีโอควรจะถ่ายไว้ทุกวัน แต่ก็ไม่ได้ทำ

เถรี 24-01-2012 12:49

ถาม : หลวงพ่อวัดท่าซุงถ่ายรูปไหมครับ ?
ตอบ : อาตมามีภาพที่ท่านกำลังถ่ายรูปอยู่ด้วย แต่ไม่กล้าให้ใครดู กลัวโดนเตะ..! เรื่องของครูบาอาจารย์ การแสดงออกให้คนทั่วไปรู้เป็นสาธารณะควรจะเป็นภาพที่น่าเลื่อมใสศรัทธา คราวนี้การที่ท่านถ่ายรูปไม่ผิดหรอก อาตมาเองรู้สึกว่าน่ารักดีด้วย แต่ถ้าออกไปเป็นสาธารณะแล้วจะมีคนเก่งด่าท่าน คนด่าก็หานรกใส่ตัวเอง เพราะฉะนั้น..จึงก็ต้องระมัดระวัง ไม่ใช่เผยแพร่ไปส่งเดช

อย่างน้องเล็กไปวัดท่าซุงตอนหลวงพ่อมรณภาพแล้ว ไปขอถ่ายรูปท่าน พอกล้องส่องตรงไปที่ท่านก็กดชัตเตอร์ไม่ได้ พอหันไปถ่ายที่อื่นถึงติด หันกลับมาที่รูปท่านก็ถ่ายไม่ติด ๗-๘ รอบจนต้องยอมรับ และกล้องรุ่นหลัง ๆ เป็นดิจิตอลหมดแล้ว ประเภทเห็นชัด ๆ ว่าถ่ายได้หรือไม่ได้ ไม่อย่างนั้นปกติก่อนนี้น้องเล็กไปก็ไม่ได้เลื่อมใสอะไร เพื่อนชวนไปก็ไป ท่านทำให้เห็น ๆ เลยว่า “ถ้าเอ็งไม่เลื่อมใสศรัทธา ก็ไม่ต้องเอารูปข้าไป..!”

อาตมาเจอหนักกว่านั้นอีก ก็คือพระแก้วมรกตของหลวงพ่อดาบส ท่านติดป้ายห้ามถ่ายรูป ซึ่งเป็นป้ายที่อาตมาไม่เคยฟังเลย ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม พอถ่ายรูปเสร็จเอาฟิล์มไปล้างออกมาแล้วเจ็บปวดมาก เครื่องบูชาทุกอย่างถ่ายติดหมด ขาดแต่องค์พระแก้วอย่างเดียว ท่านทำให้ดูว่า “ถ้าเอ็งฝ่าฝืนในสิ่งที่ข้าไม่ชอบ ก็จะเป็นอย่างนี้แหละ..!” ไม่ว่าจะเป็นฉัตร เป็นแจกันดอกไม้ถ่ายติดหมด แต่ตรงองค์พระว่างไปเฉย ๆ..!

เถรี 24-01-2012 16:24

ถาม : หลวงพ่อดาบสท่านเคยมาวัดท่าซุงไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เคย

ถาม : แล้วหลวงพ่อวัดท่าซุงเคยพาไปหาท่านไหมครับ ?
ตอบ : ท่านไม่ได้พาไป แต่ไปกันเอง เพราะว่าคนเล่าลือถึงคุณความดีของท่าน หลวงพี่วิรัชกับหลวงตาวัชรชัยก็ไปกราบขอถ่ายรูปท่าน แล้วหลวงพี่วิรัชเอาไปให้หลวงพ่อดู พอหลวงพ่อเห็น ท่านก็บอกว่า องค์นี้ได้มา ๒๐ ปีแล้ว ปัจจุบันนี้ที่น่าเป็นห่วงก็คือแม่ชีทอน ท่านดูแลทุกอย่างในสำนักแทนหลวงปู่อยู่

ถาม : แม่ชีทอนท่านเสียไปแล้วครับ ?
ตอบ : เสียไปแล้วหรือ ? ถ้าอย่างนั้นยุ่งเลย เพราะว่าตอนช่วงที่ท่านอยู่ อาตมาไปทีไรแม่ชีก็ตื๊อให้เป็นเจ้าอาวาสที่นั่น แนะนำมหาโรจน์ไป มหาโรจน์ก็บอกว่าไกลเกิน

แม่ชีทอนบอกว่า “ถ้าอาจารย์ไม่เป็นเจ้าอาวาส ก็ให้ลูกศิษย์มาเป็นก็ได้” เขาเชื่อใจพระสายหลวงพ่อมากกว่า เพราะความที่คุ้นเคยกัน ไปกันทีพวกเราก็อยู่สบายกินสบาย แม่ชีทอนตอนนั้นก็เห็นว่าตัวเองอายุมากแล้ว อยากให้คนมาเป็นหลักไว ๆ ถ้าอาตมาไปพวกเขาก็ยอมรับกัน แต่ก็ไปไม่ได้

หลังจากเผาหลวงปู่แล้วรู้สึกว่าไปอีก ๒ ครั้งเท่านั้น นอกนั้นก็วิ่งอยู่สายนอก สมัยหลวงปู่อยู่วิ่งสายในเส้นดงมะดะ ผ่านหน้าวัดเลย แม่ชีที่นั่นต้องห่มผ้าสีม่วง เพราะว่าเขาไม่ยอมให้เป็นชี พระก็ไม่ยอมให้เป็นพระ

ถาม : แล้วที่นั่นเป็นวัดไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เป็น เพราะว่าไม่ได้ขึ้นทะเบียนเอาไว้ คือเขาไม่ยอมให้ขึ้น คนจะรังแกก็รังแกจนถึงที่สุด ขนาดใช้ชื่ออาศรมเวฬุวัน เขายังไม่ยอมให้ใช้ เขาบอกว่าเวฬุวันเป็นวัดในพุทธศาสนา ท่านต้องไปเปลี่ยนเป็นอาศรมไผ่มรกต ไม่ต้องห่วง พวกนี้เจอกันข้างล่าง..!

ก่อนหน้านั้นอาตมาไปปีละ ๒-๓ ครั้ง แต่ว่าช่วงก่อนหน้าที่ท่านจะมรณภาพ พอขึ้นไปเห็นท่าน อาตมาก็บอกทุกคนให้รีบไปทำบุญกับท่าน เพราะว่าเข้าไปแล้วกุฏิท่านสว่างผิดปกติ สว่างอย่างกับติดไฟไว้เลย ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่เคยเปิดไฟในกุฏิ ลักษณะอย่างนี้จำไว้เลย พระจะสวยที่สุดคือวันที่บรรลุมรรคผลกับวันก่อนตาย

ตอนออกจากวัดท่าซุงก็ขึ้นไปกราบท่าน แล้วก็รายงานว่าไม่ได้อยู่วัดท่าซุงแล้ว ตอนนี้อยู่ทางด้านกาญจนบุรี หลวงปู่ท่านว่าอย่างไรรู้ไหม ? ท่านว่า “พระมาบอกให้ผมทราบแล้ว” สยองเลย..เรื่องของเด็กกระเปี๊ยกอย่างเรา พระท่านยังอุตส่าห์ไปบอกหลวงปู่

เถรี 24-01-2012 16:26

ถาม : การไหว้พระแบบคติพุทธ จำเป็นต้องใช้ดอกไม้ธูปเทียนไหม ?
ตอบ : ถ้าถามว่าจำเป็นไหม ? ไม่จำเป็นก็ได้ แต่ขณะเดียวกันว่าถ้าหากเราจะไหว้ถูกต้องจริง ๆ ก็ต้องไหว้ในลักษณะนึกถึงเป็นพุทธานุสติ อย่างนี้เขาเรียกว่าปฏิบัติบูชา แต่ถ้าหากว่าไม่ได้ไหว้แล้วน้อมใจนึกถึงในลักษณะของพุทธานุสติ ก็ควรที่จะมีดอกไม้ธูปเทียนที่เรียกว่าอามิสบูชา

ถ้าหากว่าไม่เหลือบ่ากว่าแรงควรที่จะหาไว้ อะไรที่เขาทำจนเป็นธรรมเนียมประเพณีแล้ว ถ้าเราไปฝืนเขาเดี๋ยวจะมีปัญหากับส่วนรวม เพราะฉะนั้น..เมื่อไม่ได้ผิดอะไรก็ตาม ๆ เขาไปจะดีกว่า


ถาม : การกรวดน้ำจำเป็นต้องใช้น้ำจริง ๆ ไหม ? หรือแค่สวดบทอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลก็พอ ?
ตอบ : กรวดน้ำในที่นี้หมายถึงการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำก็ได้ แต่ว่าครั้งแรกในพุทธศาสนาที่มีเรื่องนี้ คือเรื่องของพระเจ้าพิมพิสาร ญาติท่านมาขอส่วนบุญ พระพุทธเจ้าแนะนำให้ทำบุญแล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้

เวลาพราหมณ์จะให้อะไรใคร เขาจะใช้น้ำรดมือคนนั้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าฉันให้เธอแล้ว พระเจ้าพิมพิสารท่านถือศาสนาพราหมณ์มาก่อน พอบอกว่าให้อุทิศส่วนกุศลแก่ญาติ ท่านก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ตั้งใจจะเอาน้ำรดมือ ก็มองไม่เห็นว่ามือผีอยู่ตรงไหน จึงรดมือตัวเอง กลายเป็นรูปแบบของการกรวดน้ำมาตั้งแต่บัดนั้น

จริง ๆ แล้วไม่จำเป็นที่จะต้องใช้น้ำก็ได้ แต่ว่าถ้าเขานิยมก็ทำตามเขาเถอะ ทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้านเขา เดี๋ยวก็เขามองตาเขียวปั๊ดอีก

เถรี 24-01-2012 19:13

พระอาจารย์อ่านหนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงสรีระพระครูอดุลปุญญาภิรม (ครูบาผัด ปุญฺญกาโม)

งัว ควาย จ๊าง ม้า ต๋ายแล้วเหลือหนัง
ดูก ขน เขายังเอาใจ๊ก๋ารได้
จ๋าตี๊สุด ตังปุ๋มและไส้ คนยังกิ๋นลำอิ่มต๊อง

มนุษย์เฮาต๋าย สหายปี้น้อง ไผบ่อ่วงข้องอาลัย
สุดแต่ดูกพัวะ ยังเอาขว้างไกล๋ กลั๋วจักเป็นภัย ผีจักหลอกได้
ความชั่วรีบหนี ความดีรีบใกล้ ต๋ายแล้วจื้อหากตึงยัง


ค่าวของพญาพรหม กวีเอกแห่งล้านนา
อ้างถึงโดย พระครูสุเขตสุทธาลังการ
เจ้าอาวาสวัดทุ่งเสลี่ยม

"เขาบอกว่าวัวควาย ช้างม้า ตายแล้วเหลือหนัง ขนและกระดูก เขายังเอาไปใช้การได้ หรือว่าที่สุดทั้งพุงและไส้ คนก็ยังกินอร่อยอิ่มท้อง แต่คนเราตายทั้งเพื่อนพี่น้องไม่มีใครห่วงข้องอาลัย แม้แต่กระดูกยังขว้างไปไกล เพราะกลัวจะเป็นภัยให้ผีมาหลอกได้

เป็นคำค่าวของพญาพรหม ซึ่งเป็นกวีเอกของล้านนา แต่ไป ๆ มา ๆ ก็กระเด็นออกจากราชสำนักเพราะคารมดีเกินไป จีบพวกสาวสรรกำนัลในเยอะไปหน่อย หัวไม่ขาดก็บุญแล้ว เขายังเห็นแก่ฝีมือก็เลยปล่อยเอาไว้ อ่านทีแรกอาตมาก็ว่าทำไมแต่งได้ไพเราะแท้ ที่แท้เป็นของสุดยอดฝีมือล้านนานี่เอง พวกค่าวพวกซอของทางเหนือ สมัยนี้หาคนแต่งฝีมือดี ๆ ยากมาก"

เถรี 25-01-2012 08:52

ถาม : หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนว่าจิตเราบางทีก็บังคับไม่ได้หรือครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ชำนาญจริง ๆ ก็บังคับไม่ได้ อย่าลืมว่าท่านสอนคนหัดใหม่นะ

ถาม : ท่านบอกว่าแม้แต่พระอรหันต์ก็ยังบังคับไม่ได้ ?
ตอบ : ก็ต้องดูว่าพระอรหันต์ท่านชำนาญหรือเปล่า ? ถ้าขนาดนั้นแล้วยังไม่ชำนาญอีกจะเป็นไปได้อย่างไรวะ..?!

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : อย่าลืมว่าที่ท่านสอน คือสอนพวกเรา คุณดันตีความไปถึงพระอรหันต์ก็หาเรื่องเดือดร้อนสิ

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : มัวแต่สงสัยอยู่ก็ยังไม่ได้กินหรอก อาหารอยู่ตรงหน้าแทนที่เราจะกิน ก็มานั่งเขี่ยอยู่ว่ามีอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นเลิกซะ..สันดานสงสัยทุกเรื่อง จะได้มีความเจริญใส่ตัวบ้าง ไม่ใช่เที่ยวไปถามเอาเท่ว่ากูสามารถตั้งคำถามได้ แต่จริง ๆ ผลที่จะเกิดขึ้นไม่มีสำหรับตัวเองเลย

การถามที่ได้ประโยชน์จริง ๆ คือถามในเรื่องที่ตัวเองติดขัดอยู่ จะได้ไปต่อได้ ไปสงสัยเรื่องรอบ ๆ ตัว สงสัยไปก็ไร้ประโยชน์เพราะเป็นเรื่องของคนอื่นทั้งนั้น

ถาม : แล้วจะเลิกนิสัยนี้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็ไม่ยาก รู้แล้วก็พยายามละเท่านั้นเอง

เถรี 25-01-2012 08:59

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ค่อย ๆ แยกแยะดูแล้วจะเห็นอย่างชัดเจน ว่าตัวผู้รู้ก็คือตัวผู้รู้ ตัวรับรู้ก็คือตัวรับรู้ บางทีภาษาบาลีเขาจะแยกชัด เป็นจิตกับชวนะ แต่ภาษาไทยบางทีก็สับสนปนเปกัน

สรุปว่าของที่ละเอียดเกินไป อย่าเพิ่งไปใส่ใจ แค่ตัวกูพยายามให้เห็นว่าไม่ใช่กูไว้ก่อน พอตัวกูไม่ใช่กูแล้วคนอื่นย่อมไม่ใช่ของกูเหมือนกัน เดี๋ยวก็จะเห็นกว้างไปเรื่อย ๆ ถ้าหากว่ากำลังพอ จิตก็จะยอมรับตรงนั้นว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ควรยึดมั่นถือมั่นจริง ๆ

เรื่องของการปฏิบัติมีอยู่ระยะหนึ่งที่พึงระวังสุดขีดก็คือ ญาณเครื่องรู้เกิดขึ้น จะเกิดความแตกฉาน ขบคิดอะไรก็เข้าใจไปหมด เห็นความสอดคล้องสัมพันธ์ของทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหมด ไม่ว่าจะหัวข้อธรรมไหนก็เห็นว่าเกี่ยวโยงกันหมด แต่จุดที่สำคัญจริง ๆ ก็คือ สิ่งที่เรารู้มีส่วนในการตัดกิเลสของเราไหม ?

ไม่ใช่ว่ารู้ทุกเรื่องแต่เรื่องตัดกิเลสไม่รู้เลย แต่ว่าส่วนใหญ่ก็มักโดนหลอกให้หลงไปในแนวนั้น แนวที่ว่ารู้ทุกเรื่อง ยิ่งคิดยิ่งสนุก ยิ่งคิดยิ่งแตกฉาน จะสร้างยานอวกาศออกไปต่างดาวยังได้เลย แต่เรื่องตัดกิเลสกลับไม่รู้ เป็นเรื่องที่จะต้องระวังให้จงหนัก ถ้าหากว่ายังไม่ถึงตรงระดับนี้ ถึงหลงก็ยังไปไม่ไกล แต่ถ้าโผล่ไปถึงระดับนี้แล้วหลงไกลแน่ เพราะจะถูกพาเตลิดเปิดเปิงไปเรื่อย จนออกทะเลหาฝั่งไม่เจอ

คิดเรื่องอะไรก็เข้าใจไปหมด เป็นส่วนของจินตามยปัญญาคือขบคิดแล้วเข้าใจ ยังไม่ใช่ภาวนามยปัญญา คือปัญญารู้แจ้งเห็นจริงแล้วปล่อยวางได้


ถาม : อย่างนี้ต้องมีสติมากเลยสิครับ ?
ตอบ : ใช่...ถ้าไม่มีสติก็ไปไม่รอดอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่า ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ต้องไปด้วยกัน ขาดสติเมื่อไรก็ถูกกิเลสพาไปไกลลิบเลย แล้วหลายคนก็อยู่ในอาการเฟื่องไปเลย ก็คือไปพูดเรื่องที่มนุษย์ทั่ว ๆ ไปไม่รู้ แบบสมัยก่อนคุณกมลที่มาที่นี่ นั่นถึงขนาดจะไปตั้งอาณานิคมบนดาวอังคาร อาตมาก็เลยช่วยบอกเขาว่า ต้องทำอย่างไรถึงจะอยู่บนดาวอังคารได้จริง ๆ สนุกกันใหญ่ ไหน ๆ เขาจะไปแล้ว ก็ช่วยบอกให้เขาไปถูกทางหน่อย..!

เถรี 25-01-2012 09:10

(มีผู้ถามเรื่องการแยกเงินลงบัญชี)

ถาม : ทำอย่างนี้ก็โกงง่ายมากเลยสิครับ ?
ตอบ : ง่ายมากเลย ถึงต้องซื่อสัตย์อย่างมาก เพราะว่าต่อให้คุณปลอมขนาดไหนก็ตาม นายบัญชีข้างล่างเขาตรวจเจอทุกที ผู้ตรวจบัญชีที่อื่นตรวจไม่รู้เรื่องหรอก แต่นายบัญชีข้างล่าง คือ ท่านสิริคุตมหาอำมาตย์นายบัญชีท่านนี้แม่นจริง ๆ

ตอนช่วงนั้นเกิดอุบัติเหตุคอหัก อาตมาลงไป เห็นบัญชีเล่มหนาปึ้กเลย ท่านเปิดดูบอกว่า “อีก ๖ วันหาย” พอท่านปิดอาตมาก็รีบเผ่นแน่บ ขืนอยู่เดี๋ยวท่านเปลี่ยนใจเอาตัวไว้เลย อะไรจะเก่งปานนั้น แค่เห็นหน้าก็เปิดบัญชีได้ตรง ไม่มีพลาดเลย

ถาม : แล้วท่านที่จะมารับหน้าที่ต่อไปเป็นใครครับ ?
ตอบ : ยังไม่ได้ถามท่านเลย กลัวท่านจะหลอกให้อาตมาทำเสียเอง

ถาม : ท่านเหนื่อยไหมครับ ?
ตอบ : ในสภาพความเป็นทิพย์ไม่เหนื่อย แต่ในขณะที่คนอื่นเขาคว้ามรรคคว้าผลไปหมดแล้ว ตัวเองต้องมารับภาระอยู่ คงเบื่อสุด ๆ เหมือนกัน บุคคลที่มีปัญญาจะเห็นว่าถ้ายังมีภาระอยู่คือยังมีทุกข์อยู่ ฉะนั้น..ต่อให้อยู่ในความเป็นทิพย์ขนาดไหนก็ตาม ก็ยังเป็นทุกข์อยู่

ถาม : เทวดาที่ประมาท พออยู่ข้างบนแล้วไม่สร้างบุญต่อมีไหมครับ ?
ตอบ : มีเยอะแยะไป พวกที่ขึ้นไปใหม่ ๆ ยังไม่รู้ดีรู้ชั่ว เสวยสุขไม่ลืมหูลืมตา พอหมดอายุก็มักจะลงล่าง กว่าจะรู้ก็บางทีแบบเดียวกับสุปติฏฐิตเทพบุตร วินาทีสุดท้ายจะจุติไปข้างล่างอยู่แล้ว แต่ท่านทำบุญมาดี ในอดีตท่านเคยสร้างพระพุทธรูปไว้ ชาตินี้กุศลมาสนอง ถ้าไม่ได้พระพุทธเจ้าเสด็จเทศน์ให้ฟังก็เรียบร้อย กี่ขุมก็ต้องผ่านหมด

ถาม : ความจริงถ้าเราทำบารมีต่อไปมาก ๆ บารมีเราเยอะ ก็ไม่มีโอกาสต้องลงนรกเลยถูกไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องกลัวหรอก มีโอกาสแน่ เกิดมากบาปก็เยอะด้วย

ถาม : แต่ผมก็ไม่ค่อยได้ทำบาปนี่ครับ ?
ตอบ : อย่างอาตมาก็ไม่ค่อยได้ทำ แต่ที่ป่วยจนงอมพระรามอยู่ทุกวันนี้ล่ะ ? ปล่อยปลาปล่อยวัวมา ๒๖ ปีก็เพราะอย่างนี้

ถาม : หลายชาติมารวมกันหรือครับ ?
ตอบ : อย่าใช้คำว่าหลายชาติเลย นับชาติไม่ถ้วน หลายวาระที่ดูแล้วตัวเองยังเป็นสัตว์เดียรัจฉานอยู่เลย แต่กรรมนั้นเพิ่งจะตามมาทัน

เถรี 25-01-2012 10:11

พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงที่อาตมาอยู่ชายแดน มีหมาสงครามอยู่ตัวหนึ่งชื่อเอ็กซ์ แต่พอเขาเรียก "ไอ้เอ็กซ์" ทีไร อาตมาก็ขานตอบ "ครับ" ทุกที เพราะชื่อมีเสียงใกล้เคียงกัน แต่ขอโทษ..หมาตัวนี้ยศพันตรีนะครับ เวลาเจอหน้าต้องทำความเคารพก่อน ทำความเคารพเสร็จแล้วค่อยเตะ..!

สาเหตุที่เอ็กซ์ติดพันตรีเพราะโดนระเบิดตาย เจ้าเอ็กซ์พยายามเห่าและรั้งเจ้านายไม่ให้เดินเข้าไปหาระเบิด แต่เจ้านายก็ยังโง่เดินเข้าไปหาระเบิดอีก เจ้าเอ็กซ์ก็เลยกระโดดเหยียบกับระเบิดเอง"

ถาม : อย่างนั้นตายแล้วไปไหนครับ ?
ตอบ : ฉลาดปานนั้นน่าจะไปเกิดแล้ว สัตว์เลี้ยงที่อยู่ใกล้คนมักใกล้จะหมดกรรมของการเป็นสัตว์เดียรัจฉานแล้ว ถ้าใจเขาเกาะคนก็เกิดเป็นคน ถ้าใจเขาเกาะพระก็เกิดเป็นเทวดาไปเลย ฉะนั้น..โอกาสที่เขาลงต่ำมีน้อยมาก

สัตว์เดียรัจฉานไม่ใช่ไม่มีโอกาสทำชั่ว แต่ว่าส่วนใหญ่ทำโดยไม่ได้เจตนาหรือทำโดยไม่รู้ อย่างกากะเปรต พอเขาจะเอาอาหารไปถวายพระ นกกาก็ขอกินก่อนคำหนึ่ง จึงกลายไปเป็นเปรต ส่วนท่านที่ทำดีแล้วไปสบายมีเยอะแยะไปหมด เช่น เอราวัณเทพบุตร มักกะโฎเทพบุตร แล้วยังมีมัณฑุกะเทพบุตร ท่านหลังนี้เป็นกบ ฟังพระพุทธเจ้าเทศน์แล้วเพลินเพราะเสียงของพระองค์ท่านไพเราะ ฟังไม่รู้เรื่องหรอกแต่ชอบ กำลังฟังเพลิน ๆ อยู่ พอดีนายพรานล่าสัตว์ผ่านมาเห็นพระพุทธเจ้า จะเข้าไปกราบก็คิดว่าต่อหน้าสมณะเราไม่ควรจะถืออาวุธเข้าไป ก็เลยเอาแหลนปักพื้นไว้ ไปโดนหลังกบตายคาที่พอดี

ถาม : อย่างนี้ถือว่ามีเวรกันไหมครับ?
ตอบ : ในอดีตคงจะมีเวรต่อกันแน่นอน ไม่ได้เจตนายังต้องมาตาย แบบเดียวกับเราขับรถไม่เจตนาจะชนหมา แต่หมาบางตัวต้องตายให้ได้ นั่นแหละประเภทเคยมีเวรกันมา ตัวอย่างชัดสุด ก็สมัยที่อาตมาไปอยู่เกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ อาตมานั่งรถ ๖ ล้อของป่าไม้ ผู้ใหญ่พงศ์ตอนนั้นยังเป็นหัวหน้าคนงานอยู่ ขับรถมาแล้วหมาเดินข้ามถนนมา เหลืออีกศอกเดียวก็จะเดินพ้นแล้ว

พอหมาเห็นรถมาดันเลี้ยวกลับเฉยเลย พอเลี้ยวกลับผู้ใหญ่พงศ์ก็หักซ้าย หมาก็เลี้ยวกลับอีกที ผู้ใหญ่พงศ์ก็หักขวา หมาก็เลี้ยวขวาตามไปอีกที ผู้ใหญ่พงศ์หักพวงมาลัยไม่ไหวแล้ว โครมเดียวหน้าเหลือ ๒ นิ้ว อาตมาบอกผู้ใหญ่พงศ์ว่าปล่อยมันเถอะ ลักษณะอย่างนี้ต้องถึงที่ตายจริง ๆ มีไอ้บ้าที่ไหนวิ่งวนอยู่ได้ตั้ง ๓ รอบอย่างนั้น ไม่ตายก็เอาจนตายได้ อันนี้เป็นกรรมปาณาติบาตแน่นอน แต่วาระที่สร้างไว้มาส่งผลพอดี


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:56


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว