กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   กระทู้ธรรม (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=2)
-   -   สิ้นโลก เหลือธรรม (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1288)

สายท่าขนุน 22-09-2010 19:55

คราวนี้จะเห็นได้ชัดเลยทีเดียวว่า สรรพกิเลสทั้งปวงและโทษทุกข์ทั้งหลายที่มนุษย์คนเราพากันได้เสวยอยู่นี้
ล้วนแต่จิตผู้เดียวเป็นผู้หามาใส่ถ้าจิตไม่ไปหามาใส่แล้ว จิตก็จะกลายเป็นใจ
ไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง อยู่เป็นสุขโดยส่วนเดียว

เหมือนต้นกล้วยไม่มีแก่น แกะกาบไป ๆ ผลที่สุดเลยหาแก่นไม่ได้ มีแต่กาบอย่างเดียว
ผู้ภาวนาทั้งหลายล้วนแต่แกะกาบหาแก่นแท้ของธรรมทั้งนั้น
ผู้หาแก่นของธรรมแต่แกะกาบไม่หมดจึงไม่เห็นธรรม

สายท่าขนุน 05-10-2010 19:24

ผู้ภาวนายังไม่ถึงจิตถึงใจพากันกลัวนักกลัวหนาว่า
เมื่อจิตเข้าถึงใจแล้วจะไม่ทำให้เกิดความรู้อะไรต่าง ๆ
เมื่อไม่เกิดความรู้ ความสิ้นทุกข์มันจะมีมาแต่ไหน มันก็โง่เท่านั้นเอง
แม้พระผู้ใหญ่บางท่านก็พูดกับผู้เขียนเองเช่นนี้เหมือนกัน
ผู้เขียนเคยได้อธิบายแล้วว่า จิตเป็นผู้ส่งส่ายหาอารมณ์ต่าง ๆ มาครอบงำจิต
เมื่อจิตเห็นโทษของอารมณ์นั้น ๆ แล้ว จิตสละอารมณ์นั้นเสีย
แล้วเข้ามารวมเป็นหนึ่ง เลยกลายเป็นใจ
มิใช่เข้ามาอยู่เป็นใจเลยโดยมิได้ตรึกตรองพิจารณาให้รอบคอบ
เรียกว่า พิจารณาเหตุผลทุกแง่มุมจนถึงพระไตรลักษณ์ ไม่มีที่ไปแล้วจึงเข้าถึง
เมื่อเป็นเช่นนี้จะเรียกว่าไม่มีปัญญาได้อย่างไร
ก็มีปัญญาตามชั้นตามภูมิของตนนั้นเอง

สายท่าขนุน 05-10-2010 19:28

ดังได้อธิบายมาแล้วว่า
จิตเป็นเหตุให้เกิดกิเลส ถ้าไม่มีจิตกิเลสมันจะมีมาแต่ไหน
ทั้งเป็นเหตุให้เกิดปัญญา ถ้าหาจิตไม่ได้แล้วจะไปคิดปรุงแต่ง หาปัญญามาที่ไหน

เป็นเหตุให้เกิดกิเลสเพราะจิตส่งส่ายไม่เข้าถึงใจ “คือความเป็นกลาง”
เป็นเหตุให้เกิดปัญญาเพราะจิตส่งส่ายไปในที่ต่าง ๆ แล้วรวมเข้ามาลงในพระไตรลักษณ์
แล้วหยุดนิ่งเฉย รู้ตัวอยู่ว่านิ่งเฉย เข้าถึงใจ

สายท่าขนุน 08-10-2010 17:39

เหมือนกับตัวไหม เขาเลี้ยงด้วยหม่อน โตขึ้นโดยลำดับ จนกลายมาเป็นบุ้ง
แก่แล้วชักใยหุ้มตัวมันเอง เขาเรียกว่า ดักแด้ แก่เข้าแล้วเจาะรังออกมา เขาเรียกว่าแมลงบี้
ออกไข่ตั้งเยอะแยะ นับเป็นหมื่น ๆ แสน ๆ ตัว ฉันใด จิตก็ฉันนั้น
เมื่อมันรวมตัวเข้าเป็นใจแล้ว จะไม่มีอาการอะไรทั้งหมด
เมื่อมันออกจากใจมาแล้ว มันจะมีอาการมากมายเหลือจะประมาณ
(แต่ท่านผู้รู้ทั้งหลาย ท่านจะไม่ยอมให้มันออกไปเที่ยวเกิดอีก ประหารในที่เดียวเลย)
สรรพกิเลสของมนุษย์ผู้ไม่ได้ทำสมาธิภาวนา จิตยังวุ่นอยู่ในอารมณ์ต่าง ๆ
ก็เหมือนกับลูกแมลงบี้ที่เกิดจากแม่ตัวเดียว มีลูกนับเป็นหมื่น ๆ แสน ๆ ตัวฉะนั้น

สายท่าขนุน 08-10-2010 17:41

สรุปแล้ว กิเลสทั้งหลายของมนุษย์เรานี้เกิดจากจิตแต่ผู้เดียว
เมื่อสัมปยุตไปด้วยอายตนะทั้ง ๑๒ คือ ภายนอก ๖ มีรูป เสียง เป็นต้น
อายตนะภายใน ๖ มีตา หู เป็นต้น กระทบกัน แล้วก็เกิดผัสสะขึ้นมา
แล้วก็แผ่ออกเป็นลูกหลาน ลุกลามไปทั่วทั้งโลก
ให้เกิดความยินดียินร้าย ความรัก ความชัง เกลียด โกรธ
แล้วประหัตประหารฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ทำให้โลกนี้วุ่นวายไปหมด

สายท่าขนุน 13-10-2010 18:22

เมื่อรู้เช่นนี้ นักปฏิบัติทั้งหลายควรระวังสังวรอย่าให้จิตไปสัมปยุตด้วยอายตนะทั้ง ๑๒ เหล่านั้น
ทำใจให้เป็นกลางวางเฉยอยู่คนเดียว ถึงแม้จิตจะใช้อายตนะทั้งหลายเป็นเครื่องเที่ยว
ก็ให้ระวังใจไว้ อย่าให้หลงตามจิต

สายท่าขนุน 13-10-2010 18:24

เมื่อใจไม่หลงตามจิต เพราะใจรู้เท่าเข้าใจอาการของจิต
ว่าจิตเป็นผู้นำอารมณ์ให้ปรุงแต่งวุ่นวาย
ใจก็จะอยู่คนเดียวตามธรรมชาติของใจ เมื่อใจเป็นธรรมชาติของมันแล้ว
จิตจะปรุงจะแต่งก็เข้าไม่ถึงใจ เพราะใจไม่มีอาการไปแลอาการมา ไม่มีนอกแลใน
ไม่มีความยินดีแลยินร้าย ปล่อยวางเฉยในสิ่งทั้งปวงแล้ว จิตก็จะขวยเขินไปเอง

สายท่าขนุน 18-10-2010 17:27

นักปฏิบัติเมื่อเห็นชัดเจนตามเป็นจริงดังได้อธิบายมานี้แล้ว
จะเห็นสิ่งทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรม แลนามธรรมทั้งหลาย เห็นเป็นแต่สักว่า สภาวธรรม เท่านั้น
เกิดขึ้นจากเหตุปัจจัย หมดเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปเท่านั้น ไม่มีอะไรจะเป็นจริงเป็นจังเลย
แล้วแผ่นดินคือกายผืนแผ่นเล็ก ๆ อันนี้ กว้างศอก ยาววา หนาคืบ ก็จะบรรจุเต็มไปด้วยธรรมทั้งหมด
ตามองออกไปเห็นรูป ก็จะเห็นเป็นสักแต่รูปธรรมเท่านั้น ไม่เห็นเป็นอย่างอื่น
หูได้ฟังเสียง ก็จะเห็นเป็นสักแต่ว่าเป็นธรรมเท่านั้น จะไม่เป็นอย่างอื่น
จมูกถูกกลิ่น ลิ้นถูกรส กายถูกสัมผัส ใจมีอารมณ์เกิดขึ้น ก็สักแต่ว่าเป็นธรรมเท่านั้น
มิใช่สัตว์ ตัวตน เรา เขา หรืออะไรทั้งสิ้น

สายท่าขนุน 18-10-2010 17:29

คนไทยทั้งประเทศ เมื่อได้แผ่นดินคนละผืนเล็ก ๆ กว้างศอก ยาววา หนาคืบ อันนี้แล้ว
ตั้งใจรักษาแผ่นดินอันนี้ให้เป็นธรรม เมื่อต่างคนต่างรักษาแผ่นดินของตนให้เป็นธรรมแล้ว
ประเทศไทยก็จะกลายเป็นแผ่นดินธรรมไปทั้งหมด

คราวนี้ใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็จะสบายไม่ต้องลำบาก.

สายท่าขนุน 29-10-2010 17:28

สิ้นโลก เหลือธรรม
(ภาคปลาย)
โดย
พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์
(เทสก์ เทสรังสี)
วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย


โลกอันนี้มันหากเป็นอยู่อย่างนั้น
อย่าถือว่าเป็นของเรา
ถือเอาก็ไม่ได้อะไร ไม่ถือก็ไม่ได้อะไร
ปล่อยวางเสียให้เป็นของโลกอยู่ตามเดิม

สายท่าขนุน 29-10-2010 17:44

พากันมาฟังความเสื่อมฉิบหายของโลกต่อไป
“โลก” คือ ความเสื่อมอันจะต้องถึงแก่ความฉิบหายในวันหนึ่งข้างหน้า เขาจึงเรียกว่าโลก
ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วคำว่า โลก ก็จะไม่มี โลกเกิดจากวัตถุอันหนึ่งซึ่งเป็นก้อนเล็ก ๆ
อันเกิดจากฟองมหาสมุทรที่กระทบกันแล้วกลายเป็นก้อนเล็ก ๆ ขึ้นก่อน
จะเรียกว่าอะไรก็เรียกไม่ถูก เรียกว่าธาตุอันหนึ่งก็แล้วกัน
คือหมายถึงวัตถุธรรมชาติที่เกิดขึ้นมาเอง เป็นเอง
แล้วค่อยขยายกว้างใหญ่ไพศาลจรดขอบเขตแม่น้ำและมหาสมุทรทั้งสี่
โดยมีจักรวาลเป็นขอบเขต แล้วค่อยปริออกมาเป็นส่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ
แปรสภาพเป็นรูปลักษณะต่าง ๆ กัน มีอวัยวะครบบริบูรณ์
แล้วมีจิตวิญญาณซึ่งคุ้นเคยเป็นกันเองเข้ามาครอบครองทำหน้าที่บังคับบัญชาธาตุนั้น ๆ
ให้เป็นไปตามวัตถุของโลก ซึ่งเราเรียกกันว่า “คน” นั่นเอง

สายท่าขนุน 01-11-2010 20:01

แต่ละคนหรือตัวตนที่สมมติว่าคนนี้ ก็จะต้องเสื่อมสลายไปในวันหนึ่งข้างหน้าเช่นเดียวกัน
แม้ในเดี๋ยวนี้ คนหรือที่เรียกว่ามนุษย์สัตว์โลกหรือมนุษย์โลกก็กำลังเสื่อมไปอยู่ทุกวัน ๆ
ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้เมื่อพระองค์ทรงสำเร็จพระโพธิญาณใหม่ ๆ
มนุษย์ชาวโลกนี้มีอายุประมาณ ๑๐๐ ปี ระยะเวลาผ่านไป ๑๐๐ ปี อายุคนจะลดน้อยถอยลงมาปีหนึ่ง
ปัจจุบันนี้ พระพุทธองค์นิพพานไปได้ประมาณ ๒,๕๐๐ ปีแล้ว อายุของมนุษย์จะเสื่อมลงคงเหลือประมาณ ๗๕ ปี
ถ้าคำนวณตามแบบนี้ อายุของมนุษย์ก็เสื่อมเร็วนักหนา อายุของมนุษย์จะเสื่อมลงไปอย่างนี้เรื่อย ๆ
จนกระทั่งเหลือ ๑๐ ปี ก็มีครอบครัว เป็นผัวเมียสืบพันธุ์กัน
แม้สัตว์เดรัจฉานอื่น ๆ ก็เสื่อมลงโดยลำดับเช่นเดียวกันกับมนุษย์
ดินฟ้าอากาศก็เปลี่ยนแปลง แปรปรวนเป็นไปต่าง ๆ จนเป็นเหตุให้เกิดกลียุคฆ่าฟันกันตายเป็นหมู่ ๆ เหล่า ๆ
สัตว์ตัวใหญ่ที่มีอิทธิพลก็ทำลายสัตว์ตัวน้อย ให้ล้มตายหายสูญเป็นอันมาก
มนุษย์จะกลายเป็นคนไม่มีพ่อแม่พี่น้อง หรือญาติวงศ์ซึ่งกันและกัน
เมื่อเห็นหน้ากันและกันก็จับไม้ค้อนก้อนดินขึ้นมากลายเป็นศาสตราวุธประหัตประหารฆ่ากันตายเป็นหมู่ ๆ
เรื่องศีลธรรมไม่ต้องพูดถึงเลย แม่น้ำลำคลอง ห้วย หนอง คลอง บึง ก็เหือดแห้งเป็นตอน ๆ
ฝนไม่ตกเป็นหมื่น ๆ แสน ๆ ปี มีแต่เสียงฟ้าร้องครืน ๆ แต่ไม่มีฝนตกเลย

สายท่าขนุน 01-11-2010 20:06

เมื่อเป็นเช่นนั้น น้ำในทะเลอันใหญ่โตกว้างขวางและลึกจนประมาณมิได้ ก็เหือดแห้งกลายเป็นทะเลทราย
ปลาตัวหนึ่งซึ่งใหญ่ที่สุดในโลก มีชื่อว่า “ติมังคละ” ก็นอนตายอยู่บนกองทราย
และโดยอำนาจของแดดเผาผลาญ ทำให้ปลาตัวนั้นมีน้ำไหลออกมาบังเกิดเป็นไฟลุกท่วมท้น
ทำให้มนุษย์โลกทั้งหลายฉิบหายเป็นจุณวิจุณ เขาเรียกว่าไฟบรรลัยโลก
โลกนี้ทั้งหมดก็จะกลายเป็นอัชฌัตตากาศอันว่างเปล่า
สัตว์ที่มีวิญญาณก็จะขึ้นไปเกิดในภพของพรหมชั้นอาภัสสระ ซึ่งไฟนั้นไหม้ไม่ถึง

สายท่าขนุน 04-11-2010 12:17

ในหนังสือไตรโลกวิตถารท่านกล่าวว่า
โลกนี้ทั้งหมดจะต้องฉิบหายโดยอาการ ๓ อย่าง คือ ราคะ โทสะ โมหะ ๓ ประการนี้เป็นเหตุ

สัตว์หนาไปด้วยราคะ โลกนี้จะต้องฉิบหายด้วยน้ำ
สัตว์หนาไปด้วยโทสะ โลกจะต้องฉิบหายด้วยไฟ
สัตว์หนาไปด้วยโมหะ โลกจะต้องฉิบหายด้วยลม
โลกจะต้องฉิบหายด้วยการบรรลัยโลกกันอยู่อย่างนี้ ในระหว่างกัลป์ใหญ่ ๆ

สายท่าขนุน 04-11-2010 12:26

ไฟบรรลัยโลกเล็ก ๆ ที่เกิดในระหว่างกัลป์ใหญ่ ๆ นี้ มีปัญหาน่าพิจารณา

น้ำราคะอันมีอยู่ในมนุษย์ชาวโลก แต่ละคนมีอยู่น้อยนิดเดียว
ทำไมท่านแสดงว่าสามารถท่วมโลกได้จนเป็นน้ำบรรลัยโลก
โทสะและโมหะก็เหมือนกัน อยู่ในตัวมนุษย์โลกซึ่งมองไม่เห็น
ทำไมจึงแสดงฤทธิ์ใหญ่โตจนไหม้โลก และพัดเอาโลกจนฉิบหาย
ขอนักปราชญ์เจ้าจงใช้ปัญญาพิจารณาให้ถ่องแท้
เห็นจะไม่ท่วมโลกและเผาโลกให้ฉิบหายเป็นกัปเป็นกัลป์ดังว่านั้นก็ได้

พวกเราชาวโลกผู้มีน้ำและไฟหรือลมอยู่ในตัวนิดหน่อยนี้คงจะมองเห็นฤทธิ์เดช
เรื่องของทั้ง ๓ นี้ ว่ามีฤทธิ์เดชเพียงใด ราคะคือความกำหนัดยินดีในสิ่งสารพัด
วัตถุทั้งปวงมีผัวเมียเป็นต้น มันท่วมท้นอยู่ในอกโดยความรักใคร่อันหาประมาณมิได้
โทสะคือไฟกองเล็ก ๆ นี้ก็เหมือนกัน มันไหม้เผาผลาญสัตว์มนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ
โมหะก็เช่นเดียวกัน มันพัดเอาฝุ่นละอองกิเลสภายนอกและภายใน
มาท่วมทับหัวอกของคนจนมืดมิด ให้เข้าใจว่า สิ่งที่ผิดเป็นถูก

ของ ๓ อย่างนี้มีฤทธิ์เดชมหาศาล สามารถทำลายโลกให้เป็นกัปกัลป์ได้
และกัปนั้นท่านไม่ได้แสดงว่ามีอายุเวียนมาสักเท่าไร
เป็นแต่แสดงว่าเป็นกัปเล็ก ๆ ในระหว่างกัปใหญ่
เห็นจะเพราะน้ำราคะ ไฟโทสะ ลมโมหะ ท่วมโลกและเผาผลาญโลกนี้ไม่หมดสิ้น
ท่านถึงไม่แสดงถี่ถ้วน เพียงแต่พูดเปรย ๆ เพื่อให้นักปราชญ์ผู้มีปรีชาเอามาคิด เพื่อไม่ให้หลงผิด ๆ ถูก ๆ
รู้จักชัดแจ้งโดยใจของตนเอง ชัดแจ้งด้วยใจของตน แล้วนำมาพิจารณาเฉพาะตน ๆ

สายท่าขนุน 09-11-2010 12:09

ความฉิบหายของโลกเป็นมาอย่างนี้แล้ว ๆ เล่า ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด
พระบรมโพธิสัตว์ผู้ซึ่งท่านได้บำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศมาครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว
ชาวสวรรค์ทั้งปวงเล็งเห็นว่าโลกนี้วุ่นวายเดือดร้อนกันมาก จึงได้ไปทูลเชิญพระบรมโพธิสัตว์จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต
ลงมาปฏิสนธิในครรภ์ของพระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะตระกูลศากยราช
เมื่อคลอดออกจากครรภ์ของพระมารดาแล้ว เสด็จย่างพระบาทได้เจ็ดก้าว
ทรงแลดูทิศทั้งสี่แล้วเปล่งอาสภิวาจาว่า “อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺมึ” เราจะเป็นเลิศในโลก

สายท่าขนุน 09-11-2010 12:13

เมื่อทรงพระเจริญวัยขึ้นมาก็ได้เสวยความสุขอันเลิศ
จนกระทั่งเสด็จหนีออกบรรพชา ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ถึง ๖ พรรษา
จึงได้ค้นพบพระอริยสัจธรรมสำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อพระพุทธองค์ได้สำเร็จพระโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จึงทรงพิจารณามองเห็นสัตว์โลกที่เดือดร้อนวุ่นวาย
ด้วยไม่มีศีลธรรมเป็นเครื่องครอบครองหัวใจ จึงเป็นเหตุให้เกิดการอิจฉาริษยา
ฆ่าฟันกันตายเป็นหมู่ ๆ เหล่า ๆ เป็นเครื่องเดือดร้อนอยู่ตลอดกาล
และด้วยอาศัยพระเมตตากรุณาอันใหญ่หลวงของพระพุทธองค์ที่ทรงมีต่อมนุษย์สัตว์โลกทั้งหลาย
จึงทรงเทศนาสั่งสอนสัตว์นิกรทั้งหลายให้เข้าถึงธรรมะ ให้มีศีลธรรมประจำตนของแต่ละคน ๆ
เพื่อให้อยู่เย็นเป็นสุขตลอดกาล ดั่งที่พระองค์ทรงเทศนาธรรมโลกบาล
คือธรรมอันเป็นเครื่องคุ้มครองสัตว์โลก มี ๒ อย่าง คือ หิริ และ โอตตัปปะ

สายท่าขนุน 15-11-2010 17:55

แต่มนุษย์ชาวโลกทั้งหลายกลับเห็นว่าพระพุทธเจ้าเกิดมาทีหลังโลก ท่านต้องคุ้มครองเราซิ
ไม่ให้มีอันตรายและเดือดร้อนวุ่นวายถึงจะถูก

สายท่าขนุน 15-11-2010 17:59

ความเป็นจริงแล้วพระพุทธเจ้าไม่สอนให้มนุษย์เป็นทาสกรรมซึ่งกันและกัน
แต่พระองค์ทรงสอนให้มนุษย์มีอิสระคุ้มครองตัวเองแต่ละคน จึงจะอยู่เย็นเป็นสุข
ถ้าพระองค์ทรงสอนให้เป็นทาสกรรมซึ่งกันและกัน
เหมือนกับตำรวจและทหารต้องอยู่เวรเข้ายามรักษาเหตุการณ์อยู่ทุกเมื่อแล้ว
โลกนี้ก็จะดูเดือดร้อนอยู่ไม่เป็นสุขตลอดกาล
แต่พระองค์ทรงสอนหัวใจคนทุกคนให้รักษาตนเองโดยมีหิริ-โอตตัปปะ
คือความละอายและเกรงกลัวต่อบาป ถ้าทุก ๆ คน มีธรรมสองอย่างนี้อยู่ในหัวใจแล้ว
ก็จะไม่มีเวรมีภัยและการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน
มนุษย์คือโลกเล็ก ๆ นี้ก็จะอยู่เป็นสุขตลอดกาล
แล้วโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลก็จะพลอยอยู่เย็นเป็นสุขไปด้วย

สายท่าขนุน 19-11-2010 19:41

เป็นวิสัยธรรมดาของโลกที่จะต้องมีความเห็นเข้าข้างตัวเอง คือ เห็นว่า
พระพุทธเจ้าจะต้องคุ้มครองรักษาโลกเหมือนกับตำรวจรักษาเหตุการณ์ฉะนั้น
เหตุนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้พระธรรมแล้วจึงทรงสอนมนุษย์ชาวโลก
ให้มีศีลธรรมเกิดขึ้นในใจของตนแต่ละคน
มนุษย์จึงจะอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันได้ในโลกนี้ทั้งหมด
โลกอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้เกิดขึ้นมาก่อน แล้วธรรมจึงค่อยเกิดขึ้นภายหลัง
ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า โลกธรรมแปด
โลกเกิดขึ้นที่ใดธรรมต้องเกิดขึ้นที่นั่น ถ้าโลกไม่เกิดธรรมก็ไม่มี
ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงโลกธรรมแปดนั้น
หมายถึงโลกธรรม ๔ คู่ มีอาการ ๘ อย่างคือ
มีลาภ-เสื่อมลาภ ๑
มียศ-เสื่อมยศ ๑
มีสรรเสริญ-นินทา ๑
มีสุข-ทุกข์ ๑

สายท่าขนุน 19-11-2010 19:48

เมื่อโลกเกิดขึ้นแล้ว พระองค์จึงทรงสอนธรรมทับลงไปเหนือโลก
ตัวอย่างเช่น ความได้ในสิ่งสารพัดทั้งปวงเรียกว่า ลาภเกิดขึ้น
มนุษย์ได้ลาภก็เกิดความพอใจยินดี แล้วก็ไม่อยากให้ลาภเสื่อมเสียไป
และเมื่อลาภเสื่อมเสียไป ก็เกิดความเดือดร้อนตีโพยตีพาย
วุ่นวายกระสับกระส่ายไม่เป็นอันจะกินจะนอน
นั้นเรียกว่า โลก โดยแท้ พระองค์จึงทรงสอนธรรมทับลงเหนือโลกแท้ คือ
แสดงความได้ลาภ-เสื่อมลาภ ให้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นธรรมดาของโลก
แต่ไหนแต่ไรมาโลกนี้ต้องเป็นอยู่อย่างนั้น เราจะถือว่าของกู ๆ ไม่ได้
ถ้ายึดถือว่าของกู ๆ อยู่ร่ำไป เมื่อลาภเสื่อมไปมันจึงเป็นทุกข์เดือดร้อนกลุ้มใจ
นั่นแสดงให้เห็นชัดเลยว่า สิ่งนั้นไม่ใช่ของตน มันจึงเสื่อมไปหายไป
ถ้ามันเป็นของเราแล้วไซร้ มันจะหายไปที่ไหนได้
ท่านจึงว่ามันเป็นอนัตตาไม่ใช่ของตนของตัว มันจึงต้องเป็นไปตามอัตภาพอันแท้จริงของมัน
จึงเรียกว่าพระพุทธองค์ทรงสอนธรรมทับลงเหนือโลกให้เห็นโลกเป็นธรรมนั่นเอง

สายท่าขนุน 24-11-2010 20:12

ความได้ยศ-เสื่อมยศ ก็เช่นเดียวกัน
ได้ยศคือความยกย่องว่าเป็นใหญ่เป็นโต มีหน้ามีเกียรติ มีอำนาจหน้าที่ มีชื่อเสียง
จิตก็พองตัวขึ้นไปตามคำว่า “ยศ” นั้น หลงยึดว่าเป็นของตัวจริง ๆ จัง ๆ
ธรรมดาความยกย่องของคนทั้งหลายแต่ละจิตละใจก็ไม่เหมือนกัน
เขาเห็นดีเห็นงามในความมียศศักดิ์ของตนด้วยประการต่าง ๆ เขาก็ยกยอชมเชยด้วยความจริงใจ
แต่เมื่อเขาเห็นกิริยาวาจาอันน่ารังเกียจของตนที่แสดงออกมาด้วยอำนาจของยศศักดิ์
เขาก็จำเป็นต้องเสแสร้งแกล้งปฏิบัติไปด้วยความเกรงกลัว
ตนกลับไปยึดถือยศศักดิ์นั้นว่าเป็นของจริงของจัง
เมื่อมันเสื่อมหายไป ความเกรงใจจากคนอื่นก็หมดไปด้วย
ตนเองก็กลับโทมนัสน้อยใจ ไม่เป็นอันหลับอันนอน อันอยู่อันกิน
แท้จริงแล้วความได้ยศ-เสื่อมยศนี้ เป็นของมีอยู่ในโลกแต่ไหนแต่ไรมาเช่นนี้ ตั้งแต่เรายังไม่เกิดมา
พระพุทธองค์จึงทรงสอนธรรมทับลงเหนือโลก ให้เห็นว่า
ได้ยศ-เสื่อมยศนี้เป็นของมีอยู่ในโลก มิใช่ของใครทั้งหมด
ถ้าผู้ใดยึดถือเอาของเหล่านั้นย่อมเป็นทุกข์ไม่มีสิ้นสุด
ให้เห็นว่ามันเป็นอนัตตาไม่ใช่ของใครทั้งหมด
มันหากเป็นจริงอยู่อย่างนั้นแต่ไหนแต่ไรมา

สายท่าขนุน 07-12-2010 20:57

สรรเสริญ-นินทา ความสรรเสริญและนินทาก็เช่นเดียวกัน ในตัวคนคนเดียวนั่นแหละ
เมื่อเขาเห็นกิริยาอาการต่าง ๆ ที่น่าชมน่าชอบ เขาก็ยกยอสรรเสริญชมเชย
แต่เมื่อเขาเห็นกิริยาวาจาที่น่ารังเกียจ เขาก็ติเตียน
คนผู้เดียวกันนั่นแหละมีทั้งสรรเสริญและนินทา มันจะมีความแน่นอนที่ไหน
อันคำสรรเสริญและนินทาเป็นของไม่มีขอบเขตจำกัด
แต่คนในโลกนี้โดยมากเมื่อได้รับสรรเสริญจากมนุษย์ชาวโลกทั้งหลายที่เขายกให้ ก็เข้าใจว่าเป็นของตนของตัวจริง ๆ จัง ๆ
อันสรรเสริญไม่มีตัวตนหรอก มีแต่ลม ๆแล้ง ๆ หาแก่นสารไม่ได้ แต่เรากลับไปหลงว่าเป็นตัวเป็นตนจริง ๆ
ไปหลงหอบเอาลม ๆ แล้ง ๆ มาใส่ตนเข้า ก็เลยพองตัวอิ่มตัวไปตามความยึดถือนั้น
ไปถือเอาเงาเป็นตัวเป็นจริงเป็นจัง แต่เงาเป็นของไม่มีตัว
เมื่อเงาหายไปก็เดือดร้อนเป็นทุกข์ โทมนัสน้อยใจไปตามอาการต่าง ๆ ตามวิสัยของโลก
แท้จริงสรรเสริญ-นินทา มันหากเป็นอยู่อย่างนั้นแต่ไหนแต่ไรมา ก่อนที่เราจะเกิดมาเสียอีก
พระพุทธองค์ทรงเห็นว่ามนุษย์โง่เขลาหลงไปยึดถือเอาสิ่งไม่แน่นอนมาเป็นของแน่นอน จึงเดือดร้อนกันอย่างนี้
แล้วพระองค์ก็ทรงบัญญัติธรรมทับลงเหนือโลกอันไม่มีแก่นสารนี้ ให้เห็นชัดลงไปว่ามันไม่ใช่ของตัวของตน
เป็นแต่ลม ๆ แล้ง ๆ สรรเสริญเป็นภัยอันร้ายกาจแก่มนุษย์ชาวโลกอย่างนี้
แล้วก็ทรงสอนมนุษย์ชาวโลกให้เห็นตามเป็นจริงว่าสิ่งนั้น ๆ เป็นอนัตตา จะสูญหายไปเมื่อไรก็ได้
มนุษย์ผู้มีปัญญาพิจารณาเห็นตามเป็นจริงดั่งที่พระองค์ทรงสอนแล้ว ก็จะคลายความทุกข์เบาบางลงไปบ้าง
แต่มิได้หมายความว่า โลกธรรมนั้นจะหายสูญไปจากโลกนี้เสียเมื่อไร
เป็นแต่ผู้พิจารณาเห็นตามเป็นจริงดั่งที่ว่ามาแล้ว ทุกข์ทั้งหลายก็จะเบาบางลงเป็นครั้งคราว
เพราะโลกนี้ก็ยังคงเป็นโลกอยู่ตามเดิม ธรรมก็ยังคงเป็นธรรมอยู่ตามเดิม
แต่ธรรมสามารถแก้ไขโลกได้บางครั้งบางคราว เพราะโลกนี้ยังหนาแน่นด้วยกิเลสทั้ง ๘ ประการอยู่เป็นนิจ
ความเดือดร้อนเป็นโลก ความเห็นแจ้งเป็นธรรม ทั้งสองอย่างเป็นเครื่องปรับปรุงเป็นคู่กันไปอยู่อย่างนี้
เมื่อกิเลสหนาแน่นก็เป็นโลก เมื่อกิเลสเบาบางก็เป็นธรรม

สายท่าขนุน 17-12-2010 16:52

มีสุข – ทุกข์ ทุกข์เป็นของอันโลกไม่ชอบ แต่ก็เป็นธรรมดาด้วยโลกที่เกิดมาในทุกข์ อันนี้ก็เป็นทุกข์เดือดร้อนอยู่นั่นเอง
ความสุขย่อมเป็นที่ปรารถนาของโลกโดยทั่วไป ฉะนั้นเมื่อความทุกข์เกิดขึ้นจึงเดือดร้อน เมื่อความสุขหายไปจึงไม่เป็นที่ปรารถนา
แต่แท้ที่จริงความทุกข์และความสุขที่เกิดขึ้นแล้วหายไปนั้น มันหากเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา
เราเกิดมาทีหลังโลก เราจึงมาตื่นทุกข์ตื่นสุขว่าเป็นของตนของตัว ยึดมั่นสำคัญว่าเป็นจริง เป็นจัง
เมื่อทุกข์เกิดขึ้นสุขหายไป จึงเดือดร้อนกระวนกระวาย หาที่พึ่งอะไรก็ไม่ได้
พระพุทธเจ้าทรงเทศนาว่าโลกอันนี้มีแต่ทุกข์ไม่มีสุขเลย

สายท่าขนุน 17-12-2010 16:55

ฉะนั้น ทุกข์จึงเป็นเหตุให้พระองค์พิจารณาจนเห็นตามสภาพความเป็นจริง แล้วทรงเบื่อหน่ายคลายจากทุกข์นั้น
จึงทรงเห็นพระอริยสัจธรรมแล้วพระองค์ก็ทรงบัญญัติธรรมลงเหนือทุกข์-สุข ให้เห็นว่า
โลกอันนี้มันหากเป็นอยู่อย่างนั้น อย่าถือว่าเป็นของเรา ถือเอาก็ไม่ได้อะไร ไม่ถือก็ไม่ได้อะไร
ปล่อยวางเสียให้เป็นของโลกอยู่ตามเดิม
ทรงรู้แจ้งแทงตลอดว่าอันนั้นเป็นธรรม โลกธรรมจึงอยู่เคียงกัน ดังนี้

สายท่าขนุน 29-12-2010 18:55

ความเป็นอยู่ของโลกทั้งหมดเมื่อประมวลเข้ามาแล้วก็มี ๔ คู่ ๘ ประการ ดั่งอธิบายมาแล้ว
ไม่นอกเหนือไปจาก ธรรม ๔ คู่ ๘ ประการนี้ โลกเกิดมาเมื่อไร ก็ต้องเจอธรรม ๔ คู่ ๘ ประการนี้เมื่อนั้น อยู่ร่ำไป
พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ทรงอุบัติขึ้นมาก็เพื่อมาแก้ทุกข์ ๔ คู่ ๘ ประการนี้ทั้งนั้น
พระองค์จึงตรัสว่า “เอส ธมฺโม สนนฺตโน” ธรรมนี้เป็นของเก่าแก่แต่ไหนแต่ไรมา
พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ก็มาตรัสรู้ในธรรมทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าจะมีคำถามว่า
พระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ในโลกก็เอาของเก่าที่พระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ ตรัสไว้แล้วแต่เมื่อก่อนมาตรัสรู้หรือ
วิสัชนาว่า ไม่ใช่เช่นนั้น ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นของที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อน
และไม่มีครูบาอาจารย์สอนเลย พระองค์ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองต่างหาก
ไม่เหมือนความรู้ที่เกิดจากปริยัติ ความรู้อันเกิดจากปริยัติไม่ชัดแจ้งเห็นจริงในธรรมนั้น ๆ
ส่วนธรรมที่พระองค์ตรัสรู้นั้นเป็นของ ปจฺจตตํ รู้ด้วยตนเอง ไม่มีใครบอกเล่า และก็หายสงสัยในธรรมนั้น ๆ
แต่เมื่อรู้แล้วมันไปตรงกับธรรมที่พระองค์ทรงเทศนาไว้แต่ก่อน เช่น
ทุกข์เป็นของแจ้งชัดประจักษ์ในใจ สมุทัยเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เมื่อละสมุทัยก็ดำเนินตามมรรคและถึงนิโรธ
ตรงกันเป๋งกับธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้แต่ก่อน ๆ โน้น จึงเป็นเหตุให้เข้าถึงอริยสัจ
ไม่เหมือนกับคนผู้เห็นตามบัญญัติที่พระองค์ตรัสไว้แล้ว และจดจำเอาตามตำรามาพูด
แต่ไม่เห็นจริงตามตำราในธรรมนั้น ๆ ด้วยใจตนเอง

สายท่าขนุน 29-12-2010 19:02

เมื่อโลกนี้เกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องมีการใช้จ่ายใช้สอยแลกเปลี่ยนวัตถุสิ่งของซึ่งกันและกัน จึงจะอยู่ได้
เหตุนั้นรัฐบาลจึงคิดเอาวัตถุธาตุคือโลหะแข็ง ๆ มาทำเป็นรูปแบน ๆ กลม ๆ
แล้วจารึกตัวเลขลงบนแผ่นโลหะนั้นเป็นเลขสิบบ้าง ยี่สิบบ้าง หนึ่งร้อยบ้าง
ที่เรียกว่า เหรียญสิบบาท ยี่สิบบาท ร้อยบาท เป็นต้น
หรือเอากระดาษอย่างดีมาจัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
แล้วใส่ตัวเลขลงไปเป็น สิบบ้าง ยี่สิบบ้าง หนึ่งร้อยบ้าง ห้าร้อยบ้าง
ตามความต้องการแล้ว เรียกว่า ธนบัตร
เอาไว้ให้ประชาชนแลกเปลี่ยนซื้อขายซึ่งกันและกัน
เมื่อมีเงินจะซื้อวัตถุสิ่งของอะไรก็ได้ตามที่ตนต้องการ
คนที่ต้องการเงินเขาก็เอาวัตถุสิ่งของ อีกคนหนึ่งต้องการธนบัตรที่มีราคาเท่ากัน
ก็จะเป็นวัตถุหรือเงินตราก็ช่าง เรียกว่า “ได้”
แต่เมื่อได้วัตถุมาเงินก็หายไป เมื่อได้เงินมาวัตถุก็หายไป
เรียกว่าได้ลาภเสื่อมลาภพร้อมกันทีเดียว

สายท่าขนุน 05-01-2011 18:34

โลกอันนี้เป็นอยู่อย่างนี้แต่ไหนแต่ไรมา คนหลงมัวเมาในวัตถุและเงินตรา ก็คิดว่าตนได้มา ตนเสียไป
ก็แสดงอาการชอบใจแลเสียใจไปตามสิ่งของนั้น ๆ พระพุทธเจ้าทรงเห็นโลกเดือดร้อนวุ่นวายด้วยประการนี้
และด้วยอาศัยความเมตตามหากรุณาอย่างยิ่ง ที่ทรงมีต่อบรรดาสัตว์ทั้งหลาย
พระองค์จึงทรงชี้เหตุเหล่านั้นว่า เป็นทุกข์เดือดร้อนเมื่อของเหล่านั้นหายไป เป็นสุขสบายเมื่อได้ของเหล่านั้นมา
ไม่เห็นตามเป็นจริงในสิ่งเหล่านั้น เมื่อเกิดเป็นทุกข์เดือดร้อนกระสับกระส่ายในใจของตน
ก็เป็นเหตุให้แสดงอาการดิ้นรนไปภายนอกด้วยอากัปกิริยาต่าง ๆ จนเป็นเหตุให้เดือดร้อนวุ่นวายทั่วไปหมดทั้งโลก
เหตุนั้น พระองค์จึงทรงสอนให้เข้าถึง “ใจ” เพราะมนุษย์มีใจด้วยกันทุกคนสามารถที่จะรู้ได้
ผู้มีปัญญารู้ตามที่พระองค์ทรงสอนว่า ความได้ลาภ-เสื่อมลาภ มีพร้อม ๆ กันในขณะเดียวกัน
จึงไม่มีใครได้ใครเสีย ได้ก็เพราะมัวเมา เสียก็เพราะมัวเมาในกิเลสเหล่านั้น
ผู้มีปัญญาพิจารณาเห็นแจ้งตามนัยที่พระองค์ทรงสอน จึงสร่างจากความมืดมนเหล่านั้น
พอจะบรรเทาทุกข์ลงได้บ้าง แต่มิได้หมายความว่าพระองค์ทรงสอนให้รู้แจ้งเห็นจริงตามเป็นจริง
แล้วจะบรรเทาทุกข์ได้ทั้งหมดเป็นธรรมล้วน ๆ ก็หาไม่ เพราะโลกนี้มันมืดมนเหลือเกิน
พอจะสว่างขึ้นนิดหน่อย กิเลสมันก็คุมเข้ามาอีก โลกนี้มันหากเป็นอยู่อย่างนั้นแต่ไหนแต่ไรมา

พระองค์ลงมาตรัสรู้ในโลกอันมืดมนก็ด้วยทรงเห็นว่า สิ่งเหล่านั้นมันเป็นความทุกข์ของสัตว์โลก
จึงได้ลงมาตรัสรู้ในหมู่ชุมชนเหล่านั้น ถ้าโลกไม่มี กิเลสไม่มีพระองค์ก็คงไม่ได้เสด็จลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในโลกนี้
พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ที่ลงมาตรัสรู้ในโลกนี้ก็ในทำนองเดียวกัน ทรงเล็งเห็นโลกอย่างเดียวกัน
คือ ทรงเห็นความเดือดร้อนวุ่นวายเพราะมนุษย์ไม่มีปัญญาพิจารณาเห็นโลกตามเป็นจริงดังกล่าวมาแล้ว

สายท่าขนุน 11-01-2011 19:45

พระองค์ทรงสอนให้พวกมนุษย์ที่มัวเมาอยู่ในโลกเหล่านั้น เห็นแจ้งประจักษ์ด้วยใจของตนเองว่าเป็นทุกข์
เพราะไม่เข้าใจรู้แจ้งเห็นจริงตามสภาวะของโลกดังอธิบายมาแล้ว บางคนพอรู้บ้างก็สร่างจากความมัวเมา
เพราะรู้แจ้งตามเป็นจริงตามปัญญาของตน ๆ แต่บางคนก็มืดมิดไม่เข้าใจของเหล่านี้ตามเป็นจริงเอาเสียเลยก็มีมากมาย
ทุกข์ของโลกจึงเป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาตรัสรู้ในโลก และก็อาศัยความเมตตากรุณาอย่างเดียวนี้ด้วยกันทั้งนั้น
พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ที่ทรงปรารถนาจะมาตรัสรู้ในโลก ก็โดยทำนองเดียวกันนี้
หรือจะกล่าวว่าโลกเกิดขึ้นก่อนแล้ววุ่นวายกระสับกระส่ายเดือดร้อน ด้วยประการอย่างนี้
จนเป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก เรียกว่า โลกเกิดก่อนธรรม ก็ว่าได้

สายท่าขนุน 11-01-2011 19:51

พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่จะลงมาตรัสรู้ตามยุคตามสมัยของพระองค์
เมื่อพระองค์ทรงเล็งเห็นว่าในยุคนั้น สมัยนั้น อายุประมาณเท่านั้นเท่านี้
สมควรจะได้รับฟังพระธรรมเทศนาของพระองค์
พระองค์จึงได้อุบัติขึ้นมาเทศนาสั่งสอนนิกรสัตว์ทั่วโลก
เมื่อเทศนาสั่งสอนแล้วจนเข้าพระนิพพาน
บางพระองค์ก็ได้ไว้ศาสนา อย่างพระโคดมบรมครูของพวกเราทั้งหลาย
พระองค์ทรงไว้ศาสนาเมื่อนิพพานแล้ว ๕,๐๐๐ ปี
เพื่ออนุชนรุ่นหลังที่ยังเหลือหลอจะได้ศึกษาพระธรรมวินัยต่อไป
บางพระองค์ก็ไม่ได้ไว้พระศาสนา
อย่างพระศรีอารยเมตไตรยทรงมีพระชนมายุ ๘๐,๐๐๐ ปี เป็นต้น
เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้ว ทรงสั่งสอนมนุษย์สัตว์นิกรอยู่จนพระชนม์ได้ ๘๐,๐๐๐ ปี
ก็เสด็จปรินิพพานแล้วก็ไม่ได้ทรงไว้พุทธศาสนาอีกต่อไป
เพราะพระองค์ทรงพิจารณาแล้วเห็นว่าสัตว์ผู้จะมาศึกษาพระธรรมวินัยของพระองค์
ได้หมดไปไม่เหลือหลอแล้ว ผู้สมควรจะได้มรรคผลนิพพานสิ้นไปหมดเท่านั้น

สายท่าขนุน 17-01-2011 18:52

โลกวินาศย่อมหมุนเวียนเปลี่ยนไปเป็นวัฏจักรดังอธิยายมาแล้วแต่ต้นตลอดกัปป์ตลอดกัลป์
หาความเที่ยงถาวรไม่มีสักอย่างเดียว
แต่คนผู้มีอายุสั้นหลงใหลในสิ่งที่ตนได้ตนเสีย ก็เดือดร้อนวุ่นวายอยู่ร่ำไป
แท้ที่จริงสิ่งเหล่านั้นมีอยู่ประจำโลกแต่ไหนแต่ไรมา
ผู้มีปัญญาพิจารณาเห็นความเสื่อมความเสียตามนัยที่พระองค์ทรงสอน
เห็นเป็นของน่าเบื่อหน่ายคลายความกำหนัด แล้วละโลกนี้เขาถึงพระนิพพานจนหาประมาณมิได้
ผู้ไม่มีปัญญาก็จมอยู่ในวัฏสงสารมากมายเหลือที่จะคณานับ โลกเป็นที่คุมขังของผู้เขลาเบาปัญญา
แต่ผู้มีปัญญาแล้วไม่อาจสามารถคุมขังเขาได้ โลกเป็นของเกิดดับอยู่ทุกขณะ
ธรรมอุบัติขึ้นมาให้รู้แจ้งเห็นจริงในโลกนั้น ๆ แล้วตั้งอยู่มั่นคงถาวรต่อไป เรียกว่า โลกเกิด-ดับ
ธรรมเกิดขึ้นตั้งอยู่ถาวรเป็นนิจจังเพราะไม่ตั้งอยู่ในสังขตธรรม ธรรมเป็นของไม่มีตัวตน
แต่พระพุทธเจ้าทรงเทศนาไว้ที่หัวใจของคน คนรู้แล้วตั้งมั่นตลอดกาล
ถึงคนจะไม่รู้เท่าทันแต่ธรรมนั้นก็ตั้งอยู่เป็นนิจกาล เป็นแต่ไม่มีใครรู้ใครสอนธรรมนั้นออกมาแสดงแก่คนทั้งหลาย
ถึงแม้พระพุทธองค์จะนิพพานไปแล้ว แต่ธรรมนั้นก็ยังตั้งอยู่คู่ฟ้าแผ่นดิน จึงเรียกว่า อมตะ
โลกเป็นของเสื่อมฉิบหายดังกล่าวมาแล้ว เพราะตั้งอยู่ในสังขตธรรม มีอันจะต้องแปรปรวนไปเป็นธรรมดา
ธรรมที่พระองค์ทรงสอนให้รู้แจ้งเห็นจริงเข้าถึงหัวใจคนเป็นของไม่มีตัวตนเป็นอนิจจัง ไม่ได้ตั้งอยู่เป็นกลาง ๆ
ถึงคนนั้นจะตายไป แต่ธรรมก็ยังมีอยู่เช่นนั้น จึงเรียกว่า “สิ้นโลก เหลือธรรม” ด้วยประการฉะนี้.

สายท่าขนุน 17-01-2011 19:07

สิ้นโลก เหลือธรรม
(นัยที่สอง)
โดย
พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์
(เทสก์ เทสรังสี)
วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย



"การพิจารณากาย-เวทนา-จิต-ธรรม
ให้เห็นเป็นสักแต่ว่านั้นไม่ใช่ของง่าย
เพราะมันเป็นการลบสมมติบัญญัติของเดิมทั้งหมด
ที่เห็นเป็นสักแต่ว่านั้น มันเป็นบัญญัติสมมติใหม่
ซึ่งเกิดจากสติปัฏฐาน ถ้าผู้ปฏิบัติพิจารณาได้อย่างนี้
มันก็จะละการถือตน ถือตัว ถือเขา ถือเรา ให้หมดสิ้นไปจากใจได้
นี้เป็นเบื้องต้นของสติปัฏฐาน"

สายท่าขนุน 24-01-2011 18:17

สิ้นโลก เหลือธรรม
(นัยที่สอง)
โดย
พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์
(เทสก์ เทสรังสี)

บทนำ


บัดนี้จะได้บรรยายเรื่องความสิ้นไปแห่งโลกโดยมีธรรมเข้ามาอุดหนุน
แท้ที่จริงผู้บรรยายเรื่องสิ้นโลกเหลือธรรมนัยแรกกับนัยที่สองนี้ก็เป็นคนเดียวกันนั่นแหละ
เพียงแต่เปลี่ยนสำนวนโวหารไปอีกอย่างหนึ่ง โดยนัยแรกบรรยายสรุปธรรมทั้งหมด
ส่วนนัยที่สองนี้บรรยายเรื่องโลกสิ้นไปตามลำดับขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด
ยังเหลือแต่เพียงธรรมล้วน ๆ เป็นอมตะ ไม่เกิดไม่ดับ
ขอผู้อ่านโปรดพิจารณาสำนวนหลังนี้ด้วยว่าจะสามารถเข้าใจและปฏิบัติได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมหรือไม่
จะกล่าวถึงเรื่องโลกและธรรมว่ามันผิดแผกกันอย่างไร โลกที่สิ้นไปเป็นอย่างไร ธรรมที่ยังเหลืออยู่นั้นเป็นอย่างไร

สายท่าขนุน 24-01-2011 18:20

โลก ในที่นี้คือ ดิน ฟ้า อากาศ รวมทั้งแผ่นดิน ต้นไม้ ภูเขา เถาวัลย์ที่เกิดเกลื่อนกลาดอยู่ทั่วจักรวาล
เรียกว่า โลกธาตุ

มนุษย์ทั้งหลายที่พูดจาภาษาต่าง ๆ กัน ลักษณะท่าทาง ผิวพรรณ ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีที่ต่างกัน
ถือลัทธิศาสนาต่าง ๆ กัน มนุษย์ที่มีอยู่บนผิวแผ่นดินนี้ทั้งหมดเรียกว่า มนุษยโลก

สายท่าขนุน 03-03-2011 11:48

โลกมีอยู่สองอย่างที่เรียกว่า โลกธาตุหนึ่ง และมนุษย์โลกหนึ่ง ดังอธิบายมาแล้วนี้
ส่วนมนุษย์โลกได้แก่คนทั่วไปนั้น บุญกรรมตกแต่งให้มาเกิด
ทั้งสองอย่างนี้เรียกว่า โลก
มีอาชีพคือประกอบด้วยอาหาร *อย่างเดียวกัน ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็อย่างเดียวกัน
ถ้าจะกล่าวว่าโลก คือความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพของสิ่งเหล่านั้น
หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า โลกคือการลอยอยู่ท่ามกลางความหมุนเวียนก็ได้

สายท่าขนุน 03-03-2011 11:53

คนเราเกิดมาได้อวัยวะน้อยใหญ่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย แข้งขา มือเท้าครบครันบริบูรณ์ โดยไม่มีใครตบแต่ง
แต่กรรมนั่นแหละเป็นผู้แต่งมาสำหรับรองรับซึ่งโลกธาตุภายนอก หรืออายตนะภายนอกก็เรียก
เช่น ตาคอยรับรูปภายนอก หูคอยรับเสียงภายนอก เป็นต้น ให้เกิดความยินดี พอใจ หรือความไม่ยินดีพอใจในสิ่งนั้น ๆ
เรียกว่าโลกภายในเกิดมาสำหรับไว้รองรับโลกภายนอก ดังอธิบายมานั้น
ผู้เขียนเป็นผู้เรียนน้อย ศึกษาน้อย พูดธรรมก็แบบพื้น ๆ ตามภาษาตลาดชาวบ้าน เพื่อประสงค์ให้อ่านแล้วเข้าใจง่าย
เพราะคนส่วนมากมีโอกาสได้เรียนน้อยศึกษาน้อย ขอท่านผู้รู้นักปราชญ์ทั้งหลายจงอภัยให้แก่ผู้เขียนด้วย
แต่ทางด้านประสบการณ์เกี่ยวกับการปฏิบัติ ทั้งภายในและภายนอก ผู้เขียนเข้าใจว่ามีมากพอสมควร
ซึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นได้ประสบด้วยตนเองมาแล้วทั้งนั้น
หากท่านผู้อ่านต้องการรู้ ผู้เขียนจะได้อธิบายเป็นเรื่อง ๆ เพื่อความเข้าใจชัดแจ้งต่อไป

สายท่าขนุน 03-03-2011 12:01

พระพุทธเจ้าเกิดมาในยุคใดสมัยใดในโลกนี้
พระองค์ทรงมีความเมตตาเอ็นดูสงสารสัตว์โลกที่ไม่รู้จักว่าโลกหรือธรรม
พระองค์จึงทรงแสดงให้มนุษย์ชาวโลกเห็นธรรมตามวิสัยวาสนาของบุคคล
ไม่ให้ปะปนสับสนวุ่นวายซึ่งกันและกัน
และให้ยึดเอาธรรมที่เห็นแล้วนั้นเป็นหลักที่พึ่งอาศัย
กำจัดโลกที่เข้ามาแทรกในธรรมให้ออกไปจากธรรม
ให้คงเหลือแต่ธรรมล้วน ๆ เรียกว่า สิ้นโลก-เหลือธรรม

สายท่าขนุน 15-03-2011 19:08

คุณพระรัตนตรัย

พระพุทธองค์ทรงแสดงเรื่องคุณของพระรัตนตรัย ดังจะอธิบายพอสังเขป
พระรัตนตรัยมีคุณอเนกเหลือที่จะคณานับ
ทรงสอนให้มนุษย์เอาใจไปยึดไว้ในคุณของพระรัตนตรัย ดังนี้

อรหํ สมฺมาสมฺพทโธ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบด้วยประการอย่างนี้ ๆ
ทรงเป็นผู้แจกธรรมด้วยความรู้ที่เป็นพระอรหันต์และตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง
คำว่าตรัสรู้เองโดยชอบนั้น หมายความว่า ชอบด้วยเหตุผลและศีลธรรม
อันเป็นเหตุให้นำผู้ปฏิบัติตามที่พระองค์สอนไว้นั้นเข้าถึงสวรรค์ พระนิพพาน เหลือที่จะคณานับ
จึงกล่าวว่าผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ
ภควา ธรรมที่พระองค์ทรงแสดงแจกไว้นั้นมีมากมายหลายประการนับไม่ถ้วน
แต่พอจะประมวลมาแจกแจงแสดงให้เห็นได้ตามหลักพระพุทธศาสนา

สายท่าขนุน 15-03-2011 19:14

สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว
คำว่า ดี ในที่นี้ หมายความว่า ดีเลิศประเสริฐสุดที่มนุษย์จะสามารถทำได้
ดีด้วยเหตุด้วยผล อันมนุษย์ปุถุชนสามารถฟังได้ เข้าใจได้ตามความเป็นจริง
แล้วสามารถนำมาปฏิบัติให้สมควรแก่อัธยาศัย ซึ่งเป็นไปในทางสวรรค์และพระนิพพาน
พระองค์ทรงแสดงธรรมโดยอรรถและพยัญชนะครบครันบริบูรณ์
ซึ่งนักปราชญ์ทั้งหลายในโลกไม่สามารถจะคัดค้านได้ว่าเป็นของไม่จริงไม่แท้
อรรถและพยัญชนะที่พระองค์ทรงแสดงสอนไว้แล้วนั้น
คือธรรมที่แปลว่าของจริงของแท้
ทำ คือการกระทำกิจธุระภาระทั้งหมดที่โลกพากันกระทำอยู่นั้น
ธรรมเนียม คือประเพณีอันดีงามที่โลกถือปฏิบัติมาโดยลำดับ
ธรรมดา คือ คำสอนที่พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วนั่นเอง
ธรรม
แปลว่าธรรมชาติซึ่งเกิดเองแล้วก็ย่อมต้องดับไปเป็นธรรมดา

สายท่าขนุน 15-03-2011 19:20

สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ หมู่พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามคำสอนของพระองค์ที่เรียกว่า ปาริสุทธิศีล ๔ เป็นต้น
มีการปฏิบัติให้ถูกต้องตามศีลสิกขาบทนั้น ๆ ให้สมบูรณ์บริบูรณ์ คือ
๑. ปาฏิโมกขสังวรศีล สำรวมในพระปาฏิโมกข์ เว้นจากข้อที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม
กระทำตามข้อที่พระองค์ทรงอนุญาต
๒. อินทรียสังวรศีล สำรวมอินทรีย์ ๖ มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
๓. อาชีวปาริสุทธิศีล เลี้ยงชีวิตโดยทางที่ชอบ ประกอบแต่กรรมที่เป็นกุศล
งดเว้นจากกรรมไม่ดีทั้งปวง
๔. ปัจจัยสันนิสิตศีล พิจารณาเสียก่อนจึงบริโภคปัจจัย ๔

อุชุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ หมู่พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติตรง
ต่อความบริสุทธิ์คือพระนิพพาน
ญายปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ หมู่พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติธรรม
เพื่อขัดเกลากิเลสอันเป็นเหตุให้บริสุทธิ์ สิ้นภพ สิ้นชาติ
สามีจิปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ หมู่พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติเป็นใหญ่
เป็นเจ้าของแห่งคำสอนของพระพุทธเจ้า อุปมาเปรียบเสมือนบุคคลได้สมบัติอันล้ำค่ามาแล้ว
มีสิทธิ์ที่จะปกป้องรักษาสมบัตินั้นไว้ด้วยตนเอง ใครจะมาประมาทดูหมิ่นดูถูกไม่ได้
จะต้องสกัดกั้นด้วยปัญญาและวาทะอันเฉียบแหลม เพื่อให้ผู้นั้นกลับใจมาเป็นพวกพ้องของตน


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:09


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว