![]() |
ถาม : (ยารักษาโรคมะเร็งสูตรหลวงพ่อวัดท่าซุง)
ตอบ : ยาสูตรนี้ไม่ได้จำกัด ใช้ได้ผลทุกคน แต่ถ้าจะให้ได้ผลจริง ๆ ต้องไม่เกินระยะที่ ๒ ขณะเดียวกันต้องไม่ผ่าตัดมาก่อน เพราะว่าโบราณกับปัจจุบันนั้นต่างกัน อย่างโบราณเขารู้เรื่องธาตุของเรา อย่างเช่นว่าผู้หญิง ถ้าช่วงมีประจำเดือน ไม่ให้กินของเย็น แต่หมอสมัยใหม่เขาบอกว่าไม่เกี่ยวกัน เพราะว่าถ้าของเย็นทำให้เลือดแข็งตัวจริง คนที่อยู่ในพื้นที่ที่อากาศหนาวหิมะตกก็ตายหมดแล้ว เขาว่าอย่างนั้น ก็ในเมื่อของเขาเองไม่มีความรู้ เขาก็จะแนะนำแบบสมัยใหม่ ส่วนใหญ่ก็จะให้ผ่า แต่โบราณเขารู้ว่ามะเร็งเป็นกลุ่มก้อนเชื้อโรค ลักษณะเหมือนมดหรือผึ้ง ถ้าเราไปแหย่รังเขาเมื่อไร ก็จะอาละวาดกระจายไปทั่วตัวทันทีเลย แล้วก็มักจะตายในเวลาอันรวดเร็ว ฉะนั้น...ถ้าหากว่าใครเป็นจะมากจะน้อยอย่างไร ยาตัวนี้ไม่ได้มีอันตราย ลองกินดูได้ ถ้าบุญของเขายังดีอยู่ ก็น่าจะช่วยได้ เขาไม่ได้ห้าม กินไปเถอะ น่าเสียดายว่าคุณพ่ออยู่ไม่ได้นานขนาดนั้น ไปเจอหมอสมัยใหม่ กระทุ้งทีเดียวไปเลย กินยาสูตรหลวงพ่อวัดท่าซุง อยู่มาได้ ๑๐ ปี เจอหมอสมัยใหม่จิ้มทีเดียว ๑๐ วันตาย เมิ้ดคำสิเว่า...! (ไม่มีคำพูดเลย) |
โยมถวายพระเข้าพิพิธภัณฑ์ "พิพิธภัณฑ์ไม่ได้เก็บของพวกนี้ บอกเขาว่าถ้าตั้งใจเข้าพิพิธภัณฑ์ให้เอาคืนไปก่อน พิพิธภัณฑ์ใช้เป็นที่แสดงเครื่องรางของขลัง อย่างพวกตะกรุด ผ้ายันต์ พิสมร ลูกอมอะไรประมาณนั้น ไม่ใช่พระ เดี๋ยวจะแปลเจตนาเขาผิด เกิดโทษกับพระอีก"
|
ดุโยมที่กำลังโทรศัพท์บอกเพื่อน "บอกเขาว่า "เก็บแต่เครื่องราง ไม่ได้เก็บพระ" ไม่ใช่ว่า "ไม่เก็บพระแบบนี้" พูดอย่างหนึ่ง ความหมายเปลี่ยนไปเลย ถ้าไปบอกว่าไม่เก็บพระแบบนี้ ก็เหมือนกับไปดูถูกคนให้
สรุปว่าก็คือเรื่องดี ๆ พอไปพูดต่อก็เละเป็นโจ๊ก แต่ละอย่างพูดไม่ได้คิด คนเขาอุตส่าห์สละของรักของหวงมาให้ ดันไปบอกว่าไม่เก็บพระแบบนี้ คือพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุนไม่ได้ตั้งแสดงพระเครื่อง แต่ตั้งแสดงเครื่องรางของขลัง คนละเรื่องกัน คนละวัตถุประสงค์กัน คนละแบบกัน" |
ถาม : ถ้าเราทำบุญให้คนที่ฆ่าตัวตาย เขาจะได้รับไหมคะ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่าเขาอยู่ในที่ที่โมทนาได้ไหม ? ถ้าอยู่ในที่ที่โมทนาได้ ก็ได้รับ ถ้าอยู่ในที่ที่โมทนาไม่ได้ ก็ตัวใครตัวมัน ถาม : อันนี้เขาโมทนาได้ไหมคะ ? ตอบ : ไปถามเขาเองสิวะ..! |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการใช้คำพูด ต่างกันนิดเดียว มีผลต่างมหาศาล แบบเดียวกัน ถ้าไปวัดเจอสามเณร “เณร...หลวงพ่ออยู่ไหม ? ผมมาขอกราบหลวงพ่อหน่อย” เณรก็ “หลวงพ่อนอนพักอยู่ครับ” เป็นอันว่าจบกัน
ไปเจออีกรูปหนึ่ง “เณร..หลวงพ่ออยู่ไหม ? ผมขอมากราบหลวงพ่อหน่อย” “อ๋อ...หลวงพ่อท่านทำงานอยู่ครับ เดี๋ยวผมไปดูให้ก่อน ถ้าหลวงพ่อท่านสะดวก จะได้นิมนต์ให้ท่านออกมารับ” จริง ๆ แล้วหลวงพ่อก็นอนเหมือนกันนั่นแหละ แต่ทำไมเณร ๒ รูปพูดแล้วกลายเป็นคนละเรื่องกันเลย ? ที่รูปแรกว่ามาภาพพจน์ก็คือ หลวงพ่อฉันเช้าแล้วเอน ฉันเพลแล้วนอน ตอนบ่ายพักผ่อน ตอนค่ำจำวัด อีกรูปหนึ่งพูดเรื่องเดียวกัน ภาพพจน์กลายเป็นหลวงพ่อขยันเป็นบ้าเป็นหลัง ทำแต่งาน ต้องไปดูก่อนว่าหลวงพ่อว่างไหม ? ถ้าเป็นพวกเรา สามเณร ๒ รูปนี้ ควรจะให้รางวัลใคร ? เพราะฉะนั้น..การใช้คำพูดต่างกันนิดเดียว ผลต่างกันมหาศาลจะเกิดขึ้น ในเมื่อผลต่างเกิดขึ้นขนาดนี้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องระมัดระวัง" |
"โยมเอาหมามาปล่อยวัดมาก หลวงพ่อเจ้าอาวาสสั่งให้พระท่านไปติดป้าย อย่าให้คนมาปล่อยหมา พระรูปแรกไปถึงก็สั่งป้ายไวนิลขนาด ๓ คูณ ๘ เมตร ติดยาวยืด "ผู้ใดนำหมามาปล่อยวัด จะต้องพลัดพรากจากครอบครัวตลอด ๕๐๐ ชาติ..!" โห...น่ากลัว หลวงพ่อไปเห็นสั่งให้รีบเปลี่ยนเลย ๆ ให้อีกรูปหนึ่งไปจัดการ
ท่านนั้นไปถึง ป้ายไม่ใหญ่หรอก ประมาณ ๑.๕๐ คูณ ๑.๕๐ เมตร มีรูปการ์ตูนด้วย เขียนกลอนไป ๑ บท "วัดนี้มีมากแล้วทั้งแมวหมา โยมไม่ต้องจัดหามาถวาย ที่ต้องการคืออิฐหินและดินทราย ปูนก็ได้ไม้ก็ดีสีก็เอา" นอกจากเขาไม่ปล่อยหมาแล้ว ยังได้ของมาก่อสร้างอีก เรื่องเดียวกัน คนจัดการไม่เหมือนกัน ผลจะต่างกันมาก" |
ถาม : เพื่อนนั่งกรรมฐานแล้วตัวลอยออกมา ก็ถามว่าจะพาไปที่ไหนต่อ แกย้อนกลับเข้ามาในตัวสองรอบ ?
ตอบ : ไม่ต้องทำอะไร ออกไปแล้วอยากไปไหน กราบขอให้พระท่านช่วยพาไปที แล้วไม่ต้องห่วงว่าจะกลับไม่ได้ เพราะว่าอย่างไรก็กลับ การที่เราหลุดออกไปได้ จะทำให้เรารู้จริง ๆ ว่า เรารักเราห่วงร่างกายนี้แค่ไหน มีอะไรก็อกแก็กนิดหน่อย เป็นกลับทันที บางทีกำลังคุยกับพระ คุยกับเทวดาเพลิน ๆ พรวดลงมาเลย เพราะฉะนั้น...ใครกลัวไปแล้วกลับไม่ได้ ให้เลิกกลัวได้แล้ว ไม่มีทางหรอกที่จะกลับไม่ได้ มีแต่จะกลับท่าเดียว หลุดออกไปได้แล้ว ตั้งใจกราบขอบารมีพระ อยากจะไปไหนให้ท่านช่วยสงเคราะห์พาไปที่นั่น |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครจะจองวัตถุมงคลในเว็บให้ลงไปรับที่ชั้นล่างของบ้านนี้ ใครจะจองตะกรุดพยัคฆราชเกราะเพชรเพิ่มก็ลงไปจ่ายเงินที่ชั้นล่าง จองตรงนี้ปลอดภัย ไม่โดนใบแดง ใครที่จองแบบที่ ๑ เอาไว้แล้วพิมพ์ผิด ไปพิมพ์จองทีหลังไม่ทัน นั่งน้ำตาเล็ดเลย ต้องบอกว่าขาดความรอบคอบ หรือไม่ก็ตกภาษาไทย..!
สมัยนี้นอกจากตกภาษาไทยแล้ว ยังเผยแพร่ภาษาไทยผิด ๆ อีกด้วย ระยะหลังหนังสือที่ขายดี ๆ ก็คือพวกวรรณกรรมต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน คนเขาแปลมาไม่น่าจะตกภาษาไทย แต่ใช้ภาษาไทยผิด เพราะว่าความเข้าใจผิด อย่างเช่นเขาแปลว่า "หามิได้เป็นเช่นนั้น" จะหามิได้ไปทำอะไรวะ ? ที่ถูกคือ "มิได้เป็นเช่นนั้น" หามิได้เป็นเช่นนั้น ก็ไม่ได้เป็นนะสิ..!" |
"หรือไม่ก็ "ไฉนเลยจะเป็นเช่นนั้น" ทำไมต้องไฉนด้วย ? "ไหนเลย" ไม่ได้ใช่ไหม ? "ใบไม้หนาชุก" เกิดมาก็เพิ่งเคยได้ยิน ใบไม้หนาชุก เจอแต่ฝนตกชุก หรือไม่ก็แทนพระเจ้าแผ่นดินว่า "ฝ่าบาท" ฝ่าบาทเสด็จไปโน่น ฝ่าบาทเสด็จไปนี่ ฝ่าบาทเป็นคำเรียก ก็คือเป็นสรรพนามที่ผู้อื่นเรียก ไม่ใช่เอามาเป็นประธาน จะเป็นฮ่องเต้ก็ฮ่องเต้ องค์จักรพรรดิก็องค์จักรพรรดิ นี่ใช้ฝ่าบาทไปหมด ถ้าอยู่ใกล้อาตมาก็จะช่วยแจก "ฝ่าบาท" ให้..!
หลายอย่างพอแปลออกมา ถ้าพูดกันถูก ๆ ก็คือไม่เป็นสับปะรด ทำให้รสชาติของวรรณกรรมเสียหายไปเยอะ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วเผยแพร่ในสื่อโซเชียล ทำให้ไปเร็ว แล้วก็ทำให้คนจำผิด ๆ แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังมีการใช้ภาษาอุบาทว์ ๆ ในการ "แชต" อยู่เหมือนเดิม จะว่าไปแล้วพวกนี้เก่งมาก สามารถคิดภาษาที่สื่อได้ใกล้เคียงความจริงมาก แต่ต่างคนต่างแสดงออกว่าใครจะพิมพ์ออกมาได้ทุเรศกว่ากัน..!" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้โยมมาเยอะ แต่ไม่มีพระมาช่วยฉันเพล เมื่อวานยังมีพระมาช่วยเกือบ ๑๐ รูป กลางวันนี้อาตมารับเละคนเดียว
ช่วงที่ไปภูเก็ตกับสตูลมา เป็นอะไรที่สาหัสมา อย่างที่สตูล..ญาติโยมหิ้วปิ่นโตมา ๑๗ - ๑๘ เถา เถาหนึ่งใส่มา ๕ ชั้น อาตมาตักชั้นละช้อน ลองคิดดู...ชั้นละช้อนเถาหนึ่งก็ ๕ ช้อน ๑๘ เถาก็ ๙๐ ช้อน..! คนเรากินเต็มที่ได้ไม่เกิน ๓๐ ช้อน แล้วนั่นคือเฉพาะในปิ่นโต ส่วนที่ใส่ถ้วยใส่จานอยู่ข้างหน้าอีกเป็นร้อย ไปอยู่แถวนั้น ๓ วัน เกือบตาย..อาหารเยอะจัด" |
"ไปนึกถึงตอนไปอยู่ทองผาภูมิใหม่ ๆ ปีแรก ปี ๒๕๓๖ ก็มีบ้านมอญ อยู่ทางด้านทิศตะวันออก ๒๐ กว่าหลัง อยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ๑๙ หลัง ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็ศรัทธามาทำบุญ มากันทั้งหมู่บ้าน บ้านหลังหนึ่งก็ปิ่นโตเถาหนึ่ง สรุปว่าปิ่นโตเกือบ ๔๐ เถา อาตมาตักอย่างละช้อน บาตรเบอร์ ๘ ครึ่งเกือบเต็มบาตร
ปรากฏว่าทำบุญอยู่ประมาณ ๔ - ๕ วันพระ แล้วก็หายไปหมด เจอหน้าถามว่าทำไมไม่ไปทำบุญ ? เขาบอกว่าอาจารย์ฉันของเขาไม่ได้ เขาเลยไม่อยากไปทำบุญ ปิ่นโตเกือบ ๕๐ เถา ใจคอจะให้กินให้หมด..! บางเรื่องเขาไม่ได้ดู มีแต่ศรัทธาแต่ปัญญาไม่พอ เห็นแล้วก็สงสาร เพราะว่ายังต้องเกิดอีกนาน บุคคลที่จะพ้นตายพ้นเกิดได้ ต้องถึงพร้อมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ใครโดนปีชงบ้าง ? เรื่องของปีชง จะว่าไปแล้วขึ้นอยู่กับเรา ถ้าเราเชื่อก็จะมีผลมาก เพราะว่ากำลังใจของเราไปย้ำแล้วย้ำอีกว่า "ไม่ดี ๆ ๆ" กลายเป็นแช่งตัวเอง ก็คือส่วนของมโนมยา สำเร็จด้วยใจ เท่ากับเราแช่งตัวเองว่าไม่ดี ก็เลยทำให้ไม่ดีจริง ๆ เพราะฉะนั้น...ถ้าเรารู้สึกว่าอะไร ๆ ก็ดีหมด เรื่องอื่นก็จะไม่มีปัญหา"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในการหล่อพระทองคำวัดท่าขนุนต้องรอท่านอาจารย์สุชาติปั้นแบบ เนื่องจากว่าท่านไปปั้นแบบสมเด็จองค์ปฐมปางพระนิพพานขนาดใหญ่มหึมา ให้กับทางวัดพุทธพรหมยานของท่านอาจารย์เอกลักษณ์ ก็เลยทำให้งานของวัดท่าขนุนช้าลงไปหน่อยหนึ่ง แต่ว่าดี...ดีตรงที่ว่ายิ่งช้าเท่าไร ญาติโยมที่ถวายเงินทองมา ก็ยิ่งมีเวลาทำบุญมากขึ้น ขณะเดียวกันอาตมาก็จะได้ซื้อทองคำน้อยลง เพราะว่าโยมได้ทำบุญมากขึ้น"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "บางคนแปลกใจว่าอาตมาเคร่งครัดกับเวลามากไปไหม เพราะว่าคนมาก ๆ ถ้าเราไม่ตรงเวลา งานจะเสียหมด ส่วนคนบางประเภท อาตมาเองตั้งใจลุกหนีเอง
เมื่อช่วงปีใหม่ มีโยมคนหนึ่งบอกว่าขออนุญาตกราบขอขมาพระรัตนตรัย อาตมาลุกหนีไปเลย เพราะว่ามามือเปล่า ตั้งใจจะขอขมาพระรัตนตรัย แม้แต่ดอกไม้ธูปเทียนก็ไม่มี ส่วนเขาจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ อาตมาไม่ได้ใส่ใจ คนเราถ้ากำลังใจหยาบขนาดนั้น ก็ไม่ควรที่จะไปสนใจมากนัก" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เขาว่ามงคลจากภาพ ๑๕ พระสงฆ์ จง เพิ่ม พูน คูณ รวย เฟื่อง ฟู ลาภ ผล เงิน ทอง ห้อม ล้อม โถม ทวี
เท่าที่อาตมารู้ยังอยู่ ๑ รูปแน่ ๆ ที่เหลือไม่ทราบเหมือนกันว่ามรณภาพกันหมดหรือยัง ? อ้อ...หลวงพ่อล้อมยังอยู่ เพิ่งไปพุทธาภิเษกมาด้วยกันที่วัดสี่แยกเจริญพร" |
พระอาจารย์กล่าวกับพ่อแม่เด็ก "เอาเจ้าหนูไปสะกิดไฝออก ที่อื่นดีหมด ตรงนั้นไม่ดีที่เดียว เดี๋ยวนี้หมอเขาจัดการง่าย ใช้เลเซอร์นิดเดียว ไฝอยู่ตรงร่องน้ำตาพอดี แล้วที่ใบหน้าแก้ง่ายด้วย เพราะว่าทั้งตัวของเรา มีเซลล์มหัศจรรย์อยู่ ๒ ที่ ที่หนึ่งคือตับ ตัดทิ้งไปครึ่งหนึ่ง ที่เหลือยังงอกใหม่ได้ อีกส่วนหนึ่งคือใบหน้า เซลล์จะซ่อมแซมตัวเองได้เร็วมาก ต่อให้ขยันแคะสิวขนาดไหน หน้าเป็นหลุมเป็นบ่อขนาดไหนก็ซ่อมตัวเองได้ แล้วบางทีก็ซ่อมจนเกินด้วย
โดยปกติเรื่องนี้อาตมาไม่ค่อยบอกใคร พอดีว่าเขาเป็นเด็กผู้หญิง เพราะฉะนั้น..เอาเสียหน่อย สะกิดออกสักนิด" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมท่านใดไม่รู้ว่าจะทำงานอะไร ก็ตระเวนไปตามวัด ไปเหมาย่ามพระที่มีท่วมทุกวัด แล้วก็ไปวางขายข้างร้านสะดวกซื้อ ไม่ต้องขายแพงหรอก พวกซื้อของไม่มีถุงพลาสติก เดี๋ยวเขาก็มาซื้อย่ามเอง อาตมาเองออกงานแต่ละปี ได้ย่าม ๒๐๐ - ๓๐๐ ใบ เพราะไม่ว่าจัดงานที่ไหนก็ตาม ส่วนใหญ่เขาจะปักย่ามชื่อเจ้าของงาน มีวัดท่าขนุนที่ไม่ทำ รับย่ามจนเบื่อแล้ว ไม่อยากเอาไปซ้ำเติมท่านอื่นเขา
แต่ถ้าหากไปศรีลังกา ไปอินเดีย เอาย่ามไปเยอะ ๆ สีแดงยิ่งดี ไม่ใช่เฉพาะพระ นักบวชศาสนาอื่นมาตามตื๊อขอเลย ไม่ให้ก็ขอซื้อ เขาบอกว่าย่ามไทยทำได้ประณีต ปักได้สวย โดยเฉพาะเขาชอบสีแดงกันมาก ฝีมือการทอผ้าต่างกันมาก ของอินเดียนี่เทียบกับเรา ผ้าเขาหยาบ พอเจอผ้าดี ๆ จากไทยไป แทบจะกระโดดกอดเลย อาตมาไปนี่ถ้ารู้ว่าต้องเข้าวัดเข้าวาของเขา หรือว่าเทวสถาน พกย่ามไปดีที่สุด ให้แทนค่าเข้าชมไปเลย" |
"ส่วนอาตมาถ้าไปแถวนั้น จะพกปากกาลูกลื่นไปเยอะ ๆ ถึงเวลาก็ให้เป็นรางวัล ใครทำอะไรให้ก็เอาไปหนึ่งอัน เขาอยากได้มาก คุณภาพดี หรือไม่ก็โน่นเลย...บะหมี่สำเร็จรูป เวลาพักตามโรงแรม พอพวกเขามาบริการแล้วให้ไปคนละซองสองซอง เขาดีใจกันแทบตาย ที่บ้านเขาเป็นของแพง ส่วนบ้านเรากินกันจนเบื่อ กินอาทิตย์ละ ๕ - ๖ วัน ถ้าใครเล่นหวยก็กินเกือบทั้งเดือน..!"
|
พระอาจารย์กล่าวกับพ่อแม่เด็ก "ให้หมอเขาตรวจดูว่ามีภาวะธาลัสซีเมียหรือเปล่า เพราะว่าเด็กเขาซีด บางคนพ่อไม่เป็น แม่ไม่เป็น แต่ปู่ย่าตาทวดมีเชื้อแฝงอยู่ ก็มาเกิดกับรุ่นหลัง ๆ
ทางด้านทองผาภูมิเป็นกันมาก โดยเฉพาะต่างด้าว อย่างพี่น้องมอญพม่า พอถึงเวลาซีดมาก ๆ ก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะทำงาน ต้องไปถ่ายเลือด ทางวัดท่าขนุนถึงเวลาก็จะได้รับเรียกตัวด่วน ขอเลือดกรุ๊ปบี เสนอกรุ๊ปบีมาเมื่อไรรู้เลย บรรดาพี่น้องต่างด้าวกำลังจะถ่ายเลือด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาส่วนใหญ่มีเลือดกรุ๊ปบีกันหมด ส่วนอาตมาแหกคอก ในบ้านมีเอ บี เอบี อาตมาหลุดไปโอ โด่เด่อยู่คนเดียว เกิดมาใจดี ใครขอก็ให้เขาได้หมด" |
ถาม : หนูพยายามรักษาศีล ๕ ให้ได้ แต่บางทีหน้าที่การงานทำให้ไม่สามารถรักษาได้ตลอด ?
ตอบ :ให้รักษาเป็นเวลา ตั้งแต่ก่อนออกจากบ้านจนไปถึงที่ทำงาน รักษาให้เคร่งครัดไว้ ในที่ทำงานเลี่ยงได้ก็เลี่ยง เลี่ยงไม่ได้แล้วค่อยยอมผิดศีล หลังจากนั้นตั้งแต่กลับจากที่ทำงานจนกระทั่งก่อนนอนต้องรักษาให้เคร่งครัดไว้ อย่างน้อยเราก็มีความดีอยู่ในตัวบ้าง ไม่ใช่ว่าผิดไปตลอด ๒๔ ชั่วโมง ให้ใช้วิธีนี้ |
ถาม : กลางคืนหนูไปดื่มเหล้ามา แล้วหนูไปสวดมนต์ต่อ ทำได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ทำได้ เพราะว่าตอนที่เราดื่มกับตอนที่เราสวดมนต์เป็นคนละวาระคนละเวลากัน เป็นต่างกรรมต่างวาระ ส่วนที่เราทำดีคือความดี ส่วนที่เราทำชั่วคือความชั่ว อย่าเอามาปนกัน เพราะฉะนั้น..ดื่มมากำลังกรึ่ม ๆ บางทีได้สวดมนต์แล้วรู้สึกดีมากเลย ไป..ไม่ได้มีอะไรน่าหนักใจเสียหน่อย |
คนใช้ของอนาถปิณฑิกเศรษฐีรักษาศีลได้แค่ครึ่งวัน ไปเกิดเป็นรุกขเทวดามีศักดานุภาพมาก นั่นตั้งใจรักษาชนิดตัวตายเลย เราอาจจะรักษาได้สักเช้า ๒ ชั่วโมง เย็น ๒ ชั่วโมง รวม ๆ กันเข้าเดี๋ยวก็ได้หลายวัน
ขอให้ตั้งใจทำจริง ๆ เท่านั้น ความดีจะสะสมตัวไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวพอถึงวาระ ก็รักษาได้ตลอดรอดฝั่งเอง คนเราถ้ากำลังความดีมีมากกว่า ก็จะไม่เกรงใจสังคมแล้ว เพียงแต่ว่าต้องดูอย่าให้โลกช้ำธรรมเสีย ถึงเวลาเราไม่กินแต่เพื่อนกิน ก็บอกว่า “ไม่ไหว..แพ้แอลกอฮอล์ หมอบอกว่ากินต่อตายแน่” "ไม่ไหว..เริ่มตับแข็งแล้ว หมอบอกว่ากินต่อตายแน่" สารพัดวิธีที่จะพูด ไม่ใช่ “ฉันรักษาศีล ไม่กินแล้ว” เขาก็มองหัวถึงตีน ตีนถึงหัว ๓ รอบเลย กลายเป็นสัตว์ประหลาดไป เวลารักษาศีล ๘ เพื่อนชวนกินอาหารหลังเที่ยง ก็บอก “ตอนนี้อ้วนแล้ว ขอลดน้ำหนักหน่อย ไปกินเองเถอะ จะให้ไปเป็นเพื่อนด้วยก็ได้ แต่ไม่กินด้วยนะ” พอเราไม่ไปนั่งกินด้วย เพื่อนเกรงใจก็เลิกชวนเราเอง |
พระพุทธเจ้าท่านสอนเราขึ้นด้วยปัญญา มรรค ๘ มีปัญญานำมาก่อน สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูก อะไรดีอะไรชั่วรู้อยู่ ต้องเป็นปัญญาถึงรู้ได้ สัมมาสังกัปปะ คิดถูก คิดจะออกจากกาม คิดจะละเว้นการทำชั่ว คิดจะรักษาศีล คิดจะไปพระนิพพาน
ในเมื่อขึ้นด้วยปัญญาก็ต้องใช้ปัญญา ใช้ให้เต็มที่ตามปัญญาที่เราพอมี พลิกแพลงอย่างไรจะให้ไปจนกระทั่งถึงระดับสูงสุด ก็คืออยู่ในโลกแต่ไม่เกาะยึดโลก ถ้าลักษณะอย่างนั้นจะเหมือนน้ำกลิ้งบนใบบัวบนใบบอน แต่ไม่ได้ติดอยู่กับใบบัวใบบอนเลย แรก ๆ เราก็ใช้ศีลเป็นกรอบ ตั้งใจทำความดี พอถึงเวลาต้องละเมิดศีลเราก็ไม่ไปด้วย ส่วนอื่นก็บ้าตามเขาได้ |
พูดถึงการใช้ตะกร้าแทนถุงพลาสติก “เดี๋ยวก็ปรับตัวกันได้เอง เป็นคุณแม่บ้านห้อยตะกร้าไป กลายเป็นนางลำหับ
เมื่อนั้น.....................................นวลนางลำหับพิสมัย ครั้นรุ่งรางส่างแสงอโณทัย................ทรามวัยแต่งตัวไม่มัวมอม สวมมะกล่ำกำไลสายสร้อย................ตุ้มหูพวงห้อยดอกไม้หอม หวีไม้ไผ่บรรจงเป็นวงค้อม.................ล้วนรายล้อมเหน็บประดับรับมวย แล้วจับจองคล้องไหล่ไว้เบื้องหลัง........ไม่รุงรังเข้าทีดูดีสวย ชวนไม้ไผ่ลีลาศนาดนวย...................รื่นรวยเข้าในดงพงพี ฯลฯ “จอง” คือตะกร้า เป็นภาษาซาไก สมัยนี้พวกเราก็เป็นนางลำหับสะพายตะกร้ากัน เด็กรุ่นหลังไม่ได้เรียนพระราชนิพนธ์เรื่องเงาะป่า เลยไม่รู้จักนางลำหับกันแล้ว” |
ถาม : เวลาเราทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลให้คนตาย แล้วมีคนมาค้านเรา บอกว่าทำอย่างนี้เดี๋ยวบุญเราก็หมดหรอก ไม่รู้จะทำอย่างไร ?
ตอบ : คนนั้นเขาไม่เข้าใจ จริง ๆ แล้วก็ไม่ต้องไปอธิบายหรอก แต่ถ้ารู้จริงก็เมตตาบอกเขาหน่อยว่า เรื่องของการอุทิศส่วนกุศลเหมือนกับเราก่อไฟขึ้นมา คือเราทำบุญ พอถึงเวลาอุทิศให้ผู้ตาย ก็เหมือนกับอนุญาตให้คนอื่นเขาต่อไฟไปใช้ ไฟของเราไม่ได้หายไปไหน แถมมีความสว่างเพิ่มขึ้นจากกองไฟคนอื่น เพราะว่าเราไปได้ตัวปัตติทานมัย คือกำลังใจในการแบ่งปันให้แก่คนอื่น ของเรานี่ได้สองต่อ คนอื่นเขามาต่อไปไฟเราก็ยังอยู่ แถมยังสว่างเพิ่มขึ้น เพราะของคนอื่นก็สว่างขึ้นมา สิ่งที่เราทำโดยยากแล้วยังอนุญาตให้คนอื่นเขา แบ่งปันให้คนอื่นเขา ก็ต้องประกอบไปด้วยจิตเมตตาอย่างสูง ก็เลยทำให้ผลบุญเพิ่มขึ้นมา เขาเรียกว่า ปัตติทานมัย การอุทิศส่วนกุศลให้แก่คนอื่น |
ถาม : การท่องคาถาเงินล้าน ระหว่างสวดในใจกับสวดออกเสียง อานิสงส์ต่างกันไหมคะ ?
ตอบ : ต่างกันมากเลย ถ้าสวดออกเสียงจะเหนื่อย..! จะมากจะน้อยอยู่ที่กำลังใจของเราว่าทรงตัวแค่ไหน บางคนสวดออกเสียงสมาธิทรงตัวน้อยก็ได้น้อย บางคนสวดออกเสียงสมาธิทรงตัวมากก็ได้มาก บางคนสวดในใจสมาธิทรงตัวมากก็ได้มากกว่า ตกลงว่าขึ้นอยู่กับเราเอง ไม่ได้อยู่กับใครเขาหรอก ถาม : ดิฉันควรจะปฏิบัติกรรมฐานกองไหนถึงจะเจริญก้าวหน้า ? ตอบ : อะไรที่ชอบก็อันนั้นแหละ ถาม : ชอบหลายอย่างเลยค่ะ ? ตอบ : ชอบหลายอย่างก็จับสลากเอา..! สิ่งที่เราชอบแปลว่าในอดีตมีพื้นฐานมาก่อน มาชาตินี้ก็มีวิสัยรักชอบของเดิมของตัวเอง เพราะเห็นว่าง่าย เห็นว่าสะดวก เห็นว่าดี ตัวเห็นว่าดีนั่นแหละที่บอกว่าเราทำตั้งแต่อดีตมาแล้ว ก็เลยทำให้เมื่อเราทำสิ่งนี้ เราก็จะได้ง่ายกว่าอันอื่น ดังนั้น..ชอบอันไหนทำอันนั้น |
คราวนี้ถ้าชอบหลายอย่างก็โน่นเลย..หลับหูหลับตาจิ้มเอาเลย แต่ว่าที่แน่ ๆ คืออย่าทิ้งลมหายใจเข้าออก ถ้าทิ้งเมื่อไรกรรมฐานกองไหนก็ไปไม่รอดทั้งนั้น
อาตมาเองสมัยก่อนก็..ทำไมกูชอบไปหมดเลยวะ ? สรุปว่าทำมาเยอะแล้ว จึงต้องตัดใจค่อย ๆ เริ่มไปทีละบททีละหมวด ..(หัวเราะ).. ด้วยความอยากมีฤทธิ์มีเดชก็เริ่มจากกสิณก่อน กสิณที่สามารถทำได้ง่ายที่สุด หาวัสดุง่ายที่สุดของเด็กต่างจังหวัดก็คือกสิณไฟ ต่อไปก็น้ำ ต่อไปก็ดิน ไล่ไปเรื่อย สนุกเป็นไอ้บ้าอยู่คนเดียว..! พอทำเสร็จก็มาเล่นอนุสติ ๑๐ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็คอยเป็นกำลังใจให้ พอถึงเวลาทำอนุสติครบ ๑๐ ทวนไปทวนมาจนมั่นใจ คือส่วนใหญ่อาตมาทำจะทำทั้งหมวด พอครบหมวดก็วิ่งไปรายงานท่าน “หลวงพ่อครับ ตอนนี้ผมสามารถทรงอนุสติ ๑๐ ได้อารมณ์เต็มสมบูรณ์ทุกกองภายใน ๓๐ นาทีครับ” ท่านบอกว่า “ใช้ไม่ได้ลูก สมัยหลวงพ่อทำ ๔๐ กอง ถ้าต้องใช้เวลาถึง ๒ นาทีถือว่าแย่มากแล้ว” ...(หัวเราะ)... |
ตอนนั้นไม่เข้าใจว่าหลวงพ่อหลอกหรือเปล่า ? อาตมาเองปล้ำแทบตายกว่าจะได้ ๑๐ กองภายใน ๓๐ นาทีนี่นานมากเลยนะ มาตอนหลังถึงได้เข้าใจว่า จริง ๆ แล้วที่อาตมาทำนั่นเกิดจากว่า เราไปไล่ ๑ ถึง ๑๐ แล้วก็ ๑ ถึง ๑๐ ใหม่ แต่หลวงพ่อท่านไม่มาขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างนี้ ท่านประเภท ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ จบเลย เร็วกว่ากันเยอะ ...(หัวเราะ)... คือทรงอารมณ์ตอนท้ายแล้วเปลี่ยนกองกรรมฐานแค่นั้นเอง
ตอนนั้นไม่มีความเข้าใจเลยยังทำไม่เป็น แต่ก็มั่นใจว่าครูบาอาจารย์ท่านทำมาแล้ว ท่านไม่หลอกเราแน่ แต่ว่าต้องมีเคล็ดลับอะไรที่เราไม่เข้าใจ แล้วอาตมาเป็นคนดื้อ ไม่ค่อยถาม คิดอยู่อย่างเดียวว่า ถ้าเราทำต้องได้คำตอบ แล้วก็ได้จริง ๆ เพียงแต่ว่าบางอย่างก็ต้องใช้เวลาถึง ๓-๔ ปี |
ถาม : สมมติว่าเราต้องการเจาะจงทำบุญอุทิศให้เทวดา ๒ องค์ จำเป็นต้องแยกการทำบุญ ๒ ครั้งไหมครับ หรือว่าสามารถรวมกันได้เลย ?
ตอบ : จะกี่องค์ก็ไม่ต้องแยก ยกเว้นว่าท่านขอมาเป็นการเฉพาะ อย่างเช่นว่าท่านหนึ่งขอสังฆทาน อีกท่านหนึ่งขอให้บวชพระ แต่ว่าหลังจากที่เราให้บุญสังฆทานท่านนี้ไปแล้ว หรือว่าให้บุญบวชพระกับท่านนี้ไปแล้ว ที่เหลือเราจะให้ใครก็ได้ คือถ้าท่านไม่เจาะจงทำแค่อย่างเดียวก็ได้ กี่ท่านเราก็ให้ไป ท่านที่เจาะจงมาถ้าไม่เกินวิสัยก็จัดการให้ท่านหน่อย ถ้าลำบากก็บอกท่านก่อนว่า “เดี๋ยวขออีก ๑๐ ล้านแล้วค่อยทำให้ อยากได้เร็ว ๆ ก็มาช่วยผมหาเงินหน่อย..!” ...(หัวเราะ)... |
ถาม : เดือนที่แล้วพระอาจารย์บอกว่าป่วยตอนสมัยสามก๊ก ไม่ทราบว่าอยู่ก๊กไหนครับ ?
ตอบ : ตอนนั้นยังไม่ได้อยู่ก๊กไหน ตอนนั้นยังเป็นนายบ้านอยู่ เสร็จแล้วทหารเขามาเกณฑ์ อาตมาไม่อยากให้ลูกบ้านไปลำบาก ก็บอกเขาว่า “จ่ายส่วยไปแล้ว เป็นข้าวเท่านั้นเท่านี้เกวียน แล้วทำไมถึงจะมาเกณฑ์กันอีก” ไอ้โน่นก็ไม่ฟัง บอกว่าเจ้านายสั่งมา..กูจะเอา ก็เลยฟัดกันหน่อย ...(หัวเราะ)... ตอนนั้นอายุไม่มาก ร่อนเร่ไปหาประสบการณ์ คราวนี้มีฝีมือ เขาก็เลยจ้างให้ดูแลหมู่บ้าน ลักษณะเหมือนกับเป็นนายบ้านหรือคนที่ทำหน้าที่คุ้มครองเขา ในเมื่อรับเงินเขามาก็ต้องแก้ปัญหาให้เขา ก็ตรงไปตรงมา |
จะว่าไปแล้วสมัยก่อนคอรัปชั่นเยอะมากเลย พอถึงเวลาไม่ยอมให้เขา เขาก็กลั่นแกล้งเอา บางทีเล่นเอาทหารทั้งกองมาฆ่าล้างหมู่บ้านไปเลย อ้างว่าเป็นกลุ่มที่ช่วยเหลือกบฎอย่างนี้ ก็เลยต้องหาคนที่มีฝีมือมาคอยคุ้มครอง ชาวบ้านเขาก็ประเภทมีข้าวแบ่งข้าว มีอาหารแบ่งอาหาร มีเงินทองพยายามรวบรวมมาแบ่งปันให้ เขาก็ไม่ได้หวังอะไรมากหรอก ก็แค่ขออยู่กินอย่างสงบหน่อยเท่านั้น
คราวนี้พอโดนบีบคั้นมาก ๆ ส่วนหนึ่งก็หนีเข้าป่าขึ้นเขา ในเมื่อเป็นคนดีไม่ได้ก็ตั้งกลุ่มเป็นโจรไปเลยหมดเรื่องหมดราว ...(หัวเราะ)... ดูแล้วสลดใจว่าทุกชาติมีแต่ความทุกข์ แล้วเราไม่ได้ทุกข์คนเดียว คนอื่นเขาก็ทุกข์ แล้วเราก็ต้องไปแบกความทุกข์แทนคนอื่นเขา |
พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของยศเรื่องของตำแหน่ง ในบาลีบอกชัดเจนว่า ยะโส ลัทธา นะ มัชเชยยะ บุคคลได้ยศแล้วไม่พึงเมา แต่ก็หาคนที่ทำจริง ๆ ได้น้อย หลวงปู่โหน่ง วัดคลองมะดัน ศิษย์พี่ของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ท่านเองมีน้าเป็นเจ้าคุณใหญ่ ๆ โต ๆ อยู่วัดโพธิ์ท่าเตียน ท่านเองท่านอยากปฏิบัติกรรมฐาน อุตส่าห์เดินทางมาหาน้า สมัยก่อนมายาก ต้องนั่งเรือเมล์มา กว่าจะผ่านประตูน้ำโพธิ์พระยา กว่าจะมาเข้าคลองงิ้วราย คลองมหาสวัสดิ์ กว่าจะมาถึงท่าช้าง
ไปหาหลวงน้าบอกว่า “อยากจะเจริญกรรมฐานหวังความพ้นทุกข์ หลวงน้าสอนผมได้ไหม ?” เป้าหมายท่านชัดเจนมาก หลวงน้าบอกว่า “โหน่งเอ๊ย...มาดูอะไรนี่” เปิดประตูกุฏิให้ดู หลวงพ่อโหน่งชะโงกหน้าเข้าไปดูเสร็จกราบ ๓ ครั้ง “ถ้าอย่างนั้นผมลากลับละครับ” หลวงน้าบอกว่า “เออ..ไปเถอะ ไปหาครูบาอาจารย์ที่เหมาะสม สิ่งที่เธอหวังฉันไม่สามารถที่จะช่วยได้” หลวงพ่อโหน่งก็กลับ" |
"ตอนหลังไปหาหลวงพ่อเนียม วัดน้อย ถึงได้ศึกษากรรมฐานจนกระทั่งกลายเป็นครูบาอาจารย์ใหญ่ดังคับบ้านคับเมือง ท่านบอกว่า ชะโงกหน้าเข้าไปในกุฏิ ถ้วยโถโอชาม โต๊ะหมู่มุก สารพัดสารเพเต็มกุฏิไปหมด คือหลวงน้าท่านบอกใบ้ให้รู้ว่า ท่านเองยังสะสมของขนาดนี้ ท่านไม่มีคุณความดีอะไรที่จะสอนหลวงพ่อโหน่งได้หรอก พูดง่าย ๆ ก็คือ ท่านยังแบกกิเลสอยู่เต็มตัว ทั้งยศตำแหน่ง ทั้งข้าวของเงินทอง
ต้องบอกว่าหลวงน้าเจ้าคุณของหลวงพ่อโหน่งท่านสุดยอดเลย ตัวเองทำไม่ได้ก็บอกชัดว่าทำไม่ได้ ไม่พยายามปั้นหน้าเป็นครูบาอาจารย์เขา แล้วท่านก็ไม่ได้พูดมาก เปิดกุฏิให้ดูเลย ...(หัวเราะ)... ถ้าเป็นอาตมาเปิดกุฏิให้ดู โยมก็คงหงายหลัง มีแต่กองขยะ..! ใครถวายข้าวของอะไรก็กองไว้อยู่ตรงนั้นแหละ ถ้าแม่ชียังไม่มาเก็บไป บางอย่างก็เน่าเสียไปเลย อาตมามีนิสัยแปลกมาก อะไรที่ไม่หามาเองจะไม่จำ ไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองมี บางทีญาติโยมหรือแม่ชีเข้าไป ทนดูไม่ได้ก็จัดการเก็บล้างกวาดสักที บางทีเขาก็เกรงใจบอกว่า “หลวงพ่อ...เก็บกุฏิสักหน่อย” อาตมาก็เก็บ ๆ ๆ เออ...เก็บแล้วดีใจได้เงินเยอะเลยเว้ย..! คือเขาถวายก็กองเอาไว้ ซุกไว้ตรงโน้นบ้างตรงนี้บ้าง ไม่ได้ไปดู ถึงเวลาไปเก็บรวบรวมมาทีเออ...ได้หลายหมื่นเลยว่ะ..! แบบนี้ต้องเก็บกุฏิบ่อย ๆ เก็บทีไรก็ได้เงินทุกครั้ง..!” |
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่กำลังจะถวายสังฆทาน “ยกมาเลย อย่าอธิษฐานนาน อธิษฐานนานเดี๋ยวรวยช้า ตุลิตะ ตุลิตัง สีฆะ สีฆัง ทำอะไรให้เร็ว ๆ ไว ๆ ถึงเวลาได้ก็จะได้ไว ๆ ไม่ใช่ได้บะหมี่สำเร็จรูปนะ..! ได้สิ่งที่ดีไว ๆ”
|
พระอาจารย์กล่าวกับผู้มาขอสะเดาะเคราะห์ว่า “เดี๋ยวเอาไว้มีเวลาจะทำวัตถุมงคลพลิกดวงชะตาให้ จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาสะเดาะเคราะห์กันทุกเดือน ๆ โบราณเขาให้ทำเป็นรูปผาลไถ รู้จักไหม ? ที่เขาใช้ไถนาไถไร่ เขาถือว่าผาลพลิกดินได้ ขนาดแม่ธรณียิ่งใหญ่ขนาดนั้นยังพลิกได้ เพราะฉะนั้น..ทุกอย่างพลิกได้หมด แม้แต่ดวงชะตาของเรา นี่เป็นเคล็ดลับ”
|
พระอาจารย์แกะซองทำบุญที่โยมถวายมา “อธิษฐานนานเกินไป คำอธิษฐานติดคาซองอยู่ ...(หัวเราะ)... ของบางอย่างไม่ได้อยากรู้ แต่พอจับหรือมองแล้วดันรู้ แต่อย่างเมื่อวานนี้เสียท่ามาก ไม่รู้ทำไมคนเต็มบ้านไปหมด ก็คิดว่าวันนี้วันเสาร์ปีใหม่คงจะมาทำบุญกัน ใครจะไปรู้ว่าเขานัดกันมา คือบางอย่างพอไม่ได้กำหนดใจก็ไม่รู้อะไรเลย โง่สนิทเหมือนกัน แล้วอาตมาเป็นคนไม่ค่อยสงสัยอะไรเสียด้วย ไอ้เรื่องที่ควรสงสัยก็สงสัยไปหมดแล้ว ...(หัวเราะ)...”
|
พระอาจารย์กล่าวว่า “สินธุเป็นภาษาไทย มาจากคำว่าสินธุที่แปลว่าน้ำ แต่ถ้าในภาษาสันสกฤต บาลี และอังกฤษ แม่น้ำสายนี้อนาถมาก Hindu Hindhu Indhu Endhu ก็คือแม่น้ำสินธุนั่นแหละ ...(หัวเราะ)... ส่วนแม่น้ำอิรวดีนั่น ทางพม่าเขาออกเสียงคนละอย่างกับเรา เขาออกเสียง “เอยะวะดี” แม่น้ำสาละวินออกเสียง “ตาละวิน” เพราะว่าเสียง ส พม่าจะเป็น ต ถ้าเสียง ต พม่าจะเป็น ส ตรงข้ามกันเลย
ส่วนฝรั่งเขาเขียนสินธุกลายเป็นอินดุส (Indus) คนอ่านไม่ถูกเป็นอินดัสก็มี อันเดียวกันนั่นแหละ” |
โยมสวมหน้ากากมาทำบุญ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า “คาดหน้ากากแบบนี้ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะว่าเชื้อโรคมาจากลมหายใจ ปิดปากแล้วเปิดจมูกก็แย่พอกันนั่นแหละ
อย่าไปกลัวมาก PM 2.5 นี่อาตมาเรียกว่าฝุ่นบ่ายสองครึ่ง..! PM คือเวลาบ่ายของฝรั่งเขา PM 2.5 ก็เลยเป็นฝุ่นบ่ายสองครึ่ง ถ้ากลัวอะไรจะตายหลายครั้ง ก็คือเวลากลัวจะทุกข์ทรมานเหมือนกับตาย ถ้าไม่กลัวก็ตายครั้งเดียว จบแล้วจบเลย ดังนั้น..ทุกวันนี้เราจะลำบากเพราะความคิดตัวเอง เป็นทุกข์เพราะความคิดตัวเอง พยายามคิดให้น้อย ๆ หน่อย จะได้ไม่แก่เร็ว ความจริงพวกเราก็ไม่ได้คิดมากนะ ส่วนใหญ่คิดคนเดียว ไม่มีใครมาช่วยเราคิดหรอก คิดคนเดียวเขาไม่เรียกว่าคิดมาก เขาเรียกว่าคิดน้อย ถ้าช่วยกันคิดเป็นหมู่เป็นคณะถึงจะคิดมาก” |
พระอาจารย์กล่าวว่า “เดี๋ยวนี้สายตาอาตมาเริ่มแย่ ถุงใส่ทองแท้ ๆ เห็นเป็นสมุดไดอารี่..! แบบเดียวกับหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ในหลวงรัชกาลที่ ๗ พระราชทานสัญญาบัตรพัดยศให้ เป็นพระครูวิหารกิจจานุการ หลวงปู่ท่านรับแล้วก็แห่กลับวัด ประกาศบอกชาวบ้านว่า “เดี๋ยวนี้ข้าเป็นพระครูแล้วนะ ต่อไปนี้ข้าเดินไม่หลีกใครแล้วละวะ จะร่องเริ่งหนามเหนิมพ่อเหยียบแหลกละ เพราะว่ามองไม่เห็น..!” คือแก่แล้วมองไม่ค่อยเห็น ...(หัวเราะ)... คนอื่นฟังไม่จบคิดว่าหลวงปู่จะเบ่ง
น่าเสียดายหลวงปู่ทำงานหนักมาก อายุยังน้อยอยู่ก็มรณภาพแล้ว จะเรียกว่าอายุน้อยก็ไม่ได้ อาตมาอายุ ๖๐ ปี หลวงปู่ท่านมรณภาพตอน ๖๒ เต็มขึ้น ๖๓ ปี” |
พระอาจารย์กล่าวว่า “ถ้าไม่ทิ้งภาวนาเรียนเก่งทุกคน ส่วนใหญ่ไม่ค่อยภาวนากัน พอสมาธิไม่ทรงตัวก็จำอะไรไม่ค่อยได้”
|
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:13 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.