![]() |
“เรื่องของการนอนนั้น พระพุทธเจ้ากำหนดไว้สุดยอดมาก...อยู่โคนไม้ สมัยนี้อยู่โคนไม้คงจะไม่ไหว ป่ากลายเป็นป่าสงวน กลายเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า กลายเป็นอุทยาน ก็อยู่ในวัด กุฏิใครกุฏิท่าน โดยเฉพาะของวัดท่าขนุน ไม่มีพระสองรูปอยู่กุฏิเดียวกัน คือต่างคนต่างมีห้องส่วนตัวของตัวเอง โอกาสที่จะใกล้ชิดจนกระทั่งสัมผัสโรคก็ไม่มี
การกินแล้ว การนอนแล้ว การทำงาน...ต่างคนต่างมีหน้าที่รับผิดชอบ ปัดกวาดเช็ดถูเสนาสนะต่าง ๆ ก็คนละมุมคนละที่กัน ตอนทำวัตรเย็นทำวัตรเช้าที่ต้องมาร่วมกัน ของเราก็นั่งเว้นระยะ เว้นชนิดที่เอื้อมมือเขกหัวกันไม่ถึง..! ก็เลยทำให้เห็นว่า ในช่วงที่ญาติโยมเดือดร้อน อยู่กับบ้าน สั่งอาหารมาส่ง พระแทบจะไม่มีความเดือดร้อนตรงส่วนนี้เลย ฉะนั้น..พระพุทธเจ้าท่านกำหนดอะไรมา จะเหมาะสมกับทุกยุคทุกสมัย อาศัยการปรับตัวเล็กน้อยก็เข้ากับสมัยหรือเหตุการณ์นั้น ๆ ได้แล้ว สำหรับวัดท่าขนุนนั้น เดือนมีนาคม เมษายน พฤษภาคม อาตมาก็ยังทำตัวสบาย ๆ ออกบิณฑบาตใส่หน้ากากบ้าง ไม่ใส่บ้าง พอถึงมิถุนายนก็สั่งพระเณรทุกรูปใส่หน้ากากตลอดมาจนบัดนี้ พระท่านก็สงสัยว่าทำไม ? จึงตอบว่า “ผมเป็นทหารมาก่อน ข้าศึกมักจะเข้าโจมตีตอนที่เราเผลอ คนเราพอระมัดระวังไปนาน ๆ แล้วจะหย่อนยาน ก็จะเผลอให้ข้าศึกทำอันตรายได้ เพราะฉะนั้น..ตอนที่คนอื่นเขาระวังกัน ผมไม่ระวังหรอก เพราะว่าโดยสัญชาตญาณเขาก็ต้องคิดว่าเราระวัง แต่ตอนที่คนอื่นเริ่มเลิกระวังกัน นั่นแหละ เราต้องระวังให้จงหนัก พลาดเมื่อไรเป็นโดน..!” ก็สรุปว่าจนป่านนี้พระวัดท่าขนุนยังไม่มีใครติดโควิด กำลังรออยู่เหมือนกันว่าจะติดเมื่อไร..!” |
พระอาจารย์กล่าวว่า “ด้วยความที่มีชีวิตมายากลำบาก ในชีวิตเคยอดตอนเด็ก ๆ จะเรียกว่าอดทีเดียวก็ไม่ใช่ ต้องเรียกว่าถ้าเลือกกินก็จะอด ก็คือตอนเด็ก ๆ เกิดทุพภิกขภัย ข้าวยากหมากแพงอยู่สองรอบ ช่วงก่อน พ.ศ. ๒๕๑๐ ใครยังไม่เกิดฟังไว้เฉย ๆ ทำให้ข้าวปลาอาหารหายาก ตอนแรกก็ลดจำนวนข้าวลง เพิ่มบรรดาหัวเผือกหัวมันลงไปในหม้อข้าวด้วย เพื่อให้ได้มีอาหารมากขึ้น ก็ต้องกินข้าวผสมเผือกผสมมันไป
คราวนี้พอมากขึ้น ๆ จากข้าวขาวก็ไม่มี ก็เหลือแต่ข้าวกล้อง แล้วข้าวกล้องต่างจังหวัดสมัยก่อนก็มักจะตำ ไม่ได้สีด้วยเครื่อง ก็จะติดเปลือกที่เป็นแกลบบ้างอะไรบ้าง...กลืนยากมาก พอข้าวกล้องก็ไม่มี ก็ต้องกินข้าวโพดที่เก็บไว้ทำพันธุ์ สมัยก่อนเขาเรียกว่าข้าวโพดม้า เก็บไว้เลี้ยงม้าอย่างเดียว เม็ดแข็งเป็นหิน ค้อนทุบเกือบไม่แตก ตากแห้งเพื่อรอเอาไปปลูกอีกปีหนึ่งตอนฤดูฝน ขนาดเอามานึ่งจนสุกแล้วยังรู้สึกเหมือนกับเคี้ยวก้อนหิน..! แต่ก็ยังดีว่าไม่ถึงขนาดกินขุยไผ่เหมือนกับรุ่นพ่อรุ่นแม่” |
“คราวนี้พอโตขึ้นมาหน่อย เรียนจบชั้นมัธยมปีที่ ๓ ก็เกิดข้าวยากหมากแพงอีกรอบหนึ่ง ตอนนั้นจำได้ว่าทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ ปีแรก ๆ ประมาณปี ๒๕๑๙-๒๕๒๐ ต้องมีการปันส่วนอาหารกัน ใครที่ทันเหตุการณ์ตอนนั้นจะจำข้าวโอชาได้ ข้าวโอชาเป็นการใช้ข้าวเหนียว ๓๐ เปอร์เซ็นต์ปนกับข้าวเจ้า แต่ละบ้านต้องมีบัตรปันส่วนว่า แต่ละเดือนซื้อข้าวได้กี่ลิตร เสร็จแล้วก็มาเจอการลอยตัวค่าเงินบาทในช่วงสมัยรัฐบาลป๋าเปรม มาเจอวิกฤตต้มยำกุ้งปี ๒๕๔๐ แล้วปัจจุบันนี้ก็คือวิกฤตโควิด-๑๙ ก็เลยทำให้ไม่รู้สึกว่าลำบาก ยังสามารถช่วยเหลือคนอื่นเขาได้เป็นปกติ
ดังนั้น..ในส่วนที่เล่ามา ก็ไปนึกถึงคำโบราณที่ว่า “ลำบากก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือ” จะบอกว่าสบายก็ไม่ใช่ เพียงแต่ว่าเคยทนลำบากมากกว่านั้นมา ลำบากที่เห็นในปัจจุบันนี้ก็เลยกลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับตัวเราเอง” |
พระอาจารย์กล่าวว่า “วิกฤตไวรัสโควิด-๑๙ ครั้งนี้ ส่วนที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน ใหญ่เท่าไรก็เจ็บตัวเท่านั้น โดยเฉพาะบรรดาสายการบินที่แข่งขันกันทั่วโลก เครื่องบินที่บินว่อนไปทั้งอากาศ..จอดเรียบ ปรับโครงสร้างบ้าง ดุลพนักงานออกบ้าง ยอมล้มละลายบ้าง กิจการเล็ก ๆ กลับรอดตัวง่ายกว่า
คราวนี้วิกฤตครั้งนี้เราต้องมาพิจารณาว่าปัจจัย ๔ ที่เรียนกันตั้งแต่รุ่นอาตมายังเด็ก ๆ มี อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค จะว่าไปแล้วเขากำหนดตามความสำคัญเลยนะ อาหารที่มาก่อนเพราะว่าต้องกินทุกวัน เครื่องนุ่งห่มต้องใช้ทุกวัน แต่ใช้น้อยกว่าอาหาร ส่วนมากก็โน่น..ใส่กันทั้งวัน ที่อยู่อาศัย..อย่างดีก็นอนวันละครั้งหนึ่ง ใครมีนอนกลางวันก็สองครั้ง..! ยารักษาโรค..เราไม่ได้ป่วยทุกวัน นาน ๆ ป่วยที ถ้าป่วยทุกวันนั่นถือว่าโชคดี ห้ามยกเป็นตัวอย่าง จัดเป็นชนกลุ่มน้อย..แปลกแยกจากสังคม..! เราจะเห็นว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่มีอยู่นั้น ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คืออาหาร ก็เลยทำให้กิจการส่งอาหารถึงบ้าน อย่าง Foodpanda และอีกสารพัดกิจการ..รุ่งเรืองมาก แม้ว่าจะโดนปักหมุดเข้าไปอยู่ในสุสานบ้าง หรือสั่งแล้ว "เท" บ้างก็เถอะ..! สมัยอาตมายังเด็ก ๆ พี่ ๆ ทุกคนถ้าเป็นผู้หญิงต้องทำอาหารเป็น ต้องไปวัด ถึงเวลาหุงข้าว ต้มแกงไปถวายหลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ วันพระทีหนึ่งก็อวดฝีมือกันทีหนึ่ง ว่าลูกบ้านไหนจะทำกับข้าวได้อร่อยกว่ากัน เราจะเห็นว่าคนที่ทำอาหารอร่อย ถึงเวลาตกงานเพราะโควิดอาละวาด เปิดขายอาหารออนไลน์ก็เอาตัวรอดได้ แม้ว่าจะติดก้นถุงอยู่นิดหนึ่ง แต่ราคา ๑๕๐ บาทก็ช่างเถอะ ขายได้ก็แล้วกัน คราวนี้สิ่งที่ท่านกำหนดเอาไว้แต่โบราณในเรื่องของปัจจัย ๔ คือสิ่งที่จำเป็นในชีวิตทั้งหมด มาถึงโลกยุคปัจจุบันนี้ต้องมีปัจจัยที่ ๕ คือสมาร์ทโฟน ไม่อย่างนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะว่าสารพัดแอปพลิเคชันอยู่ในนั้น จะสั่งจะซื้อจะโอนเงินก็อยู่ในนั้นทั้งหมด ดังนั้น..ปัจจัยที่ ๕ จึงงอกเงยขึ้นมา แต่โปรด...ลบแอปฯ Lazada ออกไปบ้าง ลบแอปฯ Shopee ออกไปบ้าง แล้วชีวิตนี้ถึงจะมีเงินเหลือ..!” |
พระอาจารย์กล่าวกับโยม “เขียนชื่อมาด้วย ถ้าไม่มีชื่อก็เขียนคณะมาก็ได้ ส่วนใหญ่อาตมาลงบัญชีก็ลงให้เป็นคณะ ทำคนเดียวก็ลงว่าคณะของคุณคนโน้นคุณคนนี้
ต้องบอกว่าอาตมาพยายามทำบัญชีทุกอย่างให้โปร่งใส รอรับการตรวจสอบ อาตมาเองไม่อยากที่จะเปิดเผยความลับของฟ้ามาก แต่ขอให้รู้ว่าพระเราจะโดนเก็บภาษี พระเราจะโดนตรวจสอบทางการเงิน ถ้าหากว่าใครเตรียมตัวเอาไว้แต่เนิ่น ๆ มีระบบบัญชีที่ชัดเจนโปร่งใสก็รอดตัวไป หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกอาตมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๖ บอกหลังจากที่ท่านมรณภาพแล้วนั่นแหละ..! "ให้ไปรื้อบัญชีทำใหม่ เงินทุกบาททุกสตางค์รับมาจากใคร ใช้ไปเรื่องอะไร ถ้ามีคนตรวจสอบต้องชี้แจงเขาได้” ครูบาอาจารย์ท่านมองการณ์ไกล ท่านดูหนังจบแล้ว ท่านรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ของเราก็แค่ทำตามที่ท่านบอก เพราะฉะนั้น..บัญชีเงินวัดท่าขนุนสามารถตรวจสอบย้อนหลังไปได้จนถึงปี ๒๕๓๖ คงไม่มีวัดไหนที่ให้ตรวจสอบย้อนหลังได้ยาวขนาดนี้หรอก สมัยแรกอาตมายังทำบัญชีด้วยมือ พอมาใช้คอมพิวเตอร์ก็สะดวกขึ้น ไม่อย่างนั้นแล้วยอดสังฆทานรับกันแทบทั้งเดือน จะเล็กจะน้อยแค่ไหนก็ต้องลง ถึงเวลาเขียนด้วยมือจะลำบากมาก แต่พอมาทำใน Word ก็สะดวก ถึงเวลาก็บวกเพิ่ม โดยเฉพาะระบบของ Excel นี่สุดยอดมาก พิมพ์ตัวเลขลงไป บวกให้เสร็จลบให้เสร็จ เหมาะสำหรับคนขี้เกียจ..!” |
ถาม : (พระกราบเรียน) เป็นโรคบ้านหมุนครับ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก นอนให้พอ โรคนี้สาเหตุเดียวคือนอนไม่พอ ก็ดีตรงที่ช่วยให้เรามีสติมากขึ้น จะลุกจะนั่งต้องระวังไปหมด ถ้าสามารถระวังแบบนี้ได้ กิเลสก็กินไม่ได้ เขาเรียกว่าในวิกฤตมีโอกาส ...(หัวเราะ)... ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องเสียเวลาไปกินยา แค่นอนให้พอก็หายแล้ว |
พระอาจารย์กล่าวว่า “อาตมาเองอยู่ในสังคมก้มหน้ามาก่อนเด็กอื่นอย่างน้อยก็ ๔๐ ปี เพราะว่าชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก ทุกวันนี้ก็เฉลี่ยอ่านหนังสือวันละ ๑ เล่ม แล้วมีปัญหาคือหาหนังสืออ่านยาก เพราะว่าหนังสือออกไม่ทัน..! ทั้ง ๆ ที่เป็นคนอ่านหนังสือทุกแนว
ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครมาคุยบอกว่าเด็กยุคนี้อยู่ในสังคมก้มหน้านี่ อาตมาทันสมัยล่วงหน้าเขาอย่างน้อยก็ ๔๐ ปี มีแต่มากกว่า ไม่มีน้อยกว่า โดยทั่ว ๆ ไปอาตมาพยายามจำกัดค่าหนังสือให้อยู่ในเดือนละ ๓ พันบาท แต่มักจะเอาไม่ค่อยอยู่ โดยเฉพาะช่วงงานสัปดาห์หนังสือฯ บางทีก็ ๗-๘ พันบาทต่อเดือน เพราะว่าหนังสือใหม่มักจะไปประดังออกพร้อมกันช่วงนั้น แล้วมาตอนหลังน่าจะเห็นว่าขายดี จากที่มีงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติประมาณเดือนเมษายนของทุกปี ก็มาเพิ่มงานมหกรรมหนังสือระดับชาติเอาเสียอีกรอบหนึ่ง แล้วก็ยังมีบรรดาบริษัท ห้างร้าน สำนักพิมพ์ต่าง ๆ ถึงเวลาก็จัดรายการลดแลกแจกแถมประจำปีของตัวเองเข้าไปอีก” |
“ในเมื่ออ่านหนังสือทุกแนวอย่างอาตมา ก็เลยกลายเป็นว่า ถึงเวลานั้นมีสิทธิ์ที่จะกระเป๋าฉีก เพียงแต่ตอนนี้กระเป๋าฉีกน้อยลง เพราะว่ามีไอ้ตัวเล็กฉีกแทน..! อาตมามีหน้าที่อ่านแล้วก็ลงยอดไว้ว่าเดือนนี้ยอดหนังสือเท่าไร แล้วก็หักเอายอดหนังสือนั้นแหละไปทำบุญสังฆทานแทน ไอ้ตัวเล็กเลยได้ทำบุญสังฆทานเดือนละเยอะ ๆ โดยไม่รู้ตัว บางทีก็ยัดลงไปสร้างพระทองคำบ้าง ...(หัวเราะ)... เขาเรียกว่ารวยแบบไม่รู้ตัว ได้ทำบุญแล้วยังไม่รู้ว่าตัวเองได้ทำ..!
อย่างเล่มที่อ่านอยู่นี้คือฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ ฉบับที่ ๓๒ มีลายเซ็นคนเขียนคือหนุ่มเมืองจันท์มาด้วย สมัยก่อนอาตมาก็เก็บหนังสือที่มีลายเซ็นคนเขียนไว้ อย่างของคุณอาจินต์ ปัญจพรรค์ ครูพนมเทียน ปรากฏว่าเก็บไปเก็บมา ท้ายสุดก็เลิกเก็บ เอาลงห้องสมุดไปหมด ...(หัวเราะ)...” |
พระอาจารย์กล่าวว่า “สมัยนี้เขาต้องมีย้อมผมปกปิดกันใช่ไหม ? คนไม่แก่พยายามจะแก่ ส่วนคนแก่พยายามที่จะไม่แก่ เขาเรียกว่า ภวตัณหาและวิภวตัณหา ภวตัณหา เป็นไปตามสภาพ วิภวตัณหา ฝืนสภาพ
อยากสวย อยากรวย อยากดี อยากเด่น อันนี้ภวตัณหา ส่วนวิภวตัณหาบอกว่าไม่อยาก แต่จริง ๆ แล้วก็คืออยาก ไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย ก็คืออยากจะไม่แก่ อยากจะไม่เจ็บ อยากจะไม่ตาย ...(หัวเราะ)...” |
ถาม : หนูอยากเริ่มฝึกนั่งกรรมฐานค่ะ ?
ตอบ : ก็นั่งสิจ๊ะ ถาม : ง่าย ๆ อย่างนี้เลยหรือคะ ? ตอบ : จะนั่งจะนอน จะหกคะเมนตีลังกาอย่างไรก็ได้ แต่สำคัญที่ให้รู้ลมหายใจเข้าออกไว้ ให้ใจอยู่แค่ตรงลมหายใจนี้ อย่าให้ไปคิดเรื่องอื่น ถ้ารู้สึกตัวว่ากำลังคิดเรื่องอื่นเมื่อไรให้ดึงกลับมาตรงนี้ หายใจเข้าจนสุด หายใจออกจนสุด ถ้าไม่คิดเรื่องอื่นให้นับ ๑ หายใจเข้าจนสุด หายใจออกจนสุด ถ้าไม่คิดเรื่องอื่นให้นับ ๒ พยายามนับให้ถึง ๑๐ โดยที่เราไม่คิดอะไร ถ้าหากว่านับไปถึง ๓ ถึง ๔ แล้วคิด ก็ให้เริ่มต้นนับ ๑ ใหม่ นับไปถึง ๘ ถึง ๙ แล้วคิด ก็เริ่มต้นนับ ๑ ใหม่ ต้องบังคับลักษณะอย่างนี้ไประยะหนึ่ง แล้วพอจิตเคยชินก็จะยอมอยู่กับลมหายใจเอง เพราะฉะนั้น..เรื่องของการนั่ง การยืน การเดิน การนอน หรือหกคะเมนตีลังกานั้นไม่ได้สำคัญ สำคัญตรงที่รักษาความรู้สึกของเราให้อยู่ตรงนี้ ไป...ไปทำได้แล้ว ทำแล้วเป็นอย่างไรแล้วมารายงาน เดี๋ยวจะต่อวิชาได้ ตอนนี้เอาแค่นี้ให้ได้ก่อนว่า ภายในครึ่งชั่วโมงจะนับ ๑ ถึง ๑๐ ได้ตามลมหายใจโดยไม่คิดอะไรไหม ถ้าทำได้นี่เก่งสุด ๆ เลย อย่าคิดว่า ๑ ถึง ๑๐ ง่ายนะ ขอยืนยันว่าปางตายเลยแหละ..! ถาม : ขอกราบลาเจ้าค่ะ ? ตอบ : พยายามตื๊อสู้ไว้ด้วย ไม่ใช่ถึงเวลาก็เบื่อ เลิก รำคาญ ไม่เอาแล้ว ทำอะไรต้องทำให้จริง |
พระอาจารย์กล่าวว่า “ช่วงโควิด-๑๙ ระบาดนี้ มีตัวย่ออยู่คำหนึ่งก็คือ WFH (work from home) หมายถึงการทำงานจากบ้าน ถามว่ามีข้อดีไหม ? แรก ๆ มีข้อดีเยอะมาก เพราะว่าได้อยู่กับบ้าน ไม่ต้องเดินทาง อยากจะนอนเมื่อไรก็กลิ้งได้เลย..! แต่พอนาน ๆ ไปแล้วไม่ค่อยดี โดยเฉพาะถ้ามีครอบครัวแล้ว คนจะทำงาน แต่ลูกจะให้พ่อพาไปโน่นไปนี่ เมียจะไล่ให้ไปซักผ้า หรือไม่ก็ถ้าหากว่าเป็นคู่กัด เห็นหน้าต้องทะเลาะกันละก็..บ้านจะแตกตาย..!
แล้ว work from home ถามว่าดีไหม ? ดี...ประหยัด จริง ๆ แล้วควรที่จะกำหนดให้ว่า อาทิตย์หนึ่งควรจะทำงานที่บ้านสัก ๒-๓ วัน ส่วนที่เหลือก็ไปทำงานที่บริษัท ไปทำงานที่ห้างร้านของตัวเองเพื่อแก้เบื่อ เบื่อบ้านอย่างน้อยก็หนีไปที่ทำงาน เบื่อที่ทำงานก็ได้กลับบ้าน อยู่ที่ทำงานถึงเวลาพักเที่ยง ชวนกันไปกินข้าวก็ "เมาท์" กันสนั่น มีความสุขมาก จะกินอะไรก็สั่ง แต่ถ้าอยู่บ้านนี่ ไม่ฝีมือตัวเองก็ฝีมือคุณภรรยา กินมาหลายปีแล้ว เริ่มเบื่อ ...(หัวเราะ)... บางคนคุณภรรยามีความสามารถสูงมาก ทอดไข่เจียวเป็นอย่างเดียว..! นี่ถ้าหากว่าไม่มี Grab หรือ Foodpanda นี่ตายแน่นอน..! เพราะฉะนั้น..ได้โปรดอย่าให้ถึงขนาดต้องทำงานที่บ้านตลอดทั้งอาทิตย์ กรุณาเถอะ..เปิดสำนักงานให้เขาไปทำบ้าง เพราะว่าหลายบ้านก็ไม่ได้เหมาะที่จะเป็นที่ทำงาน ลองนึกดูว่าถ้าหากว่าอยู่ในห้องแคบ ๆ เช่าเขาอยู่ เครื่องปรับอากาศก็ไม่มี ใครจะไปอยากทำงาน ? ไปสำนักงานเน็ตก็แรง คอมพิวเตอร์ก็จอใหญ่ เครื่องปรับอากาศก็เย็น ทุกวันนี้แทบจะกราบขอร้องเจ้านาย..ขอกลับไปทำงานเถอะ ...(หัวเราะ)... |
“ส่วนพวกที่บ้านมีรั้วรอบขอบชิด มีห้องปรับอากาศ ไม่มีความหนักใจในเรื่องของค่าน้ำค่าไฟ อยากจะทำอยู่กับบ้านก็เชิญ แต่กรุณาอย่าบังคับกัน เพราะว่าคนที่เขาไม่ถนัดทำงานที่บ้านเพราะสารพัดเหตุผล บางคนลูกเล็ก ๆ ถึงเวลาพ่อนั่งทำงาน แม่นั่งทำงานก็ตะกายขึ้นตัก ปีนหัวปีนหูไปเลย แล้วจะไปทำงานอีท่าไหน ก็ต้องเล่นกับลูกจนกว่าจะหมดแรงกันไปข้างหนึ่ง ถ้าลูกหมดแรงไปนอน พ่อแม่ก็แทบจะหมดแรงทำงานเหมือนกัน..!
ฉะนั้น..อะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง บางทีก็มองเห็นชัดในช่วงวิกฤตแบบนี้ ที่เรียกร้องประเภทถ้าไม่ต้องไปทำงานได้ หรือถ้าได้ทำงานจากบ้านจะดีมาก ตอนนี้โอกาสมีแล้ว แต่ขอโทษ...ไม่มีใครอยากทำ..! วิกฤตโควิดงวดนี้ทำให้คนทำงานเป็นเยอะขึ้น อย่างเช่นว่า แอร์โฮสเตสต้องไปทอดปาท่องโก๋ ส่วนตอนนี้ "นางฟ้าโบว์" ก็ต้องมาช่วยนับเหรียญ ...(หัวเราะ)...” |
พระอาจารย์กล่าวว่า “วันก่อนมีคนทำแล้วประสบความสำเร็จ ก็คือเย็บกระเป๋าสตางค์เป็นรูปซองกฐิน มีตราวัดมีอะไรด้วย เขาบอกว่าวันไหนรำคาญเพื่อน เขาจะถือกระเป๋าสตางค์อันนี้ไป เพื่อนจะไม่เข้าใกล้..เพราะว่ากลัวโดนแจกซองกฐิน..!”
|
พระอาจารย์กล่าวกับโยม “อันนี้ไม่ใช่ทอง...เป็นกระดาษเคลือบทอง อาตมารับไปหลายอันแล้ว ลองแกะออกมาดูสิ เป็นกระดาษทำเป็นรูปแท่งเงินหยวนเป่าของจีน เหมือนกับว่าตั้งใจให้เป็นของขวัญ ของฝาก ของที่ระลึกประมาณนั้น แต่ไม่ใช่ทองจริง ๆ เป็นกระดาษขึ้นรูปมา
โยมหลายคนก็ไม่รู้ ถึงเวลาก็ซื้อมาร่วมหล่อพระ แล้วก็หลายคนส่งกำไลทองคำมาเป็นกุรุสเลย ๘ วง ๑๐ วง ปรากฏว่าเป็นสเตนเลสชุบทอง หลอมอย่างไรก็ไม่ละลาย เพราะว่าสเตนเลสต้องใช้ความร้อนสูงกว่าทองคำมาก ของเราเองไม่ใช่ผู้ชำนาญ เพราะฉะนั้น..โอกาสผิดพลาดก็มีอยู่แล้ว ถือว่าความตั้งใจหล่อพระของเรานั้น ได้บุญไปตั้งแต่ตอนตั้งใจแล้ว” |
พระอาจารย์กล่าวว่า “ในเรื่องของการหล่อพระทำให้ได้เห็นว่า บางคนด้วยความอยากได้บุญอย่างเดียว ก็ไม่ได้ใช้ปัญญาพินิจพิจารณาอะไรเลย ทางวัดประกาศชัดเจนว่าหล่อพระทองคำ ก็ส่งแผ่นทองเหลืองไปเป็นกุรุส อาจจะคิดว่าคงเหมือนกับหลาย ๆ วัด ที่ถึงเวลาแล้วก็หล่อทองเหลือง แล้วก็เอาทองคำใส่ลงไปนิดหน่อย แต่ของวัดท่าขนุนเป็นทองคำแท้ทั้งองค์ เป็นเงินแท้ทั้งองค์ แต่โยมก็อุตส่าห์ส่งแผ่นทองเหลืองบ้าง แผ่นทองแดงบ้างไปให้ แล้วระบุชัดด้วยนะว่า ร่วมหล่อพระทองคำ เห็นแล้ว "น้ำตาจิไหล..!" ก็เลยไม่เข้าใจว่าโยมอยากได้บุญจนลืมพินิจพิจารณา หรือว่าโยมไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทองคำกับทองเหลืองต่างกันตรงไหน ?
อีกส่วนหนึ่งก็คือท่านที่โอนเงินร่วมทำบุญ โดยเฉพาะท่านที่โอนผ่าน QR code มีหลายท่านมีความสุขกับการได้ทำบุญ โอนทีละ ๑๑ สตางค์ ๓๓ สตางค์ โอนทุกวัน แต่คราวนี้ไม่รู้ว่าบัญชีของพระนี่เขาห้ามพลาด ต้องลงทุกบาททุกสตางค์ โยมก็ได้บุญมีความสุข ส่วนพระนั้นทุกข์ถนัด เพราะว่าต้องมาลงบัญชีของเขาทุกวัน บางวันเขามีความสุขมากก็โอนเช้าโอนเย็น เช้า ๑๑ สตางค์ บ่าย ๓๓ สตางค์ จะเป็นตัวเลขนี้ตลอด มีโอนสูงสุดอยู่ครั้งเดียวคือ ๓ บาท ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเขาติดใจอะไรกับเลขตัวนี้ ก็ไม่เป็นไร...โยมมีความสุข อาตมาก็จะยอมทนทุกข์ต่อไป..!” |
“ฉะนั้น..การทำบุญออนไลน์ไม่จำเป็นต้องใส่เศษสตางค์ เพราะว่าไม่ใช่การบูชาพระหรือว่าซื้อของ จะได้มีเศษสตางค์เพื่อให้ตรวจสอบได้ง่าย ถ้าเป็นไปได้ก็ลงเป็นเลขกลม ๆ ไปเลยก็คือ ๐ หรือไม่ก็ ๕ ถึงเวลารวมตัวเลขจะได้สะดวกหน่อย
ถ้าสมมติว่าโยมจะทำบุญ ๙๙ บาท โยมก็โอนทีละ ๑๐ บาทไปเรื่อย ๆ ก็ได้ เลข ๙ อาจจะสวยในความรู้สึกของโยม แต่ว่าคนคิดบัญชีจะเครียด พอถึงเวลาตัวเลขไม่ลงตัว ส่วนใหญ่อาตมาจะควักกระเป๋าตัวเองบวกเพิ่มเข้าไป แต่คราวนี้ถ้าหากว่าโอนผ่าน QR code จะเพิ่มไม่ได้ เพราะว่าสรรพากรเขาจะตรวจสอบตามยอดโอน ก็ต้องตรงไปตรงมา ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลงอย่างเช่น ๐.๑๑ บาท ๐.๓๓ บาท ถ้าโยมรู้ว่าวันหนึ่ง ๆ คนเขาโอนเงินเท่าไรแล้วจะช็อค คือบางคนก็โอน ๑ บาทไปเรื่อย ๆ บางคนก็โอน ๙ บาทไปเรื่อย ๆ บางคนก็โอน ๑๐๘ บาทไปเรื่อย ๆ แต่คราวนี้เลขครึ่ง ๆ กลาง ๆ จะเลขสวยขนาดไหนก็ตาม มาถึงพระทำบัญชีจะตายเอา เพราะว่าต้องลงทุกบาททุกสตางค์” |
ถาม : ดร.คนหนึ่งที่เคยวิเคราะห์ว่าปี ๕๔ น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ เยอะ แต่ปีนี้จะท่วมเยอะกว่า ?
ตอบ : นี่ก็ปลายฝนแล้ว จะพยายามจะท่วมแค่ไหนก็ไม่ได้มากหรอก ...(หัวเราะ)... คุณอย่าเพิ่งไปเชื่อเขาเสียหมด เราต้องดูความเป็นจริงด้วย นี่เดือนตุลาคมแล้ว ฝนสั่งฟ้าแล้ว |
พระอาจารย์กล่าวกับโยมคนหนึ่งที่กำลังบูชาวัตถุมงคล “โยมซื้อของเหมือนกับอาตมา ของแพงเราก็ซื้อน้อย ของถูกเราก็ซื้อมาก เพราะว่าวัตถุมงคลอาจารย์เดียวกันเสก ก็แปลว่าอานุภาพเหมือนกัน”
|
พระอาจารย์กล่าวว่า “คนสมัยก่อนทำงานสบาย ๆ จะว่าสบายก็ไม่ใช่นะ งานหนักมาก อย่างทำนาพอปลายเดือน ๕ ต้นเดือน ๖ ก็เริ่มไถ ไถแปร ไถคราด ตีตม หว่านข้าว ถ้าหากว่าเป็นนาดำก็หนักกว่าอีก ถอนกล้า ดำนา กว่าจะเสร็จก็กลางเดือน ๗ เดือน ๘ โน่น คราวนี้ก็ว่างสิ ต้องรออย่างเดียวก็คือรอข้าวตั้งท้อง รอข้าวแก่ รอเกี่ยว รอกันจนถึงเดือน ๑๒ รอไปเถอะ เวลาว่างเยอะ สมัยโน้นเขาก็เลยบวชกันในช่วงนั้น ก็คือช่วงเข้าพรรษา
พอทำนาเสร็จแล้ว จะไปเกี่ยวอีกทีก็เดือนอ้ายเดือนยี่โน่น เกี่ยวข้าวเสร็จ ฟาดข้าว นวดข้าว ขนข้าวขึ้นยุ้ง งานหมดอีก ก็เป็นตรุษเป็นสงกรานต์ สมัยนั้นทำอะไรก็ช้า อย่างเช่นขี่เกวียนอย่างนี้ สมัยนี้งานไม่ได้ยากขนาดนั้น รถราก็วิ่งดี ทำไมเวลาถึงไม่มี ? ฝากไว้ให้คิดว่าเอาเวลาไปไหนกันหมด ก้มหน้าแชตไลน์พักเดียวหมดไปหนึ่งชั่วโมง ว่าจะเดินห้างซื้อของสักชิ้น เผลอหน่อยเดียวเวลาหายไป ๓-๔ ชั่วโมงแล้ว” |
พระอาจารย์กล่าวว่า “เด็กนักเรียนชั้นมัธยมของโรงเรียนส่วนบุญโญปถัมภ์ จังหวัดลำพูน ทำโครงงานตักบาตรเติมบุญ ด้วยการติดจีพีเอสที่ฝาบาตร แล้วก็ให้ญาติโยมที่ใส่บาตรโหลดแอปฯ เอาไว้ จะได้รู้ว่าพระตอนนี้เดินบิณฑบาตถึงจุดไหนแล้ว ซึ่งก็เป็นความคิดที่ดี แต่ว่าทำให้ผู้ที่ใช้แอปพลิเคชั่นนี้ขาดความดีที่พึงจะได้ไปอย่างน่าเสียดาย
โดยปกติญาติโยมต้องไปรอพระเพื่อใส่บาตร กำลังใจที่จดจ่อมุ่งมั่นอยู่กับพระสงฆ์เป็นสังฆานุสติ จดจ่อมุ่งมั่นอยู่กับการจะใส่บาตรเป็นจาคานุสติ เท่ากับปฏิบัติในกรรมฐานใหญ่ ๒ กองพร้อมกัน ยิ่งรอนาน ยิ่งได้มาก แต่คราวนี้เมื่อใช้แอปพลิเคชั่นตักบาตรเติมบุญนี้เข้าไป เห็นว่าพระยังอยู่ไกล ก็ทำโน่นทำนี่ไปก่อน กำลังใจไม่ได้มุ่งมั่นเหมือนเดิม จึงขาดบุญใหญ่ที่จะพึงได้ไปอย่างน่าเสียดาย ดังนั้น...เราจะเห็นว่าเรื่องของเทคโนโลยีหรือว่าความก้าวหน้าทางโลก เป็นเรื่องที่เราปฏิเสธไม่ได้ แต่ว่าควรที่จะใช้เพื่อหนุนเสริมความดีของเราให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ไม่ใช่ใช้แล้วลดความดีของเราลงมา” |
“สิ่งที่เด็ก ๆ ทำนั้น ถือว่าเป็นแนวคิดที่ดีมาก แต่ถ้าดูจากสภาพความเป็นจริงแล้ว กลับกลายเป็นว่า ถ้าใครเอาไปใช้เพื่อความสะดวก ก็จะทำให้ตัวเองขาดกุศลใหญ่ในกองกรรมฐานทั้ง ๒ ดังที่กล่าวมา ก็ต้องบอกว่าเป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าความก้าวหน้านั้น กลับทำให้บุญกุศลของเราที่พึงได้ลดลง เพราะว่าการที่เราไปใส่บาตร ก็คือเราตั้งใจที่จะสร้างบุญกุศล แต่กลายเป็นว่าทำแบบนี้แล้วได้บุญนิดเดียว
ก็ต้องดูอีกครั้งหนึ่งว่า เรื่องของโครงการตักบาตรเติมบุญของนักเรียนมัธยมจากโรงเรียนส่วนบุญโญปถัมภ์ จังหวัดลำพูน จะไปได้ไกลแค่ไหน ยิ่งไปไกลมาก ความดีของคนก็ยิ่งลดลงมากไปด้วย” |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะนี้มีข่าวคราวเกี่ยวกับไฮโซในวงสังคมชั้นสูง เกี่ยวกับการเรียกร้องขอสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูกบ้าง ขอสิทธิ์ที่จะพบกับลูกบ้าง สารพัดเรื่องยุ่งไปหมด ส่วนนี้ถ้าพิจารณาแล้วจะเห็นชัดว่า ในเรื่องของศีลนั้นสำคัญมาก เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั่นก็คือ เกิดจากการที่ทำอะไรโดยขาดศีลธรรมจรรยา นึกอยากจะเปลี่ยนคู่ก็เปลี่ยน นึกอยากจะมีใหม่ก็มี
ในส่วนนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่าขาดสทารสันโดษ คือขาดความพอใจเฉพาะคู่ครองตนเอง เป็นเรื่องของบุคคลที่เสื่อมจากศีลธรรมอันดีงาม ต้องถือว่าน่าสงสารมาก เพราะว่ามีแต่จะพาตนเองให้ตกสู่อบายภูมิ เรื่องเหล่านี้จะไปรู้เห็นก็ตอนที่ตายแล้ว ซึ่งแก้ไขอะไรไม่ทัน เรื่องพวกนี้กลายเป็นข่าวดัง เมื่อกลายเป็นข่าวดัง บางทีเด็กรุ่นใหม่ก็อาจจะเห็นว่าเป็นแบบอย่างที่ควรทำตาม ก็จะทำให้เรื่องศีลธรรมจรรยาตกต่ำเสื่อมทรามจากจิตใจของเขา เพราะตัวเขาทำตัวเขาเอง กลายเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสขึ้นไปเรื่อย ๆ" |
"มนุษย์เราต่างจากสัตว์ เพราะว่ามีศีลธรรม คำว่า มนุษย์ มาจากคำว่า มนะ ที่แปลว่าจิตใจ อุสสะ ที่แปลว่าสูงส่ง ก็รวมกันกลายเป็น มนุสสะ ผู้มีใจสูง คนเราจะสูงได้ก็ด้วยศีลด้วยธรรม
ดังบาลีที่ว่า อาหารนิทฺทํภยเมถุนญฺจ สามญฺญเมตปฺปสุภีนรานํ อาหาร (อา-หา-ระ) ก็คืออาหาร คือการกิน นิทฺทํ คือการนอน ภย การหลบภัย การกลัวภัย เมถุน การเสพกาม สามญฺญ ปกติ ธรรมดา ปสุ ก็คือสัตว์ นรานํ คนทั้งหลาย เป็นเรื่องธรรมดาของคนและสัตว์ทั้งหลาย ธมฺโม หิ เตสํ อธิโก วิเสโส ธรรมเท่านั้นที่ทำให้ต่างกันออกไปได้ ธมฺเมน วีณา ปสุภิสมานา ธรรมเท่านั้นที่แยกมนุษย์ออกจากสัตว์ ฉะนั้น...ถ้าขาดหลักธรรม มนุษย์เราก็คือสัตว์ดี ๆ นี่เอง" |
"ในยุคสมัยนี้ที่นักเรียนเรียกร้องให้ยกเลิกวิชาศีลธรรมในโรงเรียน ต้องบอกว่าเกิดจากการที่ตนเองอยากจะทำอะไรชั่ว ๆ ตามใจของตัว แล้วก็ยังเกิดมีความละอายอยู่ในใจ ก็เลยขอร้องให้เลิกเสียก่อน เหมือนกับว่ายกเลิกกฎหมายนี้เถอะ จะได้ทำชั่วให้สะใจหน่อย ถ้าใครได้ยินได้ฟังแล้วเป็นลูกหลานของเรา ก็คง " น้ำตาจิไหล" ..!
เด็กเขาบอกว่ามดลูกเป็นของเขาเอง ควรมีสิทธิ์ที่จะจัดการเอง เพราะฉะนั้น...จะมีผัวจะทำแท้งก็เรื่องของเขา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับศีลกับธรรม หรือกับผู้ใหญ่เลย นี่คือความคิดของสัตว์ทั่วไป หาความเป็นมนุษย์ได้น้อยมาก เพราะว่าถ้าเป็นมนุษย์จะต้องมีมโนธรรมก็คือ สามัญสำนึกที่จะรู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว ทำชั่วก็รู้สึกผิด ต่อให้ไม่มีข้อห้ามก็จะรู้สึกผิด ทำดีก็รู้สึกปลื้มใจ ปีติ อิ่มใจ แต่นี่แสดงชัดว่าขาดสามัญสำนึกและมโนธรรมเป็นอย่างมาก ถ้าภาษาอังกฤษ เขาว่า No common sense. ว่าแรงไปไหม ? อาตมามีอะไรก็วิจารณ์ตรง ๆ ไม่เคยเห็นแก่หน้าค่าชื่อใคร" |
ถาม : เมื่อเช้าไปทำกฐิน บริษัทเป็นเจ้าภาพ ตอนช่วงถวายผ้าไตร เขาก็ให้ผู้บริหารถวายก่อน แล้วพวกชาวบ้านไปร่วมถวายเป็นผ้าป่า อย่างนี้จะได้อานิสงส์กฐินไหมครับ ?
ตอบ : ผ้าป่าก็คือผ้าป่า ส่วนใหญ่แล้วโยมไม่เข้าใจกัน แม้กระทั่งทางวัดท่าขนุนก็ต้องบอกอยู่หลายปีกว่าที่จะเข้าใจ พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้เป็นพระวินัย คือศีลพระอย่างชัดเจนว่า ภิกษุที่จำพรรษาถ้วนไตรมาสในวัดนั้นถึงมีสิทธิ์ที่จะรับกฐิน และรับได้ครั้งเดียวเท่านั้น ในเมื่อรับครั้งเดียว ถ้ามีคนถวายซ้ำแล้วไปรับซ้ำก็คือรับครั้งที่สอง เขาก็เลยต้องเลี่ยงไปเป็นผ้าป่าแทน ของอาตมาจะไม่มีปัญหาตรงนี้ เพราะว่าเราจะไม่ให้มีเจ้าภาพหลัก ให้ทุกคนเป็นเจ้าภาพร่วมกัน ฉะนั้น...จะถวายมากถวายน้อย ถือว่าเป็นเจ้าภาพกฐินด้วยกัน แต่ถ้าหากว่าปิดยอดแล้ว ก็ไม่รับเพิ่มอีก ก็คือปิดยอดแล้วถือว่าเรารับการถวายกฐินไปแล้ว ก็จะไม่มีการรับซ้ำอีก ไม่ว่าจะมากหรือน้อย คราวนี้ก็มีหลายท่านประเภทใจเย็น เวลาเยอะ จนกระทั่งเขานับเงินเสร็จแล้วค่อยโผล่หัวมา แล้วก็บอกว่าร่วมกฐิน ก็บอกเขาว่าไม่รับแล้ว บางรายก็โกรธไปเลย ก็คือไม่อยู่ฟังคำชี้แจงว่าทำไมถึงไม่รับ อาตมาก็ปล่อยให้เขาโกรธต่อไป เพราะว่าบุคคลประเภทนี้ อาตมาก็ไม่ได้อยากให้เขามาวัดมากนักหรอก ถาม : เขาก็ถวายพร้อมกันในงาน แต่เหมือนกับว่าเขาให้ผู้บริหารถวายก่อน เอาของชาวบ้านกับคนที่มาร่วมไว้รอบที่สอง ? ตอบ : คราวหน้าถ้ารำคาญ ประเภทถวายหลายรอบ ก็ไปถวายที่วัดท่าขนุน..ทีเดียวจบ เร็วมากด้วย |
พระอาจารย์กล่าวเตือนโยม "อย่าเถรตรงมาก เจ้านายเขาไม่ชอบขี้หน้า ทำอะไรเกรงใจโลกบ้าง สมัยก่อนอาตมาก็เป็นแบบนี้แหละ แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าการที่จะอยู่ได้ดีกว่านั้นก็ได้ แต่ตอนนั้นดันไม่ทำ ก็คือไม่ตรงกับกำลังใจ ความจริงอยู่ได้ดีกว่านั้น แต่รู้สึกว่าจะชอบการที่มีชีวิตมัน ๆ"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในส่วนของการร่วมเป็นเจ้าภาพหล่อพระ ไม่ว่าจะเป็นพระเงินหรือพระทองคำ เป็นการสละสิ่งของที่มีค่ามาก เพื่อร่วมในการหล่อพระ คราวนี้สิ่งของที่ยิ่งมีค่าเท่าไร กำลังใจสละออกก็ยากเท่านั้น ถ้าใครสามารถสละออกได้โดยไม่มีความหนักใจเลย แปลว่าทานบารมีของท่านเต็มแล้ว เรื่องของความโลภไม่สามารถที่จะยึดครองใจของเราได้แล้ว
คราวนี้ก็ดูผลานิสงส์ของเราว่า สิ่งที่เราสละออกนั้น เขาเอาไปทำอะไร อย่างการสร้างพระพุทธรูป ท่านว่า พุทธะปูชา มหาเตชะวันโต การบูชาพระพุทธเจ้าจะมีเดชมีอำนาจมาก พูดง่าย ๆ คือเกิดกี่ชาติ ต้องเป็นใหญ่เหนือกว่าผู้อื่น ต่อให้เกิดเป็นสัตว์ก็ต้องเป็นจ่าฝูง เป็นจ่าโขลง ถ้าหากว่าเกิดเป็นคน ก็เป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ยิ่งถ้าหากว่าสร้างพระด้วยทองคำหรือเงิน อานิสงส์ก็จะยิ่งมาก เพราะว่ากำลังใจในการสละออกสูงกว่ามาก" |
"คราวนี้ในส่วนของวัดท่าขนุนนั้น ในเมื่อมีกำลังพอ ก็ทำเอาไว้ก่อน เพราะว่าของพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่าย ๆ อย่างเช่นสมัยก่อนการจะสร้างพระประธาน ส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ เป็นแม่ทัพนายกอง เป็นเจ้าภาพสร้างขึ้นมา สมัยนี้วิชาการมีความสะดวกคล่องตัว เงินทองมีความคล่องตัว ทำได้ง่ายขึ้น แต่ว่าถ้าสร้างด้วยเงินหรือทองคำ ก็ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะทำได้ เพราะว่ามูลค่าสูงมาก
ในเมื่อมีโอกาส อาตมาก็เลยทำ เพื่อที่ว่าอย่างน้อย ๆ จะได้ฝากเอาไว้ในพระพุทธศาสนา ถวายเป็นพุทธบูชา ธัมมบูชา สังฆบูชา ญาติโยมที่กราบไหว้บูชา ถ้าพลอยมีจิตยินดีและโมทนาด้วย ก็จะได้อานิสงส์ด้วยทุกครั้งไป การที่ญาติโยมร่วมเป็นเจ้าภาพ ก็ถือว่าเราเป็นผู้หนึ่งที่ได้สร้างพระทองคำหรือพระเงินองค์นั้น เพราะว่าถ้าไม่มีส่วนของเรา ก็จะขาดไป ไม่สมบูรณ์ ในเมื่อเราเติมเต็มส่วนที่ขาดให้สมบูรณ์ ถึงเวลาต้องการอะไร อยากได้อะไร ก็จะได้พร้อมสมบูรณ์ทุกอย่างเช่นกัน" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๑๔ ตุลาคม ในหลวง ร.๑๐ จะเสด็จพระราชทานพัดเปรียญธรรม ๙ ประโยค และเปรียญธรรม ๖ ประโยค ถ้าหากว่ามีการชุมนุมกัน ก็เกรงว่าอาจจะมีการขวางขบวนเสด็จได้ ซึ่งถ้าหากว่าผู้ชุมนุมมีสามัญสำนึก ก็คงจะไม่ทำเรื่องเช่นนั้น
คราวนี้การชุมนุมในปัจจุบันนั้น ผิดฝาผิดตัว ผิดที่ผิดเวลา คำว่าผิดฝาผิดตัว ผิดที่ผิดเวลา ก็อย่างเช่นในเรื่องของการที่จะเปลี่ยนแปลงให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องที่ยังไม่ใช่เวลาที่จะทำ บุคคลรุ่นของอาตมาก็ดี แก่กว่าก็ดี หรืออายุอ่อนกว่าสัก ๑๐ ปี ๒๐ ปีก็ตาม เรายังเห็นคุณความดีของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่ท่วมท้นล้นประมาณ ยังมีความเคารพในสถาบันพระมหากษัตริย์แน่นแฟ้นอยู่ เพราะฉะนั้น...สิ่งที่เสนอมา เมื่อผิดที่ผิดเวลา ก็ไม่สามารถที่จะเรียกแนวร่วมออกมาได้" |
"ประการที่สอง..ในสิ่งที่เรียกร้องนั้น ก็คือการเรียกร้องประชาธิปไตย แต่พอเรียกร้องไปแล้ว ใครไม่เห็นด้วย กลับเห็นเขาเป็นศัตรู อย่างเช่นว่าให้แบนโรงแรมแห่งนี้ อย่าไปใช้บริการ เพราะว่าเป็นศัตรู ลักษณะนี้เป็นการกระทำที่เป็นเผด็จการ แต่ตนเองกลับอ้างว่าเรียกร้องประชาธิปไตย กลายเป็นว่าประชาธิปไตยแบบไหน ก็คือประชาธิปไตยแบบว่าต้องเห็นด้วยกับกูเท่านั้น ถ้าไม่เห็นด้วยกับกูคือเป็นศัตรู ถ้าอย่างนี้ไม่ใช่แน่
ส่วนประการต่อไปก็คือ การปราศรัย ใช้คำพูดหยาบคายมาก การใช้คำพูดหยาบคาย เด็กรุ่นใหม่อาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่รุ่นของอาตมายังรู้สึกแรง เพราะว่ารุ่นของอาตมาโดนบังคับให้ท่อง "สมบัติผู้ดีมีข้อ กล่าวย่อพอยกหยิบอ้าง ภาคหนึ่งระวังท่าทาง รู้วางไว้ตัวชั่วดี ฯลฯ" โดนจนกระทั่งแทบจะต้องเอาหนังสือสมบัติผู้ดีมาต้มกิน..!" |
"ถ้าเราสังเกตดูจะเห็นว่า ผู้ที่อายุประมาณ ๓๐ ปีลงมาซึ่งเป็นเด็กรุ่นใหม่ พูดจาไม่มีหางเสียง แทบจะไม่มีคะ ไม่มีขา ไม่มีครับ แล้วก็มึงกูนี่ก็เป็นเรื่องปกติ คำหยาบคายอื่น ๆ ที่ด่าแล้วต้องเซ็นเซอร์ก็พูดกันติดปากเป็นปกติ แสดงออกถึงสภาพจิตที่หยาบ ขาดการอบรม อย่างที่รุ่นของอาตมาเขาบอกว่า สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล
ในเมื่อคุณหยาบคาย รุนแรง คนที่เขารักประชาธิปไตยอยากจะไปร่วมด้วยก็กลัว กลัวว่าตัวเองจะพลอยแปดเปื้อนไปด้วยประมาณนั้น ก็เลยทำให้ "เรียกแขก" ไม่ได้เท่าที่ตนเองนึก ในเมื่อวิเคราะห์จากเหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้ว่า มาผิดฝาผิดตัว ผิดที่ ผิดเวลา เพราะฉะนั้น..การเรียกร้องไม่น่าจะสำเร็จ ยกเว้นอย่างเดียวว่ารัฐบาลไปเติมฟืนเติมไฟให้เท่านั้น ซึ่งระยะหลัง ๆ นี่ พวกโง่แล้วขยันชอบเอาใจเจ้านายมีเยอะ ถ้าทำผิดแม้แต่นิดเดียว อาจจะพารัฐบาลพังได้ง่าย ๆ" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-๑๙ เรื่องหนึ่งที่เห็นชัดที่สุดก็คือ การเติบโตของการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ โดยเฉพาะอาหารการกินประจำวัน เพราะว่าแต่ละคนก็ระมัดระวัง ไม่ค่อยจะออกไปไหน สั่งอาหารมาส่งถึงบ้าน สั่งซื้อข้าวของ ส่วนที่ทำให้เรื่องทั้งหลายเหล่านี้สำเร็จก็คือ การส่งสินค้าให้ถึงมือลูกค้า
ฉะนั้น..ทุกวันนี้พวกกิจการขนส่ง ถ้าเป็นสมัยก่อนอะไรที่ชิ้นใหญ่แล้วไปรษณีย์ไม่รับ ก็จะส่งทาง รสพ. ย่อมาจากคำว่า องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ เป็นองค์การ รสพ.เลย ปัจจุบันนี้เรามีเอกชนมาทำเรื่องของการขนส่งจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น Kerry เป็น J&T และอย่างอื่นเยอะแยะมากมาย คราวนี้ก็เลยกลายเป็นว่า กิจการที่เจริญรุ่งเรืองก็คือการส่งสินค้า สินค้าชิ้นเล็กก็ใช้พนักงานที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์เพื่อความคล่องตัว ภาษาในวงการเรียกว่า ไลน์แมน สินค้าชิ้นใหญ่ก็ใช้รถกะบะประกอบตู้คอนเทนเนอร์ ขนส่งไปถึงจุดหมายปลายทางในเวลาอันรวดเร็ว ในเมื่อคู่แข่งมาก ก็สำคัญที่ตรงบริการ ใครจะส่งสินค้าถึงมือลูกค้าได้เร็วกว่า ส่งสินค้าถึงมือลูกค้าโดยไม่บุบสลายได้มากกว่า เดี๋ยวนี้เขามีระเบียบว่า ถ้าหากว่ารับสินค้าแล้วไม่แกะดูต่อหน้า ก็ต้องถ่ายคลิปวีดีโอระหว่างที่แกะสินค้า เพื่อป้องกันว่าสินค้าที่สั่งจะไม่ได้อย่างที่สั่ง ก็เลยกลายเป็นการแข่งขันกันทางการขนส่ง" |
"ประเทศจีนเริ่มมีบริษัทขนส่งสินค้าชิ้นเล็ก ตลอดจนข้าวปลาอาหารด้วยโดรน (อากาศยานไร้คนขับ) ตั้งคอมพิวเตอร์ไปส่ง คนรับก็แค่เปิดโทรศัพท์มือถือ เจ้าโดรนก็สแกนปั๊บ เพื่อยืนยันว่าส่งของให้แล้วตามเบอร์โทรศัพท์นี้ แล้วหักเงินจากแอปฯ วีแชทไปเลย
อนาคตของเราเรื่องการขนส่งจึงสำคัญมาก ๆ แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ทำอย่างไรให้ลูกค้าใช้บริการแล้วติดใจ คำว่าติดใจในที่นี้ก็คือ สะดวก คล่องตัว ราคาไม่แพง ส่งของถึงมือผู้รับได้เร็ว ก็ต้องไปคิดหาทางกันเอาเองว่า ของเราจะใช้มอเตอร์ไซค์ไปทุกตรอกซอกซอย ใช้รถกระบะวิ่งระหว่างจังหวัด ใช้รถคอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่วิ่งหลาย ๆ จังหวัด หรือว่าจะใช้อากาศยานไร้คนขับแบบประเทศจีน กิจการต่าง ๆ ในปัจจุบันนี้ ไม่ว่าการซื้อขายจะสะดวกแค่ไหนก็ตาม สิ่งที่สำคัญก็คือต้องส่งถึงมือลูกค้าโดยไม่บุบสลายและถึงในเวลาอันรวดเร็ว ถ้าใครสามารถทำได้ ลูกค้าติดใจในบริการ ไม่มีปัญหาจุกจิกกวนใจ ก็จะได้ส่วนแบ่งการตลาดไปค่อนข้างมาก" |
"อาตมาเป็นพระ นั่งอยู่วงนอก ดูญาติโยมทำมาหากินกันฝุ่นตลบ แล้วก็มอง ๆ เออ...เรื่องของการขนส่งเดี๋ยวนี้สำคัญจริง ๆ โดยเฉพาะบริการส่งถึงที่ ส่งถึงบ้าน ที่เขาเรียกว่า เดลิเวอรี่ ซึ่งปัจจุบันนี้ทางด้านทองผาภูมิสะดวกมาก ต้องการอะไร โทรสั่งร้านเซเว่นฯ ไม่กี่นาทีมาถึงวัดแล้ว ส่งให้ถึงที่เลย
นี่ก็คือลักษณะของการพลิกวิกฤติเป็นโอกาส คนไม่ออกจากบ้านไม่ว่า เราก็วิ่งไปหาคนเอง ต้องบอกว่าผู้จัดการเขามีวิสัยทัศน์มาก แล้วก็ช่วยให้คนได้งานเพิ่มขึ้นเยอะ เพราะว่าพนักงานประจำร้านอย่างไรก็ไม่พอ ก็ต้องหาพนักงานส่งสินค้าเพิ่มขึ้นมา" |
ถาม : เมื่อไรจะพ้นเรื่องโควิดคะ ?
ตอบ : อีกนาน...โยมลองคิดดูว่าปัจจุบันนี้โรคเอดส์ยังเต็มประเทศไทยเลย แล้วทำไมเราไม่รู้สึกรู้สากับโรคเอดส์เลย ? พอรู้วิธีป้องกันแล้ว ก็ไม่มีอะไรน่ากลัว โควิดก็เหมือนกัน จะไปไหนก็ใส่หน้ากาก รักษาระยะห่าง ล้างมือบ่อย ๆ ในเมื่อทำเคยชินแล้ว โควิดก็ไม่มีอะไรน่ากลัว ถาม : ไม่น่ากลัวแต่ว่าทำให้เศรษฐกิจแย่ ? ตอบ : ความรู้สึกที่ทำให้เศรษฐกิจแย่ ไม่น่าจะใช่โควิดนะ น่าจะมาจากรัฐบาลมากกว่า..! ถาม : ไม่มีการท่องเที่ยว ไม่มีการเดินทาง ? ตอบ : อันนั้นเป็นหน้าที่รัฐบาลเขาแก้ไข เราก็เอาใจช่วยอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ ก็พอ อาตมาเองตอนนี้ก็ช่วยชาวบ้านทำมาหากิน จัดแพ็คเกจ "บวรออนทัวร์" มีการท่องเที่ยวทางสถานที่ ทางวัฒนธรรม ทางธรรมชาติ คุณจะเลือกโปรแกรมไหน ถึงเวลาคณะเล็กราคาเท่าไร คณะใหญ่ราคาเท่าไร เสร็จแล้วก็เปิดเพจให้เขาจองทัวร์กัน คนเดียวก็รับ สี่ห้าสิบคนก็รับ เพราะว่าชาวบ้านทุกคนรู้ว่าต่อให้มาคนเดียว เขาก็ต้องกินต้องนอน เราก็มีการติดต่อโฮมสเตย์ มีรีสอร์ต มีโรงแรม ถ้าคณะเล็กจะพักที่ไหน คณะกลางจะพักที่ไหน คณะใหญ่จะพักที่ไหน มีการติดต่อร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านขนม ร้านของฝาก ถึงเวลานักท่องเที่ยวมา ประเภทนี้ใครจะรับ ก็ส่งไปเขาก็ดูแลให้ ตั้งคณะกรรมการกันอย่างเป็นทางการ |
ฉะนั้น...ถ้าหากว่ามีหัวคิด รู้จักทำมาหากิน ไม่อยู่เฉย อย่างไรก็ไม่ยากหรอก ของเราถึงเวลาก็มี อสม. มีเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลคอยตรวจคัดกรอง ในเมื่อความปลอดภัยก็มี แพ็คเกจทัวร์ก็น่าสนใจ คนเขาก็จองกันเอง
ของเราคณะกรรมการมีกระทั่งผู้กำกับสถานีตำรวจ เพื่ออะไร ? จะได้ส่งตำรวจมาช่วยดูแลความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยว ทองผาภูมิเป็นเมืองท่องเที่ยว สิ่งที่คนกรุงเทพฯ ขาดคือธรรมชาติ ของเรามีเพียบ แค่ขึ้นไปไหว้รอยพระพุทธบาทวัดท่าขนุน คุณได้ทะเลหมอกแถมไปทั้งอำเภอเลย เพราะฉะนั้น..ระยะหลังนี้คนไม่ค่อยจะไปไหว้พระหรอก จะไปดูทะเลหมอก น่าตีให้ตาย..! วัตถุประสงค์เริ่มเปลี่ยนแปลง บางคนเขาขอขึ้นไปกางเต็นท์ บอกว่าไม่ได้ พื้นที่อยู่นอกเขตวัด เราไม่สามารถประกันความปลอดภัยให้คุณได้ ขอให้อยู่ในที่พัก ถึงเวลาตีห้าครึ่งพระทำวัตรเสร็จ แล้วค่อยเริ่มเดินขึ้นกัน จะไปสว่างข้างบนพอดี มิจฉาชีพกลัวเสียงดังกับกลัวแสงสว่าง อย่างอื่นไม่กลัว เราจะเห็นว่าถึงเวลาสัญญาณภัยจะเสียงดัง แล้วก็มีประเภทไฟออโต้ไลท์ ถึงเวลาสัญญาณภัยดัง ไฟติดเลย ต้องดูแลเขาให้ดี เพราะว่าถ้าพลาดอะไรแม้แต่อย่างเดียว เขาไปพูดต่อกัน เราก็บรรลัย..ไม่เหลืออะไรแล้ว |
ถาม : แล้วที่รีสอร์ตที่ใกล้วัด ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วรายการ "บวรออนทัวร์" เลือกเอาในรัศมี ๔ กิโลเมตร เพราะว่าเรารับนักท่องเที่ยวด้วย "รถซาเล้ง" เอานักท่องเที่ยวไปนั่ง "รถซาเล้ง" คันละ ๓ คน สนุกสนานเฮฮา จะมีรถติดป้าย "บวรออนทัวร์ ชุมชนคุณธรรมต้นแบบวัดท่าขนุน" เหตุที่จำกัดแค่ ๔ กิโลเมตร เพราะว่า "รถซาเล้ง" ไปไกลไม่ไหว แหล่งท่องเที่ยวข้างเคียง ถ้าคุณอยากจะไป เราจะแนะนำให้ว่าควรใช้พาหนะอะไร อย่างเช่นจะไปสะพานมอญ จะไปพุน้ำร้อนหินดาด จะไปเขื่อนวชิราลงกรณ ก็เท่ากับว่าแบ่งปันกันเรื่องผลประโยชน์ ร้านอาหารก็ได้ ที่พักก็ได้ ของที่ระลึกก็ได้ ยานพาหนะก็ได้ ส่วนวัดได้อะไร ? วัดได้ชื่อเสียง |
พระอาจารย์กล่าวว่า "บรรยากาศเมืองไทย เริ่มจะคล้าย ๆ ยุโรปแล้ว ก็คือฝนกับหนาวมาพร้อมกัน ไปยุโรปหน้าฝนเขาแท้ ๆ แต่หนาวแทบตาย ตอนแรกอาตมาก็สงสัย ทำไมป้ายรถเมล์ยุโรปเขามีพลาสติกแข็งกั้นรอบ ? เจอลมเข้าไปหน่อยเดียว...ซาบซึ้งเลย ถ้าไม่กั้นก็หนาวตาย"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ยอดคนตายเพราะโควิดทั่วโลกรวมกัน เฉพาะยอดที่เขาแจ้งว่าตายเพราะโควิด หนึ่งล้านสามหมื่นกว่าศพ ทะลุล้านไปแล้ว..! คนติดโควิดทั่วโลก ยอดสะสมอยู่ที่ ๓๗ ล้านเศษ เป็นที่เหลือเชื่อว่าการแพทย์สมัยใหม่ที่ถือว่าสุดยอด คนกลับตายมากขนาดนี้ ต้องบอกว่าอะไรที่เป็นวาระกรรม ก็ต้องตายจนได้ ใครจะไปเชื่อว่าบรรดาฝรั่งที่เราเห็นว่าเจริญแล้ว เป็นผู้ฉลาด ดำเนินการเกี่ยวกับโควิดได้โง่สนิทเลย
ทุกวันนี้ฝรั่งมาดูงานที่ประเทศไทยเยอะแยะไปหมด โดยเฉพาะงาน อสม. (อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน) อย่างของวัดท่าขนุน เวลามีงาน อสม.ประจำหมู่บ้านมา ๑๖ คน ช่วยกันคัดกรอง ของฝรั่งเขาไม่มี คือพอสมัครเป็น อสม.แล้วก็จะมีการอบรม โดยเฉพาะเรื่องของการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเป็นอย่างน้อย ถ้าอาการหนักหนากว่านั้น ควรจะทำอย่างไร เขามีวิธีการหมด" |
"เป็นเรื่องเหลือเชื่อว่าโควิด-๑๙ อาละวาด ประเทศไทยได้รับการยกย่องจากองค์กรอนามัยโลกให้เป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่งทางการสาธารณสุขเป็นอันดับ ๑ ของโลก เพราะว่าของเรามีถึงระดับทุกหมู่บ้านก็คือ อสม. ฝรั่งเขาลงไปดูถึงพื้นที่ ลงไปสัมภาษณ์ ไปดูของจริงกันเลย แล้วก็ฟันธงให้ โดยเฉพาะความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของคนไทย ทุกซอกทุกมุมมีเจลล้างมือ ทุกคนใส่หน้ากากอนามัย เป็นสิ่งที่เราให้ความร่วมมือกับทางรัฐบาล
แล้วตอนนี้การวิเคราะห์อย่างหนึ่งที่ว่า คนไทยอยู่ในบ้านเราไม่มีอาการป่วย ก็เลยไม่ไปหาหมอตรวจเชื้อ แต่พอเดินทางไปต่างประเทศ ตรวจกี่คน ๆ เจอเชื้อหมด เขาคาดว่าเพราะพวกเราใส่หน้ากากอนามัย ก็เลยรับเชื้อไปในปริมาณน้อย ทำให้ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้านได้ทัน แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่เป็น ติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ พอไปต่างประเทศก็เสร็จหมด อยู่บ้านเราไม่รู้สึกรู้สาอะไร อยู่กันอย่างมีความสุข" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:07 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.