กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=43)
-   -   ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1083)

ป้านุช 30-03-2010 10:56

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

ยังมีชีวิตอยู่ อย่าหนีปัญหา(๘)

จุดนี้แหละพึงถามจิตตนเข้าไว้ ตายแล้วจักไปไหน
เกาะอยู่ในโลกตามนั้นไปพระนิพพานได้ไหม
ถามให้บ่อย ๆ จิตจักคลาย ปล่อยปัญหาของโลกไปได้ตามลำดับ


แก้ไขได้ก็แก้ไขไป แก้ไขไม่ได้ก็ช่างมัน
อีกมิช้ามินาน ร่างกายนี้มันก็จักตายไปเสียจากโลกนี้แล้ว
พวกเจ้าก็จักต้องรักษาอารมณ์ของจิตให้ตายไปจากโลกนี้ด้วย

อย่าให้จิตเกาะติดโลกอีก

ไม่ว่าโลกใด ๆ พรหมโลก เทวโลก มนุษยโลก อบายภูมิ ๔ ตัดเด็ดขาด

มุ่งจิตตรงพระนิพพานจุดเดียวเท่านั้น

คิดไว้ตามนี้ จักได้ไม่หลงลืมปล่อยอารมณ์ให้ฟุ้งซ่านกับปัญหาของโลกจนเกินไป


:875328cc::875328cc::875328cc:

ป้านุช 31-03-2010 15:07

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

ยังมีชีวิตอยู่ อย่าหนีปัญหา(๙)

สุขทุกข์อันเกิดแก่อารมณ์ บัณฑิตย่อมฉลาดป้อนอาหารธรรม ทำให้จิตเป็นสุขได้
แต่ในบุคคลผู้โง่เขลา ย่อมป้อนยาพิษทำร้ายจิตให้รับทุกข์อยู่เป็นประจำ

ไม่มีใครทำร้ายเราได้มากเท่ากับจิตของเราทำร้ายตัวเราเอง

ขอให้พวกเจ้าคิดดูให้ดี ไม่ต้องโทษใคร
กฎของกรรมมันเป็นอย่างนั้น ปัญหาเป็นเรื่องปกติของโลก
โลกธรรมเป็นเช่นนั้น จักไปยึดถือมาเป็นอารมณ์ทำร้ายจิตเพื่อประโยชน์อันใด


:875328cc::875328cc::875328cc:

ป้านุช 05-04-2010 18:32

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

ยังมีชีวิตอยู่ อย่าหนีปัญหา(๑๐)

ปัญหาของโลกรวมอยู่ในโลกธรรม ๘ ทั้งสิ้น ไม่ว่าโลกภายนอกหรือโลกภายใน
มีลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็เพราะร่างกาย
มีเสื่อมลาภ - ยศ มีนินทา - ทุกข์ ก็เพราะร่างกาย

นี่เป็นปกติของปัญหาของโลก เป็นกฎของกรรม เป็นทุกข์ของชาวโลก

ที่กอปรกรรมเหล่านี้ร่วมกันมาแต่อดีต ปัจจุบัน อนาคตชาติอย่างนับอสงไขยกัปไม่ถ้วน
จึงต้องมีการเสวยผลของกรรมเหล่านี้อย่างหนีไม่พ้น

นี่เป็นความปกติที่ไม่มีใครหนีโลกธรรม ๘ อย่างไปได้พ้น

ตราบใดที่ยังมีร่างกายทรงอยู่ แม้จิตจักวิมุตติแล้ว
แต่ร่างกายยังอยู่ในโลก ก็หนีโลกธรรม ๘ ไปไม่พ้น
ดั่งในพระสูตร พวกเจ้าจักศึกษาได้ว่า
องค์สมเด็จปัจจุบันก็ยังหนีโลกธรรม ๘ ไปไม่พ้น
ทรงถูกด่า นินทา สรรเสริญอยู่เป็นประจำ


:875328cc::875328cc::875328cc:

ป้านุช 07-04-2010 17:33

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

ยังมีชีวิตอยู่ อย่าหนีปัญหา(๑๑)

การมีลาภเสื่อมลาภ เห็นได้จากบางครั้ง กฎของกรรมชักนำให้ตกอยู่ในท้องถิ่นทุรกันดาร
เกิดทุกขภิกขภัย จนได้อาหารน้อยบ้างก็มีอยู่หลายครา
นี้เป็นธรรมดา เพราะยังมีร่างกายอยู่ในโลก หนีกฎธรรมดาของโลกไม่พ้น

แต่สภาวะจิตที่มีอารมณ์สังขารุกเบกขาญาณ ย่อมเห็นธรรมในธรรมนั้น
อารมณ์จิตเป็นสุข อุเบกขาจิตมีกำลังแรงกล้าเหนือเวทนาของร่างกาย
จึงไม่เกิดทุกข์เกิดสุขไปตามสภาวะของร่างกายที่ถูกธรรมมากระทบนั้น


เขาด่า นินทา สรรเสริญได้ เพราะมีร่างกาย
มียศ เสื่อมยศได้ เพราะร่างกาย
มีลาภ เสื่อมลาภได้ เพราะร่างกาย
มีสุข มีทุกข์ได้ เพราะร่างกาย


:875328cc::875328cc::875328cc:

ป้านุช 08-04-2010 14:03

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

ยังมีชีวิตอยู่ อย่าหนีปัญหา(๑๒)

เมื่อมีสติระลึกได้เสมอว่า ร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา
ไม่มีในเรา เราไม่มีในร่างกาย เราไม่ใช่ร่างกาย
ร่างกายมีสภาพเหมือนบ้านเช่าที่เราอาศัยอยู่ชั่วคราว

ซึ่งตามปกติบ้านในโลกทั่ว ๆ ไป ต่อให้สร้างแข็งแรงสักปานใด
มันก็ต้องเสื่อม เรือนร้าว หลังคารั่วอยู่ตามปกติ
ซึ่งเป็นปัญหาให้ผู้อยู่ต้องซ่อมแซมอยู่ตลอดเวลา
ซ่อมไหวก็แค่ระงับความเสื่อมได้ชั่วคราว
คนยังอาศัยอยู่ก็ต้องซ่อมแซมเพื่อแก้ปัญหานั้นให้ลุล่วงไปชั่วคราว

แต่ในที่สุดบ้านเช่านั้นก็พัง ปราสาทหินศิลาแลงที่แข็งแรงในโลก
ก็มีความพังไปในที่สุดเช่นกัน


:875328cc::875328cc::875328cc:

ป้านุช 21-04-2010 11:46

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

ยังมีชีวิตอยู่ อย่าหนีปัญหา(๑๓)

การมีครอบครัว มีร่างกายต่อเนื่องกับบุคคลที่เป็นญาติเกี่ยวดอง
ก็เหมือนมีบ้านอาศัยอยู่อิงฝาชายคาติดต่อกันไปหลาย ๆ หลัง


บ้านใดบ้านหนึ่งมีปัญหาเรือนร้าว หลังคารั่ว ก็รู้กันหมดทั่ว ๆ ไป
อยู่ร่วมกันก็ต้องซ่อมแซมแก้ไขปัญหานั้น ตามกำลังที่จักช่วยได้
เพราะถ้าปล่อยให้ร้าวอยู่อย่างนั้นก็กระเทือนถึงเรือนที่เราอาศัยอยู่
จักทำให้เรือนนั้นพังเร็วขึ้น เมื่อคนยังอาศัยอยู่ก็ต้องซ่อมแซมแก้ปัญหาร่วมกันไป

แต่ก็กำหนดรู้หลักไตรลักษณ์เข้าไว้ แก้ไขปัญหาได้ชั่วคราว
ไม่ติดใจอยู่ในปัญหานั้น เพราะเห็นตัวธรรมดา กฎของกรรมเป็นเช่นนั้น


เมื่อถึงที่สุดบ้านเช่ามันก็ต้องพังไปตามกาลสมัย
เรือนใดเรือนหนึ่งก็อาจจักพังไปก่อนตามวาระกรรม
แต่ผู้อยู่ในเรือนนั้น หากรู้สภาวะไตรลักษณ์ย่อมตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่า

บ้านเช่านั้นพังแน่ ก็จักเตรียมการอพยพออกจากบ้านเช่าอยู่เนือง ๆ
(ทางธรรมปฏิบัติคือ เป็นผู้ไม่ประมาท ซ้อมตายและพร้อมตายอยู่เสมอ
จนจิตชินเป็นฌานแบบง่าย ๆ คือ รู้ลม รู้ตาย รู้นิพพาน)


:875328cc::875328cc::875328cc:

ป้านุช 27-04-2010 13:05

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

ยังมีชีวิตอยู่ อย่าหนีปัญหา(๑๔)

บุคคลผู้ฉลาดเป็นบัณฑิตในพุทธศาสนา
ย่อมจักหาบ้านอยู่อย่างถาวรไม่ร่อนเร่


เช่าบ้านหลังแล้วหลังเล่าอีกต่อไป
เป็นจิตที่แสวงหาความสุขอย่างแท้จริง

พร้อมที่จักทิ้งร่างกายของตน
และทิ้งความผูกพันในร่างกายของบุคคลอื่น
เพื่อเข้าสู่ความเป็นพระวิสุทธิเทพ


ในดินแดนอมตะพระนิพพานจุดเดียว
ที่ไม่ต้องเคลื่อนไปจุติอีก

ป้านุช 07-05-2010 19:26

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

ยังมีชีวิตอยู่ อย่าหนีปัญหา(๑๕)

ตั้งใจคิดอย่างนี้นะ
ถ้าหากไม่กระจ่างเรื่องโลกธรรม ๘
ให้พวกเจ้าย้อนดูคำสอนของท่านสิม พุทฺธาจาโร ในอดีต


แล้วพวกเจ้าจักเข้าใจในโลกธรรม ๘ ยิ่งขึ้น
เพราะคำสอนนั้นเป็นอริยสัจ ทุกขสัจ
อันเกิดขึ้นกับผู้ที่มีร่างกายอยู่ในโลกทุกคน

สายท่าขนุน 07-05-2010 21:33

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ป้านุช (โพสต์ 43793)
ตั้งใจคิดอย่างนี้นะ
ถ้าหากไม่กระจ่างเรื่องโลกธรรม ๘
ให้พวกเจ้าย้อนดูคำสอนของท่านสิม พุทฺธาจาโร ในอดีต


แล้วพวกเจ้าจักเข้าใจในโลกธรรม ๘ ยิ่งขึ้น
เพราะคำสอนนั้นเป็นอริยสัจ ทุกขสัจ
อันเกิดขึ้นกับผู้ที่มีร่างกายอยู่ในโลกทุกคน

ขออนุญาตแทรกลิงก์กระทู้ประวัติและคำสอนของหลวงปู่สิม:onion_love: ไว้เป็นข้อมูล

http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1101

ป้านุช 11-05-2010 16:00

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

เจริญวิปัสสนาขาดทุน(๑)

อย่าฝืนสังขาร ถ้าหากร่างกายเพลียจนเกินไป
แม้เป็นเวลาเจริญพระกรรมฐาน ก็ให้ร่างกายได้พัก


แต่กำหนดจิตพักอยู่บนพระนิพพานไปด้วย ปลงมรณานุสติไว้ให้ดี
เพราะหากร่างกายเพลียมาก ยิ่งฝืนเท่าไหร่ อารมณ์กลุ้มก็จักเกิดขึ้นมากขึ้นเท่านั้น
จำจักต้องโอนอ่อนผ่อนตามร่างกายบ้างในบางขณะ
อย่าเบียดเบียนร่างกายจนเกินไป การเจริญพระกรรมฐานจักไม่เป็นผล
เพราะเป็นอัตตกิลมถานุโยค

ป้านุช 14-05-2010 15:58

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม


เจริญวิปัสสนาขาดทุน(๒)

การพักผ่อนไม่พอ แล้วฝืนปฏิบัติธรรมให้ได้ดั่งใจนั้น
ทำคนให้จิตฟั่นเฟือนมามากแล้ว เพราะไม่รู้จักคำว่าพอดี

คำว่าพอดีไม่ใช่ทำมาก ๆ โดยไม่คำนึงถึงร่างกาย
หากแต่คำว่าพอดี คือ ทำพอสมควรให้สบายทั้งจิตและร่างกาย


ทำน้อยแต่ผลมาก ไม่ใช่ทำมากแต่ได้ผลน้อย
ดูอารมณ์จิตเอาไว้ให้ดี

หากเจริญกรรมฐานแล้วปลอดโปร่งเบาสบายใช้ได้

แต่ถ้าหากทำแล้วอารมณ์จิตเครียด
มีความหนัก กลัดกลุ้มงุ่นง่านอย่างนี้ใช้ไม่ได้ ต้องวางอารมณ์ให้ถูก

ป้านุช 25-05-2010 16:13

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม


เจริญวิปัสสนาขาดทุน(๓)

หากเจริญสมถะภาวนา รู้ลมเข้าออก
จักได้ฌานใดก็ตาม ให้พอใจตามนั้น


อย่าไปกำหนดว่าจักต้องได้เหมือนกันทุกครั้ง
อารมณ์ฌานย่อมไม่เที่ยง บางวันก็ได้ปฐมฌาน
บางวันตกต่ำลงมาแค่ขณิกสมาธิ บางวันได้ถึงฌาน ๒-๓-๔
จิตจักต้องพอใจในผลที่ได้ในแต่ละครั้งเสมอ
โดยยอมรับความไม่เที่ยง ซึ่งเป็นปกติของฌานอยู่เสมอ
ซึ่งความสันโดษเยี่ยงนี้จักทำให้จิตเป็นสุข
เพราะยอมรับในกฏธรรมดานี้

หรืออย่างวิปัสสนาภาวนา
ยกตัวอย่างเช่นพิจารณากายคตาหรือมรณานุสติกองใดกองหนึ่ง
เห็นทุกข์ของความไม่เที่ยงนั้น
หากจิตเกาะทุกข์ไม่ยอมปล่อย
ก็เท่ากับไม่ยอมรับความปกติของความไม่เที่ยงอันทำให้เกิดทุกข์นั้น
จิตก็จักเกิดความกลัดกลุ้มในการฝืนสภาวธรรมนั้น
อย่างนี้เรียกว่า
เจริญวิปัสสนาขาดทุน

ป้านุช 26-05-2010 15:25

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

เจริญวิปัสสนาขาดทุน(๔)

หากจักให้เป็นสุข ก็คือ เมื่อพิจารณาถึงความไม่เที่ยงที่เป็นทุกข์ของร่างกายแล้ว
จิตคลายความยึดเกาะความทุกข์นั้น

เพราะยอมรับนับถือความเป็นจริงของร่างกายว่า
นอกจากสกปรกและจักต้องตายแล้ว
ร่างกายนี้มันไม่ใช่ของเรา ไม่มีในเรา เราไม่มีในร่างกาย


ร่างกายนี้เมื่อตายแล้ว จิตเราก็จักต้องโคจรจากไป
หากคิดถึงความหวังที่จักพ้นทุกข์เมื่อร่างกายนี้ได้ตายไปแล้ว
ให้ตั้งความหวังไว้ยังพระนิพพานจุดเดียว
พิจารณาตามนี้จิตก็จักเป็นสุข

ป้านุช 27-05-2010 19:28

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

เจริญวิปัสสนาขาดทุน(๕)

เมื่อร่างกายนี้ยังไม่ตาย ก็ตั้งใจละอารมณ์ชั่วให้ออกจากจิต
ตามคำสอนที่ตรัสมาโดยตลอดอย่างตั้งใจจริง
นี่เป็นวิปัสสนาที่กำไรทุกครั้ง

เจ้าพึงจำหลักสันโดษเข้าไว้
และจำหลักไม่เบียดเบียนร่างกายและจิตเข้าไว้


ปกติร่างกายเบียดเบียนเจ้ามากอยู่แล้ว
อย่าเอาอารมณ์จิตเราไปเบียดเบียนร่างกายและจิตของตนอย่างไม่รู้เท่าทันเลย

หลักมัชฌิมาปฏิปทา จดจำและปฏิบัติกันเอาไว้ให้ดี ๆ

ป้านุช 01-06-2010 15:05

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

นินทาและสรรเสริญ เหมือนสาดน้ำเข้าใส่กัน

นินทาและสรรเสริญเหมือนสาดน้ำเข้าใส่กันไม่เป็นเรื่อง
เจ้าจักตระหนักถึงธรรมนี้ได้ดีว่าหาสาระมิได้
ใครชมว่าดีแต่จิตเรายังไม่ดี ก็หาได้ดีตามคำชมนั้น
ใครด่าว่าเลว ถ้าเราไม่เลวไปตามเขาด่า ก็มิจำต้องเดือดร้อนแต่ประการใด

การมีร่างกายอยู่ในโลก ย่อมหนีโลกธรรมไปไม่ได้
เขานินทา สรรเสริญเราได้ก็ตรงมีร่างกายนี้
หากเอาจิตไปผูกพันคำติ คำชม ก็เท่ากับหลงยึดมั่นถือมั่นว่า
ร่างกายนี้เป็นเรา เรามีในร่างกาย ร่างกายมีในเรา

ป้านุช 02-06-2010 15:16

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

นินทาและสรรเสริญ เหมือนสาดน้ำเข้าใส่กัน(๒)

เวลานี้ซ้อมวางอารมณ์ให้ลงตัวธรรมดาเข้าไว้เสมอ
โดยพิจารณาโทษของอารมณ์ราคะและปฏิฆะ
ซึ่งมีต่อรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์
โดยเอาความปรารถนาที่จักไปพระนิพพานเข้ามาเป็นกำลังของจิต
เพราะศึกษากันมานานแล้ว พอจักเตือนสติให้กำหนดรู้ได้ว่า
การจักไปพระนิพพานได้นั้น จิตจักต้องหมดจากอาสวะกิเลส
อารมณ์ราคะ และปฏิฆะอันมีต่อรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์นั้นเป็นตัวทำให้เกิด
แต่พระนิพพานต้องการดับ ไม่มีเชื้อเกิด

นิพพานนัง ปรมัง สูญญัง นิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง
คือว่างจากอารมณ์ที่เป็นกิเลสทั้งปวง


จึงจักถึงพระนิพพานได้ เจ้าจงเอาจุดนี้เตือนจิตทุกครั้งที่เกิดอารมณ์ราคะและปฏิฆะ

ป้านุช 07-06-2010 15:47

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

จิตไม่ผ่องใส เพราะจิตยึดเวทนาของกายมากเกินไป
ให้ใช้ปัญญาเป็นตัวปลด การจักทำได้หรือไม่ได้
ให้เอาเวทนาที่เกิดกับกายนี่แหละเป็นตัววัด

การเบื่อนั้นเบื่อได้ แต่ยังเบื่อผสมทุกข์อยู่
เพราะขาดปัญญาจักต้องเบื่อแล้วปล่อยวาง
เห็นเป็นเรื่องธรรมดา จึงจักไม่ทุกข์

ป้านุช 28-06-2010 16:00

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

ทำอานาปานสติกองเดียว
ก็ถึงพระอรหันต์


ที่เจ้าฟังท่านฤๅษีสอนในเทปหมวดอานาปานสติที่ว่า
แม้แต่ในขณะพูดอยู่ก็กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกได้
จักขาดจริง ๆ แค่คำภาวนาเท่านั้น


แล้วเจ้ามาคิดต่อไปว่า คำพูดคำหนึ่งคือลมหายใจเข้า
เมื่อต่ออีกคำหนึ่งก็คือลมหายใจออกนั้น เป็นการถูกต้อง
เพราะขณะจิตหนึ่งคือลมหายใจเข้า ยังไม่ทันลมหายใจออก
หรือแค่พุท ยังไม่ทันโธ

แล้วที่เจ้าคิดต่อไปว่า ในคนที่พูดรุนแรงรวดเร็วด้วยอารมณ์โทสะ
จักนับว่าคำพูดหนึ่งเท่ากับลมหายใจออกได้ไหม

ตถาคตรับรองว่าได้ เพราะในคนที่กำลังมีโทสะเกิดขึ้นกับจิตนั้น
กำลังไฟเผาผลาญร่างกายให้ทำงานเร็วขึ้น
โลหิตในร่างกายถูกหัวใจสูบฉีดให้ไหลแรงเร็วขึ้น
ลมหายใจก็ถี่ขึ้นตามอารมณ์ที่ถูกกระทบนั้น

เหมือนคนที่วิ่งออกกำลังกายมาเหนื่อย ๆ หัวใจก็เต้นแรงปานกัน
คำพูดที่รัวออกมาจึงเป็นจังหวะของลมหายใจได้เสมอกัน

ป้านุช 28-06-2010 16:10

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม


ทำอานาปานสติกองเดียว
ก็ถึงพระอรหันต์ (๒)


แล้วที่เจ้าคิดว่า "เมื่อพระอรหันต์ท่านกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกตลอดเวลา
การพูดของท่านก็ย่อมรู้ในวาจาที่พูดออกมาตลอดเวลา
เพราะจิตท่านทรงสติสมบูรณ์ด้วยอานาปานั้น จักใช่หรือไม่

ตถาคตก็จักยืนยันว่า ใช่ เพราะฉะนั้น คำว่าเพ้อเจ้อ เหลวไหล
ไม่มีเหตุ ไม่มีผล ย่อมไม่มีในวาจาของพระอรหันต์อย่างแน่นอน
เพราะท่านมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ด้วยการกำหนดรู้อานาปานสติ
ควบมรณานุสติ ควบกายคตาและอสุภกรรมฐาน และกำหนดรู้ในอริยสัจ
หรือกฏของกรรมอย่างมั่นคง
ความหลงไม่ยอมรับนับถือในกฏของกรรมนั้น ไม่มีในพระอรหันต์

และเป็นคำจริงที่เจ้าคิดต่อไปว่า

พระอรหันต์เห็นอะไรที่เกิดขึ้นในโลกนี้เป็นเรื่องธรรมดาหมด

ป้านุช 29-06-2010 15:06

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม


ทำอานาปานสติกองเดียว
ก็ถึงพระอรหันต์ (๓)


เจ้าเห็นอิทธิพลของอานาปานสติแล้วหรือยัง
เมื่อเห็นแล้วก็จงจำคำที่ท่านฤๅษีกล่าวว่า
จักต้องทรงอานาปาให้ได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ตราบใดที่จิตนี้ยังตื่นอยู่

ความนี้เจ้าสำคัญว่าเป็นไฉน
(เข้าใจว่าขณะที่กายหลับ จิตที่ฝึกดีแล้วในอานาปา
สามารถทรงฌานในอานาปาจนชิน ก็จะยังทรงอานาปาอยู่ในขณะหลับได้ด้วย
จึงจัดได้ว่า เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานอยู่ตลอด ๒๔ ชั่วโมง)

ถูกต้องแล้วเจ้า แต่ถ้าจักให้ดียิ่งขึ้น
อย่าลืมยกอทิสมานกายให้ขึ้นไปอยู่บนพระนิพพานด้วย
และพึงปลงมรณานุสติควบกายคตาและอสุภกรรมฐาน
ตัดกังวลห่วงใยในร่างกายที่นอนอยู่นี้ไปเสียเลย


อย่าคิดว่าหนัก ทำไม่ได้ ที่กล่าวมานี้เจ้าจักต้องฝึกให้เกิดอารมณ์ชินด้วย
ได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็พยายามไปเรื่อย ๆ ทำอย่าหยุด
พยายามอย่าขี้เกียจ แล้วผลก็จักบังเกิดแก่เจ้าได้อย่างแท้จริง


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 11:31


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว