![]() |
ถาม : เป็นพี่เลี้ยงเด็ก จะให้เด็กรักเรา ยอมรับเรา ต้องทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ทำดีกับเขาเยอะ ๆ แต่ถ้าเขาทำผิดก็ตี ถ้ากำลังใจของเราดีจริง เด็กเขาจะรับได้ง่าย |
พระอาจารย์เล่าว่า "อสุรินทราหูเป็นพระโพธิสัตว์ จะไปตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่านารท ตอนนี้ท่านอยู่ชั้นดุสิต หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยถามท่านว่า เรื่องอะไรถึงต้องไปอมพระจันทร์ ? ท่านบอกว่า ผมไม่ไปโง่อมขี้ดินหรอก พระจันทร์ในสายตาของท่านก็คือดินก้อนหนึ่ง
ในอนาคตวงศ์กล่าวเอาไว้ว่า เมตฺเตยฺยา เมตฺเตยฺโยนาม เมตไตรยมานพจะเกิดเป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า ราโม จ รามสมฺพุทฺโธ พระรามที่รบกับทศกัณฑ์ จะเกิดเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีนามว่าราม โกสโล ธมฺมราชา จ พระเจ้าโกศล ก็คือพระเจ้าปเสนทิโกศล จะเกิดเป็นพระพุทธเจ้ามีนามว่าสมเด็จพระธรรมราชาสัมมาสัมพุทธเจ้า มารมาโร ธมฺมสามี พระยามาราธิราชจะเกิดเป็นพระพุทธเจ้ามีนามว่า สมเด็จพระธรรมสามีสัมมาสัมพุทธเจ้า ทีฆชงฺฆี จ นารโท อสุรินทราหูจะเกิดเป็นสมเด็จพระนารทสัมมาสัมพุทธเจ้า ฑีฆชงฺฆี แปลว่าขายาว ยาวเท่าไรบอกไม่ถูก ในอรรถกถาเขาบอกว่ารอยต่อระหว่างคิ้วของอสุรินทราหูกว้าง ๑ โยชน์ แค่หัวคิ้วชนกันนี่ยาว ๑๖ กิโลเมตรแล้ว ขาไม่ยาวก็คงไม่ได้ โสโณ รํสิมุนี ตถา โสณพราหมณ์จะเป็นสมเด็จพระพุทธรังสิมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า สุภูเต เทวเทโว สุภมานพเป็นสมเด็จพระเทวเทพสัมมาสัมพุทธเจ้า โตเทยฺโย นรสีหโก อันนี้ประหลาด...โตเทยยพราหมณ์เป็นพ่อของสุภมานพ แต่บรรลุมรรคผลทีหลัง จะเป็นสมเด็จพระนรสีหสัมมาสัมพุทธเจ้า ธนปาโล ติสฺโส นาม ช้างธนบาลนาฬาคีรีที่พระเจ้าอชาตศัตรูปล่อยไปจะให้เหยียบพระพุทธเจ้า จะเกิดเป็นพระพุทธเจ้ามีนามว่า สมเด็จพระพุทธติสสสัมมาสัมพุทธเจ้า ปาลิเลยฺย สุมงฺคโล ช้างปาลิไลยกะจะเป็นพระสุมังคลสัมมาสัมพุทธเจ้า เอเต ทส พุทฺธา นาม ภวิสฺสนฺติ อนาคเต กาเล ชื่อทั้งหลายเหล่านี้แหละ..เป็นนามของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะมาอุบัติขึ้นในอนาคตกาล อนาคตกาลนี่ไกลเท่าไร เอาแค่พระศรีอาริยเมตไตรยก็ห่างจากตอนนี้เป็นล้านปีแล้ว มีใครจะอยู่รอบ้างไหม ?" |
"เมตฺเตยฺยา เมตฺเตยฺโย นาม............ราโม จ รามสมฺพุทฺโธ โกสโล ธมฺมราชา จ..................... มารมาโร ธมฺมสามี ทีฆชงฺฆี จ นารโท...................โสโณ รํสิมุนี ตถา สุภูเต เทวเทโว.......................โตเทยฺโย นรสีหโก ธนปาโล ติสฺโส นาม.................. ปาลิเลยฺย สุมงฺคโล เอเต ทส พุทฺธา นาม.................ภวิสฺสนฺติ อนาคเต กปฺปสตสหสฺสานิ........................ ทุคฺคตึ โส น คจฺฉติฯ ไม่ใช่เซียนบาลีจริง ๆ แต่งฉันท์อย่างนี้ไม่ได้หรอก แล้วเซียนบาลีจริง ๆ ต้องระดับประโยค ๙ ไปแล้ว พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นในช่วงแต่ละครั้งเป็นเรื่องที่ยากที่สุด สิ่งที่เกิดได้ยากที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ก็มี กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ การเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นยากยิ่งเหลือแสน ท่านเปรียบว่าเหมือนเอาเต่าตาบอดตัวหนึ่งโยนไว้กลางทะเลที่เต็มไปด้วยคลื่นลม แล้วมีแอกเล็ก ๆ ที่ใหญ่พอจะสวมหัวเต่าได้ โยนลงไปอันหนึ่ง ร้อยปีเต่าตัวนั้นโผล่ขึ้นมาทีหนึ่ง..ร้อยปีเต่าตัวนั้นโผล่ขึ้นมาทีหนึ่ง จนศีรษะเต่าสวมแอกนั้นได้เมื่อไร เท่ากับคนมีโอกาสเกิดได้ ๑ คน ร้อยปีได้เกิดคนหนึ่งก็แย่แล้วนะ แต่นี้ไม่รู้อนาคตว่านานเท่าไรถึงจะได้เกิด กิจฺฉํ มจฺจาน ชีวิตฺตํ การจะดำรงชีวิตอยู่รอดมาเป็นเรื่องที่ยากเหลือแสน คนเรามีชีวิตอยู่แค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้นเอง หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตาย หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตาย เพราะฉะนั้น..มีโอกาสตายได้ทุกเวลา รอดมาได้ถือว่าโชคดีมากแล้ว กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ การจะได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้านั้นแสนจะยาก กว่าจะอุบัติขึ้นแต่ละพระองค์นี่รอกันหายห่วงไปเลย" |
"องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราในสมัยที่เป็นสุเมธดาบส ได้มีโอกาสพบสมเด็จพระพุทธทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้รับพุทธพยากรณ์ว่าอีก ๔ อสงไขยกับหนึ่งแสนกัป ดาบสนี้จะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีนามว่าโคตมะ
หลังจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกรปรินิพพานไปแล้ว ระยะเวลาผ่านไป ๑ อสงไขยกัป ถึงได้เกิดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าโกณฑัญญะ ขึ้นมาอีก ๑ พระองค์ รอกัปเดียวก็แย่แล้ว อสงไขยกัปนั้นเป็นมหากัปนะ ไม่ใช่อันตรกัป มหากัปเดียวก็เกิดจนกระทั่งกระดูกกองเลยภูเขาแล้ว โบราณาจารย์ท่านเปรียบเอาไว้ว่า ๑ รอบอันตรกัปคือช่วงอายุของคนนั้น ต้องตั้งเลข ๑ ขึ้นมาแล้วต่อด้วย ๐ ไปอีก ๑๔๐ ตัว พอเริ่มมีความชั่วเข้ามา อายุก็ลดน้อยลงไปเรื่อย ๑๐๐ ปีลดลง ๑ ปีไปเรื่อย ๆ ลดจนกระทั่งไม่ต้องนับหรอกว่านานเท่าไร จนกระทั่งอายุขัยเหลือประมาณ ๑๐ ปีเป็นประมาณ อย่างยุคของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา มนุษย์มีอายุขัย ๑๐๐ ปีเป็นประมาณ ก็คือมีเกินบ้าง มีขาดบ้าง ตามแต่กรรมที่สร้างมา ๑๐๐ ปีผ่านไปลดไป ๑ ปีเรื่อย ๆ ผ่านมา ๒๕๕๐ ปี ลดไปประมาณ ๒๕ ปีครึ่ง เพราะฉะนั้น..คนสมัยนี้อย่างเก่งก็อายุ ๗๔ ปีหน่อย ๆ เมื่ออายุขัยมนุษย์เหลือแค่ ๑๐ ปี จะเกิดมิคสัญญี ยุคที่ไม่สนใจว่าใครเป็นใคร ฆ่าฟันกันแหลกแม้กระทั่งพ่อแม่พี่น้อง ท่านที่เห็นแล้วเกิดความสลดใจขึ้นมาก็พยายามสร้างความดีใหม่ พอมีความดีมากขึ้น อายุขัยของมนุษย์ก็เพิ่มขึ้นใหม่ ๑๐๐ ปี เพิ่มขึ้น ๑ ปี ๆ เพิ่มขึ้นเป็นระยะเวลานานเท่าไรบอกไม่ถูก จนกระทั่งอายุขัยมนุษย์กลับไป เป็นจำนวนที่เขียนเลข ๑ ขึ้นมาแล้วตามด้วย ๐ จำนวน ๑๔๐ ตัว เป็นเลข ๑๔๑ หลัก ระยะเวลายาวนานขนานนั้นเป็น ๑ รอบอันตรกัป" |
"อรรถกถาจารย์ท่านเปรียบ ๑ รอบอันตรกัปเอาไว้ว่า ถ้ามีภูเขาหินล้วน ๑ ลูก กว้าง ๑ โยชน์ ยาว ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ ๑ โยชน์เท่ากับ ๑๖ กิโลเมตร ก็แปลว่าภูเขาหินล้วนนั้นหน้าตาเหมือนลูกเต๋า กว้าง ๑๖ กม. ยาว ๑๖ กม. สูง ๑๖ กม. ระยะเวลาผ่านไป ๑๐๐ ปี เทวดาเอาผ้าเนื้ออ่อนเหมือนสำลีมาเช็ดครั้งหนึ่ง ผ่านไปอีก ๑๐๐ ปีมาเช็ดครั้งหนึ่ง เช็ดจนภูเขาลูกนั้นสึกเสมอพื้นจึงได้ ๑ อันตรกัป แล้ว ๖๔ อันตรกัป ถึงจะได้ ๑ อสงไขยกัป
คำว่า "อสงไขย" มาจากบาลีว่า อสํขยา แปลว่า นับไม่ได้ แต่ความจริงแล้วเรื่องของพระ พรหมหรือเทวดา ท่านอยู่ในเขตของความเป็นทิพย์ ท่านรู้ว่าเป็นระยะเวลายาวนานแค่ไหน ที่บอกว่านับไม่ได้หมายถึงคนทั่วไปนับไม่ได้ และที่นับไม่ได้เพราะว่าอยู่ไม่นานถึงขนาดนั้น ๖๔ อันตรกัป เท่ากับ ๑ อสงไขยกัป ๔ อสงไขยกัป เท่ากับ ๑ มหากัป ก็แปลว่า ๒๕๖ อันตรกัปถึงเท่ากับ ๑ มหากัป เราต้องเช็ดภูเขาหินให้สึกเสมอพื้นไป ๒๕๖ ลูก จึงจะได้ ๑ มหากัป เช็ดทีละลูกนะ ไม่ใช่เช็ดรวดเดียว แล้วระยะเวลาที่ผ่านไป ๔ อสงไขยของมหากัปกับอีกหนึ่งแสน พระพุทธเจ้าของเจ้าถึงได้ตรัสรู้ เป็นระยะเวลายาวนานขนาดไหน ? โอกาสที่จะได้ฟังธรรมถึงได้ยากขนาดนั้น แล้วข้อที่ยากที่สุดข้อสุดท้ายก็คือ กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท การเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้านั้นยากเหลือแสน พวกเราถือว่าโชคดีมาก ๆ ที่ยังเกิดทันพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น..อย่าทิ้งโอกาสความโชคดีของตัวเอง เร่งขวนขวายให้เต็มที่ เมื่อถึงเวลาความดีจะได้ส่งผลให้พวกเราเกิดในสถานที่ดี ๆ ได้พบกับพระพุทธศาสนาอีก" |
"เมื่อเช้ามีโยมท่านหนึ่งถามว่า ทำไมพระพุทธเจ้าท่านจึงต้องลงมาตรัสรู้เฉพาะในโลกมนุษย์เท่านั้น เหตุที่ท่านต้องมาเกิดในโลกมนุษย์เกิดจากหลายอย่างด้วยกัน
อย่างแรก กาละ คือเวลาช่วงอายุขัยของมนุษย์เราไม่ยาวเกินไป สามารถที่จะเห็นได้ว่าความไม่เที่ยงเป็นอย่างไร และมนุษย์เราก็ทุกข์สุขปะปนกัน ถ้าพูดถึงทุกข์ก็เข้าใจได้ ไม่ใช่ว่าเกิดที่ดาวพุธ มนุษย์ที่นั่นมีอายุ ๓๐,๐๐๐ ปี พอบอกว่าร่างกายมีความไม่เที่ยงเป็นปกติ อีกกี่ชาติเขาถึงจะเห็น อย่างที่สอง ทวีป ก็คือพื้นที่ที่เหมาะสม ชมพูทวีปสมัยนั้นมีคนรวยสุด จนสุด สบายที่สุด ลำบากที่สุดอยู่ด้วยกัน สามารถเห็นความทุกข์ เห็นความไม่เที่ยงได้ง่าย อย่างที่สาม ตระกูล ต้องลงมาเกิดในตระกูลที่เขาถือว่าสูง ซึ่งไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหน ตระกูลที่เขาถือว่าสูงจะเป็นนักบวชหรือพระมหากษัตริย์ ยุคของพระพุทธเจ้าเราท่านเกิดในตระกูลกษัตริย์ แต่พระพุทธเจ้าองค์ก่อน ก็คือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสปะ ท่านเกิดในตระกูลพราหมณ์ อย่างที่สี่ พุทธมารดา ต้องหาผู้หญิงที่เหมาะสมมาเป็นแม่ให้ได้ หายากกว่าพระพุทธเจ้าอีก คนที่จะเป็นแม่พระพุทธเจ้าได้จะต้องเป็นเบญจกัลยาณีและประกอบไปด้วยอิตถีลักษณะที่เหมาะสมอีก ๖๔ ประการ อ้วนเกินไปไม่ได้ ผอมเกินไปไม่ได้ สูงเกินไปไม่ได้ ต่ำเกินไปไม่ได้ ขาวเกินไปไม่ได้ ดำเกินไปไม่ได้ ไม่รู้ว่าอีกกี่กัปกว่าจะเกิดมาสักท่านหนึ่ง เขาบอกว่า ถ้าสูงเกินไปลูกจะต้องยืดคอกินนม ทำให้เสียบุคลิก เตี้ยเกินไปก็ต้องก้ม หลังค่อมอีก แต่ว่าในส่วนหลัก ๆ ก็คือ ชมพูทวีปของเราสามารถเห็นในส่วนของความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์อย่างชัดเจน ดังนั้น..พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ต้องมาเกิดทีนี่ จึงเรียกว่ามงคลจักรวาล จะไม่ไปเกิดที่จักรวาลอื่น มีดวงดาวเป็นหมื่นเป็นแสนที่มีมนุษย์อยู่ก็ไม่ไป เพราะว่าบางดวงดาวอายุเป็นแสนปี พอไปบอกว่าไม่เที่ยงแล้วอีกกี่ชาติเขาถึงจะได้เห็น" |
"วาระที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิด จะต้องเป็นกัปต่าง ๆ ที่เป็นมงคลเท่านั้น ถ้าเป็นสารกัป จะเป็นกัปที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๑ พระองค์ อย่างเช่น องค์สมเด็จพระพุทธโกณฑัญญะสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ เป็นต้น
ถ้าเป็นมัณฑกัป จะเป็นกัปที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๒ พระองค์ ถ้าเป็นวรกัป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๓ พระองค์ ถ้าเป็นสารมัณฑกัป มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๔ พระองค์ ถ้าเป็นภัทรกัป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๕ พระองค์ ช่วงที่เราเกิดอยู่ปัจจุบันนี้เป็นภัทรกัป ๒ ภัทรกัปต่อเนื่องกันพอดี ไม่มีอีกแล้ว..ไม่ว่าจะก่อนหน้านี้หรือหลังจากนี้ เพราะฉะนั้น..ใครที่เกิดในโลกยุคนี้ถือว่าโชคดีที่สุดและซวยที่สุด โชคดีที่สุดก็คือ พระพุทธเจ้ายังจะมาตรัสรู้อีก ๖ พระองค์ ถ้าไปนิพพานไม่ได้ก็เอาหัวทิ่มลงอเวจีไปเลย ไม่ต้องขึ้นมาอีก..! ส่วนที่ซวยที่สุดก็คือ ถ้าไม่สนใจในเรื่องของบุญกุศล ถึงเลย ๖ พระองค์ผ่านไป ก็ไม่รู้จะได้เห็นธรรมกับเขาบ้างหรือเปล่า ? ถ้าอยากทราบรายละเอียดพวกนี้ไปดูในมธุรัตถวิลาสินี อรรถกถาพุทธวงศ์ก็ได้ หรือไม่ก็ไปดูในพระไตรปิฏก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ก็ได้ เขาจะให้รายละเอียดเอาไว้ แล้วก็ยังมีในพระสุตตันตปิฏก มหาปทานสูตร ไปอ่านดูแล้วจะมีความมันในชีวิตมาก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นี่ยิ่งกว่าวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกหลายเท่า" |
1 Attachment(s)
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาไม่ได้ปีนน้ำตกผาสวรรค์มาหลายปีแล้ว สงสัยต้องกลับไปปีนใหม่ น้ำตกผาสวรรค์ชั้นแรกสูงประมาณ ๘๐ เมตร ความลาดชันอยู่ประมาณ ๑๑๐ องศา ก็คือเลย ๙๐ องศาไปนิด ๆ ก็แปลว่าเป็นแนวดิ่งเลย ไม่มีใครหาญกล้าขึ้นลง จนกระทั่งอาตมาไปพิชิตมา ๘ รอบ ๑๐ รอบ มีคนเลียนแบบแล้วก็ตาย ต้องไปงมศพขึ้นมา ความสามารถไม่พอแล้วพยายามปีน จึงตกลงมาตาย
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1324900935 น้ำตกผาสวรรค์ สมัยที่ยังอยู่ที่เกาะพระฤๅษี เวลาอาตมาจะฝึกพระเกี่ยวกับมรณานุสติ ก็จะพาไปปีนน้ำตกผาสวรรค์ จริง ๆ แล้วเป็นผานรกชัด ๆ ดันเรียกว่าผาสวรรค์..! โยมต้องนึกถึงลำห้วยทั้งสายที่เทลงหน้าผามา ฟ้าถล่มดินทลายดี ๆ นี่เอง แล้วเราก็ปีนสวนน้ำขึ้นไป รู้สึกว่ามันในชีวิตมาก..! น้ำตกเกือบทั้งหมดในเขตกาญจนบุรีและจังหวัดตาก อาตมาปีนมาแล้วทั้งหมด ไปเสียท่าอยู่ที่เดียว คือน้ำตกทีลอซู ตอนนั้นพยายามปีนไปหามุมที่ถ่ายน้ำตกทีลอซูได้ชัดที่สุด เพราะว่ากล้องที่พกไปเป็นกล้องเล็ก ๆ ดึงภาพให้ใกล้ไม่ได้ ขาตั้งก็ไม่มี มุมที่สามารถเห็นน้ำตกได้ชัดที่สุด เป็นหน้าผาตัดลงไป สูงชันมาก ขณะที่กำลังพยายามถ่ายรูปอยู่ก็หัวทิ่มพรวดลงไป..!" |
"คราวนี้การที่ได้รับการฝึกมามากสามารถช่วยได้ อธิบายแล้วไม่ทราบว่าโยมจะเข้าใจไหม ? ในช่วงที่ล้มฟาดลงไปจะมีแรงอยู่ ก็คือแรงที่กดลง อาตมาก็แค่เบี่ยงตัวหมุน เปลี่ยนแรงที่กดลงให้เป็นแรงหมุนกลับเข้ามาทางด้านใน ก็จะสามารถกระชากตัวกลับเข้ามาทางด้านที่เป็นพื้น แต่คราวนี้พอหัวทิ่มแล้วเท้าก็ต้องก้าวนำไป เท้าจึงไปเสียบเข้าในซอกหินพอดี
พอหมุนตัวกลับ แรงกระชากตัวไปข้างหน้า แต่เท้าติดอยู่กับซอกหิน จึงหักดังกร๊อบ..! เท้าบวมเท่าลูกฟุตบอลเลย หลังจากนั้นอาตมาต้องเดินออกมาทั้ง ๆ ที่ขาหัก ตอนแรกก็สบายใจว่า ได้จ้างช้างที่บ้านโคทะให้มารับไว้แล้ว บอกว่าวันนี้จะเข้าไปที่น้ำตก พรุ่งนี้มารับด้วย ปรากฏว่าเขาไม่มารับสักที อาตมาจึงกัดฟันเดินออกมาทั้งขาหักนั่นแหละ พอเดินออกมาได้สัก ๑ ใน ๔ ของระยะทางก็เจอฝรั่ง ๒ คนกำลังกางเต็นท์ สามีเขาก็ตะโกนว่า “กะชอ..กะชอ” กะชอเป็นภาษากะเหรี่ยง แปลว่าช้าง อาตมาบอกว่าไม่มีหรอกกะชอ พอไปดู ฝรั่งเขาบอกว่าภรรยาเขาลื่นล้มขาแพลง ยังคุยกันไม่ทันจบกะชอก็มา คนที่เราจ้างไว้นั่นแหละ เสือกทะลึ่งไปรับจ้างซ้อนกับฝรั่ง อาตมาก็ต้องยกช้างให้ฝรั่งเขาไป แล้วก็เดินย่ำออกมาเอง ปรากฏว่าเดินมาถึงหมู่บ้านแล้ว ช้างถึงตามมาทีหลัง ที่เดินเร็วไม่ใช่อะไรหรอก เพราะเท้าแตะพื้นไม่ได้ พอแตะพื้นแล้วเจ็บเท้าน้ำตาเล็ดเลย อาตมาก็ต้องไถลพรืด ๆ ออกมา ตอนนั้นขาเข้าเดิน ๔ ชั่วโมง ขากลับเดิน ๓ ชั่วโมงครึ่ง เพราะขาหักต้องรีบไถลไป ยิ่งแตะพื้นมากก็ยิ่งเจ็บมาก พอไปถึงหมู่บ้าน สามีฝรั่งเขาประคองภรรยาออกมา ภรรยาเขาถามว่าขาอาตมาเป็นอะไร ภรรยาเขาบอกว่าขาเขาพลิก อาตมาก็เลยชี้ที่ขาแล้วบอกว่า “นี่ไม่ใช่พลิก หักเลย..!” สองสามีภรรยาทำท่าจะขาดใจตายแทน ความเคยชินของพวกฝรั่ง คือบาดเจ็บเมื่อไรต้องถึงมือหมอ ส่วนอาตมาต้องใช้วิธีทนเอา" |
"น้ำตกส่วนใหญ่ที่จังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี และตาก อาตมาปีนมาแล้วแทบทั้งนั้น เหตุที่น้ำตกใน ๓ จังหวัดนี้ปีนได้ เพราะว่าส่วนใหญ่เป็นน้ำหินปูน น้ำหินปูนจะไม่ลื่น ส่วนน้ำตกที่อื่นจะลื่นมาก
อาตมาเคยไปตกน้ำตกกระทิงที่เขาคิชฌกูฏ ตกลงไปเกือบ ๒๐ เมตร พอตกลงไปก็ไหลไปตามลำห้วย คว้าซ้ายคว้าขวา กว่าจะคว้าได้ก็เกือบจะลงไปอีกชั้นหนึ่ง เพราะฉะนั้น..ถ้าใครคิดจะตามอาตมาไปก็ทำประกันชีวิตไว้ดีที่สุด ญาติพี่น้องจะได้ประโยชน์เยอะหน่อย http://www.thaimtb.com/webboard/332/166395-1.jpg น้ำตกกระทิง อาตมาเป็นคนกลัวตายแต่ไม่ถอย ก็เลยทำอะไรได้มากกว่าคนอื่นเขา ช่วงที่เดินป่าจากทุ่งใหญ่ขึ้นไปอุ้มผาง จะต้องผ่านภูเขาลูกหนึ่ง ภูเขาลูกนั้นหน้าผาจะชอนออก อาตมาก็ปีนขึ้นไป อาจารย์โมเช่ท่านอยู่ข้างล่าง บอกว่า “อาจารย์กลับเถอะ ๆ ไม่ไปหรอก" ถ้าเขาไม่ไปแล้วอาตมาจะไปอย่างไรคนเดียว ก็ต้องปีนลงกลับมา ตอนปีนกลับนั่นแหละตกเขาอีกเหมือนกัน เพราะว่าต้องเกาะกิ่งไม้ลงมา กิ่งที่อาตมาเกาะอยู่เห็นว่าเป็นกิ่งใหญ่แข็งแรงพอ แต่ดันเป็นกิ่งแห้ง เผลอทิ้งน้ำหนักมากไปหน่อยก็หักเลย อาตมาหงายหลังละลิ่วลงมา ต้องบอกว่าการที่ฝึกสมาธิมานั้นช่วยได้เยอะมาก เพราะว่าสมาธิทรงตัวทำให้ไม่ขาดสติ พอหงายหลังลงมาอาตมาก็พลิกตัวกลับ มองดูว่าจะคว้าอะไรได้บ้าง เห็นว่ามีกอไผ่รวกอยู่กอหนึ่ง โตประมาณโอบหนึ่ง ก็กางแขนได้พุ่งเข้าใส่ กอไม้รวกก็เอนยวบตามแล้วก็ดีดกลับ เป็นจังหวะเดียวที่ย่ามกับบาตรลอยตามมา ก็อัดใส่อาตมา "แอ้ก..!" เข้าไปคาอยู่กับกอไผ่รวก ย่ามกับบาตรจะกระเด็นไปทางอื่นก็ไม่ไป ดันลอยตามมาติด ๆ ตอนหล่นไปนี้กะว่าประมาณ ๓ วินาที ส่วนตอนตะกายกลับขึ้นไปครึ่งชั่วโมงกว่า..!" |
"เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของการฝึกกรรมฐาน ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือ เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นแล้วจะสติมั่นคง ถ้าสติมั่นคงเราก็สามารถแก้ไขเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะเมื่อสารพัดปัญหาระดมเข้ามาในชีวิต ถ้าสติมั่นคงเราก็สามารถที่จะลำดับความสำคัญ เร็ว ช้า ก่อน หลังได้ เราก็ค่อย ๆ แก้ไขไปทีละปัญหา ชีวิตก็จะไม่ยุ่งวุ่นวายมากนัก
แต่ถ้าหากว่าใครยังมีครอบครัว มีพ่อแม่อยู่ อย่าไปเสี่ยงแบบอาตมาอย่างนั้น เดี๋ยวทำคนแก่หัวใจวายตาย แล้วจะยุ่ง วันนั้นถ้ากอไม้รวกยึดไม่แน่นพอ คงถอนรากถอนโคนไปพร้อมกับอาตมาแล้ว เพราะว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งเข้าป่าทุ่งใหญ่นเรศวร เอารถเข้าไปเพื่อที่จะขนของไปถวายที่วัดจะแก วัดนั้นห่างจากเกาะพระฤๅษี ๑๔๕ กม. เป็นทางเดินป่าตลอดจึงเอารถขับเคลื่อนสี่ล้อเข้าไป คราวนี้ร่องน้ำลึกมากทำให้รถไปติดแขวนลอยอยู่ ก็ดึงเอาเครื่องกว้านตรงด้านหน้ารถไปโอบไว้กับกอไม้รวก เพราะหาต้นไม้ใหญ่ไม่ได้แล้ว จัดการดึงเลย ดึงไปดึงมาจนกอไม้ไผ่หลุดมาทั้งกอ..! แต่รถยังติดอยู่ที่เดิม มานั่งนึกแล้วยังอนาถใจว่าหาที่ไปลำบากลำบนแท้ ๆ แต่ว่าตอนที่ธุดงค์เดินเท้าไป รับปากเขาว่าจะเอาข้าวของไปให้เขาก็ต้องเอาไปให้ ท้ายสุดเข้าไปไม่ถึงต้องถอยออกมา เอาไปให้ที่วัดทุ่งเสือโทนแทน เพิ่งจะไม่นานนี้เองที่มีโอกาสไปใช้หนี้เขา มีน้ำมันก๊าด ๒ ปีบ เขาต้องการไปเติมตะเกียง เพราะว่าใช้เทียนก็หมดเร็ว อาตมาเคยแบกน้ำมัน ๔๐ กิโลกรัมเดินเข้าทุ่งใหญ่ฯ ไปเติมรถให้ชาวบ้าน เดินจนชาวบ้านเขาสงสาร มีรถผ่านมาเขาเลยรับขึ้นไปด้วย ชาวบ้านคนนั้นเพิ่งจะรู้จักกัน แล้วรถเขาไปเสียอยู่ข้างใน ต้องบอกว่าเขาบ้า เพราะรถเขาเป็นเครื่องเบนซินแต่จะไปเที่ยวทุ่งใหญ่ฯ ลุยเข้าไปโดยไม่รู้ว่าข้างในป่าเขาใช้กันแต่ดีเซล น้ำมันดีเซลก็ไม่ใช่ว่าจะมีมาก เขาก็มีกันแค่พอใช้เท่านั้นเอง พอไปขอแบ่งจากเขานี่น้ำตาเล็ดเลย สมัยนั้นเจอเข้าลิตรละ ๒๕ บาท แพงโคตร..! เพราะข้างนอกราคา ๕ บาทกว่าเท่านั้น" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "การบูชา ๒ อย่างตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในธรรมที่เป็นหมวด ๒ คือ อามิสบูชา การบูชาด้วยสิ่งของ กับปฏิบัติบูชา การบูชาด้วยการปฏิบัติ
พระองค์ท่านตรัสว่า อามิสบูชาเป็นสิ่งที่ดี เพราะอานิสงส์ที่ตอบแทนมาจะเป็นโภคสมบัติต่าง ๆ แต่การปฏิบัติบูชานั้นเป็นสิ่งที่ดียิ่งกว่า เพราะว่าสามารถทำให้เราหลุดพ้นจากกองทุกข์ได้" |
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องปฏิทินว่า "ถ้าว่ากันตามหลักฐานที่ค้นพบแล้ว ปฏิทินเป็นสิ่งที่ชาวมายาซึ่งเป็นชนเผ่าโบราณในอเมริกากลางคิดค้นขึ้นมาได้ก่อน
พวกชาวมายากับพวกชาวแอซเท็กเป็นอารยธรรมที่อยู่ ๆ ก็โผล่ขึ้นมา แล้วอยู่ ๆ ก็สูญไป จนกระทั่งเขาเชื่อว่าความเจริญต่าง ๆ เป็นสิ่งที่มนุษย์ต่างดาวมาแนะนำให้ เพราะว่าหลายอย่างไม่ใช่สิ่งที่ภูมิปัญญาของคนโบราณยุคนั้นจะคิดได้ อย่างเช่น ระบบประปาบนภูเขาที่มาชูปิกชู เมืองบนภูเขาแต่มีระบบประปา แต่คราวนี้วิทยาศาสตร์เขาไม่รู้ว่าต่างดาวมีมนุษย์อยู่เป็นปกติอยู่แล้ว เขาจึงพยายามอธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ให้ออกมาในลักษณะที่สามารถจับต้องได้ เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ยอมรับได้ ด้วยความที่ว่าไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีมนุษย์ต่างดาว ก็เลยทำให้เขาไม่เชื่อเรื่องนี้ ชาวอินคา ชาวมายา ชาวแอซเท็ก ชาวโรมัน เป็นอารยธรรมที่รุ่งเรืองมาก ๆ ในที่สุดก็วกเข้าไปหาไตรลักษณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายได้ รุ่งเรืองแล้วก็ดับสลาย" |
ถาม : ทำไมมนุษย์ต่างดาวโลกอื่นเขาถึงเจริญกว่าเรา ?
ตอบ : เพราะเขาอยู่มานาน การที่เขามีอายุยืนมากทำให้การสั่งสมภูมิปัญญาของเขามีมากกว่า เรามานึกถึงว่าสมัยหลัง ๆ นี้เอง ที่เราเริ่มจะมีคลังสมอง ก็คือเอาคนแก่ที่เกษียณอายุที่มีความรู้ความสามารถ มารวมกันถ่ายทอดความรู้เก็บเอาไว้ เพื่อให้คนรุ่นหลังเอาไปใช้งาน คราวนี้เรามาดูว่าคนบ้านเราเกษียณตอนอายุ ๖๐ ปี ส่วนมนุษย์ต่างดาวอย่างน้อยก็คงอายุ ๓๐๐-๕๐๐ ปี การสั่งสมภูมิปัญญาของเขาจะมากเท่าไร ? การสั่งสมภูมิปัญญาของคนเรากว่าจะได้ระดับเป็นที่น่าพอใจก็มักจะเป็นช่วงท้าย ๆ ชีวิต แล้วก็ไม่ใช่ว่ารู้ทุกเรื่อง แค่ชำนาญเป็นบางเรื่อง เก่งเป็นบางอย่าง เมื่อเป็นดังนั้น..การที่เขาอายุยืนกว่าจึงสั่งสมภูมิปัญญาได้มากกว่า อย่างดาวบางดวงคนอายุตั้งหนึ่งแสนปี ความเจริญของเขาจึงมีมากกว่า คลังความรู้ของโบราณ ๆ ในห้องสมุดเราก็ไม่มีปัญญาไปศึกษาแล้ว อาตมาว่าเป็นเซียนอ่านหนังสือแล้วนะ อยู่ชั้น ป.๒ อ่านหนังสือจนหมดห้องสมุด จนป่านนี้ยังอ่านหนังสือทุกเล่มไม่หมดเลย นั่งอยู่ตรงนี้ ๒-๓ วันโยมก็เห็นว่าอ่านหนังสือจบไปตั้งหลายเล่ม จนป่านนี้ยังอ่านไม่หมดสักที เพราะหนังสือออกใหม่อยู่เรื่อย ๆ คนจะเขียนหนังสือได้เล่มหนึ่ง ก็คือประสบการณ์ทั้งชีวิตของเขา อาจจะสั่งสมมา ๒๐-๓๐ ปีกลั่นออกมาเป็นความรู้ เพราะฉะนั้น..การอ่านหนังสือถือว่าเป็นการเรียนรู้ทางลัดที่สุด เราเสียเวลาอ่านหนังสือ ๒-๓ ชั่วโมง ก็รู้เท่ากับเขาที่ต้องใช้ประสบการณ์ชีวิตมา ๒๐-๓๐ ปี |
อย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถ้าพระองค์ท่านมีเวลาบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ที่ทรงงานมาตลอด ๖๕ ปี คงจะเป็นอะไรที่มหัศจรรย์มาก สิ่งที่พระองค์ท่านดำเนินงานมา ไม่ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จทุกโครงการ แต่การที่ไม่ประสบความสำเร็จนั่นแหละคือการประสบความสำเร็จ ก็คือรู้ว่าวิธีนั้นทำไม่ได้ ให้เปลี่ยนวิธีใหม่
แบบเดียวกับเอดิสันทดลองสร้างหลอดไฟ ล้มเหลวมา ๒๐๐ กว่าครั้ง จนลูกศิษย์ท้อใจบอกว่า “อาจารย์..เราล้มเหลวมา ๒๐๐ กว่าครั้งแล้ว อาจารย์ยังจะทดสอบต่ออีกหรือ ?” เอดิสันบอกว่า “เธอล้มเหลว ๒๐๐ กว่าครั้ง แต่ฉันประสบความสำเร็จ ๒๐๐ กว่าครั้ง เพราะฉันรู้ว่า ๒๐๐ กว่าวิธีนั้นใช้ไม่ได้ ฉันควรใช้วิธีอื่นแทน" มองคนละแง่กัน ในเมื่อมองคนละแง่ กำลังใจในการมุ่งมั่นต่อเป้าหมายก็เลยต่างกัน คนที่มองทุกอย่างที่ทำว่าเป็นความสำเร็จทั้งหมดก็ไม่รู้สึกท้อใจ ก็คือทำถูกได้กำไร ทำผิดได้บทเรียน ถือว่าได้ทั้งคู่ อาตมาเคยยุเด็กว่า อย่าเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปแล้ว แต่จงเสียดายถ้าไม่ได้ทำ เพราะถ้าเราไม่ได้ทำ เราจะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นถูกหรือผิด มัวแต่เสียใจอยู่ก็ไม่ได้ทำอะไร หลงจ่อมจมอยู่กับความหลัง ก้าวไปข้างหน้าดีกว่า |
ถาม : การนั่งสมาธิ อยากรู้ว่าคำว่า "พอดี" เป็นอย่างไรครับ ? เพราะแต่ละคนไม่เท่ากัน
ตอบ : ต้องสังเกตตัวเอง ถ้าหากร่างกายบอกว่าไม่ไหวแล้วให้ลองฝืนดู ถ้าหากว่าฝืนแล้วยังอยู่ได้แสดงว่าเมื่อกี้ร่างกายเราโกหก แต่ถ้าหากร่างกายบอกว่าไม่ไหวแล้วเราลองฝืนดู..แต่ฝืนไม่ไหว นั่นแสดงว่าไม่ไหวจริง ต่อให้ไม่ไหวอย่างไรอย่างน้อยก็ต้องทำสัก ๑ ชั่วโมง เอ็งไม่ไหวอย่างไรชั่วโมงนี้ข้าต้องทำ ไม่อย่างนั้นแล้วกิเลสจะชวนให้เราขี้เกียจ |
ถาม : ตอนนั้นดูรายการเกี่ยวกับการทรงงานของในหลวง มีผู้ชายอยู่คนหนึ่งน่าจะไม่สบาย พระองค์ท่านเสด็จผ่านมา พระองค์ท่านก็คุกเข่าลงเพื่อที่จะคุยด้วย ทำให้นึกถึงว่าผู้ชายคนนี้อาจจะอธิษฐานว่า ขอให้เจ้าแผ่นดินมาคุกเข่าต่อหน้า ก็เลยสงสัยว่า..ถ้าเราจะระมัดระวังเรื่องคำอธิษฐาน ควรจะทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ใช้สติและปัญญาให้มาก ๆ ไม่อย่างนั้นแล้วจะสร้างเวรสร้างกรรมไปอีกเยอะ ทุกสิ่งที่เราทำท้ายสุดผลก็จะเกิด แล้วถ้าหากว่าไปอธิษฐานกับคนที่มีบารมีขนาดนั้น ก็เหมือนกับว่าไปซื้อของราคาแพง ถึงเวลาก็ต้องขวนขวายหาไปชดเชยมากกว่าปกติ |
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อปีก่อนมีพระรูปหนึ่งท่านบวชจากที่อื่น แล้วสึกไปโดยที่สังฆาทิเสสยังไม่ได้แก้ โดนอาบัติหนักไป ท่านปิดไว้นาน ๗ เดือน เวลาเขาบวชเข้ามาใหม่ อาตมาจึงให้บวชเป็นคนสุดท้าย จะได้ไม่ทำให้สังฆกรรมเสีย
พอบวชเสร็จอาตมาก็ส่งไปอยู่ปริวาส อยู่ได้ ๘-๙ วัน เขาก็กลับมา เราก็ “อ้าว..กลับมาทำไมวะ ?” เขาบอกว่า “ผมสบายใจแล้วครับ” เลยบอกว่า “โคตรเตี่..มึงแน่ะ ถ้าหากว่าศาลตัดสินจำคุกมึง ๗ เดือน มึงอยู่ไป ๗ วัน บอกว่าผมสบายใจแล้วครับ ผมขอออกจากคุก คิดว่าเขาจะตกลงไหม ?" ก็เลยไล่ให้ไปอยู่ปริวาสใหม่ให้ครบ ๗ เดือน ส่วนใหญ่ระยะหลังเป็นกันเยอะมาก ก็คือไปอยู่วัดที่ครูบาอาจารย์เขาไม่ได้สั่งสอน ไม่ได้แนะนำ โดนอาบัติสังฆาทิเสสกันเป็นว่าเล่น" ถาม : เขาโทรมาถามผมเรื่องอยู่ปริวาส แล้วเขาก็ไม่มั่นใจ ถามคนอื่นอยู่ร่ำไป ผมเลยบอกว่าคุณเชื่อสักคนได้ไหม ? ตอบ : ประเภทนี้ถ้าฝึกมโนมยิทธิพักเดียวก็โดนหลอก ถ้าเราเคยถามพระ หรือพรหมเทวดาท่านไหน ก็ให้ถามเฉพาะองค์นั้น ไม่ใช่เจอใครก็ถามมั่วไปเรื่อย ถ้าไม่โดนเตะออกมา ก็อาจจะพาออกนอกลู่นอกทางไปเลย คนที่โดนอาบัติหนักกำลังใจที่จะทรงสมาธิก็ยาก อาตมาสงสารก็สงสาร แต่ต้องเอาอย่างที่คุณแดงว่า “พวกกำลังใจห่วย ๆ ปล่อยให้ตายห่..ไปเลย เกิดใหม่กำลังใจอาจจะดีขึ้น” |
สมัยอยู่บ้านอนุสาวรีย์ แม่ทองดีเป็นแม่ของคุณแดง ลูก ๆ ของแม่ทองดีก็ปล่อยวางเหลือเกิน โผล่หัวมาให้แม่เห็นเมื่อไรก็มีเรื่องเดือดร้อนเมื่อนั้น จนบางทีอาตมาถามว่า “แม่..ไอ้แดงโทรมาบ้างหรือเปล่า ?” แม่ทองดีบอกว่า “ไม่ต้องโทรมาหรอก โทรมาเมื่อไรแม่ก็เดือดร้อน ถ้าไม่โทรมาแปลว่าสบายดี”
จนในที่สุดแม่ทองดีก็อดรนทนไม่ไหวเอง บอกว่า “พระเล็ก..สึกออกมาเป็นลูกแม่เถอะ แล้วให้ไอ้แดงไปบวชแทน” เพราะอาตมาดูแลแม่ทองดีมากกว่า พอไปเล่าให้คุณแดงฟัง แกหัวเราะก๊ากเลย บอกว่า “ผมบวชแทนหลวงพี่ก็ได้นะ แต่ไอ้พวกที่มาหาหลวงพี่ รับรองผมฆ่าทิ้งหมด กำลังใจห่วยแตกแบบนั้นจะเหลือไว้ทำไม” เรื่องของกำลังใจคน หลวงปู่บุดดาท่านว่า ถ้าหากกำลังใจไม่เสมอกัน จะไปด้วยกันไม่ได้ เห็นได้ชัดตอนไปธุดงค์ บางคนดูมุ่งมั่นมากเลย ที่ไหนได้..ไปด้วยกันได้ครึ่งวันก็บ่นเป็นหมีกินผึ้ง จะกลับให้ได้ ท้ายสุดอาตมาต้องเดินกลับมาส่งเขา อาตมาเดินครึ่งวันนี่ไปได้ ๔๐-๕๐ กม. แล้วต้องเดินออกมาส่งเขา ตั้งแต่นั้นมาก็บอกว่า “ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณไม่ต้องไปกับผมอีกแล้วนะครับ” ไม่เอาด้วยแล้ว ไปด้วยกันไม่ได้เพราะกำลังใจไม่เสมอกัน ตอนอาตมาไปอยู่ที่เกาะพระฤๅษี ปีแรก ๆ บิณฑบาตเกือบทุกวัน เดินขึ้นเขาไป ๕ กม.กว่า เดินกลับอีก ๕ กม.กว่า รวมแล้ว ๑๐ กม.ครึ่ง ออกบิณฑบาต ๖ โมง กลับมาถึงเกือบ ๙ โมง กลับมาก็บอกพระรูปหนึ่งที่ขอไปอยู่ปฏิบัติด้วยว่า “คุณเลือกอาหารไปตามที่ต้องการนะ ฉันเสร็จแล้วจัดล้างให้เรียบร้อย จากนั้นจะปฏิบัติภาวนาอย่างไหนก็ตามใจ” ท่านบอกว่า “ขออนุญาตยังไม่ฉันได้ไหมครับ..ขอนอนก่อน” อาตมาถามว่าทำไม ? ท่านบอกว่า "เป็นลม..!" เดินจาก ๖ โมงเช้าถึง ๙ โมงเป็นลมไปแล้ว..! อาตมาขึ้นไปบิณฑบาตครั้งแรกถามโยมว่า มีพระมาบิณฑบาตบ่อยไหม ? หัวหน้าหมู่บ้านบอกว่า “ผมอยู่มา ๑๙ ปีเพิ่งจะมีท่านนี่แหละ” ตกลงเลยไม่รู้ว่าเขาบ้าหรือเราบ้า ที่ว่าเขาบ้าก็คือทำไมไปสร้างหมู่บ้านอยู่ไกลขนาดนั้น ส่วนที่ว่าเราบ้าก็คือ บ้าเดินไปได้อย่างไร ? |
สมัยอาตมาเป็นฆราวาส คิดว่าถ้าเรียนจบแล้วจะสะพายเป้ใบหนึ่งเร่ร่อนไปเรื่อย ๆ ถ้าเงินหมดที่ไหนก็ขอเขาทำงานที่นั่น ได้เงินเมื่อไรค่อยไปต่อ ปรากฏว่าโครงการนี้ยังไม่ได้ดำเนินการ พอมาเป็นพระก็ได้ธุดงค์คล้าย ๆ กัน แต่ธุดงค์ได้สบายอยู่ปีเดียวคือปีที่ออกจากวัดท่าซุงมา ก่อนที่จะสร้างเกาะพระฤๅษี ตอนนั้นไม่ต้องกังวลว่าจะต้องมีภาระอะไร
อาตมาเดินจากทุ่งใหญ่นเรศวรฝั่งทองผาภูมิ ทะลุไปอุ้มผาง จ.ตาก วกเข้าไปห้วยขาแข้ง จ.อุทัยธานี ย้อนกลับมาทางด้านศรีสวัสดิ์ของกาญจนบุรีอีกทีหนึ่ง เดินวนกว่าจะครบรอบก็ใช้เวลาเป็นเดือน นั่นขนาดเดินไม่พักนะ เดินทุกวัน แต่คนอื่นเขาเดินไปพักไป อย่างอาจารย์วิฑูรย์ วัดรัชดาภิเษกไปเจอท่านที่วัดตีนตก อาตมาเดินเป็นเดือนวนออกมาทางวัดไกรเกรียงไปเจอท่านที่นั่น แปลว่า เดือนหนึ่งท่านขยับไปแค่วัดเดียว แต่อาตมาเดือนหนึ่งข้ามไป ๓ จังหวัด จนย้อนกลับมาจังหวัดเดิม ถือว่าจังหวัดที่ ๔ แล้ว การธุดงค์มีทั้งการเดินภาวนา มีทั้งการไปหาที่ปฏิบัติภาวนา ส่วนอาตมาถนัดเดินภาวนา พรรคพวกเพื่อนฝูงที่คบหากันตอนสมัยเจอกันในป่าธุดงค์ก็ลดน้อยลงไปเรื่อย อย่างอาจารย์เป้าที่เคยเล่าว่าโดนควายป่าขวิด ตอนนี้ก็มรณภาพไปแล้ว อาจารย์วิฑูรย์ก็แยกย้ายไปเป็นเจ้าสำนักกันหมดแล้ว เพราะอยู่ไปก็อาวุโสมากขึ้น โดยเฉพาะพระสายธรรมยุติเขาถึงกันหมด ใครอาวุโสกว่าก็ต้องรับตำแหน่งไป มีหลวงพ่อทวน โฆสโก องค์เดียว ยังเป็นหลวงพ่อห้วยขาแข้งอยู่ ถ้าเข้าห้วยขาแข้งแล้วอยากเจอท่าน ให้เดินไปทางหนองม้าหรือห้วยชะพลู เดี๋ยวก็เจอ ท่่านไม่ค่อยออกมาข้างนอกเท่าไร |
ถาม : ท่านเคยเจอหลวงพ่อฤๅษีลิงขาวกับหลวงพ่อฤๅษีลิงเล็กไหมคะ ?
ตอบ : อาตมายังเดินทะลุไปไม่ถึงเชียงตุง แต่สององค์นั้นสามารถเจอได้ทุกที่ที่ต้องการ แม้กระทั่งป้ายรถเมล์ในกรุงเทพฯ นึกจะมาท่านเดินแวบเดียวถึงแล้ว ส่วนพวกเราต้องเดินกันเป็นปี..! |
ถาม : เขาว่าถ้าฝึกสมาธิมากไป แล้วจะกรรมฐานแตก กรรมฐานแตกเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก..อย่างดีก็แก้ผ้าวิ่ง..! บางทีพอทำสมาธิแล้วใจสงบ มักจะเริ่มเห็นนั่นเห็นนี่ แล้วดันไปเห็นในสิ่งที่เราคิดว่าน่ากลัว อาตมาเคยถามพวกเขาว่า ทำไมต้องมาหลอกกันด้วย เขาบอกว่า “ผมไม่ได้หลอก ผมตั้งใจจะมาบอกว่าผมต้องการความช่วยเหลืออะไร แต่เขาหนีทุกที” เพราะว่าเขามาสวยที่สุดได้แค่ที่เราเห็นแล้ววิ่ง คนที่บุญน้อยจะออกมาในลักษณะนั้น ถ้าเราไม่กลัวก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้ากลัวก็เป็นอย่างที่ว่ามานั่นแหละ พอวิ่งหนีเข้าทีหนึ่งก็ประเภทจิตเตลิด กู่ไม่กลับ กลายเป็นบ้า ๆ บอ ๆ ถึงได้บอกว่าควรจะมีครูบาอาจารย์คอยคุม แต่ถึงครูบาอาจารย์คุม ถ้ากำลังใจไม่ดีก็ยุ่งเหมือนกัน หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยเล่าให้ฟังว่า มีพระปฏิบัติเตโชกสิณ พอถึงเวลาขยายปฏิภาคนิมิต นิมิตใหญ่เต็มห้องเหมือนไฟไหม้ ตกใจจนกระโดดหน้าต่างหนีเลย อีกรูปหนึ่งปฏิบัติในอาโปกสิณ พอถึงเวลาปฏิภาคนิมิตขยายเต็มที่ ก็ตกใจนึกว่าตัวเองจมน้ำ ตะเกียกตะกายว่ายจนอกถลอกปอกเปิก ความจริงตัวเองเป็นคนย่อขยายเอง ถ้าไม่ขาดสติก็แค่ย่อให้เล็กลงก็จบแล้ว พอขยายใหญ่ออกก็ไปตกใจคิดว่าตัวเองจมน้ำ หลวงพ่ออินทร์ วัดบ้านสระ ซึ่งปัจจุบันคือวัดสระพัง ที่พระครูไพโรจนภัทรคุณท่านอยู่ ตอนนั้นชาวบ้านเห็นไฟลุกท่วมโบสถ์ จึงคว้าถังน้ำวิ่งไปจะดับไฟ วิ่งไปถึงไม่เห็นมีอะไร หลวงพ่ออินทร์ท่านยืนอยู่หน้าโบสถ์ ถามว่า “พวกมึงมาทำอะไรกัน ?” ชาวบ้านบอกว่าไฟไหม้โบสถ์ ท่านว่า “ไหม้ซะที่ไหนเล่า กูอยู่ในโบสถ์สวดมนต์อยู่” ท่านไม่ได้บอกให้รู้ว่าท่านทำอะไร |
หลวงพ่ออินทร์เป็นที่เคร่งและดุมาก คำว่าเคร่งของท่านก็คือ สมัยก่อนเวลารับกิจนิมนต์ที่ไกล ๆ อาจจะไปไม่ทันเพล ก็ต้องขี่ม้าไป หรือก็ถ้าโยมมีรถมอเตอร์ไซค์ ท่านก็นั่งรถมอเตอร์ไซค์ไป หรือนั่งเกวียนไป เป็นระยะทางใกล้ไกลเท่าไรท่านจะจำไว้ พอกลับมาถึงวัด ท่านจะเดินจงกรมใช้หนี้ จนกว่าจะได้ระยะทางเท่านั้นท่านจึงจะหยุด
ส่วนความดุของท่าน ไม่รู้ว่าพวกเรารู้จักหางกระเบนไหม ? เวลาตากแห้งแล้วหางปลากระเบนจะเป็นปุ่ม ๆ เหมือนกระดาษทราย ตีแล้วแตกดีนัก..! พระที่วัดท่านต้องสวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐาน เป็นปกติ เรื่องบันเทิงต่าง ๆ ห้ามมี สมัยนั้นมีแผ่นเสียงที่เป็นแผ่นครั่ง พระรูปหนึ่งมีฐานะดี พ่อแม่ขอให้บวชก็ต้องซื้อเครื่องเล่นแผ่นเสียงให้ถึงจะบวช แต่ดันไปบวชกับหลวงพ่ออินทร์ บวชไปแล้วเปิดแผ่นเสียงฟัง เพื่อนพระห้องใกล้ ๆ ก็ขอไปฟังด้วย ๓-๔ รูป อยู่ ๆ หลวงพ่ออินทร์เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับหางกระเบน ฟาดไม่เลี้ยง..! คราวนี้ท่านยืนขวางประตูอยู่ จะหนีไปทางไหนได้ ก็ต้องกระโดดหน้าต่างหนี ต้องพระอย่างนั้นถึงจะเอาพวกนี้อยู่ “พ่อแม่ให้พวกมึงมาบวชหวังจะได้บุญ พวกมึงดันหานรกให้พ่อให้แม่” ท่านด่าไปตีไป อาตมารู้สึกว่าโชคดีมาก ๆ ที่เกิดมายุคนั้น เพราะว่าครูบาอาจารย์ที่ท่านมีความสามารถมีอยู่รอบบ้าน ออกไปทางสุพรรณบุรีก็มีหลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว , หลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก , หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ , หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลย์ , หลวงพ่อเก็บ วัดดอนเจดีย์ ขึ้นมาทางด้านกำแพงแสนก็มีหลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม , หลวงปู่แตง วัดดอนยอ , หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม , หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา วัดหนองพงนกซึ่งเป็นวัดข้างบ้านอาตมา เวลามีงานก็นิมนต์พระเกจิอาจารย์มาพุทธาภิเษก ขันน้ำมนต์อยู่ตรงหน้าท่าน พอท่านนั่งหลับตาพักเดียวขันดิ้นทั้งใบเลย..! น้ำมนต์เหลือไม่ถึงครึ่งขัน ผู้ใหญ่บอกว่า “เฮ้ย ๆ มุดเข้าไปดูสิ ว่ามีใครผูกเชือกดึงหรือเปล่า ?” อาตมาก็มุดเข้าไปดู..ไม่เห็นมีอะไร แต่น้ำมนต์รดหัวไปเรียบร้อยแล้ว เพราะเป็นพื้นไม้กระดาน มีร่องไว้สำหรับกวาดขยะ น้ำมนต์หกลงไปเท่าไรก็ลงข้างล่างหมด |
ถาม : ขันน้ำมนต์ดิ้นเกิดจากอะไร?
ตอบ : พลังจิตที่แรง แรงที่ท่านกดลงไปนั้นมากขนาดขันยังรับไม่ได้ จึงเต้นไปเต้นมา สมัยนั้นส่วนใหญ่ท่านใช้กำลังส่วนตัว หลวงปู่ปานท่านบอกว่าใช้กำลังส่วนตัวไม่ได้ เพราะกำลังสมาธิส่วนตัวนี้ถ้าห่างจากท่านแล้วบางทีก็คุ้มไม่ได้ หลวงปู่ปานท่านให้หลวงปู่เล็กเอาผ้ายันต์ไปปลุกเสก ๑ พรรษา หลวงปู่เล็กเข้าสมาบัติ ๘ เต็มที่อธิษฐานทุกคืน พอออกพรรษาแบกไป หลวงปู่ปานบอกว่าใช้ไม่ได้..ต้องเอาไปเสกใหม่ เป็นพวกเราก็หมดอารมณ์เลย ทำจนเต็มที่แล้วยังบอกว่าใช้ไม่ได้อีก หลวงปู่เล็กท่านไม่รู้จะทำอย่างไร กลับกุฏิจุดธูป ขอบารมีพระท่านช่วยสงเคราะห์ พอเห็นบารมีพระครอบลงมาเต็มก็แบกไปใหม่ คราวนี้หลวงปู่ปานบอก “เออ..ต้องอย่างนี้ถึงจะใช้ได้” ตกลงว่าเสก ๓ เดือนกับเสก ๑๕ นาที ต่างกันได้ขนาดนั้น ท่านบอกว่าเรื่องของบารมีพระเวลาท่านช่วยสงเคราะห์ พรหมหรือเทวดาท่านต้องจัดสรรผู้ที่มีศักดานุภาพมาดูแลวัตถุมงคลนั้น ๆ ซึ่งยั่งยืนกว่า เพราะว่าพรหมเทวดาแต่ละท่านอายุเลยมนุษย์ไปไม่รู้เท่าไร แต่ถ้าเราเสกเองพอหมดอายุเราเมื่อไร ก็มีข้อจำกัด อภิญญาสมาบัตินี่ถ้าคนที่รอบคอบจริง ๆ ท่านจะอธิษฐานไว้ว่าให้อยู่ได้กี่วัน กี่เดือน กี่ปี พอหมดระยะเวลานั้นก็เสื่อมสภาพ ท่านที่ไม่รอบคอบสักแต่ว่าเสกเฉย ๆ บางทีพ้นหน้าท่านก็หมดขลังไปแล้ว เราจะเห็นว่าบางทีต่อหน้าพระเกจิอาจารย์ ลองวัตถุมงคลกันซึ่ง ๆ หน้า เฉาะด้วยมีดด้วยขวานไม่เห็นเป็นอะไร แต่พอพ้นหน้าท่านไปลองเฉาะบ้างก็แหว่งเลย..! เพราะว่าท่านใช้กำลังตัวเอง โชคดีที่เรามาสายหลวงพ่อวัดท่าซุง ขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ให้มาตลอด จนกระทั่งหลายต่อหลายสำนักที่ท่านมีความรู้ในเรื่องนี้ เอาวัตถุมงคลไปท่านก็ถามว่าเป็นของใคร ทำไมกำลังสูงอย่างนี้ ถามไปถามมากลายเป็นพระหนุ่มในสายตาท่าน ไม่มีชื่อเสียงเรียงนามในสารบบ ท่านก็สงสัยว่าเสกอย่างไรได้ขลังขนาดนี้ ความจริงอาตมาไม่ได้เสกเอง พระท่านจะบอกว่าให้วางกำลังอย่างไร ใช้คาถาบทไหน พอเสร็จเรียบร้อยท่านบอกให้พอตอนไหน ก็พอตอนนั้น |
ถาม : ผมเคยอ่านหนังสือหลวงพ่อฤๅษี ท่านเล่าถึงพวกที่ตายก่อนอายุขัยจะไปเป็นสัมภเวสี พวกนี้ตายแล้วไปเป็นเปรตหรืออสุรกายได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เป็นได้ แต่ว่าต้องรอให้หมดอายุจากสัมภเวสีก่อน ถาม : สัมภเวสี คือ ? ตอบ : สัมภเวสีเป็นบุคคลที่อายุความเป็นมนุษย์ยังไม่หมด ไม่สามารถจะไปรับความดีความชั่วได้ ก็ต้องเร่ร่อนจนกว่าอายุความเป็นมนุษย์หมด ท่านทั้งหลายเหล่านี้ความจริงแล้วได้เปรียบ เพราะว่าญาติทำบุญไปเท่าไรก็รับได้หมด พวกสัมภเวสีเป็นพวกที่ตายผิดปกติ ที่ชาวบ้านเรียกว่า "ตายโหง" นั่นแหละ ตายโหงในความรู้สึกของเราคือไม่ดี แต่อาตมาอยากจะบอกว่าพวกนี้โชคดีมากเลยที่ตายโหง เพราะว่าญาติทำบุญไปเท่าไรก็ได้เท่านั้น แล้วถ้าหมดอายุขัยของความเป็นมนุษย์ไปแล้ว พอรับบุญไปก็จะขึ้นข้างบนไปเลย แต่ถ้าญาติไม่รู้จักทำบุญให้ก็ซวยไป ต้นทุนเก่ามีหรือไม่มีก็ไม่รู้ ต้องเสี่ยงดวงเอาเอง ส่วนที่ตายเพราะหมดอายุขัยจริง ๆ ก็จะเป็นไปตามวาระบุญวาระกรรม ไปเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือเป็นเทวดา มาร พรหม แล้วแต่กำลังของตน |
ถาม : พวกที่เป็นมารเกิดจากมิจฉาทิฐิ ?
ตอบ : มิจฉาทิฐิเต็ม ๆ แต่เขามีโอกาสได้ทำบุญใหญ่ พวกนี้ตอนเป็นคนมีนิสัยขวางโลก ขวางโลกนี่ไม่ใช่ว่าไม่เก่งนะ เก่งมากเลยแต่ไปกับคนอื่นไม่ได้ มีโยมอยู่คนหนึ่งนิสัยอย่างนี้แหละ เขาถามว่า “หลวงพี่ใช้มโนมยิทธิได้ไหม ?” อาตมาบอกว่าได้ “รู้จักนิพพานไหม ?” อาตมาบอกว่ารู้จัก “ไปนิพพานได้ไหม ?” อาตมาบอกว่าได้ “แล้วทำไมหลวงพี่ไม่เป็นพระอรหันต์ไปเลยล่ะ ?" นี่แหละพวกขวางโลก ทำอย่างกับอาตมาไม่อยากเป็น..! |
ถาม : เพลงที่เราจำได้ บางทีก็ขึ้นมาเอง ทำไมอยู่ ๆ เราถึงนึกถึงเพลงแทนที่จะเป็นบทสวดมนต์ ซึ่งเราไม่ได้ตั้งใจนึกขึ้นมา ?
ตอบ สภาพจิตเราไหลลงต่ำง่ายกว่า เรื่องของบทเพลงเป็นเรื่องของโลกียะซึ่งไปได้ง่าย ส่วนเรื่องของบทสวดมนต์เป็นเรื่องของโลกุตระซึ่งไปได้ยาก เมื่อกำลังใจไปทางโลกุตระได้ยาก ก็มักจะลงต่ำอย่างเดียว เรื่องพวกนี้เราต้องหยุดให้ทัน ถ้าหยุดไม่ทันจะพาเราเสีย เพราะสภาพจิตเราบันทึกทุกเรื่อง สนใจมากหรือสนใจน้อยก็บันทึกหมด ถ้าพลาดเมื่อไรเอาหน้าบันทึกที่ไม่ได้เรื่องขึ้นมาก็จะยุ่ง ฉะนั้น..เราจึงต้องทำความดีให้เคยชินเข้าไว้ |
ถาม : เวลาเราทำสมาธิแล้วมักจะเคลิ้ม ควรทำอย่างไรต่อครับ ?
ตอบ : แสดงว่าสติกับลมหายใจหลุดออกจากกัน ให้กลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกใหม่ ช่วงนั้นจิตจะเริ่มเป็นสมาธิระดับปฐมฌานหยาบ คราวนี้ความหยาบของจิตมีมาก เราเลยเกาะลมหายใจไม่ค่อยจะติด ให้เอาจิตก็คือสติ ความรู้สึกของเราทั้งหมดจี้ติดลมหายใจเข้าไป อย่าปล่อยให้ห่าง ห่างเมื่อไรจะออกอาการอย่างนี้อีก เอาจิตกำหนดตามไปทุกระยะ เข้าไปถึงไหน ออกมาถึงไหน ถ้าหากว่าก้าวพ้นทีเดียวก็จะสว่างโพลง แล้วจะไม่เป็นอย่างนั้น สำคัญตรงที่ว่าก้าวแรกต้องผ่านให้ได้ ถ้าผ่านไม่ได้ก็จะติดอยู่อย่างนั้น บางคนคิดว่าตัวเองเผลอหลับ ความจริงไม่ได้หลับ แต่สติขาด สมาธิเริ่มสูงขึ้น พอทิ้งช่วงห่างจึงเหมือนกับคนมองกันไม่เห็น พอมองไม่เห็นก็ขาดช่วงไป ถาม : คล้ายกับหลับ วูบไปพักหนึ่ง ตอบ : ไม่ได้หลับ สมาธิสูงขึ้นแต่สติตามไม่ทัน ต้องเอาความรู้สึกทั้งหมดจี้ติดกับลมหายใจไปก่อน ห่างเมื่อไรก็หลุดเมื่อนั้น พอเราเคยชินทำได้ครั้งหนึ่ง ต่อไปก็จะกระโดดข้ามขั้น แล้วก็ไม่ต้องมาเคลิ้มหลับแบบนี้อีก |
ถาม : ไปหล่อพระที่วัดในชลบุรี เห็นมีเทวดามาโมทนาไม่กี่องค์ เราจะได้บุญหรือเปล่า ?
ตอบ : เทวดาจะโมทนาหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับ ๒ ประการ ประการแรก..ได้บวงสรวงอัญเชิญท่านหรือเปล่า ? ประการที่สอง..บุคคลที่เป็นเจ้าภาพมีความเกี่ยวเนื่องกับท่านหรือเปล่า ? ถ้าไม่มีความเกี่ยวเนื่องท่านก็โมทนาไม่ได้ ถ้าไม่เชิญท่านมาก็โมทนาไม่ได้ ส่วนตัวเราทำไปเถอะได้บุญอยู่แล้ว ไม่ใช่เทวดาท่านมาแล้วเราไม่เห็นท่าน นึกว่าท่านไม่มา ของบางอย่างถ้าเริ่มผิดเทวดาท่านก็ไม่โมทนาด้วยหรอก ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ถ้าหากว่างานนั้นเขาเริ่มต้นด้วยการเลี้ยงคนเลี้ยงพระด้วยการฆ่าสัตว์ ท่านก็ไม่โมทนาให้ตัวเองเดือดร้อนหรอก เพราะเป็นการยินดีในบาป..! |
ถาม : ความสามัคคีต้องมีกรอบในเรื่องของการตามใจตัวเองแค่ไหน ?
ตอบ : รู้จักคำว่าสิทธิหรือไม่ ? ถึงมีสิทธิอยู่ก็ต้องไม่ไปล่วงล้ำสิทธิของคนอื่น ถ้าไปล่วงล้ำสิทธิของคนอื่นจะทำให้ขาดความสามัคคีได้ เพราะเขาจะเหม็นขี้หน้าเรา..! |
ถาม : ผู้หญิงกับผู้หญิงคู่กัน ผิดศีลข้อ ๓ ไหมครับ ?
ตอบ : ผิดเหมือนกัน ถาม : แล้วใครผิดครับ ? ตอบ : ผิดทั้งคู่แหละ ถาม : ไม่มีอะไรเสียนี่ครับ ? ตอบ : อย่างน้อย ๆ การล่วงละเมิดในส่วนของศีลธรรมก็มีอยู่ เพราะว่าบุคคลนั้นเราไม่ใช่เจ้าของ เหมือนกับคุณฉวยของเขาไปใช้โดยที่เจ้าของไม่ยอม แล้วก็ไปส่งคืนโดยไม่เสียหาย เจ้าของเขาจะยอมไหม ? รถยนต์อยู่ในบ้านเรา อยู่ ๆ เขาเอาไปขับ แล้วบอกว่าไม่มีอะไรเสีย เอามาคืนให้เราจะยอมไหม ? ถาม : ผู้ชายกับผู้ชายก็เหมือนกันสิครับ ? ตอบ : เหมือนกัน |
ถาม : เมื่อวานผมฟังหลวงพี่สอนกรรมฐานอยู่ที่บ้าน พอพูดถึงพระเทวทัต ผมก็ลงไปอยู่ข้างล่างเลยครับ "ปู่ทรมานนานแล้ว ผมเอาบุญมาให้นะครับ" แล้วผมก็เย็นเหมือนกับทรงสมาธิดีมากเลยนะครับ ท่านจะได้รับไหมครับ ?
ตอบ : ก็เหมือนคนที่กำลังโดนลงโทษอยู่ แล้วเราเอาอาหารไปให้เขากิน คงจะได้กินหรอก..! แต่อย่างน้อย ๆ ได้รับกระแสเย็นสักนิดก็ยังดี บรรเทาอะไรไม่ได้หรอก แต่อย่างน้อยเย็นสักวาบหนึ่งก็ยังดี ถาม : ไม่มีโอกาสจะช่วยขึ้นมาได้หรือครับ ? ตอบ : ถ้าหากว่ายังอยู่ในขุมแล้ว จะลึกตื้นขนาดไหนก็ไม่มีสิทธิ์ หมดอายุเมื่อไรค่อยว่ากัน ถาม : หลวงพ่อวัดท่าซุงยังเคยช่วยเลยนี่ครับ ตอบ : หลวงพ่อท่านช่วยเพราะท่านรู้ว่าเขากำลังจะออกจากมหานรกไปอุสสทนรก ท่านเลยไปดักกลางทาง แล้วเรารู้ขนาดนั้นไหมล่ะ ? ถ้าลงอุสสทนรกไปก็ยาวเลย ไม่มีใครช่วยได้เหมือนเดิม ถาม : จังหวะเปลี่ยนพอดี ตอบ : จังหวะเปลี่ยนนิดเดียว ท่านไปดักกลางทาง แล้วก็บอกว่าท่านจะบวชพระให้โมทนา ถาม : ตอนนี้ก็ขอให้ท่านช่วยได้สิครับ ขอให้ท่านลงมาเกิด ตอบ : อยากเห็นมากนัก เดี๋ยวอีกไม่กี่ปีก็ได้เห็น..! |
ถาม : หนูสงสัยเรื่องปอบค่ะ คือหนูแขวนพระอยู่แล้วเขายังเข้ามาในบ้านได้หรือคะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าลืมอาราธนาก็เข้าได้ มียามแต่ไม่เรียกใช้ขโมยก็ขึ้นบ้านสบาย เราต้องอาราธนาทุกวัน ภาวนาขอพระให้ช่วยรักษาทุกวัน ถ้าหากว่าเราไม่ขอ พระท่านยอมรับกฎของกรรม ท่านก็ได้แต่นั่งมอง ถาม : มีแบบที่กันไม่ให้เข้ามาเลยได้ไหมคะ ? ตอบ : ไม่มี..พระพุทธเจ้ายังต้องรับกฎของกรรมเลย แล้วเอ็งเก่งแค่ไหนวะ ? |
ถาม : ที่กล่าวว่าจิตเดิมแท้นั้นผ่องใสอยู่แล้ว กิเลสทำให้เศร้าหมอง นอกจากเราจะพิจารณาว่าขันธ์ ๕ นี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา หากเกิดเราปักใจลงไปว่า “เราคือนิพพาน นิพพานคือเรา” อันนี้ถูกไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าคุณสามารถทำได้อย่างนั้นจริง ๆ ก็จบ เพราะว่าถ้าเข้าถึงจริง ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างจะหมดไป ตัวเราจะกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับนิพพาน เพียงแต่ว่าจิตเดิมแท้ที่ผ่องใสนั้น ผ่องใสแค่ไม่เกินระดับอาภัสราพรหม จึงอยู่ในระดับของคนทรงสมาธิในฌานที่ ๒ เท่านั้น ส่วนของพื้นฐานกิเลสเก่า ๆ ที่ส่งเรามาเกิดนั้นยังมีอีกมหาศาลเลย ถ้าสามารถทำอย่างที่คุณว่าได้ก็จบ ถาม : การที่เราเห็นพระพุทธรูปสวยหรือวัดสวยเป็นการติดในวัตถุธาตุไหมครับ ? ตอบ : ถ้ายินดีในความสวยก็ยังเป็นแค่กามาวจรอยู่ ไปได้ไม่เกินสวรรค์ ถาม : ตอนแรกเราต้องตั้งกำลังใจโมทนายินดีก่อน แล้วพิจารณาลงสู่กฎไตรลักษณ์ แล้วก็เอากำลังใจไปเกาะนิพพานถูกไหมครับ ? ตอบ : ถ้าคิดไม่ทัน ตายก่อนก็จบเห่..! ถาม : ตอนที่ฝึกมโนมยิทธิ ผมก็ไม่อยากถามหลวงพ่อเท่าไร แต่มีคนให้ถามก็เลยลองถามดูว่า พระศรีอาริย์ท่านจะลงมาช่วยในยุคนี้ แล้วท่านตอบว่าลงมาแล้วเป็นผู้หญิง อันนี้ถูกไหมครับ ? ตอบ : ไม่ถูก..พระศรีอาริยเมตไตรยยังไม่เคยลงมาในยุคนี้ ถาม : แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่ามโนมยิทธิเราถูกหรือผิดครับ ? ตอบ : ทดสอบกับสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ในระยะสั้น ๆ เช่น คุณเดินออกไป รถที่คุณเจอคันแรกเป็นสีอะไร เป็นรถ ๔ ล้อหรือ ๒ ล้อ ทดสอบบ่อย ๆ เราจะเกิดความคล่องตัวและชำนาญ แล้วจะรู้ว่าระดับอารมณ์ใจวางแบบไหนถึงจะถูก แล้วก็ใช้อารมณ์ใจช่วงนั้น ถาม : ถ้าเกิดเราจับภาพพระ เราจะรู้ได้อย่างไรครับว่าภาพพระนั้นเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริงหรือมารเขามาหลอก ? ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ ขอให้คุณนึกถึงพระพุทธเจ้าได้ก็พอ |
ถาม : การที่เราปฏิบัติแล้วพร่อง ขาดสติ หรือเป็นประเภทได้หน้าลืมหลัง หรือรักษาผลการปฏิบัติไว้ไม่ค่อยได้ เป็นเพราะเราสมาธิไม่ดีหรือว่าเป็นเพราะกรรมการดื่มสุราคะ ?
ตอบ : มีส่วนของกรรมดื่มสุราอยู่แต่ว่าไม่มาก เพราะว่าในส่วนของศีล สมาธิ ปัญญา เป็นมหากุศล ถึงเวลาถ้าหากว่าเราสามารถทำจนทรงตัวได้ อกุศลอื่น ๆ จะถอยหลังไป มีอย่างเดียวคือ ทุ่มเทความพยายามให้มากที่สุด นับดูว่าเวลาที่เราฟุ้งซ่านวันหนึ่งกี่ชั่วโมง แล้วเวลาที่ทำสมาธิกี่ชั่วโมง แค่วัดดูก็รู้แล้วว่าทำไมถึงไม่ได้ดีสักที ถาม : พยายามทำนะคะแต่ว่าได้ไม่ตลอด ตอบ : ยังไม่ชำนาญ เมื่อยังไม่ชำนาญก็รักษาอารมณ์ไม่อยู่ ต้องซักซ้อมเข้าออกสมาธิบ่อย ๆ เมื่อมีความชำนาญจะสามารถรักษาอารมณ์ได้ทุกระดับตามที่ตัวเองต้องการ คราวนี้จะทำอะไรก็ได้ กระทบแรงแค่ไหนก็ไม่กลัวเพราะเราหลบได้ ถึงเวลาก็ใส่เกราะ มีปัญญาก็ตีไปสิ..! |
ถาม : ในการพิจารณา...(ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่เป็นไร เพราะว่าพอพิจารณาไปนาน ๆ สมาธิจะเกิดขึ้นเอง เพียงแต่ว่าต้องพิจารณาลงไตรลักษณ์ให้ได้ ถ้าพิจารณาออกไปทางอื่นก็จะเตลิดไปเรื่อย ถาม : แล้วสมาธิจำเป็นต้องมีไหมครับ ? ตอบ : ควรจะมี ไม่อย่างนั้นกำลังในการตัดละกิเลสก็จะไม่มี สภาพจิตมีความเข้าใจว่าต้องทำอย่างไร ต้องละอย่างไร แต่กำลังในการตัดจะไม่พอ โอกาสที่เราจะพิจารณาจนสมาธิทรงตัวเพียงพอที่จะตัดกิเลสได้นั้นยากมาก ฉะนั้น..เราต้องสร้างสมาธิของเราเองต่างหาก ต้องแบ่งเวลาไปทำสมาธิด้วย ถาม : ใช้วิธีพิจารณาจนเกิดสมาธิอย่างเดียวเพื่อตัดกิเลส เป็นไปได้ไหมครับ ? ตอบ : เป็นไปได้ แต่ยากมาก เพราะว่าต้องพิจารณาอยู่เรื่องเดียวจนสมาธิดิ่งลึกลงไปในระดับที่พอจะตัดกิเลสได้ ซึ่งน้อยคนที่จะทำได้ เพราะฉะนั้น..เราจึงต้องมาสร้างสมาธิต่างหาก อาจจะภาวนาเช้าสักชั่วโมงเย็นสักชั่วโมง ที่เหลือเราก็พิจารณาของเราไป พอพิจารณาจนรู้สึกว่าไปต่อไม่ได้แล้วเราก็กลับมาภาวนาใหม่ |
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ลักษณะนั้นเหมือนกับมโนมยิทธิ เป็นการฝึกซ้อมสมาธิอย่างหนึ่ง เพราะถ้าสมาธิเคลื่อนเมื่อไร ก็จะนึกไม่ได้ เราก็จะกลับมาอยู่ตรงหน้า ถ้ากลับมาก็ไปใหม่ เพราะถ้ากำลังของเรายังไม่มั่นคงพอ เกาะที่ใดที่หนึ่งไม่แน่นหรอก แล้วถ้ากลับมาเมื่อไรก็ไปใหม่ จนกระทั่งสามารถที่จะยืนระยะนาน ๆ ได้ ถาม : แล้วถ้ากลับมาต้องจับลมหายใจกำหนดคำภาวนาใหม่หรือเปล่าคะ ? ตอบ : ถ้าคล่องตัวจริง ๆ แค่คิดก็ถึงแล้ว รู้ตัวว่าอยู่ข้างล่างเมื่อไรก็เผ่นขึ้นไปข้างบนใหม่ ถาม : การที่เราภาวนาควรจะหาสภาพแวดล้อมที่สงบพอหรือไม่ครับ ? ตอบ : ไม่ต้อง ถ้าคุณภาวนาจนสมาธิอยู่ในระดับอุปจารสมาธิขั้นปลายก็จะไม่สนใจสภาพแวดล้อมแล้ว เสียงดังแค่ไหนก็ไม่อยู่ในหูเราแล้ว ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน สนใจแต่กับการภาวนาเฉพาะหน้า แล้วถ้าเกินนั้นไปก็ไม่ได้ยินอะไรเลย ไม่ต้องเสียเวลาหนีหรอก นี่เป็นตัวทดสอบที่ดีที่สุดว่าสมาธิเราใช้งานได้จริงไหม ? |
ถาม : มีปัญหากับคนที่ทำงาน
ตอบ : อย่าไปสนใจในเรื่องจิตใจหรือความประพฤติของเขา ให้สนใจเฉพาะเรื่องงาน งานอะไรที่ต้องปฏิสัมพันธ์กันตามหน้าที่ก็ว่าไป แต่หลังจากนั้นแล้วฉันไม่คบแก เรื่องก็จบ ถาม : แต่เขาเป็นหัวหน้าเรา ตอบ : ถ้าเขาเป็นหัวหน้าเราก็เอาแค่จำเป็น ส่งงานของเราเสร็จก็เผ่นแน่บ..! |
ถาม : คนที่เล่นการพนันหรือเล่นไพ่เป็นการผิดศีลข้อ ๒ ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ผิดศีล เพียงแต่ว่าการพนันเป็นอบายมุข คือปากทางแห่งความเสื่อม มีแต่พาลงต่ำไม่มีขึ้นสูง ในส่วนของธรรมะผิดแน่ ๆ อย่าลืมนะคำว่า “ศีลธรรม” มีทั้งศีลและธรรม เพราะฉะนั้น..ที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าอบายมุข คือปากทางแห่งอบายภูมิ มีโอกาสลงข้างล่างมากกว่าขึ้นข้างบน เลิกได้ก็เลิก การเล่นการพนันนั้น ผู้แพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ ผู้ชนะย่อมก่อเวร ทั้งสองฝ่ายต่างทำให้ทรัพย์นั้นฉิบหาย แล้วจะมีอะไรดี ? ถาม : ศีลห้าไม่ขาด ? ตอบ : ไม่ขาด แต่ธรรมะพร่องแน่นอน |
ถาม : เวลาหนูเข้าสมาธิแล้วหนูมักจะขึ้นไปข้างบน คราวนี้มีอยู่วันหนึ่งเหมือนกับว่าควบคุมไม่ได้ ใครเรียกไปหาก็ต้องไป จะแก้ไขอย่างไรคะ ?
ตอบ : เอากำลังใจจดจ่ออยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งใจว่าเราจะไปหาท่าน คราวนี้ใครก็เรียกไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ก่อนที่จะใช้สมาธิในลักษณะออกไป ให้เราตั้งเป้าให้ชัดเจนก่อนว่าเราจะไปหาใคร เราจะไปที่ไหน ไม่อย่างนั้นถ้ามีผู้ที่กลั่นแกล้งเราอยู่ อาจจะดึงเราไปผิดทางก็ได้ |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:54 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.