กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๙ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5319)

เถรี 28-12-2016 19:54

กัลยาณมิตร ท่านบอกว่าประกอบไปด้วย

๑. ปิโย เป็นผู้น่ารัก น่าชิดใกล้ ไม่อย่างนั้นแล้วใครก็ไม่กล้าเข้าใกล้ไปสอบถาม
๒. ครุ มีความหนักแน่น คือ กำลังใจหนักแน่น ไม่ขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่เปลี่ยนแปลงง่าย
๓. ภาวนีโย เป็นผู้ชักชวนไปในทางที่เจริญ คือทำให้ กาย วาจา ใจ ของเราดีขึ้น
๔. วัตตา เป็นผู้รู้จักใช้คำพูด
๕. วจนักขโม
เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำได้ ใครจะว่าอะไรจะช่าง จะงี่เง่าเต้าทึงขนาดไหนท่านก็รับได้หมด
๖. คัมภีรัญจะ กะถัง กัตตา เป็นผู้สามารถอธิบายหัวข้อธรรมที่ลึกซึ้งได้

ข้อสุดท้ายที่สำคัญ คือ ๗.โน จัฏฐาเน นิโยชะเย ไม่ชักนำไปในทางเสื่อมเสีย เช่น เขาปฏิบัติธรรมอยู่ดี ๆ ก็พาไปเข้าสำนักทรง เป็นต้น

ดังนั้น...ครูบาอาจารย์จัดเป็นกัลยาณมิตรชั้นยอด แต่ไม่ใช่กัลยาณมิตรแบบวัดธรรมกาย แบบนั้นท่านชวนบริจาคอย่างเดียว ถ้าไม่บริจาคก็ตื๊อไม่เลิก

เถรี 28-12-2016 20:00

พระอาจารย์กล่าวว่า "วสี คือ ความชำนาญ เกิดจากการฝึกฝน วสีมีอะไร ? มีความชำนาญในการเข้าฌาน มีความชำนาญในการออกฌาน มีความชำนาญในการกำหนดไปตามลำดับฌาน มีความชำนาญในการเข้าออกสลับฌาน มีความชำนาญในการทรงฌานตามเวลา ทำกันได้ครบไหมนี่ ?

วุฎฐานวสี ชำนาญในการออก เข้าอย่างเดียวไม่ได้ ต้องชำนาญในการออกด้วย อยู่ที่วัดท่าขนุนอาตมาก็พยายามฝึกพระฝึกโยม ฝึกเท่าไรก็ไม่ค่อยจะได้เรื่อง เพราะส่วนใหญ่จะติดแหง็ก ถ้าสังเกตจะเห็นว่าที่วัดท่าขนุนจะเจริญกรรมฐานก่อน แล้วก็ทำวัตรเลย ส่วนใหญ่คลายกำลังใจออกมาไม่ได้ หรือออกมาได้ก็กลับเข้าไปใหม่ นั่งแข็งทื่อ ปล่อยให้พระ ๒-๓ รูปนั่งสวดมนต์ไป ที่เหลือก็สบาย นั่งเงียบ คลายไม่ออก ฝึกแล้วฝึกอีกก็คลายไม่ออก

ยิ่งท่านอาจารย์เตชะยิ่งแล้วใหญ่ พวกกลับกุฏิกันหมดแล้ว ท่านยังนั่งทื่ออยู่คนเดียว ท่านอาจารย์เตชะชำนาญในการเข้า คือมีสมาปัชชนวสี แต่ขาดวุฎฐานวสี เนื่องจากมีคำว่า "ฐานะ" ตามหลัง พออ่านติดกันกลายเป็น "นวสี" คนที่อ่านไม่เข้าใจจะกลายเป็นป่าช้า ๙ ไปอีก"

เถรี 28-12-2016 20:16

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องความกลัวนี้ว่ากันไม่ได้ เพราะว่าถ้าเราพิจารณาไม่ตลอดก็จะกลัวอยู่นั่นแหละ กลัวไม่เลิก อาตมาพิจารณาอยู่เป็นปี ๆ ว่าความกลัวมาจากไหน ตามดูอยู่เป็นปี ๆ ในที่สุดก็สรุปได้ว่ากลัวตาย กลัวตายแล้วเราไปคิดล่วงหน้าก็ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ ถ้าหยุดคิดได้ก็จะเลิกกลัวไปเอง

ไปนั่งกรรมฐานในป่าช้า พอดึก ๆ หน่อย ๔-๕ ทุ่ม งูก็ออกหากิน เสียงเลื้อยมาตามใบไม้แกรก ๆ ฟังดูก็รู้ว่าตัวประมาณนิ้วชี้เท่านั้นแหละ ไม่ได้ใหญ่โตอะไรหรอก ก็นั่งภาวนาต่อไป แวบเดียวเท่านั้นเอง ใจบอกว่า "ถึงตัวเท่านิ้วชี้ แต่ถ้ามีพิษก็กัดเราตายเหมือนกันนะ" ความรู้สึกเริ่มหลอกตัวเอง รู้สึกว่างูตัวนั้นใหญ่ขึ้นอีกหน่อยหนึ่ง แล้วก็คิดแบบนี้ไปเรื่อย ๆ "จะใหญ่กว่าที่เราคิดอีกนิดหนึ่งกระมัง ?" จากที่ใหญ่เท่านิ้วชี้นิ้วโป้ง ตอนนี้ชักใหญ่เท่าถ่านไฟฉายแล้ว กลัวมากขึ้นไปเรื่อย ๆ

ท้ายสุดยังไม่ทันจะเห็นงูเลย รู้สึกว่าน่าจะโตสักเสาเรือน..! ท้ายสุดก็ให้รู้เรื่องกันไปเลยวะ เปิดกลดออกไปส่องไฟดู โธ่เอ๋ย...งูปล้องฉนวน ตัวขาว ๆ ดำ ๆ เป็นท่อน ๆ ตัวใหญ่กว่านิ้วก้อยนิดเดียว ยาวสักศอกกว่า ๆ เอง ก็เลยมาตามดูว่า ตกลงว่าเรากลัวอะไร สรุปได้ว่ากลัวตาย กลัวงู งูกัดเรา...ตาย

กลัวผี ผีมาบีบคอเรา...ตาย กลัวเสือ เสือกัดเรา...ตาย สรุปแล้วก็ลงตรงตายหมด แม้กระทั่งกลัวจิ้งจกตุ๊กแกก็ลงตรงตายหมด น่าขยะแขยง...เดี๋ยวขาดใจตาย กูจะบ้า...หลอกกันได้ขนาดนั้น ตามดูอยู่เป็นปี ๆ กว่าที่จะหายกลัวได้"

เถรี 28-12-2016 20:19

"แต่ตอนที่หายกลัวนี้ไม่ค่อยดี ทำอะไรไม่ค่อยมีใครช่วย เพราะคนอื่นเขายังกลัวกันอยู่ เมื่อไม่นานมานี้หลวงพ่อเมียะ เจ้าอาวาสวัดสะพานลาว (พระครูกาญจนพิสุทธิคุณ) มรณภาพ เพื่อนพระไม่กล้าทำอะไร อาตมาไปโกนหนวดโกนเครา เปลี่ยนผ้าให้เสร็จสรรพ เอาใส่โลง คนอื่นเขากล้าทำที่ไหน กลัวผีจะตาย

สมัยศพหลวงปู่สายก็เหมือนกัน อาตมาไปเปลี่ยนผ้าถวายท่าน ใส่โลงแก้วให้ท่าน ตอนนั้นท่านสมเด็จยังเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนอยู่ ปีแรกก็ไม่เจอหน้า ปีสองก็ไม่เจอหน้า ปีสามทนไม่ไหวถามแม่ชีชื่นว่า "ตกลงว่ามีเจ้าอาวาสอยู่หรือเปล่านี่ ?" แม่ชีชื่นบอก "อย่าไปถาม...เขากลัว" ขนาดหลวงปู่มรณภาพแล้วไม่เน่า รู้ ๆ อยู่ว่าความดีของท่านขนาดไหน ดันไปกลัวซะอีก"

เถรี 28-12-2016 20:23

"สมัยที่อยู่กับหลวงปู่มหาอำพัน พอท่านมรณภาพ อาตมาก็เปลี่ยนผ้าครองให้ท่าน แล้วก็นอนอยู่หน้าเตียง กลางคืนนอน ๆ อยู่สะดุ้งตื่น เขามาเปิดไฟ พอไฟสว่างอาตมาก็สะดุ้งตื่น เปิดทำไมวะ ? ก็ลุกมาปิดไฟนอนต่อ กำลังหลับเขามาเปิดอีกแล้ว สรุปว่าเขากลัวผี เขาก็เลยเปิดไฟ เห็นกุฏิหลวงปู่มืด คนนอนอยู่ในกุฏิแท้ ๆ ไม่กลัว คนอยู่นอกกุฏิเสือกกลัว ไม่รู้จะว่าอย่างไรกับเขาดี คนจะกลัวเสียอย่าง

ถ้าหากว่าใครยังกลัวอยู่ ให้พยายามพิจารณาดูว่าตกลงว่าเรากลัวอะไรแน่ ? ถ้ารู้สาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมถึงกลัว แล้วกลัวอะไร ต่อไปก็จะไม่กลัว
สาเหตุที่แท้จริงคือเราไปนึกคิดปรุงแต่ง ถ้าหยุดความคิดได้ก็ไม่กลัว สาเหตุของความกลัวที่แท้จริงก็คือกลัวตาย ถ้าเลิกกลัวตายได้ก็ไม่ต้องกลัวอะไร

หลวงปู่คูณ วัดป่าภูทอง ท่านเล่าให้ฟัง ท่านบอกว่าน้องชายท่านบวช พระเราเวลาบวชต้องรักษาผ้าครอง เวลาจะไปไหนก็ต้องติดผ้าไปครบไตร มีสบง จีวร สังฆาฏิ เวลาค่ำน้องชายของท่านก็แต่งมาครบชุด ที่ไหนได้...มาขออาศัยนอนด้วย เพราะท่านกลัวผี ...(หัวเราะ)..."

เถรี 28-12-2016 20:33

พระอาจารย์กล่าวว่า "จำไว้ว่าใจเรากลับกลอกมาก ตอนเจ็บไข้ได้ป่วยเราก็อยากพ้นทุกข์ อยากจะไปพระนิพพาน พอหายเข้าหน่อยเดียวก็ลืมแล้ว เพราะฉะนั้น...ไม่ควรหาย ควรที่จะเป็นนาน ๆ ไม่เชื่อกลับไปสังเกตตัวเองได้เลย ป่วยขึ้นมาทุกข์ขึ้นมาอยากจะไปพระนิพพานเดี๋ยวนี้เลย ยังไม่ทันจะลุกจากเตียงคนป่วยเลย อาการดีขึ้นมาหน่อยเดียว ดันลืมพระนิพพานแล้ว สมควรตายจริง ๆ..!"

เถรี 30-12-2016 20:35

มีพระจากวัดดาวดึงส์มาหา พระอาจารย์กล่าวว่า "วัดดาวดึงส์ที่ผมรู้จักก็มีหลวงปู่พระครูโวทานธรรมาจารย์ กับหลวงอามหาเวก หลวงอามหาเวกเป็นน้องชายของหลวงพ่อฤๅษีฯ ตอนแรกท่านก็บวชปฏิบัติตามหลวงพ่อฤๅษีฯ อยู่ แต่ด้วยความที่บารมีต่างกัน การปฏิบัติไม่ได้ก้าวหน้ารวดเร็วเหมือนกับหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านก็เลยขอไปเรียนบาลีและเรียนเทศน์ที่วัดดาวดึงส์

ตอนนั้นหลวงปู่พระครูโวทานธรรมาจารย์ท่านเป็นอาจารย์ใหญ่สอนการเทศน์ สุดยอดปฏิภาณเลย ลูกศิษย์ลูกหานักเทศน์เป็นร้อย ๆ แล้วท้ายสุดหลวงอาก็เลยอยู่วัดดาวดึงส์จนมรณภาพ"

เถรี 30-12-2016 20:37

ถาม : อยู่รับสังฆทานที่นี่เป็นครั้งสุดท้ายหรือคะ ?
ตอบ : ถือว่าครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของบ้านวิริยบารมี เดี๋ยวปีใหม่ก็ไปบ้านเติมบุญที่บางรักใหญ่ ต้องวิ่งไล่ตามกันอีก

เมื่อเช้าอาตมาเพิ่งไปบวงสรวงเปิดบ้านใหม่ ยกศาลเจ้าที่ใหม่ ไปอยู่ใหม่ต้องทำใหม่ แบบเดียวกับการเป็นเจ้าอาวาส เป็นเจ้าอาวาสใหม่ต้องบวงสรวงบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางกันใหม่ ทำความตกลงกันใหม่ ไม่อย่างนั้นแล้วท่านก็สงเคราะห์แต่คนเก่า พอคนเก่าไปท่านไม่สงเคราะห์อีกเราก็แย่

เถรี 30-12-2016 20:40

ถาม : หลวงพ่อกวยปลุกเสกในลักษณะของคาถาอาคม ทราบว่าทางสายของเถรวาทไม่ให้ใช้วิชาของพวกนี้ ?
ตอบ : มาจากสายไหนก็เหมือนกัน ถ้าเราถือพระธรรมวินัยบริสุทธิ์ก็สงเคราะห์โยมได้ยาก เพราะว่ากำลังใจของแต่ละคนไม่เท่ากัน ท่านที่ต้องการสิ่งยึดเกาะเหมือนอย่างกับเด็กหัดเดิน ต้องอาศัยสิ่งยึดเกาะก่อนยังมีอยู่มาก โบราณาจารย์ท่านฉลาด จึงสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ ขึ้นมาให้เขาได้ยึดได้เกาะ เป็นการพาคนเข้าถึงธรรมอีกด้านหนึ่ง

พูดง่าย ๆ คือเบื้องต้นเอาคนเข้าวัดให้ได้ก่อน หลังจากนั้นพอเขาปฏิบัติใน ทาน ศีล ภาวนา ไปมาก
เข้า ก็จะก้าวขึ้นสู่ภูมิจิตภูมิธรรมที่สูงขึ้น ตอนนั้นก็จะต้องการในส่วนของธรรมะไปเอง เป็นกลวิธีในการดึงคนเข้าวัด ถ้าเราไปถือตามแบบที่คุณว่า ป่านนี้พระพุทธศาสนาขาดช่วงไปแล้ว เพราะว่าคนที่รับธรรมะบริสุทธิ์โดยตรงได้มีแค่ไม่กี่คน

เถรี 30-12-2016 20:41

ถาม : เรื่องดวงชง แก้ชง มีผลจริงไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าเราเชื่อก็มีผล ถ้าหากกำลังใจเราเข้มแข็ง ก็ไม่มีผล

ถาม : เมื่อครู่ทำบุญอุทิศส่วนกุศล ได้ผลไหมคะ ?
ตอบ :
ก็ได้อยู่ ทำบุญถวายสังฆทานอะไร อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรไป เรื่องพวกนี้ถ้าเราไม่รู้ไม่กังวลก็ไม่มีผลต่อเรา แต่ส่วนใหญ่เป็นมโนมยา คือสำเร็จด้วยใจ ถ้าใจเราคิดว่าดีทุกอย่างก็ดีหมด คราวนี้พอใจเราไปคิดว่าไม่ดี ๆ กลายเป็นแช่งตัวเอง ก็ไม่ดีไปอีก เพราะฉะนั้น...เรื่องพวกนี้เอาแค่พอสมควร อะไรที่ไม่เกินวิสัยทำได้ก็ทำไป อะไรที่เกินวิสัย ก็ให้ยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง

เถรี 30-12-2016 20:46

โยมนั่งลงถวายสังฆทานแล้วลุกไม่ขึ้น "ภาราหะเว ปัญจักขันธา ขันธ์ ๕ เป็นภาระอันหนักยิ่งหนอ ภาระหาโร จะ ปุคคะโล ก็หนักด้วยกันทั้งนั้นแหละ พวกเราโชคดีที่ได้เห็น พอเห็นชัดก็ไม่อยากได้ พอไม่อยากได้ก็จะไปพระนิพพานง่ายกว่า ส่วนใหญ่ถ้าอยากได้ใคร่ดี ก็ละไม่ได้ แกะไม่ออกหรอก ติดแหง็กอยู่แค่นั้นแหละ"

เถรี 30-12-2016 22:37

ถาม : เวลาเจริญกรรมฐานจะมีพวกเล่นคุณไสยมาลอง ?
ตอบ : มีมากเหมือนกัน โดยเฉพาะถ้าพระรูปไหนประกาศเข้ากรรมฐาน ๗ วัน ๑๕ วัน หรือว่าเข้านิโรธกรรมจะโดนเป็นประจำ

ถาม : ทำไมเขาถึงทำครับ ?
ตอบ : ถ้าเขาสามารถเล่นงานพระได้ถือว่าเก่งกว่า เขาอยากลอง ยุคหลัง ๆ อย่างครูบาเหนือชัย ครูบาวิฑูรย์ เขาก็เอาพระอาจารย์เล็กไปเป็นตัวประกัน อย่างไรก็กันให้เขาได้แน่ เล่นจับอาตมาเป็นตัวประกันเลย

ถาม : ถ้าเจริญเมตตากรรมฐานจะป้องกันได้ไหมครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วถ้าเราแผ่เมตตาได้ถึงที่สุด สิ่งที่เขาคิดร้ายก็จะสลายไปเอง เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก คิดง่าย ๆ ว่าถ้าเรายังไม่ดีพอก็ยังโดน ถ้าดีพอก็ไม่โดนหรอก

ถาม : บางท่านบอกว่าเทวดามีมิจฉาทิฐิมาลอง ?
ตอบ : พวกเทวดาถ้าจะว่าเป็นมิจฉาทิฐิ ท่านก็เป็นมิจฉาทิฐิเกือบทั้งหมด ถ้าตราบใดยังเข้าไม่ถึงความเป็นพระโสดาบัน ก็ยังถือว่าเป็นมิจฉาทิฐิ เพียงแต่ว่าหลายท่านมาในลักษณะต้องการที่จะสอนเรา อย่างเช่นว่าเวลาฉุกเฉินเราเกาะความดีได้ไหม ? ถ้าถึงเวลามีเหตุมีอะไรขึ้นมาเราเกาะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ได้ไหม ? จริง ๆ แล้วท่านมีคุณกับเราเสียด้วยซ้ำไป เพราะว่าถ้าท่านไม่ลองเราก็ไม่รู้ว่าตัวเองปฏิบัติไปถึงระดับไหน แล้วดันไปว่าท่านเป็นมิจฉาทิฐิเสียอีก

ถาม : ถ้าเจริญเมตตาแล้ว เวลามีเรื่องเราไปแจ้งความนี่ ถือว่ายังเป็นสักกายทิฐิ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าให้อภัยเขาได้ทุกอย่างก็จบ ถ้ายังให้อภัยไม่ได้ก็แจ้งความเสียหน่อย

เถรี 30-12-2016 22:59

ถาม : พระท่านแผ่เมตตาแล้ว แต่ยังเห็นว่ามีพวกมิจฉาทิฐิมาเยอะ หมายความว่าอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็แสดงว่าพระท่านยังไม่เมตตาจริง ถ้าพระท่านเมตตาจริงโลกนี้จะไม่มีศัตรู ไม่ว่าจะมนุษย์หรือสัตว์อยู่ภพในภูมิไหนก็ตาม ก็เห็นเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งหมด นอกจากไม่เป็นศัตรูกับใครแล้ว ก็ยังไม่ตำหนิใคร เพราะฉะนั้น...จึงไม่มีใครเป็นมิจฉาทิฐิหรือไม่เป็นมิจฉาทิฐิ สำหรับในความรู้สึกของท่านก็คือ เพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกันหมด ยิ่งเป็นมิจฉาทิฐิยิ่งน่าสงสาร ยิ่งต้องสงเคราะห์เขาให้มาก

ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นว่า อยู่ในลักษณะของมารดลใจ เขาดลใจให้เราคิดว่า ในเมื่อเราทำสิ่งนี้แล้วถึงเกิดขึ้น เพื่อให้เราเลิกทำความดี

ถาม : ไม่แน่ใจว่าจะเจริญเมตตาดีไหม ?
ตอบ : ก็แปลว่าเขาทำงานได้ผล ส่วนเราก็แพ้ไปตามระเบียบ ให้สังเกตว่าเราตั้งใจที่จะละกิเลสตัวไหน ตัวนั้นจะมาลอง นั่นคือลีลาของเขาเลย เขาจะมาว่าเอ็งแน่แค่ไหน จะละตัวไหนเขาก็ลองด้วยตัวนั้นแหละ

ถาม : ถ้าเป็นพวกกสิณเขาจะมาลองอย่างไร ?
ตอบ : เดี๋ยวก็รู้เอง ถ้าหากเป็นวรรณะกสิณตั้งใจตัดความโกรธ เขาก็มาแหย่ให้โกรธ เพราะอำนาจของวรรณะกสิณข่มความโกรธได้

ถาม : ถ้าเป็นกสิณธาตุ ?
ตอบ : ถ้ากสิณธาตุ ตั้งใจจะเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ของร่างกาย เขาก็แหย่ให้ป่วยบ้างอะไรบ้าง ส่วนเราก็คิดว่าที่แท้เพราะว่าเรามาปฏิบัติอย่างนี้เราถึงเป็น เราก็จะเลิกปฏิบัติธรรม เขากวนจะตายไป พยายามที่จะดลจิตดลใจให้เราคิดผิด พูดผิด ทำผิดอยู่เสมอ

เถรี 30-12-2016 23:03

ถาม : มีวิธีการหลบเขาไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มี นอกจากเห็นว่าเขาไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นครูที่ดีที่สุด ก็คือทดสอบเราอยู่ทุกวินาทีที่เผลอ เราก็ไหว้เขาเป็นครูไปเลย หมดเรื่องหมดราว ถึงเวลาก็ อาจาริโย เม ภันเต โหหิ...!

กำลังใจของเรา ถ้ายังไม่ถึงก็จะมีศัตรู มีคู่แค้น มีมาร แต่ถ้ากำลังใจถึงแล้วไม่มี...มีแต่ครู ถ้าหากว่าไม่มีเขาเราก็ไม่รู้ว่ากำลังใจของเราอยู่ในระดับไหน ถ้าไม่มีการทดสอบของเขา เราก้าวข้ามพ้นไม่ได้ เราก็ยังคงจ่อมจมอยู่ที่เดิม เพราะฉะนั้น...จริง ๆ แล้วมารก็คือครู ไม่ใช่ศัตรูของเรา

พอก้าวพ้นไปแล้วจะรู้สึกว่าโลกนี้พลิกกลับ สิ่งที่ไม่ดีในความรู้สึกคนอื่น ก็กลายเป็นสิ่งที่ดีของเราทั้งหมด แม้กระทั่งความทุกข์ที่เราดิ้นรนอยากหนีนักหนา ท้ายที่สุดกลายเป็นสิ่งที่มีค่าประมาณไม่ได้ เราลอง
มานึกดูว่า คนเราเกิดมาชีวิตหนึ่งตั้งแต่เกิดยันตาย ใช้เงิน ๑ ล้านบาทพอไหม ? ตีเสียว่าล้านหนึ่ง แล้วเราเกิดกี่ชาติ ? พระพุทธเจ้าอย่างน้อย ๆ ก็ ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป เกิดจนนับชาติไม่ถ้วน เป็นเงินล้านที่นับไม่ได้

ต้องลงทุนขนาดนั้นถึงจะเห็นทุกข์ แล้วตอนนี้ทุกข์มาอยู่ตรงหน้าของเราแล้ว ของมีค่าขนาดนี้ซื้อหาอย่างไรก็ไม่ได้ มาปรากฏชัดอยู่ตรงหน้า แทนที่เราจะไปดิ้นรนหลีกหนี ก็มีแต่จะวิ่งใส่เท่านั้น เพราะฉะนั้น...การปฏิบัติธรรม ถ้าทำ ๆ ไปเขาถึงบอกว่าเพี้ยน ไม่เหมือนชาวบ้านเขา อะไรที่ไม่ดีเราจะเห็นว่าดีไปหมด

เถรี 01-01-2017 19:00

ถาม : ตอนที่ท่านขึ้นเครื่องที่ต่างประเทศ มื้อเพลฉันตามเวลาของไทย หรือเวลาของเขาครับ ?
ตอบ : ฉันตามเวลาของเขา แต่ช่วงที่กลับมาจากอังกฤษ ขึ้นเครื่องประมาณ ๑๑ โมงของเขา พอขึ้นเครื่องแล้วเลยเวลา จึงไม่ได้ฉัน ปรากฏว่ามาถึงฝั่งของเรา ๑๑ โมงเมืองไทย เขาค่อยมาประเคนอาหารให้ โอ้โฮ...ไส้แขวนเลย ไม่ใช่ ๒๔ ชั่วโมง แต่เกิน ๒๔ ชั่วโมง เพราะไม่ใช่ ๑๑ โมงของเขา แต่เป็น ๑๑ โมงของเรา เวลาที่ต่างกัน ๕ ชั่วโมงต้องบวกเข้าไป แล้วอาตมาก็ไม่รู้ว่า จริง ๆ เราสามารถเรียกร้องก่อนเวลาได้ ก็มัวแต่ไปรอมื้ออาหารอยู่นั่นแหละ มารู้เอาตอนลงจากเครื่องไม่มีประโยชน์แล้ว

เถรี 01-01-2017 19:05

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อปีที่แล้วตอนเดินบิณฑบาตเช้ามืด ไปเหยียบตะขาบเข้า พอเหยียบปุ๊บตะขาบก็พลิกกอดใต้ตีน แล้วก็กัดตรงช่องลมพอดี คือกัดระหว่างง่ามนิ้วพอดี อาตมาสลัดกระเด็นไป แล้วก็เดินบิณฑบาตไปเรื่อย ปรากฏว่าเท้าบวมขึ้น ๆ แล้วกล้ามเนื้อไม่ทำงาน เพิ่งจะรู้ว่าพิษตะขาบเป็นพิษประเภททำให้กล้ามเนื้อไม่ทำงาน เหยื่อจะได้ไม่หนีไปไหน เวลาเดินไปรู้สึกเหมือนกับลากก้อนหินไปก้อนหนึ่ง ไม่ใช่ขาเรา เพราะแข็งทื่อไปหมด

เดินกลับมาถึงหอฉัน ขาบวมเบ้อเร่อเลย แต่บวมอยู่แค่ฝ่าเท้า เพราะว่าขึ้นผ่านข้อเท้าไม่ได้ มียันต์เกราะเพชรกันอยู่ โอ้โฮ...ถ้าบวมขนาดนั้นแล้วขึ้นได้ ไข่ดันคงบวมไม่ต้องเดินเลย หลังจากนั้นมาประมาณอาทิตย์หนึ่ง หนังเท้าลอกเป็นแผ่น ๆ เหมือนอย่างกับโดนไฟลวก แสดงว่าพิษตะขาบร้อนมากเลย ทำเอาหนังเท้าลอกเป็นแผ่น ๆ เลย

ต้องบอกว่าเป็นเวรเป็นกรรม ปกติสว่างแล้วพวกนี้ก็กลับรังกันหมด ตัวนี้ดันมาเดินเอ้อระเหยให้เหยียบ แล้วกัดตรงไหนไม่กัด ดันไปกัดเอาประตูลมพอดี เป็นช่องที่พิษจะวิ่งเข้าร่างกายได้เร็วที่สุด"

เถรี 01-01-2017 19:07

"ก่อนหน้านั้นไหม้ดำไปทั้งขา แล้วก็หนังลอกออกเป็นแผ่น ๆ ลองไปเจอตัวที่ยาววากว่า ๆ กัดแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ? ก็คงไหม้ไปทั้งตัว

บางทีเวลาเจอเหตุฉุกเฉินแบบนั้นก็เป็นห่วงพระอื่น ๆ ว่ากำลังใจท่านทำไม่ได้อย่างนี้ ถ้าเป็นเองก็คงโอดโอยแล้วให้คนหามไปโรงพยาบาลให้ยุ่งไปหมด แต่อาตมาเดินบิณฑบาตไปจนจบ เห็นชัดเลยว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา เพราะว่าบังคับไม่ได้ เหมือนกับลากก้อนหินไปด้วยก้อนหนึ่ง กล้ามเนื้อตายหมด ไม่ทำงาน กล้ามเนื้อเป็นอัมพาตไปเลย

แต่ตะขาบกับงูนี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ ถ้างูเจอตะขาบจะหนีสุดชีวิตเลย เพราะถ้างูโดนตะขาบกัดจะตายทุกตัว เข้าป่าเข้าดงถ้ากลัวงูก็พกตะขาบไป เอาใส่กระบอกใส่ขวดอะไรไว้ก็ได้ สมัยนี้ขวดน้ำพลาสติกขวดเล็ก ๆ หน่อยเจาะรูให้ตะขาบหายใจได้ ถึงเวลานอนก็วางไว้ใกล้ ๆ ตัวเอง งูมาได้กลิ่นตะขาบก็เปิดแน่บ แล้วหาอะไรให้ตะขาบกินบ้างนะ แต่ตะขาบกินสัตว์เล็ก เราหาให้กินก็คงจะสร้างเวรสร้างกรรมมากขึ้น"

เถรี 01-01-2017 19:22

ถาม : ในพม่าที่เขาฝึกทำปรอทอยู่ที่ไหนครับ ? (สนทนากับพระ)
ตอบ : ที่ผมไป คือ พะอาง คนไทยเรียกผาอ่าง ส่วนใหญ่เป็นฤๅษีที่อยู่ในป่า ลองไปถาม ๆ เขาดู แต่เครื่องมือหุงปรอทซื้อในตลาดพะอางได้ เขาทำกันเป็นอาชีพเลย ผมก็ไปเรียนอยู่เป็นปีเหมือนกัน มีโอกาสไปศึกษาไว้ก็ดี เป็นวิชาความรู้ติดตัวเรา แต่ให้ระวังไว้นิดหนึ่ง ปรอทถ้าทำขั้นแรกสำเร็จจะเป็นมหาเสน่ห์ ที่ไปกับผม ๕ รูป สาวเอาไปกินหมดแล้ว

เถรี 01-01-2017 19:43

ถาม : มีคนสำเร็จปรอทเยอะไหมครับ ?
ตอบ : มีเยอะแยะไป ทางฝั่งไทยและฝั่งพม่าเขาก็ยังร่ำเรียนกันเป็นปกติ แต่ทางด้านพม่าที่เขาทำสำเร็จเลยมีอยู่หลายรูป คำว่าสำเร็จคือทำเป็นทอง ทำเป็นแก้วได้ อย่างหลวงปู่นารทะคนไปหาวันหนึ่งเป็นพันเป็นหมื่น ท่านแจกทองคำให้คนละ ๒ เม็ดถั่วเขียว เอาไปขายกินได้เลย ผมไปถึงท่านกอบให้เป็นกำ "ไม่ต้องหรอกครับหลวงปู่ ผมขอแค่ ๒ เม็ดเท่ากับคนอื่น" แค่เอามาดูเป็นหลักฐานว่ามีคนทำได้จริง ๆ

ถาม : เวลานานไปทองไม่เปลี่ยนรูปเป็นอย่างอื่นหรือครับ ?
ตอบ : เป็นแล้วเป็นเลย ที่แน่ ๆ ก็คือถ้าเอาไปทำพวกตะกั่วก็จะเป็นทองไปอีก ลองไปศึกษาดูก็ได้

อยู่ทางด้านโน้นเขาต้องการสำเร็จปรอท แล้วเหาะเหินเดินอากาศได้ ทำเป็นแก้วแล้วอมใส่ปากก็เหาะได้ พวกนี้พอสำเร็จแล้วเขาก็จะทำเป็นทองแผ่น จารึกชื่อนามสกุลตัวเอง วันเดือนปีที่สำเร็จ เอาไปติดถวายพระเจดีย์ มักจะเอาไปติดบนยอดที่ไม่มีใครปีนได้ เพราะว่าเหาะได้

ทางด้านพม่าพวกพระ พวกฤๅษีที่มีฤทธิ์มีอภิญญา ส่วนใหญ่เขาจะแสดงให้เห็น ๆ เลย มีหลายรายที่เป็นพระ แต่ติดด้วยศีลพระห้ามไว้ เขาก็เลยสึกเป็นตาฤๅษีแล้วก็เหาะกันเล่น เพราะถ้าเป็นพระทำไม่ได้

ถาม : เมืองไทยที่เหาะได้มีไหมครับ ?
ตอบ : ที่เมืองไทยเห็นมีท่านที่ทำได้หลายคน แต่ยังไม่ถึงขนาดทำเป็นแก้ว ที่ทองผาภูมิก็มีอยู่

เถรี 01-01-2017 19:47

ถาม : ทำไมคนเหล่านี้ไม่ฝึกวิชาอภิญญาไปเลย ?
ตอบ : นี่ก็คือการฝึกของเขา ทางพม่าก็จะมีสำเร็จยันต์ สำเร็จประคำ สำเร็จปรอท ถ้าสำเร็จยันต์ก็ประเภทนั่งเขียนยันต์ไปด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือทรงอารมณ์เขียนยันต์ไปด้วย จนกระทั่งสำเร็จขึ้นมาเอง หรือไม่ก็สำเร็จประคำ นั่งนับประคำขาดกันนับครั้งไม่ถ้วน อย่างหลวงพ่ออุตตมะเป็นตัวอย่างในการสำเร็จประคำ พวกสำเร็จปรอทก็ภาวนาหุงปรอทของท่านไป ก็คือการฝึกอภิญญาแบบของท่าน

ถาม : ทำไมท่านไม่ฝึกอภิญญาโดยเริ่มจากกสิณ ?
ตอบ : ท่านรู้แต่วิธีแบบนั้น ต้องบอกว่าสายใครสายมัน ฝ่ายนั้นเขาฝึกกันมาด้วยวิธีอย่างนั้น

เถรี 01-01-2017 19:53

ถาม : อภิญญาต้องฝึกสมาบัติ ๘ หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น อภิญญานี้เน้นกสิณ ๑๐ ถ้าจะเอาสมาบัติ ๘ แค่ได้กสิณกองใดกองหนึ่งที่ไม่ใช่อากาสกสิณก็ลุยได้แล้ว แต่ถ้าอยากได้อภิญญาต้องฝึกครบทั้ง ๑๐ กอง

จะว่าไปแล้วสมาบัติ ๘ เหมือนกับข้าวหุงไว้แล้วรอกิน ที่รอกินก็คือตราบใดที่กำลังของเรายังไม่ถึงระดับพระอนาคามี ก็ไม่มีทางได้ใช้ปฏิสัมภิทาญาณตรงนั้น เพราะว่าอานุภาพคลุมอภิญญา ๖ อีกทีหนึ่ง ก็เลยไม่สามารถที่จะใช้ส่งเดชได้ ต้องให้หมดกิเลสระดับพระอนาคามีขึ้นไปถึงจะใช้ได้ แต่ว่าอภิญญานี่อภิญญา ๕ ก็ใช้ได้ทั่วไป

ถาม : สมาบัติ ๘ แล้วทรงอภิญญา จะมีกำลังมากกว่าคนที่ได้อภิญญา ๕ หรือครับ ?
ตอบ : ความคล่องตัวจะมีมากกว่า สมัยก่อนเขาฟังเทศน์พระพุทธเจ้าจบเดียวก็บรรลุอรหัตผลพร้อมด้วยอภิญญา ๖ สมาบัติ ๘

เถรี 01-01-2017 19:59

ถาม : การงานไม่สะดวกกว่าแต่ก่อน อาจจะเป็นเพราะวิบากกรรมเก่า เราจะแก้อย่างไรครับ ?
ตอบ : คาถาเงินล้านบทเดียวเลย คาถาเงินล้านมีบทคาถาปัดอุปสรรคอยู่ด้วย ให้ทำจริง ๆ จัง ๆ เท่านั้นแหละ อาตมาเป็นตัวอย่างที่ชัดที่สุด ทำงานใหญ่ขนาดนี้น่าจะมีสะดุด ก็ไม่สะดุดกับใคร ไปได้เรื่อยเปื่อย เมื่อเช้าก็เพิ่งจะเซ็นสัญญาไป ๙.๘ ล้านบาท หุ้มทองจังโกพระเจดีย์วัดท่าขนุน ใครจะเป็นเจ้าภาพคนเดียวจ่าย ๙.๘ ล้านบาท ก็แสดงความจำนงได้เลย ยินดีรับ...!

ถาม : ภาวนาวันละกี่จบครับ ?
ตอบ : เคยภาวนาวันละ ๓๐๐ จบอยู่ ๓ ปี และวันหนึ่ง ๑,๒๐๐ จบอยู่ครึ่งปี และวันหนึ่ง ๓๖๐-๙๐๐ จบนั่นทดลองเป็นเดือน ๆ จะทดลองดูว่าถ้าเราไม่ทำอะไรเลย ภาวนาอย่างเดียววันหนึ่งจะได้กี่จบ เริ่มตั้งแต่ประมาณตี ๓ ไปจบเอาทุ่มหนึ่งได้ประมาณ ๑,๒๐๐ จบ แต่ไม่ได้เร่งนะ ว่าไปเรื่อย ๆ สบาย ๆ ถ้าเร่งจะได้เยอะกว่านั้น แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า การภาวนาเร่งให้จบ ๆ ไปคุณภาพจะน้อย

เถรี 01-01-2017 20:03

ตอนนี้สัญญาที่คาอยู่ ก็คือ สร้างเมรุจากที่ราคาประเมินไว้ ๑๕ ล้านบาท ก็ทะลุไป ๑๘ ล้านกว่าบาทแล้ว สัญญาสร้างมณฑปตั้งพระพุทธรูปยืน ๒ องค์ ก็ยังเหลือจ่ายเขาอีก ๔ งวด ก็เกือบ ๕ ล้านบาท สัญญาสร้างพิพิธภัณฑ์หลวงพ่อวัดท่าซุงครบ ๑๐๐ ปี ๔๓ ล้านกับ ๒ แสนบาท และสัญญาทำฝ้าเพดานสาหร่ายรวงผึ้งสำหรับสมเด็จองค์ปฐมกับมณฑปตั้งพระทองคำ ก็ยังเหลืองวดสุดท้ายอีกล้านกว่าบาท ยังไม่ได้จ่ายเขา

และเพิ่งเซ็นเมื่อเช้านี้ ๙.๘ ล้านบาท โอนงวดแรกให้เขาไปเมื่อเช้า ๑.๙ ล้านบาท ถ้าวันไหนพระอาจารย์เล็กเป็นลมตาย พระทั้งวัดก็เป็นลมตายไปด้วย เพราะว่ารับสภาพหนี้ไม่ไหว

นี่ยังไม่ได้รวมที่ส่งพระเรียนอีกนะ พระ เณร แม่ชี เด็กวัด ใครต้องการเรียนปริญญาตรี โท เอก ไปได้เลย ส่งทุกคน ถึงได้บอกว่า ถ้าโยมอยากเรียนต่อ ไปโกนหัวบวช เรียนจบแล้วค่อยสึก ที่นั่นแม่ชีจบปริญญาเอกไปหนึ่งคนแล้วนะ จบสาขาพระพุทธศาสนา อีกหนึ่งคนยังเรียนอยู่ศรีลังกา เรียนสาขาบาลีพุทธศาสตร์

ส่วนเมืองไทยเรานี่ก็เรียนปริญญาเอกอยู่ก็มีพระครูหน่อย ปริญญาโท ๙ ปริญญาตรีอีก ๗ ประกาศนียบัตรอีก ๗ เรียนกันครึกครื้น ขนาดเด็กวัดยังเรียนปริญญาโท น่าอิจฉามากใช่ไหม ? ที่เหลือมีแรงใจกันใหญ่เลย "หลวงพ่อหนูขอเรียนบ้าง หนูก็จะเรียนบ้าง" เอาเถอะ...มีปัญญาเรียนไปเลย เพราะเขาเห็นรุ่นพี่จากมูเซออยู่บนดอย อาตมาส่งถึงปริญญาโทได้ รุ่นน้อง ๆ ก็อยากเรียนกัน

เดี๋ยวนี้ที่วัดเป็นวัดนานาชาติ มีมูเซอ มีพม่า มีกะเหรี่ยง มีทวาย มีมอญ เพราะฉะนั้น..วัดท่าขนุนเข้าอาเซียนก่อนประเทศไทยเยอะเลย...!

เถรี 01-01-2017 20:23

ถาม : เขาคุยกันรู้เรื่องหรือครับ ?
ตอบ : เขาก็คุยกันจนรู้เรื่อง อย่างหม่องมิดกับยายแดง อาตมาถามยายแดง "ไปโดนอะไรมาหน้าเป็นแผล ?" ยายแดงทำท่าล้ม ฟังรู้เรื่องนะ...แต่พูดไม่ได้ ทำท่าล้มให้ดู ส่วนหม่องมิดประโยคที่พูดภาษาไทยชัดที่สุดก็คือ "ขอตังค์ ๒๐" จริง ๆ แล้วน่าตายมากเลยนะ หม่องมิดเป็นคนหลักลอย อาศัยอยู่กินกับวัด แต่ติดทั้งบุหรี่ ติดทั้งกาแฟ ติดทุกอย่างที่ขวางหน้า ถึงเวลาไม่มีสตางค์ก็รีบมาทำงาน ขอสตางค์ไปซื้อ

มีพวกนี้อยู่ก็ดีเหมือนกัน เราถือว่าหมาแมวเลี้ยงได้เต็มวัด ทำไมจะเลี้ยงคนไม่ได้ ให้เขาอยู่ไปเรื่อย บางคนก็บอกว่ายายแดงกับหม่องมิดไม่เห็นทำอะไร ก็ไม่ไปเห็นตอนเขาทำนี่ ต้องไปดูรอบ ๆ บ้านของหม่องมิด แกกวาดจนดินเป็นเงา ถึงเวลาก็นั่งยอง ๆ ไล่กวาดถนนไป ให้ใช้ไม้กวาดยาวก็ไม่เอา เอาสั้น ๆ ใช้มือจับนั่งยอง ๆ กวาดไล่ไปเรื่อย เขาก็ขยันของเขา

เสียอย่างเดียวมีข้าวให้กิน ๒ มื้อไม่พอ ต้องมีบุหรี่ มีกาแฟ คำว่า "มิด" ไม่ใช่ภาษาไทยนะ เป็นภาษาพม่า บางทีคำก็ซ้ำ ๆ กัน บางคำก็โดดข้ามภาษา อย่างคำว่า "โก" แปลว่า พี่ชาย เหมือนกับภาษาจีนเลย ก็เลยไม่รู้ว่าจีนเอาพม่ามา หรือพม่าเอาของจีนมาใช้

แต่ภาษาพม่านี่ใช้ภาษาอังกฤษปนอยู่เยอะมาก อย่างที่เขาเรียก "กะบา" ที่แปลว่าโลก ก็คือภาษาอังกฤษ Global นั่นแหละ รถเขาก็เรียก "การ์" ก็คือ Car เพียงแต่ออกเสียงตัว C เป็น ก.ไก่เท่านั้นเอง

เถรี 01-01-2017 20:45

โยมเอามีดหมอปากกามาให้ดู "มีดหมอของหลวงพ่อแจ่ม วัดวังแดงเหนือ ส่วนใหญ่มีดเก่าต้องดูที่เนื้อเหล็ก"

เถรี 01-01-2017 20:47

โยมเอาเบี้ยแก้มาให้ดู "ไม่ใช่ของหลวงพ่อนุ่มหรอก เบี้ยที่ทำจากสมัยนั้น ถึงตอนนี้จะหมดเงา แลซีด ๆ ถ้าใหม่อย่างนี้ไม่ใช่หรอก จะซีดแบบหมดเงา อันนี้เป็นจุดพิจารณาอย่างหนึ่ง อีกอย่างก็ต้องดูที่วัสดุที่ท่านอุด

เบี้ยของทางสายอ่างทองส่วนใหญ่จะเป็นเบี้ยเปลือย เบี้ยเปลือยจะดูง่าย อย่างของหลวงพ่อโปร่ง วัดท่าช้างจะปิดทองทุกตัว ต้องดูความเก่าใหม่ของทองและชันโรง ถ้าของหลวงพ่อซำ วัดตลาดใหม่ ท่านจะใช้กระดาษ
ฟอยล์ซองบุหรี่สีเงิน ๆ ปิดท้องเบี้ย ต้องดูความเก่า กรอบ ซีดของแผ่นฟอล์ย ถ้าของหลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ ท่านจะปิดแผ่นตะกรุดทับอยู่ข้างนอก ก็ดูที่ความเก่าของตะกรุดและความแห้งของชันโรง

ถ้าเป็นเบี้ยแก้ของหลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน ตะกรุดจะอยู่ข้างใน หุ้มชันโรงทับอยู่ข้างนอก ต้องพลิกดูความแห้งของชันโรง แล้วเขย่าฟังเสียง เบี้ยของหลวงพ่อคำบางลูก ถ้ามือหนัก ๆ หน่อยจะปิดชันโรง
ทับแผ่นตะกรุดไปเลย จึงต้องเขย่าฟังเสียง ถ้าเสียง "แซ็ก ๆ" เหมือนมีเม็ดมีทรายอยู่ข้างใน ก็เป็นของหลวงพ่อคำ ถ้าเสียงขลุก ๆ หนัก ๆ ก็เป็นของหลวงพ่อนุ่ม

มีเบี้ยอยู่รุ่นหนึ่งที่ร้านขายยาในอ่างทองขายให้กับทางวัด รุ่นนี้ตัวใหญ่หน่อย จะเงาเหมือนของใหม่อยู่ตลอดเวลา ต้องไปดูที่ความแห้ง ความเก่าของชันโรงที่ปิดปากเบี้ยแทน"

เถรี 02-01-2017 09:16

ถาม : ถ้าจะภาวนาให้พระคาถาเงินล้านมีผล กำลังสมาธิต้องถึงระดับไหนครับ ?
ตอบ : แค่อุปจารสมาธิก็มีผลแล้ว ขอแค่ให้ทำจริงจังสม่ำเสมอ ถ้าหวังผลมากกว่านั้นก็สร้างสมาธิให้สูงขึ้นไปอีก

ถาม : จะเกิดเป็นนิมิตอะไรไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเห็นเป็นนิมิตก็ชนิดที่เห็นเงินเป็นฟ่อน ๆ หรือเป็นมัด ๆ มาเลย หรือมาเป็นคันรถอย่างอาตมาก็ได้ แต่จริง ๆ แล้วไม่จำเป็นต้องมีนิมิตหรอก ถ้าภาวนาได้สัก ๒ เดือนติดกันสม่ำเสมอ ผลก็จะเกิดเอง

ถาม : สำคัญคือต้องภาวนาให้เป็นฌานด้วย ?
ตอบ : คาถาเป็นพื้นฐานของอภิญญา ต้องการคนจริงจังสม่ำเสมอ ถ้าสมาธิยิ่งสูงเท่าไรคาถาก็มีผลมากเท่านั้น

เถรี 02-01-2017 09:19

ถาม : กำลังสมาธิสูงจะตัดการภาวนาไป ?
ตอบ : ปล่อยให้ตัดไป แต่ตอนต้นเราต้องภาวนาให้ได้ พอภาวนาไปถึงตอนที่คำภาวนาหายไป ลมหายใจเบาลง หรือว่าหายไป เราก็แค่รับรู้ไว้เฉย ๆ แสดงว่าตอนนั้นกำลังสมาธิของเรากำลังทรงอยู่ในพระคาถาอยู่แล้ว

ถาม : ไม่ต้องไปใส่ใจ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจแล้ว ถ้าเรากำหนดดูกำหนดรู้เฉย ๆ ไม่ได้อยากจะให้เป็นอย่างนั้น และก็ไม่ได้ดิ้นรนจะให้หลุดจากสภาพอย่างนั้น สมาธิจะดิ่งลึกเข้าไปเอง

ถาม : ถ้าภาวนาคาถาเงินล้านอยู่ ๆ เปลี่ยนเป็นพระคาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์ ?
ตอบ : เหมือน ๆ กัน แต่คาถาเงินล้านจะมีผลหลากหลายกว่า เพราะว่าคาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์ก็เป็นแกนกลางของคาถาเงินล้าน คาถาเงินล้านมีเปลือก มีกระพี้หุ้มอยู่เยอะแยะ เพื่อใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ กัน มีทั้งคาถาปัดอุปสรรค มีทั้งคาถาเร่งลาภ มีทั้งคาถาพิทักษ์ทรัพย์ พูดง่าย ๆ ก็คือ ให้หมดอุปสรรค ได้เงินเร็ว แถมมาแล้วยังไม่หมดอีกต่างหาก

เถรี 02-01-2017 09:23

จริง ๆ แล้วพระคาถาเหล่านี้พระท่านให้หลวงพ่อวัดท่าซุงใช้เป็นส่วนตัว ตั้งแต่ปี ๒๕๒๘ สภาพเศรษฐกิจช่วงนั้นแย่มาก ท่านย่าจึงขอกับพระท่านว่า ขอให้ลูกหลานหลวงพ่อได้ใช้คาถาบ้าง ไม่อย่างนั้นจะไม่มีกำลังในการสร้างวัด เพราะช่วงนั้นหลวงพ่อท่านทำอาคารใหญ่ ๆ หลายหลังพร้อม ๆ กัน พอได้รับอนุญาตท่านก็เอามาให้ภาวนากัน

ส่วนใหญ่ที่ทำกันก็คือ ทำพอเป็นเชื้อสาย ภาวนากัน ๕ จบ ๙ จบ อะไรประมาณนั้น อาตมาเลยมาคิดว่าสมัยหลวงปู่ป่าน มีนายแจ่ม เปาเล้ง มีนายห้างประยงค์ ตั้งตรงจิตร ทำจนเกิดผลเป็นตัวอย่างได้ สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงทำไมไม่มีใครทำเป็นตัวอย่างบ้าง ท้ายสุดก็มาคิดว่า ในเมื่อคนอื่นไม่ทำ เราก็ทำเสียเอง ก็เลยตั้งหน้าตั้งตาลุยอยู่ ๓ ปีกว่า หลังจากที่เกิดผลขึ้นมา ก็เกิดความมั่นใจ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ทำในลักษณะที่กำหนดว่าเป็นระยะเวลายาวนานเท่าไร หรือภาวนากี่จบ แต่ว่านึกได้เมื่อไรก็ทำ


ถาม : เคยภาวนาแล้วทำไมเกิดผลแบบอึดอัด ?
ตอบ : ไม่เป็นไร เราก็ใช้สตางค์แบบอึดอัดแล้วกัน "มาเยอะจนใช้ไม่หมด อึดอัดมากเลย" อะไรอย่างนี้

ถาม : ทำไมเกิดผลแบบนั้น ?
ตอบ : จริตนิสัยแต่ละคนไม่เหมือนกัน ของอาตมานี่ไม่เหลือให้อึดอัดหรอก ยังไม่ทันจะมาเลยจ่ายล่วงหน้าไปแล้ว

เถรี 02-01-2017 09:36

มีโยมติดต่อมา เขาบอกว่ามาหาตั้งแต่สมัยบ้านอนุสาวรีย์ แต่ไม่รู้จักบ้านวิริยบารมี (ติดต่อมาเดือนสุดท้าย) "ส่วนใหญ่พวกคนเก่าอาตมาจะเคยสอนกรรมฐานให้สมัยอยู่วัดท่าซุง พอเขาติดขัด ใครแก้ไขไม่ได้ เขาก็วิ่งมาหา

แบบเดียวกับลุงเชิญ บุญรังษี ปฏิบัติติดอยู่เป็น ๑๐ ปี ไปไหนต่อไม่ได้ คราวนี้ลุงเชิญเป็นเพื่อนกับหลวงลุงสุนทร หลวงลุงสุนทรไปเที่ยวบ้านก็ชวนอาตมาไปด้วย เห็นโยมเขาถามปัญหาการปฏิบัติ หลวงลุงได้ยินก็โยนมาทางด้านนี้ “โน่น ๆ หลวงพี่ท่านตอบได้” บังเอิญไปตอบของเขาได้...แก้ตก แกก็ดีอกดีใจ นิมนต์ตลอดชีวิตเลย ต่อให้ตายแล้วก็จะให้ลูกหลานนิมนต์ต่อ อาตมาเลยไปให้เขาปีละครั้งที่จันทบุรี"

เถรี 02-01-2017 09:41

ถาม : หนูมีความรู้สึกว่ามานะกับโทสะ คือ อย่างเดียวกัน เพราะมีมานะจึงมีโทสะ โทสะเกิดก็เพราะมานะ เชื่อมกัน แยกกันไม่ได้ แต่พี่อีกคนก็แย้งว่าแยกกัน ?
ตอบ : สังโยชน์ทุกตัวโยงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหมด เพียงแต่ว่าความเด่นชัดของแต่ละอย่างทำให้เรียกแยกกันออกไป

เถรี 04-01-2017 09:14

ถาม : โยมเป็นมะเร็ง หมอบอกอยู่ได้อีกแค่ ๔ เดือนค่ะ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก ตั้งใจยึดคุณ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไว้ อาตมาเจอมาเยอะต่อเยอะแล้ว บางคนหมอบอกว่าอีก ๓ เดือนตายอีก ๖ เดือนตาย เห็นยังอยู่มาอีกตั้งหลายปี

ถาม : ขอให้โยมได้ยาที่เหมาะสมกับโรคด้วยค่ะ ?
ตอบ : ตั้งใจรักษาศีลของเราให้ครบถ้วนสมบูรณ์ นึกถึงพระไว้ทุกวัน มีอยู่รายหนึ่งเป็นมะเร็ง ไปอยู่วัด ตั้งใจว่าจะไปตายที่วัด สวดมนต์ไหว้พระนั่งกรรมฐานอยู่ ๔ เดือน หายเอาดื้อ ๆ อย่างนั้นแหละ ก็เลยตกลงว่าหมอนี่จะเชื่อได้ไหม ? อยู่ที่กำลังใจเรานะ ถ้าเราคิดว่าเราจะอยู่ก็อยู่ได้เองแหละ

เถรี 04-01-2017 09:16

ถาม : ก่อนจะมาทำบุญแฟนเขาหาเรื่องค่ะ ?
ตอบ : จำไว้เลยว่าเราตั้งใจจะทำความดีอะไรจะโดนขวางอย่างนี้เสมอ

ถาม : เขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรเราหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ เขาเรียกว่ามารดลใจ มารจะใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัวในการขัดขวางการทำความดีของเรา คนที่เรารักมากที่สุดจะสร้างความสะเทือนใจให้เราได้มากที่สุด แต่จริง ๆ เขาไม่ทันรู้เรื่องอะไรหรอก โดนดลใจให้ทำอย่างนั้น ฉะนั้น...พวกเราทุกคนเป็นได้ทั้งมารและเป็นได้ทั้งพระ

เถรี 04-01-2017 15:28

ถาม : ทำงานเป็นนักจิตวิทยา ให้คำปรึกษาคนที่เจอปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตแล้วรู้สึกว่าโดนหนัก ?
ตอบ : เราไปฝืนกรรม เพราะฉะนั้น...ก่อนจะไปให้อาราธนาพระครอบตัวเราไปก่อน

ถาม : ควรแนะนำให้คำปรึกษาเขาอย่างไร ?
ตอบ : เอาหลักจิตวิทยาผสมกับพุทธศาสนา อธิบายไปให้ออกไปในแนวการปฏิบัติธรรมแทน

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ถึงต้องอาศัยพระ อาราธนาพระคลุมตัวไปก่อนแล้วค่อยไปเล่นกับเขา

ถาม : จะป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : อย่างน้อยก็เบาลงแต่จะให้ไม่โดนเลยเป็นไปไม่ได้ เพราะไปยุ่งกับกรรมของเขา อิทธิฤทธิ์แพ้บุญฤทธิ์ บุญฤทธิ์แพ้วิบากกรรม

เถรี 04-01-2017 19:14

พระอาจารย์สอนเรื่องการดูมีดหมอหลวงพ่อเดิมว่า "งาช้างเก่าไม่มีทางที่จะมีสีเหลืองสม่ำเสมอกันทั้งอันหรอก ถ้าเจอเหลืองเท่ากันหมดนี่แสดงว่าโดนทอดน้ำมันมา

ส่วนโลหะเก่าจริง ๆ จะเป็นสนิมขุม ส่วนที่เขาปลอมกันคือเอาโซดาไฟกัด จุ่มโซดาไฟแล้วเอามาทิ้งให้แห้ง สนิมจะขึ้นคลั่กเลย แต่ว่าไม่ใช่สนิมขุม เพราะไม่ได้กินเข้าไปในเนื้อเหล็ก สนิมจะเคลือบอยู่แต่ข้างหน้า ส่วนสนิมขุมจะเป็นตามดเล็ก ๆ ละเอียด ๆ ต่อไปดูเหล็กเก่าจะได้ดูเป็น เรื่องความเก่าของอายุโลหะยังทำหลอกกันไม่ได้

ส่วนพวกด้ามเขากวางนี่ขัดอย่างไรก็จะไม่ขึ้นเงามากหรอก ได้แค่ประมาณนั้นแหละ เขาขัดส่วนเปลือกที่เป็นผิวมะระออก ถ้าคนตาไม่ดีจะไปเห็นเป็นงาช้าง อย่างตะโพนของหลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ เป็นเขากวางเกือบจะ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย ฉะนั้น...ตะโพนของหลวงพ่อภักตร์จะไม่มีลายงา แล้วเส้นเลือดของเขากวางจะเป็นจุดตายที่เราดูว่าแท้หรือเทียม คนไม่รู้คิดจะปลอม เล่นเอางาช้างกลึงมาเลยก็มี"

เถรี 05-01-2017 09:15

ถาม : นิมิตของเมตตาในพรหมวิหารเป็นประการใดครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เราตั้งใจ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นรัศมีสีขาวแผ่กว้างออกไปเหมือนอย่างกับเราโยนหินลงน้ำแล้วกระเพื่อมเป็นวงออกไป

ถาม : ขึ้นอยู่กับลำดับฌานใช่ไหมครับ ?
ตอบ : สมาธิยิ่งสูงเท่าไร รัศมีสีขาวก็ยิ่งใสสว่างเท่านั้น ปกติถ้าแผ่เมตตาเฉย ๆ แล้วไม่ได้ตั้งใจกำหนดภาพไปด้วยก็จะไม่มีนิมิตให้เห็น เราต้องตั้งใจกำหนดภาพไปด้วย

ถาม : อย่างกำหนดภาพพระพุทธรูป ?
ตอบ : อาจจะกำหนดภาพพระพุทธรูปมีแสงเปล่งออกไปเป็นวง ๆ ไม่อย่างนั้นแล้วเรื่องของเมตตาไม่ได้มีนิมิตกำกับตามกองกรรมฐาน

ถาม : ถ้าแผ่เป็นแสงออกไป ?
ตอบ : อยู่ที่ความถนัดของแต่ละคน บางคนกำกับเป็นจุดก็อาจจะวิ่งเป็นเส้นตรงไปยังที่นั้น ถ้าหากว่าแผ่ไปไม่มีประมาณรัศมีก็จะออกไปรอบด้าน

ถาม : ถ้าได้ฌานสี่ก็ทำได้ ?
ตอบ : ถ้าหากตั้งใจจะทำอย่างนี้ต้องมีพื้นฐานกสิณกองอื่นมาก่อน

เถรี 05-01-2017 09:30

ถาม : พระอรหันต์สุกขวิปัสโกท่านจะทราบได้อย่างไรว่า "ดับ" จริง ๆ ครับ ?
ตอบ : กำลังใจที่เข้าถึงก็จะเห็นจริงในทุกเรื่อง บาลีใช้คำว่า ญาณ คือ เครื่องรู้ปรากฏขึ้น "ญาณัง โหติ ขีณา ชาติ วุสิตัง" ญาณคือเครื่องรู้บังเกิดขึ้นให้รู้ว่าชาติคือการเกิดสิ้นสุดลงแล้ว "พรัหมะจะริยัง กะตัง กะระณียัง นาปะรัง อิตถัตตายาติ ปะชานาตีติ" กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อพรหมจรรย์ไม่มีอีกแล้ว ถ้าทำถึงรู้เองแหละ

เถรี 05-01-2017 14:46

ถาม : ไม่รู้ว่าจะให้ลูกไปทำงานที่ไหนจึงจะดีที่สุดคะ ?
ตอบ : อะไรที่เขาชอบก็ทำไปเถอะ ถึงไม่ชอบถ้าตั้งใจทำก็ออกมาดี ไม่ต้องไปเลือกงานหรอก ถ้าหากว่าเลือกงานก็ลำบากอีกนาน อาตมาไม่เคยเลือกงานจึงไม่เคยตกงาน

เถรี 05-01-2017 14:47

ถาม : ผมพยายามชวนแฟนมาที่นี่ เขาไม่ค่อยอยากจะมาทางนี้ จะทำอย่างไรเขาจะมาได้บ้าง ?
ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลา ถ้าวาระยังไม่มาถึง ชวนให้ตายเขาก็ไม่มา การจะเป็นในครอบครัวเดียวกันพระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่าต้องมีสมชีวิธรรม

สมชีวิธรรม ก็คือ สิ่งที่ต้องมีเสมอกัน คือ มีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน ไม่อย่างนั้นก็ขัดกันอยู่ตลอด

เถรี 05-01-2017 15:14

ถาม : ถ้าเป็นวิปัสสนาในอุปสมานุสติกรรมฐาน อารมณ์จะเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : อันดับแรกให้ฝึกจับความสงบที่เกิดขึ้นจากการภาวนาก่อน แล้วก็สาวต่อไปว่าแค่การภาวนาซึ่งเป็นโลกียารมณ์ต่ำ ๆ ยังมีความสงบถึงเพียงนี้ ระดับของผู้ทรงฌานชั้นสูงขึ้นไปจะสงบขนาดไหน ? หลังจากนั้นก็ไล่ขึ้นไปถึงพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ว่าท่านจะสงบขนาดไหน ? ท้ายที่สุดแล้วพระพุทธเจ้าจะสงบสงัดเยือกเย็นขนาดไหน ? สรุปรวมตรงที่ว่าพระพุทธเจ้าอยู่บนพระนิพพาน แล้วเราก็เอาจิตเกาะตรงนั้นไว้ ไล่ขึ้นไปโดยที่เริ่มจากความสงบตอนที่เราภาวนา

ถาม : สงบของฌานก็คือสงบจากนิวรณ์ สงบจากนิวรณ์คือ ?
ตอบ : สงบจากนิวรณ์คือสงบจากกิเลส เพียงแต่ว่าสงบเพราะโดนอำนาจของฌานกดอยู่ แต่ว่าลักษณะความสงบของวิปัสสนาญาณก็เป็นแบบเดียวกัน เพียงแต่สงบแล้วไม่กำเริบอีก เราสามารถสาวหาเหตุขึ้นไปได้


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:04


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว