กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2637)

เถรี 22-05-2011 10:17

ถาม : กำลังใจที่ไม่สุขไม่ทุกข์ ?
ตอบ : ของอย่างนี้ต้องเข้าถึงเอง ถึงจะรู้ว่ากำลังใจที่ล่วงพ้นทั้งสุขและทุกข์นั้นคือความสุขที่แท้จริง เป็นอะไรที่ไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว ทรงตัวมั่นคงแล้ว

ในเมื่อรัก โลภ โกรธ หลงกระทบกระทั่งไม่ได้ ความยินดียินร้ายกระทบกระทั่งไม่ได้แล้ว สิ่งนั้นคือความสุขที่แท้จริง ท่านใช้คำว่า อโสกัง ไม่มีความโศกเศร้าอีกแล้ว วิรชัง ผ่องใสปราศจากธุลี เขมัง เกษมแช่มชื่นเบิกบาน

เถรี 22-05-2011 11:35

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีแต่คนกลัวภัยธรรมชาติจะเกิดกับประเทศไทย ขอยืนยันว่าไม่ต้องกลัว บ้านเราโชคดีมหาศาล ประการแรก เรามีองค์ในหลวงที่ทรงทศพิศราชธรรม เป็นพระโพธิสัตว์ใหญ่ บารมีของพระองค์ท่านคุ้มประเทศได้

ประการที่สอง เรามีหลวงปู่ หลวงพ่อ ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ถ้าถึงวาระสำคัญท่านเหล่านี้ยอมทิ้งขันธ์เพื่อเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของประเทศ จากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นหาย ช่วงระยะเวลาที่ไม่นานผ่านมา เราก็จะเห็นหลวงตามหาบัวมรณภาพ หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงครามมรณภาพ หลวงปู่ครูบาผัดมรณภาพ ล่าสุดก็คือหลวงปู่ทอง วัดสำเภาเชยมรณภาพ

ช่วงก่อนหลวงปู่ทองมรณภาพ ฟ้ามืดอยู่ ๒ วัน โยมเขาโทรมาถามว่าจะเกิดอะไรขึ้น ? อาตมาบอกว่าพระที่เป็นเสาหลักของปักษ์ใต้จะมรณภาพแล้ว ให้สังเกตเอาไว้ว่าจริงไหม ? ที่กล้าเล่าเพราะเรื่องเลยไปแล้ว ถ้ายังไม่ถึงก็จะไม่บอก เพราะว่าจะทำให้แตกตื่นกันไปเปล่า ๆ

เพราะฉะนั้น..เรามีพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ เมื่อถึงวาระสำคัญท่านยอมสละตนเองเพื่อความสุขของคนส่วนรวม ถามว่าท่านสละตนเองอย่างนั้นท่านลำบากไหม ? พระที่ปฏิบัติถึงระดับแล้วไม่มีท่านใดต้องการอยู่หรอก พูดง่าย ๆ คือได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย

ท่านเองก็พ้นจากร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์ ขณะเดียวกันก็ช่วยตัดกรรมหนักของชาติบ้านเมืองลงไปได้ โดยเฉพาะพระระดับใหญ่อย่างหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงคราม ใครจะไปนึกว่าพระใหญ่ระดับนั้นจะเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มรณภาพแล้วไปดีได้"

เถรี 22-05-2011 11:39

"หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านเป็นมะเร็ง การเจ็บปวดจากโรคมะเร็งนี่อธิบายเป็นภาษามนุษย์ไม่ถูก อย่าลืมว่าหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงครามนั้น ท่านเป็นลูกศิษย์สืบสายจากหลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ ภาษิตจีนเขาว่า ภายใต้เงื้อมมือของขุนพลเข้มแข็งไม่มีทหารอ่อนแอ

เมื่อหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านเจ็บปวดจากมะเร็ง มีวิธีก็คือหนีความเจ็บปวด ในเมื่อเข้าสมาธิหนีแล้ว ถึงเวลาออกมาก็ต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดอีก ท้ายสุดเมื่อเห็นว่าเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องใช้วิธีพิจารณาให้เห็นว่าธรรมดาของร่างกาย มีโรคภัยไข้เจ็บเป็นปกติอย่างนี้ ไม่เสียทีที่ท่านเป็นถึงสมเด็จพระราชาคณะ ไม่เสียทีที่ท่านจบเปรียญธรรม ๙ ประโยครุ่นแรก ๆ เพราะว่าพอถึงเวลาปฏิบัติจริงท่านก็ทำได้ดี

อาตมาไปสรงน้ำท่านวันแรกเลย ก่อนน้ำหลวงพระราชทานนิดเดียว เห็นหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านมาสว่างมาก ยังคิดว่า "ท่านไปสวยดีจัง" พอดีเขาพูดกันว่า ก่อนที่ท่านจะมรณภาพท่านบอกกับพระและญาติโยมว่า ท่านหมดภาระแล้ว

ประการสุดท้ายก็คือ พวกเรามีคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก บุคคลที่มั่นคงในคุณพระศรีรัตนตรัยจริง ๆ จะไม่เป็นอันตรายด้วยอุบัติเหตุต่าง ๆ ยกเว้นว่าหมดอายุขัย และอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า ท้าวจาตุมหาราชท่านเคยให้พรไว้ว่า "บุคคลใดก็ตาม ถ้าตั้งใจปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบันขึ้นไป ท่านจะตามคุ้มครองตลอดชีวิต"

พวกเราดีในเรื่องที่ว่า ขณะทำสิ่งที่เป็นกองบุญการกุศลแล้ว เราก็อุทิศส่วนกุศลให้กับเทพเจ้าที่ปกปักรักษาพวกเรา เทพเจ้าทั่วสากลพิภพ ตลอดจนพระยายมราช ก็แปลว่าเราต่อสายสัมพันธ์ มีการเชื่อมโยงถึงท่านอยู่ตลอดเวลา อย่างไรเสียถ้าถึงเวลาท่านก็ไม่ทิ้งเราแน่"

เถรี 22-05-2011 11:46

"แต่ว่าต้องปฏิบัติให้จริง ปัจจุบันนี้มีอยู่ส่วนหนึ่งที่เป็นลูกศิษย์เก่าตั้งแต่สมัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง แต่ยังไปไม่ถึงไหนเลย ต้องบอกว่าเกิดจากการทำไม่จริง ถ้าคนทำจริงแล้วทุ่มเท พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว อย่างเร็ว ๗ วัน อย่างกลาง ๗ เดือน อย่างช้า ๗ ปี ก็ต้องบรรลุระดับใดระดับหนึ่ง ใครทำ ๗ ปีแล้วยังไม่ได้อะไรเลยขอให้รู้ว่า ถ้าไม่ทำขาดก็ทำผิดไปเลย

อย่างที่เมื่อคืนก่อนบรรยายไปว่า จะขาดในเรื่องของขันติบารมี วิริยบารมีและปัญญาบารมี ๓ ตัวนี้ขาดกันมาก ไม่มีความอดทนอดกลั้น ไปหาพระหาเจ้าอยากให้ท่านเสกเพี้ยงเดียวเป็นพระอรหันต์เลย ถ้าเป็นอย่างนั้นได้พระพุทธเจ้าคงเอาพวกเราไปหมดแล้ว พระองค์ท่านตรัสไว้ชัดแล้ว สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง นาญโญ อัญญัง วิโสธะเย ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของจำเพาะตน บุคคลหนึ่งจะทำอีกบุคคลหนึ่งให้บริสุทธิ์หาได้ไม่

แปลว่า เราต้องใช้ความพากเพียรพยายาม ความอดทนอดกลั้น ทุ่มเทปฏิบัติ และต้องทุ่มเทให้ถูกทางด้วย ไม่อย่างนั้นก็แปลว่า เราขาดปัญญาบารมีจริง ๆ คือทำผิดทาง กลายเป็นเหนื่อยเปล่า

แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วก็ต้องผิดบ้างถูกบ้างไปเรื่อย จนกว่าจะไปถึงระดับหนึ่ง ถึงจะรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างแท้จริง คราวนี้ก็จะรีบเร่งกันหัวไม่วางหางไม่เว้น เพราะกว่าจะรู้ก็มักจะเป็นวาระท้าย ๆ ของชีวิตแล้ว..!"

เถรี 22-05-2011 12:16

"ดังนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติ อย่าได้ประมาทแม้แต่วินาทีเดียว อย่างวันนี้ที่โยมถาม เขาสังเกตว่าบุคคลที่ฝึกมโนมยิทธินั้นส่วนใหญ่ใช้ผิด อาตมาก็รับรองกับเขาว่าใช่..ใช้ผิด มโนมยิทธินี่เป็นพื้นฐานของอภิญญา คนชอบทางฤทธิ์ชอบอภิญญาที่ไม่ซนไม่มีหรอก พอได้มาก็คันไม้คันมือ ใช้มั่วตามวิสัยของตัวเอง

แต่คราวนี้ตามความหวังของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงที่ท่านสอนมโนมยิทธินั้น เพราะว่ามโนมยิทธิเป็นวิธีไปนิพพานที่ง่ายที่สุด เรารู้จักนิพพานได้ เราไปนิพพานตรง สามารถจดจำอารมณ์พระนิพพานแล้วนำมาปฏิบัติได้ ถ้าหากว่าเราทำถึงเมื่อไรเราจะทราบทันทีว่าเราถึงแล้ว เพราะเราเคยชินกับอารมณ์นั้น

การส่งจิตขึ้นพระนิพพานเป็นการตัดกิเลสโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องเสียเวลาพิจารณา เพราะว่าพวกเราไม่ถนัดในการใช้วิปัสสนาญาณ เราถนัดแต่เรื่องของสมาธิสมาบัติ ถามว่าสมาธิสมาบัติตัดกิเลสได้ไหม ? ได้..ถ้าเราสามารถกดกิเลสไว้ได้ต่อเนื่องยาวนานพอ กิเลสเกิดไม่ได้ก็เฉาตายได้เหมือนกัน เขาเรียกว่า บรรลุโดยเจโตวิมุติ คือใช้กำลังข่มกิเลสไว้ เหมือนเอาหินทับหญ้า ถ้าทับได้นานพอหญ้าก็ตายไปเอง"

เถรี 22-05-2011 12:21

"ส่วนการพิจารณาวิปัสสนาญาณนั้นเป็นปัญญาวิมุติ คือเมื่อรู้แจ้งเห็นจริงแล้วจิตยอมรับ ก็จะปล่อยวางลงได้ ทั้งสองอย่างนั้นความจริงต้องทำร่วมกัน แต่เราถนัดด้านเดียวก็คือเรื่องของสมาธิ พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงจึงได้คิดค้นวิชาการที่เหมาะสมกับพวกลูกหลานอย่างพวกเรา ก็คือใช้สมาธิเป็นหลัก ส่งจิตขึ้นไปเกาะนิพพาน ซึ่งจะเป็นอารมณ์ที่ปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง จริง ๆ

หลวงพ่อท่านเชื่อว่าพวกเราฉลาดพอ เชื่อว่าพวกเราจะเลือกได้ถูกต้อง แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วไปใช้ผิด พอได้แล้วแทนที่จะปฏิบัติเพื่อละกิเลส ก็เที่ยวไปดูว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้นกับเรา คนนี้เป็นอย่างนี้กับเรา ดูแค่นั้นก็ยังพอทน แต่ว่ามีส่วนหนึ่งไปฟื้นความสัมพันธ์เก่าขึ้นมาอีก ทีนี้ก็ยุ่งกันไปใหญ่

แทนที่จะหลุดก็ยิ่งเกาะกันนัวเนียหนักขึ้น ถามว่าแล้วมีโทษหรือไม่ ? โทษใหญ่ที่เห็นชัดที่สุดก็คือ ยากที่จะหลุดพ้นได้ เพราะว่าภาระทั้งเก่าทั้งใหม่จะผูกเข้ามามากขึ้น ที่โยมเขาว่ามา อาตมาถึงได้รับรองว่าใช่ ส่วนใหญ่เราใช้ผิด นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ถ้าใช้ถูกก็เป็นการตัดกิเลสที่ง่ายจนไม่มีอะไรจะง่ายกว่านี้อีกแล้ว และเหมาะสมกับกำลังใจของพวกเราอย่างที่สุด

ดังนั้น..ในเรื่องของมโนมยิทธิ ถ้าหากว่าจะดูอดีต จะระลึกชาติ ก็ใส่ปัญญาประกอบไปด้วยว่า แต่ละชาติของเรามีชาติไหนไม่ทุกข์บ้าง ชาตินี้เราก็ทุกข์อยู่แล้ว เกิดอีกก็ทุกข์อีก พอหรือยัง ? เข็ดหรือยัง ? ถ้าพอแล้วเข็ดแล้ว ชาติปัจจุบันนี้เราควรจะปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น เพื่อพระนิพพานเสียทีหรือยัง ? ถ้าได้คำตอบแล้วต้องรีบตะกายให้สุดชีวิต เพราะว่าเรามัวแต่สนุกจนกระทั่งเวลาเหลือน้อยมากแล้ว"

เถรี 22-05-2011 12:26

"อย่าลืมว่าชีวิตเรามีแค่ลมหายใจเข้าออกเดียวเท่านั้น หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตายเหมือนกัน ความตายมาจ่อประชิดติดตัวขนาดนี้แล้ว ถึงเวลายังไปห่วงว่า ตายแล้วเขาจะเผาเราหรือเปล่า ? ไม่ต้องห่วง..เขาไม่เก็บไว้หรอก เผาแน่ ๆ เพราะฉะนั้น..ต้องรีบเร่งรัดตัดทางเข้าหาพระนิพพานให้เร็วที่สุด

การอยู่ในโลกนี้แม้แต่วินาทีเดียวก็เต็มไปด้วยความทุกข์ อยู่นาทีหนึ่งก็ทุกข์นาทีหนึ่ง อยู่ชั่วโมงหนึ่งก็ทุกข์ชั่วโมงหนึ่ง อยู่วันหนึ่งก็ทุกข์วันหนึ่ง เราย่ำเท้าอยู่บนกองทุกข์แท้ ๆ เราดำเนินชีวิตอยู่บนกองทุกข์แท้ ๆ โดนความทุกข์แผดเผาอยู่ตลอดเวลาเหมือนอยู่ในบ้านที่ไฟไหม้ ควรจะรีบหนี หรือว่านอนสบายรอให้ไฟไหม้มาถึงหัว ?

เรื่องพวกนี้เรามีปัญญาพอที่จะพิจารณาได้ แต่ให้ตระหนักไว้อยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่พอว่ากันครั้งหนึ่งก็ได้สติครั้งหนึ่ง ถึงเวลาก็เพลิดเพลินเจริญใจกันต่อ ถ้าอย่างนั้นถ้าครูบาอาจารย์ล่วงลับไป แล้วใครจะมาเตือนสติพวกเราอีก

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกแล้วว่า ฟังแล้วจำ จำแล้วคิด คิดแล้วนำไปปฏิบัติให้เกิดผลด้วย ใครฟังเทปฟังซีดีหรืออ่านหนังสือของท่าน จะเจอข้อความทั้งหลายเหล่านี้อยู่เป็นประจำ อย่าปล่อยให้ผ่านหูผ่านตาไปเฉย ๆ

ฟังสิ่งที่ท่านสอนให้เหมือนอย่างกับว่าท่านสั่งให้เราทำ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำไป อย่าฟังคำสอนเป็นคำสอน ถ้าฟังคำสอนเป็นคำสอนเราอาจจะทำเมื่อไรก็ได้ แต่ถ้าฟังคำสอนเป็นคำสั่งเราจะต้องทำเดี๋ยวนั้น เอาอย่างทหารคือ..รับคำสั่ง ทำทันที ไม่มีปัญหา ถ้าอย่างนั้นถึงจะมีโอกาสที่จะหลุดรอดจากวัฏสงสารได้"

เถรี 23-05-2011 20:02

พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านวิริยบารมีนี้ สำหรับบางคนแล้วมายากขึ้น แต่อีกหลายคนมาสะดวกขึ้น ก็เลยมาทุกวัน วันละสามรอบ เพราะบ้านอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง แสดงว่ามีประโยชน์สำหรับบางคนเช่นกัน

ถึงแม้จะมาลำบาก แต่พอเคยชินแล้วก็จะเหมือนกับอยู่ใกล้ เมื่อคราวอาตมาไปอยู่ทองผาภูมิใหม่ ๆ รู้สึกว่าไกลน่าดูเลย เพราะจากตัวจังหวัดกาญจนบุรีต้องวิ่งไปทองผาภูมิ ๑๔๐ กิโลเมตร แต่พอไปอยู่นาน ๆ เข้าก็เคยชิน จากไกลก็เหมือนกับใกล้ เดี๋ยวเดียวก็ถึง ก่อนหน้านั้นนั่งรถเท่าไรก็ไม่ถึงเสียที

ลักษณะก็เหมือนกับการปฏิบัติ ระยะแรก ๆ ที่ภาวนา พอทรงฌานได้ก็เริ่มสนุก ตื่นเต้นมาก เหมือนตัวเองได้อะไรเยอะแยะ ได้อะไรมโหฬาร พอทำไป ๆ เคยชินแล้ว รู้สึกว่าเหลือนิดเดียว ฉะนั้น..อะไรที่เริ่มเคยชินก็คือรู้สึกว่าธรรมดา"

เถรี 23-05-2011 20:09

ถาม : ปีติที่เกิดจากการทำบุญ ฟังธรรม การนั่งสมาธิ ?
ตอบ : ไม่ว่าจะเป็นปีติที่เกิดจากการฟังธรรม การทำบุญ การนั่งสมาธิ เป็นปีติแบบเดียวกัน

แต่ถ้าเป็นปีติทางโลก ที่ตาได้เห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้สัมผัส จะเป็นปีติอีกอย่างหนึ่ง เป็นปีติที่ต้องมีสิ่งกระตุ้นจากภายนอกจึงจะเกิดขึ้น ตัวเองจะมีความสุขไปสักพักหนึ่ง พอสิ่งกระตุ้นหมดไป ความสุขก็หายไปด้วย จึงทำให้มีคนประเภทนี้ติดกินติดเที่ยว เพราะเขาทำแล้วเขามีความสุข แต่เป็นความสุขที่ไม่ยั่งยืน

ปีติที่เกิดจากการทำบุญ จากการปฏิบัติธรรม และการนั่งสมาธิภาวนา เป็นปีติที่สร้างขึ้นในใจของเราเองจะยั่งยืน คนที่ไม่เข้าใจจึงเตลิดไปไกล กลายเป็นนักเที่ยวกลางคืนไปเยอะทีเดียว น่าเสียดาย น่าเป็นห่วง การเที่ยวกลางคืนมีแต่เสียมากกว่าดี

เถรี 23-05-2011 20:15

ถาม : สมัยพุทธกาลที่มีคนฟังธรรมแล้วสำเร็จอรหันต์เลย จิตท่านไล่จากขั้นโสดาบันมาก่อนหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ต้อง จากปุถุชนเป็นพระอรหันต์ก็ได้ จากปุถุชนเป็นพระอนาคามีก็ได้ จากปุถุชนเป็นพระสกทาคามีก็ได้

ถาม : เขาลัดมาพระอรหันต์เลยหรือครับ ?
ตอบ : อยู่ที่กำลังใจของตนว่าเข้มแข็งระดับไหน ปัญญาระดับไหน ถ้าหากว่ามีมากก็ได้มาก

ถาม : แล้วที่บอกต้องผ่านโคตรภูญาณก่อน ?
ตอบ : โคตรภูญาณก็ผ่านเพียงแวบเดียว

ถาม : ไม่รู้สึกว่าผ่าน ?
ตอบ : ถ้าหากไม่ใช่บุคคลที่ปรารถนาพุทธภูมิแต่เดิมมา จะข้ามพรวดไปเลย เหมือนกับเราก้าวข้ามรางเล็ก ๆ แต่ถ้าเป็นพุทธภูมิ ฐานอยู่ฝั่งหนึ่ง อีกฐานอยู่ฝั่งหนึ่ง แช่กันอยู่นาน เอาให้มั่นใจว่าใช่แน่แล้วถึงจะยอมก้าวผ่านไป

เพราะพุทธภูมิต้องไปเป็นพระพุทธเจ้าสอนเขา ถ้ารู้ไม่ครบก็สอนเขาไม่ได้ สิ่งที่สาวกก้าวพรวดข้ามเลย พุทธภูมิจะจด ๆ จ้อง ๆ อยู่นาน ต้องเอาให้มั่นใจจริง ๆ ถึงจะยอมปล่อยผ่าน

ระหว่างที่เดินขึ้นบันไดมา บันไดมีกี่ขั้นบางทีเรายังไม่รู้เลย แต่พุทธภูมินอกจากจะต้องรู้ว่าบันไดมีกี่ขั้นแล้ว กว้างยาวเท่าไร ใช้วัสดุอย่างไร สร้างด้วยวิธีไหนต้องรู้หมด ถึงเวลาก็สามารถที่จะสร้างบันไดเองได้เลย

เถรี 24-05-2011 18:45

ถาม : เวลาทำสมาธิ เราควรจะจับจุดอยู่แค่ตรงปลายจมูกหรือจับสามฐานดีครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เราถนัด จะไม่เอาเลยสักฐานก็ได้ ให้เรากำหนดรู้ลมไหลเข้าไหลออกก็พอ

ถาม : เวลาเรานั่งสมาธิไปเรื่อย รู้สึกเหมือนกับอึดอัดครับ เราจะหายใจไม่ออก อึดอัดตลอดเวลา จะต้องหายใจออกมา
ตอบ : กำหนดรู้เฉย ๆ โดยไม่กลัวตาย แล้วจะก้าวไปสู่สมาธิที่ลึกขึ้นไปอีก แต่ถ้าเรากลัวตายก็จะถอยมาหายใจใหม่ ซึ่งเท่ากับเราถอยหลังเข้าคลอง เหมือนกับขึ้นบันไดไปหลายก้าว แล้วก็ถอยกลับมาอีก ทำให้หาความก้าวหน้าไม่ได้สักที

เขาให้ตัดใจว่าตายเป็นตาย เราทำความดีอยู่ ถ้าตายลงไปเราไปดีแน่ แต่คราวนี้เวลาพูดนั้นง่าย ถึงเวลาแล้วส่วนใหญ่มักจะกลัว

ถาม : ไม่เกี่ยวกับว่าเราเพ่งมากไปหรือครับ ?
ตอบ : การกำหนดลมหายใจเข้าออก เขาเอาสติความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมเข้าไป ไหลตามลมออกมา ไม่ใช่ใช้ความรู้สึกส่วนหนึ่งส่วนใดไปเพ่ง แค่กำหนดรู้เฉย ๆ

ถ้าไปตั้งใจกดมาก ๆ บางทีก็เครียด ปวดหัวไปเลย เราหายใจเข้าออกตามธรรมดา แค่เอาความรู้สึกไหลตามเข้าไป ไหลตามออกมา เพราะฉะนั้น..เราไม่จำเป็นที่ต้องกำหนดรู้ลมเป็นฐานก็ได้ ให้รู้ตลอดลมเข้า รู้ตลอดลมออกก็พอ

เถรี 24-05-2011 18:49

ถาม : ถ้ากรรมปรามาสพระรัตนตรัยตกอยู่กับเรา ?
ตอบ : ให้ขอขมาพระรัตนตรัย

ถาม : ถ้าเราก่อกรรมปรามาสพระรัตนตรัย เราจะเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ แปลว่าชาตินี้เสียชาติเกิด..!

ถาม : แล้วอยู่ ๆ เราคิดลบหลู่พระขึ้นมาโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ ถ้าความดีเริ่มมา ความชั่วก็จะตามมาเอง เพราะฉะนั้น..ต้องรีบขอขมาพระโดยเร็ว

เถรี 24-05-2011 19:40

มีผู้แจ้งว่าทางหลวงตาวัชรชัย วัดเขาวง ประกาศหาผู้ไปอยู่ประจำเพื่อช่วยงานวัด พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการทำงานให้กับพระพุทธศาสนา จะต้องประกอบด้วยศรัทธาก่อน ถ้าคนไม่มีศรัทธา เห็นว่าอยู่วัดสบายแล้วมาอยู่ มักจะอยู่ได้ไม่นาน

สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่มีการประกาศหาคนมาช่วยงานวัด แต่ก็มีญาติโยมหลายต่อหลายรายที่มาทำงานกันเองโดยไม่มีเงินเดือน ไม่มีค่าตอบแทน รายที่ชัดที่สุด คือ โยมเอี่ยม บางคนก็เรียกท่านว่า "ป้าเอี่ยม" (เอี่ยมศรี อ่อนคำ) ป้าเอี่ยมตามหลวงพ่อมาตั้งแต่วัดสะพาน จ.ชัยนาท จนมาอยู่อุทัยธานี

ป้าเอี่ยมเป็นผู้หญิงแกร่ง ประเภทถือปืนลูกซองเดินเฝ้าวัด เมื่อป้าเอี่ยมมาอยู่วัด ก็อาศัยข้าวก้นบาตรประทังชีวิตไปวัน ๆ และป้าเอี่ยมนี่แหละที่ทำความดีจนอาตมาต้องยอมให้หวยไปหลายงวด อยู่ ๆ ก็มาบอกว่า "หลวงพี่ขอหวยตัวหนึ่งสิ" อาตมาก็ถามว่าจะเอาไปทำไม เขาบอกว่า "อยากได้เงินไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ"

"ตัวเดียวเล่นได้หรือ ?" "เล่นได้" ก็เลยให้ป้าแกไป ไม่รู้ว่าไปเล่นมาอย่างไร ได้มา ๖๐๐ บาท และก็เอาไปถวายสังฆทานหลวงพ่อจริง ๆ

งวดต่อมาอาตมาก็แหย่เอง "งวดนี้ไม่เอาหรือ ?" "ถ้าได้ก็ดี" ให้ไปสองงวด พองวดที่สามมีคนตามมาอีก ๗-๘ คน อาตมาก็ปากคัน บอกว่า "มาเยอะแบบนี้ต้องชักเปอร์เซ็นต์" เขาถามว่าเท่าไร ? อาตมาบอกไปว่า "สามสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น" ตอนนั้นพูดเล่น ๆ แต่เขาเอามาให้จริง ๆ..!

คราวนั้นหลวงพ่อด่าจมดินเลย ท่านบอกว่า "รู้ ๆ อยู่แล้วไปบอกเขา เท่ากับไปปล้นเขา เดี๋ยวปรับปาราชิกเลย..!" ปาราชิกนี่ขาดจากความเป็นพระเลย ตั้งแต่นั้นมาท่านสั่งห้ามให้หวยเด็ดขาด ทีนี้ก็หมดสนุก ถ้ายังให้หวยได้ จะสนุกกว่านี้อีกเยอะ

ป้าเอี่ยมอยู่วัด ไม่มีเงินเดือน พอเห็นคนอื่นถวายสังฆทานกับหลวงพ่ออยู่บ่อย ๆ ก็อยากถวายบ้าง แต่ไม่มีเงิน เจ็บไข้ได้ป่วยมา หลวงพ่อท่านต้องควักย่ามให้ไปหาหมอ หายาให้กิน แกทุ่มเทให้กับวัดจริง ๆ ทำด้วยใจ"

เถรี 24-05-2011 19:44

"เราจะเห็นว่าคนที่มาช่วยงานหลวงพ่อ อยู่ในลักษณะมาเอง ช่วยงานเอง หลวงพ่อท่านเคยเอาพี่ชาย คือลุงวงศ์ มาทำงาน ลุงวงศ์ทำงานดีมากเลย งานทุกอย่างหนักเอาเบาสู้ ไม่ต้องเรียก ลุงหางานทำเอง

แต่ป้าฟอง เมียลุงวงศ์หรือพี่สะใภ้ของหลวงพ่อ ไม่เอาอ่าวเลย ขนาดหลวงพ่อท่านขึ้นเสียงด่าแล้ว ก็ยังรั้นสุดชีวิต หลวงพ่อท่านด่าคนเพื่อไม่ให้ทำผิดอีก คนที่ไม่เข้าใจก็ว่าทำไมพระถึงได้ด่าโยมขนาดนั้น

การเอาญาติตัวเองเข้ามา ญาติเขาไม่ได้คิดว่าท่านเป็นหลวงพ่อของคนทั้งวัด ของคนทั้งประเทศ เขาคิดว่าหลวงพ่อเป็นน้องตัว นึกออกไหม ? สมมติว่าอาตมาเอาพี่มุกดาไปทำงานด้วย แทนที่พี่เขาจะนึกว่าอาตมาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน กลับไปคิดว่าเป็นน้องชายก็บรรลัยสิ เพราะฉะนั้น..ในที่สุดป้าฟองก็โดนหลวงพ่อไล่กลับบ้านไป

ส่วนลุงวงศ์มาอยู่วัด ช่วยงานจนตายคาวัด กลายเป็นเทวดาเฝ้าวัดอีกต่างหาก คือ ท่านปู่ท้าววาหน ขอยืนยันนะว่า "วาหน" ไม่ใช่ "เวหน" หลวงพ่อท่านสร้างกุฏิหลังใหญ่ ก็คือ ศาลเจ้าที่วัดท่าซุงให้ ฉะนั้น..ท่านเจ้าที่ซึ่งดูแลวัดท่าซุงจริง ๆ ก็คือ ท่านลุงวงศ์ สังข์สุวรรณ"

เถรี 25-05-2011 20:18

"คนรุ่นเก่า ๆ ที่วัดท่าซุง เขามาทำงานกันด้วยใจ ส่วนใหญ่ตั้งใจจะช่วยวัด อย่างลุงเอี๊ยง ส่วนใหญ่ไปเรียกท่านว่า "ลุงเอี้ยง"

ลุงเอี๊ยงเป็นคณะแรกที่ไปรับหลวงพ่อจากชัยนาทมาอยู่อุทัยธานี แรก ๆ ลุงเอี๊ยงกินเหล้าเป็นปกติ ลุงบอกว่า "เวลากินแล้วนั่งสมาธิดี" จริง ๆ นะ เรื่องของยาเสพติด ถ้าอยู่ในระดับที่พอดี อารมณ์จะทรงตัวจริง ๆ ก็เลยทำให้คนบางประเภทที่เข้าใจผิด ไปติดสุรายาเสพติด

ลุงเอี๊ยงไปทำงานที่วัด หลวงพ่อจ่ายค่าแรงให้พอประมาณ แถมเหล้าให้ด้วย ปรากฏว่าพอหลวงพ่อซื้อเหล้ามาให้ ลุงเอี๊ยงกลับอาย ลุงถึงได้เลิกกิน จำไว้นะ..เราต้องรู้จริงขนาดหลวงพ่อถึงจะซื้อเหล้าให้เขา หลวงพ่อท่านรู้ว่าถ้าให้แล้วเขาจะเลิก

ลุงเอี๊ยงจะรับใช้หลวงพ่ออยู่ข้าง ๆ อาตมาไปแทนลุงเอี๊ยงประมาณปี ๒๕๒๕-๒๕๒๖ เพราะว่าลุงแก่แล้วลุกนั่งลำบาก นั่งขดอยู่ข้างหลวงพ่อเป็นวัน ๆ ก็ไม่ไหว และก็ไม่มีใครเปลี่ยน ลุงก็กัดฟันทำหน้าที่ไปเรื่อย จนกระทั่งอาตมาถามว่า "ลุง..ให้ผมช่วยไหม ?" "ได้ก็ดีไอ้หนู" แต่ลุงก็ไม่ไว้ใจนะ นั่งมองอยู่ใกล้ ๆ พอเห็นเราทำคล่องตัวไม่มีผิดพลาด จึงค่อยไปพัก

คนรุ่นเก่า ๆ รับผิดชอบงานดี สมัยก่อนที่อยู่ช่วยหลวงพ่อตอนท่านรับสังฆทาน จะมีลุงเอี๊ยง จ่าประมวญ คุณประเสริฐ คุณไพบูลย์ คุณชัยณรงค์ หลวงตาวัชรชัย (ตอนนั้นยังเป็นพี่อุดมอยู่ ยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อ) และมีอาตมา รุ่นหลัง ๆ ก็ต่อไปเรื่อย ๆ

ก่อนหน้านั้นเวลาถวายสังฆทาน หลวงพ่อท่านจะแจกวัตถุมงคล อาตมาเห็นท่านแจกแล้วเมื่อยแทน ก็เลยขออนุญาตหลวงพ่อแจกแทน ตอนแรกท่านก็มองหน้า อาตมากราบเรียนว่า "เห็นหลวงพ่อโยกอยู่บ่อย ๆ คงจะไม่ไหว" "เออ..ลองดู" ปรากฏว่าแจกใหม่ ๆ คนเขาไม่เอา เขาอยากรับกับมือหลวงพ่อมากกว่า"

เถรี 25-05-2011 20:25

"จนอาตมาต้องบอกว่า "ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ต้องรับกับมือผม ไปรอรับกับหลวงพ่อไม่ได้หรอก" หลวงพ่อท่านก็หัวเราะ "เขาตั้งกฎแล้วก็รับหน่อย" ตั้งแต่นั้นมาเขาก็รับจากมืออาตมา แต่ใหม่ ๆ ใครถวายสังฆทานอาตมาก็แจกวัตถุมงคลให้ คนมาด้วยกันไม่ถวายสังฆทาน อาตมาก็ไม่แจก หลวงพ่อท่านมองหน้าแล้วบอกว่า "ให้เขาด้วย" เป็นอันว่าใครถวายหรือไม่ถวายก็แจก

ทีนี้เด็กเล็ก ๆ มา อาตมามองว่า เด็กเอาวัตถุมงคลไปใส่กระเป๋ากางเกงบ้าง วางต่ำบ้าง กลายเป็นปรามาสพระรัตนตรัย ก็ไม่ให้เด็ก หลวงพ่อบอกว่า "ให้เขาด้วย" ตั้งแต่นั้นมาอาตมาก็แจกกระจาย ขนาดเจ้าของยังไม่เสียดาย เราจะไปเสียดายทำไม ? จึงกลายเป็นธรรมเนียมว่า ถ้าไม่ใช่แขกผู้ใหญ่จริง ๆ ที่หลวงพ่อท่านยื่นให้ ก็เป็นอาตมาแจกเองทั้งหมด

คนที่ทำงานวัดในช่วงนั้นทำตามศรัทธา มีให้ก็กิน ไม่มีก็ควักกระเป๋าซื้อเอง อาตมาสนิทสนมกับบรรดาแม่ค้าหน้าวัด กินฟรีบ้าง กินเชื่อบ้าง ยืมเงินบ้าง อย่างเวลาไปทำบุญเพลิน ทำจนหมดตัวแล้วไม่มีเงินกลับบ้าน ก็ไปหน้าวัด "ยายบ๊วย..ยืมเงินสองร้อย..เงินหมดแล้ว" ยายบ๊วยก็ควักให้ อาตมาก็มีค่ารถกลับบ้าน

ครั้งหน้าก็รีบเอาไปคืน จำไว้ว่า..ถ้ารักจะยืมเงินใคร ต้องคืนเขาให้เร็วที่สุด เขาจะทวงหรือไม่ทวง ให้คืนไว้ก่อน ถ้าทำอย่างนี้ได้ ต่อไปก็จะมีความน่าเชื่อถือ"

เถรี 26-05-2011 17:55

"การขายของหน้าวัดก็เหมือนกัน แรก ๆ ก็ตั้งร้านขายของเกะกะหน้าวัดไปหมด ตอนหลังหลวงพี่ประทีปเป็นหัวหน้าชุดไปจัดการขึงเชือกกั้นไว้ แต่ขึงเชือกก็ยังเกะกะ ก็เปลี่ยนเป็นโรยปูนขาวเป็นเส้น บอกว่า "ห้ามล้ำเส้นนะ ร้านไหนล้ำออกมา เก็บค่าร้าน ๕๐๐ บาท ถ้าใครตั้งหลังเส้น..ฟรี" เขาก็ยอมทำตาม

โยมบ๊วยขายมะม่วงดองอยู่หน้าวัด ตอนหลังขยายกิจการไปขายหลายอย่าง มีมะดันดอง กระท้อนดอง มะขามดองเพิ่มขึ้นมา อาตมาถามโยมบ๊วยว่างานหนึ่งขายได้สักเท่าไร เขาบอกว่า "หลวงพี่อย่าเอ็ดไปนะ อย่างไม่มี ๆ ก็ห้าหกหมื่น งานใหญ่ ๆ อย่างเป่ายันต์ก็สองแสนขึ้นไป" เหลือเชื่อจริง ๆ แต่โยมบ๊วยมีลูกค้าประจำ เพราะทำอร่อย

กลายเป็นว่าร้านค้าหน้าวัดรวยเพราะหลวงพ่อ แต่ที่รู้จักทำบุญเข้าวัดมีแค่สองสามร้านเท่านั้น มีร้านโยมบ๊วย ร้านโยมสมัคร ที่เหลือนอกจากจะไม่ทำบุญแล้ว ยังต่อไฟวัดไปใช้อีกด้วย..!"

เถรี 27-05-2011 17:20

ถาม : กรรมกิเลส แปลว่า กรรมที่เนื่องจากกิเลสหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ใช่..กรรมกิเลส ๔ ข้อ คือ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม การดื่มสุราเมรัย

การฆ่าสัตว์เกิดจากกิเลสใหญ่คือโทสะ การลักทรัพย์เกิดจากโลภะ การประพฤติผิดในกามเกิดจากราคะ การดื่มสุราเมรัยเกิดจากโมหะ ดื่มแล้วก็ขาดสติหลงลืม

การพูดปดจัดเป็นกรรมกิเลสไม่ได้ เพราะการพูดปดเกิดได้หลายสาเหตุ เราโลภอยากได้ของเขา เราก็โกหกหลอกลวงเขา เราโกรธเขา เราก็โกหกเพื่อปิดบังความจริงเขา การพูดปดบอกชัดไม่ได้ว่าเป็นกิเลสตัวไหน ท่านก็เลยจัดไว้แค่สี่อย่าง

เถรี 27-05-2011 17:23

ถาม : ผมบูชามีดหมอชาตรีมา จะใช้รักษาโรค ต้องใช้กี่ครั้ง ? อย่างไรครับ ?
ตอบ : ใช้กี่ครั้งก็ได้ แต่การรักษาโรคให้ใช้คาถากำกับว่า ทุกขา ทุกขัง ปะฏิฐิตัง สัมปะฏิจฉามิ ถ้าไม่ใช่ทำน้ำมนต์ด้วยมีดหมอเพื่อให้คนไข้ดื่ม ก็ใช้สับไล่จากข้างบนลงข้างล่าง ให้เขานั่งเหยียดปลายเท้าไปทางทิศตะวันตก ที่สำคัญอย่าให้ใครไปนั่งขวางตรงปลายเท้า เพราะคนนั้นจะซวยแทน..!

เถรี 27-05-2011 17:27

ถาม : ศีล ๕ กับกรรมบถ ๑๐ ต่างกันอย่างไรครับ?
ตอบ : กรรมบถ ๑๐ จะเน้นเรื่องวาจา ศีล ๕ แค่ห้ามโกหก แต่กรรมบถ ๑๐ ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดส่อเสียด (ยุยงให้เขาแตกร้าวกัน) ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดวาจาเพ้อเจ้อไร้ประโยชน์ กลายเป็นบังคับเรื่องวาจา

และเน้นเรื่องใจ ไม่คิดโลภอยากได้จนเกินพอดี ถ้าอยากได้ให้หามาอย่างถูกต้องตามศีลตามธรรม ไม่โกรธเกลียดอาฆาตพยาบาทใคร โกรธแล้วก็ลืม ไม่ผูกโกรธ และมีสัมมาทิฏฐิ เห็นว่าที่พระพุทธเจ้าท่านสอนนั้นดีทุกอย่าง เราจะทำตาม

ถาม : ถ้าทำได้ก็ควรทำควบไปด้วยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..รักษาศีล ๕ ควบกับกรรมบถ ๑๐ ไปด้วย

เถรี 27-05-2011 18:16

ถาม : การที่พระโพธิสัตว์ให้ทานเป็นสุรา ?
ตอบ : สุราเป็นทานที่ไม่มีอานิสงส์ พระพุทธเจ้าสมัยเป็นพระเวสสันดรก็ให้สุราเป็นทาน พระอานนท์ทูลถามว่า ผู้ดื่มสุรานั้นผิดศีล แต่ทำไมถึงให้เป็นทาน ? อย่าลืมว่าท่านให้เฉย ๆ ไม่ได้บีบคอให้เขากิน จะกินหรือไม่กินนั้นอยู่ที่ตัวเขา

ท่านให้เพราะว่าท่านต้องการให้ในสิ่งที่คนเขาชอบ นักเลงเหล้าชอบแต่เหล้า ท่านก็ให้เหล้าเขาไป ส่วนเขาจะกินหรือไม่กินไม่ได้เกี่ยวกับท่านแล้ว เพราะฉะนั้น..ให้ได้ แต่ไม่มีอานิสงส์

ถาม : การขายสุรา ?
ตอบ : การขายสุราก็ไม่ผิด บอกแล้วว่าเราไม่ได้บีบปากเขากรอกลงไปเราไม่ผิดหรอก แต่คราวนี้คนที่ไม่รู้ จะไปตำหนิว่าเขาทำผิด แล้วก็เกิดโทษแก่คนที่ตำหนิ พระพุทธเจ้าท่านก็เลยบอกว่า บุคคลผู้เป็นพุทธมามกะไม่ควรทำ

เถรี 27-05-2011 18:20

ถาม : ควรบูชาท่านแม่ทั้งสามอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าจะบนท่านแม่ ไม่ว่าด้วยเรื่องอะไรก็ตาม ให้บนถวายผ้าไตร ถวายองค์ละชุดไปเลยก็ได้ แต่ขณะเดียวกันถ้าบูชาทั่ว ๆ ไป ก็ให้สวดมนต์และเจริญกรรมฐานเป็นปกติ ท่านจะชอบอย่างนั้น เพราะว่าท่านแม่ทั้งสามตอนนี้ท่านไปนิพพานหมดแล้ว

ถ้าเป็นสมัยก่อนท่านให้ถวายด้วยผ้าสไบ แต่ว่าพอไปนิพพานแล้วท่านบอกว่าเปลี่ยนเป็นจีวรแล้วกัน พระจะได้ใช้ประโยชน์ด้วย

เถรี 27-05-2011 18:26

1 Attachment(s)
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใน "หนังสือสมบัติพ่อให้" เล่มนี้ เราจะเห็นรูปหลวงปู่เนียม วัดน้อย ถ้าเป็นรูปจริงจะเป็นรูปที่เขาถ่ายหลังจากท่านมรณภาพแล้ว

หลวงปู่เนียมเป็นพระที่บรรดาช่างภาพกลัวมาก เครื่องมือดีแค่ไหนก็ตาม ขออนุญาตหรือไม่ขอก็ตาม ถ่ายไม่ติดทั้งนั้น รูปหลวงปู่เนียมมีอยู่ ๒ รูป ก็คือรูปนอนกับรูปนั่ง เขาจับท่านถ่ายหลังจากที่ท่านมรณภาพแล้ว"


เถรี 27-05-2011 18:35

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนที่วัดท่าซุง มีรุ่นพี่อยู่ ๑ ท่าน คือหลวงพี่บรรจง กวิวํโส แต่พวกเราเรียกว่า "หลวงปู่จง" เขามีหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก ก็เลยต้องมีหลวงปู่จง วัดท่าซุงด้วย

หลวงปู่จงนี่ท่านบวชรุ่นเดียวกับหลวงพี่ชัยวัฒน์ เป็นนักสะสมพระเครื่อง เล่นมาตั้งแต่ก่อนบวช วัตถุมงคลของหลวงพ่อวัดท่าซุง หลวงปู่จงจะมีทุกรุ่น ตั้งแต่รุ่นแรกยันรุ่นล่าสุด หลวงปู่จงออกกิจนิมนต์ได้เงินมาเท่าไร ถวายหลวงพ่อเพื่อรับเป็นวัตถุมงคลหมด จนพวกเราล้อกันว่า "หลวงปู่จง..ดูคานกุฏิซิว่าร้าวหรือยัง ?"

มีอยู่วันหนึ่ง "ไอ้โหน่ง" (น้องสาวหลวงปู่จง) เอาพระเครื่องมาไล่ถวายพระในวัดคนละองค์สององค์ ไอ้โหน่งอยากได้บุญ ก็เลยไปรื้อห้องของหลวงปู่จงที่บ้าน เจอพระเครื่องก็ขนเอามาถวายพระในวัด พระในวัดรับไปก็ดีอกดีใจ แต่หลวงปู่จงเกือบจะคลั่ง..!

เราจะได้เห็นว่า คนที่ปฏิบัติธรรมมานาน สติ สมาธิที่จะระงับยับยั้งเรื่องของกิเลสนั้นใช้ได้จริง ๆ ของรักของหวงขนาดนั้น แล้วโดนคนอื่นเอาไปแจก หลวงปู่จงสามารถระงับตัวเองไม่ให้ด่าน้องได้ ไม่ให้ตีน้องได้ อาตมาเห็นก็รู้สึกว่าหลวงปู่จงนี่ใช้ได้เลย ถ้าเป็นของรักของหวงของเราแล้วถูกเขาเอามาไล่แจก คงได้มีรายการตุ้บตั้บกันแน่เลย"

เถรี 27-05-2011 18:52

"ส่วนอีกคนที่เห็นชัด ๆ ก็คือ หลวงพี่อาจินต์ วันหนึ่งหลวงพี่อาจินต์ก็เดินมา
"เฮ้ย..เล็ก..พี่ยังมีโทสะอยู่ว่ะ"
"อ้าว..ใครไปยั่วกิเลสพี่จนเกิดโทสะ ?"
"น้องชายของพี่เอง"

"เขาทำอะไร ?"
"รู้ไหมว่า พี่สละสมบัติทุกอย่างในบ้านหมดแล้ว เหลือเก็บไว้แต่กระบี่พระราชทานเล่มเดียว มันเอากระบี่ของพี่ไปจำนำ..!"

นาน ๆ จะเห็นรุ่นพี่เขาน็อตหลุดสักที หลวงพี่อาจินต์เป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายกรรมฐาน นั่งยิ้มทั้งวัน อาตมาก็สงสัยว่าพี่เขาท่าจะหมดโกรธแล้ว วันนั้นเดินมาบอกเองเลย ว่าพี่ยังมีโทสะอยู่"

เถรี 27-05-2011 19:42

"ถ้าเป็นเรา ของพระราชทานจากในหลวงโดนน้องเอาไปจำนำจะรู้สึกอย่างไรบ้างหนอ..? เพราะถือว่าเป็นสิ่งมงคลสูงสุดในชีวิต

ก่อนบวชหลวงพี่อาจินต์เป็นอาจารย์สอนอยู่โรงเรียนนายเรืออากาศ ยศเรืออากาศโท ถ้าเป็นนายทหารตั้งแต่ยศร้อยตรี เรือตรี ร้อยตำรวจตรีขึ้นไป จะได้รับกระบี่พระราชทาน กระบี่แต่ละเล่มจะมีหมายเลขประจำตัวอยู่ว่าพระราชทานเมื่อไร รุ่นไหน สามารถที่จะตรวจสอบได้

ที่แสบที่สุดคือโรงจำนำที่กล้ารับจำนำด้วย เพราะมั่นใจว่าอย่างไรเขาก็ต้องมาไถ่คืนแน่"

เถรี 27-05-2011 20:09

"พอหลวงพี่อาจินต์พูดถึงเรื่องนี้ ก็นึกถึงตัวเองทันทีเลยว่าเหมือนกับตัวเองเลย ตอนนั้นปี ๒๕๓๐ ในหลวงเจริญพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา แต่ละจังหวัดก็จะมีโครงการต่าง ๆ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

หลวงพ่อท่านก็นำวัดท่าซุงเข้าโครงการหลายอย่าง อย่างเช่นว่าโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา มหาวิหารแก้วร้อยเมตร มณฑปสมเด็จองค์ปฐม ทางจังหวัดก็รีบรับเข้าโครงการด้วยความยินดี ราคาตั้งร้อยล้าน พันล้าน..ใช่ไหม ?

ตอนนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี มาถึงประมาณ ๘ โมงนิดหน่อยเท่านั้น มาเร็วมากเลย แต่ว่าหลวงพ่อท่านขึ้นกุฏิไปแล้ว ช่วงเช้าหลวงพ่อท่านมาประมาณ ๗ โมงครึ่ง พอรับท่านขึ้นกุฏิ ท่านบอกว่า "เล็ก..วันนี้ใครมาหาพ่อก็บอกว่าให้รอตอนบ่ายนะ เพราะว่าจะให้น้ำเกลือ" อาตมาก็ "ครับ ๆ" แล้วส่งท่านเข้ากุฏิ

วันนั้นผู้ว่าฯ รองผู้ว่าฯ บรรดาหัวหน้าส่วนราชการมากันเยอะมาก มาถึงก็ขออนุญาตเข้าพบหลวงพ่อ อาตมาเรียนท่านว่า "ไม่ได้หรอกครับ หลวงพ่อให้น้ำเกลืออยู่" ด้วยความที่ท่านผู้ว่าฯ กระตือรือร้นกับงานหรือไม่รู้จักกาลเทศะก็ไม่รู้ ท่านบอกว่า "ให้น้ำเกลืออยู่ก็พูดได้ไม่ใช่หรือ ?"

โอ้โห..ตอนนั้นบอกได้ว่า โกรธไฟแลบเลย แต่ด้วยความที่ไม่ได้โกรธคนมาหลายปีก็เลยตีหน้าไม่ถูก ลืมไปแล้วว่าต้องทำหน้าอย่างไร รู้อยู่อย่างเดียวว่าโกรธเขาฉิบหายเลย..! จึงหันหลังเดินหนีไปเฉย ๆ ปล่อยให้ท่านผู้ว่าฯ และคณะยืนเซ่ออยู่พักใหญ่ พอเขาเห็นว่าไม่ไปรายงานให้จริง ๆ ก็เลยกลับ"

เถรี 27-05-2011 20:17

"อาตมาก็ไปนึกว่า แบบเดียวกับหลวงพี่อาจินต์เลย หลวงพี่บอกว่าโกรธมากเลย แต่ไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร ก็เลยเดินมาบ่นกับอาตมา เสียงพี่เขาบอกว่าโกรธ แต่หน้าตาไม่ได้บอกเลยว่าโกรธ ประเภทเดียวกันเลย ส่วนอาตมาเองไม่ได้โกรธมานาน จึงปั้นสีหน้าไม่ถูก

เรื่องที่นึกไม่ถึงก็คือ ระดับผู้ว่าราชการจังหวัดพูดอย่างนั้นได้อย่างไร เหมือนกับว่าท่านจะเอาแต่งานตัวเอง ไม่ได้สนใจเลยว่าพ่อเรากำลังจะตาย พูดออกมาได้ว่า "ให้น้ำเกลืออยู่ก็พูดได้ไม่ใช่หรือ ?" ตอนนั้นปั้นหน้าไม่ทัน ถ้าเขามาตอนนี้มั่นใจว่าปั้นหน้าทัน รับรองว่าโดนไปเต็ม ๆ แน่ ตอนนั้นวิทยายุทธ์ยังไม่สูงพอ..!"

เถรี 29-05-2011 17:26

หลังจากพระอาจารย์ทำบังสุกุลให้โยมเสร็จ ท่านจึงกล่าวว่า "ที่โบราณท่านให้ทำบังสุกุลตายบังสุกุลเป็น จริง ๆ แล้วท่านให้เราปฏิบัติพระกรรมฐานโดยตรง เพียงแต่ว่าท่านแฝงเอาไว้ในพิธีกรรม เป็นมรณานุสติเต็ม ๆ เป็นอุปสมานุสติ นึกถึงพระนิพพานได้ เป็นพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ คือนึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นเทวตานุสติ นึกถึงความดีของเทวดา กล่าวถึงสิ่งไหนเรานึกถึงสิ่งนั้น ก็เป็นการปฏิบัติในพระกรรมฐานกองนั้น ๆ"

เถรี 29-05-2011 18:09

พระอาจารย์เล่าว่า "สังคมอินเดียโบราณ ถ้าเศรษฐีไม่มีลูกชาย ถึงเวลาตายไปเขาจะยึดสมบัติเป็นของหลวงหมด เพราะอย่างนั้นพ่อแม่ของพระรัฐบาลเถระถึงได้เป็นลมตอนท่านออกบวช เพราะไม่มีใครดูแลสมบัติ สมัยก่อนเขาไม่เชื่อความสามารถลูกผู้หญิง ต้องเป็นลูกผู้ชายเท่านั้นจึงจะให้ปกครองตระกูลต่อไปได้

พระสุทินนกลันทบุตรออกบวช พ่อแม่เสียอกเสียใจ อ้อนวอนเท่าไรลูกก็ไม่สึก พอพระสุทินน์กลับไปเยี่ยมบ้าน พ่อแม่จึงเอาทรัพย์สมบัติมากองไว้เต็มบ้าน ขอให้สึกมารักษาสมบัติท่านก็ไม่สึก พ่อแม่จึงขอให้ท่านมีหลานไว้สักคนหนึ่ง ถ้ามีหลานเป็นผู้ชายจะได้รักษาสมบัติไว้ได้ ไม่อย่างนั้นจะโดนยึดเป็นของหลวงหมด

สมัยนั้นยังไม่มีศีลของพระ พระสุทินน์ก็เลยไม่รู้ว่าการมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงเป็นสิ่งต้องห้าม ในเมื่อพ่อแม่ขอ ท่านก็ตกลง พ่อแม่จึงส่งภรรยาให้ไปนอนด้วย จนกระทั่งตั้งท้องขึ้นมา พระสุทินน์ก็สะกิดใจว่า เราเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์แล้วมาเสพเมถุนซึ่งเป็นเรื่องของคนคู่ ไม่น่าจะถูกต้อง

ท่านเกิดเครียด กังวลมาก ผอมดำดูไม่ได้เลย เพื่อนพระก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น พระสุทินน์ท่านจึงเล่าให้ฟัง เพื่อนพระก็ไปกราบทูลต่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านจึงเรียกมาสอบถาม แล้วก็บัญญัติศีลข้อแรกขึ้นมาว่า ภิกษุเสพเมถุนต้องอาบัติปาราชิก ถ้าใครทำเช่นนี้อีกจะขาดจากความเป็นพระไปเลย..!"

เถรี 29-05-2011 18:12

"รู้ไหมว่าพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติศีลพระข้อแรกขึ้นมาในพรรษาที่เท่าไร ? ศีลพระข้อแรกของพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นในพรรษาที่ ๒๑ ของพระพุทธเจ้า แสดงว่า ๒๐ ปีผ่านมาไม่เคยมีเรื่องด่างพร้อยเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนาเลย เพราะว่าส่วนใหญ่เป็นพระอริยเจ้ากันหมด ท่านรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร

พระสุทินนกลันทบุตรท่านเป็นปุถุชน ท่านเองแม้จะสะกิดใจว่าไม่ควร แต่ไม่มีข้อห้าม ในเมื่อไม่มีข้อห้ามจึงกลายเป็นว่า ถึงแม้จะทำผิด แต่พระพุทธเจ้าท่านทรงยกให้ว่า บุคคลผู้เป็นอาทิกัมมิกะ คือเป็นต้นบัญญัติ ไม่ถือว่าผิด เหมือนกับว่ายังไม่มีกฎหมายห้ามไว้ ในเมื่อไม่มีกฎหมายก็ไม่ถือว่าทำผิด แต่ทันทีที่บัญญัติกฎหมายขึ้นมา คนต่อไปทำแล้วจะผิดทันที"

เถรี 29-05-2011 19:44

ถาม : ทำอย่างไรจะระงับโทสะได้ ?
ตอบ : เป็นพระอนาคามี..! นี่ตอบตรง ๆ เลย

อันดับแรก ภาวนาให้กำลังใจทรงตัวอย่างน้อยในระดับปฐมฌานละเอียด แล้วอย่าหลุดออกจากสมาธินั้น ก็จะไม่มีรัก โลภ โกรธ หลงอะไรกวนเราได้ หลุดออกมาเมื่อไรก็โดนอีกเมื่อนั้น ทันทีที่เรารู้ตัวว่าหลุดแล้ว ให้รีบวิ่งกลับมาหาลมหายใจเข้าออกใหม่ ภาวนาให้ทรงตัวใหม่ก็จะรักษาอารมณ์ไว้ได้ตามเดิม

แสดงว่าคุณมัวแต่ไปหงุดหงิดกลุ้มใจอยู่กับความโกรธ แล้วก็ทิ้งลมหายใจไปเลย ให้รีบวิ่งกลับมาภาวนาใหม่โดยด่วน อารมณ์ทรงตัวเมื่อไรก็เลิกโกรธ หลุดเมื่อไรก็โกรธใหม่อีก นี่แค่ขั้นแรก

พออารมณ์ทรงตัวแล้วต้องไปพิจารณาตัดให้ได้ด้วย แผ่เมตตาให้เขาให้ได้ แรก ๆ ก็ให้คนที่เรารักก่อน แผ่เมตตาให้คนที่เรารักก่อน หลังจากนั้นก็ไปคนที่เรารักน้อย คนที่เราไม่รักไม่เกลียด คนที่เราเกลียดน้อย คนที่เราเกลียดมาก

ถ้าหากว่าไปให้คนที่เราไม่ชอบหน้าเลยทีเดียว ไม่ไหวหรอก เพราะกำลังเราไม่พอ ก็ต้องเริ่มจากน้อยไปหามาก แต่ว่าต้องทำบ่อย ๆ รู้ตัวเมื่อไรอย่าไปมัวแต่ขุ่นมัวอยู่กับอารมณ์นั้น อย่าไปหงุดหงิดอยู่กับความโกรธ รีบวิ่งไปหาลมหายใจเข้าออก เครื่องช่วยชีวิตของเรานี้ทิ้งไม่ได้เลย กลับมาหาลมหายใจก่อน อยู่กับปัจจุบันก่อน เรียกสติคืนมาให้ได้

ถาม : ก่อนนี้ปฏิบัติได้ดี อารมณ์ทรงตัวง่าย แต่ตอนนี้ทำไม่ค่อยได้ ?
ตอบ : ต้องดูว่าตอนนั้นเราคิดอย่างไร พูดอย่างไร ทำอย่างไร อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหน แล้วเราทำได้ดี ถ้าหากว่าเราคิด พูด ทำ และอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ถูกต้องอย่างนั้นอีก สมาธิก็จะทรงตัวได้ง่าย ทำได้ดีเหมือนเดิม ถ้าเราคิด พูด ทำ และอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ถูกต้อง อารมณ์ก็เสียต่อไปอีก

เถรี 29-05-2011 19:50

ถาม : ใช้มโนมยิทธิดูเรื่องต่าง ๆ แล้วถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเคยถูก ให้จำด้วยว่าเราวางอารมณ์แบบไหนถึงถูก ถ้าเราจำได้แล้ว ถึงเวลาใช้อารมณ์อย่างนั้นก็จะถูกไปเรื่อย แต่ถ้าเราจำไม่ได้ ไปมั่วเข้าก็จะถูกบ้างไม่ถูกบ้าง

ถาม : ยกจิตไปเกาะพระนิพพาน มีอานิสงส์อย่างไร ?
ตอบ : อันดับแรกได้พุทธานุสติ ถ้ากำลังใจปักมั่นแน่วแน่ เชื่อว่าตรงนั้นคือพระนิพพานก็เป็นอุปสมานุสติ อยู่ที่ความเชื่อมั่นของเรา

สมัยก่อนบางทีอาตมาร่างกายแย่ ๆ จับภาพพระไม่เห็นองค์ท่านเลย จิตมัวมากเพราะร่างกายแย่ ป่วยหนัก เห็นแต่ยอดเกตุนิดเดียวแหลม ๆ ก็ตั้งใจน้อมกราบลงไปตรงนั้น มั่นใจว่าพระพุทธเจ้าอยู่ตรงนั้นก็ใช้ได้แล้ว ดังนั้น..กำลังใจของเราแต่ละวันไม่เท่ากัน บางวันก็ชัดเจน บางวันก็มัว แต่ให้เรามั่นใจว่าตรงนั้นคือพระนิพพานแน่นอน

ถาม : การปฏิบัติมโนมยิทธิที่จะให้ดี มีขั้นตอนอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าหากว่ามีเวลา เราก็นั่งสมาธิจนทรงตัว พิจารณาตัดร่างกายได้แล้วค่อยส่งจิตไปจะดีมาก แต่ถ้าหากทำจนคล่องตัวจริง ๆ แค่นึกก็ถึงแล้ว ถ้าหากว่านึกก็ถึงแล้ว นั่นเป็นการตัดโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว นี่ว่ากันตามทฤษฎีพื้นฐานก่อน

ภาวนาให้อารมณ์ทรงตัวแล้วก็พิจารณาเพื่อความมั่นคงของเรา ให้ซ้อมทำจนคล่อง ตอนหลังก็ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว แค่บอกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา พอจิตเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นเราก็ไปได้เลย

เถรี 30-05-2011 00:32

ถาม : ฝึกมโนมยิทธิได้แล้ว สามารถเป็นหมอดูได้ ?
ตอบ : ถ้าได้มโนมยิทธิแล้วไปเป็นหมอดู อย่าให้เขาถามเฉพาะหน้าแบบนี้ ถามเฉพาะหน้าแบบนี้จะต้องเก่งเท่าอาตมา เพราะเวลาเขาถามมาก ๆ เราเกิดรำคาญหงุดหงิดขึ้นมา คราวนี้เราจะเสียไปทั้งวันเลย พอจิตมัวตอบอะไรไปก็ผิด..!

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยแนะนำว่า ถ้าจะใช้มโนมยิทธิในลักษณะเป็นหมอดู อย่าไปนั่งต่อหน้าลูกค้า ให้เราอยู่ในห้องพระ แล้วเขาเขียนปัญหาให้คนส่งเข้ามาให้ ถึงเวลากำหนดใจนึกถึงพระ ขอคำตอบแล้วเขียนตอบทีละข้อ จากนั้นส่งคืนเขาไป ถ้าไปเผชิญหน้าให้เขาซักนั่นถามนี่ แล้วอารมณ์ของเราขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่ทรงตัว ก็จะพังในเวลาอันรวดเร็ว

ถาม : เห็นเขาใช้มโนมยิทธิกันผิด ๆ ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ ทางผิดน่าสนุกกว่า มโนมยิทธิที่ถูกต้องจริง ๆ ก็คือรู้จักพระนิพพานได้ ไปพระนิพพานตรง การไปพระนิพพานนั้นเป็นการตัดกิเลสอัตโนมัติในตัวอยู่แล้ว ถ้าเราจดจำอารมณ์นั้นได้ แล้วเอามาปฏิบัติละให้ได้อย่างอารมณ์พระนิพพาน เราก็จะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าได้ง่าย

แต่ส่วนใหญ่ที่เจอก็คือ พอทำได้แล้วก็ไปเที่ยวดูว่า คนนั้นเป็นอย่างนั้นกับฉัน คนนี้เป็นอย่างนี้กับฉัน ดูเสร็จแล้วไม่เข็ด ยังไปฟื้นความสัมพันธ์กับเขาอีก ก็ยิ่งบรรลัยกันหนักเข้าไปใหญ่ นี่ถือว่าเป็นเรื่องปกติ จะต้องเจอทุกคนแหละ ถ้ายังไม่เข็ดก็ยังจะทำไปอยู่เรื่อย ๆ

เถรี 30-05-2011 00:39

อาตมาเองก็เคยไปสนุกอยู่กับเขา ๓ - ๔ ปี ใครถามอะไรก็ดูให้ตอบให้เขาหมด พอดีวันนั้นทำงานที่บ้านสายลม หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่าบุคคลที่ได้วิชชา ๒ อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ถ้ายังไม่ใช่พระอริยเจ้าก็ยังแช่อยู่ในนรกทั้งตัว..!

อาตมาได้ยินนี่เหงื่อหยดติ๋งเลย ก็ตัวเองยังไม่ได้ขนาดนั้นแล้วไม่จมนรกมิดหัวเลยหรือ ? หลวงพ่อท่านก็บอกต่อไปว่า บุคคลที่จะพ้นนรกได้ อย่างน้อยต้องเกาะความเป็นพระโสดาบันให้ได้ แล้วท่านก็อธิบายให้ว่า พระโสดาบันต้องเคารพพระพุทธเจ้าจริง ๆ เคารพพระธรรมจริง ๆ เคารพพระสงฆ์จริง ๆ คำว่าจริง ๆ ก็คือไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

ต้องมีศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์ คำว่าศีลบริสุทธิ์ก็คือไม่ละเมิดศีลด้วยตัวเอง ไม่ยุให้คนอื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นเขาทำ แล้วท้ายที่สุดต้องรู้ตัวอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย ถ้าตายแล้วเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว ท่านบอกว่าถ้าทำอย่างนี้ได้ คือเป็นพระโสดาบันได้ ถึงจะรอดจากอบายภูมิ ตั้งแต่นั้นมาอาตมาที่เหมือนกับคนหลับอยู่แล้วหลวงพ่อปลุกให้ตื่นขึ้นมารู้ว่าตกอยู่ในอันตราย ก็โกยสุดชีวิตเลย ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจะไม่เป็นขี้ข้าดูให้ใครอีกแล้ว มัวแต่ไปเพลินอยู่ ถ้าไปตายตอนนั้นเราก็ขาดทุนย่อยยับ..!

ถาม : ภาวนาพุทโธบ้าง นะมะพะธะบ้าง แต่พุทโธภาวนาแล้วไม่นิ่ง
ตอบ : สิ่งไหนเหมาะสำหรับเราให้ทำสิ่งนั้น โดยเฉพาะกรรมฐานอย่าเปลี่ยนกองบ่อย นอกจากว่าเราทำกองนั้นได้แน่นอนแล้ว จะขยับไปกองอื่นก็ไม่ว่า แต่ก่อนจะขยับไปกองอื่น ให้ซ้อมของเดิมให้คล่องตัวก่อนแล้วค่อยขยับไป อย่างเช่นว่าเราใช้พุทธานุสติ จะใช้อุปสมานุสติก็ขึ้นด้วยพุทธานุสติให้มั่นคงก่อน แล้วค่อยขยับไป

ถาม : พุทโธกับนะมะพะธะ ภาวนาแล้วมีผลเหมือนกันหรือไม่ ?
ตอบ : คนละเรื่องเลย พุทโธเป็นสายสุกขวิปัสโก นะมะพะธะเป็นสายอภิญญา แต่ถ้าหากคนมีพื้นฐานมาก่อนแล้ว เมื่อทำไปถึงท้ายสุดก็เหมือนกัน แต่ตอนแรกจะไม่เหมือนกัน

เถรี 30-05-2011 16:53

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมายังคิดที่จะสร้างพระปัจเจกพุทธเจ้าหน้าตัก ๓๐ นิ้ว ทำด้วยเงินทั้งองค์อยู่ โครงการนี้เริ่มที่วัดท่าซุง ต่อมาที่วัดเขาวง ต่อมาวัดท่าขนุน ไม่รู้จะไปเสร็จที่วัดไหน ? แต่ต้องเสร็จจนได้

แรกเริ่มที่ทำ ปรึกษาหารือกันว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเหนื่อยเพราะพวกเรามามากแล้ว บางสิ่งบางอย่างที่ลูก ๆ สามารถจะแบ่งเบาภาระของหลวงพ่อได้ เราก็ควรที่จะทำ เมื่อปรึกษากันเสร็จ พวกเราคิดกันว่า สมัยปี ๒๕๑๗ พระเดชพระคุณหลวงพ่อนิมนต์หลวงปู่หลวงพ่อมา ๑๐ กว่ารูป ให้ลูก ๆ ได้ทำบุญกับพระสุปฏิปันโนที่มีความดีจริง ๆ ก็เลยคิดว่านั่นสมัยพ่อท่านทำ มาสมัยเราก็จะทำอย่างนั้นบ้าง

โดยการนิมนต์พระสุปฏิปันโนในยุคนั้นมา ซึ่งตอนนั้นก็เล็งไว้มากต่อมากด้วยกัน ที่ชัด ๆ ๒ องค์ คือหลวงพ่ออุตตมะกับหลวงพ่อคูณ อย่าลืมว่าเมื่อประมาณ ๒๐ ปีที่แล้ว หลวงพ่อคูณยังไม่ดังแบบนี้นะ

แต่ละคนนี่ไปไล่รายชื่อพระมาเลย ตรวจสอบกันแล้วตรวจสอบกันอีก ถ้าไม่แน่ใจพระองค์ไหนก็ไปไล่ถามหลวงพี่อาจินต์ (หลวงพี่อาจินต์เหนื่อยกว่าเพื่อน) ถ้าถามหลวงพี่อาจินต์แล้วยังไม่ได้ ก็ไปถามหลวงตาวัชรชัยต่อ ถ้าถามหลวงตาวัชรชัยยังไม่ได้ จะมาจบที่อาตมาทุกที จะเป็นอย่างนั้น"

เถรี 30-05-2011 17:01

"สมัยนั้นมีการตรวจสอบพระกันว่าจะนิมนต์องค์ไหนบ้าง วางโครงการกันว่า เมื่อนิมนต์ท่านมา นอกจากทำบุญแล้วควรเอาให้คุ้ม จึงคิดสร้างวัตถุมงคลกันขึ้นมา หลวงตาวัชรชัยปรารภว่า เมื่อก่อนแม่อ๋อยเคยบอกกับท่านว่า ถ้าเป็นไปได้ให้สร้างรูปของหลวงพ่อพระปัจเจกพุทธเจ้า เจ้าของพระคาถาเงินล้าน เพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณท่าน

ก็ขออนุญาตดูพุทธลักษณะของท่าน แล้วก็ร่างแบบขึ้นมา นำรูปเข้าไปกราบเรียนหลวงพ่อ ท่านก็ให้ข้อแนะนำติติงแก้ไขมา พวกเราก็เริ่มประกาศงาน จากที่คำนวณกันเอาไว้ ถ้าวัตถุมงคลรุ่นนี้ทำเสร็จ หลังจากหักค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะส่วนที่ถวายหลวงปู่หลวงพ่อที่นิมนต์มาแล้ว จะเหลือปัจจัยถวายหลวงพ่อประมาณ ๒๔ ล้านบาท นั่นสมัยปี ๒๕๓๑ นะ

ทันทีที่ประกาศก็มีญาติโยมเข้ามาช่วยกัน เพียง ๒ วันมีเงินบริจาคเข้ามา ๔ แสนกว่าบาท ทองคำอีก ๒๐ บาท การทำงานนั้น พวกเราอาจจะคิดงานอย่างเดียว ไม่รอบคอบ ก็เลยมีคนที่เขาคิดรอบคอบกว่า ไปพูดกันว่าทำในลักษณะนี้เดี๋ยวก็มีการรั่วไหลเข้ากระเป๋ากัน พอเรื่องไปถึงหลวงพ่อท่านเลยต้องสั่งระงับโครงการ"

เถรี 30-05-2011 17:05

"เรื่องนี้คาใจหลวงตาวัชรชัยมากเลย เพราะทุกคนตั้งใจทุ่มเททำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมจริง ๆ แต่ทำไมเขาไปพูดกันอย่างนั้น ส่วนอาตมานั้น พ่อสั่งก็จบ ไม่เสียเวลาคิด แต่หลวงตาเครียดเสียหนวดหงอกไปหลายเส้น..!

พอหลวงตามาอยู่เขาวงก็ยังคงไม่ลืมที่จะสร้าง เพียงแต่ว่าเปลี่ยนมาเป็นทองคำหน้าตัก ๙ นิ้วแทน อาตมาคิดว่าตกลงมาตั้งแต่แรกแล้วว่าหน้าตัก ๓๐ นิ้ว ในเมื่อหลวงตาไม่สร้าง เดี๋ยวอาตมาสร้างเองก็ได้"

เถรี 30-05-2011 17:15

พระอาจารย์กล่าวว่าหนังสือ "คู่มือปฏิบัติกรรมฐานแบบง่าย ๆ กับหนีนรก จัดเป็นหนังสือที่อ่านง่ายมาก และคนทั่ว ๆ ไปก็จะทำได้ง่าย

หลวงพ่อท่านหวังผลสำหรับคนที่มีเวลาน้อยอย่างหนึ่ง คนที่มีข้าวของเงินทองในการทำบุญน้อยอีกอย่างหนึ่ง ท่านจะแนะนำวิธีการทำบุญง่าย ๆ ให้ได้บุญมาก พวกเรามีเวลาก็อ่านและกอบโกยประโยชน์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เอาอย่างอาตมาก็ได้ อ่านไปชอบใจตรงไหนก็จำหน้าและบรรทัดนั้นไว้"

เถรี 30-05-2011 17:20

ถาม : เมตตาที่พระโพธิสัตว์ทำมาในอดีต แล้วให้ผลเกิดในชั้นพรหมบ้าง ชั้นเทวดาบ้าง เป็นพระเจ้าจักรพรรดิบ้าง นี่เป็นผลของเมตตาภาวนา ซึ่งก็ไม่มีอานิสงส์ของทานที่เป็นสิ่งของใด ๆ ?
ตอบ : ปกติคนที่มีเมตตา ถ้าเจอคนลำบากอยู่ คุณจะให้เขาไหม ? อุตส่าห์บำเพ็ญเมตตาบารมีมาขนาดนั้นแล้ว พระโพธิสัตว์ท่านไม่ได้โง่ มีอย่างเดียวคือให้แค่หมดตัว

ถาม : เมตตาภาวนานี่หมายความว่า รวมทั้งการให้สิ่งของเป็นทานด้วย ?
ตอบ : คนที่มีเมตตาสามารถให้ทานได้เป็นปกติ ให้ได้แม้แต่ชีวิตตัวเอง ให้ได้มากกว่าที่เราคิด ตัวอย่างของพระโพธิสัตว์มากต่อมากด้วยกัน อย่างที่ท่านเกิดเป็นกระต่าย ตั้งใจจะให้ทาน ปรากฏว่ามีพราหมณ์ผู้เฒ่าอดอาหารมา ท่านก็บอกให้พราหมณ์ก่อกองไฟขึ้น แล้วตัวเองก็กระโดดเข้ากองไฟ ให้ตัวเองเป็นอาหารของพราหมณ์

พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระฤๅษี เห็นว่าเสือหาอาหารไม่ได้ จะกินลูกตัวเอง ท่านก็กระโดดลงไปให้เสือกินแทน พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระมหากษัตริย์ เจอนกเหยี่ยวไล่นกพิราบมา ท่านช่วยนกพิราบเอาไว้ เหยี่ยวก็ต่อว่าท่านช่วยนกพิราบไว้แต่จะทำให้ตัวเขาอดตาย พระโพธิสัตว์ก็เชือดเนื้อให้นกเหยี่ยวแทน

เราจะเห็นว่าในเรื่องเมตตาบารมีของพระโพธิสัตว์นั้น แม้แต่ชีวิตตัวเองก็สละได้ เรื่องทานอื่นที่จะไม่ให้นั้น เป็นไปไม่ได้หรอก


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:38


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว