|  | 
| 
 หลวงพ่อยังได้กล่าวต่ออีกว่า  "เมื่อเช้าปรารภว่า  ท่านที่ต้องหักล้างถางพงนี่จะเหนื่อยมาก  ในหลวงเราก็เป็นลักษณะอย่างนั้น  ท่านวางรากฐานการปกครองประเทศจนเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก  ต่อไปรัชกาลที่ ๑๐  รัชกาลที่ ๑๑  จะสบาย   คราวนี้ในช่วงก่อนที่จะสบาย  เราต้องมาดูว่าคนที่ลำบาก...เขาลำบากกว่าหลายเท่า  ก่อนที่ถนนจะเป็นซูเปอร์ไฮเวย์  ๘  เลน จะต้องถางป่าขุดภูเขาไปสักกี่ลูก จึงจะเป็นถนนขึ้นมาได้ ?    ถ้าในหลวงของเราไม่ได้โหมงานหนักตั้งแต่หนุ่ม ๆ    ตอนที่อายุขนาดนี้ พระวรกายท่านก็จะไม่โทรมมาก    คนเราวันหนึ่งทำงานวันละ  ๒๐  ชั่วโมง  หาเวลาพักผ่อนได้น้อยมาก ๆ  ถ้าเป็นพวกเราคงนอนแผ่หลาสามวันสามคืน เรียกก็ไม่ลุก ปลุกก็ไม่ตื่น  ใครมาเรียกใกล้ ๆ อาจจะโดนไล่เตะด้วยซ้ำ  แต่ว่าในหลวงท่านต้องเสด็จพระราชดำเนินไปทรงงานของท่าน ลองดูข่าวในพระราชสำนักปัจจุบันนี้ ในหลวงไม่ได้ออกงาน แต่ว่าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ออกงานแทน ลองไปนั่งนับดูสิว่า วันหนึ่งท่านต้องต้อนรับคณะบุคคลเท่าไร ? ต้องออกงานเท่าไร ? ครั้งล่าสุดอาตมาเจอท่านในงานสัปดาห์หนังสือ พอเขาบอกว่าท่านเสด็จ เขาก็ให้หลีกทาง เราก็หลบเข้าไปบูธของบ้านวรรณกรรม เพราะว่าเป็นลูกค้าประจำ พอท่านเปิดงานเสร็จท่านก็เดินมาที่บูธ พออาตมาเห็นหน้าท่านนี่แทบจะบรรลุเลย ดูเหมือนกับว่าความเหนื่อยทั้งโลกมาแบกอยู่ที่ท่าน แต่ก็ยังต้องเสด็จไป ไปให้กำลังใจตามบูธต่าง ๆ เขาก็ถวายหนังสือให้ท่าน ทหารติดตามก็เข็นรถเข็นตาม เพื่อบรรทุกหนังสือ เราก็คิดว่าท่านจะมีเวลาอ่านไหมหนอ ? ฉะนั้น...ท่านทรงงานหนักขนาดนั้น หาเวลาพักผ่อนได้น้อยมาก ๆ การที่สุขภาพพลานามัยทรุดโทรมขนาดนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ว่าในส่วนของธรรมะส่วนหนึ่ง ก็คือ มโนสัญเจตนา ความมุ่งมั่นของใจ ถ้าหากว่าไพร่ฟ้าประชากร ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติอยู่ในทาน ศีล ภาวนา มีความสามัคคีกลมเกลียว ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ท่านก็มีกำลังใจที่จะอยู่ต่อ แต่ถ้ามัวแบ่งสีทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่ เป็นอาตมาก็ไม่อยากอยู่เหมือนกัน ท่านจึงได้บอกว่า ถ้าหากประเทศชาติสงบเรียบร้อย ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข พระองค์ท่านก็มีความสุข แม้จะเป็นพระราชดำรัสสั้น ๆ แต่ใจความสำคัญก็คือที่ว่ามา แฝงความหมายเอาไว้ว่าเมื่อไรจะเลิกทะเลาะกันเสียที..!" | 
| 
 มีหญิงสาวท่านหนึ่ง กำลังอุ้มชูลูกน้อยของตนเองอยู่   หลวงพ่อท่านมองไปทางนั้น  แล้วกล่าวขึ้นว่า "บางทีก็รู้สึกว่าตัวเองแปลกแยก  สิ่งที่คนอื่นเขาไขว่คว้าแสวงหา   เราไม่เอายังไม่พอ  ยังเห็นโทษของมันอีก   มันไม่ได้เห็นแค่นี้   แต่เห็นยาวไปเลยว่า ภาระอีกเท่าไรที่เขาจะต้องแบกไว้  แล้วก็เลยกลายเป็นกลัวไป   อันนี้หรือเปล่าที่เขาเรียกว่าวิสัยทัศน์..? " | 
| 
 มีตำนานอยู่เรื่องหนึ่ง  ที่หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟัง  ก็คือ  "สมัยที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส  เป็นพระสังฆราช  ท่านคิดทดลองความสามารถของบรรดาเกจิอาจารย์  จึงได้จัดการแข่งขันที่หน้าลานพระปฐมเจดีย์  โดยนิมนต์เกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงทั่วฟ้าเมืองไทยมาทดสอบกัน    สำหรับวิธีทดสอบนั้น ก็คือ เอาไม้ท่อนหนึ่งมาวางไว้ แล้วเอากบวางไว้ตรงปลายไม้ ทดสอบความสามารถโดยให้แต่ละท่านทำกบนั้นให้เลื่อนขึ้นมาไสไม้ได้ พูดง่าย ๆ ว่าไสไม้จากปลายซุงขึ้นมาที่หัวซุงได้ ปรากฏว่ามีท่านที่ทำได้แค่ ๑๑ รูปเท่านั้น นอกนั้นพอเพ่งกบแล้ว ได้แค่สั่นหรือเคลื่อนที่ได้นิดเดียว สมัยนั้นเขาทำกันอย่างนั้นเลย ปรากฏว่าหลวงปู่แช่ม วัดตาก้อง ท่านทำให้กบไสปรื๊ดเลย คาดว่าถ้ามาสายกสิณ ๑๐ โดยตรง สามารถทำได้ทุกคน แต่มีแค่ ๑๑ รูปเท่านั้นจากที่นิมนต์ไปร้อยกว่า ตำนานนี้ไม่ทราบว่าเป็นจริงเพียงใด เพราะเกิดไม่ทัน" | 
| 
 ในขณะที่ทุกคนกำลังเงียบ  หลวงพ่อท่านกำลังอ่านหนังสืออยู่   จู่ ๆ ท่านก็อ่านใจความหนึ่งในหนังสือให้ฟังว่า  "สัตว์ทั้งหลายแม้พญาสีหราช  หากติดบ่วงนายพรานย่อมสิ้นกำลังและอำนาจ  ได้รับแต่ความทุกข์ทรมานฉันใด  ท่านทั้งหลายแม้มีฤทธิ์อำนาจมากเพียงใด  ถ้าติดบ่วงสิเนหาแล้วย่อมสิ้นฤทธิ์หมดอำนาจ  มีจิตเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานฉันนั้น" | 
| 
 ในขณะที่น้องคนหนึ่งกำลังนั่งถักหมวกอยู่  หลวงพ่อก็ได้เมตตาสอนน้องว่า  "....ต้องพยายามทำอะไรให้เป็นหลาย ๆ อย่าง โบราณเขาบอกว่าพอเป็นแล้ว  มันไม่ขอข้าวกินหรอก แต่มันอาจจะช่วยให้เรามีข้าวกิน" | 
| 
 ขณะที่ท่านหนึ่งกำลังแสดงอาการดีใจ  หลวงพ่อก็ได้เมตตาสอนว่า  "หลังจากที่ตื่นเต้นเรียบร้อยแล้วก็ดูกำลังใจตัวเองว่ามันฟูมากไหม ?  ฟูมากก็รีบ ๆ หดมันลงก่อนที่มันจะฟุ้ง  จะยินดีหรือยินร้ายมันแย่ทั้งคู่" | 
| เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:29 | 
	
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน 
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.