![]() |
ถาม : ขออีกครั้ง
ตอบ : ถ้าเป็นศาลพระภูมิเสาเดียว ให้อยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้าน แต่ถ้าเป็นศาลสี่เสาให้อยู่ทิศใต้หรือทิศตะวันตก ให้เอาทิศของตัวบ้านเป็นหลัก ถาม : เอาศาลที่สูงหรือเตี้ย ? ตอบ : ปกติศาลพระภูมิ เขาเรียก ศาลเพียงตา อยู่เท่าระดับสายตาของเจ้าของบ้าน แต่ถ้าเป็นศาลสี่เสาหรืออากาศเทวดาหรือปุ่นเถ่ากง เราจะสร้างสูงต่ำแค่ไหนก็อยู่ที่เรา ถาม : ศาลพระภูมิเจ้าที่ ไม่จำเป็นว่าหน้าต้องหันไปทางไหน ? ตอบ: ถ้าถามซ้ำอีกหนจะมีรางวัลให้..! หันทางไหนก็ได้จ้ะ ทิศที่ดีที่สุดสำหรับพระภูมิเจ้าที่ คือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้าน ถ้าไม่มีให้ใช้ทิศเหนือหรือทิศตะวันออก ใช้ได้แค่สามทิศเท่านั้น ถ้าไปใช้ทิศอื่น ผิดทิศผิดทางขึ้นมา อาจจะไม่รุ่งเรืองอย่างที่ต้องการ ถาม : ไม่จำเป็นต้องหันหน้าออกจากบ้านใช่ไหมคะ ? ตอบ : ดูท่าอยากจะได้รางวัลจริง ๆ..! หันหน้าด้านไหนก็ได้ที่เราบูชาถนัด แต่ส่วนใหญ่คนจะไม่เข้าใจ พอเราบอกทิศ เขาก็ไปหันหน้าศาลไปทิศนั้น กลายเป็นตั้งศาลผิดทิศ และไม่ต้องไปฟังปากหอยปากปูด้วยนะ ว่าอย่างนั้นไม่ถูกอย่างนี้ไม่ถูก เขาเข้าใจผิด เขาจึงว่าของเราไม่ถูก ถาม : เรื่องวันที่ตั้งศาล ? ตอบ : ส่วนใหญ่ใช้วันพฤหัส เดือนคู่ อย่างเดือนยี่ เดือนสี่ เดือนหก เดือนแปด เดือนไทยนะ ได้ข้างขึ้นยิ่งดี ถ้าเป็นเดือนแปดข้างแรมกับเดือนสิบข้างแรมเขาไม่นิยมกัน เขาถือว่าเป็นช่วงเข้าพรรษา ของอย่างนี้ถ้ารู้ก็ทำเอง จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปหาใครมาช่วย... |
ถาม : ตอนนี้มีงานเข้ามาเยอะมาก หนูอยากรู้ว่านั่นเป็นงานจริง ๆ หรือแค่เข้ามาแล้วผ่านไป ?
ตอบ : อยู่ที่เราตกลงจะทำหรือไม่ ? ถ้าเราตกลงที่จะทำก็เป็นของจริง ถ้าไม่ตกลงที่จะทำก็แค่ผ่านไปเฉย ๆ ถาม : ถ้าเราตกลงทุกเรื่อง จะไปรอดทุกเรื่องหรือไม่คะ ? ตอบ : จะให้ทุกอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ได้อย่างไรละจ๊ะ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่อยากจะเตือนก็คือว่า ถ้าทุ่มเทด้วยตัวเองได้ก็จะดีที่สุด อย่าไว้วางใจคนอื่น เพราะคนอื่นเขาไม่มีสำนึกความเป็นเจ้าของ เขาจะสักแต่ทำให้ได้วันหนึ่ง ๆ เท่านั้น แต่ถ้าเป็นของเรา เรามีสำนึกความเป็นเจ้าของ เราทุ่มเทเต็มที่ ผลที่จะได้จะมีมากกว่า เพราะฉะนั้น..ยอมเหนื่อยหน่อยจ้ะ จนกว่าจะได้คนที่ไว้วางใจได้จริง ๆ แล้วค่อยผ่องถ่ายให้เขาแบ่งเบาภาระไป ถาม : เราจะได้พาร์ทเนอร์จากเยอรมันมาใหม่ เขาจะอยู่กับเราได้หรือไม่คะ ? ตอบ : ไม่อยากจะคบกับพวกต่างประเทศสักเท่าไร โดยเฉพาะฝรั่ง บางคนก็ดี บางคนก็ตั้งหน้าตั้งตามากอบโกยจากเราอย่างเดียว แต่เราใช้ความจริงใจเข้าว่า และทำหนังสือสัญญาให้ถูกต้องตามกฎหมาย มีอะไรให้ปรึกษาทนาย ทำสัญญาก่อนแล้วจะดีเอง |
ถาม : มีเรื่องทางคดีความกับฝรั่ง เดือนนี้เราสามารถจบได้หรือไม่คะ ?
ตอบ : เออ..เรื่องอย่างนี้ยังอุตส่าห์ถาม อาตมาไม่ใช่ผู้พิพากษาโว้ย..! ขึ้นอยู่กับเราว่าจะประนีประนอมกันได้หรือไม่ ? หรือศาลเขามีคำสั่งอย่างไร ? เอาอย่างนี้..ไปบนเสด็จในกรมหลวงชุมพรจะดีกว่า... เครื่องบนเสด็จในกรมหลวงชุมพร ๑) ใช้หัวหมูต้ม ๑ หัว ถ้าหาหัวหมูไม่ได้ ให้เป็นหมูชิ้น ๑ ชิ้น จะเป็นเนื้อสัน เนื้อสามชั้นอะไรก็ได้ แต่ต้องหนักไม่ต่ำกว่าครึ่งกิโลกรัม ๒) ไก่ต้ม ๑ ตัว ๓) ข้าวปากหม้อ ๑ ถ้วย คือ ข้าวที่หุงแล้วเราตักขึ้นมาก่อน ๔) ทองหยิบ ฝอยทอง จำนวนเท่าไรแล้วแต่เราชอบ ๕) ขนมจีนน้ำพริก น้ำยาก็ไม่เอา ซาวน้ำก็ไม่เอา น้ำเงี้ยวก็ไม่เอา เอาขนมจีนน้ำพริกอย่างเดียวเลย ของทั้งหมดให้วางบนผ้าขาวที่ปู ตั้งโต๊ะอยู่กลางแจ้ง ถาม : ต้องไปตั้งโต๊ะต่อหน้าท่านหรือไม่คะ ? ตอบ : ไม่ต้อง ที่ไหนก็ได้ที่เป็นกลางแจ้ง เวลาบน ถ้าเป็นช่วงเช้าคือ ๗ โมง ๕๐ นาที ต้องตรงต่อเวลานะ เพราะฉะนั้น..เราต้องเตรียมของให้เรียบร้อย พอเวลา ๗ โมง ๕๐ นาที ให้จุดธูปบอกท่าน ถาม : อธิษฐานว่าอย่างไร ? ตอบ : อธิษฐานขอว่าจะให้เรื่องนี้ลงเอยอย่างไร จะให้เขาเรียกเราจนหมดเนื้อหมดตัว หรือจะให้เราชนะคดีโดยสะดวกง่ายดาย ก็ว่าไป ถ้าเรื่องทุกอย่างเป็นไปตามเราต้องการ ให้จัดของอย่างนี้ถวายท่านอีกชุดหนึ่ง แปลว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จต้องให้ท่านก่อนชุดหนึ่ง สมัยก่อนการบนมีเหล้าปนอยู่ด้วย ท่านบอกว่าไม่เอาแล้ว เป็นเทวดาผู้ใหญ่ ถ้ามีเหล้าอยู่ด้วย เดี๋ยวจะโดนตำหนิเอา ก่อนอาตมาบวชก็อาศัยบนท่านบ่อย ๆ ช่วงนั้นซื้อของราคาไม่เคยเกินสามร้อยบาท พอลาเสร็จเราก็กินเอง พอธูปหมดเราก็ลาได้แล้ว ถาม : ถ้าขายที่ดินไม่ได้ ใช้วิธีนี้ได้หรือไม่คะ ? ตอบ : ใช้วิธีนี้ก็ได้จ้ะ แต่ถ้าเสด็จในกรมฯ ท่านจะถนัดเรื่องตามคนหายหรือคดีความมากกว่า |
ถาม : จะขายที่ค่ะ
ตอบ : ไปจุดธูปบอกกับเจ้าที่ตรงนั้นเลยจ้ะ บอกว่าถ้าขายได้เราจะถวายสังฆทานหรือเลี้ยงพระให้สัก ๙ องค์ ก็ว่าไป ถาม : จุดธูปกลางแจ้งหรือคะ ? ตอบ : กลางแจ้งตรงนั้นเลยจ้ะ บนที่ดินของเรา บอกเจ้าที่ที่อยู่ตรงนั้น ไม่ว่าท่านจะเป็นอากาศเทวดา รุกขเทวดา หรือภุมมเทวดาก็ตาม ข้าพเจ้าต้องการจะขายที่ผืนนี้ ขอให้ช่วยสงเคราะห์ให้สำเร็จโดยง่ายด้วย แล้วเราจะทำบุญอะไรให้ท่านก็ว่าไป ถาม : ต้องนำอะไรไปบูชา ? ตอบ : ไม่ต้องหรอกจ้ะ เอาธูปไปกำใหญ่ ๆ ก็พอ ถาม : กำใหญ่แค่ไหน ? ตอบ : ส่วนใหญ่เห็นเขาจุดกัน ๑๖ ดอก |
ถาม : คลอดลูกแล้ว แต่ยังไม่มีน้ำนมให้ลูกเลย
ตอบ : โบราณเขาให้กินของร้อน โดยเฉพาะพวกแกงเลียงแต่ให้ใส่พริกไทยเยอะหน่อย ถาม : ได้ผลจริงใช่ไหมคะ ? ตอบ : ถ้าไม่ได้ผลก็ให้กินนมขวดไปก่อน ถ้าเป็นคนจีนเขาจะตุ๋นไก่กับขิง หรือไม่ก็แกงเลียงใส่พริกไทยเยอะ ๆ เพราะร่างกายเสียเลือดมาก จะให้ไปผลิตน้ำนมมากก็ไม่ไหว จึงต้องกระตุ้นกันหน่อย คนโบราณเขาเก่ง เขาจะให้อยู่ไฟด้วย ร่างกายจะได้ฟื้นตัวเร็ว สมัยนี้เราไม่ได้อยู่ไฟ แต่ไม่เป็นไรหรอก..กินนมเราไม่ได้ก็ให้กินนมวัวไปก่อน |
หลังจากที่ทุกคนได้กราบขอขมาพระอาจารย์เนื่องในวาระปีใหม่แล้ว ท่านได้ให้โอวาทแก่พวกเราว่า "พวกเราทุกคนเป็นบุคคลที่โชคดีอย่างมหาศาล เพราะการที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ การเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากเป็นอย่างยิ่ง
อรรถกถาจารย์ท่านเปรียบเอาไว้ว่า เหมือนกับเอาเต่าตาบอดตัวหนึ่ง โยนไปในทะเลที่เต็มไปด้วยคลื่นลม แล้วมีแอกเล็ก ๆ ขนาดพอที่จะสวมหัวเต่าได้ทิ้งเอาไว้ในทะเลนั้นด้วย ประมาณร้อยปี เต่าตัวนั้นลอยขึ้นมาครั้งหนึ่ง..ร้อยปีลอยขึ้นมาครั้งหนึ่ง ถ้าบังเอิญหัวเต่าสวมแอกเมื่อไร ก็คือบุคคลหนึ่งที่มีโอกาสจะได้เกิดมา อย่างที่สอง พระองค์ตรัสว่า กิจฺฉํ มจฺจาน ชีวิตํ การที่จะรักษาชีวิตให้อยู่รอดมาได้ก็แสนยาก เพราะชีวิตเรามีแค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หรือว่าเกิดเป็นตัวเป็นตนแล้ว แต่ก็โดนทำแท้งไป ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ ศพ อย่างที่เป็นข่าวกัน เราจะเห็นว่า การเอาชีวิตรอดในสังคมนี้เป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง อย่างที่สาม พระองค์ท่านตรัสว่า กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ การที่จะได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าก็แสนยาก ถ้ายิ่งในตอนท้ายของพระพุทธศาสนา ขนาดขอฟังธรรมแค่ประโยคเดียว ก็ไม่มีใครสามารถที่จะบอกได้ ถ้าเกิดในช่วงที่โลกว่างพระพุทธศาสนา ไม่มีศีลไม่มีธรรมเลย ก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ และท้ายสุด สิ่งที่ลำบากที่สุด ก็คือ กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท การเกิดของพระพุทธเจ้านั้นยากที่สุด อย่างน้อยต้อง ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป กว่าที่พระองค์ท่านจะสร้างบารมีแล้วบรรลุเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" |
"แต่การบรรลุเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เราว่าพระองค์ท่านต้องสร้างบารมี ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปนั้น เป็นแค่ตอนปลายเท่านั้น ในบาลีบอกว่า จิตติตัง สัตตสังเขยยัง แค่คิดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องใช้เวลาถึง ๗ อสงไขยกัป นวสังเขยยะ วาจะกัง ออกปากว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องใช้เวลาอีก ๙ อสงไขยกัป รวมเป็น ๑๖ อสงไขยกัปแล้ว
หลังจากนั้นจึงทำกาย วาจา ใจ ทุกอย่าง สร้างบุญสร้างบารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป เป็นอย่างน้อย รวมแล้วก็ ๒๐ อสงไขยกัปเศษ ๆ เพราะฉะนั้น..ไม่ใช่แค่ ๔ อสงไขยกัปแล้วจะจบนะจ๊ะ ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าแบบศรัทธาธิกะ ก็บวกไปอีกเท่าตัว คือ ๔๐ กว่าอสงไขยกัป ถ้าเป็นแบบวิริยาธิกะ ก็บวกไปอีกเท่าตัวหนึ่งของศรัทธาธิกะ คือ ๘๐ กว่าอสงไขยกัป แค่กัปเดียวก็เกิดจนนับไม่ถ้วนแล้ว ถ้าโครงกระดูกของเราไม่เสื่อมสลาย เชื่อว่าคงท่วมจักรวาลไปนานแล้ว สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่ว่ายากเย็นแสนเข็ญทั้งหมดนี้ พวกเราทั้งหลายสามารถผ่านพ้นมาได้ เกิดมายากเราก็เกิดมาแล้ว รักษาชีวิตให้อยู่รอดได้ยาก เราก็อยู่รอดมาแล้ว การฟังธรรมหาฟังได้ยาก เราทุกคนก็ได้ฟังและปฏิบัติตามอีกด้วย การเกิดของพระพุทธเจ้าที่ว่ายาก เราก็เกิดทันพระพุทธศาสนาของพระองค์ท่าน จึงถือว่าพวกเราทั้งหมดเป็นบุคคลที่โชคดีอย่างยิ่ง ลองนึกดูว่า คนในประเทศไทย ๖๓ ล้านคนเศษ มีบุคคลที่เข้าวัดเข้าวา และปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังสักเท่าไร ? แค่เศษสามล้านคนมีถึงไหม ? เชื่อว่าไม่ถึงอย่างแน่นอน ที่เหลืออย่างดีก็แค่ใส่บาตรวันเกิดตัวเองปีละครั้ง..! นอกจากนี้ ถ้าเอาพวกเราไปเปรียบกับประชากรโลกอีกห้าพันกว่าล้านคน พวกเราจะเป็นพวกที่แปลกแยกจากสังคมจริง ๆ เป็นพวกที่เขาไม่คบแล้ว จึงได้มาอยู่รวมกันตรงนี้..!" |
"อาตมาจึงได้บอกกับพวกเราในตอนแรกว่า พวกเราเป็นผู้โชคดีอย่างยิ่ง ที่เรารู้จักและพบพระพุทธศาสนา ขณะเดียวกันก็รู้จักธรรมะ อะไรดีอะไรชั่วเราก็รู้ เพราะฉะนั้น..อย่าให้เสียทีที่เกิดมา มีโอกาสเกิดมาแล้ว รู้ว่าทานดีอย่างไร ? ศีลดีอย่างไร ? ภาวนาดีอย่างไร ? ก็ต้องพยายามทำไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เป็นการสั่งสมกำลังของเรา
เนื่องเพราะว่าวัฏสงสารนี้ ประกอบไปด้วยแรงดึงดูดอย่างมหาศาล โดยเฉพาะเรื่องของกิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรม ที่จะดึงดูดเราให้ติดอยู่ ให้ทุกข์อยู่ตลอดไป ไม่รู้จักหยุด ไม่รู้จักเบื่อเสียที ถ้าเราสั่งสมความดีไม่เพียงพอ กำลังของเราก็ไม่พอที่จะส่งให้เราหลุดพ้นไปได้ เราก็ยังต้องทุกข์อยู่ไม่รู้จบ ดังนั้น..อย่างน้อย ๆ ทุกคนต้องรักษาตนโดยการยึดหัวหาดความเป็นพระอริยเจ้าระดับโสดาบันเอาไว้ คือ ต้องมีความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย วาจา ใจ รักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดด้วยความตั้งใจของตน ยกเว้นพลั้งเผลอโดยไม่เจตนา และท้ายสุดมีความรู้ตัวอยู่เสมอว่า ชีวิตนี้ต้องตายแน่นอน ถ้าตายเราขอไปพระนิพพาน ถ้าเรายึดหัวหาดตรงนี้ไว้ อย่างเก่งเราก็เกิดอีก ๗ ชาติเท่านั้น และเกิดอยู่ในสุคติภูมิ ก็คือ ระหว่างมนุษย์กับเทวดาหรือพรหมเท่านั้น แต่ถ้าเราสามารถก้าวล่วงขึ้นไปสูงกว่านั้นได้ ก็ไม่ต้องลงมาเกิดอีก ก็คือไปอยู่ที่สุทธาวาสพรหม เป็นพระอนาคามี แต่ก็ยังมีความทุกข์อยู่ ก็คือ ต้องลำบากในการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น เพราะฉะนั้น..ถ้าเป็นไปได้ ก็ว่ากันให้จบไปในชาติเดียวเลย เห็นความไม่ดีของร่างกายนี้ เห็นความไม่ดีของโลกนี้ ในเมื่อมีความทุกข์อย่างนี้ เราขอทนอยู่แค่ชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น ขึ้นชื่อว่าการเกิดใหม่มาทุกข์อย่างนี้ จะไม่มีสำหรับเราอีก ตายเมื่อไรจบกันแค่นี้ เราขอไปอยู่พระนิพพานกับพระพุทธเจ้า อยู่กับหลวงพ่อของเรา" |
"ถ้าเราตั้งกำลังใจไว้อย่างนี้ แล้วภาวนาเอาจิตเกาะพระนิพพานไว้ให้มั่นคง เช้าสัก ๕ นาที เย็นสัก ๕ นาทีก็พอ มั่นใจว่าความดีที่เราสะสมนี้ ถ้าถึงวาระสุดท้าย สติ สมาธิ ปัญญาที่สั่งสมมา น่าจะมีกำลังเพียงพอ แต่ถ้าเรามีโอกาสก็กอบโกยให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เจอเขาทำบุญที่ไหน เล็กใหญ่แค่ไหนเราทำหมด เจอการปฏิบัติภาวนาที่ไหน เราก็ร่วมทำกับเขาทุกครั้ง
หรือในแต่ละวัน เรานึกถึงลมหายใจเข้าออกของเราครั้งหนึ่งก็ใกล้พระนิพพานไปก้าวหนึ่ง เพราะฉะนั้น..เราใช้วิธีนี้ วิธีที่เดินเข้าไปพระนิพพานด้วยลมหายใจตัวเอง หายใจเข้าออกครั้งหนึ่งเราก็เข้าใกล้พระนิพพานไปก้าวหนึ่ง หายใจเข้าออกครั้งหนึ่งเราก็เข้าใกล้พระนิพพานไปก้าวหนึ่ง โดยอาศัยพระนามของพระพุทธเจ้า คือ พุทโธก็ได้ นะมะพะธะก็ได้ สัมมาอะระหังก็ได้ เป็นเครื่องนำทางเราไปสู่พระนิพพาน หลังจากนั้น ก็พยายามใช้ปัญญาดูให้เห็นว่า สภาพร่างกายก็ดี วัตถุธาตุสิ่งของก็ดี สภาพของโลกนี้ก็ดี มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ อาศัยไม่ได้เลย เดี๋ยวก็พังหมด มีความทุกข์เป็นปกติการดำรงชีวิตอยู่ ไม่มีสักวันเลยที่มีความสุขสบายอย่างแท้จริง และท้ายที่สุด ไม่มีอะไรยึดถือเป็นตัวเป็นตนได้ สักแต่ว่าเป็นรูป สักแต่ว่าเป็นธาตุ ที่เรามาอยู่มาอาศัยตามสภาพของเวรกรรมที่สร้างมา ท้ายสุดก็เสื่อมสลายตายพังไปหมด ในเมื่อสภาพของร่างกายเป็นอย่างนี้ เราก็ขอคบแค่ชาตินี้ชาติเดียวแล้วจบกัน ถ้าตั้งใจอย่างนี้ไว้ แล้วเอาจิตสุดท้ายเกาะพระพุทธเจ้าหรือเกาะพระนิพพานเอาไว้ ทำให้เคยชินแล้วทุกคนจะไม่เสียทีที่เกิดมา เรามีโอกาสที่จะหลุดพ้น เราเป็นบุคคลจำนวนน้อยนิดที่มีโอกาสสมบูรณ์มากกว่าคนอื่นเขา จงใช้โอกาสของตนให้สมกับความโชคดีของเรา ปีใหม่นี้ก็ขอฝากเอาไว้เท่านี้" |
"เมื่อทุกคนตั้งใจมาทำสามีจิกรรม ก็ขอให้จำไว้ว่า ในเรื่องของพระรัตนตรัยก็ดี หรือตลอดจนบุคคลซึ่งก็คือพระสงฆ์ก็ดี ในความเป็นจริงแล้วไม่มีใครโกรธเกลียดพวกเรา
สิ่งที่พวกเราได้ล่วงเกินไปนั้นก่อให้เกิดเป็นกรรม ที่ทำให้เข้าสู่พระนิพพานได้ช้า การที่เราได้มาทำมาสามีจิกรรม ขอขมากรรมต่อกัน ก็คือทำให้กรรมเหล่านั้นขาดลง จะได้ไม่มาผูกมารั้ง ให้เราต้องติดอยู่ในส่วนที่ไม่พึงปรารถนาทั้งหลายเหล่านี้อีก ถือว่าเราได้ทำในสิ่งที่ดีที่สุด ถือว่ากรรมทั้งหลายเหล่านี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ก็ให้สิ้นสุดลง ให้ทุกคนตั้งใจรักษากาย วาจา และใจของเราให้ดี พยายามยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยเฉพาะในส่วนของนามธรรม ก็คือ คุณของพระพุทธเจ้าจริง ๆ คุณของพระธรรมจริง ๆ คุณของพระสงฆ์จริง ๆ เป็นหลัก อย่ายึดถือในตัวบุคคล เพราะว่าตัวบุคคลไม่ว่าจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี หลวงปู่ หลวงพ่อ ตลอดจนตัวอาตมาก็ดี ท้ายสุดก็ต้องพบกับภาวะของความเป็นจริง ก็คือเสื่อมสลายตายพังไปเช่นกัน ถ้าเราสามารถยึดคุณพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง ที่เป็นคุณความดีของพระองค์ท่านได้ นั่นจะเป็นหนทางนำเราไปสู่พระนิพพาน ในเมื่อเราได้ทำความดีทั้งหมดแล้ว ก็ขอให้ตั้งใจรับพรจากพระด้วยจ้ะ ระตะนัตตะยานุภาเวนะ......ระตะนัตตะยะเตชะสา ทุกขะโรคะภะยา เวรา.......โสกา สัตตุ จุปัททะวา อะเนกา อันตะรายาปิ.......วินัสสันตุ อะเสสะโต ชะยะสิทธิ ธะนัง ลาภัง.......โสตถิ ภาคยัง สุขัง พะลัง สิริ อายุ จะ วัณโณ จะ.......โภคัง วุฑฒี จะ ยะสะวา สะตะวัสสา จะ อายุ จะฬ.ฬชีวะสิทธี ภะวันตุ เต ฯ" |
ถาม : ศาลอากาศเทวดาเป็นอย่างไร ?
ตอบ : เป็นศาลสี่เสาขึ้นไป จะเป็นหกเสา แปดเสาก็ได้ ถาม : ที่บ้านผมมีศาลพระภูมิ แล้วเขาเรียกศาลตายาย ตอบ : ไม่ใช่หรอก ศาลตายาย คือ ศาลอากาศเทวดา แต่ให้สังเกตไว้ว่า ถ้าคุณตั้งศาลพระภูมิ แล้วมีศาลตายายตั้งอยู่ต่ำกว่า บ้านนั้นเด็กไม่ฟังผู้ใหญ่หรอก เพราะอากาศเทวดาเป็นเจ้านายของพระภูมิ แล้วเราไปตั้งศาลตายายไว้เตี้ยกว่า ถ้าเปรียบไปก็เป็นลูกน้องขี่คอเจ้านาย บ้านนั้นลูกหลานจะไม่ฟังพ่อแม่หรอก ถาม : อย่างนี้ทำอย่างไรครับ ? ตอบ : อย่างที่อาตมาเคยทำก็คือรองฐานให้สูงขึ้น ทำศาลตายายให้สูงขึ้นมา อย่างน้อยให้ฐานสูงกว่าศาลพระภูมิสักหนึ่งนิ้ว ถาม : เรื่องทิศเหมือนกันได้ ? ตอบ : ปกติแล้วจะตั้งให้ท่านเฉพาะเลย คือ ตั้งทิศใต้ ถาม : ต้องแยกตั้งศาลคนละด้าน ? ตอบ : ถ้าเราไม่มั่นใจว่าตรงนั้นเป็นอากาศเทวดาจริง ๆ ก็ไม่ต้องตั้ง ยกเว้นมั่นใจว่าเป็นท่านจริง ๆ แล้วค่อยตั้ง ถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านเป็นอากาศเทวดาจริง ๆ ? ตอบ : จุดธูปบอกท่านก็ได้ ถ้าหากท่านเป็นอากาศเทวดาช่วยมาบอกข้าพเจ้าด้วยแล้วจะตั้งศาลให้ รับประกันได้เรื่องทันที เพราะอากาศเทวดาท่านอานุภาพมากกว่าพระภูมิหลายเท่า อากาศเทวดาองค์หนึ่งท่านดูแลพระภูมิเจ้าที่เป็นสิบ ๆ องค์ |
ถาม : คนที่ไม่ได้ฌานแล้วเป็นพระอรหันต์มีไหมคะ ?
ตอบ : ไม่มีจ้ะ ท่านที่เป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ต้องได้ฌานทุกคน จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ต้องได้ ถาม : สุกขวิปัสสโกต้องได้ฌานหรือคะ ? ตอบ : ต้องได้ เพราะถ้าไม่ได้ฌาน กำลังจะไม่พอตัดกิเลส การได้ฌานของสุกขวิปัสสโก ก็คือพิจารณาไปเรื่อย ๆ แล้วจิตดิ่งลึกเป็นองค์ฌาน โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าได้ฌาน ไม่อย่างนั้นก็มีกำลังไม่พอที่จะตัดกิเลส |
ถาม : ขอกรรมฐานที่เหมาะกับตัวเอง ?
ตอบ : สิ่งที่เหมาะ คือ ลมหายใจเข้าออกควบกับพุทธานุสติ ใช้ลมหายใจเข้าออกควบกับพุทโธ นะมะพะธะ สัมมาอะระหัง แบบใดก็ได้ ถาม : ก็คือ ใช้พุทธานุสติแล้วเจริญวิปัสสนาหรือคะ ? ตอบ : ให้เราอยู่กับลมหายใจเข้าออกให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ในแต่ละวัน เมื่อสมาธิทรงตัวต่อไปไม่ไหว ก็คลายออกมาพิจารณาวิปัสสนาญาณ เมื่อพิจารณาจนจิตเหนื่อยแล้วก็ภาวนาใหม่ สลับกันไปอย่างนี้ ถ้าเราทำได้ สมาธิจะทรงตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ถึงเวลานั้นปัญญาจะเห็นเองว่า เราจะประคอง ศีล สมาธิ ปัญญา ของเราอย่างไร จึงจะเจริญก้าวหน้า สำคัญตรงที่ให้เราอยู่กับลมหายใจเข้าออก โดยไม่คิดเรื่องอื่นให้ได้ก่อน หายใจเข้าไหลตามไป..หายใจออกไหลตามมา คิดถึงเรื่องอื่นเมื่อไรกลับมาตรงนี้ ถ้าสามารถทำติดต่อได้นาน ๑๕ นาที โดยที่ไม่คิดเรื่องอื่นเลยก็สุดยอดแล้ว เมื่อภาวนาจนอารมณ์สมาธิทรงตัวแล้ว จึงค่อยคลายออกมาพิจารณาต่อ |
ถาม : ฤกษ์ขึ้น ๑ ค่ำ วันศุกร์ เป็นอย่างไร ผมไม่ทราบรายละเอียด ?
ตอบ : เป็นฤกษ์อมฤตโชค ตามตำราฤกษ์พรหมประสิทธิ์นั้นจะมี อมฤตโชค มหาสิทธิโชค และสิทธิโชค แปลว่า วันหนึ่งต้องมีฤกษ์ดี ๓ อย่างนี้ อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ถ้าเป็นวันศุกร์ ขึ้นหรือแรม ๑ ค่ำ เขาเรียก ฤกษ์อมฤตโชค ถ้าเป็นวันศุกร์ ขึ้นหรือแรม ๑๐ ค่ำ เป็นมหาสิทธิโชค ถ้าเป็นวันศุกร์ ขึ้นหรือแรม ๑๑ ค่ำ เป็นฤกษ์สิทธิโชค ถ้าเป็นวันเสาร์ ขึ้นหรือแรม ๕ ค่ำ เป็นอมฤตโชค ถ้าเป็นวันเสาร์ ขึ้นหรือแรม ๑๕ ค่ำ เป็นมหาสิทธิโชค ถ้าเป็นวันเสาร์ ขึ้นหรือแรม ๔ ค่ำ ก็เป็นสิทธิโชค จะเป็นอย่างนี้ทุกวัน เพียงแต่ว่าจะตรงหรือไม่ตรงเท่านั้น ก่อนหน้านี้หลวงพ่อท่านบอกพวกเรา แต่ท่านบอกไว้น้อยเพราะท่านอยากให้ลูก ๆ ไปค้นคว้าต่อ แต่ลูกก็ซื่อเหลือเกิน พ่อให้แค่ไหนลูกก็ใช้แค่นั้น..! เพราะฉะนั้น..เราจะเห็นว่าฤกษ์ของวัดท่าซุง วันอาทิตย์จะมี ๘ ค่ำ วันเดียว แต่ความจริง ก็คือ วันอาทิตย์ ๘ ค่ำ เป็นอมฤตโชค วันอาทิตย์ ๑๔ ค่ำ เป็นมหาสิทธิโชค วันอาทิตย์ ๑๑ ค่ำ เป็นสิทธิโชค หลวงพ่อท่านได้มาแค่สองวัน แล้วท่านไปค้นคว้าจนได้ครบทั้ง ๗ วัน ท่านบอกว่า ท่านค้นทั้งหอสมุดแห่งชาติเลย คราวนี้ท่านอยากให้ลูก ๆ เอานิสัยนี้ไปใช้บ้าง ก็ไม่มีใครใช้ ตอนแรกอาตมาเองก็ไม่คิดจะค้น แต่มาสงสัยที่ท่านบอกว่า วันเสาร์ห้าห้ามทำการมงคลอื่น ๆ ยกเว้นการพุทธาภิเษก แล้วคนที่เขามีวันลาภ วันชัย ตกวันเสาร์ก็ไม่ต้องทำมาหากินพอดีสิ ? เกิดความสงสัยจึงไปค้น พอไปค้นปรากฏว่ามีอีกสองวัน เพราะฉะนั้น..วันเสาร์ที่เป็นอมฤตโชคเราก็ไม่ใช้ ไปใช้มหาสิทธิโชค หรือสิทธิโชคแทน ดังนั้น..หัดสงสัยบ้าง แต่ก็อย่างว่า บางทีรู้มากก็ยากนาน..! |
ถาม : ฤกษ์พวกนี้ทำอะไรดีบ้างครับ ?
ตอบ : การมงคลทุกประเภท ฤกษ์พรหมประสิทธิ์นี้ดีตรงที่ไม่จำกัดเวลา เช่น ไม่จำกัดว่าต้องเป็นเวลา ๙.๐๙ น. ได้ฤกษ์ตั้งแต่ตะวันขึ้นจนตะวันตกดินเลย หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านชอบเพราะเป็นฤกษ์สะดวก ถาม : อย่างจะลงทุนเกี่ยวกับอาชีพค้าขาย? ตอบ : ให้เลือกฤกษ์อะไรก็ได้ที่ไม่ตรงกับวันศุกร์ คุณจะใช้ฤกษ์อมฤตโชค มหาสิทธิโชค หรือสิทธิโชคก็ได้ แต่อย่าเอาวันศุกร์ ถ้าเปิดกิจการให้เว้นวันศุกร์ ถ้าขึ้นบ้านใหม่ให้เว้นวันอาทิตย์ ถ้าแต่งงานเว้นวันพฤหัสบดีกับวันเสาร์ ถ้าแต่งงานวันพฤหัสบดีจะเลิกกันเร็ว ถ้าแต่งวันเสาร์ก็ทะเลาะกันทั้งชาติ สาเหตุที่หลวงพ่อท่านให้เว้น เพราะท่านเจอเหตุการณ์พวกนี้มาจนเข็ดแล้ว เราไม่ต้องไปทดสอบเองหรอก |
ถาม : เบียร์ที่เขาสกัดเอาแอลกอฮอล์ออก เรากินถือว่าผิดศีลหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่มีแอลกอฮอล์ไม่ทำให้เมา แต่คุณต้องดูเจตนาด้วย เจตนาเรายังอยากกินเบียร์อยู่ใช่ไหม ? ถ้าไม่อยากกินจะไปกินทำไม ? เบียร์เป็นเมรัยจ้ะ สุรา คือ สิ่งที่กลั่นขึ้นมาประกอบด้วยแอลกอฮอล์ เมรัย คือ สิ่งที่หมักดองประกอบด้วยแอลกอฮอล์ พวกเบียร์ ไวน์ จัดอยู่ในพวกนี้หมด แล้วเรามั่นใจหรือว่า เขาจะสกัดแอลกอฮอล์ออกจากเบียร์หมดร้อยเปอร์เซ็นต์ ? |
ถาม : คำว่า ตถาคตแปลว่าอะไรครับ?
ตอบ : แปลว่า ผู้ยังความเป็นไปด้วยตนเอง พูดง่าย ๆ ก็คือ บรรลุเอง |
ถาม : ถ้าอยู่กับปัจจุบันแล้วคิดถึงอนาคต จะเป็นการส่งจิตออกนอกหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าจะคิด ต้องคิดโดยการใส่สติไว้เฉพาะหน้า คิดเสร็จแล้วหยุดให้เป็น ไม่อย่างนั้นจะฟุ้งซ่าน ต้องหมั่นซ้อมบ่อย ๆ ซ้อมตรงที่ว่า เราจะคิดเรื่องอะไร เราจะเอาเฉพาะเรื่องนั้น โดยการเอาสติคุมไปตลอด พอจบเรื่องนั้น เราต้องตัดเข้าหาการภาวนาทันที |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เต้ย (คุณสุรจิตร) เขาเป็นคนที่ดีอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ โดนด่าเท่าไรก็ไม่ยุบ กำลังใจอย่างนี้ ถ้ารู้จักปรับปรุงตัวเองมีสิทธิ์บรรลุธรรมได้มาก ปกติคนอื่นโดนด่าไปทีหนึ่งจะเฉาไปนาน แต่นี่เต้ยโดนเท่าไรก็ไม่ยุบ เป็นผักบุ้งสู้น้ำร้อน โดนเท่าไรไม่เหี่ยวเสียที"
ถาม : แล้วต้องตั้งกำลังใจอย่างไรครับ ? ตอบ : เราต้องนึกเสมอว่า กาย วาจา ใจที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราต้องทำกาย วาจา ใจ เหล่านั้นให้ได้ นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่พระต้องพิจารณาและนำไปปฏิบัติ ในเมื่อเราเป็นพระโยคาวจร เราก็ต้องพิจารณาและทำอย่างนี้ด้วย อะไรที่ไม่ดี ไม่เหมาะ ไม่ควรแก่กาละเทศะ ก็พยายามแก้ไข ถาม : ทำอย่างไรจึงจะรู้ตัว ? ตอบ : เป็นเรื่องยาก การจะรู้ตัวต้องเคี่ยวเข็ญกันขนาดหนัก มีอยู่วันหนึ่ง หลวงพ่อเรียกหาอาตมา พออาตมาเข้าไปถึง อยู่ ๆ ท่านด่าอาตมาเฉยเลย ส่วนเราก็ "ครับ ๆ" เดินขาขวิดออกมาข้างนอก "กูทำอะไรผิดวะ ?" พยายามนึกทวนวันนี้ เมื่อวาน เมื่อวานซืน ก็ไม่มีอะไรผิดนี่หว่า จนกระทั่งท้ายสุดไม่รู้จะสรุปว่าอย่างไร ก็สรุปว่า "มึงผิดมาตั้งแต่เกิดแล้ว ถ้าไม่เกิดมาก็ไม่โดนหรอก..!" พอคิดสรุปเสร็จหลวงพี่อนันต์ท่านโทรมาพอดี "เฮ้ย..เล็ก เมื่อตอนเพลที่หลวงพ่อด่า หลวงพ่อบอกว่า ท่านย่าสั่งให้ด่า ท่านบอกว่าไอ้นี่รู้ตัวเร็ว ถ้าด่าไปมันจะระวังตัว คนที่จ้องเล่นงาน ก็จะเล่นมันไม่ได้" ฉะนั้น..การรู้ตัว เราต้องพิจารณาบ่อย ๆ และไม่คิดเข้าข้างตัวเอง ดูตัวเองอยู่เสมอ อัตตนา โจทยัตตานัง ต้องกล่าวโทษโจทย์ตัวเองอยู่เสมอ ๆ ว่า เรายังมีความดีไม่เพียงพอที่จะไปนิพพาน ต้องตะเกียกตะกายให้มากกว่านี้ |
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ตอนพุทธาภิเษกพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน หลวงปู่ทับท่านมา อาตมาก็เข้าไปกราบท่าน ถามว่าท่านเป็นใคร ? มาจากไหน ? ท่านบอกว่า "ข้าชื่อทับ" อาตมาก็ร้องออกไปว่า "อ๋อ..หลวงปู่ทับ วัดทอง" โดนเลยท่านด่ามา "มีแต่ไอ้ท่านวัดทอง ดังอยู่คนเดียวหรือไงวะ..!"
ไล่ไปไล่มา จึงนึกได้ว่าเป็นหลวงปู่ทับ วัดอนงคาราม มิน่าเล่า..ท่านถึงมา เพราะสายการปฏิบัติของเราเนื่องกับวัดอนงคาราม หลวงพ่อฤๅษีท่านถือว่าเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม พุทฺธสรมหาเถร) วัดอนงคาราม ตอนที่อาตมาไปปฏิบัติธรรม มีอยู่วันหนึ่งหลวงปู่ทับท่านก็โผล่มาอีก ด้วยความเคยชินอาตมาก็หลุดปากไปว่า "หลวงปู่วัดทอง" ท่านก็ด่าโขมงโฉงเฉง "ไอ้ฉิบ_าย..จนป่านนี้ยังจำกูไม่ได้อีก มีแต่ไอ้ท่านวัดทององค์เดียวหรือไงวะที่มันดัง..!" เจอเข้าไปเต็ม ๆ อีกรอบ มีอีกหลวงปู่ทับหนึ่งองค์นะที่มาตอนนั้น อาตมากำลังก้มกราบพระ พอกราบลงไปที่พื้น เหมือนกับว่าพื้นกลายเป็นกระจก ท่านปรากฏขึ้นชัด ๆ เลย ความรู้สึกบอกว่าเป็น หลวงปู่สมเด็จพระวันรัตน์ (ทับ พุทฺธสิริมหาเถร) วัดโสมนัสราชวรวิหาร แล้วท่านก็หายวับไปเลย อาตมาก็มานึกว่า "เราตาลายไปหรือเปล่า ?" พอมานึกว่าอย่างนี้ ท่านก็โผล่มาอีกแวบหนึ่ง ยืนยันว่าท่านมาจริง ๆ แล้วท่านก็ไปอีก ตกลงว่ากราบไม่ทันทั้งสองครั้ง มาเร็วไปเร็วจริง ๆ บ้านเรามีหลวงปู่ชื่อ"ทับ" ที่มีชื่อเสียงมีอยู่หลายองค์ แต่ยืนยันว่า หลวงปู่ทับ วัดอนงคารามท่านเด็ดจริง ๆ ด่าโขมงโฉงเฉงเลย ไม่ใช่อะไรหรอก..ท่านอยู่ในลักษณะเป็นกันเอง เป็นผู้ใหญ่ใจดี ลักษณะอย่างนี้ ถ้ามาเป็นปู่ย่าตายายแบบนี้เราตื๊อไปเถอะ มีเท่าไรท่านให้หมดตัว ร้ายแต่ปากเท่านั้นแหละ" |
ถาม : เราไปกินข้าวในวัด หลังจากพระฉันแล้วเรากินได้ แต่ถ้าในกรณีที่เรานิมนต์พระไปข้างนอก ถ้าเรากินหลังจากที่พระฉันแล้ว จะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหลังจากพระฉันแล้ว เขาเรียก วิทาสาโท เป็นของเหลือจากพระฉันแล้ว เรามีสิทธิ์ที่จะกินได้ แต่เขามีกติกาว่าไม่ควรขนกลับบ้าน คือ เอาแค่อิ่มไว้ก็พอ ถาม : แล้วถ้าพระทั้งหมดอนุญาต ? ตอบ : ถ้าทั้งหมดมีความเห็นร่วมกัน เราก็ขนกลับไปเถอะ เรียกว่าพระท่านทำอปโลกน์ไว้ก่อน อปโลกน์ คือ ขออนุญาตในท่ามกลางสงฆ์ |
ถาม : อารมณ์สักแต่ว่า จะปนกับอารมณ์พรหมวิหารสี่หรือเปล่าคะ ? ดูเหมือนเป็นอารมณ์เดียวกันเลย ?
ตอบ : ถ้าเป็นพรหมวิหารสี่ จะเป็นส่วนของอุเบกขาพรหมวิหาร เพียงแต่เราจะสักแต่ว่าได้เท่าไร ? ถ้าสักแต่ว่าได้มาก ก้าวจนถึงสังขารุเปกขาญาณก็สบายเลย ถ้าไม่อย่างนั้นถึงเวลาก็ยังกำเริบใหม่อีก |
ถาม : กำลังใจเป็นสิ่งที่บังคับได้ ?
ตอบ : ถ้ามีความชำนาญก็บังคับได้ แต่ขึ้นอยู่กับสมาธิและปัญญา สมาธิทรงตัวเราจะบังคับได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้ามีปัญญาอยู่ด้วย ก็ไม่ต้องบังคับแล้ว เพราะปัญญาจะปล่อยวาง เพราะรู้เห็นจริง ไม่หนักเหมือนกับการใช้สมาธิอย่างเดียว ถาม : มีอยู่วันหนึ่งยืนอยู่ที่วัดท่าขนุน รู้สึกเหมือนว่าตัวเองอยู่ตรงกลางของพายุหมุน เห็นภาพที่หมุนอยู่รอบ ๆ ว่าไม่มีอะไรเลย มีแต่เราอยู่ตรงกลาง สักพักหนึ่ง แม้กระทั่งตัวเราก็ไม่มี อย่างนี้ควรจะพิจารณาต่ออย่างไรดี ? ตอบ : ควรพยายามทำให้ถึงบ่อย ๆ ไม่ใช่พิจารณาต่ออย่างไรดี ดูว่าตอนนั้นเราคิดอย่างไร ? พูดอย่างไร ? ทำอย่างไรแล้วเกิดอารมณ์นั้นขึ้นมา ? แล้วก็ลองทำใหม่ ท้ายสุดจะเห็นชัด ๆ ว่า ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลย แม้แต่นิดหนึ่งก็ไม่มี ในเมื่อทุกอย่างมีสภาพที่หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้อย่างนี้ เราไปพระนิพพานดีกว่า การปฏิบัติเราต้องเอาพระนิพพานแปะท้ายไว้ตลอด |
ถาม : หนูรู้สึกว่าอะไรก็จืดชืดไปหมด ?
ตอบ : อย่างของเรานั้น ปรุงแต่งไปได้แค่นั้น แล้วก็กลับมา ไปไม่เกินนั้นหรอก เมื่อพยายามเท่าไรก็ไม่ไป จึงไร้อารมณ์ จืดชืดไปหมด ถาม : หนูสงสัยว่ามีบ้างไหม อารมณ์ที่รู้สึกว่า ร่างกายนี้รองรับเราไม่ได้แล้ว ? ตอบ : มี..แต่อย่าเพิ่งเชื่อว่าจะเป็นไปตามนั้น ถาม : เป็นติดต่อกันมาสามสี่วันแล้วค่ะ ตอบ : ไม่เป็นไร พอเต็มที่เมื่อไร เดี๋ยวอาตมาจะจัดงานศพให้..! ถาม : พอเป็น หนูก็บอกว่า อย่า..อย่าเพิ่ง หนูยังอยากทำงานให้พระพุทธศาสนาอีก ตอบ : นั่นโง่แล้ว..! ถาม : หนูยอมรับว่ายังยึดตรงนี้อยู่ ตอบ : เสียท่าแล้ว ยิ่งไปได้เร็วเท่าไร ก็ปลอดภัยเท่านั้น ถาม : ถ้าหนูไปแล้วใครจะถอดเทปต่อ ? ตอบ : ถ้าไปได้ก็รีบไปเถอะ..ปล่อยให้พวกที่เหลืออยู่ลงแดงตายตามไปเลย..! เขาเรียกว่าห่วงไม่เข้าเรื่อง ไปได้ต้องไปไว้ก่อน อยู่ไปวันหนึ่งก็โง่เพิ่มไปวันหนึ่ง ทุกข์เพิ่มขึ้นวันหนึ่ง..! อย่างที่เคยบอกว่า ต้อง อนาลโย ไร้ซึ่งความอาวรณ์ |
ถาม : เวลาร่วมบุญพระชำระหนี้สงฆ์ หนี้สงฆ์จะหมดไปหลังจากพระเป็นองค์แล้ว หรือตั้งแต่ตอนเราถวายเรียบร้อยแล้วครับ ?
ตอบ : ทันทีที่ตั้งใจทำและได้ทำสำเร็จ ถือว่าหนี้สงฆ์ทั้งหมดจบสิ้นไปแล้ว ยกเว้นเราไปสร้างหนี้ขึ้นมาใหม่ ไม่ต้องรอให้พระสร้างเสร็จ ความจริงตั้งใจทำก็ได้แล้ว แต่ถ้าได้ลงมือทำสำเร็จแล้วก็ได้อย่างแน่นอน |
ถาม : คนที่เป็นเบญจเพส จำเป็นต้องบวชแก้เคล็ดทุกคนไหมครับ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น อาจจะเป็นการทำอะไรสักอย่างเป็นการสะเดาะเคราะห์ก็ได้ เช่น ถวายสังฆทาน ปล่อยชีวิตสัตว์ เป็นต้น ถาม : เบญจเพส ตามโบราณเขาแนะนำให้ทำอะไรครับ ? ตอบ : ส่วนใหญ่ให้สะเดาะเคราะห์ วิธีสะเดาะเคราะห์ก็อาจจะเช่นว่า เข้าวัดทำบุญใหญ่ อาบน้ำมนต์ ทำบังสุกุลตายบังสุกุลเป็น ปล่อยนกปล่อยปลา พูดง่าย ๆ ว่า ทำอะไรสักอย่างที่ให้เรารู้สึกว่า เราได้ทำสิ่งที่ดี ๆ เป็นบุญใหญ่ให้กับตัวเอง ทำให้กำลังใจของเราสูงขึ้น |
ถาม : ถ้าปลาที่อยู่ในวัดไหลไปตามคูคลอง แล้วเขาไปจับ ถือว่าติดหนี้สงฆ์หรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้ามั่นใจว่าเป็นปลาของวัดก็เป็นหนี้สงฆ์ แต่แถววัดท่าซุงสมัยก่อน ชาวบ้านเขาบอกว่า "พ้นเขตวัด (ปลา) มันก็สึกแล้ว..!" คนจะเอาเสียอย่าง ก็ว่าไปเรื่อย..! |
ถาม : เมื่อปฏิบัติพิจารณาไปเรื่อย ความรู้สึกเกี่ยวกับโลกและชีวิตเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย หนูสมควรบอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ให้คนใกล้ชิดในบ้านฟังหรือไม่คะ ? หนูรู้สึกว่าบางเรื่องบอกไปเขาคงไม่โมทนา แต่ถ้าจะไม่บอกเลย เกิดไปไกลมาก ๆ กว่านี้แล้วเขามารู้ทีเดียวรวดเดียว อาจยิ่งรับไม่ได้เข้าไปใหญ่ค่ะ
ตอบ : ควรปรารภให้เขาได้รับรู้เป็นระยะไป โดยเฉพาะคุณสามี จะได้ไม่สติแตกตอนเราหนีเข้าป่า..! ถาม : เมื่อคืนก่อนหนูเบื่อจนแทบจะถอดหัวตัวเองทิ้งค่ะ พยายามพิจารณาตามที่ท่านแนะนำ ให้ลงที่ธรรมดาให้ได้ หนูกลับรู้สึกว่า หนูรู้อยู่แล้วว่าเป็นธรรมดา พอพิจารณาให้ไปธรรมดา ก็รู้สึกว่าไม่ได้ต่อต้าน แต่ก็ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้นค่ะ ทำไมเป็นแบบนี้คะ ? ตอบ : ต้องเห็นว่าร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้ เราจะอยู่ด้วยก็แค่ตอนนี้เท่านั้น ในเมื่อเรากำลังจะพ้นไปแล้ว ทำไมเราจะอยู่กับร่างกายนี้โดยดีไม่ได้ ถาม : หลังจากพยายามอยู่นาน กลับเกิดความรู้สึกขึ้นว่าเบื่อมาก แต่หนีไม่ได้ ถอยก็ไม่ได้ พอหาทางออกไม่ได้ อารมณ์เลยไปตกตรงที่ว่า ใช้ชีวิตทำหน้าที่อยู่แค่ที่ปัจจุบันนี้ ซึ่งไปตรงกับที่ท่านเคยแนะนำเช่นกันค่ะ นี่คือเกิดปัญญาขึ้นหรือเปล่า หรือแค่บังเอิญได้คะ ? ตอบ : ใช่..เป็นปัญญา แต่ได้มาแบบที่เรียกว่าบังเอิญขี้ตรงร่อง..! ถาม : ในขณะนั้นหนูรู้สึกว่าไม่กังวลถึงอดีตหรืออนาคต และมีความรู้สึกพร้อมตายปนอยู่ด้วย ความเบื่อก็ลดลงจนหายเกือบหมดค่ะ แต่ก็มีลางสังหรณ์ว่า ตัวเบื่อจะต้องมาอีกแน่เลยค่ะ รบกวนขอคำแนะนำในการปฏิบัติต่อไปด้วยค่ะ ตอบ : ย้อนไปดูคำตอบที่ผ่านมา ถาม : ช่วงก่อนหน้านี้หนูพยายามใช้หลายวิธีจัดการกับเรื่องของกามราคะ ตอนนี้หนูค่อนข้างมั่นใจว่าสามารถใช้ สติ สมาธิ ปัญญา ที่มีกดเอาไว้ได้ อาจจะมีกระเพื่อมบ้าง แต่ไม่น่าจะดีดกลับแรง ๆ แบบที่เคยเป็นมาค่ะ (ซึ่งต้องรอดูต่อไป) ปัญหาก็คือ หนูรู้ตัวว่ายังไม่ได้ระดับที่จะตัดได้แน่ ๆ ระหว่างที่ต้องเสริมสร้างเรื่องสมาธิ หนูจะทำอย่างไรดีคะ กดไปเรื่อย ๆ ก่อนหรือเปล่าคะ ? ตอบ : ใช้สมาธิกดไว้ก่อนนั้นถูกแล้ว แต่ต้องเอาสติและปัญญาเข้าไปช่วยควบคุมด้วย ระมัดระวังอย่าไปนึกคิดปรุงแต่งเพิ่มเติม ไม่อย่างนั้นราคะก็จะกำเริบได้อีกทุกเวลา ถาม : ขณะที่หนูมั่นใจว่าจัดการเรื่องกามราคะได้ดีขึ้น แต่กลับเจอปัญหาเรื่องฝัน เพราะเมื่อไหร่ที่ตัดหลับ จะฝันเกี่ยวกับเรื่องนี้มากผิดปกติ ใหม่ ๆ หนูมองว่าก็ดี จะได้รู้ว่าเรายังไม่ดีพอ ยังต้องทำอีกเยอะ แต่ยิ่งมายิ่งหนักข้อ ทั้ง ๆ ที่ตอนตื่นหนูไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลย บางเรื่องเอามาทำเสียตรงกันข้ามกับที่หนูรู้สึกก็มี จนหนูรู้สึกหงุดหงิดรำคาญและโมโหค่ะ โมโหทั้งความฝัน โมโหทั้งตัวเองที่สติไม่พอ มีดีอยู่อย่างคือยิ่งทำให้หนูเกลียดกามราคะมากขึ้น ทำให้ตัวเองรู้สึกว่าคิดถูกจริง ๆ ที่พยายามจะตัด ตกลงที่ฝันเยอะ ๆ คือสิ่งที่สะท้อนสภาพจิตหรือเปล่าคะ หรือที่หนูเข้าใจว่าเริ่มเอาอยู่ จริง ๆ แล้วเข้าใจผิดไปเอง ? ตอบ : เคยบอกแล้วว่ากิเลสเล่นงานเราทั้งหลับและตื่น ต้องฝึกให้ทั้งหลับและตื่นจิตของเราต้องมีสภาพตื่นรู้เท่ากัน ถึงจะระวังไม่ให้กิเลสกินเราตอนหลับได้ |
ถาม : เราสามารถรู้วันตายได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าฌานสี่คล่องตัว เราสามารถกำหนดวันตายได้เลย พอเข้าฌานสลับฌานทบทวนจนมั่นใจแล้ว จังหวะสุดท้ายออกฌานสี่มาแล้วก็ทิ้งร่างกายนี้ไปเลย เพราะถ้าเราเข้าฌานสี่แล้วร่างกายนี้จะไม่หายใจ ในเมื่อเราทิ้งไปเลย ไม่หายใจใหม่ ก็ตายเท่านั้น เพราะฉะนั้น..บุคคลที่มีอานาปานสติคล่องตัว จนชำนาญในฌานสี่ สามารถกำหนดวันตายได้ทุกคน หลวงปู่สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทยมหาเถร) วัดสระเกศ พระองค์ท่านบอกว่า ถ้าเสียงฟ้าร้องขึ้นมาเมื่อไรพระองค์ท่านจะมรณภาพ พอฟ้าลั่นครืนพระองค์ท่านก็ไปเลย คิดดูสิ..พระองค์ท่านบอกว่ารู้จากการดูหมอ ใครจะไปเชื่อ..หมอดูประเภทไหนบอกได้ขนาดนั้น แต่ว่าตอนที่พระองค์ท่านยังดำรงพระชนม์อยู่ พระองค์ท่านเป็นหมอดูที่มีชื่อเสียงจริง ๆ หลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอกก็เหมือนกัน ตอนนั้นกำนันเถาไปค้าขายที่ต่างจังหวัดแถวปากน้ำโพ หายไปนานเป็นเดือน เมียกำนันเถาเป็นห่วง จึงเอาดอกไม้ธูปเทียนไปกราบหลวงปู่จง ไปขอความเมตตาให้หลวงปู่ช่วยดูให้หน่อยว่า ตอนนี้สามีดีร้ายเป็นประการใด หลวงปู่จงท่านหยิบตำราขึ้นมากางอ่าน "สิทธิการิยะ พระท่านว่า ขณะนี้กำนันเถาเอาเรือมาจอดที่ท่าน้ำหน้าบ้านแล้ว" ตำราที่ไหนบอกได้กระทั่งชื่อคน หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านก็แปลกใจ ท่านไม่เชื่อ จึงไปเปิดตำราหน้านั้นดู ปรากฏว่าเป็นตำราสมพงษ์นาคสำหรับดูเนื้อคู่ เจอหมอดูแบบนี้ คนดูตามไม่ทันก็โดนต้มจนเปื่อย..! |
เมื่อคราวงานวัดบางนมโค พอถึงเวลานิมนต์พระเจริญพระพุทธมนต์ - ฉันเพล หลวงพ่อฤๅษีฯ เอาเรือเร็วออกไปตามหลวงปู่จง จริง ๆ ถ้าเดินลัดทุ่งก็ไม่ไกลมาก ประมาณชั่วโมงเดียวก็ถึง แต่ถ้าไปเรือจะช้า เพราะอ้อมคุ้งน้ำเยอะ
พอไปถึง เห็นโยมรอให้หลวงปู่รดน้ำมนต์อยู่สามสี่คน หลวงปู่ท่านเมตตา ท่านก็รดทีละคน ๆ สมัยนั้นเขารดน้ำมนต์ไม่ได้รดแบบเรานะ เขารดเป็นโอ่งเลย ประเภทผลัดผ้าขาวม้าแล้วก็ตักราดตัวให้ทีละคน หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านเร่งให้หลวงปู่จงรีบไป หลวงปู่ท่านบอกว่า "เอ็งกลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าเดินไปเอง" "เดินไปมันช้าครับหลวงปู่..ไปเรือดีกว่า" "ข้าเดินเร็ว..ทันน่า" หลวงพ่อท่านเถียงไม่ได้ รบเร้าหลายทีเห็นหลวงปู่ไม่ไป ก็กลับมาก่อน มาถึงก็กราบเรียนหลวงปู่ปานว่า "หลวงปู่จงท่านรดน้ำมนต์ยังไม่เสร็จครับ ยังไม่มา" หลวงปู่ปานก็หัวเราะ "แกโดนหลวงปู่จงต้มแล้ว ท่านมาถึงก่อนแกตั้งนาน ตอนนี้อยู่บนศาลาโน่น" หลวงพ่อขึ้นศาลาไปดู ปรากฏว่าหลวงปู่จงนั่งอยู่หัวแถวแล้ว เพราะท่านอาวุโสที่สุด แล้วท่านก็หัวเราะ "เรือแกเร็วสู้ข้าเดินไม่ได้ว่ะ.." หลวงปู่จงกับหลวงปู่ปานเป็นสหายธรรมก็จริง แต่อายุท่านต่างกันเหลือเกิน หลวงปู่ปานท่านมรณภาพตอนอายุ ๖๒ ปี ส่วนหลวงปู่จงมรณภาพตอนอายุ ๙๓ ปี หลวงปู่ปานมรณภาพเมื่อปี ๒๔๘๑ หลวงปู่จงมรณภาพปี ๒๕๐๘ ต่างกันแค่ไหน? แสดงว่าฝ่ายหนึ่งรบมาทั้งชีวิต ถึงเวลาอายุขัยมีอยู่แค่นั้น อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้สร้างกรรมปาณาติบาตเลย อยู่มาจนเกือบจะร้อยปี |
พระอาจารย์กล่าวว่า "สิ่งที่เป็นนิสัยเฉพาะตัวของอาตมาก็คือ ในเมื่อเรียนแล้วต้องรู้ รู้แล้วต้องเอาไปสอนคนอื่นได้ ไม่ใช่เรียนผ่านไปเฉย ๆ จึงต้องซ้อมหาความชำนาญมากกว่าคนอื่น เป็นนิสัย "ยุทธภูมิ"เก่า ถึงแม้ว่าจะเลิกแล้ว แต่สันดานเดิมก็ยังเป็นอย่างนี้ ต้องแตกฉาน พลิกแพลงได้ แล้วพร้อมที่จะบัญญัติใหม่ด้วย..!"
ถาม : สมมติเราเกิดความสงสัยขึ้น ขณะเดียวกันเราก็มองว่า การที่เรารู้ตรงนั้นก็ไม่ได้ช่วยในการตัดกิเลส แล้วเราก็เลิกที่จะเป็น หรือเราควรจะ..? ตอบ : ถ้าวิสัยเดิมมีอยู่ก็จะคัน เดี๋ยวแอบไปทำจนได้แหละ ถ้าวิสัยเดิมมีน้อยเราก็ตัดทิ้งไปเลย มุ่งเข้าหาเรื่องมรรคเรื่องผลโดยตรง หมายเหตุ : "ยุทธภูมิ" เป็นคำเฉพาะที่หลวงพ่อเล็กมักใช้ค่ะ |
ถาม : บางทีเราเจอสถานการณ์เราก็คิดพิจารณาได้ พอมาเจออีกเหมือนกับครั้งก่อน ก็ไม่ได้ต่างกัน แต่ทำไมจึงคิดได้ไม่เหมือน ?
ตอบ : สติ สมาธิ ปัญญาของเราตอนนั้นไม่พอ เหมือนคนเห็นทาง แต่กำลังที่จะเดินก็ไม่มี แต่ให้เราเห็นไว้ก่อน เห็นว่าเราไปทางนี้แน่ ตอนนี้เราก็เพาะ สติ สมาธิ ปัญญา ของเราให้มากขึ้น ๆ สำคัญตอนนี้คือสมาธิ ถ้าสมาธิมีมาก ก็จะช่วยให้ปัญญาเกิดได้มาก ถาม : ถ้าเห็นหลายทาง ? ตอบ : เลือกเอาทางที่ง่ายที่สุด ถาม : ถ้าปัญญาถึง เราจะรู้เองใช่ไหมว่าเราจะไปอย่างไร ? ตอบ : เห็นทางอยู่ข้างหน้า ก็รู้ ๆ อยู่ ส่วนทางนั้นรกจะตาย แล้วเรายังคิดที่จะไปทางนั้นก็เกินไป หาทางที่ง่ายกว่าสิ ยกเว้นอย่างเดียว คือ เรามั่นใจว่าทางรกที่สุดนั้นสั้นที่สุดด้วยแน่ ๆ ก็ลุยไปเลย |
ถาม : นายประยงค์เขาภาวนาคาถาเงินล้าน เขาปฏิบัติสมาธิแล้วเห็นพระพุทธรูปมาอยู่ตรงหน้า อย่างเราภาวนาพระคาถาเงินล้าน เราต้องเห็นอย่างนั้นด้วยหรือไม่ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น ผลของคาถาจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับกำลังของสมาธิ ที่นายประยงค์เขาเห็นแสดงว่าจิตเริ่มเป็นอุปจารสมาธิ ก็จะเห็นภาพต่าง ๆ ได้ แต่พอสมาธิเลยตรงนั้นไปก็จะไม่เห็นอีก ถาม : แล้วภาวนาคาถาเงินล้าน เราก็ภาวนาตามเขา ? ตอบ : ภาวนาของเราไปเรื่อย ถึงแม้เราไม่เห็นภาพอะไร แต่จิตทรงเป็นสมาธิ ผลที่ได้ก็จะเหมือนกัน สำคัญตรงสมาธิ ไม่จำเป็นต้องเห็น ถาม : พระคาถาเงินล้านตรง สัมปะติจฉามิ ผมเคยเห็นในเว็บ สัมปะฏิจฉามิ ใช้ ฏ.ปฏัก ตัวไหนถูกต้องครับ ? ตอบ : บาลีใช้ ฏ. ปฏัก เพียงแต่ว่าคาถาไม่ได้สำคัญที่เขียนถูกหรือไม่ถูก สำคัญที่เราว่าเชื่อมั่นแค่ไหน ถ้าคุณเชื่อมั่น ถึงท่องผิดก็มีผล เพราะฉะนั้น..มัวแต่เสียเวลาไปคิดว่าถูกหรือไม่ถูก แปลว่ากำลังใจเรายังไม่มั่นคง ถาม : จริง ๆ คาถาสำคัญที่สมาธิ ? ตอบ : สำคัญที่สมาธิและความเชื่อมั่น มีศรัทธามากเท่าไรได้ผลก็มากเท่านั้น ถาม : อย่างคาถาสะหัสสะเนตโต เวลาสวดออกเสียงหรือภาวนาในใจครับ ? ตอบ : ภาวนาในใจ ถ้าคุณไปออกเสียงท่ามกลางชุมชนคนอื่นจะหาว่าบ้า..! |
ถาม : มีคนมาทำลักษณะที่ไม่น่ารักกับเรา แล้วเราน่าจะโกรธ แต่เรากลับไม่โกรธ แต่เราจำ เป็นการพยาบาทหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เราต้องพิจารณาใจตนเองด้วยปัญญา ก็จะมีอยู่สองอย่าง อย่างแรกก็คือ ถ้าหากคบหาคน ๆ นี้ต่อไป จะมีแต่โทษมากกว่าประโยชน์ เราก็ตัดออกจากใจไป ถ้ากำลังสมาธิสูงพอก็จะตัดทิ้งไปได้เลย แต่ขณะเดียวกัน ถ้าเป็นเรื่องของ อุเบกขาในพรหมวิหารจริง ๆ ก็จะมีตัวเมตตากรุณาอยู่ ก็คือ ถ้ามีโอกาสเราจะสงเคราะห์เขาอีก แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ถาม : ถ้าจำได้ แปลว่าไม่จำเป็นต้องพยาบาท ? ตอบ : พยายามอย่าเข้าข้างตัวเอง นึกเสียว่าพยาบาทก็แล้วกัน จะได้เตือนสติตัวเองได้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะเห็นแต่ตัวเองดีเกินไป ไม่เห็นความชั่วตัวเอง ถาม : บางทีก็บางมาก จนจับไม่ได้ว่าเป็นกิเลส ตอบ : มีอยู่สมัยหนึ่ง พระท่านทำภาพให้ดู กิเลสบางตัวเราไม่นึกว่าจะมีอยู่ แต่ก็มี เพียงแต่ว่าบางมากจนเราสาวไปไม่ถึง ท่านก็เมตตาทำให้ดู แหม..เหมือนกับหนูซุกอยู่ในรู ไม่กระดุกกระดิกอะไร เงียบอย่างเดียว แต่จริง ๆ แล้วกิเลสนั้นยังไม่ตาย ยังอยู่เต็ม ๆ เลย แต่ว่าไปแอบซ่อนอยู่อย่างมิดชิด พร้อมที่จะอาละวาดทันทีที่เราเผลอ..! |
ถาม : บางทีกิเลสบางตัวหน้าตาคล้าย ๆ เรา
ตอบ : อาตมาเคยเล่าให้ฟังว่า กิเลสกับความดีนั้นก้าวซ้อนมารอยเดียวกัน หน้าตาเหมือนกันเลย เพียงแต่สำคัญตรงก้าวสุดท้าย ว่าจะพาเราไปทางไหน ? เคยยกตัวอย่างชัดที่สุดก็คือ เรื่องของการถวายสังฆทาน สมัยที่อาตมาอยู่วัดท่าซุง พอได้ปัจจัยมาจากการที่โยมถวายหรือการสวดมนต์ก็ดี ถึงเวลาก็จะรวบรวมไปถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นสังฆทาน สังฆทานที่วัดท่าซุง จะมีชุดละ ๑๐๐ บาท ชุดละ ๕๐๐ บาท ชุดละ ๑,๐๐๐ บาท ชุดละ ๒,๐๐๐ บาท หลวงพ่อท่านจะมอบวัตถุมงคลให้ตามราคา อาตมาตั้งใจว่าถ้าได้เงินมาจะเอาไปถวายสังฆทาน พอรวมแล้วได้เกิน ๑๐๐ บาท ก็คิดว่า เดี๋ยวรอให้ถึง ๕๐๐ บาท ค่อยเอาไปถวายชุดที่ใหญ่กว่า แทนที่จะได้ ๕๐๐ บาท กลับเป็น ๗๐๐-๘๐๐ บาท เออ..ได้ชุดละ ๑,๐๐๐ บาท ค่อยไปถวาย เป็นอย่างนี้หลายครั้งด้วยกัน จนวันนั้นบังเอิญไปเห็นหน้าตากิเลสเข้า ใจหายวาบเลย ที่ใจหายวาบก็คือ ถ้าเราตายเสียก่อน แม้แต่ชุดละร้อยเดียวก็ไม่ได้ถวาย กิเลสหลอกเราได้ขนาดนั้น..! กิเลสกับความดีจะขี่คอกันมาเลย เพียงแต่ว่าก้าวสุดท้ายกิเลสจะดึงเราลง ส่วนความดีจะพาเราขึ้น แค่นั้นเอง ทั้ง ๆ ที่การทำความดีแบบนั้นกิเลสยังหลอกเราได้ ถาม : เป็นกิเลสประเภทไหน เป็นโลภะกลาย ๆ หรือเปล่า ? ตอบ : มีทั้งส่วนของโลภะและโมหะด้วย โลภะ คือ อยากได้บุญมากขึ้น โมหะ คือ รู้ไม่เท่าทัน ให้กิเลสหลอกเราได้..สุดยอดจริง ๆ กิเลสกับความดีหน้าตาเหมือนกันทุกอย่างเลย โดยเฉพาะหน้าตาเหมือนกับเรานี่แหละ..! ถาม : แล้วเราจะรู้ทันได้อย่างไร ? ตอบ : ซักซ้อม สติ สมาธิ ปัญญาให้มาก ๆ ไว้ จะรู้เท่าทันกิเลสได้เร็วขึ้น ไม่อย่างนั้นมักจะถูกพาไปหลายกิโลกว่าที่เราจะรู้ตัว |
ถาม : เมื่อวานผมมีโอกาสได้ไปฟังเทศน์หลวงพ่อองค์หนึ่ง ผมเห็นว่าการปฏิบัติสายท่านเน้นสมถะอย่างเดียว ท่านยังเน้นว่า พระพุทธเจ้าท่านนอกจากชาติสุดท้ายแล้ว ท่านไม่เคยวิปัสสนาเลย เรารู้สึกว่าแปลกใหม่ ท่านบอกว่า ถ้าเราคิดว่าเราไม่ถึงชาตินี้ เราก็ทำสมถะไปอย่างเดียวก่อน ?
ตอบ : จริง ๆ การทำสมถะ ถ้าทำไปถูกทางจริง ๆ ก็เกิดปัญญา แต่ถ้าไปเพลิดเพลินอยู่ ก็จะติดอยู่แค่นั้น ตัวปัญญาจะไม่เกิด สำคัญว่าเรามีสติระลึกรู้อยู่แค่ไหนว่า ตอนนี้เราทำอะไร เพื่ออะไร ถ้าเราทำเพื่อความอยู่สุขปัจจุบันนี้ ไม่ให้รัก โลภ โกรธ หลง กินใจเราได้ ก็ใส่สมถะไปล้วน ๆ เถอะ แต่ถ้าเราต้องการที่จะหลุดพ้น ก็ต้องมีวิปัสสนาเข้าไปช่วยอีกแรง ถาม : แล้วถ้าเราใช้สมถะกดไว้พักหนึ่ง เป็นวิธีที่ถูกต้องไหมคะ ? ตอบ : อย่างไรก็ได้ อันดับแรก ก็คือ อย่าให้กิเลสออกทางกาย ประเภทอาละวาด ชักสีหน้า ชี้หน้าด่า ประเภทนั้นอย่าให้ออกมา แต่ถ้าอยู่ข้างในแล้ว อกเราจะแตกตาย ก็ให้ตายไปคนเดียว อย่าให้กิเลสเราไปเลอะเทอะเปรอะเปื้อนใส่คนอื่นเขา อันดับแรก ต้องดึงให้หยุดให้ได้ก่อน ทำอย่างไรที่จะดึงม้าให้หยุดตรงหน้าผาให้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้นพาเราลงเหวแน่ หลังจากนั้นเราค่อย ๆ ไปหาทางจัดการกันทีหลัง นั่นก็ถือว่าเป็นการใช้ปัญญาอย่างหนึ่งเหมือนกัน เพียงแต่ว่ากำลังเรายังไม่เพียงพอที่จะตัดอย่างฉับพลัน ก็ต้องใช้วิธีค่อยเป็นค่อยไป ก็คือ ระงับจากส่วนหยาบก่อน แล้วถึงเวลาค่อยไปจัดการกับส่วนละเอียดทีหลัง อย่างที่อาตมาเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยที่อยู่วัดท่าซุง ออกบิณฑบาตพร้อมกับหลวงตาวัชรชัย การบิณฑบาตช่วงนั้นก็เดินสายใต้ด้วยกัน ก่อนหน้านั้นหลวงตาท่านเดินนำตลอด พออายุกาลพรรษาเริ่มมากขึ้น พระรุ่นน้องเริ่มมากขึ้น หลวงตาท่านอายุมากขึ้น เดินไกลไม่ค่อยไหว ท่านก็แยกไปบิณฑบาตสายหลังวัด อาตมาก็ไปเดินนำสายใต้แทน พอดีวันนั้นหลวงตาท่านยังนำอยู่ ขากลับญาติโยมไปใส่บาตรเยอะมาก ลูกศิษย์หลวงพ่อไปวัดแต่ละวันไม่ใช่น้อย อย่างไม่มีก็เป็นร้อยคน |
มีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งตัวมาเต็มที่ โดยที่ไม่ได้นึกว่าจะเป็นอันตรายต่อพระหรือเปล่า ใส่น้ำหอมกลิ่นฟุ้งมาเลย ทันทีที่ได้กลิ่นอาตมาก็กลั้นหายใจ เพราะถ้ารู้ว่าหายใจต่อไปจะต้องคิดแล้ว ว่าชอบหรือไม่ชอบ
พอกลั้นหายใจแล้วก็ตั้งใจดู พระพี่พระน้องตลอดทั้งแถว ๑๑ รูป กลั้นใจหมดเลย อาตมาเองก็ขำ พอเข้าไปถึงหอฉัน จึงไปจี้ถามหมดทุกรูปเลย "เป็นอย่างไร ? กลั้นใจใช่ไหม ?" "ใช่ครับ" แม้กระทั่งหลวงตาวัชรชัยก็ด้วย เรื่องอย่างนี้เราต้องทดสอบทุกวัน ไม่อย่างนั้นตัวมโนมยิทธิจะไม่คล่อง พอหลังจากฉันเสร็จก็มานั่งวิเคราะห์กันว่า ตกลงว่าที่พวกเราทำกันนั้น เป็นการที่เราหนีปัญหา หรือเราแก้ด้วยปัญญา ? ถ้าเป็นการหนีปัญหา เราจะสู้ไม่ได้ตลอดไป แต่ถ้าเราแก้ปัญหาด้วยปัญญาเรายังพอมีทางสู้ หลังจากที่นั่งวิเคราะห์กันเสร็จสรรพแล้ว สรุปได้ความว่า เป็นการแก้ปัญหาด้วยปัญญา เพราะรู้ว่าตอนนั้นยังสู้ไม่ได้ เราต้องหลบก่อน โดยเฉพาะหลวงตาท่านว่า "ไอ้ห่_แชนแนลนัมเบอร์ไฟว์ ของโปรดกูเลย..!" เพราะฉะนั้น..ญาติโยมบางคนไปวัด ลืมไปว่าสิ่งที่ตัวเองทำอาจเป็นอันตรายต่อพระเณรโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่ใช่พระเณรที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อละกิเลสอย่างลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงจริง ๆ คงฟุ้งซ่านไปหลายราย ขนาดนั้นทั้งแถวยังกลั้นใจกันหมด..! |
ถาม : แล้วถ้าเป็นพระอนาคามี ?
ตอบ : ถ้าพระอนาคามีก็สักแต่ว่าได้กลิ่นเฉย ๆ ไม่มีประโยชน์สำหรับท่านแล้ว ถาม : ท่านไม่ได้กลั้นหายใจ ? ตอบ : ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ราคะกับโทสะทำอันตรายท่านไม่ได้แล้ว โชคดีที่สมัยหนุ่ม ๆ อาตมาเป็นโรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะแพ้กลิ่นเครื่องสำอาง เพื่อน ๆ ผู้หญิงรุ่นนั้นเขาจะรู้กันทุกคน ถ้าใครแต่งหน้าแต่งตามา อาตมาจะจามตลอด แค่เขาทาครีมทาผิวมา อาตมาก็จามแทบแย่ ถึงขนาดต้องขอร้องว่า เวลาไปไหนด้วยกัน กรุณาอย่าให้มี จึงช่วยรอดมาได้ อาจจะเป็นเพราะเรื่องบุญพาวาสนาช่วย เรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วยซ้ำเติม ทำให้ได้กลิ่นไม่ได้ ได้กลิ่นแล้วจาม |
ถาม : ทางมหายาน ปรัชญาปารมิตาสูตร ทางเถรวาท พระพุทธเจ้าท่าน ..(ไม่ได้ยิน).. ?
ตอบ : ในเรื่องบารมีสิบเหมือนกัน แต่บารมีของเขา มีฌานบารมีด้วย ของเราไม่มี เพราะฉะนั้น..เรามาสายเถรวาท เราก็ต้องมั่นใจว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเรามานั้นถูกต้อง แรก ๆ ที่อาตมาเรียนวิชาพระสูตรมหายานและเรียนศาสนาเปรียบเทียบ อาจารย์ท่านบอกว่า "มหายานเป็นเกจิอาจารย์รุ่นหลังแต่งขึ้นมา เพื่อจะให้รู้สึกว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ห่างไกลไปไหน ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้านิพพานแล้วจะสูญไปเฉย ๆ แต่ศาสนาฮินดูเขามีพระเจ้าที่พร้อมจะช่วยเหลือศาสนิกของเขาอยู่ตลอดเวลา ถ้าเป็นอย่างนี้ คนก็ไปนับถือศาสนาฮินดูกัน เพราะเห็นว่ามีผู้ช่วยเหลืออยู่ เนื่องจากคนเรานิยมความง่าย" เกจิอาจารย์รุ่นหลังก็เลยแต่งว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ไปไหน ยังอยู่ที่สุขาวดีพุทธเกษตร พร้อมที่จะช่วยเหลือทุกคนอยู่ ขณะเดียวกันก็แบ่งภาคลงมา เกิดเป็นพระโพธิสัตว์หลายท่าน ทั้งพระโพธิสัตว์ที่มาเกิดในโลกมนุษย์และพระโพธิสัตว์ที่ยังอยู่บนสุขาวดีก็มี อาตมาเองจึงตั้งข้อสังเกต โดยการบอกว่า "ท่านอาจารย์ครับ..เป็นไปได้ไหมครับว่า คนเขียนเขาไปเห็นมาจริง ๆ เพราะถ้าท่านอาจารย์อ่านรายละเอียดตั้งแต่ต้นยันปลาย จะเห็นว่าทุกคำถามเขามีคำตอบ และอธิบายได้ละเอียด น่าเชื่อถือมากด้วย ถ้าเขาไปเห็นมาจริง ๆ ละครับ ?" ท่านอาจารย์บอกว่า "แนวความคิดของคุณเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก แต่ก็ไม่มีใครไม่สามารถที่จะยืนยันกับคุณได้" นี่คือมารยาทในความเป็นนักเรียน เราพูดกับท่านอาจารย์ได้เพียงแค่นี้ |
แต่กับพวกเราแล้ว อาตมาก็ฟันธงเลยว่า บุคคลรุ่นหลังของมหายานสามารถที่จะไปเห็นได้ แต่สิ่งพระพุทธเจ้าสอนเราไว้ในสีสปาสูตร ก็คือใบประดู่กำมือเดียว เป็นสิ่งที่ยังประโยชน์สุขในปัจจุบัน ประโยชน์สุขในอนาคต และประโยชน์สุขสูงสุด คือช่วยพ้นจากความทุกข์ไปพระนิพพานได้ ส่วนไหนที่ทำให้เนิ่นช้าพระองค์ท่านไม่สอน
แต่ท่านรุ่นหลังที่ได้ทิพจักขุญาณ แล้วไปเห็นสายพระโพธิสัตว์ว่าดี จึงนำคำสอนนี้มาสอน กลายเป็นสอนสิ่งที่เนิ่นช้า เพราะยังต้องเกิดอีกนับไม่ถ้วน ในเมื่อเป็นอย่างนี้ คำสอนที่แตกมาในรุ่นหลัง จึงไม่ใช่สัทธรรมเทศนาที่บริสุทธิ์ หากแต่เป็นสิ่งที่เกจิอาจารย์ทั้งหลายไปพบเห็นมา แล้วก็นำเอามาจารึกเอาไว้ กลายเป็นคัมภีร์ให้คนรุ่นหลังเขาศึกษาตามกัน กลายเป็นนิกายนั้นบ้าง นิกายนี้บ้างขึ้นมา ถามว่าปฏิบัติตามของเขาแล้วมีผลไหม ? มี..แต่ช้าจนบอกไม่ถูก เพราะฉะนั้น..ในปรัชญาปารมิตาสูตรเขากล่าวถึงการสร้างบารมีสิบอย่างเหมือนกัน แต่ตอนท้าย ๆ นั้นไม่เหมือนกับของเถรวาท |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:42 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.