กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4538)

เถรี 15-08-2015 14:55

ถาม : ถ้าเราออกจากบ้าน ขอให้ภุมมเทวดาดูแลปกปักรักษาเรา ควรจะบอกอย่างไร ?
ตอบ : บอกแบบเด็กขอให้ผู้ใหญ่ช่วย

ถาม : ต้องกำกับด้วยคาถาหรือไม่ครับ ?
ตอบ : อาตมาไม่เคยใช้ จะใช้คาถาหลวงพ่อโอภาสีก็ได้ "อิติ สุคโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ ปฐวีคงคา พระภุมมะเทวา ขะมามิหัง"

เถรี 15-08-2015 14:59

ถาม : เทวดาชั้นสาม จะขึ้นไปชั้นพรหมได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าได้รับอนุญาตก็ไปได้ แต่อยู่ไม่ได้

ถาม : แล้วที่เป็นรูปพรหม จะไปอยู่ชั้นอรูปพรหมได้ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าไม่ได้สร้างเหตุมาอย่างนั้น

เถรี 15-08-2015 15:02

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาทำอาคารต้อนรับพระเถระเสร็จไม่ทัน เพราะว่าในส่วนของห้องน้ำต้องมาต่อเพิ่มทีหลัง แล้วช่างเขาก็ติดงานอยู่ เขาเพิ่งจะปูพื้นชั้น ๒ ของศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สายเสร็จ แล้วก็ติดม่านให้ ม่านที่ติดไปก็ยังไม่เรียบร้อย ต้องให้เขาถอดออกก่อน ๓ ชุด ช่วงที่ถอดออกก็คือจุดที่จะตั้งมณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำ เนื่องจากว่าพอประกอบแล้วยังต้องมีการขัดแต่งอีก ถ้าติดม่านเอาไว้แล้วต้องอมฝุ่นแน่ ๆ

อาตมากำลังจะจ่ายเงินงวดที่ ๔ ของการสร้างมณฑปให้เขาอยู่ เพราะว่างานงวดที่ ๓ ยังไม่เรียบร้อย แต่ว่างวดที่ ๔ เรียบร้อยแล้ว งวดที่ ๔ เป็นรายละเอียด ช่างแกะลายแกะเร็วกว่า แต่ว่าช่างที่ประกอบชิ้นส่วนใหญ่ทำไม่ทัน พอเขาขอเบิกงวดที่ ๔ มา ก็เลยบอกว่าเอาอย่างนี้ เบิกงานงวดที่ ๓ ไปก่อน แล้วพองานงวดที่ ๓ เสร็จแล้วค่อยเบิกงานงวดที่ ๔ เพราะถ้าว่ากันตามสัญญาก็ยังไม่มีสิทธิ์ที่จะเบิกเลย เนื่องจากงานไม่เสร็จตามงวด แต่ก็เห็นใจว่าเขาทำงานได้มากแล้ว

อาตมาสั่งช่างให้เขาทำเรือนไทยในศาลา ๑๐๐ ปีฯ อีกหลังหนึ่ง จะเอาไว้ตั้งสังขารหลวงปู่สาย ก็เท่ากับว่าเป็นเรือนไทยที่มีแต่พื้น ไม่มีเสา ก็คือแปะกับพื้นเลย ยกสูงขึ้นมาสัก ๖ นิ้ว เอาไว้ตั้งโลงแก้วกับโต๊ะหมู่บูชา

เมื่อวันเข้าพรรษาที่ไปเปลี่ยนผ้าครองให้หลวงปู่สาย พระท่านยกของย้ายของกันครื้นเครง อาตมาต้องเตือนท่านให้ระวังพัดยศของหลวงปู่สาย พัดยศทั้ง ๒ ด้ามนั้น เป็นด้ามงาทั้งคู่ สมัยหลวงปู่เป็นพระครูยังได้ด้ามงาเลย สมัยของอาตมา ขนาดเจ้าคุณยังไม่ได้ด้ามงาเลย"

เถรี 15-08-2015 15:22

ถาม : เวลาเรามีปัญหา อยู่ดี ๆ เราก็แวบขึ้นมา อย่างนี้เป็นอาการลักษณะของปัญญาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ต้องถามว่าแวบเรื่องอะไร ?

ถาม : แวบเป็นวิธีการ ?
ตอบ : ลักษณะนั้น แสดงว่าพอหยุดคิดแล้วใจสงบ ในเมื่อใจสงบปัญญาจึงเกิด เป็นลักษณะของจินตามยปัญญา ยังไม่ถึงภาวนามยปัญญา เพราะภาวนามยปัญญา เป็นการเห็นทางพ้นทุกข์

ถาม : ถ้ามีปัญหาอะไรขึ้นมา ก็จะแวบขึ้นมา ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นต้องหยุดคิดบ่อย ๆ ถ้าใจเราไม่ปรุง สภาพจิตจะไม่ฟุ้งซ่าน การรู้เห็นก็จะชัดขึ้น

ถาม : บางอย่างก็ใช้ได้ บางอย่างก็ใช้ไม่ได้ ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ ถ้าได้อย่างใจทุกอย่างแล้วเราจะทุกข์หรือ ?

เถรี 15-08-2015 15:24

ถาม : ถ้าเป็นวิบากกรรมก็คงไม่ปรากฏนิมิตแน่ ๆ ?
ตอบ : รับ ๆ ไปเถอะ อาตมาบวชมา ๓๐ ปี เพิ่งจะทำฝาบาตรหล่นวันก่อนนี้เอง หล่นอย่างไรก็ไม่รู้ด้วย เหมือนกับตอนช่วงวิบากเข้ามา เพราะสติไม่มี อยู่ ๆ มารู้ตัวตอนฝาบาตรหล่นลงไปแล้ว ทุกครั้งที่เกิดเหตุขึ้น จะเป็นอุบัติเหตุหรือจะเป็นอะไรก็ตาม จะเกิดในลักษณะอย่างนี้ คืออยู่ ๆ สติจะขาดหายไปเฉย ๆ นี่แค่ฝาบาตรหล่น ยังโชคดีว่าฝาบาตรมีด้ายถัก พลิกแล้วก็หล่นครอบลงไปก็เลยไม่ดัง

ปกติ
เวลาญาติโยมเขาใส่ข้าว อาตมาก็จะเปิดบาตรให้เขาใส่ แต่พอใส่กับข้าว ใส่พวกดอกไม้ อาตมาก็จะพลิกฝาบาตรรับไว้ แล้วก็ส่งต่อให้ลูกศิษย์เขารับไปใส่กระป๋อง รู้ตัวว่าพลิกฝาบาตรรับของเขา แล้วมารู้ตัวอีกทีตอนฝาบาตรหล่นลงไปอยู่กับพื้นแล้ว ประมาณ ๒-๓ วินาทีนั้นสติหายไปไหน ? ในช่วงวาระกรรมเข้า เป็นไปได้ขนาดนั้น อาตมาสังเกตมาหลายทีแล้ว บางทีอยู่ดี ๆ มารู้ตัวตอนล้มตึงลงไปแล้ว

ปกติเรื่องฝาบาตรอาตมาจะระมัดระวังมาก พูดง่าย ๆ ว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยทำฝาบาตรหล่น ดันมาหล่นเอาตอนนี้เอง มาหล่นตอนเป็นมหาเถระด้วย ถึงเวลาวิบากเข้านี้สามารถตัดเราได้ขนาดนั้น สังเกตดูตอนที่เกิดอุบัติเหตุก็ลักษณะอย่างนี้ เหมือนกับว่าสติหายไปวูบหนึ่ง แล้วเขาก็เอาเราตีลังกาจนได้

ไปนึกถึงที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระองค์ท่านเสด็จไปออสเตรเลีย ทางด้านภรรยาผู้ว่าฯ น่าจะลักษณะแบบผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ ของเรา ก็เอาช่อดอกไม้มาต้อนรับ พระองค์ท่านรับช่อดอกไม้ ดึงแล้วดึงอีก ดึงเขาเข้ามาด้วย เพราะว่าภรรยาลอร์ดแมร์เขาผูกเนคไทอยู่ พระองค์ท่านไปรวบเอาเนคไทเขามากับช่อดอกไม้ด้วย
เลยยื้อแย่งกันใหญ่

เถรี 16-08-2015 07:00

ถาม : ในวิปัสสนาญาณ ที่บอกว่าเห็นรูปนามโดยความเป็นโทษ เห็นรูปนามโดยความเป็นภัย ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ : อันแรกก็คือสร้างทุกข์สร้างโทษให้แก่เราอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับหิวกระหาย ร้อนหนาว เจ็บไข้ได้ป่วย มีแต่โทษไม่มีประโยชน์ ส่วนที่เป็นภัยก็คือ ทุกข์ภัยทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวัฏสงสารนี้ เป็นเพราะรูปนามนี้นำมาให้ ไม่ว่าการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย แม้กระทั่งภัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากคน จากสัตว์ จากโรคภัยไข้เจ็บ จากดินฟ้าอากาศ ล้วนแต่มีสาเหตุมาจากรูปนามนี้

ถาม : เป็นความรู้สึก หรือเป็นนิมิต ?
ตอบ : ถ้าปัญญามองเห็นจะเห็นแจ้งตลอดไปเลย ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นโทษ สิ่งเหล่านี้เป็นภัย สิ่งเหล่านี้เป็นของน่ากลัว สิ่งเหล่านี้ไม่ควรที่จะอยู่ด้วย ควรที่จะหลีกหนีไปให้พ้น

ถาม : ในญาณ ๑๖ มีบางอย่างที่กล่าวถึงแล้วผมไปดูในตำรานามรูปไม่มีกล่าว ?
ตอบ : เอาแค่วิปัสสนาญาณ ๙ ก็พอ เพราะถึงสังขารุเปกขาญาณจริง ๆ ก็จบแล้ว แต่คราวนี้เขาไปอธิบายเพิ่มเติมไปถึงมรรคญาณ ผลญาณ อะไรให้ยุ่งไปหมด

ถาม : นามรูปปริจเฉทญาณ คือ ?
ตอบ : แค่เรารู้เห็นว่ารูปนามนี้ไม่ใช่ของเรา ก็เป็นนามรูปปริจเฉทญาณแล้ว

เถรี 16-08-2015 07:00

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า วิปัสสนาญาณ ๙ ท่านสนใจแค่นิพพิทาญาณกับสังขารุเปกขาญาณเท่านั้น อย่างอื่นตามดูตามรู้ไป ก็จะมาลง ๒ อย่างนี้ ก็คือพอเห็นการเกิดดับ เห็นการดับ เห็นเป็นโทษ เห็นเป็นภัย เห็นเป็นของน่ากลัว ก็เบื่อ พอเบื่อก็จัดเป็นนิพพิทาญาณ ก้าวข้ามความเบื่อได้ก็เป็นสังขารุเปกขาญาณ ในเมื่อปล่อยวางหมดกระทั่งร่างกายนี้ยังไม่ใช่ของเราแล้ว แล้วจะเหลืออะไร ? จบแล้ว ท่านถึงได้บอกว่าอาจารย์บางท่านอธิบายมากจนเฝือ

ถาม : สังขารุเปกขาญาณ กำลังต้องเป็นปฐมฌานหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อย่างน้อยต้องเป็นปฐมฌานขึ้นไป ถึงจะวางได้สักระดับหนึ่ง

เถรี 16-08-2015 07:02

ถาม : ที่จริงแล้ว ถ้าไม่นับอริยบุคคลที่มีปัญญาเข้าถึงแล้ว คนทั่วไปต้องฝึกให้คล่องการเข้าออกฌานสลับกับวิปัสสนาให้ได้ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางเกิดปัญญาเห็นทุกข์ขนาดตัดร่างกายไปพระนิพพานได้ทันตอนตายเลย ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : จะบอกว่าไปไม่ได้ก็ไม่ใช่ เพราะว่าบางทีเราก็ไปเห็นเอาช่วงสุดท้าย ร่างกายป่วยจะแย่อยู่แล้ว เห็นทุกข์เห็นโทษทุกอย่าง เราไม่เอาอีกแล้ว ก็ไปเอาวินาทีสุดท้ายเหมือนกัน เพียงแต่ว่าช่วงที่เราร่างกายยังแข็งแรงอยู่ ก็พยายามทำให้เต็มที่ของเราไป ไม่อย่างนั้นแล้วจะทรมานนานมาก ที่ทรมานนานมากเพราะเราตั้งใจจะหลุดพ้น ในเมื่อยังไม่หลุดพ้นก็ทนไปเถอะ

เป็นลักษณะของมโนสัญเจตนา ก็คือความมุ่งมั่นของใจ เมื่อใจมุ่งมั่นที่จะไปพระนิพพาน คราวนี้การตัด การละ ของตัวเองยังไม่ถึง ก็ต้องทนทรมานไปเรื่อย ก็ใจมุ่งที่จะไปอยู่นั่นแหละ ในเมื่องานยังไม่หมดก็ไป
ไม่ได้ ก็เลยกลายเป็นว่า ทำไมบางคนตั้งใจปฏิบัติธรรมแล้ว ถึงมีสารพัดเรื่องเกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นเพื่อให้เห็นโทษแล้วจะได้หมดอยาก จะได้ปล่อยได้วางได้ หลายคนเลิกปฏิบัติไปเลย เพราะคิดว่าพอหันมาปฏิบัติธรรมแล้วถึงเป็นอย่างนี้

เถรี 16-08-2015 07:04

พระอาจารย์กล่าวว่า "หนังสือบางอย่างก็ว่ามั่วไปหมด ไปเอาสารพัดกรรมมาอธิบาย แต่ไม่มีคำอธิบายในลักษณะของพระไตรปิฎกหรืออรรถกถา อย่างเช่น บอกว่าการเป็นเมียน้อยเมียเก็บ เพราะเคยผิดลูกผิดเมียเขามาก่อน เคยอธิษฐานร่วมใจว่า กี่ภพกี่ชาติก็ขอให้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน การลบกรรมต้องถวายทองคู่ ธูปคู่ เทียนคู่ หมอนคู่ อย่างใดอย่างหนึ่ง อธิษฐานขอชีวิตที่ดีขึ้น บวชชีพราหมณ์ปีละครั้ง เขาว่าเองทั้งนั้นเลย

แต่อย่างน้อยที่เขาว่ามาก็เป็นการทำความดี เพียงแต่ว่าถ้าเราไปยึดว่าสิ่งที่เขาว่ามานั้นใช่เลย ก็เจ๊งอีกเหมือนกัน"

เถรี 16-08-2015 07:06

ถาม : เห็นความวุ่นวายทั้งหลายในโลกนี้ว่าเกิดขึ้นเพราะสมมติ เช่น คำพูด เวลามีสงครามกันหรือทะเลาะกัน ก็มาจากเรื่องสมมตินี้เท่านั้น มีความรู้สึกว่าวุ่นวายมากค่ะ ?
ตอบ : เป็นพวกเดียวกับพระยสะ ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ

ถาม : ได้ฟังคำสอนที่ว่า อย่าตัดสินใครว่าดีหรือชั่ว ถูกหรือผิด เพราะเราสมมติขึ้นมาเอง การไปตัดสินก็มีแต่จะทำให้เกิดข้อขัดแย้ง ก่อปฏิฆะขึ้น ซึ่งพาลงนรกได้ พอคิดได้อย่างนี้ก็ไม่ไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่น ?
ตอบ : อาตมาเคยบอกหลายครั้งแล้ว แต่พวกเราฟังแล้วก็ผ่านเลยไป ก็คือ ให้ตั้งใจอยู่เสมอว่า อย่าให้กาย วาจา ใจของเราเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่นเลย

ถาม : บางทีเหตุอันนี้เกิดจากสิ่งที่เราคิดว่านี่เป็นเจตนาดี เราทำอย่างนี้ถูกแล้ว แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลย เพราะเขาไม่ได้คิดแบบเรา ?
ตอบ : ถูกอีกแล้ว แต่เสียท่าไปแล้ว คราวนี้เห็นหรือยังว่าการยึดติดน่ากลัวแค่ไหน ?

เถรี 16-08-2015 07:07

ถาม : ระหว่างการพูดคุยสนทนากัน สภาวธรรมที่เกิดขึ้นนั้นเกิดต่ออย่างไร ?
ตอบ : พูดจบแล้วก็เลยไปแล้ว ถ้าเราเข้าถึงได้จริง ๆ ก็จะเป็นของเรา ถ้าเข้าถึงไม่ได้จริง ๆ ก็จะค่อย ๆ เลือนหายไป พูดง่าย ๆ ว่าแม้แต่ความจำของเราก็อาจจะไม่เหลือไว้

ถาม : ขณะที่พูดคำนี้ออกไป มีอะไรที่สืบต่อออกไป ?
ตอบ : ต้องบอกว่าใจของเราบันทึกไว้เอง เพียงแต่ว่าบางทีบันทึกไว้โดยที่ตัวเราเองก็ไม่ได้เจตนา หรือว่าบางทีไม่ได้รู้ตัวเสียด้วยซ้ำไป

ถาม : ไม่ได้เกี่ยวกับสมอง ?
ตอบ : ถ้าเกี่ยวกับที่สมองก็ดี ถ้าความจำเสื่อมจะได้เลิกแล้วต่อกัน

เถรี 16-08-2015 07:08

ถาม : ในโพธิปักขิยธรรม ๓๗ จะเอาไปปฏิบัติหมวดไหนก็ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : หมวดใดหมวดหนึ่งก็พอแล้ว

ถาม : ไม่จำเป็นต้องขึ้นด้วยสติปัฏฐาน ๔ ?
ตอบ : ถ้าทำหมวดหนึ่งที่เหลือก็จะตามมาเอง

ถาม : แสดงว่าเกี่ยวเนื่องกัน ?
ตอบ : เกี่ยวเนื่องกันทั้งหมด

เถรี 16-08-2015 07:09

ถาม : ลางสังหรณ์ เป็นทิพจักขุญาณหรือครับ ?
ตอบ : เป็นทิพจักขุญาณอย่างอ่อน คือคนเคยได้ทิพจักขุญาณมาในอดีต ชาตินี้ไม่ได้รับการฟื้นฟู แต่ว่ายังพอมีพื้นฐานเดิมอยู่ ถึงเวลาก็เกิดลางสังหรณ์ คือรู้ล่วงหน้าได้บ้างแม้จะไม่ชัดเจนนัก

เถรี 16-08-2015 07:10

ถาม : พระโสดาบัน ท่านเห็นพระนิพพานได้ทุกครั้งหรือครับ ?
ตอบ : การเห็น..เราต้องแยกให้ออกนะ เห็นเฉย ๆ ส่วนประเภทได้เลยเป็นคนละเรื่องกัน "มรรค" คือลักษณะของการเห็นหรือการไป ต้องเป็น "ผล" ถึงจะเป็นของเรา

เถรี 16-08-2015 10:29

ถาม : ตะกรุดมหาสะท้อน หากมีคนสละสิทธิ์หนูขอบูชาได้ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ได้...ที่เหลือจะเอาไว้ขึ้นราคา..! ถ้าอยากได้ต้องรีบจองตั้งแต่ตอนนั้น เรื่องของการจองวัตถุมงคลเห็นชัดถึงบารมีของคนจอง ประเภทบารมีน้อยก็จะลังเล ตัดสินใจไม่ได้สักที การปฏิบัติธรรมก็เป็นแบบเดียวกัน

เถรี 16-08-2015 11:17

พระอาจารย์กล่าวว่า "เศรษฐกิจไม่ดี ให้ทุกคนภาวนาคาถาเงินล้านเป็นกรรมฐานไปเลย กำหนดไว้สักครั้งละชั่วโมงก็ได้ ไม่ต้องนับจบ ให้นับเวลาแทน สมาธิลึกก็อาจจะได้สักจบหนึ่ง สมาธิตื้นชั่วโมงหนึ่งก็อาจจะได้เป็นร้อยจบ อาตมาเคยภาวนาตอน ๐๒.๕๕ น. ได้ ๑ จบ ๖ โมงเช้าพอดีเลย คว้าบาตรออกบิณฑบาตแทบไม่ทัน สมาธิเผลอลึกไปหน่อย สมาธิลึกมากเวลาก็ผ่านไปไม่รู้ตัว

ดังนั้น เราจะเห็นว่าเวลาของเทวดาหรือพรหมชั้นยิ่งสูงขึ้นไปเท่าไรก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น อย่างเช่น เวลาของชั้นจาตุมหาราช ๑ วันเท่ากับ ๕๐ ปีมนุษย์ ถ้าชั้นดาวดึงส์ ๑ วันก็ ๑๐๐ ปี ไล่ไป ๒๐๐ ปี ๔๐๐ ปี ๘๐๐ ปี ถ้าไปอรูปพรหมก็ลืมโลกไปเลย ๒๐,๐๐๐ มหากัป ๔๐,๐๐๐ มหากัป เป็นต้น

กติกาของพระโพธิสัตว์คือผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ จึงมีอยู่อย่างหนึ่งว่า จะไม่เกิดเป็นอรูปพรหม เพราะว่าเวลายาวนานเกินไป เสียเวลาในการสร้างบารมี ไม่ลงโลกันตนรก เพราะว่าเวลายาวนานหาจำกัดไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ถ้าลงอเวจีบ่อย ๆ เดี๋ยวก็นานเท่าโลกันต์ไปเอง..! ถ้าเกิดเป็นคนหรือสัตว์มีอัตภาพไม่เล็กกว่านกกระจาบ และไม่ใหญ่กว่าช้าง ไมโซซอรัสจึงเป็นพระโพธิสัตว์ไม่ได้ ดูมาหรือยัง ? อยู่ในจูราสสิกเวิลด์..!"

เถรี 16-08-2015 14:32

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีอยู่อย่างหนึ่งยังพิสูจน์ของโบราณเขาไม่ได้ เขาบอกว่า เด็กผู้หญิงที่คลอดออกมาแล้วคว่ำหน้าจะเป็นหมัน อาตมายังไม่เคยเจอ เพราะว่าถึงผู้ใหญ่เจอเขาก็ไม่บอกหรอก ก็เลยยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นหมันจริงหรือเปล่า เอาไว้ถ้าใครถ้าคลอดธรรมชาติ แล้วมีลูกผู้หญิงนอนคว่ำออกมาก็บอกด้วยนะ จะขอพิสูจน์หน่อยว่าเป็นหมันจริงหรือเปล่า ?"

เถรี 16-08-2015 20:08

ถาม : ได้เรี่ยไรเงินเพื่อร่วมสร้างโรงพยาบาลสงฆ์ที่อินเดีย แต่ว่าเงินบางส่วนได้มาตอนที่เขาปิดโครงการไปแล้ว เราจะเอาไปร่วมสร้างโรงพยาบาลสงฆ์ที่อื่นแทนได้ไหมคะ ?
ตอบ : ส่งไปให้เขา เพราะว่าต่อให้เขาสร้างเสร็จแล้วก็ตาม แต่ว่าเรื่องเครื่องไม้เครื่องมือหรือบุคลากรก็ยังต้องใช้เงินอีก อย่าไปย้ายศรัทธาเขาเลย

เถรี 16-08-2015 20:22

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระกริ่งคลองตะเคียน เป็นพระกริ่งที่ประหลาดที่สุด เคยมีคนพยายามแกะออกมา จะดูว่าเม็ดกริ่งทำด้วยอะไร แล้วหาไม่เจอสักองค์ เขาสันนิษฐานว่าอาจเป็นเพราะครูบาอาจารย์ที่สร้างท่านอธิษฐานวาโยธาตุใส่เข้าไป พอเขย่าก็จะดังกรุก ๆ แต่พอแกะออกมากลับไม่มีอะไร

พระกริ่งคลองตะเคียนไปอยู่กับพวกอิสลามเสียมากเลย เพราะพวกอิสลามแถวคลองตะเคียนจะเข้าวัดกษัตราธิราชของหลวงปู่เทียมเป็นประจำ หลวงปู่เทียมสร้างตะกรุด พวกอิสลามพกได้ เพราะเขาไม่เอารูปพระ จึงพกตะกรุดของหลวงปู่เทียมแทน

พวกอิสลามแถวคลองตะเคียนช่วยราชการไทยมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เทคนิคการก่อสร้างต่าง ๆ มาจากช่างอิสลามก่อน ที่สร้างสะพานมีฐานเป็นวงกลม ๆ ก็ดี ลักษณะโค้ง ๆ ตามขอบหน้าต่างก็ดี ฝีมือช่างอิสลามพวกนี้ทั้งนั้น"

เถรี 16-08-2015 20:26

"ตอนหลังเชื้อสายตระกูลบุนนาครับราชการเป็นใหญ่เป็นโต เป็นสมเด็จเจ้าพระยาถึง ๒ – ๓ องค์ พูดง่าย ๆ ว่าตระกูลนี้ถ้าจะยึดอำนาจก็เป็นกษัตริย์ไปนานแล้ว แต่ติดตรงที่ว่าได้ให้สัจจะไว้ ถือน้ำพิพัฒน์สัตยาไว้ว่าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ มีอำนาจอยู่ในมือแท้ ๆ ใหญ่ถึงขนาดในสมัยราชการที่ ๕ ได้เป็นผู้สำเร็จราชการ ที่เขาเรียกสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ สมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อย เป็นถึงระดับสมเด็จเจ้าพระยาทั้งพี่ทั้งน้อง

สำหรับยศที่ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ สมเด็จเจ้าพระยาถือว่าใหญ่สุดแล้ว รองลงมาก็เป็น เจ้าพระยา พระยา พระ หลวงขุน หมื่น พัน"


ถาม : จมื่นเทียบเท่าอะไรคะ ?
ตอบ : จมื่นจริง ๆ เท่ากับคุณพระ แต่ว่าบางท่านอย่างจมื่นไวยวรนาถ ได้รับการโปรดปรานเป็นพิเศษ พระราชทานพานทองให้ ยศจึงเท่าเจ้าคุณเลย เทียบเท่าพระยาที่เขาเรียกพระยาพานทอง ไปไหนต้องนั่งคานหามไป ห้ามเท้าแตะพื้น


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:24


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว