กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1582)

เถรี 21-02-2010 00:31

ถาม : เวลาที่เราสวดมนต์ เราต้องสมาทานศีลหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้ามีศีลอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องสมาทานหรอกจ้ะ

ถาม : เคยได้ยินว่า ถ้าเราสมาทานศีลแล้ว เราคิดให้ใครก็จะได้นั่น
ตอบ : ศีลไม่ได้อยู่ที่สมาทาน การสมาทานเป็นการศึกษาว่าศีลมีอะไรบ้าง ศีลจะเป็นศีลหรือไม่เป็นศีล อยู่ตรงที่เราตั้งใจงดเว้นปฏิบัติให้ได้ เพราะฉะนั้น..ถ้าเรารู้แล้วว่าศีลห้าข้อมีอะไรบ้าง เราตั้งใจปฏิบัติได้ ถึงเวลาศีลอยู่กับเราแล้วจ้ะ ไม่ต้องไปสมาทานใหม่

เถรี 21-02-2010 17:39

ถาม : ผมทำงานจนกระทั่งได้ผลงานเป็นอันดับหนึ่งของบริษัท ช่วงเดือนธันวาคมมีใครไม่รู้เล่นวิธีพิสดาร ชนะผมไปเลย เสร็จแล้วต้องมีการรับรางวัล ผมกลายเป็นที่สอง ผมไม่อยากไปรับเลย ถ้าเกิดผมดื้อแพ่งไม่ไปรับ คนอื่นเขาจะมองว่า
ตอบ : เหมือนกับเราไม่รู้แพ้รู้ชนะ

ถาม : นั่นสิ ผมรู้สึกว่ามันไม่แฟร์
ตอบ : นั่นก็เรื่องของเขา เราก็ทำของเราไป แล้วก็ดูไปด้วยว่าเขาใช้วิธีไหนซอกแซกไปได้

ถาม : เหมือนวิ่งแข่งพันเมตร เราวิ่งมาตั้งแต่ต้น พอร้อยเมตรสุดท้าย เขานั่งเฟอร์รารี่แซงมา แล้วก็เดินเข้าเส้นชัยไปเลย แล้วก็บอกว่าไม่ผิดที่นั่งรถ ไม่รู้จะพูดอย่างไรเลยครับ
ตอบ : เราก็ใช้วิธีเดียวกับเขาบ้าง

ถาม : อย่างนี้เราควรไปรับรางวัลไหมครับ ?
ตอบ : ควร..จะได้อยู่ในลักษณะรู้แพ้รู้ชนะ แสดงความยินดีกับเขาด้วย เป็นการวัดกำลังใจของเราได้ดีที่สุดเลย รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย จริง ๆ แล้วเป็นกำลังใจของทางด้านธรรมะโดยตรง แม้ว่าเขาจะไม่ตรงไปตรงมาก็ตาม แต่เราก็ต้องเข้าใจในจุดที่ว่า ในเมื่อเขาทำได้ตามกติกา เราเองเรายอมรับกติกา

ถาม : ผมตั้งใจจะไม่ไปนะนี่
ตอบ : แกล้งทำเป็นคนโง่ ไม่รู้ไม่ชี้ สามก๊กเขาบอกว่า ถ้าโง่ไม่เป็น เป็นใหญ่ไม่ได้

เถรี 21-02-2010 17:52

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยก่อนหมาที่บ้านขึ้นต้นไม้ได้ แต่ขึ้นได้ไม่สูง พอเราเผ่นพรวดขึ้นต้นไม้ มันก็ตะกายตาม แต่ตะกายได้ไม่สูงเพราะเกาะไม่ติด เดี๋ยวก็รูดลง รู้สึกหมาสมัยใหม่นี้ก็หมดสมรรถภาพพอกัน สมัยนั้นช่วงตรุษจีนพอกินไก่เสร็จ ยกกระดูกไก่ให้หมาดู แล้วก็ขว้างเข้าไปในดงหญ้าคา หมามันกระโจนพรวดเข้าไป ไม่ถึงครึ่งนาทีก็เอาออกมากินแล้ว สมัยนี้โยนเลยหัวไปศอกเดียวก็ยังหาไม่เจอ

แสดงว่าทั้งคนทั้งสัตว์ สมรรถภาพเสื่อมเข้าไปเรื่อย ๆ ตรงนี้มาคิดถึงการปฏิบัติ เพราะว่าความแหลมคมของประสาทสัมผัสเสื่อมไปด้วย ฉะนั้น..ในเรื่องการปฏิบัติ สติ สมาธิ ปัญญา ความแหลมคมก็ลดน้อยไปเรื่อย ตามความสุขสบายที่เกิดขึ้น พระเขาจึงบังคับว่าต้องออกธุดงค์ ออกไปเพื่อให้ลำบาก ไปซื้อสัญชาตญาณเดิมกลับมา"

ถาม : แสดงว่าอยู่กับที่นาน ๆ ไม่ได้ ?
ตอบ : คนที่จะอยู่กับที่นาน ๆ ได้ ต้องเป็นอย่างท่านเจ้าคุณนรฯ คือ มีไฟอย่างสม่ำเสมอ มีวินัยในการปฏิบัติ ถ้าหากคนที่ไม่มีไฟสม่ำเสมอ ไม่มีวินัยในการปฏิบัติ อยู่กับที่นาน ๆ เสร็จทุกราย

เราจะสังเกตว่า เราไปที่ไหนใหม่ ๆ เวลากลางคืนนอนไม่ค่อยหลับหรอก ที่บอกว่านอนไม่หลับเพราะแปลกที่ จริง ๆ ไม่ใช่ เป็นเพราะที่นั้นเราไม่เคยอยู่ เราไม่มั่นใจความปลอดภัย สภาพจิตก็จะตื่นตัวของมันเอง นักปฏิบัติจริง ๆ จะต้องเอาให้ได้อย่างนั้น ก็คือ จะหลับจะตื่นต้องมีสติรู้อยู่ แต่พวกเรานี่พอเห็นว่าคืนที่สองไม่มีอะไร คืนที่สามก็กรนตั้งแต่หัวค่ำ พระธุดงค์ท่านจึงไปเรื่อย ๆ เพราะถ้าอยู่ที่เดียว เดี๋ยวก็ชินแล้วตรงนี้ สติก็คลายตัว

เถรี 21-02-2010 18:42

พระอาจารย์กล่าวว่า "เสียดายวิชาการของเราจำนวนมากต่อมากด้วยกัน หายสาปสูญไปกับผู้รู้ เพราะกว่าที่ท่านจะหาลูกศิษย์ที่ท่านมั่นใจว่าทรงความดี มีความเพียรพยายามที่จะสืบทอดวิชาได้ บางทีท่านก็ตายไปเสียก่อน วิชาก็สูญไป

หรืออีกมากต่อมากด้วยกัน ถ่ายทอดวิชาให้ลูกศิษย์ ก็อุตส่าห์เก็บไม้ตายสุดท้ายเอาไว้ ก็เลยกลายเป็นไม้ตายจริง ๆ คือ ตายไปกับตัว พอคนรุ่นหนึ่งก็หายไปหน่อยหนึ่ง รุ่นหนึ่งก็หายไปหน่อยหนึ่ง รุ่นหลังก็เลยเก่งสู้รุ่นก่อน ๆ ไม่ได้ จนกว่าคนเก่าจะเผลอมาเกิดใหม่ พอมาเรียนเข้าก็เกิดจำของเก่าได้ขึ้นมา"

เถรี 21-02-2010 19:23

ถาม : นั่งสมาธิแล้วชอบกำหนดลมหายใจ แล้วจังหวะหนึ่งมีความรู้สึกเหมือนกับว่าตกจากที่สูง ช่วงที่วูบจะมีความรู้สึกว่าขนลุก จะไปต่อไม่ได้ ครู่เดียวก็หายไปเลย
ตอบ : ไม่ต้องไปต่อ แก้อาการตกจากที่สูงให้ได้ก่อน ลักษณะอย่างนั้นแสดงว่าจิตจะเริ่มเป็นสมาธิแล้ว แต่ว่าจิตหยาบไปหน่อย สติจึงขาด ก็เลยพลัดหลุดออกมา ให้เอาใจดจ่อแน่วแน่อยู่กับลมหายใจจริง ๆ แล้วจะผ่านไปได้ ให้สังเกตว่าทุกครั้งที่เราพลัด ก็คือ เราลืมลมหายใจ เอาใจจดจ่ออยู่กับลมให้แน่วแน่กว่าเดิม ถ้าผ่านไปแล้วก็จะทรงตัวไปเลย

ถาม : ไปต่อไม่ได้ ไม่รู้จะทำอย่างไร ?
ตอบ : บอกไปเรียบร้อยแล้ว ไปทำตามที่บอก

เถรี 21-02-2010 19:48

ถาม : ถ้าเราได้ผลบุญ เราควรที่จะไปคุยให้เพื่อนหรือญาติฟังไหม ถึงผลบุญที่เราทำแล้วได้กลับมา ?
ตอบ : ดูความเชื่อของเขาด้วย ถ้าเขาไม่เชื่อแล้วเราไปคุย เขาก็จะว่าเราบ้า แล้วจะทะเลาะเบาะแว้งกันเสียเปล่า ๆ ถ้าเขาเชื่อเราก็คุยได้ ถ้าเขาไม่เชื่อ..เสียเวลาไปคุย

เถรี 22-02-2010 01:28

ถาม : วิธีการสวดอิติปิโส ๑๐๘ จบ ต้องสวดอย่างไรครับ สวดพระพุทธอย่างเดียว หรือสวดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ?
ตอบ : สวดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าไม่ครบ ๓ บท เขาไม่ถือเป็น ๑๐๘

เถรี 22-02-2010 01:36

ถาม : การบน สมควรที่จะบนหรือไม่ ? เหมือนกับว่าเราไปดูหมิ่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เหมือนกับเราไปต่อรองว่า ถ้าได้อย่างนี้จะเอานี่มาถวาย
ตอบ : คิดในแง่นั้นก็ได้ แต่จริง ๆ แล้วการบนนั้น ต้นทุนของเราต้องพอ จึงจะบนสำเร็จ ถ้าต้นทุนหรือความดีของเราไม่พอ บนไปก็ไม่สำเร็จ
เคยเปรียบเทียบว่าเหมือนกับน้ำ ถ้าน้ำในขวด ขาดอยู่แค่นี้(เกือบถึงปากขวด) เติมอีกนิดเดียวก็เต็มแล้ว เราบนก็จะสำเร็จ

เพราะส่วนใหญ่การบน คือ เราตั้งใจทำความดีให้ท่าน ความดีนั้นพอเราทำก็เป็นของเราก่อน เท่ากับว่าเราไปเติมน้ำให้เต็มพอดี ถ้าอย่างนั้นการบนก็จะสำเร็จ แต่ถ้าเกิดเราขาดน้ำเยอะ มีน้ำอยู่แค่นี้(ก้นขวด) บนเท่าไรก็ไม่สำเร็จหรอก ยังต้องเติมอีกเยอะ ความดีที่เราจะทำ สมมติเมื่อเติมแล้วได้แค่นี้(ก้นขวด) เขาก็ไม่รู้ว่าจะสงเคราะห์อย่างไร

เพราะฉะนั้น..ว่าไปแล้วเรื่องของการบนก็เป็นไปตามเหตุตามผล ก็คือ เราสร้างเหตุไว้เพียงพอ ผลจึงจะเกิด ถ้าเราสร้างเหตุไว้ไม่พอ ผลก็ไม่เกิด ว่าไปแล้วจริง ๆ ตรงตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าเลย เพียงแต่ว่าคนไม่เข้าใจ เห็นว่าคนนั้นบนได้ผล แล้วทำไมเราไม่ได้ผล ก็เพราะของเรายังขาดอีกเยอะ ต้องสร้างเหตุให้มากกว่านี้

เถรี 22-02-2010 13:15

ในขณะที่สนทนาเกี่ยวกับเรื่องภาษาต่าง ๆ พระอาจารย์ก็กล่าวสรุปให้ฟังว่า "นักปฏิบัติพอทำไปถึงระดับหนึ่งแล้ว ภาษาทุกภาษามันเหลือแค่ภาษาใจ ก็คือ ใจเขาสื่ออะไรมา ใจเรารับได้ มันจะเข้าใจภาษาของเขาหมด"

เถรี 22-02-2010 13:30

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ทางศาสนาฮินดู เขามีความเชื่อว่า คนที่ไม่มีลูกหรือไม่แต่งงาน จะตกนรกขุมที่ชื่อว่า ปุตตะ แต่เราดูไปดูมามันน่าจะกลับข้างกัน คือ ถ้าคนมีลูกแล้วมันน่าจะตกนรกขุมนี้..! เมื่อเขาเชื่อว่าถ้าไม่มีลูกแล้วจะตกนรก เขาก็เลยกลัว ผลิตลูกกันใหญ่"

ถาม : แล้วคนที่ตายไป ที่มีความเชื่อว่าตกนรกขุมนี้ แล้วเขาจะไปอยู่ที่ไหน ?
ตอบ : ถ้าจิตหมองก็เรียบร้อย ไปตามกำลังตน

แต่ฮินดูดีอยู่อย่างหนึ่ง เรื่องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตของเขาไม่มี เพราะฮินดูเป็นมังสวิรัติ อย่างน้อย ๆ ศีลของเขาก็ได้ข้อหนึ่งแล้ว

ถ้าดูในหลักการของศาสดาเจ้าลัทธิทั้ง ๖ ที่ดังมาก ๆ ในสมัยนั้นเลย ก็มีแต่ศาสดามหาวีระ (นิครนถ์นาฏบุตร) หลักการของเขาคล้ายศาสนาพุทธมาก มีศีลลักษณะคล้ายศีลห้ามาก แม้กระทั่งการจำพรรษาในฤดูฝน ก็เริ่มมาจากศาสนานี้ ท่านเป็นศาสดาร่วมสมัยพระพุทธเจ้าก็จริง แต่เป็นรุ่นพี่ อายุมากกว่า และมรณภาพก่อน

ถ้าไปดูในสังคีติสูตรหรือทสุตตรสูตร จะกล่าวถึงศาสดามหาวีระ พอตายแล้วลูกศิษย์ก็แตกแยกกัน เพราะไม่ได้ร้อยกรองสังคายนาวินัยไว้ พระสารีบุตร พระจุนทะไปกราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าก็บอกว่า เพราะไม่ได้ร้อยกรองสังคายนาพระวินัย ลูกศิษย์จึงได้เป็นอย่างนั้น

พระสารีบุตรจึงได้ดำริ ว่าควรจะร้อยกรองสังคายนาพระวินัย อย่างเช่นว่า กำหนดเป็นหมวด ๆ ไป สมมติถ้ามีหลักธรรมสามหัวข้อ ก็จัดเป็นหมวดสาม กุศลมูล ๓ อกุศลมูล ๓ วจีสุจริต ๓ วจีทุจริต ๓ ถ้าอย่างไหนมี ๔ หัวข้อ เช่น อิทธิบาท ๔ สัมมัปธาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ ก็จัดอยู่ในหมวดสี่ เป็นแนวทางในการสังคายนาพระวินัยมาตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนั้นยังไม่ได้ทำเป็นรูปธรรม เพราะพระพุทธเจ้าเห็นว่ายังไม่ใช่เวลา แต่ว่าพระสูตรทั้งสองพระสูตรนี้ก็ปรากฏขึ้นชัดแล้ว

เพราะฉะนั้น...พระมหากัสสปะท่านมาทำร้อยกรองสังคายนาพระวินัย ก็ทำตามนี้ และที่แน่ที่สุดก็คือว่า แบบอย่างที่เรียนนักธรรมทุกวันนี้ของพระ นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก ก็มาจากทสุตตรสูตรที่พระสารีบุตรท่านร้อยกรองไว้ มาแยกเป็น ทุกะ หมวด ๒ ติกะ หมวด ๓ จตุกกะ หมวด ๔ ฯลฯ

เถรี 23-02-2010 02:09

พระอาจารย์ยังต่ออีกว่า "ขนาดพระพุทธศาสนาของเรา เตรียมการร้อยกรองพระธรรมวินัยเอาไว้ และได้ทำอย่างทันท่วงที ก็คือหลังพุทธปรินิพพาน ๓ เดือน ถามว่าทำไมต้องหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานสามเดือน ? ก็เพราะต้องเตรียมการต่าง ๆ โดยเฉพาะในเรื่องของความขัดแย้ง มั่นใจว่ามีคนคัดค้านแน่

เพราะว่าพวกที่เห็นว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วเป็นการดี จะได้ไม่มีใครมาคอยควบคุม เขาจะคัดค้านแน่ จึงต้องขอมีมติสงฆ์ว่า บุคคลที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังคายนา ห้ามเข้าไปในกรุงราชคฤห์

การจัดสังคายนานั้น ได้ขอการอุปถัมภ์จากพระเจ้าอชาติศัตรู ได้ถ้ำสัตบรรณคูหา เชิงเขาเวภาระ เป็นสถานที่สังคายนา ก็มีการจัดสถานที่ มีการเตรียมการต่าง ๆ จนพร้อมมูล แล้วจึงได้ดำเนินการสังคายนา ขนาดนั้นก็ยังมีการคัดค้านแล้ว พระปุราณะเถระ ท่านเป็นพระผู้ใหญ่ มีบริวารมาก แต่อยู่ไกล คือ อยู่ถึงทักขิณาคีรีชนบท ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ประมาณเชียงรายหรือสุไหงโกลก

ท่านมาถึงทีหลัง การทำสังคายนาเสร็จไปแล้ว ทางคณะสงฆ์ก็ได้แจ้งให้ท่านทราบ ว่าได้ทำการสังคายนาไปอย่างนี้ ๆ พอท่านฟังเนื้อความแล้ว ท่านก็บอกว่า "ดูก่อน..อาวุโส สิ่งที่ท่านทั้งหลายทำนั้นดีแล้ว แต่ว่าเราจะปฏิบัติเฉพาะสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมา ต่อเบื้องพระพักตร์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น" พูดง่าย ๆ ว่าคุณจะทำก็ทำไป แต่ว่าผมจะปฏิบัติตามเฉพาะที่ผมได้ยินที่พระพุทธเจ้าท่านสอนมา จึงเริ่มมีเค้าลางการแตกกันตั้งแต่การทำสังคายนาครั้งที่ ๑"

เถรี 23-02-2010 02:25

"ถ้าถามว่าเค้าลางนี้มีสิ่งบอกเหตุไหม? มีสิ่งบอกเหตุมาตั้งแต่สมัยพระเทวทัตแล้ว

พระเทวทัตต้องการจะปกครองคณะสงฆ์ ก็เข้าไปยื่นข้อเสนอต่อพระพุทธเจ้า ว่าภิกษุควรอยู่ป่าตลอดชีวิต ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อฉันปลาตลอดชีวิต ภิกษุพึงใช้ผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต อย่างนี้เป็นต้น พระพุทธเจ้าไม่ประทานอนุญาต บอกว่าใครอยากจะอยู่ป่าก็ให้อยู่ป่า ใครอยากจะอยู่เมืองก็ให้อยู่เมือง เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านเล็งการณ์ไกลว่า ต่อไปจะต้องเป็นคามวาสี อรัญญวาสีอยู่แล้ว ถ้าไปจำกัดว่าต้องอยู่ป่า เกิดไม่มีป่าเหลือ แล้วจะไปอยู่ที่ไหน ?

ส่วนในเรื่องของอาหาร ท่านบอกว่าแล้วแต่โยมเขาจัดถวาย จะได้ไม่สร้างความลำบากให้แก่เขา ในเรื่องของผ้าบังสุกุล ถ้าหากมีคหปติจีวร คือ จีวรที่ชาวบ้านเขาถวายก็ให้รับไว้ได้

พระเทวทัตท่านก็ได้ที ประกาศว่า พระพุทธเจ้ายังเป็นผู้มักมากอยู่ ไม่ยอมอนุมัติตามข้อเสนอที่ว่ามา เพราะฉะนั้น..ท่านก็ไม่ขึ้นกับพระพุทธเจ้า ใครเห็นดีเห็นงามกับท่าน ก็ให้ไปอยู่ร่วมกับท่าน ท่านก็พาบริวารไปเสียเยอะเลย พระพุทธเจ้าก็ให้พระสารีบุตรไปตามกลับ

นับเป็นเรื่องตลก แต่เป็นเรื่องตลกที่หัวเราะไม่ออก พระเทวทัตพาภิกษุบริวารไป ๕๐๐ รูป มีพระเทวทัตและพระโกกาลิกะเป็นผู้นำ ปรากฏว่าพระเทวทัตไปแล้ว ก็เทศนาสั่งสอนภิกษุตามลีลาของตน ก็คงเทศน์กันครึ่งค่อนวัน

พอเห็นพระสารีบุตรเดินมาแต่ไกล พระโกกาลิกะก็บอก "ท่านเทวทัต พระสารีบุตรมาแล้ว ระวังให้ดี เผลอเมื่อไรเขาเอาบริวารท่านไปหมดแน่" พระเทวทัตบอกว่า "ไม่จริงหรอก ก่อนหน้านี้พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร คิดว่าสมณะโคดมเป็นผู้ที่สันโดษ มักน้อย จึงติดตามอยู่ด้วย ตอนนี้เห็นว่าไม่สันโดษแล้วก็เลยมาติดตามเรา เดี๋ยวเราจะตั้งให้เป็นอัครสาวก..!"

เถรี 23-02-2010 02:43

ท่านก็กวักมือเรียกแต่ไกลเลย บอกว่า "พระสารีบุตรมาก็ดีแล้ว เราเหนื่อย ขอให้เธอจงเทศน์ให้บริวารของเราฟังแทน เราจะไปพักสักครู่หนึ่ง"

คราวนี้พระเทวทัตท่านไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านทำอย่างนี้ ถ้าหากว่าท่านรู้สึกว่าไม่ไหว อยากจะพักสักครู่หนึ่ง ก็ไปเข้าสมาธิของท่าน ให้พระสารีบุตรเทศน์แทน แต่พระเทวทัตนี่ไม่ได้มีสติขนาดนั้น ท่านพักแล้วหลับยาวเลย พระสารีบุตรก็ชี้แจงเหตุผลให้ฟัง แล้วพาภิกษุกลับไปเกลี้ยง..!

พระเทวทัตลืมตาขึ้นมา บริวารหายไปหมด ถามพระโกกาลิกะ พระโกกาลิกะบอกว่า "เราเตือนท่านแล้ว" พระโกกาลิกะด้วยความที่โกรธพระเทวทัต ก็เลยเอาเข่ากระทุ้งยอดอก พระเทวทัตกระอักเป็นเลือด นี่แสดงว่าต้นตำรับขุนเข่าพิฆาตมาจากพระโกกาลิกะ

พระเทวทัตป่วยตั้งแต่ตอนนั้น เพราะตรอมใจที่พระหนีไปหมด และโดนพระโกกาลิกะทำร้ายอีก พอป่วยหนัก จนกระทั่งรู้ว่าตัวเองไม่รอด รู้สึกสำนึกผิด ตั้งใจจะไปขอขมาพระพุทธเจ้า ก็ใช้คนส่งข่าวล่วงหน้าไป

ถ้าหากเรามานึกถึงตรงจุดนี้ จริง ๆ พระเทวทัตท่านเป็นคนดีนะ ท่านรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร เพียงแต่ว่าช่วงนั้นความอยากมีอำนาจวาสนานั้นบังหน้าอยู่ ตั้งแต่สมัยที่ยังศึกษาอยู่ คนที่เก่งกว่าท่านมีอยู่คนเดียว คือ เจ้าชายสิทธัตถะ แล้วถามว่าเจ้าชายสิทธัตถะเก่งแบบไหน ? ก็คือ เจ้าชายเทวทัตทำอะไรได้ เจ้าชายสิทธัตถะทำได้หมด เพียงแต่ว่าเจ้าชายสิทธัตถะทำได้ดีกว่า อย่างการยิงธนู เจ้าชายเทวทัตยิงตรงกลางเป้าพอดี แต่เจ้าชายสิทธัตถะยิงธนูไป ผ่าธนูของเจ้าชายเทวทัตแล้วไปปักแทนได้ เพราะฉะนั้น..คำชมในสมัยนั้นจะมีมาตลอดว่า เทวทัตนั้นเก่ง แต่สิทธัตถะเก่งกว่า ถ้าเกิดคนละยุคคนละสมัยนี่จบไปเลย แต่ดันไปเกิดยุคสมัยเดียวกัน"

เถรี 23-02-2010 02:50

"ในเมื่อท่านรู้ตัว ท่านก็ตั้งใจขอขมา ใช้ให้ทูตส่งข่าวไป พระพุทธเจ้าบอกว่า "เทวทัตไม่ได้เห็นหน้าตถาคตหรอก ทำสังฆเภทด้วย ทำร้ายเราถึงห้อโลหิตด้วย กรรมหนักมาก จะโดนธรณีสูบเสียก่อน" พระเทวทัตก็ระวัง ให้พระลูกศิษย์ที่เหลืออยู่ ใส่เสลี่ยงแบกไป กะว่าถ้าไม่แตะพื้นเสียอย่าง ธรณีก็สูบไม่ได้

ปรากฏว่าไปถึงหน้าเชตวันมหาวิหารแล้ว เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ น้ำก็ไม่ได้อาบ ตัวมอมแมมด้วย ก็คิดว่าเดี๋ยวเราสรงน้ำให้ร่างกายได้สดชื่นเสียก่อน แล้วค่อยไปกราบขอขมาพระพุทธเจ้าท่าน ด้วยความลืมตัวก็สั่งให้บริวารวางเสลี่ยงลง พอก้าวพ้นเสลี่ยงเท่านั้นแหละ พื้นดินก็แยกออก สูบร่างท่านลงไป..!

พระเทวทัตไม่ได้มรณภาพทันที พอธรณีสูบจนถึงคาง ท่านก็เอ่ยขอขมาพระพุทธเจ้า โดยถวายกระดูกคางเป็นพุทธบูชา เพราะว่าตอนนี้ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ท่านบอกว่าอานิสงส์ตรงนี้แหละ ทำให้โทษที่จะต้องลงอเวจีเป็นกัป กลายเป็นลงไปแค่ห้าพันปี พ้นจากศาสนานี้แล้วท่านจะขึ้นมาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า

ช่วงนั้นพอดีหลวงพ่อสมพงษ์ วัดใหม่ปิ่นเกลียว สร้างชูชก คนเขาก็ว่าชูชกคือเทวทัตไม่ใช่หรือ ? แทนที่จะบูชาพระพุทธเจ้า ไปบูชาพระเทวทัตกัน ไปนึกถึงโบราณจารย์เก่า ๆ อย่างหลวงปู่รอด วัดบางน้ำวน ท่านก็สร้างชูชก แล้วก็ดังมาก มีคนมาถามว่าถ้าหากบูชาพระเทวทัตอย่างนั้น แล้วจะลงอเวจีอย่างเทวทัตไหม ?

จริง ๆ ถ้าตั้งใจยึดเขา อาจจะไปนะ แต่เอาจริง ๆ ร้อยละ ๙๙ ไม่มีใครนึกถึงพระเทวทัตหรอก นึกถึงแต่ว่า นี่เป็นของหลวงปู่รอด นี่เป็นของหลวงพ่อสมพงษ์ ก็แปลว่าใจเขายึดพระสงฆ์แทน ไม่ได้ยึดพระเทวทัต ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่กำลังใจของคน ว่ายึดได้เท่าไร

โบราณจารย์ที่ท่านสร้างชูชกเพราะว่าท่านถือเคล็ดตรงที่ชูชกเป็นยอดนักขอ ขออะไรใครแล้วไม่เคยพลาด"

เถรี 23-02-2010 22:14

ถาม : ผู้ปฏิบัติพอฝึกฝนมาช่วงหนึ่งแล้ว เหมือนกับภาชนะ พอเวลาไปฟังเทศน์ครูบาอาจารย์แล้ว ถ้าจังหวะที่เขาพอจะรับสภาวะได้ บางทีเขาอาจจะเกิดสภาวะอะไรในช่วงนี้บ้าง ?

ตอบ : ให้เลือกเอาสิ่งที่เหมาะสมกับเราตอนนั้น แล้วนำมาปฏิบัติ ไม่ว่าครูบาอาจารย์สายไหน ก็ไม่มีหลักธรรมของท่านหรอก มีแต่หลักธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น เพียงแต่ว่าท่านถนัดแบบไหน ท่านก็เอาสิ่งนั้นมาแสดง เราก็เลือกเอาว่า สิ่งที่ท่านเอามาแสดงนั้น มีประโยชน์แก่เราหรือเปล่า ? ถ้าตรงไหนที่มีประโยชน์ เราก็นำมาใช้

เถรี 23-02-2010 22:15

ถาม : เคยบอกว่าบารมี ๑๐ ถ้าทรงได้ ไม่ว่าทางโลกและทางธรรม ก็สำเร็จทั้งสองทางใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่ แต่ทางธรรมสำเร็จยากกว่า

ถาม : แล้วกำลังใจนี่ต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็ ศีล สมาธิ ปัญญานั่นแหละ

เถรี 23-02-2010 22:45

ถาม : เวลาสวดมนต์ก็นึกถึงพระ แต่ขึ้นไปพระนิพพานไม่เป็น บางทีก็เบื่อนะคะ
ตอบ : ค่อย ๆ สั่งสมไป เรามีหน้าที่ทำ ไม่ต้องไปใส่ใจว่าผลจะเป็นอย่างไร ขอให้มีความมั่นใจจริง ๆ ว่าพระอยู่ตรงหน้าเราก็ใช้ได้

ถาม : กลัวค่ะ
ตอบ : มัวแต่กลัวอยู่ ก็เสียเวลาทำ ให้ทำไปเลย ตายเป็นตาย..!

เถรี 23-02-2010 22:47

ถาม : พยายามจะเก็บเกี่ยวจากครูบาอาจารย์ ประมาทมานานแล้ว
ตอบ : ดีแล้วจ้ะ ทั้งหมดเอามารวม ๆ กันแล้ว สำคัญตรงที่เราทำจริง ไม่อย่างนั้นครูบาอาจารย์สอนไปเท่าไร ๆ ก็ยังเป็นแค่คำสอน ต้องทำเองให้เกิดผลจึงจะใช้ได้

เถรี 23-02-2010 22:49

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็ไม่มีอะไร บอกแล้วว่าสำคัญตรงทำ ถ้าเราถามไปก่อน บางทีเกินสิ่งที่เราทำอยู่ ก็ทำให้ฟุ้งซ่าน คิดอยากจะได้อย่างนั้น อยากจะเป็นอย่างนั้น อย่างที่เขาว่า พอฟุ้งแล้วก็เลยภาวนาไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ทำไปก่อน ถ้าติดขัดตรงไหน มีปัญหาแล้วค่อยมาถาม จะแก้ไขได้

เถรี 23-02-2010 22:54

พระอาจารย์กล่าวว่า "วัตถุมงคลทุกอย่างจะมีแรงส่ง พลังงานจะส่งอยู่ตลอดเวลา สำคัญที่ใจเราที่เป็นเครื่องรับ ถ้าหากว่าเครื่องรับดี ก็รับได้เยอะ เพราะฉะนั้น..เราจะเห็นว่าทำไมวัตถุมงคลรุ่นเดียวกัน แบบเดียวกัน บางคนเอาไปใช้มีผลมาก บางคนเอาไปใช้มีผลน้อย เพราะกำลังใจคนใช้ไม่เท่ากัน

แบบเดียวกับเหรียญทำน้ำมนต์หลวงพ่อวัดท่าซุง บางคนเป็นมะเร็ง ทำน้ำมนต์กินหาย บางคนเป็นไข้เล็ก ๆ น้อย ๆ กินน้ำมนต์เป็นโอ่งก็ไม่หาย เพราะกำลังใจคนไม่เท่ากัน"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:51


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว