กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เรื่องธรรมะ และการปฏิบัติ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=20)
-   -   เล่าสู่กันฟัง ภาค ๒ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=481)

เถรี 22-06-2009 12:42

หลายท่านคงเคยได้ยินหลวงพ่อพูดประโยคหนึ่งอยู่บ่อย ๆ นั่นก็คือ "จงวางตัวให้เป็นผู้ใหม่อยู่เสมอ"

"จงวางตัวให้เป็นผู้ใหม่อยู่เสมอ ...ให้มีความเกรงใจเหมือนรู้จักกันใหม่ ๆ ..พวกที่ถือว่าเป็นญาติเป็นคนสนิทแล้วทำอะไรไม่เกรงใจ....ระวังจะโดนเข้าสักวัน

การจะขออนุญาตก็ต้องขอก่อนทำ..ไอ้ที่ทำแล้วมาขอ....นั่นมันไม่มีมารยาท ทำแล้วค่อยมาบอก....มันคือผู้ใหญ่มาบอกกล่าวเด็กให้รู้ แก่แล้วก็ให้มันรู้จักคิดกันบ้าง....ไม่ใช่แก่แล้วแก่เลย ไม่มีอะไรพัฒนาขึ้นเลยสักอย่าง

พวกเรานี่พอไม่โดนด่าแล้วมันไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักมีมารยาทกันเลย อย่างพวกเอาซองที่อื่นมาเรี่ยไรนี่ก็เหมือนกัน มันไม่เคยรู้ตัวเลยว่าทำอย่างนี้มันไม่มีมารยาท มันเห็นเราไม่ว่าอะไรก็ยิ่งเอาใหญ่ จำเอาไว้เลยนะว่างานของที่หนึ่งอย่าเอามาปะปนกับงานอีกที่หนึ่ง ถ้าไปทำอย่างนี้ที่อื่นเขาจะเคืองเอาว่าทำให้เขาเสียรายได้.....ถึงพระจะไม่เคืองแต่ลูกศิษย์ลูกหาเขามีเขาจะเคือง..บาดหมางใจกันเปล่า ๆ

จริง ๆ แล้วหลวงพ่อ(ฤๅษี)ท่านอายุขัยยังอีกตั้งนาน แต่ก็เพราะไอ้ลูกศิษย์ที่ไม่รู้จักคิดไม่รู้จักพัฒนา ตัวเองนี่แหละ ท่านเลยไม่รู้จะแบกสังขารแบกโรคไปทำไม..อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์..ไปดีกว่า"


บางรายตั้งใจสร้างวัตถุมงคลมาถวายพระอาจารย์ แต่ไม่ได้บอกกล่าวท่านก่อน มาบอกเอาตอนเสร็จแล้ว ท่านก็พูดว่า "ส่วนใหญ่เป็นเหมือนกันหมด สร้างเสร็จแล้วค่อยมาบอก จะด่าแม่มัน แม่ของมันก็ยังไม่รู้เรื่องเลย..! "

ดังนั้น ก็คือ จะทำอะไรควรพินิจพิจารณาให้รอบคอบและกราบเรียนขออนุญาตจากท่านก่อนจะดีกว่าค่ะ

เถรี 24-06-2009 14:21

ตอนเรียนที่เชียงใหม่ เถรีได้มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อบุญรัตน์ที่วัดโขงขาว ท่านได้กล่าวว่า "อย่ามองว่าสิ่งที่อยู่บนโลกนี้เป็นของแปลก ให้มองว่าธรรมดา จริงอยู่สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนเป็นสิ่งประเสริฐ ล้ำค่า แต่ท่านได้นำสิ่งธรรมดามาสอนเรา สิ่งธรรมดาที่เป็นความจริง มีอยู่ตามธรรมชาติ"

ท่านยังกล่าวต่ออีกว่า " ฟันในปากเดี๋ยวมันก็หัก สายตาเดี๋ยวมันก็มัว มันเป็นอนิจจัง
ร่างกายที่เรามองเห็นอยู่ ถ้าเราลองมองข้างในดู จะรู้ว่ามีแต่ตับไตไส้พุง แต่ถูกเนื้อหนังอันหนาปกปิดไว้ ลองเอาพลาสติกใสมาหุ้มไว้สิ เอาพลาสติกใสหุ้มแทนเนื้อ ถ้าเห็นแบบนั้น แล้วยังจะรู้สึกชอบกันอีกไหม"

เถรี 24-06-2009 14:22

มีคนเคยสงสัยว่าหลวงพ่อเล็กท่านเป็นพระอรหันต์หรือเปล่า ท่านก็บอกไปว่า "ตาดีก็ดูเอาเอง" :154218d4:

หมูติดยันต์ 24-06-2009 15:21

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ เถรี (โพสต์ 10566)
มีคนเคยสงสัยว่าหลวงพ่อเล็กท่านเป็นพระอรหันต์หรือเปล่า ท่านก็บอกไปว่า "ตาดีก็ดูเอาเอง" :154218d4:

ผมไม่สงสัยครับ :cebollita_onion-17:

เถรี 24-06-2009 21:06

หลวงพ่อเคยเปรยให้เถรีฟังว่า บางคนพูดคุยถึงเรื่องการปฏิบัติ ตัวเองยังไม่ทันจะทำเลย มาชวนคนอื่นเขาคุยแลกเปลี่ยนการปฏิบัติเสียแล้ว

ท่านก็เปรียบว่า "เหมือนคนที่จะกินข้าว ยังไม่ทันได้กินเลยก็กลัวว่าตนเองจะอิ่ม ให้มันกินเสียก่อนเถอะ"

"ไม่ทันจะกินแล้วไปห่วงว่าอิ่มหรือเปล่านี่ เลิกไปเลย"

เถรี 24-06-2009 21:46

หลวงพ่อได้เมตตาเล่าในเรื่องของศีลข้อกาเมว่า "ในเรื่องศีลข้อที่สาม บางทีเราคิดว่าเด็ก ๆ ไม่ผิดศีลข้อกาเม แต่บางทีเด็ก ๆ ผิดศีลข้อกาเมได้เยอะมาก ๆ เพราะคำว่า กามะ แปลว่า ความใคร่ แปลว่า ของอันเป็นที่รักก็ได้ เพราะฉะนั้นเด็กไปแย่งของเล่นที่เขารักเขาหวงมันผิดศีลข้อที่สามเลย "

มีคนถามหลวงพ่อเล็กว่า "แล้วอย่างนี้ถ้าพ่อแม่ทิ้งลูก ไม่รักลูก เราไปยุ่งกับลูกเขา ก็ถือว่าไม่ผิดศีลข้อที่สามอย่างนั้นสิครับ เพราะพ่อแม่ไม่ได้รักไม่ได้หวงลูกแล้ว"

หลวงพ่อเล็กท่านก็ตอบว่า "อย่าลืมว่ามีพ่อปกครอง มีแม่ปกครอง มีพี่ปกครอง มีน้องปกครอง มีพระราชาปกครอง มีผู้จองไว้แล้ว และท้ายที่สุดกระทั่งมีธรรมปกครอง คุณจะลอดไปรูไหน....ถามหน่อย? พระราชาปกครองในปัจจุบันนี้ก็คือกฎหมายคุ้มครอง ต่อให้เจ้าตัวเต็มใจคุณก็โดนข้อหาพรากผู้เยาว์อยู่ดี"

เถรี 24-06-2009 21:57

เมื่อคราวงานเป่ายันต์ปี ๒๕๕๑ หลวงพ่อท่านกล่าวว่า

" การที่เราจะทำความดีอะไร ที่จะให้ในหลวงทรงมีกำลังใจที่จะอยู่นาน ๆ ก็คือ การที่เราสร้างความดีใน ศีล สมาธิ ปัญญา ที่ในหลวงทรงโปรดที่สุด เพราะพระองค์ท่านทรงปฎิบัติมาทั้งชีวิต"

เถรี 26-06-2009 08:18

เมื่อต้นเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว วันนั้นเป็นวันหวยออกพอดี หลวงพ่อเล็กถามว่า "งวดนี้หวยออกอะไร บังเอิญอาตมารู้ หลวงปู่สรวงมาบอก"

แล้วท่านก็เริ่มบรรเลงเล่าเรื่องราวของหลวงปู่สรวงให้ฟัง ว่าปกติคนที่มาหาหลวงปู่สรวงมักมาหาท่านอยู่ ๒ เรื่อง คือ เรื่องขอหวยกับเรื่องรักษาโรค

สำหรับในเรื่องหวยนี่ คนขอหวยถูกเป็นสิบล้านไปแล้วก็มี ส่วนเรื่องรักษาโรคคนเป็นเอดส์มาหาแล้วหายดีก็มี เพียงแต่ว่าวิธีการรักษาของท่านจะแปลก ๆ

เช่น มีผู้ชายคนหนึ่งพาเมียที่เป็นเอดส์มาให้หลวงปู่สรวงรักษา จู่ ๆ หลวงปู่หยิบขันน้ำขึ้นมา ผู้ชายก็คิดว่าหลวงปู่จะทำน้ำมนต์ให้ แต่ที่ไหนได้ หลวงปู่กลับเอาไปล้างเท้า ผู้ชายเลยรีบพาเมียของตนที่เป็นเอดส์ไปตรงใต้ถุน รองรับน้ำล้างเท้านั้น ทีนี้คนเป็นเอดส์มันจะพรุนตามร่างกาย พอโดนน้ำเข้าก็ปวดแสบปวดร้อน ร้องทรมาน เขาก็คิดว่าอาการคงจะหนักกว่าเดิม ปรากฏว่ากลับดีวันดีคืน จนกระทั่งเอดส์หายไปเลย.....

บางคนมาขอเรียนวิชากับท่านก็มี ท่านก็พาเข้าป่าหายไปเป็นปี ๆ คนที่ตามหลวงปู่ไปเล่าว่า บางทีตนเกิดอาการหิวขึ้นมา ในป่ามันจะมีอะไรให้กิน หลวงปู่สรวงหยิบใบไม้ยื่นมาให้กิน คนนั้นบอกว่ากินใบไม้ที่หลวงปู่ให้มาไม่กี่ใบเท่านั้น แต่ดันอิ่ม !!!

อีกอย่างก็คือ เป็นที่รู้ ๆ กันว่าในย่ามของหลวงปู่ไม่มีอะไร ทีนี้มีคนดันเกิดอาการหิวขึ้นมาอีก หลวงปู่สรวงก็บอกให้ยื่นมือเข้าไปในย่าม คนนั้นก็ล้วงไปไม่เจออะไร แต่พอชักมือออกมาจากย่ามเท่านั้น อิ่มเลย !!!

อีกอย่างหนึ่งของหลวงปู่สรวงก็คือ ชอบเอาเงินมาแจกลูกศิษย์ แจกชนิดที่ว่าโปรยให้เลย

เถรีเคยได้ยินมาว่า หลวงปู่สรวงท่านอายุยืนมาก บางคนบอกว่า ๕๐๐ ปีก็มี แต่ที่แน่ ๆ หลวงพ่อเล็กท่านบอกว่า หลวงปู่สรวงท่านเป็นพระโพธิสัตว์ค่ะ ที่หลวงพ่อเล็กท่านกล้าเล่าเรื่องของหลวงปู่สรวง ก็เพราะว่าหลวงปู่ท่านมรณภาพไปแล้ว

เถรี 30-06-2009 04:46

หลวงพ่อเคยสอนว่า "จำไว้นะ การที่เราบอกว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษีก็ดี ลูกศิษย์อาจารย์เล็กก็ดี มันต้องพิสูจน์ได้ คือใครท้าอะไรมาต้องทำได้ ให้รู้ว่าเราเป็นศิษย์ยังได้ขนาดนี้ แสดงว่าอาจารย์เราย่อมเก่งจริง
ไม่ใช่อะไรก็ทำไม่ได้ คนอื่นเขาจะด่าครูบาอาจารย์เราได้"

เถรี 30-06-2009 04:50

หลวงพ่อเล็กท่านสอนว่า "จำไว้ว่าอย่ากลัวผิด โบราณเขาว่าไว้ผิดเป็นครู เพราะถ้าผิดท่านจะบอกว่าเราผิดตรงไหน แล้วเราจะได้แก้ไขให้มันถูก

เคยอ่านประวัติของโทมัส แอลวา เอดิสัน คนคิดหลอดไฟ เขาทดลองแล้วทดลองอีก ทดลองผ่านไปเป็นเดือนเป็นปี ลูกศิษย์เขาก็บอกว่า อาจารย์ล้มเหลวมาสองร้อยกว่าครั้งแล้ว เอดิสันพูดว่า อะไรล้มเหลว นี่ผมประสบความสำเร็จมาสองร้อยกว่าครั้งแล้ว รู้ว่าอันนี้ฉันใช้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ไอ้สองร้อยกว่าอย่าง เราไม่ต้องไปยุ่งกับมัน หาใหม่อย่างเดียว
"

เถรี 30-06-2009 04:53

หลวงพ่อเล็กท่านบอกว่า "จริง ๆ แล้วกรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง สามารถประยุกต์เข้าหาได้กันหมด เพียงแต่ว่าพวกเราจะมีความคล่องตัวเท่าไหน หลวงพ่อเองท่านก็อยากจะสอนหมด
เพียงแต่ท่านเห็นว่าการแยกสอนทีละกองมันจะง่ายกว่า แล้วอีกอย่างหนึ่งจะดูว่าลูกศิษย์มีปัญญาแค่ไหน "

เถรี 30-06-2009 04:56

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านให้โอวาทว่า
"การบวชน้อย....ถ้าตั้งใจทำดี ก็เปรียบเหมือนเพชร ถึงเม็ดเล็กแต่มีค่ามาก
การบวชมาก...ถ้าทำแต่ความเลว ก็เปรียบเหมือนกับขี้ ยิ่งกองใหญ่เท่าไรก็เหม็นมากเท่านั้น"

เถรี 15-07-2009 12:01

หลวงพ่อกล่าวว่า "ถ้าผู้ใดสามารถทรงฌานสมาบัติได้ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป แล้วรักษาอารมณ์นั้นเอาไว้ได้ จะสามารถทรงตัวเนกขัมมะบารมีนั้นได้ง่าย เนื่องจากว่ากำลังของฌานสมาบัติสามารถกดกามราคะให้ดับลงได้ชั่วคราว ดังนั้นผู้ที่จะทรงเนกขัมมะบารมีอย่างต่ำสุดต้องได้ปฐมฌานขึ้นไป ถ้าจะเอาให้ปลอดภัยทีเดียวต้องทรงฌานสี่ให้คล่องตัว ชนิดที่นึกเมื่อไหร่ก็ทรงฌานได้เมื่อนั้น ไม่อย่างนั้นแล้วไม่สามารถจะต่อสู้กับมันได้"

เถรี 15-07-2009 12:04

หลวงพี่เอกบอกว่า "เจริญในธรรม ก็วัดความก้าวหน้ากันตรงละกิเลสได้นี่แหละ"

เถรี 15-07-2009 12:05

หลวงพ่อบอกว่า "ความจริงจังมันวัดได้ว่าบารมีของเรามันพร้อมหรือเปล่า มาถึงระดับนี้รักที่จะไปนิพพาน บารมีมันต้องพร้อม เพียงแต่เพิ่มความขยันเข้าไปหน่อยเท่านั้นเอง"

เถรี 15-07-2009 12:07

หลวงพ่อบอกว่า "ความศรัทธาที่มั่นคงเชื่อมั่นจริง ๆ ถ้าเป็นแบบนั้น วัตถุมงคลก็จะมีอานุภาพมาก"

เถรี 15-07-2009 12:16

ในเรื่องการปฏิบัติหลวงพ่อสอนว่า "ถ้าจิตยอมรับจริง ๆ มันจะไม่ดิ้นรน มันจะเห็นสภาพธรรมดา มันจะไม่เบื่อ ไม่หน่าย ไม่ได้อยากตาย แต่มันอยู่ในสภาพที่พร้อมที่จะตาย"

ท่านเคยบอกว่า พวกที่บ่นว่าอยากตายนั่น แสดงว่ายังใช้ไม่ได้ ถ้าสังเกตให้ดีจะรู้ว่านั่นเป็นอารมณ์โทสะ เพราะเกิดอารมณ์ไม่พอใจนั่นเอง

เถรี 18-07-2009 11:28

หลวงพ่อเล็กท่านบอกว่า "จริง ๆ แล้วกรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง สามารถประยุกต์เข้าหาได้กันหมด เพียงแต่ว่าพวกเราจะมีความคล่องตัวเท่าไหน หลวงพ่อเองท่านก็อยากจะสอนหมด เพียงแต่ท่านเห็นว่าการแยกสอนทีละกองมันจะง่ายกว่า แล้วอีกอย่างหนึ่งจะดูว่าลูกศิษย์มีปัญญาแค่ไหน"

เถรี 18-07-2009 11:31

หลวงพ่อสอนว่า "ไปตายข้างหน้าอย่างคนกล้า ดีกว่าถอยมาตายอย่างคนขลาด"

เถรี 18-07-2009 11:33

หลวงพ่อเคยสอนว่า " ไม่หิวแล้วยังจะกิน ไม่ง่วงแล้วยังจะนอน ทำแบบนี้เมื่อไหร่จะได้(มรรคผล)ล่ะ "


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 13:15


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว