![]() |
ถาม : หนูจะสร้างตลาดนัดอยู่ที่ลพบุรีค่ะ หนูจะต้องทำบุญอย่างไร ?
ตอบ : บริเวณนั้นมีพวกศาลเจ้าที่หลัก ๆ อะไรอยู่ไหม ? ถาม : ไม่มีค่ะ ตอบ : อย่างแรกยึดเอาศาลพระกาฬเป็นหลัก อย่างที่สองก็ศาลที่เราตั้งเอง ตรงนั้นเป็นพื้นที่เปล่าหรือมีตัวอาคารด้วย ? ถาม : พื้นที่เปล่าค่ะ ตอบ : ให้เรายึดทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นหลัก ตั้งศาลพระภูมิให้เขาสักจุดหนึ่ง และทำพิธีอัญเชิญเจ้าที่ ทำพิธีเสร็จแล้ว จุดธูปบอกกล่าว ขอให้ท่านช่วยดูแลความสงบเรียบร้อยและให้สถานที่นี้มีความเจริญรุ่งเรืองด้วย แล้วเราจะถวายสังฆทานให้ท่านหรือทำบุญอะไรให้ท่านก็ว่าไป และอย่าลืมบอกเจ้าพ่อศาลพระกาฬ เพราะว่าท่านเป็นผู้ใหญ่คุมทั้งจังหวัดเลย เจ้าพ่อศาลพระกาฬที่ลพบุรีเป็นพรหม น้อยที่จะมีพระพรหมลงมาดูแล อย่างเจ้าพ่อหลักเมืองกรุงเทพมหานครเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ ถ้าไม่ใช่ที่สำคัญจริง ๆ ไม่มีทางที่พรหมท่านจะลงมาดูแล คราวนี้โยมจะทำงานที่ลพบุรี ก็ต้องอาศัยบอกกล่าวเจ้าพ่อศาลพระกาฬท่านเป็นหลัก เพราะว่าเขตดูแลของท่านกินทั้งจังหวัดเลย ส่วนเฉพาะที่เราทำงานอยู่ ก็บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางแถวนั้นอีกทีหนึ่ง |
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเราไม่ค่อยเข้าใจคำว่า "ใบเถา" มาจากอะไร ? คำนี้มาจากปิ่นโต เถาหนึ่งมีกี่ใบซ้อนกัน ถ้าปิ่นโตซ้อน ๓ ชั้นก็เรียก ๓ ใบเถา ถ้า ๕ ชั้นก็เรียก ๕ ใบเถา เขาไม่เรียกแถว แต่ไปเรียกเถา
เถาก็คือชุด อย่างเช่นเพลงโบราณเขาเรียกว่า เพลงเถา ถ้าเพลงเถาจะมีเนื้อเพลง ๒ - ๓ ชุด เป็นเพลงเดียวกัน แต่เนื้อเพลงจะต่อเนื่องกัน" |
พระอาจารย์กล่าวถึงอาการคันของท่านว่า "ถ้าเราสามารถอดใจไม่ทำในสิ่งที่ละเมิดศีล สามารถอดใจไม่ทำในสิ่งที่เป็นราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ก็อดที่จะไม่เกาได้ เพราะใช้กำลังเท่ากัน ถ้าหากว่ากำลังถึง อยากจะคันก็คันไป อยากเป็นอะไรก็เป็นไป เกาแล้วก็ไม่ได้หายสักหน่อย เกาแล้วหนังถลอกปอกเปิกก็ยังคันอยู่ ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ การเกานั้นไปแก้ที่ปลายเหตุ
ถ้าไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ ทุกข์ก็ไม่หาย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อครู่โยมเขาเห็นใจถวายยาคาลาไมล์แก้คันมาให้ รู้อยู่ว่าถ้าทายาก็เป็นเรื่อง เห็นเขาซื้อมาเยอะแยะก็ทา ๆ ให้เขาหน่อย ที่ไหนได้ทาไปแล้วหนาวสั่นแทบตาย นั่ง ๆ อยู่ตาลาย ดูหนังสือไม่รู้เรื่อง กลายเป็นว่ากำลังหมด จากที่พอมีกำลังทรงตัวอยู่ได้ ก็เอาไปสู้ความหนาวจนหมดกำลัง
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า หลายวาระที่ท่านตาย สายตาจะสั้นเข้ามา ๆ จากที่ไกลก็มองไม่เห็น เห็นแต่ที่ใกล้ จากที่ใกล้ก็มองเห็นราง ๆ ดูอะไรไม่รู้เรื่อง ท้ายสุดก็ประสาทตาไม่ทำงาน ก็แปลว่าถ้ากำลังของเราไม่พอ การควบคุมอวัยวะก็ทำได้ไม่เต็มที่ ทำให้เห็นสัจธรรมหลายอย่าง อย่างแรกก็คือ การมีร่างกาย อย่างไรก็ต้องป่วยแน่ อย่างที่สองก็คือ ถ้าสร้างกรรมเอาไว้ อย่างไรก็ต้องรับ ส่วนอย่างที่สามก็คือ ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น ตอนนอนสั่นอยู่ข้างบนยังคิดว่า "ถ้ายังไม่หายสั่น เราจะลงไปรับสังฆทานอย่างไร ?" กว่าจะหายสั่นได้ก็ตั้งนาน จะเห็นว่าบางทีญาติโยมเขาเมตตามานวดให้ แต่ส่วนใหญ่นวดไม่เป็น กดเสียจนเจ็บมาก ร่างกายก็ต้องใช้กำลังไปต่อต้านความเจ็บ ทำให้หมดกำลังที่จะสู้โรค กลายเป็นโรคกำเริบขึ้นมา แล้ววันนี้ร่างกายเอากำลังไปสู้ความหนาวเสียหมด ก็เลยเป็นอย่างที่เห็น" |
"สมัยอาตมาอยู่กับหลวงปู่มหาอำพัน มีอยู่ครั้งหนึ่งโยมเขานวดถวายหลวงปู่ แล้วเขาเอาน้ำมันเซียงเพียวอิ๊วละเลงหลังหลวงปู่จนทั่วแล้วค่อยนวด อาการเดียวกันเลย พอหนาวขึ้นมาหลวงปู่ต้องคว้าผ้าห่มมาห่ม สั่นอยู่ตั้งนานถึงจะหาย พอคนแก่เข้ากำลังร่างกายไม่ดี เวลาหนาวนาน ๆ ก็จะแย่ไปเลย
อาการที่อาตมาเป็น จะอยู่ในลักษณะหนาวเข้าไปในอก แล้วก็สั่นแหง็ก ๆ ท้ายสุดก็ยังคงคันเหมือนเดิม สรุปว่าใช้ยาทาไปก็ไร้ประโยชน์ ถ้าใครเคยป่วยหนัก ๆ ลักษณะนี้ การที่เราต้องตั้งสติ เพื่อที่จะควบคุมร่างกายให้ทำงานได้ จะเป็นอะไรที่รู้สึกดีมาก ๆ ดีตรงที่เห็นชัดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เหมือนกับรถยนต์คันหนึ่งที่หมดสภาพแล้ว ทำอย่างไรที่จะประคับประคองไปให้ได้ ? ทำอย่างไรที่จะไม่ให้พังลงกลางทาง หรือไม่ให้ตกถนนไปเสียก่อน ? ฉะนั้น..ในเรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรต่าง ๆ นั้น สำหรับนักปฏิบัติถือว่าเป็นของดี ใช้วัดอารมณ์การปฏิบัติตัวเองได้" |
"การป่วยไข้หรือความตายไม่ได้เลือกอายุ อยู่ที่วาระว่าจะมาสนองเมื่อไร หรือวาระของอายุขัยมาถึงเมื่อไร หรือวาระกรรมใหญ่เข้ามาช่วงไหน ก็จะป่วยเป็นเรื่องปกติ
ในเรื่องของร่างกายเราเชื่อมากไม่ได้ เราหลอกคนอื่นได้ แต่ใจเรารู้อยู่ บางทีเห็นสาว ๆ ที่อายุมากหน่อย พอเริ่มอายุสัก ๓๐ ปีต้องพยายามทำตัวให้สวยอยู่ตลอดเวลา นับเป็นภาระที่หนักมาก ไม่ใช่แค่หนักเฉย ๆ ค่าใช้จ่ายยังมากอีกด้วย ถ้าหากว่าเราปล่อยไปตามปกติ ยอมรับว่าแก่เสียก็หมดเรื่องหมดราวไป มีโยมอยู่คนหนึ่ง ตอนนี้ผมแซมขาวเกือบทั้งหัวแล้ว เจ้านายบอกให้ไปย้อมผมหน่อยเพราะเสียบุคลิก แต่เขาไม่ยอมย้อมสักที ความรู้สึกของเขาก็คือ บุคลิกอย่างนี้ดูแก่ดี คนเห็นแล้วน่าเชื่อถือ กลายเป็นมองคนละอย่างกัน มีข่าวสาวรัสเซียที่แต่งตัวเหมือนกับตัวการ์ตูนของญี่ปุ่น แขนยาว ๆ ขายาว ๆ ตาโต ๆ ตัวเขาเองก็อดข้าวเสียจนกระทั่งผอมโกรก แต่งตาตัวเองจนใหญ่เบ้อเร่อ เขาบอกว่ากว่าจะเขียนตาให้โตได้อย่างใจ ข้างหนึ่งใช้เวลาเกิน ๓๐ นาที เราลองมานึกดูว่า วันหนึ่งแม่เจ้าประคุณกว่าจะแต่งตัวออกมาให้หน้าตาเหมือนการ์ตูนได้ต้องเสียเวลาไปเท่าไร ? คนที่สูงขนาดนั้น น้ำหนักแค่ ๓๘ กิโลกรัม ต้องอดข้าวให้ผอม เพื่อจะได้แต่งตัวเหมือนการ์ตูน อาตมาเห็นแล้วเหนื่อยแทน..!" |
"มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ญาติโยมหลายคนซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงปู่สายแต่งงานไป ก่อนจะแต่งงานก็มาถามว่าจะเลือกคนอย่างไรดี ? อาตมาบอกว่า “อย่างไรก็ได้ แต่ให้เลือกคนที่ไม่แต่งหน้า” เขาถามว่าทำไม ?
อาตมาบอกว่า “คุณลองประมาณเงินเดือนตัวเองดูสิ ว่าพอให้เจ้าหล่อนแต่งหน้าหรือเปล่า ?” ถ้าไม่พอแล้วไปมีแฟนแต่งตัวเก่งก็ชีช้ำละคุณเอ๋ย มีอยู่ยุคหนึ่ง สมัยสังข์ทอง สีใส ยุคนั้นน้ำปลาขวดละ ๑๐ สลึง เขาบอกว่า "เครื่องสำอางขวดเท่านิ้วก้อย ร้อยสองร้อยเที่ยวหาซื้อมา ห่วงแต่แต่งตัว..แม่ทูนหัวลืมซื้อน้ำปลา.." เข้าครัวจะกินข้าวหาน้ำปลาไม่ได้ เขาจึงร้องเพลงประชดผู้หญิง" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ฝนตกที่ผ่านมาไม่ใช่ไต้ฝุ่นเข้าประเทศไทย..เข้าประเทศอื่น แต่มีอิทธิพลให้ฝนตกหนักในประเทศไทย พูดง่าย ๆ ว่าชายขอบมาถึง แต่คุณแกมี่เป็นลูกแรก ๆ ที่มาเยี่ยมเมืองไทยอย่างเป็นทางการ
วันนี้ที่ยังตกไม่ได้เพราะหลวงพี่นิลท่านขอเอาไว้ ๓ วัน เพราะต้องไปเร่งให้เขาทำพระขรรค์โสฬส ๘๔ พรรษาธรรมิกราชให้เสร็จ ถ้าไม่มีแดดเดี๋ยวทำไม่ได้ เวลาเอามาประกอบต้องตากแดดให้แห้งแน่ ๆ ก่อน ท่านขอแดด ๓ วัน วันนี้วันสุดท้าย เรื่องของพระขรรค์ต้องบอกว่าท่านทุ่มสุดชีวิตจริง ๆ ท่านบอกว่า "ถ้าไม่ใช่พี่เล็กที่ผมรักเหมือนพี่จริง ๆ นี่ไม่ทำให้หรอก เหนื่อยแทบตาย.." เพราะเรื่องของประเทศชาตินี่เป็นเรื่องใหญ่สาหัส เราตั้งใจจะทำให้ดี ฝ่ายขวางเขาก็ต้องขวางเต็มที่ ช่างทุกรายที่ไปหาจะต้องมีปัญหาทั้งนั้น ถ้าไม่ใช่ติดงานใหญ่รับงานของเราไม่ได้ ก็เจ็บไข้ได้ป่วย โดนรถชนบ้าง ล้มป่วยหนักบ้าง..สารพัด จนกระทั่งตอนนี้เหลือขั้นตอนสุดท้ายอีกขั้นหนึ่ง ก็คือชุดลวดลายรัดปลอก ปรากฏว่าลูกน้องทิดจิตรป่วยทุกคนเลย ไม่มีใครทำงานได้ เดินเป็นผีตายซากไปหมด หลวงพี่นิลบอกว่าขนาดทำบวงสรวง ๒ ครั้งแล้ว ถึงขนาดต้องเอาอาหารทำด้วยเลือดไปเซ่นให้แล้ว เขายังไม่ค่อยจะยอมเลย วันนั้นทำอาหารประเภทเกาเหลาเลือดหมูล้วน ๆ ให้ไปเลย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "มาตราโบราณแปลก ๆ บางทีเราไม่เคยได้ยิน เช่น การหล่อพระใช้ทอง ๖ หมื่น ไม่ใช่ทองราคา ๖๐,๐๐๐ บาทนะ หมื่นเป็นหน่วยวัดน้ำหนักของทางเหนือ ๑ หมื่นเท่ากับน้ำหนัก ๑๒ กิโลกรัม
ดอยสามหมื่น เกิดจากว่า ถ้าใครจะข้ามดอยลูกนั้น ต้องแบกข้าวไป ๓ หมื่น คือ ๓๖ กิโลกรัม เท่ากับ ๒ ถังกว่า จึงจะเป็นเสบียงพอกินจนเดินข้ามเขาได้ เพราะฉะนั้น..ดอยสามหมื่นมีชื่อมาทุกวันนี้ ก็เพราะว่าต้องแบกเสบียงไป ๓ หมื่นถึงจะไปรอด บางทีเราไม่เข้าใจว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นทองคำ ๖ หมื่นที่ว่าก็คือ ทองคำ ๗๒ กิโลกรัม หล่อพระ ๑ องค์ อย่างความยาว ๑ เกียก เกียกหนึ่งยาวแค่ไหน ? ยาวจากปลายนิ้วโป้งถึงปลายนิ้วชี้ ยืดออกมาสุดได้ ๑ เกียก แต่ถ้านิ้วโป้งถึงนิ้วกลางได้ ๑ คืบ ๒ คืบเป็น ๑ ศอก ลองดูได้ โบราณเขาว่าไม่ผิดหรอก ไม่ใช่เกียกกายนะ.. เกียกกายของโบราณคือกองเสบียง ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คือพวกกองส่งกำลังบำรุง และมีตำแหน่งอีกตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันนี้คงหาคนรู้จักได้ยาก ก็คือตำแหน่งยกกระบัตร ยกกระบัตรสมัยก่อนก็คือตำแหน่งปลัดจังหวัดของสมัยนี้" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะหลัง ๆ ญาติโยมทำบุญแล้วไม่ได้คิดถึงพระผู้รับ อย่างงานครูบาวิฑูรย์ที่ผ่านมา ย่ามของท่านเองก็มีของตั้งครึ่งย่ามแล้ว ยังมีคนยัดพวงมาลัยดอกดาวเรืองเบ้อเร่อลงไป ๓ พวง ล้นย่ามแล้ว คนอื่นไม่ต้องใส่อะไรเลย เขาเรียกว่าทำบุญโดยไม่ได้ใช้ปัญญาแม้แต่น้อย
อาตมาไปงานพุทธาภิเษกที่วัดศาลพันท้ายนรสิงห์ รู้ไหมว่าเขาถวายอะไรมาบ้าง ? พระเจ้าพรหมทรงช้างพลายประกายแก้ว ๑ องค์ เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุพร้อมฉัตร สูงประมาณ ๒ ฟุตครึ่ง ๑ องค์ โถบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขนาด ๔ นิ้ว ๔๒ โถ ขนาด ๖ นิ้ว ๑๐ โถ..! อันนี้ยังพอทน ปรากฏว่ามีปลาอินทรีมาด้วย..! ขึ้นรถนี่ไปไม่เป็นเลย อาตมาสั่งแม่ชีที่วัดไว้ว่า ภายใน ๑๐ ปี อย่าทำอาหารให้มีปลาอินทรีมาเป็นอันขาด แค่ดมกลิ่นอย่างเดียวก็พอแล้ว คนถวายเขาไม่ได้คิด เขาจะถวายอย่างเดียว ตอนไปที่ภูเก็ต อาตมานั่งเครื่องบินไป เขาถวายพระพุทธรูปแก้วทรงเครื่อง ๙ นิ้วมา ๓ องค์ ถวายรูปท่านแม่ศรีสลักจากหินเขียวมา ๑ องค์ พระพุทธรูปสลักจากหยกขาวพม่า ๑ องค์ บาตร ๙ นิ้ว ๑ ใบ อาตมาจะเอากลับอย่างไร ? สรุปก็คือทำบุญทั้งทีไม่ได้ใช้ปัญญาเลย" |
ถาม : ทำอย่างไรถึงจะให้บริวารดีภายในชาตินี้คะ ?
ตอบ : การที่บริวารดีขึ้นอยู่กับการปกครองของเราเหมือนกัน ตามที่โบราณเขาบอกว่า ไม้ใหญ่โคนต้องเย็น ในเมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ปกครองบริวาร ถ้าหากเราร้อน เขาก็อยู่ด้วยไม่ได้ เพราะฉะนั้น..การปกครองบริวารให้ยึดหลักเหตุผลและความยุติธรรม เขาจะอยู่กับเราได้ ต่อให้โกรธเขาก็ตาม แต่ถ้าผลงานเขาดี เราต้องมีรางวัลให้เขา ต้องเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งให้เขา ต้องขึ้นเงินเดือนให้เขา แต่ถ้าผลงานไม่ดี ต่อให้เขามาประจบสอพลออยู่ข้าง ๆ ทุกวันก็ไม่ต้องไปเลื่อนตำแหน่งให้เขา ถ้าในเรื่องของเหตุผลและยุติธรรมของเราสามารถทำได้ดี ใคร ๆ ก็อยากอยู่ด้วย เพราะเขารู้สึกว่าอยู่กับเราแล้ว เขาได้รับความยุติธรรม แล้วเราเองก็ไม่ไปเฉ่งลูกน้องอย่างไม่มีเหตุไม่มีผล อะไรไม่ถูกต้องว่ากันไปตามตรงให้เขาแก้ไข พูดง่าย ๆ ก็คือ ชี้ที่ผิดได้ บอกที่ถูกได้ โดยเฉพาะเจ้านาย ต้องบอกว่าสมัยนี้บางคนความเป็นเจ้านายของเขาก็คือชี้นิ้วสั่งอย่างเดียว ซึ่งจะว่าไปก็ถูกหลัก แต่ถ้าเกิดลงไปคลุกกับงานเอง ซึ่งบางคนก็ดูถูกในลักษณะว่า “ผู้อำนวยการสันดานเสมียน” หรือ “ผู้จัดการนิสัยภารโรง” ปล่อยให้เขาดูถูกไป เพราะถ้าเราสามารถลงไปคลุกอยู่กับงาน รู้งานทุกเรื่อง ลูกน้องเขาจะเกรงใจ ถึงเวลาเขาติดขัดตรงไหนเราก็แนะนำเขาได้ ถ้าเขาทำไม่ได้จริง ๆ เราต้องทำเป็นตัวอย่างให้เขาดูได้ แล้วต้องทำใจว่า คนเราสมรรถภาพไม่เท่ากัน ถ้าเท่ากันเกิดมาต้องได้เหมือนกันหมด แต่เนื่องจากคนเราสร้างบุญบารมีมาไม่เท่ากัน สมรรถนะในการทำงานจึงไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นเราต้องมีปุคคลปโรปรัญญุตา ก็คือ การรู้จักเฉพาะตัวบุคคล ว่าคนประเภทไหนเหมาะสมกับงานอย่างไร ?" |
"อย่างของอาตมาที่วัดท่าขนุน แต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสแท้ ๆ แต่ของพระครูน้อย ถ้าให้ทำงานกรรมกรจะถนัด ให้ไปชี้นิ้วสั่งการท่านจะประสาทกิน พออาตมาไม่อยู่บอกว่า “ฝากวัดด้วยนะ” ท่านทำหน้าอย่างกับแบกโลกเอาไว้ แต่ถ้าบอกให้ไปแบกอิฐแบกปูนสัก ๓ - ๕ คันรถ ท่านเฉยมาก แต่ก็จำเป็นเพราะท่านอาวุโส เราแต่งตั้งให้ท่านมีตำแหน่ง อย่างน้อย ๆ ได้ดูแลรุ่นหลัง ๆ เขาบ้าง แต่นิสัยของท่านก็คือ ถ้าท่านทำงานหนักท่านจะถนัด
เพราะฉะนั้นในเรื่องหลักธรรมของพระพุทธเจ้า อัตตัญญุตา รู้ตัวเราเอง ตัวเราเป็นใคร ? มีความถนัดอย่างไรชำนาญอย่างไร ? ความสามารถมีเท่าไร ? ปริสัญญุตา รู้บริษัท ก็คือลูกน้องของเรา รู้ว่าเป็นอย่างไร ? ปุคคลปโรปรัญญุตา รู้ว่าเฉพาะว่าแต่ละคนมีความสามารถอย่างไร ? แล้วก็ทำอย่างฝรั่งเขาว่า Put the right man on the right job แล้วเขาจะทำงานได้ดี ไม่ใช่พวกถนัดงานกรรมกรแล้วเอาไปนั่งโต๊ะ อย่างพระครูน้อยปั้นเป็นวันกว่าจะเขียนหนังสือได้หน้าหนึ่ง แต่ให้ไปทุบอิฐแบกเหล็กพักเดียวก็เสร็จเรียบร้อย อยากมีลูกน้องดี ๆ นอกจากจะใช้หลักธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้แล้ว เรายังต้องยึดหลักเหตุผลและความยุติธรรมด้วย ใช้คนอย่าใช้เปล่า ด่าคนอย่าด่าต่อหน้าคนอื่น แต่ชมคนให้ชมต่อหน้าคนอื่น จะตำหนิเขาให้เรียกมาคนเดียวแล้วค่อยตำหนิ รักษาหน้าเขาหน่อย คนอื่นตัวกูของกูยังเยอะอยู่ ไปด่าต่อหน้าคนอื่นเดี๋ยวเขาอาย ต่อไปจะไม่กล้าทำอะไรเลย เขาถึงได้บอกว่า บุคคลที่ไม่เคยทำผิดเลย คือบุคคลที่ไม่เคยทำอะไรเลย เพราะคนที่เคยทำจะต้องมีทำผิดบ้าง" |
"มีบริษัทใหญ่อยู่บริษัทหนึ่ง รับสมัครผู้อำนวยการ กรรมการผู้จัดการใหญ่ลงมาสัมภาษณ์ด้วยตัวเอง คนหนึ่งเก่งมาก ทำงานมาไม่เคยผิดพลาดอะไรเลย ชื่อเสียงในวงการนักบริหารสุดยอด ในฐานะผู้บริหารมืออาชีพ ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ
ส่วนอีกรายหนึ่งความสามารถไม่ถึง เคยพลาดมาหลายครั้ง แต่ปรากฏว่าสัมภาษณ์เสร็จเรียบร้อย ท่านกรรมการผู้จัดการใหญ่ชี้บอกว่าเอาคนหลัง คนที่เคยผิดมาหลายครั้ง อีกฝ่ายหนึ่งก็งงไปเลย เขาคิดว่าเขาได้แน่ แต่ทำไมเขาถึงไม่ได้ อุตส่าห์ไปสอบถามว่าเหตุที่เขาไม่ได้คืออะไร คำตอบก็คือ “คุณไม่เคยทำผิดเลย คนที่ไม่เคยทำอะไรผิดพลาดจะไม่มีประสบการณ์ในการแก้ไขงาน แต่คนที่เคยพลาดมาแล้ว มีประสบการณ์ในการแก้ไขงาน ต่อไปเจอเรื่องแบบนี้เขาแก้ไขได้ การงานของบริษัทถึงพลาดไปก็ไม่สะดุด” จะเห็นว่าคนที่เขามองการณ์ไกล เป็นผู้บริหารจริง ๆ เขาไม่ได้ต้องการคนที่สมบูรณ์แบบ แต่เขาต้องการปุถุชนธรรมดาที่มีผิดมีพลาด แต่พลาดแล้วให้รู้วิธีแก้ไขด้วย" |
"สมัยก่อนดูข่าวกีฬา จะมีนักเทนนิสหญิงคนหนึ่งก็คือ มาร์ตินา ฮินกิส บางทีก็ได้แชมป์ บางทีก็ตกรอบแรก อาตมาบอกกับพระกับเณรว่า “สังเกตยายคนนี้ไหม ? ต่อไปรุ่งแน่” พระเณรถามว่าทำไม ? อาตมาบอกว่า “เขาแพ้เป็น” คนที่เคยแพ้มาแล้วจะไม่เสียกำลังใจ เพราะเขารู้ว่าแพ้ต้องเป็นอย่างนี้ ชนะต้องเป็นอย่างนี้ แล้วเขาก็เริ่มต้นใหม่ ท้ายสุดเขาก็กลายเป็นมือหนึ่งของโลก
เสียดายเขาหลุดตำแหน่งไปแล้ว เพราะรุ่นนั้นมีสาว ๆ หุ่นดี ๆ เป็นนักเทนนิสหญิงหลายคน จนกระทั่งนักเทนนิสชายปัจจุบันวิพากษ์วิจารณ์ว่า “ถ้ามีแต่เซเรนา วิลเลียม มีแต่วีนัส วิลเลียม มีแต่อเมลี โมเรสโม ผมเลิกเล่นเทนนิสดีกว่า หาความเจริญหูเจริญตาไม่ได้เลย” อเมลี โมเรสโม หุ่นเหมือนผู้ชายดี ๆ นี่เอง แล้วแถมยังล่ำสันสูงใหญ่กว่าผู้ชายอีก หรือไม่ก็หุ่นอย่างน้องแทมมี่ของเรา จริง ๆ แล้วนักเทนนิสเขาต้องการความแข็งแกร่งมาก ถ้ารูปร่างได้เปรียบ โอกาสชนะก็มาก แต่ก็อย่างว่าแหละ คนดูก็อยากจะมีอะไรที่เจริญหูเจริญตาบ้าง" |
ถาม : เวลาจะหลับ แล้วไม่ค่อยหลับค่ะ ?
ตอบ : ภาวนาให้หลับ ถ้าภาวนาแล้วอารมณ์ใจทรงตัว หลับไปแล้วส่วนใหญ่จะไม่ฝัน ยกเว้นถ้ามีเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น จะเป็นลักษณะของเทพสังหรณ์ คือเทวดานิมิตให้เห็น หรือบางทีเป็นนิมิตที่เกิดจากการปฏิบัติของเราจริง ๆ ส่วนใหญ่พวกนี้กว่าจะรู้เรื่องก็เกิดเรื่องไปแล้วทุกที นิมิตกับฝันไม่เหมือนกัน ฝันจะเป็นเรื่องเป็นราว แต่นิมิตมาไม่มีหัวไม่มีท้าย อยู่ ๆ ก็โผล่มาแล้วก็หายไปเฉย ๆ มารู้อีกทีก็ตอนเกิดเรื่องแล้ว แบบเดียวกับประวัติของโป๊ยเซียนที่โดนเนรเทศ หลานชายเป็นหนึ่งในแปดเซียน ทำภาพนิมิตแล้วเขียนโคลงไว้ให้ "เมฆบังพนัสเถื่อน ทิศก็เลือนมิแลเห็น ด่านรำเมืองลำเค็ญ หิมะติดอกอาชาฯ" ตีความไม่ได้ ด้วยความที่ตัวเองเป็นขุนนางตงฉิน ทำเรื่องกราบทูลฮ่องเต้เกี่ยวกับการฉ้อราษฎร์บังหลวงในวงราชการ ปรากฏว่าโดนเนรเทศไปสุดหล้าฟ้าเขียวเลย ตัวเองเดินทางไปแล้วหิมะตกจนกระทั่งท่วมอกม้า ม้าแทบจะก้าวเดินไม่ได้ แล้วตรงนั้นเป็นด่านเก็บภาษีรำข้าว พอเขาเห็นก็นึกได้เลย เพราะหลานชายบอกไปแล้วว่า "เมฆบังพนัสเถื่อน ทิศก็เลือนมิแลเห็น" พายุหิมะมาก็บังคลุมไปหมดทั้งท้องฟ้า แทบจะมองทางไม่เห็น "ด่านรำเมืองลำเค็ญ หิมะติดอกอาชาฯ" หิมะตกจนท่วมอกม้าเลย คงสูงไม่หนี ๓ - ๔ ศอก |
กำลังจะหนาวตายอยู่แล้ว หลานชายที่เป็นเซียนก็เหยียบเมฆมาฉุดขึ้นไป แล้วให้ดูภาพนิมิตทั้งหมด เป็นข้อความที่ว่า
ปุพพัณหเฝ้าทูลสาส์น..........นฤบาลสิโกรธา ตกบ่ายประทานตรา...........เนรเทศ ณ เชียวเอี๋ยง มรรคจรัลแปดร้อยโยชน์.......ธ ทรงโปรดให้จากเวียง เพราะบาปขนาบเคียง...........จึ่งวิโยคระกำเป็น ฯ แล้วก็มาถึงประโยค เมฆบังพนัสเถื่อน..............ทิศก็เลือนมิแลเห็น ด่านรำเมืองลำเค็ญ................หิมะติดอกอาชาฯ นิมิตตัดท้ายมาให้หน่อยเดียว "ปุพพัณหเฝ้าทูลสาส์น นฤบาลสิโกรธา" ตอนเช้าเข้าไปยื่นเรื่อง ฮ่องเต้โกรธมาก คนชั่วนี่ไม่อยากให้ใครเปิดโปงเขาหรอก แล้วบางทีถึงคนชั่วเราก็ต้องอาศัยเขา ตัวเองเป็นคนดีให้ระวังไว้ เป็นแกะขาวในหมู่แกะดำมักจะตายเร็ว ถ้าคุณเป็นแกะดำในหมู่แกะขาวไม่เป็นไรหรอก เพราะคนดีเขาไม่ทำอะไรคุณอยู่แล้ว ด้วยความไม่ดูตาม้าตาเรือ ขุนนางกังฉินทั้งท้องพระโรง ตัวเองเป็นตงฉินอยู่คนเดียว แล้วก็ไปถวายเรื่องร้องเรียนแก่ฮ่องเต้ เท่ากับหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว ถ้าฮ่องเต้จัดการพวกกังฉินไปสักคน ที่เหลือเป็นพวกเขาทั้งหมด แล้วฮ่องเต้จะอยู่ได้ไหม ? มีทางเดียว..คนกราบทูลซวยไปก็แล้วกัน สั่งเนรเทศไป ๘๐๐ โยชน์เลย..! "ตกบ่ายประทานตรา เนรเทศ ณ เชียวเอี๋ยง" ตอนเช้าเข้ากราบทูล มีคำสั่งเนรเทศตอนบ่าย "มรรคจรัลแปดร้อยโยชน์ ธ ทรงโปรดให้จากเวียง เพราะบาปขนาบเคียง จึ่งวิโยคระกำเป็นฯ" เป็นความซวยของตัวเอง ทำกรรมเอาไว้ก็รับไปเถอะ |
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนนี้นโยบายลูกคนเดียวของจีนกำลังสร้างความเดือดร้อนสาหัส คนจีนนิยมลูกชาย ก็เลยกลายเป็นหาเมียไม่ได้ เพราะลูกผู้หญิงมีน้อย จึงมีการสั่งนำเข้าผู้หญิงไปเป็นลูกสะใภ้
แต่อาตมาอยากจะบอกว่า ถ้าโอกาสตกมาถึงใคร ให้รีบปฏิเสธไว้ก่อน เพราะลูกคนเดียวจะโดนดูแลมาอย่างพระราชา พ่อแม่คอยเอาใจไม่พอ ยังมีปู่ ย่า ตา ยาย รวมแล้ว ๖ คนคอยเอาใจคนเดียว ถ้าแต่งเข้าไปก็เป็นทาสดี ๆ นี่เอง เพราะทั้ง ๖ คนจะมารุมจี้ลูกสะใภ้ ให้คอยดูแลลูกหลานตัวเองซึ่งถูกตามใจจนเสียคน" |
ถาม : ปีนี้น้ำจะท่วมไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องกลัวน้ำท่วมนะจ๊ะ น้ำยังไม่มากพอที่จะท่วม โลกของเราเขาบอกว่าจะเสื่อมสูญไปด้วยอำนาจของน้ำ ลม ไฟ ๓ อย่าง แต่ละกัปป์จะโดนทำลายไปด้วยอำนาจของน้ำ ของลม ของไฟ ขึ้นอยู่กับว่าในยุคนั้นธาตุอย่างไหนจะกำเริบมากกว่า จะว่าไปแล้วเรื่องของน้ำท่วมเป็นเรื่องปกติ เพราะในอดีตของเราก็มีน้ำท่วมเป็นปกติอยู่ อย่างปี ๒๔๘๕ หลังจากสงครามโลกไม่นาน ก็เกิดน้ำท่วมใหญ่ |
พระอาจารย์เล่าว่า "ประมาณช่วงวันที่ ๒๔-๒๖ กันยายน อาตมาลงไปภูเก็ต มีโยมอยู่คนหนึ่งเจอหน้าอาตมาเมื่อไรต้องร้องไห้เมื่อนั้น เขาบอกว่าปกติเขาไม่ใช่คนขี้แยนะ แต่ทำไมตอนนี้เจอหน้าใครเป็นต้องร้องไห้ทุกครั้ง
เขาไม่เข้าใจว่าเป็นเรื่องของปีติซึ่งเขาพยายามไปกลั้นไว้ ในเรื่องของปีติ พอไปกลั้นเอาไว้ เวลาอารมณ์ใจถึงช่วงนั้นก็จะน้ำตาไหลไปเรื่อย อาตมาจึงบอกเขาว่าปล่อยให้เต็มที่เสียที แต่โยมยังทำใจไม่ได้ ยังอายเขาอยู่ อย่างอาตมาไปน้ำตาไหลตอนอยู่บ้านสายลม คนเป็นพัน นั่นก็อายเหมือนกัน แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงเมตตาบอกว่า "ปล่อยให้เต็มที่ไปเลยลูก ไม่อย่างนั้นถ้าข้ามไม่ได้ก็จะเป็นอยู่เรื่อย" อาตมาจึงปล่อยให้น้ำตาไหล เช็ดหน้าจนแสบไปหมด ท้ายสุดไหลจนเย็นก็เลิกไปเอง แต่โยมยังอายอยู่เพราะตัวเองเป็นผู้หญิง และเป็นวัยรุ่นด้วย พยายามไปกลั้นเอาไว้ ก็จะแปลว่าน้ำตาจะไหลไปเรื่อย ๆ จนรำคาญไปเอง พอเบื่อพอรำคาญก็จะหาทางก้าวพ้น ก็ต้องปล่อยให้ไหลอย่างจริง ๆ จัง ๆ" |
"ในเรื่องของปีติทั้งหมด รู้สึกว่าอุเพ็งคาปีติน่าสนุกกว่าเพื่อน เพราะลอยไปที่อื่นได้ หลวงพ่อวัดท่าซุงเล่าให้ฟังว่า มีอยู่พรรษาหนึ่งเจริญกรรมฐานกันอยู่ในโบสถ์ ท่านเองก็ไม่ได้คิดอะไร ภาวนาของตัวเองไปเรื่อย ปรากฏว่าอยู่ ๆ ได้ยินเสียงดังปัง..! จึงหันไปดูพบว่าเพื่อนพระรูปหนึ่งเปิดประตูโบสถ์ แล้ววิ่งกลับกุฏิ
ท่านสงสัยว่าเพื่อนพระเป็นอะไร พอเลิกกรรมฐานก็ไปถาม เขาบอกว่าเขาภาวนาแล้วลอย ก็เลยกลัว..เลิกภาวนา ผลักประตูโบสถ์เปิดได้ก็เผ่นกลับกุฏิ จึงทำให้นึกถึงครูบาอาจารย์เก่า ๆ หรือแม้กระทั่งหลวงปู่ปาน ก่อนลูกศิษย์จะภาวนา ท่านให้เอาหนังสือวิสุทธิมรรคไปท่องก่อน จะได้รู้ว่าอารมณ์กรรมฐานแต่ละขั้นตอนเป็นอย่างไร เวลาเกิดขึ้นจะได้ไม่กลัว อุเพ็งคาปีติ ถ้าเป็นแล้วซักซ้อมให้คล่องตัว รักษากำลังใจให้ไม่เกินนั้น จะใช้วิชาตัวเบาได้ นึกถึงเมื่อไรก็จะลอยเมื่อนั้น แต่จะลอยไม่สูงมาก อย่างเก่งก็ ๒ วา ๓ วา อาตมาก็แค่ลอยติดเพดานเท่านั้นเอง เพราะลอยสูงกว่านี้ไม่ได้ ติดเพดานแล้ว บางทีอยู่ในท่านอนก็ดันลอยขึ้นไป อัดติดกับเพดานจนจมูกบี้หายใจไม่ออก สรุปว่าปีติเกิดได้ทุกอิริยาบถ จะยืน เดิน นั่ง นอนไปได้ทั้งนั้น ถ้าประเภทโอกกันติกาปีติ ก็สั่นพับ ๆ เป็นเจ้าเข้า บางคนก็หกคะเมนตีลังกาไปเลย" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:09 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.