กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2173)

เถรี 17-10-2010 11:15

ถาม : เขาไปหาคนที่เขายังไม่รู้ว่าตายเพราะอะไร ไปหลอกหรือคะ ?
ตอบ : เขาคิดถึง เขาเลยมาเยี่ยม อีกอย่างก็คือ ถ้าเขามาลักษณะนั้น เราก็อุทิศส่วนกุศลให้เขาอยู่แล้ว ตอนนั้นอาตมากำลังจะไปทำวัตรเย็นและเจริญกรรมฐานพอดี

ช่วงแรก ๆ ก็ต้องตาลีตาเหลือกรีบไปทำวัตร พอช่วงหลังเลยใช้วิธีขออนุญาตครูนนทาใช้ห้องน้ำในตึก สรงน้ำเสร็จก็รอเวลา ๖ โมงเย็นจึงไปเรียกหลวงพี่ไพบูลย์ให้มารับเวรแทน เราค่อยรีบจ้ำอ้าวไปวิหาร ๑๐๐ เมตร

อาตมาจะเป็นพระ ๑ ใน ๒ รูปในวัดที่เดินเร็วไปวิหาร ๑๐๐ เมตร เพราะส่วนใหญ่ท่านอื่น ๆ จะนั่งรถรางหรือรถอีแต๋นไป ส่วนอีกรูปหนึ่งที่เดินไปวิหาร ๑๐๐ เมตร ตอนนี้ท่านอยู่บ้านข้าง ๆ วัด คราวนี้เห็นหรือยัง พวกรั้น ๆ อยู่วัดไม่ค่อยได้หรอก

ตอนขาไปใช้วิธีเดิน ตอนขากลับเป็นเวลาค่ำแล้ว จึงอาศัยรถอีแต๋นกลับ ตรงนั้นแหละจึงได้เกิดการทดสอบมโนมยิทธิกัน

ทางออกจากวิหาร ๑๐๐ เมตร ถ้าเราสังเกตจะเห็นว่า พอพ้นจากรั้วแล้วจะเป็นถนนเลย ท่านสำออยก็จะขับรถอีแต๋นพากลับ

ท่านสำออย ชื่อนี้ไม่ค่อยมีคนรู้จัก เพราะหลวงพ่อเรียกว่า "ท่านดุ่ย" หลวงพ่อบอกว่า "ไปเมื่อไรก็เห็นทำแต่งานดุ่ย ๆ ไม่สนใจใคร เลยเรียกว่าท่านดุ่ย"

ท่านดุ่ยก็จะคอยถามอาตมาเวลาข้ามถนนว่า "หลวงพี่..ขึ้นถนนได้หรือเปล่า ?" พออาตมาบอกว่า "ได้..ไปเลย" เขาก็แทบจะยกล้อขึ้นถนน ไม่มีเบรกเลย ถึงได้บอกว่า ถ้าวันไหนอาตมาพลาดขึ้นมา ก็คงได้ตายกันทั้งคันรถ..!"

เถรี 17-10-2010 22:22

"สมัยนั้นจะมี '๕ เกลอหัวแข็ง' มีหลวงตาวัชรชัยอยู่ด้วย ๕ เกลอหัวแข็งไม่เป็นที่ชอบใจของใครเขาหรอก เพราะทำให้พี่ ๆ น้อง ๆ เขาลำบาก เขาจะอู้ก็ไม่ได้ เพราะห้าคนนี้แบกระเบียบอยู่ แล้วดันปากกล้าทั้งนั้นเลย

ถึงเวลาประชุมสงฆ์ พอพูดถึงระเบียบวัดเมื่อไร เขาต้องมองหน้า ๕ คนนี้ เพราะเราจะปฏิบัติตามระเบียบ ไม่ยอมผ่อนปรนให้แม้แต่ข้อเดียว ฝนตกแดดออกก็บิณฑบาต ถือว่าหลวงพ่อท่านสั่ง

ท่านสมปองกับหลวงตาไปสายใต้ด้วยกัน ก็เลยไปกันได้ ตอนหลังหลวงตาเห็นว่าสายใต้แถวยาวมาก บางทีไป ๑๐ - ๒๐ รูป หลวงตาจึงแยกไปบิณฑบาตสายหลังวัด ยังเหลืออาตมากับท่านสมปองเป็นหลักอยู่เหมือนเดิม

พอฝนตกคนอื่นเขาไม่ไปกัน แต่อาตมากับท่านสมปองไป สองคนครองผ้าสามผืนเหมือนกัน กลับมาก็เปียกโชก บิดให้พอหมาด ๆ แล้วห่มผ้าไปฉันแบบเปียก ๆ

ที่วัดท่าซุงมีระเบียบอยู่อย่างหนึ่ง คือ ถ้ากลับมาไม่พร้อมกันยังฉันไม่ได้ คนอื่นเขาก็สรรเสริญเจริญพรเรา จนตัวเองเดินกลับแล้วรู้สึกอิ่ม ๆ เลย เราก็สงสัยว่าทำไมสายแล้วจึงยังไม่หิว ที่แท้พี่ ๆ น้อง ๆ เขาช่วยเจริญพรให้ ข้อหาเสือกขยันเกินเหตุ..!"

เถรี 17-10-2010 22:34

"ตอนที่รอนานที่สุด เป็นตอนที่รอรุ่นน้องที่ชื่อท่านประสิทธิ์ ท่านประสิทธิ์ฉายา สุธมฺมยาโน

วันนั้นกลางคืนฝนตกหนัก พอตอนเช้าฝนหยุด ท่านประสิทธิ์ต้องไปบิณฑบาตทางเรือ น้ำกำลังหลากออกจากคลองยาง แล้วหักโค้งไปทางมโนรมย์ ไหลลงไปทางเขื่อน

ปกติเวลาบิณฑบาต ท่านประสิทธิ์จะพายเรือไปทางมโนรมย์ กลับมาถึงวัดราว ๗ โมงครึ่ง วันนั้น ๘ โมงแล้วท่านประสิทธิ์ก็ยังไม่มา ๘ โมงครึ่งแล้วก็ยังไม่มา เวลาเกือบ ๙ โมงท่านประสิทธิ์ถึงกลับมาในสภาพสะบักสะบอม

อาตมาถามว่า "ทำไมช้าจริงวะ ?" ท่านบอกว่า "ตอนไปเร็วมากเลยครับ พอเรือถึงน้ำ ก็ไหลปรู๊ดตามน้ำไปเลย แต่ตอนกลับมาต้องทวนน้ำ พายแทบตายก็แทบจะไม่ขยับเลย เหนื่อยแทบเป็นลม จึงต้องเอามือเกาะต้นไม้ข้างชายน้ำดึงเรือมาทีละหน่อย"

สรุปว่า วันนั้นไม่ได้ทำวัตรเช้า ปกติวัดท่าซุงทำวัตรเช้าตอนแปดโมงครึ่ง หลังฉันเช้าแล้ว วันนั้นกว่าจะฉันเสร็จก็เกือบเพล เพราะท่านประสิทธิ์มาตอน ๙ โมง"

เถรี 17-10-2010 22:41

"เรื่องที่เล่ามานี้สรุปลงตรงที่ว่า ระเบียบวินัยที่เป็นของหยาบ ถ้าเรายังรักษาไม่ได้ ในเรื่องของการปฏิบัติ ซึ่งเป็นอารมณ์ทางใจที่ละเอียด เราก็เข้าไม่ถึงเช่นกัน

พระพุทธเจ้าท่านกำหนดระเบียบวินัยอย่างหยาบ ๆ ให้แก่พวกเราก็คือ ศีล ๕ ขยับสูงขึ้นมา ก็คือ กรรมบถ ๑๐ หรือศีล ๘

ในเมื่อเรื่องของระเบียบวินัยส่วนตัว หรือระเบียบของสถานที่ เราทำไม่ได้ โอกาสที่จะเข้าถึงความดีอย่างคนอื่นเขา ก็เป็นไปไม่ได้ด้วย เพราะว่าจิตของเราหยาบเกินไป

ดังนั้น..ใครก็ตามที่ยังไม่สามารถรักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้ ให้พยายามทบทวนและเร่งรัดตัวเองให้รักษาให้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้ว โอกาสที่จะเข้าถึงมรรคผลก็เป็นศูนย์ไปเลย อย่าลืมว่า สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ศีลเป็นปัจจัยนำให้เราเข้าสู่พระนิพพาน"

เถรี 18-10-2010 07:27

ถาม : หนังที่ท่านเล่าเกี่ยวกับญี่ปุ่น ความคับแคบของสภาพภูมิประเทศที่เป็นเกาะ ส่งผลมาถึงปัจจุบันอย่างไร ?
ตอบ : จะเรียกว่าส่งผลก็ได้ แต่ในส่วนบกพร่องก็มีความดีอยู่ เพราะสถานที่คับแคบ ต้องแก่งแย่งชิงดีกัน เขาก็เลยแก่งแย่งกันจนกระทั่งยืนหยัดอยู่ในแนวหน้าของโลก

ถาม : ตกลงเขามั่นคงแล้วหรือคะ ?
ตอบ : จะเรียกว่ามั่นคงก็ไม่ใช่ คือ ตัวบุคคลยังขาดความมั่นคงในจิตใจอยู่ ด้วยความที่ต้องแก่งแย่งชิงดีต่อสู้กัน เพราะสถานที่มีน้อยบุคคลมีมาก ทรัพยากรมีน้อยบุคคลมีมาก ทำให้เขาสามารถแก่งแย่งจนกระทั่งยืนหยัด เป็นอันดับต้น ๆ ของโลกได้ แต่สภาพจิตใจของตัวบุคคลก็คงไม่มีอะไรเยียวยารักษาได้

ถาม : มีอะไรแสดงให้เห็นว่า คนในญี่ปุ่นเขาขาดความมั่นคงในจิตใจ ?
ตอบ : เขาฆ่าตัวตายหมู่กันมาก เหตุที่เขาฆ่าตัวตายเพราะจิตใจไม่เปิดกว้าง คับแคบมาก โดยเฉพาะสมัยก่อนมีการฮาราคีรี ไม่มีการให้อภัยทั้งผู้อื่นและตัวเอง

ในเมื่อไม่มีการให้อภัยตัวเอง เห็นตัวเองทำผิดพลาด ก็รับผิดชอบด้วยการคว้านท้องตาย เราอาจจะเห็นเป็นความรับผิดชอบ แต่เราก็ต้องมองเห็นอีกมุมหนึ่งว่า เขาไม่มีการให้อภัยเลยแม้กระทั่งตัวเอง..!

เถรี 18-10-2010 07:39

ถ้าเราไปดูที่พระพุทธเจ้าท่านอธิบายเกี่ยวกับเรื่องของศีล ฆ่าสัตว์ใหญ่มีโทษมากกว่าฆ่าสัตว์เล็ก ฆ่าสัตว์ที่มีคุณมีโทษมากกว่าฆ่าสัตว์ที่ไม่มีคุณ ฆ่ามนุษย์มีโทษมากกว่าฆ่าสัตว์ใหญ่ ฆ่ามนุษย์ที่มีศีลมีธรรมมีโทษมากกว่าฆ่ามนุษย์ทั่วไป และท้ายที่สุดก็คือ ฆ่ามนุษย์มีโอกาสบรรลุมรรคผลโทษหนักที่สุด

เท่ากับว่าเราไปฆ่าสัตว์ที่มีคุณอย่างยิ่ง โทษก็เลยหนักกว่าสัตว์ทั่ว ๆ ไปหลายเท่า

ภาษิตจีนเขาบอกว่า ร่างกายผมเผ้าบิดามารดาให้มา ต่อให้เจ้าไม่ยินดีมีชีวิตอยู่ขนาดไหนก็ตาม เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปฆ่าตัวตาย ถ้าพ่อแม่เจ้าไม่อนุญาต แต่อาตมาขอบอกว่าถ้าพ่อแม่อนุญาต ทางธรรมก็ถือว่าผิด..!

ปัจจุบันนี้มีบางปัญหาที่ญาติโยมเคยกล่าวถึง ก็คือ พ่อแม่ป่วยหนัก อยู่ห้องไอ.ซี.ยู. ดูแล้วไม่รอดแน่ เราเป็นลูกสั่งถอดสายออกซิเจนได้หรือไม่ ?

ขอยืนยันว่าถอดเมื่อไรเป็นอนันตริยกรรมทันที เพราะเท่ากับว่าเราสั่งให้ฆ่าท่าน ถ้าจะไม่รักษาต้องไม่รักษาแต่แรกเลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่วินิจฉัยของหมอ ว่าสมควรทำอย่างไร ? ถ้าหมอจะประคองชีวิตอยู่ จะใส่สายระโยงระยางอย่างไรให้หมอใส่ไป ถ้าจะเอาออกให้หมอตัดสินใจไป

อย่าไปสั่งเชียวว่าพ่อแม่ทรมานมาก หมอช่วยเอาออกที เพราะคนเราทรมานขนาดไหนก็ตาม โดยสัญชาตญาณความรักชีวิตยังมีอยู่ ความหวังที่จะหายจากการเจ็บป่วยยังมีอยู่ ถ้าไม่ใช่ประเภทสิ้นคิดจริง ๆ ไม่มีใครอยากตาย

โปรดอย่าได้ทำอนันตริยกรรม เพราะว่าผุดยากเกิดยาก สมัยเด็ก ๆ อาตมากลัวมากเลยเวลามีคนแช่งว่า "ตายไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด" สมัยนี้เมื่อไรเขาจะแช่งให้เป็นจริงเสียที ตายแล้วไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดของเรา ความหมายเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดมีที่เดียวคือพระนิพพาน แต่ถ้าผุดยากเกิดยากก็อเวจี

เถรี 18-10-2010 08:13

เรื่องของการทำแท้งก็เหมือนกัน เทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถตรวจได้ว่าลูกในท้องพิการ หมอก็มักจะแนะนำให้ทำแท้ง ขอยืนยันว่าถ้าคุณทำแท้ง โทษเท่ากับคุณตั้งใจฆ่าคนเลย..!

คนที่เกิดมาจะสมบูรณ์หรือพิการ ขึ้นอยู่กับกรรมเก่าที่เขาทำมา และเขาคงสิทธิ์ที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แม้ว่าจะต้องเกิดมาใช้กรรมก็ตาม เราไปตัดชีวิตเขาเมื่อไร คือเราตั้งใจฆ่ามนุษย์ให้ตาย


ถ้าพระแนะนำให้ทำแท้งต้องอาบัติปาราชิกเลย เราจะไปอ้างเรื่องศีลธรรมไม่ได้ เพราะไม่มีศีลธรรมข้อไหนที่แนะนำให้ฆ่าได้ ยกเว้นศีลธรรมของศาสนาอื่น เพราะส่วนใหญ่ที่อ้างก็คือ เด็กเกิดมาจะลำบาก พ่อแม่เสียเวลาในการเลี้ยงดู สิ้นเปลืองทรัพย์สินเงินทอง เด็กพิการทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว นี่มองอย่างโลกตะวันตก ไปมองในแง่ของเศรษฐกิจกำไรขาดทุน

อย่าลืมว่าพื้นฐานของพวกเรา คือ พื้นฐานชาวพุทธ เราต้องมองในแง่ของศีลธรรม อย่าไปมองในแง่กำไรขาดทุนตามหลักเศรษฐศาสตร์ ทฤษฎีบ้า ๆ พวกนั้นทำให้ครอบครัวของทางตะวันตกล่มสลาย ถึงเวลาแก่แล้วก็ต้องไปอยู่ที่พักคนชรา ไม่มีลูกหลานคอยดูแล

บ้านเราอย่าให้แย่ขนาดนั้นเลย โดยเฉพาะจุดหนึ่งที่น่ากลัวมาก ก็คือ เด็ก ๆ สมัยนี้กร้าวกระด้างกับพ่อแม่ตัวเอง ดื้อ..เถียงพ่อเถียงแม่ ประเภทที่โบราณบอกว่า เถียงคำไม่ตกฟาก น่าตบให้ปากฉีกถึงใบหู..!

เถรี 18-10-2010 09:32

อยากจะบอกว่าประสบการณ์ชีวิต ๕๐ กว่าปีที่ผ่านมา คนไหนทำอย่างไรกับพ่อแม่ เวลาตัวเองมีลูกเมื่อไรได้คืนทันที และได้คืนหลายเท่าด้วย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ?

เคยดื้อกับพ่อแม่เท่าไร พอมีลูกจะดื้อกว่าหลายเท่า เคยเถียงพ่อเถียงแม่ เคยทำร้ายพ่อแม่ หรือทำให้ท่านเจ็บช้ำน้ำใจเท่าไร ถึงเวลาลูกตัวเองจะทำมากกว่าที่เราทำกับพ่อแม่ เป็นอย่างนี้แทบทุกครอบครัวที่เคยเห็น

ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะไม่รักเรา ถึงแม้พ่อแม่จะดุด่าเฆี่ยนตีเรา เราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปโกรธไปเกลียดท่าน เราต้องคิดดูว่า ถ้าเราไม่มีท่าน เราก็ไม่มีที่เกิด เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นตัวเป็นตนได้ มีสิทธิ์ที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานได้ในชาตินี้ ก็ด้วยร่างกายนี้ที่พ่อแม่ให้มา

เพราะฉะนั้น..มีโอกาสแล้วทำดีกับท่านไป ขอให้ทุกคนเชื่อว่าทำดีแล้วต้องได้ผลดี แม้ว่าผลนั้นจะมาช้าไปหน่อยก็ตาม

เถรี 18-10-2010 11:37

อาตมาเห็นหลายครอบครัวที่พ่อแม่เป็นคนเจ้าโทสะ ค่อนข้างจะร้ายกาจกับลูกหลานตัวเอง แต่พอลูกตั้งใจทำดีในศีล สมาธิ ปัญญา สั่งสมไปนานเข้า ๆ พอกำลังความดีสูง ก็สามารถที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมของพ่อแม่ได้

ดังนั้น..ถ้าเป็นไปได้ พ่อแม่ใครยังอยู่ เราควรให้การอนุเคราะห์สงเคราะห์ท่านบ้าง กลับไปถึงบ้าน ต่อให้ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือไปฝาก ก็ถามถึงสารทุกข์สุกดิบท่านบ้าง "วันนี้สบายดีหรือเปล่า ? งานการเป็นอย่างไร ? มีคนช่วยไหม ? เจ็บไข้ได้ป่วยอะไรหรือเปล่า ?" พ่อแม่ไม่ได้ต้องการอะไร แค่ต้องการให้ลูกสนใจพ่อแม่บ้าง

มีครอบครัวคนจีนอยู่ครอบครัวหนึ่ง มีลูกชายโทนคนเดียว ทั้งพ่อและแม่เป็นคนขยันทุ่มเท เลี้ยงลูกเติบโตขึ้นมา หาสะใภ้ให้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา คนเป็นพ่ออายุสั้นตายไปเสียก่อน เหลือแต่แม่

ปรากฏว่าลูกชายกลับมาถึงบ้าน ไปจ๊ะจ๋ากับเมียตัวเอง แม่นั่งอยู่ปากประตูกลับเดินผ่านไปทุกที เห็นแล้วนึกสะท้อนใจ เหมือนกับแม่เป็นตุ๊กตาเฝ้าหน้าร้านเฉย ๆ เราลองมาคิดดูว่า อย่างน้อย ๆ พ่อแม่เลี้ยงเรามาหลายสิบปี ส่วนคู่ชีวิตของเรามาทีหลังนานมาก แล้วเราไปให้ความสนใจกับคู่ชีวิตมากกว่า นี่ยุติธรรมแล้วหรือ ?

ถ้าจะให้ดีก็คือ ให้ความสนใจเท่าเทียมกัน และถ้าเป็นไปได้ ให้ความสนใจพ่อแม่ให้มากกว่า รู้ว่าท่านชอบกินอะไร ถึงเวลาซื้อให้ท่านกินบ้าง มีโอกาสพาท่านไปเที่ยวบ้าง พาไปทำบุญใส่บาตร เข้าวัดเข้าวาตามโอกาสบ้าง ถ้าใครสามารถทำได้จะมีแต่ความเจริญแก่ตัวเอง อย่าไปคิดว่าโลกยุคใหม่ เราทำอย่างนั้นแล้วเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี ทำดีกับท่านไว้เถอะ ไม่เสียหลายหรอก ถึงเวลาลูกหลานมีตัวอย่าง ก็จะทำดีกับเราบ้าง

เถรี 18-10-2010 11:59

มีอยู่สมัยหนึ่ง หลวงปู่มหาอำพันท่านป่วย อาตมาลาหลวงพ่อเพื่อไปดูแลปรนนิบัติรับใช้หลวงปู่ เพราะคนอื่นทำแล้วไม่ถูกใจท่าน ด้วยเหตุหลายประการ

ประการแรก ขาดความศรัทธาในตัวท่าน เห็นท่านเป็นคนแก่ และเป็นคนแก่ที่ป่วยด้วย คนทั่ว ๆ ไปจะรู้สึกว่าน่ารำคาญ น่าเบื่อหน่าย ประการที่สอง ขาดความละเอียดลออ ทำอะไรขาดตกบกพร่อง ไม่สามารถที่จะดูแลปรนนิบัติคนไข้ได้ดี

ประการสุดท้าย ใจไม่สงบ บางทีก็เดินพล่านเป็นชะมดติดจั่น เวลาเราเคาะประตูเข้าไปหา พอหลวงปู่เห็นหน้าก็จะยิ้มชนิดอย่างที่น้อยคนได้เห็น แล้วจะรีบบอกกับพระที่เฝ้าว่า "นิมนต์ท่านกลับได้เลยครับ ท่านเล็กมาแล้ว" ซึ่งเขาจะรีบตะเกียกตะกายกลับเลย เพราะทนรำคาญไม่ได้

บางทีหลวงปู่ก็บอกว่า ท่านก็รำคาญเหมือนกัน เขาเดินรอบห้อง ก๊อก ๆ เหมือนอย่างกับนกเลาะกรง

อาตมาลามาดูแลหลวงปู่อยู่ช่วงหนึ่งติดกันหลาย ๆ ครั้ง ทั้ง ๆ ที่ทางวัดมีระเบียบว่า ให้ลาได้ครั้งละไม่เกิน ๑๐ วัน เพราะไม่อย่างนั้นจะเอาเปรียบคนอื่นที่เขาทำงาน อย่างวัดท่าขนุนก็ให้ลาได้เดือนละไม่เกิน ๗ วัน ถ้าไม่ได้ลาติดกันสองเดือนขึ้นไป สามารถลาได้ ๑๕ วัน

พออาตมาลาติดกันมากเกินกำหนด หลวงตาวัชรชัยท่านรู้ว่าความดีของเราเยอะ มีคนจ้องจะฟันหัวอยู่ ท่านก็เลยเตือนว่า "สิ่งที่เอ็งทำนะดี แต่เอ็งต้องคิดดูว่า ถ้าจะเอาผลตอบแทนชาติปัจจุบันนี้ น่าจะประมาณเอ็งแก่ ๆ แล้ว เจ็บไข้ได้ป่วย ไปไหนไม่ไหว จะมีพระลูกพระหลาน หรือไม่ก็ญาติโยมมาปรนนิบัติรับใช้เหมือนกับที่เอ็งไปดูแลหลวงปู่

แต่ถ้าเอ็งยังทำผิดระเบียบด้วยการลาเกิน แล้วโดนไล่ออกจากวัด เอ็งจะเสียเวลาในการปฏิบัติไปเลย"

เถรี 18-10-2010 17:14

หลวงตาท่านให้เราชั่งน้ำหนักดูว่า ระหว่างมรรคผลของตัวเอง กับในเรื่องของการปรนนิบัติครูบาอาจารย์ ควรจะเลือกเรื่องไหน ?

ตอนนั้นอาตมาหูอื้อตาลาย เหมือนกับฟังไม่เข้าหู จึงยังคงลาไปปรนนิบัติหลวงปู่ต่อไป และโดนเข้าจริง ๆ มติกรรมการสงฆ์สรุปว่าผิดระเบียบ ต้องให้ออกจากวัด ผิดระเบียบเพราะลาเกินที่กำหนดไว้ รวมแล้วมากกว่า ๔๕ วัน ต่อให้ลาได้ ๑๕ วันก็ยังเกินไปมาก

จากนั้นเขาก็แจ้งผลการประชุมและมติที่ประชุมให้แก่หลวงพ่อ พูดง่าย ๆ ว่าขออนุญาตเชือด..! หลวงพ่อตอบหนังสือลงมาว่า "การไปปรนนิบัติดูแลครูอาจารย์ถือว่าเป็นเรื่องสมควร เป็นการที่ทำไปโดยกตัญญู ให้ปรับโทษโดยตัดวันลาเหลือเพียง ๗ วัน" เพราะฉะนั้น..อาตมาจะเป็นพระรูปเดียวในวัด ที่ลาได้ไม่เกิน ๗ วัน..!

เรื่องที่เล่ามานี้ ถ้าเป็นพวกเรา เมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจ ก็จะขึ้นอยู่กับกำลังใจของเราเอง ถ้าเราเห็นแก่ตัวเองมากกว่า เราก็จะทิ้งหลวงปู่ แล้วก็ปฏิบัติตามระเบียบวัด

แต่ตัวอาตมาเองนั้น มีสันดานอยู่อย่างหนึ่งว่า เป็นคนที่เกิดที่ไหนก็ไม่ได้หวังว่าโตที่นั่น พร้อมที่จะไปที่อื่นได้ตลอดเวลา แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ ไปไกลบ้านได้มากเท่าไรก็มีความสุขเท่านั้น ก็เลยไม่ได้เกรงว่าจะโดนไล่ออกเพราะผิดระเบียบวัด

อาจจะเป็นผลพวงที่ปฏิบัติตามหลวงพ่อท่านมาหลายชาติ ในเมื่อหลวงพ่อตั้งความปรารถนาที่จะตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพื่อสงเคราะห์สรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ แม้เราไม่ได้ตั้งความปรารถนา แต่อธิษฐานตามกันมา จึงรับเอาจริยานี้ไปโดยปริยาย

ทำให้เห็นความสุขของคนอื่น เป็นเรื่องสำคัญมากกว่าความสุขส่วนตัว และเชื่อว่าลูกศิษย์สายหลวงพ่อร้อยละ ๙๙ ก็มีความรู้สึกแบบนี้ทั้งนั้น

เถรี 18-10-2010 17:19

เรื่องที่เล่ามานี้ เอาไว้เป็นข้อเปรียบเทียบสำหรับพวกเราในการตัดสินใจ เพราะการตัดสินใจแต่ละครั้งนั้น จะแสดงออกซึ่งกำลังใจของเราตอนนั้นอย่างชัดเจน เราจะมีสักกายทิฏฐิ มีมานะ มีอติมานะขนาดไหนก็ตาม ตอนนั้นจะออกมาหมด รู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ก็ออกมาหมด

จริง ๆ แล้วต้องขอบคุณหลวงตาเป็นอย่างยิ่ง อาตมาเป็นอย่างทุกวันนี้ได้ ถ้าหากผลงานนี้ ๑๐ ส่วน เป็นของหลวงตาไปเสีย ๓ ส่วน ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ ๓๐ เปอร์เซ็นต์เลย เพราะสมัยนั้นเห็นหลวงตาเป็นต้นแบบ เป็นต้นแบบในการงับคนอื่น..! เท่มากเลย

เวลาปฏิบัติติดขัดอะไร พี่เลี้ยงคนแรกที่นึกถึงก็คือหลวงตา แต่วันนั้นเป็นเรื่องแปลก กำลังใจอาตมาท่วมตัวเอง สิ่งที่หลวงตาเตือนกลายเป็นผ่านหูไปเฉย ๆ ไม่ได้รับไว้พิจารณาเหมือนทุกครั้ง เพราะเราตัดสินใจตั้งแต่แรกแล้วว่าเราจะไป

ในเมื่อตัดสินใจไปแล้วจึงไม่ฟังคำเตือน แล้วก็เป็นไปตามที่หลวงตาท่านคาดจริง ๆ ว่า "เอ็งโดนแน่..!" แต่ด้วยความเมตตาของหลวงพ่อ โดยเฉพาะการวิเคราะห์ว่าเราทำผิดด้วยสาเหตุใด ตรงนี้สำคัญที่สุด

คนเราทุกคนที่ทำผิด ไม่ว่าจะผิดระเบียบ ผิดศีล ผิดกฎหมาย จะมีเหตุผลในตัวเองอยู่แล้ว เราต้องพยายามเข้าใจเหตุผลนั้นให้ได้ การที่เราตัดสินก็จะไม่ผิดพลาด ถ้าเราไม่เข้าใจในเหตุผลนั้น ว่าตามกฎหมายตรง ๆ ว่าตามระเบียบตรง ๆ บางทีเราอาจจะทำลายคนบางคนโดยไม่รู้ตัว ทำให้เขาเสียอนาคตไปเลย

เถรี 18-10-2010 17:25

พระอาจารย์บอกถึงเคล็ดลับในการท่องบทสวดมนต์ว่า "หลักการสวดมนต์ ถ้าอยากจะเป็นเร็ว อย่าฝึกสวดทีเดียวทั้งบท

อาตมาจะแยกทีละสองบรรทัด ให้สองบรรทัดเท่ากับ ๑ บท เขียนเลข ๑ กำกับไว้ สองบรรทัดต่อมาก็เขียนเลข ๒ กำกับไว้ อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ถึงเวลาก็ตั้งใจท่องสองบรรทัดแรก พอท่องไป ๓-๔ รอบ ก็จะอ่านยาวให้จบบทไปทีเดียว

พอสองบรรทัดแรกได้ บางทีบรรทัดที่ ๓-๔ ก็จำได้แล้ว ฉะนั้น..เราทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ พักเดียวก็จะได้ทั้งบทเลย

โดยเฉพาะเราจะจำแม่น เพราะเราจะนึกได้ถึงบทที่ ๑ , ๒ , ๓ , ๔ ไปถึงไหนแล้ว เลขบทต่อไปจะอยู่ในใจของเรา เวลาสวดมนต์จะผิดยาก เพราะจำลำดับได้แม่น"

เถรี 18-10-2010 17:31

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระกริ่ง... ของบริษัท... ซึ่งเราก็รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ เหลือแทบจะครบทุกองค์ เพราะคนรู้เสียแล้วว่า เจ้าเดิมเป็นคนสร้าง

รายนี้เขาจะมีการจัดพิธีให้ยิ่งใหญ่ เพื่อเรียกศรัทธาญาติโยม ขณะเดียวกันก็จะออกข่าวในลักษณะว่าของมีน้อยมาก โดยเฉพาะจะให้ไปรษณีย์แต่ละสาขาจำหน่ายประมาณ ๑-๒ องค์ เพื่อให้เกิดเป็นกระแสขาดแคลน ลักษณะคนแย่งกัน จะได้ไปตีข่าวโฆษณาซ้ำอีก

โบราณเขาบอกว่า ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน เป็นเรื่องจริง ถ้าเขาทำตรงไปตรงมาตั้งแต่แรก ป่านนี้คาดว่านอกจากจะไม่มีคดีแล้ว คงจะรวยซับรวยซ้อน ไม่ใช่ซวยซับซวยซ้อนอย่างในปัจจุบัน

เขาเป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถมาก ถึงขนาดแนะนำดาราว่ายกบ้านให้สาวเขาไปเถอะ เสียดายอย่างเดียวว่า ไปใช้ความสามารถในทางที่ผิด

ตอนช่วงที่เขารุ่ง ๆ เงิน ๔๐๐-๕๐๐ ล้านบาท เขาหาได้ในงวดเดียวในการออกวัตถุมงคล เพราะฉะนั้น..ทุกวันนี้ถึงแม้จะต้องคดีอยู่ในเรือนจำ แต่ก็อยู่แบบสบาย"

เถรี 18-10-2010 17:41

"เคยสงสัยกับคำว่า 'กรรมติดจรวด' อยู่เหมือนกัน ปรากฏว่าผู้เฉลย คือ หลวงพ่อรัตน์ รตนญาโณ สำนักปฏิบัติธรรมรัตนประทีป ที่อำเภอแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน เจ้าของวิชาสมาธิหมุน

เรามานึกถึงลักษณะของดินฟ้าอากาศที่แปรปรวน เกิดเป็นสภาพของเรือนกระจก กลุ่มเมฆที่เกิดจากคาร์บอนจะคลุมรอบโลกอยู่ ทำให้ความร้อนที่ตกมาถึงโลกสะท้อนกลับออกไปไม่ได้ เพราะมีกำแพงกั้นอยู่ชั้นหนึ่ง

หลวงพ่อรัตน์บอกว่ากำแพงชั้นนี้แหละ แรงกรรมที่เราทำมาจะสะท้อนกลับลงมา ทำให้เกิดเหตุการณ์กรรมติดจรวด อาตมาจึงมาคิดว่า ถ้าเป็นอย่างที่หลวงพ่อรัตน์ว่าจริง ๆ เราทำดีก็ต้องติดจรวดบ้าง เพราะฉะนั้น..ต้องเร่งทำความดีให้เยอะไว้ ถึงเวลาถ้ากรรมดีติดจรวดจะสบายไปตาม ๆ กัน

ไปนั่งคุยกับท่านครึ่งค่อนวัน ได้ความรู้มากเลย โดยเฉพาะการที่ท่านสร้างเครื่องมือต่าง ๆ ได้จากสมาธิทั้งนั้น ท่านจะทำแหล่งพลังงานใหม่ที่ไม่ต้องพึ่งพาไฟฟ้าหรือนิวเคลียร์"

เถรี 18-10-2010 17:46

"เราควรจะศึกษาเรื่องของคนอื่นเขาบ้าง เพื่อจะได้รู้เขารู้เรา แต่ไม่ใช่ศึกษาแล้วเอาไปฟุ้งซ่าน ไม่อย่างนั้นแล้วเดี๋ยวจะเหมือนกับพระที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมปากช่อง

พออาตมาไปถึง บรรดาพระและแม่ชีของวัดท่าขนุนก็มากราบ และพระจากที่อื่นที่ไปปฏิบัติสมทบ มีส่วนหนึ่งเห็นอาตมาแล้วดีอกดีใจก็มากราบ มีพระเจ้าถิ่นอยู่รูปหนึ่ง ท่านมาถามว่า "ท่านอาจารย์เป็นใคร มาจากไหนครับ ทำไมพระและแม่ชีรู้จักอาจารย์กันเยอะจังเลย ?"

อาตมาจึงบอกให้ทราบว่าเป็นใครมาจากไหน ท่านยิ่งมึนหนักเข้าไปใหญ่ เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อน ตรงนี้เป็นการวัดได้เลยว่าอาตมายังไม่ดัง ถ้าดังท่านต้องรู้จัก..!

เพราะฉะนั้น..ที่อาตมาบอกว่าให้รู้เขารู้เราเอาไว้บ้าง ถึงเวลาเขาพูดจะได้รู้ว่าที่ไหน ไม่ใช่ถึงเวลาก็เอ๋อ เป็นน้องเอ๋อจะน่ารักก็ตอนเรื่องที่ไม่สำคัญ ถ้าเป็นน้องเอ๋อตอนเรื่องสำคัญ เดี๋ยวก็เจอน้องโบ๊ะเข้าให้..!"

เถรี 18-10-2010 18:02

"อาตมาไปพม่า หลวงปู่วัดคะแลบ้านน้อย อยากเจอหน้าอาตมาเป็นที่สุด จะขอให้ช่วยสร้างศาลาสักหลังหนึ่ง อาตมาเคยช่วยท่านสร้างพระเจดีย์ ให้อิฐเขาไปหมื่นก้อนและเงินอีกสามหมื่น ปรากฏว่าครั้งนั้นเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน ไปโดนพวกกะเหรี่ยงคริสต์ปิดถนนและซ้อมคนขับรถเสียปางตาย ทำให้เดินทางไม่ถึงจุดหมาย

อาตมาจึงต้องไปค้างคืนที่วัดหลวงปู่ และบอกกับครูบาน้อยไปว่า "คุณบอกท่านว่าผมเป็นแค่เพื่อนที่มาจากเมืองไทยก็พอ ไม่ต้องบอกว่าผมเป็นใคร" เพราะหลวงปู่อยากเจออาตมามาก

พอถึงเวลาหลวงปู่ถาม ครูบาน้อยก็บอกว่าเป็นเพื่อนมาจากเมืองไทย จะมาเที่ยวหนองบัว อาตมาก็ไม่ยอมเจรจาด้วย เพราะพูดพม่าไม่ได้ หลวงปู่ไม่รู้จะคุยอย่างไร ท่านก็ไป

รุ่งเช้าอาตมาฉันเช้าเสร็จก็เผ่นจากวัดไป พอออกมาพ้นวัดจึงบอกครูบาน้อยว่า "ถ้าหลวงปู่ท่านรู้ว่าผมเคยมากินมานอนอยู่ที่วัดท่าน ต่อไปจะมีสองอย่าง อย่างแรกอาจจะเลิกคบคุณไปเลย อย่างที่สอง สถานเบาก็คงสรรเสริญความดีของคุณไปอีกนาน"

อีกรายหนึ่งเป็นโชเฟอร์ขับรถสองแถว ชื่อปะลิ รายนี้ศรัทธาอาจารย์เล็กเหลือเกิน อาตมาไปสร้างวัดที่นั่น เป็นเงินสองสามร้อยแสนแล้ว จึงอยากพบอาจารย์เล็กเหลือเกิน

อาตมาก็นั่งฟังเขาคุยว่าอยากพบอาจารย์เล็กไปเรื่อย ๆ เขากำชับกับครูบาน้อยว่า "ถ้ามาแล้วช่วยบอกด้วย จะรับส่งฟรี" ครูบาน้อยก็รับปากไปตามเรื่อง

พวกนี้ถ้ามารู้ทีหลังว่าเรานั่งรถเขาจนก้นด้าน เขาคงจะงงมากเลย แต่ระยะหลังหลอกเขาไม่ค่อยได้ มีอยู่เที่ยวหนึ่งโยมเขามา อาตมาก็แกล้งถามว่ามีธุระอะไร โยมเขาบอกว่าจะมากราบอาจารย์เล็ก อาตมาจึงชี้ไปที่ท่านมหาปิง บอกว่า "ท่านนั้นแหละ"

โยมเขาบอกว่า "ผมดูรูปจากในเว็บมาแล้วครับ" อาตมาหมดท่าเลย ตอนหลังนี่ชักจะหลอกใครไม่ค่อยได้"

เถรี 18-10-2010 18:07

"บางทีโยมเขาไปวัด เดินตรงรี่เข้ามาหาอาตมา "หลวงพี่ครับ กุฏิหลวงพ่อเล็กอยู่ที่ไหน ?" ตกลงเราจะเป็นหลวงพี่หรือหลวงพ่อดีวะ..! ก็เลยชี้ไปที่กุฏิ บอกว่ากุฏิท่านอยู่หลังนั้น แล้วเราก็กวาดวัดของเราต่อไป

อีกครั้งหนึ่ง ผู้พันติ่ง เอาวัตถุมงคลไปให้พี่ชายเขาที่สุราษฏร์ธานี พี่ชายเขาเจออาวุธสงครามไป ๔๐ กว่านัดแล้วไม่เป็นอะไรเลย เรื่องราวจึงฮือฮา ทหารยกมาล้อมกุฏิอาตมา อยากได้วัตถุมงคลกัน

อาตมาเปิดประตูออกมา และเดินไปทำนั่นทำนี่ แม้แต่หางตาทหารเขายังไม่มองเลย เขาวาดภาพหลวงพ่อเล็กไว้อย่างไรไม่รู้ ? แต่ไม่ใช่คนนี้แน่นอน ทำเอาอาตมารู้สึกปลื้ม ๆ อย่างไรก็ไม่รู้"

เถรี 18-10-2010 19:31

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้ที่บ้านสายลมเขาจัดงานครบรอบวันเกิดหลวงพ่อวัดท่าซุง

ความจริงหลวงพ่อท่านไม่ได้เกิดเดือนตุลาคม ท่านเกิดเดือนมิถุนายน แต่ตอนที่ท่านหมดอายุแล้วพระต่ออายุให้ คือ เดือนตุลาคม ท่านก็เลยถือว่าเดือนตุลาคมเป็นเดือนเกิดของท่าน

ถ้าใครไปศึกษาประวัติท่านแล้วจะแปลกใจ ว่าทำไมหลวงพ่อเกิดเดือนหนึ่ง แล้วไปทำบุญวันเกิดอีกเดือนหนึ่ง โปรดทราบตามนี้ว่า ท่านถือว่าการที่พระต่ออายุให้คือการเกิดใหม่ จึงเอาเดือนตุลาคมเป็นเดือนเกิด"

เถรี 18-10-2010 20:19

ถาม : ถ้าอยากให้มีความรู้สึกว่าเรามีความเคารพพระจริง ๆ ไม่ได้มองที่ความสวยงามของท่าน ต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : ต้องมองเห็นคุณของท่านจริง ๆ ให้ไปพิจารณาว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์มีคุณความดีอย่างไรบ้าง ถ้าเห็นความดีของท่านจริง ๆ จะเกิดความเคารพมาจากใจจริงเอง


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:00


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว