กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2447)

เถรี 17-02-2011 11:35

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : กว่าที่เราจะมาถึงตรงจุดนี้ เราสร้างบุญสร้างกรรมมานับไม่ถ้วน ในเมื่อเราสร้างบุญสร้างกรรมมานับไม่ถ้วน ถึงเวลาแล้วของเก่าจะย้อนคืนมาเอง ตั้งหน้าตั้งตาทำสายตรง ๆ นี่แหละ จะได้ไม่เสียเวลา

ถาม : หนูอธิษฐานจิตมาเกิดเป็นผู้หญิง ปฏิบัติยากจริง
ตอบ : เป็นผู้หญิงดีตรงที่เห็นทุกข์ง่ายกว่าผู้ชาย สังเกตไหม..? พวกที่บรรลุธรรมง่ายมักจะเป็นผู้หญิง

เนื่องจากผู้ชายมีความเข้มแข็งของจิตมาก ถ้าพูดในภาษาชาวบ้านก็คือดื้อ ในเมื่อดื้อ เชื่ออะไรยาก กว่าจะยอมทำตามก็เสียเวลานาน แต่ผู้หญิงโดยพื้นฐานวิสัยแล้วจะไม่ดื้อ ความเข้มแข็งของจิตมีน้อยกว่า ความอ่อนโยนของจิตมีมากกว่า ถึงเวลาเปิดรับอะไรได้ง่าย การเข้าถึงธรรมจะง่ายกว่า

ถาม : หนูก็คงรู้ใช่ไหมว่าจะมาเจออะไร ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจตรงนั้นหรอกจ้ะ เรามีหน้าที่ทำ ก็ทำของเราไป จะเป็นของเก่าของใหม่อย่างไรก็ช่าง ถือว่าเราไม่รับรู้ ทำตอนนี้เอาให้ดีที่สุดก็แล้วกัน

ถาม : ตอนนี้จะดีขึ้นไหม ?
ตอบ : จะดีขึ้นหรือไม่ก็อยู่ที่เรา สำคัญว่าเราใจแข็งจริงหรือเปล่า ?

เถรี 17-02-2011 11:40

ถาม : วันมาฆบูชาควรไปทำบุญที่ไหน ?
ตอบ : บ้านอยู่แถวไหนจ๊ะ ?

ถาม : อยู่กรุงเทพฯ
ตอบ : ไปไหว้พระที่วัดพระแก้ว วัดบวรนิเวศ ฯลฯ

ถาม : ไปแล้วค่ะ
ตอบ : อาตมาเองมีโอกาสเมื่อไรก็ไปเมื่อนั้นแหละ ไม่ใช่เคยไปมาแล้วจะไม่ไปอีก ที่ขำที่สุดคือไปวัดพระแก้วแล้วแท็กซี่เขาบอกว่า "อาจารย์มาบ่อยนะครับ" อาตมาบอกว่า "อย่างน้อย ๆ เดือนหนึ่งต้องมาครั้งหนึ่ง" แท็กซี่บอกว่า "ผมขับรถผ่านทุกวัน ผมยังไม่เคยเข้าไปเลย"

อาตมาก็เลยชี้ให้เขาดู "เห็นไหม..พวกนักท่องเที่ยวเขาข้ามน้ำข้ามทะเลมากี่หมื่นกี่แสนกิโลกว่าจะมาถึงได้ เราขับรถผ่านมาทุกวัน ถ้าเราไม่เข้าไปเราเสียชาติเกิดไหม ?" เพราะฉะนั้น..มีโอกาสก็ไปเถอะ ไม่ใช่ว่าไปมาแล้วไม่ต้องไปอีก

ถาม : เพิ่งไปมาเมื่อปีใหม่
ตอบ : อาตมาเพิ่งไปมาเมื่อวานซืน ถ้าวันนี้ไปได้ก็จะไปอีก เพราะว่าสถานที่ลักษณะนั้นจะเป็นสถานที่ที่เย็นมาก เราเข้าไปแล้วจิตจะสงบเร็ว ไม่ว่าจะไปสวดมนต์หรือไปนั่งสมาธิจะสงบเร็ว เป็นที่ที่ควรไปอย่างยิ่งเลย จะช่วยเบาแรงเราได้มาก เราไม่ต้องเสียเวลาไปตั้งหลักปฏิบัตินาน ถ้าอยู่ที่บ้านเราอาจจะใช้เวลาครึ่งค่อนชั่วโมงกว่าใจจะสงบ แต่ถ้าอยู่ที่นั่น แค่เดินเข้าไปก็เย็นแล้ว

เถรี 17-02-2011 11:47

ถาม : ตอนนี้เวลาเข้าสมาธิเหมือนเข้าไปในที่ที่หนึ่ง อยู่ดี ๆ ก็เหมือนกับคลายเปลือกออกมา พอดีเวลาเลย
ตอบ : ลักษณะนั้นสมาธิเริ่มทรงตัว พอถึงเวลาจะเข้าสู่สภาวะของตนเอง และถ้าหากเราคลายออกมาสู่อารมณ์ปกติ พวกรัก โลภ โกรธ หลงต่าง ๆ จะเริ่มเข้ามาได้ เพราะฉะนั้น..ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม เรารักษาสภาวะแบบนั้นให้อยู่กับเราให้ได้

ถาม : ท่านที่เป็นพระอริยะแล้ว จะมีทางที่เขาจะไปสอนให้คนหลงทางได้ไหม ?
ตอบ : จะไม่ผิดไปจากที่พระพุทธเจ้าท่านสอน แต่ในเรื่องของความเป็นพระอริยะ ขอให้ทราบไว้เลยว่า ใครที่บอกว่าตนเองหรือผู้อื่นเป็นพระอริยะอย่าเพิ่งเชื่อ..!

บุคคลที่จะเป็นพระอริยเจ้านั้น อันดับแรก ญาณคือเครื่องรู้จะปรากฏขึ้น ยืนยันว่าตนเองเป็นพระอริยเจ้าแล้ว อันดับที่สอง พระพุทธเจ้าเสด็จมาพยากรณ์ให้เอง ถ้าหากว่าเป็นคนอื่นบอก ขอให้รู้ว่าผิดมารยาทอย่างร้ายแรงที่สุด

ถ้าคนอื่นเขาบอกว่าคนนั้นเป็นพระอริยเจ้า คนนี้เป็นพระอริยเจ้า ขอให้รู้ว่าถ้าคุณไม่ใช่พระพุทธเจ้า ไม่ใช่หน้าที่ที่คุณจะไปพูดอย่างนั้น เพราะเราไม่สามารถที่จะรู้ได้ละเอียดขนาดนั้น ว่าเขาเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง

ฉะนั้น..ถ้าเป็นพระอริยเจ้าแล้ว จะไม่สอนผิดไปจากที่พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างเด็ดขาด แต่ถ้าหากไม่ใช่จริง ก็จะพาหลงทางไปเลย เรื่องการพยากรณ์ว่าคนไหนเป็นพระอริยเจ้า เป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ใครให้การพยากรณ์ก็ไปให้ห่าง ๆ เขาหน่อย เดี๋ยวจะเดือดร้อน

ถาม : มีบางท่านไปอยู่ที่ขุมเก้า
ตอบ : นั่นเรื่องของท่าน

ถาม : แล้วเขาเป็นไหมคะ ?
ตอบ : มีใครคนที่อาตมาได้ยินเขาบอกว่าเป็นพระอรหันต์ แต่ไปเจอท่านอยู่ในโลกันต์..!

ถาม : หนูสงสัยว่า ทำไมเขาไปหลงทาง ?
ตอบ : ก็เพราะเป็นไม่จริง ขณะเดียวกันก็ไปคิดว่าตัวเองเป็นแล้วก็หลงไปใหญ่ ไปสอนคนผิด ๆ ตามทิฏฐิ ตามความเห็นของตัวเอง

คิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิดว่า..คาดว่า..น่าจะใช่..น่าจะเป็นอย่างนั้น ก็ยิ่งกลายเป็นว่า สอนคนให้หลงทางมากเท่าไร โทษของตัวเองก็หนักมากขึ้นเท่านั้น

เถรี 17-02-2011 11:53

ถาม : เหมือนกับเขาเอาวัตถุมงคล..(ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นต้องใช้คำว่า ทิฏฐิวิปลาส มีความเห็นผิดไป แก้ไขยาก ถ้ามีโอกาสก็พูด ๆ บ่น ๆ ให้เข้าหูเขาหน่อยก็แล้วกัน ถ้าไม่มีโอกาส ก็อย่าเพิ่งไปพูด เดี๋ยวจะพาเราเสียไปด้วย

อาตมาเจออยู่รายหนึ่ง ถึงขนาดให้ลูกศิษย์หลอมพระพุทธรูปไปชั่งกิโลขาย พระพุทธรูปเขาหลอมเป็นแท่งทองเหลือง เอาไปชั่งกิโลขาย เขาบอกว่าพระพุทธรูปทำให้คนยึดติด นั่นเขาหลงไปได้ไกลอย่างนั้น

อย่าลืมว่าการที่เราอยู่ในโลก พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าเราต้องเคารพสมมติทางโลก เพราะสมมติทางโลกคือสมมติสัจจะ ก็คือความจริงอย่างหนึ่ง แต่เป็นความจริงโดยสมมติ ว่านี่คือรูปแทนพระพุทธเจ้า บุคคลที่จิตใจเกาะความดีขั้นแรก ก็เพื่อความปลอดภัยว่าจะไม่ตกไปในทางแห่งความชั่ว หลังจากนั้นค่อยก้าวเข้าทางของความดีสูงขึ้นไป..สูงขึ้นไป จนกระทั่งท้ายสุด เว้นจากการยึดเกาะแล้วก็หลุดพ้น

ไม่ใช่ว่าพอถึงเวลาแล้วเราไม่เกาะอะไรเลย ไม่เกาะอะไรเลยเราจะเอาอะไรมาปล่อย ? อัตตา ความมีตัวตน อนัตตา ความไม่มีตัวตน ถ้าเราไม่ขึ้นด้วยอัตตาคือความมีตัวตนก่อน แล้วเราจะเอาอนัตตามาจากไหน ? สองอย่างนี้เป็นเหรียญสองหน้า อย่างไรก็ต้องไปด้วยกัน

แต่นั่นเขาประเภทโลกช้ำไปเลย แล้วยังมีการรับจ้าง ถ้าบ้านไหนไม่กล้าทำ ขอให้บอก เขาจะส่งลูกศิษย์ไปทำให้เลย เห็นเขาทุบ เห็นเขาเผา เห็นเขาหลอมแล้วอาตมาใจหาย พวกนี้กว่าจะรู้ว่าตัวเองมีโทษก็ต้องรอตอนที่ตายไปแล้ว

ถาม : ห่าง ๆ ไว้เลยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ประเภทนั้นก็อยู่ห่าง ๆ ไว้ ไม่น่าเชื่อว่าจะมี และห่มเหลืองเหมือนกับอาตมาเสียด้วย เขาสอนลูกศิษย์ว่านี่เป็นสิ่งที่ทำให้ยึดติด..!

เถรี 17-02-2011 12:05

ถาม : อาชีพต่อไปของหนู ใครเป็นคนกำหนด ?
ตอบ : เอาตัวเราเป็นคนกำหนดเองก็แล้วกัน ชอบอะไรก็ทำอย่างนั้น

อย่าถามอะไรลักษณะอย่างนี้ ถ้าถามอะไรลักษณะอย่างนี้ ไปเจอที่อื่นจะโดนเขาหลอกได้ เป็นปัญหาที่ไม่ควรถาม ชอบใจอะไรก็ทำอย่างนั้น อะไรมาก่อนก็ทำก่อน ถ้าถามอย่างนี้เดี๋ยวไปเจอประเภทคนเก่ง พาเข้าป่าเข้าดงไปไหนก็ไม่รู้ กว่าจะรู้ก็หลงทาง หาทางออกไม่ถูก เดี๋ยวไปเจอบอกว่ามีเคราะห์ ต้องไปตัดเคราะห์ก็ยุ่งกันใหญ่

ถาม : หนูคงไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ
ตอบ : อย่าเพิ่งมั่นใจ ถ้าอกุศลกรรมแทรกเข้ามา อาจจะหลงทางไปได้ง่าย เพราะฉะนั้น..เร่งทำความดีให้ดีที่สุด

เถรี 17-02-2011 12:13

ถาม : บทสวดมนต์ควรที่จะสวดตามที่เขาเขียนกำลังตามวันหรือไม่ ?
ตอบ : อยู่ที่เรา ถ้าเราชอบสวด จะสวดมากหน่อยก็ว่าตามกำลังวัน ถ้าหากเราไม่ชอบสวด เราก็ภาวนาไปเลย สวดมนต์เหมือนกับยาทา กว่าจะออกฤทธิ์ให้หายก็หลายวัน แต่ภาวนาเป็นยากิน วันสองวันก็รู้เรื่องแล้ว

ถ้าหากมีเวลาเราก็สวดมนต์ของเรา ถ้าหากไม่มีเวลาก็วิ่งเข้าใส่อารมณ์ภาวนา ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าสวดมนต์ไม่ดี ถ้าคนสวดมนต์เป็น เราสามารถทรงอารมณ์ภาวนาตอนสวดมนต์ได้ สามารถส่งกำลังใจขึ้นนิพพานไปสวดถวายพระพุทธเจ้าท่านก็ได้ ขณะเดียวกันสามารถที่จะกำหนดตัวอักษรให้ขึ้นมาอยู่ตรงหน้าทีละแถว ๆ ทำเป็นทิพจักขุญาณก็ได้ เพียงแต่ว่าเราทำได้แค่ไหน ?

ถ้าหากเราไม่สามารถทำลักษณะนี้ได้ เราชอบการภาวนามากกว่า เราก็ภาวนาไป เพราะว่าการสวดมนต์เป็นพื้นฐานของการสร้างสมาธิเหมือนกัน ในเมื่อเรามีสมาธิ เราจะวิ่งตรงไปทำสมาธิเลยก็ได้ ท่านไม่ได้ว่าอะไร

ถาม : อย่างบทสวดมนต์วันจันทร์ วันอังคารที่เขาเลือกไว้แล้ว
ตอบ : เลือกเอาบทที่ชอบ ไม่จำเป็นที่จะต้องไปตามเขาก็ได้

เถรี 18-02-2011 09:59

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีหน้าคือปี ๒๕๕๕ เป็นปีที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ครบ ๒,๖๐๐ ปี ฟังแล้วงงไหม ? คือ พระองค์ตรัสรู้แล้วสั่งสอนประชาชนอยู่ ๔๕ ปี ปรินิพพานมา ๒,๕๕๕ ปี เพราะฉะนั้น ๒,๕๕๕ + ๔๕ = ๒,๖๐๐ ปี

ทางอินเดียเขาจะเรียกว่า พุทธชยันตี เป็นการครบรอบใหญ่ ในลักษณะ ๑๐๐ ปีมีครั้งเดียว กรณีนี้ครบ ๒๖ รอบ อาตมาว่าจะสร้างพระสักรุ่นหนึ่ง พระท่านให้ทำเป็นพระนาคปรก ในช่วงที่พระองค์ท่านตรัสรู้ แล้วเสวยวิมุุตติสุขอยู่ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่พระยามุจลินทร์นาคราชขึ้นมาสงเคราะห์ แผ่พังพานบังแดดบังฝนให้ คำว่านาคปรก พระท่านให้ความหมายว่า เป็นการพิทักษ์พุทธศาสนา"

เถรี 18-02-2011 10:05

ถาม : ขอคำแนะนำในเรื่องการปฏิบัติครับ ?
ตอบ : ในเรื่องของพระ สำคัญที่สุดก็คือ ศีล ทุกสิกขาบทต้องระมัดระวังให้ดี และงานของพระ สวดมนต์ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐานต่าง ๆ อย่าทิ้งเป็นอันขาด ถ้าทิ้งเมื่อไรกำลังเราจะไม่พอสู้กิเลส จะทำให้อยู่ในผ้าเหลืองไม่ได้

ถ้าหากเรารู้สึกว่า เดินจงกรมภาวนาแล้วเครียดไป ก็เปลี่ยนอิริยาบถไปทำอย่างอื่น เช่น ทำความสะอาดวัด ต้องรู้จักปรับตัวเอง ถ้าหากไม่ปรับตัวเอง มัวแต่เอาทื่อตรง ๆ อย่างเดียว บางทีไปไม่รอดหรอก แล้วก็ให้ทวนศีลไว้ทุกวัน

ถาม : กรรมฐานที่ควรทำ ?
ตอบ : ให้ใช้อานาปานสติเป็นหลัก หลังจากนั้นก็ควบพุทธานุสติ ถ้าหากได้สักอย่างหนึ่งแล้ว ที่เหลือเดี๋ยวมาเอง เพราะกำลังจะเท่ากันหมด

ในการทรงฌานสี่ พอถึงเวลาเราทำได้สักกองหนึ่ง แล้วเปลี่ยนกองกรรมฐาน เปลี่ยนแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง ถ้าได้กองหนึ่ง ที่เหลือไม่ยากหรอก

ถาม : แล้วอานาปานสติต้องนึกภาพพระด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าสามารถกำหนดด้วยได้ก็ดี เพิ่มงานให้ใจจะได้ไม่ฟุ้งไปเรื่องอื่น ควบพุทธานุสติไว้ปลอดภัยกว่า อย่างน้อย ๆ ถ้าเราตายก็ไปอยู่กับท่าน

เถรี 18-02-2011 10:09

ถาม : การตัดบุรพกรรม ควรทำอย่างไร?
ตอบ : การตัดบุรพกรรมที่ง่ายที่สุดก็คือ ศีล สมาธิ และปัญญา เพราะอานิสงส์ใหญ่มาก โดยเฉพาะตัวภาวนา ถ้าหากเรามีการภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัวอยู่เสมอ ๆ กรรมจะตามเราได้น้อยมาก ไม่ต้องไปเสียเวลาสะเดาะเคราะห์อย่างอื่นหรอก ภาวนาทุกวันเท่ากับสะเดาะเคราะห์ไปในตัวอยู่แล้ว

ถาม : การตัดคู่เวรคู่กรรม เราต้องตัดไปเลยหรือเจ้าคะ ?
ตอบ : ตัดทิ้งไปเลย ถ้าหากมีอะไรสงเคราะห์ได้ก็รอประเภทที่เดินมาชนกันจริง ๆ แล้วค่อยว่ากัน ไม่อย่างนั้นก็อาจจะทำให้กำลังใจกำเริบได้ใหม่

ถาม : แล้วถ้าเป็นการช่วยเหลือ..?
ตอบ : พิจารณาด้วยว่าเรื่องนั้นเป็นอย่างไร ถ้าหากเกินกำลัง เกินความสามารถ หรือว่าจำเป็นต้องใช้ปัจจัยมาก ปฏิเสธเขาไปก็ได้ พูดง่าย ๆ ว่าถ้าจะหมดกรรมก็ให้หมดกันไปเลย ไม่ต้องไปสร้างใหม่

ถาม : ก็คือตัดเลย?
ตอบ : ใช่ หั่นได้หั่นทิ้งไปเล..!

ถาม : เลี้ยงไว้นี่คือทำให้เสียเวลาเรา ?
ตอบ : นอกจากเสียเวลาแล้ว ยังทำให้เสียอารมณ์อีกต่างหาก

เถรี 18-02-2011 10:13

ถาม : ไม่อยากยุ่งกับใครค่ะ
ตอบ : ธรรมดา

ถาม : พี่น้องก็ไม่เอาแล้ว
ตอบ : เราเองให้รู้ว่า เราอยู่กับโลก เราต้องเคารพสมมติทางโลก อะไรที่พอปฏิสัมพันธ์กันได้ก็ทำไป ถ้าเราทำแล้วใจไม่นิ่ง เกิดอารมณ์กระทบ แสดงว่าจริง ๆ แล้วกำลังใจของเรายังใช้ไม่ได้

ให้ปฏิสัมพันธ์กับเขาในลักษณะของกำลังใจที่มีสติรู้อยู่ตลอดว่า เรากำลังทำอะไร เพื่ออะไร และไม่ให้ รัก โลภ โกรธ หลง เข้ามาได้จึงจะใช้ได้ พูดง่าย ๆ ว่า เราต้องอยู่ในโลกลักษณะของน้ำกลิ้งบนใบบอน แต่ไม่ติดอยู่กับใบบอน คือเป็นคนปกติที่ยิ่งกว่าปกติ บ้าตามเขาได้ทั้งทุกอย่าง แต่ไปในกรอบของศีลเท่านั้น เกินศีลเราไม่ไป

เถรี 18-02-2011 10:15

ถาม : ได้พระธาตุมา ให้ท่านช่วยดู
ตอบ : เรื่องของพระธาตุ เราอย่าไปสงสัยว่าใช่หรือไม่ใช่ ? จริงหรือไม่จริง ? ไม่ต้องสงสัย สำคัญตรงที่เราเห็นแล้ว เรานึกถึงพระพุทธเจ้าได้หรือไม่ ?

ถ้าเห็นแล้วเรานึกถึงพระพุทธเจ้าไม่ได้ มัวแต่ลังเลสงสัยอยู่ ต่อให้ของจริงก็เหมือนกับของปลอม แต่ถ้าเราเห็นแล้ว เราระลึกถึง กราบไหว้บูชาด้วยความเคารพ ของปลอมก็เหมือนกับของจริง ฉะนั้น..ไม่ต้องเสียเวลาไปสงสัย

เถรี 18-02-2011 10:21

ถาม : มีเจ้ากรรมนายเวรตามอยู่
ตอบ : มีคนคอยดูแล ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี (หัวเราะ) อย่าไปกังวลกับเรื่องนั้นเลยจ้ะ เจ้ากรรมนายเวรมีทุกคนแหละ

เวลาสร้างบุญสร้างกุศลอะไร ก็ตั้งใจอุทิศให้เขา ขอให้เขาโมทนาและอโหสิกรรมให้เราด้วย แรก ๆ เขาก็ไม่ยอมหรอกจ้ะ ถ้าเราเคยทำไม่ดีกับเขา เขาโกรธเราก็เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าเราตื๊อทำไปบ่อย ๆ เดี๋ยวเขาใจอ่อนเขาก็เลิกเอง

ไม่ใช่มีแต่เราหรอก มีทุกคน ในเมื่อมีทุกคนไม่ต้องกังวลหรอก ยิ่งอาตมายิ่งมีเยอะเลย แต่ก็ทำให้เขาอยู่ทุกวัน

เถรี 18-02-2011 10:22

ถาม : พวกนักปฏิบัติอย่างเรา กรรมเก่าเล่นไม่ถึงใช่ไหมคะ ?
ตอบ : อยู่ที่กำลังใจเราด้วย ถ้าเข้มแข็งไม่พอ ก็ถูกเล่นจนได้แหละ

เถรี 18-02-2011 10:30

ถาม : อยากให้อธิบายข้อประพฤติผิดในกาม กับข้ออพฺรหฺมจริยา ?
ตอบ : ในส่วนของข้อกาเมฯ เป็นการละเมิดที่หยาบที่สุด ส่วนอพฺรหฺมจริยา ในเบื้องต้นสำหรับบุคคลที่จิตหยาบแล้ว การแตะเนื้อต้องตัวก็ทำให้เกิดอารมณ์กำหนัดขึ้น ถ้าอารมณ์กำหนัดเกิดขึ้นเมื่อไร ปัญญาจะถอยหลัง ต่างกันอยู่ตรงนี้

แต่ถ้าบุคคลที่ทรงกำลังใจมั่นคงแล้วจริง ๆ สามารถที่จะปลดได้ วางได้ สักแต่ว่าเห็นทุกอย่างเป็นรูปเป็นนาม สิ่งที่เขาสัมผัสมันก็เป็นรูปกายรูปหนึ่ง ที่ไม่ได้ต่างไปจากสิ่งของอื่นที่เป็นดิน น้ำ ไฟ ลม เท่ากับเป็นแค่วัตถุธาตุชิ้นหนึ่งเท่านั้น อารมณ์จิตที่นึกคิดปรุงแต่งไม่มี ท่านทั้งหลายเหล่านี้จะจับอย่างไรก็เรื่องของท่าน

แต่สำหรับผู้ที่ปฏิบัติในขั้นแรก จำเป็นต้องทำของเราให้เต็มที่ก่อน ต้องระมัดระวังให้เต็มที่ก่อนจะไปถึงระดับนั้นได้ ไม่ใช่เห็นบางคนทำได้ แล้วทำไมเราทำไม่ได้ เหมือนกับช้างสามารถแบกข้าวสารได้ทีละหลายกระสอบ เราไปแบกแบบนั้นก็โดนทับตาย..!

ถาม : ข้อประพฤติในพรหมจรรย์ สำหรับคนมีครอบครัว อยากขอคำแนะนำ ?
ตอบ : รักษาเป็นเวลา หรือไม่ก็เอาอย่างพระมหากัสสปะกับนางภัททกาปิลานี ถึงจะอยู่ด้วยกันก็แยกกันอยู่

ถาม : ต้องให้ตัวเขารักษาด้วยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าความต้องการไม่เท่ากัน เดี๋ยวก็ทะเลาะกัน

ถาม : ถ้าเราเดินผ่านไปผ่านมา ชนผู้คน หรือไปโดนตัวเขา แล้วเกิดจิตกำหนัด ?
ตอบ : ถ้าหากไม่ประกอบด้วยเจตนา โทษก็น้อย

ถาม : แต่ไม่ได้ผ่านไปเลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ก็เหมือนกับพระ ถ้าถูกต้องหญิงโดยจิตกำหนัดก็ผิดโดนสังฆาทิเสส ถ้าไม่มีจิตกำหนัดท่านปรับอาบัติทุกกฎที่ต่ำลงมา

เถรี 18-02-2011 10:33

ถาม : หมอดูบอกว่า คนปัจจุบันยังไม่ใช่คู่แท้..?
ตอบ : จะเชื่อเขาทำไม? อยู่ที่เราประพฤติตัวของเราเอง ถ้าความประพฤติของเราไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว ต่อให้ได้เนื้อคู่ดีอย่างไร ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้

เราต้องเชื่อพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ไปเชื่อดวง พระพุทธเจ้าบอกว่าต้องมีสมชีวิธรรม ๔ มีศีลเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน มีศรัทธาเสมอกัน มีการบริจาคให้ทานเสมอกัน อย่างไรก็อยู่กันได้

เถรี 18-02-2011 10:34

ถาม : ที่บ้านมีหิ้งพระหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีพระที่วางชั้นตรงข้ามหันไปทางทิศตะวันตก
ตอบ : ทำไมไม่เอาไปไว้ที่เดียวกัน ?

ถาม : รกมากเลยค่ะ ชั้นไม่พอ
ตอบ : หาใหม่อีกหิ้งหนึ่ง อยู่ใกล้ ๆ กัน หันหน้าไปทางทิศตะวันออก

เถรี 18-02-2011 10:55

ถาม : เวลาขึ้นไปบนพระนิพพาน เราควรจะมองอารมณ์ ?
ตอบ : อยู่ตรงนั้นให้นานที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ สมัยก่อนผมก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะจิตไม่เคยชินกับความละเอียดระดับนั้น ผมจึงใช้วิธีสวดมนต์ถวายเป็นพุทธบูชา โชคดีที่ผมสวดมนต์ได้มาก ฉะนั้น..ตราบใดที่จิตยังมีงานทำอยู่ ก็จะอยู่ตรงนั้น และหาวิธีอย่างไรก็ได้ให้คุณอยู่ได้นานที่สุด

เถรี 18-02-2011 10:57

ถาม : ถ้าทำนิมิตแล้วอธิษฐานให้ใหญ่ก็ได้ให้เล็กก็ได้ การอธิษฐานให้ใหญ่ให้เล็ก ความตั้งใจต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : ก็เหมือนกันนั่นแหละ อธิษฐานคือความตั้งใจ เวลาคุณนึกต้องใช้ความตั้งใจไหมเล่า ? ถ้าสามารถนึกให้เล็กให้ใหญ่ ให้มาให้ไป ก็คืออธิษฐานนั่นแหละ

ถาม : ก็คือการที่เราจินตนาการฝึกกสิณหรือครับ ?
ตอบ : ก็ขอใช้ผล ถ้าใช้ผลได้ก็แปลว่าของจริง ถ้าใช้ผลไม่ได้ก็เป็นแค่จินตนาการ ของอย่างนี้ทดสอบกันได้

เถรี 19-02-2011 10:06

ถาม : กำลังใจที่เกิดจากตัวอคติ จะใช้วิธีการอย่างไรในการตัดตัวอคติเหล่านี้ ?
ตอบ : สติ..ถ้าสติเท่าทันก็หยุดให้ได้ก่อน หลังจากนั้นก็ใช้ปัญญาพิจารณา ให้เห็นว่าทั้งเขาและเราก็ทุกข์อยู่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น..เราจะไปรัก โกรธ เกลียด กลัว เขาหรือไม่ก็ตาม ท้ายสุดก็ต่างคนต่างตาย คิดพิจารณาแบบนี้บ่อย ๆ จะค่อย ๆ ปลดตัวอคตินี้ออกไปได้

เถรี 19-02-2011 10:36

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาหารการกินสมัยนี้ ส่วนใหญ่เกิดจากการเร่งปุ๋ยเร่งฮอร์โมนกันมาก ทำให้ตกค้างมาถึงเด็กรุ่นใหม่ เด็กรุ่นใหม่จึงโตเร็วเพราะเท่ากับโดนฮอร์โมนเร่งไปในตัว ในเมื่อโตเร็ว วงจรชีวิตก็จะสั้นไปด้วย

คนรุ่นใหม่ ๆ ยิ่งโตเร็วเท่าไร ก็จะยิ่งอายุสั้นมากเท่านั้น เราลองนึกถึงลูกหมา สามสี่เดือนก็เป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว เด็กสมัยนี้แปดเก้าขวบเริ่มดูเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว ต่อไปพวกที่อายุ ๖๐ ขึ้นไปจะกลายเป็นวัตถุโบราณ เพราะเดี๋ยวนี้เกณฑ์อายุเฉลี่ยแค่ ๖๓ ปีเท่านั้นเอง"

เถรี 19-02-2011 10:58

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องเหล็กไหลให้ฟังว่า "มีคนถามหลวงปู่บุดดาเกี่ยวกับเรื่องเหล็กไหลว่า "หลวงปู่เคยเห็นเหล็กไหลไหม ?" หลวงปู่บอกว่า "เคยสิ" "เคยเห็นที่ไหนครับ ?" "ที่หัวลำโพง เดี๋ยวมันก็ไหลไปเหนือ เดี๋ยวมันก็ไหลไปใต้"

ส่วนอีกรายหนึ่งถาม หลวงพ่อวัดปากคลองมะขามเฒ่า ตอนนั้นท่านยังเป็นพระครูวิชาญไชยคุณอยู่ ยังไม่ได้เป็นท่านเจ้าคุณพระมงคลชัยสิทธิ์ พอไปถามท่านเรื่องเหล็กไหล ท่านบอกว่า "ไอ้เรื่องที่ทำให้ยึดติดไม่หลุดพ้น เอ็งจะถามไปทำไมวะ..?"

แต่ตอนที่อาตมาถามหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านกลับบอกให้ฟัง สรุปว่า เหล็กไหลทั้งหมดในปัจจุบันไม่ใช่เหล็กไหลของแท้ เหล็กไหลของแท้ดูง่ายมาก เพราะจะมีรัศมีสว่างเป็นของตัวเอง อยู่ในที่มืดก็สว่าง

วิธีทดสอบ ก็คือ เอาน้ำเดือด ๆ ใส่แก้ว หย่อนเหล็กไหลลงไป น้ำร้อนจะกลายเป็นน้ำเย็นเหมือนมาจากตู้เย็น แต่อย่าให้เหล็กไหลตกดินนะ ตกดินเมื่อไร จะหายไปต่อหน้าต่อตาเลย..!

เหล็กไหลมีหลายสีด้วยกัน จะมีสีน้ำตาลอ่อนออกเหลือง (สีท้องปลาไหล) สีเข้มแบบเมฆพัตร (เหมือนสีปีกแมลงภู่) สีเขียวเหลืองแบบเมฆสิทธิ์ (เหมือนสีปีกแมลงทับ) มีหลายต่อหลายท่านเอาเมฆสิทธิ์เมฆพัตรมา แล้วคิดว่าเป็นเหล็กไหล เพราะสีตรงตำรา ส่วนชนิดที่มีพลังงานสูงสุดจะเป็นสีเงินเหมือนปรอทหรือตะกั่ว

ถ้าเจอเหล็กไหล ให้ตั้งใจขออนุญาตเจ้าที่ที่เฝ้าอยู่ ขอพิสูจน์ว่าเป็นของแท้หรือเปล่า ? แล้วจุดเทียนลนดู ถ้าเป็นของแท้ พอเหล็กไหลโดนไฟจะยืดลงมาเหมือนน้ำตาเทียน แต่จะไม่ขาดหรอก ยืดเท่าเส้นด้ายก็ไม่ขาด พอเราเลิกลน เอานิ้วแตะ เหล็กไหลจะหดกลับไปเหมือนเดิม หน้าตาเดิมเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น

ถ้าไม่ใช่เจ้าของอนุญาตหรือเขาจะมาด้วย จะเอามาไม่ได้ โยมคนหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดชื่อเลิศ อยู่เพชรบูรณ์ เขาพยายามขายเหล็กไหลมาหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ เพราะเหล็กไหลไม่ยอมไปอยู่กับคนอื่น"

เถรี 19-02-2011 11:21

"เหล็กไหลนี้อัศจรรย์ตรงที่ว่า ในรัศมีที่เขาคลุมถึง ไฟฟ้าไม่สามารถทำงานได้ ทำให้กล้องถ่ายรูปทุกชนิดถ่ายภาพเหล็กไหลของแท้ไม่ได้ เครื่องยนต์ทุกชนิดไม่ทำงาน อาวุธปืนทุกชนิดยิงไม่ออก อาวุธมีดทุกชนิดเหมือนกับไม่มีคม เชือดแล้วลื่นไปเฉย ๆ

แต่เหล็กไหลของนายเลิศก้อนนี้ไม่เหมือนของชาวบ้านเขา แค่ดูก็รู้แล้ว เพราะฉะนั้น..เทวดาที่เฝ้าเหล็กไหลก็เหมือนกับคน ตรงที่แต่ละองค์มีนิสัยไม่เหมือนกัน สำหรับเหล็กไหลก้อนนี้มีนิสัยแปลก เนื่องจากว่าวันหนึ่งโจรไปปล้นควายบ้านนายเลิศ โจรยิงนายเลิศไม่ออก แต่นายเลิศยิงออก ปกติแล้วในรัศมีที่เหล็กไหลคลุมถึง ไม่ว่าเราหรือเขาจะยิงไม่ออกทั้งนั้น แต่ก้อนนี้ไม่เหมือนชาวบ้านเขา

จริง ๆ แล้วนายเลิศไม่ใช่เจ้าของเหล็กไหล นายเลิศเขามีเพื่อนเป็นชาวม้ง นายเลิศไปเยี่ยมเพื่อนม้งที่ทับเบิก จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อนกำลังป่วยหนักอยู่ ไปเฝ้าไข้อยู่สองวันกว่า วันที่สามเพื่อนก็เสียชีวิต นายเลิศก็พยายามค้นเผื่อเจอข้อมูลว่าเพื่อนมีญาติพี่น้องที่ไหนบ้าง ค้นไปค้นมาเจอหิ้งไม้ไผ่มีสำลีอยู่ห่อหนึ่ง แล้วห่อนั้นมีแสงสว่าง ๆ เท่าเม็ดถั่วเขียว นายเลิศเห็นว่าน่าจะเป็นของดี ก็เก็บใส่กระเป๋าไป เขาก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร

คนแรกที่ติดต่อซื้อเหล็กไหลกับนายเลิศ คือ ฝรั่งที่ฐานบินโคราช ฝรั่งเขารู้ว่าคนไทยมีของดี เขาขออนุญาตว่าใครมีวัตถุมงคลที่ยิงไม่ออก ให้เอาไปขายให้เขาได้ เขารับซื้อราคาหมื่นดอลล่าร์สมัยนั้น คนอื่น ๆ เอาของดีไปให้ฝรั่งทดลองดู ปรากฏว่าเขาฝรั่งยิงพังหมด"

เถรี 19-02-2011 11:56

"พอนายเลิศได้ยินว่าทหารอเมริกันเขารับซื้อวัตถุพวกนี้อยู่ นายเลิศก็นึกถึงของชิ้นนี้ขึ้นมาได้ จึงทดสอบเองก่อน เอาเหล็กไหลไปวางไว้ที่จอมปลวก แล้วใช้ปืนลูกซองยิงก็ยิงไม่ออก ไม่แน่ใจ..อาจจะเป็นเพราะว่าจอมปลวกขลัง ก็ย้ายที่ใหม่ พอเอาเหล็กไหลไปวางไว้ที่จุดไหนก็ยิงไม่ออกอีก ก็ยังไม่แน่ใจ...กระสุนอาจจะเก่าจนหมดอายุก็ได้ จึงไปยืม .๓๘ ของกำนันมา พอมายิงก็ยิงไม่ออกอีก นายเลิศจึงชวนกำนันไปเป็นเพื่อน เพื่อไปติดต่อกับฝรั่ง

นายเลิศเขารอบคอบมาก เขาขอให้ฝรั่งวางเงินค่ายิงสามหมื่นบาท ถ้ายิงพังจะไม่เอาเรื่อง ถ้ายิงไม่ออกขอค่ามัดจำสามหมื่น ปรากฏว่าฝรั่งใช้ปืนอะไรก็ยิงไม่ออก ฝรั่งจึงมอบเงินให้สามหมื่น แล้วตกลงซื้อขายกันสองล้านบาท ให้นายเลิศไปรออยู่ที่โรงแรม เขาเปิดโรงแรมชั้นหนึ่งให้เลย พรุ่งนี้จะพาไปเปิดบัญชีธนาคารแล้วโอนเงินให้

พอรุ่งเช้า เหล็กไหลหายไปไหนไม่รู้ เขาไม่ยอมไปด้วย ฝรั่งก็หาว่านายเลิศเล่นแง่ ทางนายเลิศก็สาบานว่าเปล่า ทีนี้นายเลิศเขาให้เมียถักเชือกหุ้มเหล็กไหลให้ เวลาถักเชือกก็จะมีห่วงคล้องให้ด้วย ปรากฏว่าห่วงก็ยังอยู่ดี ด้ายถักที่หุ้มก็ยังเป็นห่ออยู่ตามปกติ แต่เหล็กไหลไม่มีแล้ว ฝรั่งจึงยอมเชื่อจริง ๆ

เวลาผ่านไปอาทิตย์กว่า ๆ เหล็กไหลก็กลับมาอยู่ที่เดิม ที่บ้านนายเลิศ คือ ถ้าเหล็กไหลมาก็จะเห็น เพราะมีแสงสว่างเรือง ๆ ตั้งแต่นั้นมา ใครไปขอซื้อนายเลิศขายทั้งนั้น เขาบอกว่าใครมีวิชาดีไปเอาได้เลย เขาอยากขายมาก เพราะฐานะตัวเองก็ไม่ได้ร่ำรวย แต่ขายไม่ออกสักที"

เถรี 19-02-2011 12:12

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยที่อยู่เกาะพระฤๅษีพวกอาตมาอาศัยบะหมี่สำเร็จรูปเป็นหลัก พอมารับสังฆทานจากกรุงเทพฯ ก็จะเป็นอาหารหรูหราฟู่ฟ่าไปเลย หลังจากนั้นกลับไปที่เกาะ บะหมี่ซองก็จะเป็นหลักเหมือนเดิม

จึงมานึกว่า เราทำบุญมาไม่สม่ำเสมอ เพราะถ้าเราทำบุญสม่ำเสมอก็ต้องได้ในลักษณะเท่า ๆ กันหรือใกล้เคียงกันทุกวัน นี่บทมีกินก็กินกันปางตาย บทไม่มีจะกินก็เจอแต่บะหมี่สำเร็จรูปเป็นอาทิตย์ ๆ เลย

อย่างวันนี้ อยู่ ๆ ก็มีน้ำพริกมา ๖-๗ ถ้วยพร้อม ๆ กัน บทจะไม่มีบางทีสามวันก็ไม่มีน้ำพริกเลย ฉะนั้น..เรื่องของการทำบุญต้องสม่ำเสมอ ถ้าไม่สม่ำเสมอเดี๋ยวจะเจอแบบอาตมา"

เถรี 19-02-2011 12:25

"อาตมาเป็นคนแปลกมาตั้งแต่เด็ก เพราะไม่มีอาหารอะไรที่รู้สึกอร่อยจนอยากจะกินซ้ำ ตั้งแต่เด็กก็เป็นอย่างนี้ สมัยมาทำงานที่กรุงเทพฯ ใครเขาว่าอาหารอร่อยก็ไปกินดู ก็ไม่เห็นจะอร่อยกับเขาตรงไหน

ตอนนั้นหูฉลามนายเก๊า ถ้วยนิดเดียวราคาหกร้อยบาท เท่ากับค่าแรงอาตมาตั้งหลายวัน ลองไปกินดูไม่เห็นจะอร่อยตรงไหน ร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อคาบูกิ เปิดครั้งแรกที่โรงแรมอินทรา ก็อุตส่าห์ขึ้นไปลองกิน ไม่รู้ว่าญี่ปุ่นเขากินได้อย่างไร จืดเป็นบ้าเลย อาตมาเห็นมีซีอิ๊วญี่ปุ่นก็ใส่ ชิมไปก็ไม่เค็ม หวานปะแล่ม ๆ ใส่ไปครึ่งขวดก็ยังหวานปะแล่ม ๆ อยู่ ตกลงว่าอาหารญี่ปุ่นหารสเค็มไม่ได้ อยู่ทะเลกันอย่างไรก็ไม่รู้ ? กลายเป็นซื้อความรู้ไป

อะไรที่เขาว่าอร่อยไปลองมาหมดแล้ว ประเภทซูเปอร์ราดหน้า สมัยนั้นจานละ ๖๐ บาท ใส่หมูชิ้นหนึ่งเกือบเท่าฝ่ามือ เราก็ลองไปชิมดู ผลสรุปว่าบางร้านที่ไปกินส่งเดชอร่อยกว่าเชลล์ชวนชิมเยอะเลย มีก๋วยเตี๋ยวรถเข็นอยู่เจ้าหนึ่ง อยู่ใต้สะพานลอยพระโขนง ใครกินแล้วไม่สั่งเพิ่ม รับประกันได้ว่า จะต้องลิ้นตะเข้จริง ๆ จนกระทั่งหลายคนระแวงว่าเขาใส่กัญชาหรือเปล่า ? เพราะถ้าผสมกัญชาลงไป กินอะไรก็จะอร่อยไปหมด

จึงแปลกใจว่า ตั้งแต่เด็กมาไม่เคยคิดอยากจะกินอะไรซ้ำ อาหารบางอย่างก็รู้สึกว่าอร่อยนะ แต่ก็อร่อยแค่ครั้งนั้น แต่ถึงขนาดให้ตะกายไปหามากินใหม่ก็ไม่ไป แต่โยมบางคนเป็นตายอย่างไรก็ต้องไปกินให้ได้ เคยขึ้นรถยนต์โยมบางคน เขามีแต่แผนที่ร้านเชลล์ชวนชิม แสดงว่าไปทุกที่ ตรงไหนว่าอร่อยเขาไปทั้งนั้น

เราจะเห็นว่า ในเรื่องของกิเลสแต่ละคนแพ้ไม่เหมือนกัน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ เป็นกิเลสที่ดึงร้อยรัดเราให้ติดอยู่กับวัฏสงสาร แต่ละคนแพ้ไม่เท่ากัน คนแพ้รูปก็ทำสถิติสะสมอีหนูไปเถอะ คนแพ้รสเห็นว่ามีอาหารที่ไหนอร่อยต้องไปที่นั่น ต่อให้ป่วยเป็นเบาหวานก็จะไป หมอห้ามแค่ไหนก็จะกิน

ส่วนใหญ่อาตมาลองครั้งเดียวก็เลิก ไม่มีอะไรให้ประทับใจกับเรื่องพวกนี้ โดยเฉพาะพิซซ่า ในชีวิตนี้ได้ฉันพิซซ่าอร่อยครั้งเดียวที่กุฏิหลวงปู่มหาอำพัน เพราะมีน้ำปลาพริกอยู่ถ้วยหนึ่ง อาตมาเทราดลงไปหมดเลย หลังจากนั้นก็ไม่เคยฉันพิซซ่าที่ไหนอร่อยอีก"

เถรี 19-02-2011 12:34

"ในชีวิตแทบจะไม่เคยปรุงเครื่องปรุงรส เหตุที่ไม่เติมก็เพราะว่า ถ้าเติมแล้วอร่อยแปลว่าเป็นฝีมือเราทำเอง ถ้าอาหารอร่อยต้องอร่อยเพราะฝีมือคนทำ แต่ถ้าเติมแล้วอร่อยก็เป็นเพราะเราทำเอง จึงเคยชินกับการฉันที่ไม่ต้องเติม

มาระยะหลัง ๆ อาหารไทยเสียรสชาติหมด เด็ก ๆ ก็เสียลิ้น เพราะรสชาติออกหวานไปหมด ขนาดแกงส้มก็หวาน น้ำพริกก็หวาน ชิมแล้วหมดอารมณ์ ปกติอาหารไทยของเราจะมีของหวานตามหลังอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น..อาหารไทยจึงไม่ใช่อาหารรสหวาน นอกจากบางชนิดอย่างขนมจีนน้ำพริกหรือแกงบอน จะมีหวานนำนิดหน่อย

ถ้าใครบอกว่าอาหารชาววังรสหวาน อย่าไปเชื่อเชียว ชาววังลิ้นท่านประณีตกว่าเราเยอะ เปรี้ยวหวานมันเค็มของท่านจะครบรสกว่าเรา เพราะมีเวลาในการประดิษฐ์ประดอยมากกว่า แต่เขาไปลือว่ากินหวานเป็นต้นตำรับชาววัง เสียหายไปหลายแสน อาตมาเคยวิ่งเล่นในวัง ไม่เห็นเป็นอย่างนี้เลย"

ถาม : เรื่องอาหารทำให้คนติดได้ง่าย พระพุทธเจ้าจึงให้คนพุทธจริตพิจารณากองนี้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่าคนนั้นแพ้อะไร รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ เป็นต้น คนที่ติดเรื่องกลิ่นเราจะเห็นว่า น้ำหอมแพงแค่ไหนเขาก็สะสม ขวดเท่านิ้วก้อยราคาเกือบหมื่นก็ซื้อมาสะสมเพราะชอบกลิ่น พอถึงเวลาบริษัทมีชื่อเสียงผลิตน้ำหอมกลิ่นใหม่ เป็นตายเขาก็ต้องไปลองให้ได้

เถรี 19-02-2011 12:41

สุนทรภู่บอกว่า อันรูปรสกลิ่นเสียงเคียงสัมผัส เกิดกำหนัดลุ่มหลงในสงสาร ก็แปลว่า เวียนตายเวียนเกิดกันไม่รู้จบ ในพระอภัยมณีมีอะไรดี ๆ เยอะเลย เพียงแต่ว่าเราจะสังเคราะห์ออกมาได้หรือเปล่า ? หรือคนอ่านจะมีกำลังใจเข้าถึงได้แค่ไหน ? ไม่อย่างนั้นจะติดแค่อรรถรสหรือเนื้อหาเฉย ๆ ไม่ได้ดูถึงหลักธรรมหรือข้อคิดสอนใจที่แฝงเอาไว้

ในเพลงปี่ว่าสามพี่พราหมณ์เอ๋ย.......ยังไม่เคยชมชิดพิสมัย
ถึงร้อยรสบุปผาสุมาลัย....................จะชื่นใจเหมือนสตรีไม่มีเลย


พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสใด ก็สู้เพศตรงข้ามไม่ได้


พระจันทรสว่างกลางโพยม..................ไม่เทียมโฉมนางงามพี่พราหมณ์เอ๋ย
แม้นได้แก้วแล้วจะค่อยประคองเคย.........ถนอมเชยชมโฉมประโลมลาน

เจ้าพราหมณ์ฟังวังเวงในเพลงปี่..............ป่วนฤดีเสนาะในฤทัยหวาน
หวั่นประหวัดสตรีฤดีดาล....................ก็ซาบซ่านเสียวสดับจนหลับไป

เถรี 20-02-2011 01:08

พระอาจารย์กล่าวว่า "อยากจะให้ไปหาหนังสือของหลวงปู่หล้า วัดภูจ้อก้อ เล่มที่เขาถ่ายสำเนาลายมือหลวงปู่ลงไปทั้งเล่ม ลองไปอ่านดู ท่านเขียนเป็นเล่ม ๆ ลายมือแทบจะไม่เพี้ยนเลย แสดงออกว่าท่านสมาธิดีมาก คนที่สมาธิดี จดจ่อกับงานตรงหน้า ลายมือจะบอกได้ชัด

หลวงปู่หล้าท่านเขียนด้วยมือเป็นเล่ม ๆ ลองไปหาดูว่าจะหาได้ไหม ? ถ้าอาตมามีเวลาว่าง จะถ่ายสำเนาสมุดจดงานตอนเรียนให้ดู เคยเอาให้เด็ก ๆ ดู เด็กเขาบอกว่า "หลวงพ่อ..นี่ไม่ใช่สมุดจดงาน นี่เป็นสมุดคัดลายมือ..!" อาศัยว่าความจำแม่น เวลาอาจารย์พูด อาตมาเรียบเรียงอยู่ในหัวหมดแล้ว เวลาเขียนจึงไม่ต้องรีบเขียน ทำให้เขียนแล้วอ่านง่าย"

เถรี 20-02-2011 01:14

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "มีอยู่ปีหนึ่งที่เกาะพระฤๅษี พระและโยมกำลังทำวัตรเช้ากันในโบสถ์ อยู่ ๆ มีเสียงครืน..! โบสถ์ไหวทั้งหลัง อาตมาก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ? จึงกำหนดใจดู เห็นเทวดาองค์เบ้อเริ่ม ๘ องค์ จึงถามว่า "มาทำอะไรกัน ?"

ท่านตอบว่า "เอาของมาฝากหน่อยครับ"
"ของ ๆ คุณเป็นอะไร ?"
"ทองไม่กี่ตันครับ" เทวดาเอาทองมายัดไว้ใต้โบสถ์

"ห้ามฝากเปล่า ๆ ต้องคิดดอกเบี้ยค่าฝากด้วย"
"คิดอย่างไร ?"
"ช่วยหาเงินให้อาตมาสร้างวัดด้วย"

อาตมาก็สบาย ท่านเองงานก็เบาลง ไม่ต้องระมัดระวังคอยเฝ้า เพราะทองอยู่ใต้โบสถ์ไปแล้ว เหลืออยู่อย่างเดียว คือ ไปไล่ต้อนคนให้เข้าวัดมาทำบุญเท่านั้น"

เถรี 20-02-2011 01:21

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องการฟังเพลงว่า "เรื่องของการฟังเพลง ถ้าขาดสติก็จะไหลตามเพลงไป แล้วก็จะเกิดจิตสังขารปรุงแต่ง กลายเป็นรักชอบไปโดยปริยาย

มีอยู่สมัยหนึ่งอาตมาเปิดเพลงทั้งวัน ฟังแล้วไม่ปรุงตามไป พยายามที่จะอยู่กับปัจจุบันธรรมตรงหน้า จนกระทั่งบรรดาพี่ ๆ ที่วัดท่าซุงคาดว่า "ไอ้เล็กตายแน่..เปิดเพลงหน้าห้องหลวงพ่อ..!" เพราะอาตมาเฝ้าเวรอยู่หน้าห้องท่าน เปิดเพลงฟังไปด้วย แต่หลวงพ่อไม่ดุสักคำ จนกระทั่งพระรูปอื่นท่านว่าอาตมาเป็นเด็กเส้น

แต่ความจริงไม่ใช่ หลวงพ่อท่านรู้ว่าอาตมากำลังทำอะไร พอรู้ว่าเราสู้เพลงนี้ไม่ได้ อาตมาก็เปิดฟังจนกว่าจะสู้ได้ เปิดฟังแล้วก็ภาวนาสู้ แต่ด้วยความเคยชินมาก่อน ภาวนาไปได้สักพักก็เผลอไปกับเนื้อเพลงแล้ว"

เถรี 20-02-2011 01:29

"ถ้าใครเคยอ่านเรื่องแม่สานเมืองลับแล ตลอดเวลาที่อาตมาอยู่ในป่าห้าวันห้าคืน ใจสงบนิ่งเองจนไม่ต้องภาวนา เพราะรู้ว่าในป่ามีอันตรายมาก เราจะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ กำลังใจก็ทรงตัวเองโดยอัตโนมัติ

พอตอนเดินทางออกจากป่า อาตมาจำทางได้ว่า เหลือระยะทางอีกไม่เท่าไรก็จะถึงหมู่บ้านแล้ว จิตคลายออกตอนไหนก็ไม่รู้ แทนที่จะอยู่กับการภาวนา อยู่กับความสงบ อยู่กับการนิ่งที่เป็นอุเบกขารมณ์ ก็ไปเที่ยวดูฟ้าดูดิน

บรรยากาศตอนนั้นเป็นป่าดงดิบทึบมาก มีไอความชื้นอยู่มากเหมือนเมฆเหมือนหมอก แดดส่องลงมามากไม่ได้เพราะต้นไม้บังหมด ก็ส่องลงมาเป็นลำ ๆ ตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อย พอเห็นภาพนั้น เพลงก็ขึ้นมาในใจเองเลย "ดวงตะวันลับทิวแมกไม้ ใจพี่ก็หาย หายลับไปกับตะวัน.." แทนที่จะภาวนากลายเป็นร้องเพลงไปเสียนี่

ไม่รู้ท่านใดจ้องไว้แล้ว คงจะรอจังหวะอยู่ ถีบตูมเดียว..! ตกลงไปในลำธารเลย เปียกตั้งแต่หัวถึงเท้า แล้วเดือนพฤศจิกายนหนาวจะตายชัก เดินสั่นออกมาด้วยความหนาว กว่าจะตากผ้าแห้งได้ก็เป็นชั่วโมง สมน้ำหน้าตัวเองจริง ๆ..!"

เถรี 20-02-2011 01:37

"ถ้าหากเราแพ้รูป แพ้รส แพ้กลิ่น แพ้เสียง แพ้สัมผัส ตัวไหนก็ตาม ต้องพยายามสู้จนกว่าจะเอาชนะให้ได้ แต่การที่เราจะสู้จนชนะได้ บางอย่างก็อันตรายเกินไป อย่างเราแพ้รูปจะสู้ให้ชนะก็แปลว่า เราต้องไปประจัญกับเพศตรงข้าม ซึ่งไม่รู้ว่าแพ้กันมากี่แสนชาติแล้ว โอกาสที่จะไปลุ้นแทบจะไม่มีเลย เพราะฉะนั้น..เลี่ยงได้ก็เลี่ยงไปก่อน คนไหนที่พอคิดว่าสู้แล้วไม่อันตรายมาก ค่อยไปทดลองดู

อย่างตอนนั้นอาตมาแพ้เสียงคุณวงจันทร์ ไพโรจน์ ก็เอามาเปิดฟัง แพ้เสียงคุณลัดดา ประวัติวงศ์ ก็เอามาเปิดฟัง ตอนหลังมีคุณสุนทรี เวชานนท์เพิ่มมาอีกคน ตายละวา...นึกว่ารอดแล้ว ยังมีโผล่มาอีก

ฟังจนใจไม่ไหลตามเพลงได้ บางทีก็นั่งร้องเพลงเองเลย ร้องเพลงแล้วสังเกตใจว่าไหลตามเพลงไปหรือไม่ ? มีอารมณ์คล้อยตามไปหรือไม่ ? ยังคิดยังชอบ ยังจินตนาการปรุงแต่งตามเพลงไปเรื่อยหรือเปล่า ? จนกระทั่งมั่นใจว่าสู้ได้แล้วแน่ ๆ อาตมาจึงได้เลิกฟัง

เรื่องพวกนี้บางทีขึ้นอยู่กับการฝึกหัดของพวกเราเอง เพราะความอยากดีจริง ๆ ในเมื่อเราแพ้สิ่งนี้เราก็ต้องชนะให้ได้ นี่เป็นมานะอย่างหนึ่งเหมือนกัน แต่เป็นมานะในด้านที่ดี เป็นความพอใจในการปฏิบัติธรรม เราต้องสู้ให้ได้ ถ้ายังสู้ไม่ได้ ไม่เลิกเด็ดขาด"

เถรี 20-02-2011 01:39

ถาม : ฟังเพลงบางทีเหมือนกับเป็นสมาธิ ฟังวนอยู่เพลงเดียว
ตอบ : เป็นสมาธิเหมือนกัน แต่เป็นมิจฉาสมาธิ คือไปทำให้เรายึดติดและปรุงแต่ง

สมาธิ มีทั้งสัมมาสมาธิ (สมาธิในทางถูกต้อง) สามารถลด ละ เลิก ในนิวรณ์ โดยเฉพาะกามนิวรณ์ได้ และมิจฉาสมาธิ สร้างสมาธิเกิดขึ้นมาจากกิเลสเหล่านี้

เถรี 20-02-2011 01:40

:msn_smilies-22: เก็บตกเดือนนี้หมดแล้วค่ะ :msn_smilies-22:


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 13:53


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว