กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เรื่องธรรมะ และการปฏิบัติ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=20)
-   -   เล่าสู่กันฟัง ภาค ๑ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=81)

เถรี 10-03-2009 16:53

จินตนาการบรรเจิด กิเลสจะเกิดตามมา
 
หลวงพ่อเล็กเคยบอกว่า" เราจะเกิดเป็นคนได้ ก็ต้องมีคุณธรรมของความเป็นคนมาก่อน การทำผิดศีล ๕ ทำให้คุณธรรมตรงนี้ลดลง ฉะนั้นใครที่ทำผิดศีล ๕ ก็หมายถึงว่าเขากำลังทำลายความเป็นมนุษย์ของตนเองให้ ลดลงไปเรื่อย ๆ ทำให้ตัวเองต้องไปเกิดในภพภูมิที่ต่ำกว่าคนลงไปเรื่อย ๆ "

เถรี 12-03-2009 22:12

หลวงพ่อเคยบอกว่า "เราเป็นพระ สอนให้เขาละกิเลส แต่เราทำอะไรให้หยาบ ๆ ไว้ให้เขาเห็น ก็สอนเขาได้ไม่เต็มปาก"

เถรี 23-03-2009 01:37

หลวงพ่อเล็กท่านกล่าวว่า "คนเรามีจุดอ่อนไม่เหมือนกัน บางคนแพ้รูป แพ้รส กลิ่น เสียง สัมผัสแตกต่างกัน เช่น การเมืองอาจทำให้ใจบางคนร้อนรน แต่บางคนอาจทนได้หรือเฉย ๆ จึงเป็นหน้าที่ของนักปฏิบัติที่จะต้องหมั่นพิจารณาหาจุดอ่อนตนเองเสมอ เพื่อแก้ไขให้ใจเราเยือกเย็น"

เถรี 23-03-2009 01:40

หลวงพ่อเล็กบอกว่า "ก่อนรบ เขามักกล่าววาจายั่วโทสะกัน ใครยั่วขึ้น สติปัญญาย่อมลดลง เรียกง่าย ๆ ว่า ถ้ารบใจตนเองแพ้ รบกับใครก็ยากจะชนะ"

เถรี 23-03-2009 20:09

หลวงพ่อเล็กเคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับพวกไทดำให้ฟัง
ท่านบอกว่าชาวไทดำจะมีประเพณีของเขา ถ้าฝ่ายหญิงชอบใจหนุ่มคนไหนก็จะจับหนุ่มไปขังไว้ในบ้าน ไม่ให้ออกไป รอจนกว่าพ่อแม่ฝ่ายชายจะมาไถ่ตัว ทีนี้หลวงพ่อเล็กของเราพอขึ้นบ้านของชาวไทดำ ท่านก็พกไฟแช็กไปด้วย พร้อมกับประกาศว่า "ถ้าใครจับผมขัง ผมจะเผาบ้านให้เกลี้ยงเลย " ปรากฏว่า "ไม่เห็นมีใครกล้าจับอาตมาขังเลยสักคน !! "

เถรี 23-03-2009 20:23

หลวงพ่อเล็กเคยบอกว่า "บุคคลที่มีความดี รับคำสั่งครั้งเดียวทำตลอดชีวิต แสดงถึงจิตที่ละเอียด ไม่ต้องมาตอกย้ำอยู่ทุก ๆ วัน"

เถรี 23-03-2009 20:25

หลวงพ่อเล็กเคยบอกว่า "ตะเกียกตะกายไปหามัน แสดงว่ายังไม่เข็ด"

เถรี 23-03-2009 20:40

พระอาจารย์ท่านเคยปรารถถึง อารมณ์พระอรหันต์ว่า "ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์ วางเฉยในร่างกาย ยอมรับกฎของกรรม"

เถรี 25-03-2009 10:05

พระอาจารย์ท่านบอกว่า "จงกล่าวโทษโจทก์ตัวเองไว้เป็นประจำ ตราบใดที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ก็ต้องมีข้อบกพร่อง อย่าไปสอดส่ายส่งจิตไปดูความผิดคนอื่น แล้วเอากิเลสตัวเองไปแบ่งปันให้เขา ไปตำหนิเขา ความผิดผู้อื่นดูเอาไว้เพื่อเตือนตนไม่ให้ทำอย่างเขาเท่านั้น "

เถรี 25-03-2009 20:33

ท่านอาจารย์บอกว่า " ทำอะไรถ้าทำแล้วไม่ดีให้รีบแก้ไขให้ดี " :1025c640:

เถรี 27-03-2009 02:39

พระอาจารย์บอกว่า "คนที่มีความสามารถพิเศษมักมีทางเลือกอยู่สองทาง ถึงไม่เลือก ก็ต้องเป็นอย่างนั้นคือ คนเชื่อถือว่าศักดิ์สิทธิ์ แห่กันไปหาจนไม่ได้พักผ่อนนอนหลับ กับอีกอย่างคือ คนเขาไม่เชื่อและหาว่าบ้า !!"

เถรี 02-04-2009 18:57

หลวงพ่อได้สั่งสอนผู้ชายคนหนึ่งว่า "จำเอาไว้ว่า การปฏิบัติไม่ใช่เรื่องที่จะมาคุยอวดกันไปกันมา เสียเวลาเปล่า แบบนั้นยังไม่ใช่ของจริง เอาเวลาไปนั่งภาวนาดีกว่า"

เถรี 02-04-2009 19:09

ต้นเดือนที่แล้วน้องแบงแบง (จำไม่ได้ว่าอายุกี่เดือน) ทำท่าเดินเข้าไปหาน้องซันแบบหาเรื่อง เสมือนว่าไม่กลัวเกรงน้องซันซึ่งตัวโตกว่าเลย เถรีก็แซวว่าน้องแบงแบงเป็นนักเลงหรือ จึงไม่กลัว กล้าหาเรื่องกับคนตัวโตกว่า

หลวงพ่อก็บอกว่า "นั่นแสดงออกถึงเรื่องกำลังใจ ต่อให้ตัวใหญ่ก็เถอะ ถ้าถอดใจไม่สู้ก็แพ้อย่างเดียว กำลังใจจึงสำคัญที่สุด มโนเสฏฐา มโนมยา ประเสริฐสุดก็ใจ สำเร็จได้ก็ใจ"

เถรี 07-04-2009 13:32

มีเรื่องหนึ่งที่พระอาจารย์ท่านบอกแล้วเถรีถึงกับอึ้ง ท่านกล่าวถึงการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้า
พระอาจารย์บอกว่า เวลาที่พระพุทธเจ้าในช่วงที่ท่านบำเพ็ญบารมี ท่านมีการสละออกในทุก ๆ เรื่อง ท่านจะทำเพื่อคนอื่น นึกถึงคนอื่นก่อนตัวเอง ดังนั้น การที่ท่านทำเพื่อคนอื่นไม่ได้ทำเพื่อตนเอง จึงเป็นเสมือนการสละออกซึ่ง รัก โลภ โกรธ หลง ไปในตัวด้วย ไม่ได้ทำเพื่อตนก็เหมือนกับการไม่ได้เอาตัวตน ไม่ได้ยึดตัวตน
การที่ท่านทำเพื่อคนอื่นมาก ๆ สละออกซึ่ง รัก โลภ โกรธ หลง นี้แหละ จึงเป็นการทำให้ทิพจักขุญาณของท่านแจ่มใสกว่าบุคคลอื่น ๆ

นอกจากนี้พระอาจารย์ยังกล่าวถึงการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าองค์แรกว่า ท่านบำเพ็ญบารมีมาเกือบ ๔๐ อสงไขย โดยที่ไม่มีใครเป็นต้นแบบให้กับท่านมาก่อน การที่ท่านเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกจึงทำให้พระพุทธเจ้าองค์ต่อ ๆ มา ได้ตามดู โดยการใช้ทิพจักขุญาณ ย้อนดูถึงการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าองค์แรก

เถรีฟังแล้วรู้สึกว่าอัศจรรย์เหลือเกิน :baa60776: อัศจรรย์ทั้งในเรื่องการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้า และอัศจรรย์ในสิ่งที่พระอาจารย์บอกซึ่งตนไม่เคยรู้มาก่อน

เถรี 23-04-2009 15:13

ขอแทรกด้วยคำสอนเมื่อคราวที่เถรีไปวัดเขาวงมานะคะ พอดีเพิ่งระลึกได้
หลวงพี่เอ๊ดท่านได้พูดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับมโนมยิทธิ ท่านบอกว่าจริง ๆ แล้วมโนมยิทธินอกจากที่หลวงพ่อฤๅษี ท่านสอนเราเพื่อพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้า ว่านรก สวรรค์ พรหม และพระนิพพานเป็นสิ่งที่มีจริงแล้ว มโนมยิทธิยังเป็นการสอนให้เรารู้จักตัดร่างกายด้วย การที่เราใช้ใจออกไปท่องเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ ตอนนั้นแสดงว่าเราตัดความพอใจในร่างกายนี้ไปแล้ว และนี่เป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยนึกถึงกัน :4672615: มักเอามโนมยิทธิไปใช้ในทางอื่นเอาเสียมาก

เถรี 25-04-2009 15:15

พระอาจารย์เล็กบอกว่า "การรักษากำลังใจสำคัญที่สุด อยู่ในโลกมันก็ต้องเจอกับโลกธรรม คือธรรมะประจำโลก ได้ลาภ ได้ยศ ได้รับการสรรเสริญ ได้รับความสุข
ถึงวาระมันเสื่อมลาภ เสื่อมยศ โดนนินทา มีความทุกข์ ก็ต้องระวังมันอยู่ตลอด ได้ดีอย่าฟู แล้วขณะเดียวกันว่า ถ้าได้ร้ายก็อย่าฟุบ ให้เห็นว่ามันเป็นปกติของมัน เรื่องของมัน
ถ้ามันดีมาพออาศัยได้ก็ดีกับมันไป ถ้าหากว่ามันไม่ดีมาเราอยู่กับมันก็ให้รู้อยู่มีสติอยู่ ถึงเวลาก็ต่างคนต่างไปอยู่แล้ว"

เถรี 25-04-2009 15:22

พระอาจารย์เคยบอกว่า "ถ้าเราไม่รู้จริง ไม่สามารถสัมผัสได้จริง พูดเมื่อไหร่ก็ผิดเมื่อนั้น !"

เถรี 25-04-2009 15:27

พระอาจารย์ท่านเคยบอกว่า "ดีใจที่พวกเราจองพระปัจเจกพุทธเจ้ากันมาก ไม่ใช่ดีใจที่ได้เงิน แต่ดีใจว่าอย่างน้อยพวกเราต้องทำคาถาเงินล้านได้ผล จึงมีความคล่องตัวกันขนาดนี้"

เถรี 25-04-2009 15:28

พระอาจารย์ท่านเคยพูดเล่นว่า "..ใครจะมาบริจาคทำบุญกับข้า ต้องให้มาขอร้องทั้งน้ำตา ข้าจึงจะรับ..!"

ความจริงก็คือว่า ท่านติดสัญญากับหลวงปู่หลวงพ่อว่า "..การก่อสร้างใด ๆ ถ้าต้องขอเขาแม้แต่บาทเดียว ท่านจะเลิกทำทันที..!"

เถรี 25-04-2009 15:30

เกี่ยวกับเรื่องเงิน พระอาจารย์บอกเสมอว่า "ถึงเขาถวายเป็นส่วนตัว เราก็ต้องคิดว่าเป็นเงินสงฆ์เสมอ เพราะถ้าเราไม่บวชเข้ามา เขาก็คงไม่ให้การสงเคราะห์ จะเอาไปใช้เปะปะไม่ได้ "


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 13:32


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว