![]() |
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันก่อนมีโยมกับเพื่อนพระรุ่นน้องบ่นเรื่องเหนื่อย พออาตมาส่งงานไปให้ดูแค่ ๓-๔ วัน เขาบอกว่า "โอ้โฮ...หลวงพ่อเอาแรงที่ไหนมาทำ ?" บอกไปว่า "คราวนี้รู้หรือยังว่าต่อไปนี้มีอะไรห้ามบ่นว่าเหนื่อย อายุเพิ่งจะแค่นั้นมาบ่นว่าเหนื่อย" ดูหลวงพ่อวัดท่าซุงอย่างหนึ่ง ท่านเองทำงานเช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้าทุกวัน ไม่ต้องพักไม่ต้องผ่อน เดี๋ยวไปโน่น เดี๋ยวไปนี่ เดี๋ยวไปนั่น สงเคราะห์ทั้งสิ่งที่มองเห็นและสิ่งที่มองไม่เห็น
ดูหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ๓ ทุ่มกว่า ๔ ทุ่ม กลับมามาทำวัตร ทำวัตรเสร็จสี่ทุ่มไปแล้วนึกว่าท่านจะนอน อายุ ๘๐ แล้วนะ ปรากฏว่าเดินตรวจลูกคณะทีละคณะ ท่านบอกว่า "ผมไม่ค่อยได้อยู่ ต้องไปให้กำลังใจเขาหน่อย" โอ้โฮ...ผู้นำนี่เหนื่อยไม่ได้ เพราะถ้าเหนื่อยเมื่อไรคนตามจะหมดกำลังใจ พอเห็นตัวอย่างเท่านั้น อาตมาเลิกเหนื่อยเลย อย่างไรก็ต้องทำ ครูบาอาจารย์ท่านทำให้ดูเป็นแบบอย่างแล้ว" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "Ratan Tata เขาบอกว่า จงกินอาหารเป็นยา ไม่เช่นนั้นคุณต้องกินยาเป็นอาหาร กินยาเป็นอาหารนี่ทารุณไปกระมัง ?"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่ญาติโยมที่มาทำบุญนั้นเน้นไปในเรื่องของทาน โดยเฉพาะสังฆทาน เรื่องของทานเป็นสิ่งที่ดี เพราะว่าอานิสงส์ของทานนั้น ถ้าเกิดใหม่ก็คือรวย แต่เราอย่าลืมว่าบุญที่สูงกว่านั้นคือการรักษาศีลก็ยังมีอยู่ เจริญภาวนาก็ยังมีอยู่ โดยเฉพาะถ้าจะเอาความมั่นคงของคติคือที่ไปในชาติถัด ๆ ไปของเรา จำเป็นที่จะต้องเน้นการภาวนา อย่างน้อย ๆ ให้ทรงสมาธิได้สักปฐมฌานละเอียด แล้วเราก็เอาสติประคับประคองไว้อย่าให้หลุด ถึงเวลาถ้าหากว่าตาย ก็จะมีสุคติเป็นที่ไปแน่นอน
แต่คราวนี้ถ้าเราเอากำลังของปฐมฌานละเอียดมาใช้ในการพิจารณาตัดกิเลส ก็จะสามารถเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันหรือสกทาคามีได้ ดังนั้น...การที่เราเน้นในเรื่องของทาน แม้ว่าเป็นเรื่องดี แต่อย่าลืมเรื่องของศีลและภาวนาที่มีกำลังสูงกว่านั้น โดยเฉพาะทำให้ภพภูมิของเราแน่นอน หรือถ้าปัญญาถึงก็หลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานไปเลย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของคณิตศาสตร์ต้องอินเดีย ในยุคปัจจุบันอย่างรามานุจัน เป็นสุดยอดอัจฉริยะจริง ๆ คือพวกนี้อยู่ทางด้านอินเดีย ตะวันออกกลาง พวกนี้เจริญรุ่งเรืองมาก่อนนานมาก ๆ เลย พูดง่าย ๆ คือฝรั่งมาศึกษาจากทางนี้ทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ของฝรั่งเองในเรื่องระบบการจัดเก็บ เรื่องของการบันทึกมีความเป็นระบบแน่นอนกว่า ก็เลยทำให้คนหลงไปพักหนึ่งว่าคณิตศาสตร์มาจากทางด้านฝรั่ง แต่ถ้าเรามานึกถึงว่าขนาดตัวเลขยังเป็นอารบิก บอกชัด ๆ ว่ามาจากอาหรับ
อาตมาไม่ได้ว่าเรื่องของภาษาอังกฤษเขาจะดีกว่าเรา เพราะว่าไปเจอตำราที่ผิดพลาดเยอะ แต่ในขณะเดียวกันเรื่องของการค้นคว้า ของฝรั่งเขาทุ่มเทมากกว่าเรา ในเมื่อเขาทุ่มเทมากกว่าเรา โดยเฉพาะอย่างเด็ก ๆ สมัยนี้ ที่ลอนดอนห้องสมุดของเขา เด็กเข้าคิวกันยาวเป็นไมล์ เพราะเขาบังคับว่าคุณต้องเข้า เขาไม่ให้เอาจากอินเตอร์เน็ต ถึงเวลาหนังสือเล่มนี้จะต้องมี ถ้าคุณอ้างอิงคุณต้องยืมมาด้วย เขาไม่ให้เราลักไก่ ของบ้านเราคุมอย่างนั้นไม่ได้ บางทีอาตมาก็บอกนิสิตว่า “นี่คุณ..ถ้าคุณทำได้แค่นี้ไม่ต้องทำมาหรอก เพราะว่าผมก็ทำได้ แล้วทำได้ดีกว่าด้วย” ต้องว่ากันแรง ๆ ประเภทมาตัดแปะ ผิดที่เดียวกันเปี๊ยบ ไม่คิดจะแก้อะไรกันบ้างเลยหรือ ?" |
พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงพ่อเมียะ อดีตเจ้าอาวาสวัดสะพานลาว คนเห็นเป็นแค่พระกะเหรี่ยงแก่ ๆ ไม่เป็นโล้เป็นพาย เจ้าประคุณเถอะ...ตั้งศพร้อยวัน มี เจ้าภาพเพียบทุกคืน เรื่องอย่างนี้เราจะดูถูกไม่ได้เลย อาตมาไม่เคยดูถูกมาก่อน เวลาไปไหนอาตมาก็ให้เกียรติให้การยกย่อง เพราะรู้ว่าท่านนั้นมีกะเหรี่ยงนับถือมาก แต่คนอื่นเห็นว่าท่านเด๋อ ๆ ด๋า ๆ มีอะไรก็เว้าซื่อ ๆ พูดตรง ๆ เลี้ยวกับใครไม่เป็น กลายเป็นหลวงตาแก่ไม่มีอะไร
ตั้งศพร้อยวันมีแต่คนบอกว่ากล้าตั้งหรือ ? ที่ไหนได้...แต่ละวันเจ้าภาพ ๓-๔ ราย ขนาดศพระดับเจ้าคณะอำเภอยังไม่กล้าตั้งร้อยวันเลย นี่ท่านแค่เจ้าอาวาสยังกล้าตั้ง ๑๐๐ วัน ประสบความสำเร็จล้นหลามอีกต่างหาก" |
มีเด็กใส่ชุดไทยมาถวายสังฆทาน เนื่องจากทางโรงเรียนให้เด็กใส่ชุดไทยทุกวันศุกร์ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ความเป็นไทยไม่ได้อยู่ที่ชุด ชุดไทยจะได้แค่เปลือก ความเป็นไทยอยู่ที่จิตสำนึก นึกอยู่เสมอว่าเราเป็นคนไทย เราอยู่ในประเทศไทย การคิด การพูด การทำ ทุกอย่างทำเพื่อประเทศไทย ถ้าลักษณะอย่างนั้นถึงจะมีความเป็นไทยแท้
ถ้าเราเห็นคนญี่ปุ่น เราจะรู้ทันทีว่านี่คือคนญี่ปุ่น นั่นคือออกมาจากจิตวิญญาณของเขาเลย จิตวิญญาณของญี่ปุ่นคืออะไร? ความขยัน ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก เสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อส่วนรวม เราจะเห็นว่าแม้จะโดนสึนามิ แม้จะโรงไฟฟ้านิวเคลียร์รั่ว คนญี่ปุ่นประสบภัยพิบัติ แต่ถึงเวลาคนไปช่วยเหลือ เขาก็ไม่ได้แย่งชิงกัน เข้าคิวกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย นั่นคือความอดทน รู้หน้าที่ เสียสละให้คนอื่นเขาก่อน เพราะฉะนั้น...การที่ให้เด็ก ๆ แต่งชุดไทยไปโรงเรียนก็เป็นเรื่องดี แต่ว่าจะได้แค่เปลือกเท่านั้น ถ้าได้แค่เปลือกก็เป็นเรื่องที่ฉาบฉวย เดี๋ยวพอเปลี่ยนผู้บริหารใหม่ก็เปลี่ยนนโยบายใหม่อีก ดังนั้น...ต้องสร้างจิตสำนึกให้เกิดขึ้น ถ้าหากว่าจิตสำนึกของเด็กยึดมั่นในความเป็นไทยจริง ๆ เดี๋ยวอัตลักษณ์ต่าง ๆ จะตามมาเอง ถึงเวลาทำไปแล้วจะรู้เลย ปัจจุบันนี้อัตลักษณ์ของคนไทยก็คือ ‘ทำอะไรตามใจคือไทยแท้’ ไปไหนไม่เคยมีระเบียบ ไม่เคยมีวินัยกับใคร สังเกตทัวร์ญี่ปุ่นสิ ทัวร์ญี่ปุ่นไปไหนใครถือธงเขาเดินตามเลย บางทีไปเดินตามคณะไหนก็ไม่รู้ ขอให้เขามีธงอยู่คนญี่ปุ่นเดินตามเลย แต่ทัวร์ไทยเราปล่อยไกด์ยืนงงอยู่คนเดียว นอกนั้นกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ ต่างคนต่างหามุมถ่ายรูป ต้องบอกว่าความไร้ระเบียบวินัยกลายเป็นสัญลักษณ์ของเรา ที่ฝรั่งเขาบอกว่ามาเมืองไทยต้องพูดให้ได้ ๓ คำ ก็คือ "สวัสดี" "ขอโทษ" แล้วก็ "ไม่เป็นไร" คำสุดท้ายนี่แหละพาเละทั้งประเทศเลย เพราะไม่เป็นไร ผิดแค่ไหนก็ไม่เป็นไร อภัยให้กันได้ ฟังดูเหมือนกับมีความอดทนมาก แต่ความจริงไม่ใช่ ฟังอีกทีก็เหมือนกับเข้าถึงธรรม ปล่อยวางได้ ก็ไม่ใช่อีก เกิดจากความมักง่าย ปล่อยผ่านทุกอย่างง่าย ๆ ก็เลยทำให้เราอยู่กันแบบมักง่าย ๆ อย่างนี้แหละ" |
โยมเขียนคำว่า ภัตตราหารมา "ภัตตาหาร ไม่ใช่ภัตราหาร ภัตตะ ภาษาบาลีแปลว่าอาหารอยู่แล้ว ส่วนอาหารเป็นภาษาบาลีอีกคำหนึ่ง หมายถึงของกินทั้งปวง เอาภัตตะกับอาหารไปรวมกันเป็นภัตตาหาร ไม่ใช่ภัตราหาร ถ้าภัตราตัวนั้นแปลว่าผ้าผ่อนท่อนสไบ"
|
"พูดถึงเรื่องการเขียนหนังสือ สมัยนี้เราใช้พวกแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ โดยเฉพาะ Siri พูดอะไรลงไป Siri เขียนมาให้เสร็จ ถูกบ้างผิดบ้างก็ช่างมันเถอะ ก็เลยทำให้เด็กของเราส่วนหนึ่งเขียนหนังสือไม่ถูก
อีกส่วนหนึ่งก็คือไม่ค่อยได้ฝึกเขียนลายมือ เด็กของเราก็เลยลายมือแย่เข้าไปอีก เขียนไม่ถูกไม่ว่า ลายมือแย่อีกต่างหาก เพราะฉะนั้น...ของเก่าถ้าดีอยู่แล้วก็ควรที่จะรักษาเอาไว้ สมุดจดงานของเด็กบางคนอาตมานึกว่าพิมพ์มา สมุดจดงานนี่เนี้ยบเลย มีรูปวาดประกอบ บางคนใช้ปากกา ๓ สี ๔ สี โยงตรงโน้น เน้นตรงนี้ เห็นแล้วอยากจะให้คะแนนผ่านไปเลย ไม่ต้องเสียเวลามาสอบ" |
"สมัยก่อนเขามีภาษิตว่า ‘ลูกผู้ชายลายมือคือขุมทรัพย์’ เพราะว่าสมัยก่อนถ้าลายมือสวย ส่วนใหญ่จะได้ทำงานอำเภอ ทำหน้าที่เป็นเสมียนจดบันทึก ถ้าเป็นยุคออเจ้าเขาเรียกอาลักษณ์ มีหน้าที่เขียนหนังสือ บันทึกหนังสือ เขียนตราตั้งต่าง ๆ ที่ได้รับพระราชทาน
ก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะมีฟอนต์หนังสือต่าง ๆ ตราตั้งยังเขียนด้วยมืออยู่ ที่เขาเรียกลายมืออาลักษณ์ ลายมืออาลักษณ์คืออะไร ? ก็คือฟอนต์ DSN ลายไทยแบบนั้นเลย มาระยะหลังนี้พวกฟอนต์หนังสือต่าง ๆ ออกมา ๕๐-๖๐ อย่าง ก็เลยทำให้ลายมือพวกนี้หมดความจำเป็น เพราะว่าใช้ Print เอาได้ แล้วก็จะผิดพลาดตรงไม่รอบคอบในการแก้ไขบางส่วนเท่านั้น ข้อมูลอื่นไม่ต้องเขียนใหม่ พิมพ์ลงไปเลย แก้แต่ชื่อเท่านั้น ถ้าอย่างสัญญาบัตรที่พระราชทานให้พระครูหรือเจ้าคุณ ก็จะต่างแค่ชื่อกับวัด นอกนั้นข้อมูลเดียวกันหมด ‘ขอพระคุณท่านโปรดรับภาระธุระในพระพุทธศาสนา เมตตาอบรมสั่งสอนพระภิกษุสามเณรและผู้ที่อยู่ใต้ปกครอง’ ข้อมูลเดียวกันหมด ก็เลยทำให้ยุคสมัยเปลี่ยน ค่านิยมก็เปลี่ยน สมัยก่อนลายมือคือขุมทรัพย์ ถ้าลายมือสวยอย่างไรคุณก็ไม่ตกงานแน่นอน แต่สมัยนี้ลายมือไม่มีประโยชน์ สำคัญตรงใครจิ้มเร็วกว่า จิ้มให้ถูก ๆ หน่อย ส่วนใหญ่เขียนกันผิดเยอะมาก ถ้าหากว่าใครคิดว่าอยากฝึกภาษาไทยให้ถูก ก็ไปเข้าเว็บวัดท่าขนุน ถ้าไม่โดนจับเข้าห้องเย็นไปเสียก่อนเดี๋ยวก็เก่งเอง เว็บวัดท่าขนุนเข้าไปถ้าผิดแม้แต่ตัวเดียวจะมีคนแจกใบแดง ถ้าไม่แก้ไข ๓ วันมีการเตือน เตือนแล้วไม่แก้ ก็โดนแช่แข็ง ๓ เดือน ห้ามเข้าไปเล่น" |
"อะไรที่เป็นของดี เป็นของเก่า มีคุณค่า ก็ช่วยกันรักษาเอาไว้หน่อย อาตมาเอาสมุดเล็กเชอร์ให้เด็ก ๆ เขาดู นี่สมัยหลวงพ่อเรียนปริญญาอยู่ เด็กมาดูบอกว่า “หลวงพ่อ..นี่ไม่ใช่สมุดเล็กเชอร์ เขาเรียกสมุดคัดลายมือ” เข้าท่าแฮะ...! อาตมาเป็นคนจำอะไรแม่น อาจารย์ว่าไปเรื่อยก็จำอยู่ในหัว เขียนตามไปใจเย็น ๆ ไม่ต้องรีบร้อน ในเมื่อไม่ต้องรีบก็เขียนด้วยลายมือปกติ เด็กเขาบอกว่าคัดลายมือ แล้วถ้าคัดลายมือให้ดูจะเรียกว่าอะไรก็ไม่รู้ ?
ช่วยเหลือกันหน่อย พยายามใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง แต่เชื่อเถอะไม่มีใครรู้หรอกว่าวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ที่ผ่านมา คือวันภาษาไทยแห่งชาติ ไปจำวันอะไรกันก็ไม่รู้ วันสำคัญขนาดนี้ไม่รู้เรื่องเลย โบราณเขาเรียกว่าลายสือไทย คำว่าสือ ก็คือหนังสือ เหตุที่เรียกว่าหนังสือเพราะว่าสมัยก่อนเขียนลงบนแผ่นหนัง สมัยนี้เขียนลงบนกระดาษก็ยังคงเรียกหนังสือ แก้ไม่ได้ เคยเรียกอย่างนั้นแล้ว สมัยก่อนใช้เขียนลงแผ่นหนัง ขีดเป็นเครื่องหมายบ้าง อะไรบ้าง ตั้งแต่ยุคหินดึกดำบรรพ์มา ดูกันรู้เรื่องก็ใช้ได้ เสร็จแล้วก็มากำหนดเป็นสระ เป็นพยัญชนะ เป็นวรรณยุกต์ แยกออกไหมว่าสระคืออะไร ? พยัญชนะคืออะไร ? วรรณยุกต์คืออะไร ? ตกภาษาไทยกันหมดแน่เลย สระมีกี่รูป ? วรรณยุกต์มีกี่รูป ? มีกี่เสียง ? จำกันไม่ได้แล้วกระมัง ? เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องไปพูดถึงเอกรรถประโยค เอนกรรถประโยค สังกรประโยค บ้าแน่ ๆ เลย..! ถ้าคนไทยเรายังอ่อนแอภาษาไทยอยู่ แล้วจะไปเรียนภาษาอื่นให้ดีได้อย่างไร ? อาตมายืนยันเลยว่าภาษาไทยพูดยากที่สุด เพราะว่าเสียงมีเยอะมาก ลองเขียนภาษาอังกฤษให้ฝรั่งอ่านสิ ‘ใครขายไข่ไก่’ เราแยกออกได้หลายเสียง แต่พอไปเขียนให้ฝรั่งอ่าน อ่านเป็น “ไค ไค ไค ไค” นั่นคือความจนในเสียง จนในสระ จนในพยัญชนะ ไม่สามารถที่จะออกเสียงได้หลากหลาย" |
"แต่อย่าไปเจอฝรั่งที่พูดไทยไฟแลบนะ คนฝรั่งอาภัพมาก พูดไทยชัดยาก คนที่พูดชัด ๆ ต้องพูดตั้งแต่เด็กถึงจะได้สำเนียง อายุอย่าให้เกิน ๕ ขวบ ถ้าเกิน ๕ ขวบลิ้นแข็งแล้วพูดไม่ได้ ฝรั่งเว้าลาวคล่องปรื๋อได้สำเนียงหมดเลย อาจจะเป็นเพราะว่าภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส สำเนียงใกล้เคียงภาษาลาวก็ได้ แสดงว่าลาวต้องเป็นชาติมหาอำนาจมาก่อน
เพราะว่าเขามีหลักฐานทางสรีรศาสตร์ว่า ทุกชาติจะต้องมีเชื้อสายลาวมาก่อน ตรวจสอบได้ ทุกคนมีไหปลาร้าหมด ในเมื่อมีไหปลาร้าแสดงว่าก็ต้องมีเชื้อชาติลาว..! ฟังอยู่ตั้งนาน ไม่น่าหลอกกันเลย เห็นเขาบอกว่ามีแต่ผีหลอก นี่โดนพระหลอกเสียแล้ว" |
"ขอให้พวกเราพยายามเน้นย้ำนิดหนึ่ง อาตมาเองจริง ๆ เขาเสนอให้ไปรับรางวัล ๒ รางวัล ๓ รางวัล ไม่ได้ส่งประวัติไป ไม่มีเวลาทำ เขาให้ไปรับรางวัลผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่น..ไม่ไป ถ้าหากว่ามีเจ้าหน้าที่เขาเห็นแก่หน้าค่าชื่อเรา ประเภทนำเสนอแทน เขียนประวัติแทน ถ้าอย่างนี้ก็จะได้รางวัล
แบบเมื่อไม่กี่วันก่อนที่ไปรับรางวัลองค์กรที่อนุรักษ์ฟื้นฟูดูแลป่าไม้ ถ้าโยมขึ้นไปบนยอดเขามองลงมา จะเห็นว่าที่สีเขียว ๆ มีแค่พื้นที่วัดเท่านั้น รอบข้างล้านเลี่ยนเตียนโล่งหมดแล้ว เมื่อ ๒ วันที่ผ่านมานายกเทศมนตรีมาขอพบ อาตมากำลังตรวจการบ้านลูกศิษย์ พอตรวจการบ้านเสร็จ ถามว่าท่านนายกฯ มีธุระอะไร ? ท่านบอกว่า "มาขออนุญาตหลวงพ่อตัดต้นไม้แห้งครับ ต้นไม้แห้งข้างทางมีทีท่าว่าจะล้มลงมาทับสายไฟ ชาวบ้านเขาแจ้งไปก็เลยมาขออนุญาตตัด" เพราะว่าที่ผ่านมาเคยเมตตาไปตัดพวกกิ่งไม้ที่คลุมถนนออก โดนหลวงพ่อด่ากระจาย ตั้งแต่นั้นมาท่านเลยจำว่าวัดท่าขนุนหวงต้นไม้ เขาว่าตัดต้นไม้เพื่อให้รถทัวร์เข้าได้ อาตมาบอกว่า "ไม่ต้องตัด ถ้าไม่เข้าก็เรื่องของมัน อยากเข้าก็ให้เดินเข้ามา แค่ ๗๐๐ เมตรเท่านั้น เดินไม่ได้ก็ไม่ต้องมาทำบุญวัดนี้" อาตมาเดินอยู่ทุกวัน เดินไปตรวจงานหน้าวัดบ้าง เดินขึ้นเขาพระพุทธบาทบ้าง โยมนั่งรถเสียจนเป็นง่อยไม่ยอมเดิน ไปต่างประเทศเขาเดินกันฉับ ๆ คนไทย โอ๊ย...จะตาย รอรถอย่างเดียว เดี๋ยวนี้ก็เอาใจเหลือเกิน รถทัวร์ก็มีประเภทชะโงกทัวร์ เป็นรถที่บนหลังคามีเก้าอี้เรียงเป็นแถวเลย นั่งข้างบนวิ่งไปตามแหล่งเที่ยว ผ่านไปถ่ายรูปก็จบ ไปที่อื่นต่อ เท้าไม่ต้องแตะพื้นเลย" |
มีโยมสร้างพระเครื่องรูปหลวงพ่อวัดท่าซุงมาถวาย "อาตมาจะสร้างก็ต่อเมื่อพระสั่ง ถ้าไม่สั่งจะไม่แตะ คือ พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ไม่ใช่เพื่อนของเรา ถ้าเป็นเพื่อนเรา เราจะขอถ่ายรูปเมื่อไรก็ได้ แต่ถ้าท่านไม่อนุญาตแล้วเราไปทำ จะเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย เรานึกดูว่าขนาดขอถ่ายรูปในหลวงยังต้องขอพระบรมราชานุญาตขนาดไหน แล้วพระระดับโน้น เราไปหวังบุญเสียจนสิ้นสติ อย่าไปทำดีกว่า"
|
ถาม : การพิจารณาเห็นทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เป็นการพิจารณาวิปัสสนาญาณหรือเปล่าครับ ?
ตอบ :ไม่แน่...อยู่ที่ว่าเราเห็นอย่างเดียวหรือเปล่า ? ถ้าเห็นอย่างเดียวโดยที่ไม่ได้ใช้ปัญญาควบคู่ไปด้วย ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นสิ่งที่ควรหลีกหนี ทำอย่างไรเราจะดิ้นรนไปให้ห่างจากเขาให้ได้ ท้ายที่สุดก็เลิก ละ ในการสร้างเหตุของทุกข์นั้นได้ ก็ไม่ถือว่าเป็นวิปัสสนาญาณ อยู่ที่ว่าเห็น โอดโอยอยู่กับมัน แต่ทำอะไรต่อจากนั้นไม่ได้ ก็แปลว่าไม่มีประโยชน์ ประเภท “ทุกข์ฉิบหายเลยโว้ย..!” แล้วไปคลุ้มคลั่งอยู่ แบบนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ |
คณะโยมมาทำบุญแล้วนั่งขวางทางเดิน "โยมหาที่นั่งให้ไปสักข้างหนึ่ง นั่งตรงกลางเดี๋ยวเขาก็เดินเหยียบเอา เรื่องพวกนี้เป็นการใช้สติยั้งคิด แล้วก็ใช้ปัญญาพิจารณาด้วย แบบที่ธนัญชัยเศรษฐีสอนนางวิสาขาว่า “จงนั่งให้เป็นสุข จงนอนให้เป็นสุข” ลองมองไปทั่วบ้านแล้วจุดไหนที่เรานั่งแล้ว เราไม่ต้องขยับ ถ้าไปนั่งขวางทางเขาคนไปมา เราก็ต้องขยับ ทำให้ “นั่งไม่เป็นสุข”
การใช้สติปัญญาจะว่าไปแล้ว เป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็เข้าใจ ใคร ๆ ก็รู้ แต่ทำจริงแล้วมักจะทำได้ไม่ดี มักจะขาดสติ เอาตัวเองเป็นใหญ่ คำว่าเอาตัวเองเป็นใหญ่คือคิดว่า “ตรงนี้แหละ สบายดีแล้ว” คนอื่นเดินมาบอก “ขยับให้หน่อยครับ” ก็ไปโมโหเขาอีก เรื่องพวกนี้ต้องฝึกฝน ขัดเกลาไปนาน ๆ ธรรมะของพระพุทธเจ้าเรียกอีกอย่างว่า สัลเลขธรรม เป็นธรรมสำหรับการขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของเราเอง ถ้าขัดเกลาได้ที่เมื่อไรก็เริ่มปรากฏผลดี ถ้าขัดเกลายังไม่ได้ที่ก็กระโดกกระเดกไปเรื่อย แรก ๆ เหมือนอย่างกับเราปั้นดินเหนียวเป็นสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ หล่นไปตรงไหนก็อยู่ตรงนั้นแหละ ต้องค่อย ๆ เกลา ค่อย ๆ ลบ จนเหลี่ยมมุมค่อย ๆ หายไป จนท้ายสุดก็กลมกลิ้งไปทั้งลูก ถ้ากลมกลิ้งไปทั้งลูกเมื่อไร จะอยู่สังคมไหนก็ได้" |
โยมพาลูกมาทำบุญ "เรื่องพวกนี้ต้องปลูกฝัง เด็กหลายคนมาวัดตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าท้องแม่ อยู่ในท้องแม่ก็มาวัดทุกเดือน ท้ายสุดคลอดออกมายังคอพับคออ่อนพ่อแม่ก็อุ้มมา พอปลูกฝังไปนาน ๆ การไปวัดหรือไปสถานที่ปฏิบัติธรรมสำหรับพวกเขาก็ไม่ใช่ของยาก เพราะว่าพ่อแม่ทำเป็นตัวอย่าง ทำให้ไม่รู้สึกเก้อเขิน
แต่ถ้าลูกใครพ่อแม่ไม่นำ ปู่ย่าตายายไม่นำ แต่ว่าไปเองได้ นั่นสุดยอดมนุษย์จริง ๆ แสดงว่าของเก่าที่สร้างไว้มีมาก เรียกว่ามีปุพเพกตปุญญตา มีบุญที่สร้างสมไว้ดีตั้งแต่ปางก่อน ถึงเวลากระแสบุญจะชักนำให้ไปเอง แต่คนประเภทนั้นหายากมาก ประเภทหนึ่งในล้าน ฉะนั้น...ทุกคนต้องการให้มีการนำก่อน" |
พระอาจารย์กล่าวว่า “บางคนมาที่นี่แล้ว "โดน" ไปหนักก็หายไปเลย แต่ถ้าใครรู้จักพิจารณาแล้วจะเห็นว่า แต่ละอย่างที่ว่าไป ถ้าสามารถปรับปรุงแก้ไขได้ เราจะได้สิ่งดี ๆ เยอะมาก ก็ต้องแล้วแต่คนว่ารู้จักคิดหรือเปล่า อาหารรสชาติเผ็ดหน่อย กินเข้าไปแล้วแสบปากร้อนท้อง แต่ก็ทำให้กระปรี้กระเปร่า กระตือรือร้น หูตาสว่างดี มัวแต่จะกินขนมหวาน เดี๋ยวก็กลายเป็นเบาหวานตายหมด ฉะนั้น..ต้องโดนหนัก ๆ ไว้บ้าง”
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนมีโยมปฏิบัติธรรมแล้วได้สภาวธรรมดีมาก มาถามว่า จะทำงานต่อดีหรือจะลาไปบวชดี ? ก็เลือกเอาสิ ถ้ายังอยากยุ่งอยู่กับชีวิตของฆราวาสที่ปฏิบัติได้ไม่เต็มร้อยก็ทำงานต่อไป ถ้าอยากจะทุ่มเทชนิดมอบกายถวายชีวิตก็ไปบวชเลย
เรื่องของสภาวธรรมจากการปฏิบัติหรือเรียกง่าย ๆ ว่าอารมณ์ในการปฏิบัติ ได้แล้วอย่าพึงเชื่อถือ เพราะพร้อมที่จะเจ๊งภายในเวลาอันไม่นาน ถ้าเรารักษาไม่เป็นก็อยู่ได้แค่พักเดียว ตอนที่อยู่นี่ โอ๊ย...เหมือนอย่างกับเป็นพระอรหันต์เลย รัก โลภ โกรธ หลง ไม่มีสักอย่าง เผลอหน่อยเดียว หลุดไปเท่านั้นแหละ หมาดี ๆ นี่เอง ฉะนั้น...ได้มาต้องระมัดระวังรักษาสุดชีวิต เพราะถ้าเสียไปจะเอาคืนได้ยากมาก" |
มีโยมผู้หญิงขอถ่ายรูปกับพระที่นิมนต์มาถวายสังฆทานกับพระอาจารย์ "อย่าไปลงเฟซบุ๊กหรือลงไลน์นะ ภาพพระกับผู้หญิงใกล้กันเกินไป คนที่คิดไม่ดีเขาจะด่าเอาอย่างเดียวเลย เขาไม่สนใจว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร
ญาติโยมรักพระ เพราะฉะนั้น...ก็ต้องช่วยระมัดระวังให้พระด้วย บางอย่างเราคิดไม่ถึงหรอก แต่คนเขาจะด่า มีพระอยู่รูปหนึ่ง ท่านใส่แว่นกันแดดแล้วถ่ายรูปไปลงเฟซบุ๊ก โอ้โห...โดนด่าซะไม่มี เขาถามว่าพระหรือมาเฟีย ใส่แว่นดำแบบนี้ ? เขาไม่ได้สนใจเลยท่านเป็นอะไรหรือเปล่า อยากจะด่าก็ด่าเอาไว้ก่อน ฉะนั้น...พวกเราต้องระมัดระวังเอง อะไรที่อยู่ลักษณะใกล้ชิดเกินไประหว่างผู้หญิงกับพระ เราก็พยายามถ่ายรูปให้น้อยที่สุด ถ่ายเอาไว้ก็อย่าไปออกสื่อ ออกไปเมื่อไรจะกลายเป็นจุดโจมตีของเขา แค่ใส่แว่นดำยังโดนด่า แล้วเฟซบุ๊กก็เฟซฯ ของท่าน คุณเข้าไปส่องทำไม ? ไปส่องของท่านแล้วยังจะไปด่าท่านอีก แต่ก็ดีอยู่อย่าง เตือนให้เรารู้ตัวว่า โลกภายนอกเขามองเราลักษณะอย่างนี้ ในเมื่อเขามองเราลักษณะอย่างนี้ เราก็ต้องระมัดระวังตัวเอง ทีนี้ท่านระมัดระวังตัวเองไม่รอบคอบ ญาติโยมก็ต้องช่วยกันระมัดระวังด้วย" |
"รัฐมนตรีอินเดียมาบวชที่เมืองไทย เพราะว่าปัจจุบันนี้ประธานาธิบดีอินเดียนับถือศาสนาพุทธ เราจะเห็นว่าภาพพจน์ของพระในบ้านเมืองเราปัจจุบัน พวกสื่อต่าง ๆ เขาตั้งใจทำลาย เกิดจากบางศาสนาเขาจ้างสื่อ ในเมื่อเขาตั้งใจทำลาย ข่าวที่ออกมาจะไม่มีอะไรดีเลย
แต่คราวนี้ว่าสื่อต่างประเทศจ้างไม่ได้ เพราะว่าเขาถือจรรยาบรรณของนักข่าว เขานำเสนอแต่ความเป็นจริง เสนอว่าพุทธศาสนาดีอย่างไร มีประโยชน์อย่างไร ช่วยให้ประเทศชาติเจริญอย่างไร ต่างชาติเขาก็เลยศรัทธา เราจะเห็นว่ามีคนต่างชาติ โดยเฉพาะฝรั่งจากยุโรป อเมริกา บวชในเมืองไทยเยอะมาก แล้วกลับไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในบ้านเขา นี่รัฐมนตรีอินเดียเขาก็มาบวช เพราะว่าประธานาธิบดีอินเดียเป็นพุทธ ตัวเองในเมื่อถือศาสนาพุทธก็ถือหลักว่าเป็นคนพุทธทั้งที ในชีวิตก็ควรที่จะบวชสักครั้งหนึ่ง แสดงว่าภาพพจน์ศาสนาของเราในสายตาต่างชาตินี่ยังดีอยู่มาก แต่ว่าบ้านเรานี่สื่อตั้งใจเล่นงานพระโดยตรงเลย รับงานกันมา ข่าวละห้าแสนบ้าง แปดแสนบ้าง เอาเถอะ..เขามีเงินก็ให้เขาจ้างไป เราก็เอาแต่เรื่องดี ๆ มาสู้กับเขาก็หมดเรื่อง ไม่มีข่าวเสียเขาก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้หรอก" |
ถาม : ลาออกเจ้านายยังไม่ให้ออกเสียที ?
ตอบ : เป็นที่ต้องการของเจ้านาย ลาเท่าไรก็ไม่ให้ออก ลาแล้วไม่ให้ออกก็หนีไปเฉย ๆ สิวะ..! แบบเดียวกับอาตมา ลาแล้วไม่ให้ออก ไม่ทำงานปีครึ่งก็ยังคาชื่อไว้อีก พอปีที่ ๒ ก็ต้องเอาออกจนได้ ก็อาตมาไม่ไปทำงานเลย บางทีเจ้านายเขาอาศัยความมีน้ำใจของเรา ไม่ให้ออก ให้อยู่ช่วยกันไปก่อน เราก็ช่วยไปเถอะ ช่วยไปจนตายกันไปข้างหนึ่ง..! ส่วนอาตมาค่อนข้างเด็ดขาด ถ้าออกมาแล้วเขาจะเจ๊งก็เป็นเรื่องของเขาเถอะ แล้วก็ไปเลย ไม่ใช่เรื่องของการไร้น้ำใจหรือว่าใจร้ายใจดำ แต่เป็นเรื่องของความเด็ดขาดบวกกับอุเบกขา ในเมื่อไม่มีเขา เราอยู่ได้ ไม่มีเรา เขาก็ต้องอยู่ได้เหมือนกัน |
ถาม : ผู้ที่ได้พระโสดาบัน...(ไม่ชัด)...จะเหมือนกันไหมกับเสียงที่ได้ยิน ?
ตอบ : การเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับเสียงที่ได้ยิน เสียงที่ได้ยินเป็นทุกระดับตั้งแต่ปุถุชนธรรมดาขึ้นไป สำคัญอยู่ที่ว่าท่านตั้งใจจะมาแกล้งหรือตั้งใจจะมาสงเคราะห์ ส่วนบรรดาท่านทั้งหลายที่ได้เป็นพระอริยเจ้าแล้ว ท่านมั่นคงในพระรัตนตรัย อะไรที่นอกลู่นอกทางท่านก็ไม่ไปใส่ใจ |
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมานั่งรับสังฆทานมา ๒๕ ปี ประเภทลุกไปเข้าห้องน้ำกลางคันนี่แทบจะไม่เคยทำ สงสัยว่าอากาศเปลี่ยนแล้วมาลาเรียจะกำเริบ คราวนี้พอมาลาเรียลงกระเพาะก็พัง จำเป็นต้องไปห้องน้ำ ไม่อย่างนั้นแล้วท้องจะอาละวาด
ปกติถ้ามาลาเรียลงกระเพาะแล้วจะอาเจียน อาตมาเองเป็นมาลาเรียมาตั้งแต่หนุ่ม ๆ อายุเพิ่งจะ ๒๒ - ๒๓ ปี ตอนนั้นร่างกายแข็งแรงมาก กลั้นเอาไว้ไม่ให้อาเจียนได้ กลั้นไปกลั้นมา โรคหาทางออกไม่ได้เลยลงข้างล่างแทน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ถ้ามาลาเรียกำเริบก็ต้องวิ่งเข้าส้วม ซึ่งก็ดีกว่าอาเจียน ส่วนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเป็นมาลาเรียแล้วท่านไม่รู้ตัว พอ ๔ โมงเย็นก็เริ่มอาเจียนทุกวัน จนกระทั่งก่อนมรณภาพไม่นาน พระท่านเห็นว่าพ้นวาระกรรมตรงนี้แล้ว ถึงได้บอกให้ทราบว่าเป็นมาลาเรีย พอได้ยามาฉีดลงไป หายจากมาลาเรียก็เป็นโรคอื่นแทน ฉะนั้น...ยอมเป็นของเก่าต่อไปดีกว่า หลังจากนั้นไม่นาน ท่านก็มรณภาพไป แปลว่าตายเพราะหมดกรรม เขาบอกว่าคนเราจะตาย ๑) หมดอาหาร ๒) หมดอายุ ๓) หมดบุญ ๔) หมดกรรม ถ้าบุญรักษา กรรมรักษา อายุยังไม่หมด อาหารยังมีอยู่ อย่างไรก็ไม่ตาย ที่อาตมาถ่ายนี่สงสัยเกิดจากฉันยาคูณธาตุเข้าไป หรือไม่ก็มาลาเรียกำเริบ" |
ถาม : มีจอมปลวกขึ้นที่บ้านครับ ?
ตอบ : ไม่มีอะไร ถ้าเบื่อก็เอาน้ำมันดีเซลราดลงไป พอปลวกได้กลิ่นก็หนีหมด ถาม : ควรจะทำลายหรือครับ ? ตอบ : ปล่อยเอาไว้ก็ได้ จะได้ล่อบ้านหมดทั้งหลัง..! |
พระอาจารย์พูดถึงการเลี้ยงเด็ก "สอนให้เขารู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควรก็พอ ทำอะไรอย่าไปห้ามมาก ถ้าห้ามมากเดี๋ยวเด็กจะเก็บกด แล้วเขาไปแอบทำเองก็จะยุ่ง"
|
ถาม : ฌานที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ สามารถรู้คำภาวนาได้ไหมครับ ?
ตอบ : จะฌานไหน ถ้าเราคล่องตัวทำได้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าถ้าเราไม่คล่องตัวก็ทำไม่ได้สักอย่าง |
พระอาจารย์กล่าวกับพระที่มาถวายสังฆทานว่า "เราเป็นพระ จะไปให้โยมช่วยระวังไม่ได้ เราต้องระวังตัวเองด้วย"
|
ถาม : สัตว์ที่จะโดนเอาไปฆ่ากิน เขาจะมีความรู้ตัวไหมคะ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เขารู้ เพียงแต่ไม่คิดว่าจะถึงตาย ไม่สังเกตหรือว่าพวกที่ไปโรงฆ่าสัตว์นี่ดิ้นรนถอยหลังเลย เห็นพวกมายืนรอรับอยู่เป็นร้อย..! แม้กระทั่งเรื่องของการเลี้ยงวัวเอาไว้รีดนมขาย วัวต้องมีลูกถึงจะมีนม แต่ถ้าให้ลูกกินนมก็จะไม่มีนมไว้ขาย ถึงเวลาก็ต้องแยกลูกออกไป ถ้าลูกวัวดื้อก็จะโดนตี โดนทุบ ฉะนั้น...ใครที่บอกว่ากินมังสวิรัติกินนมได้ กินไข่ไม่ได้ เถียงกันไปเถอะ เขาบอกว่านมเป็นของให้ ไข่เป็นของหวง...ไม่จริงหรอก แม่วัวก็ไม่ได้อยากจะให้นมเรากิน เพราะว่าจะเอาไว้เลี้ยงลูกของตัวเอง |
ถาม : ที่วัดน้ำท่วมไหม ?
ตอบ : จนป่านนี้ก็ยังไม่มีวี่แวว ทางทองผาภูมิจะมีโอกาสน้ำท่วมอย่างเดียวก็คือต้องเขื่อนแตกเท่านั้น แต่ทางสังขละบุรีบางส่วน อย่างทางด้านไล่โว่ กองม่องทะ สะเหน่พ่อง ของเขาอยู่กับลำห้วย น้ำป่ามาตูมเดียวก็ท่วมทุกปี เพียงแต่จะท่วมแค่วันสองวัน แต่ปีนี้ที่ท่วมนานมาก เพราะว่าฝนไม่ยอมหยุด ตกต่อเนื่องกันมาเดือนครึ่ง ทั้งวันทั้งคืนไม่ยอมหยุด เช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้า พวกไปปฏิบัติธรรมที่วัดท่าขนุนนี่ซาบซึ้งเลย ตกได้อย่างไรขนาดนี้ |
คนทองผาภูมิเขามีประสบการณ์ตั้งแต่ตอนแรกที่ปิดเขื่อน ทางการไฟฟ้าคำนวณว่า ประมาณปีครึ่งน้ำจะเต็มเขื่อน ปรากฏว่าแค่ ๘ เดือนก็เต็ม เพราะฉะนั้น..เขาทราบซึ้งเลยว่าฝนตกแบบไหน เขาจะต้องมีการคำนวณเลย ระยะเวลามีฝนกี่เดือน ถึงเวลาน้ำขนาดนี้ ถ้าปล่อยออกแค่นี้ ต้องเติมเข้ามาเท่าไร เขากะคำนวณไว้หมดแล้ว
ถาม : เขาบอกว่ามีรอยเลื่อนที่ใต้ดิน ? ตอบ : อันนั้นเป็นเรื่องปกติ เขาเรียกรอยเลื่อนเหมืองสองท่อ ถาม : รอยเลื่อนสองท่อ คือ ? ตอบ : เป็นรอยเลื่อนใต้ดินที่มีอยู่เป็นปกติ เพียงแต่ว่าพาดผ่านแนวนั้น กลางเกาะพระฤๅษีเลย ถาม : รอยเลื่อนที่ว่าที่อยู่กลางเกาะพระฤๅษี ? ตอบ : เราต้องเข้าใจว่าโลกเราเป็นแผ่น ๆ ไม่ได้ยึดกันเหมือนเปลือกที่เห็น แต่ละแผ่นก็จะมีรอยต่ออยู่ ก็คือรอยเลื่อนที่เขาว่า คราวนี้รอยก็อยู่ลึกบ้าง ตื้นบ้าง แล้วแต่ความใหญ่เล็ก ฉะนั้น...รอยเลื่อนเหมืองสองท่อนี่ถือว่าเล็ก ถาม :ไม่ได้เกี่ยวกับผิวหน้า ? ตอบ : ไม่ได้เกี่ยวกับผิวหน้า ลึกลงไปหลายกิโลเมตร ก็แค่ประเภทที่ว่าหุ้มกันไว้หลวม ๆ แบบแจกันแตกแล้วเอากาวต่อไว้ ถึงเวลาถ้าลาวาดันออกมาด้านไหนก็ครืนขึ้นมาที แต่ส่วนใหญ่ก็ออกมาแถววงแหวนไฟแปซิฟิกมากกว่า วงแหวนไฟแปซิฟิกนี่น่าเป็นห่วงมาก ถ้าตูมขึ้นมาจริง ๆ ญี่ปุ่นจะหายไปทั้งประเทศเลย..! |
ถาม : วงแหวนไฟแปซิฟิคเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : เป็นแนวที่เป็นรอยแตกของโลก แล้วก็พาดผ่านมหาสมุทรแปซิฟิกของเราไป พวกนี้พอชนกัน เกยกัน ก็คือแผ่นดินไหว เกาะญี่ปุ่นทั้งเกาะเกิดขึ้นมาเพราะภูเขาไฟระเบิด ทีนี้ถ้าจะระเบิดแล้วหายไปก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ระเบิดแล้วมีขึ้นได้ก็ระเบิดแล้วหายไปได้ พระท่านบอกว่า "พระอาจารย์ครับ...ญี่ปุ่นร้อนจัดมากเลย จนกระทั่งคนตาย เอาความร้อนจากไหนครับ ?" ส่วนหนึ่งมาจากใต้ดิน ช่วงที่ผ่านมาร้อนตายไป ๖๐ กว่าคน ตอนนี้ความร้อนเลื่อนไปที่เกาหลี เกาหลีกำลังแย่อยู่ ต่อจากเกาหลีก็จะเข้าจีน กว่าจะเข้าจีนก็คงสงบเพราะเข้าฤดูหนาวพอดี บ้านเราจะหนาวประมาณเดือนตุลาคม แต่ความหนาวจากจีนจะมาก่อน ตอนนี้ที่น่าห่วงที่สุดก็คือสงครามการค้า ไปเจอประธานาธิบดีติงต๊องของสหรัฐเข้า ประสาทกันทั้งโลกเลย |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการสร้างหน่วยไตเทียม หรือเรียกภาษาง่าย ๆ ว่าห้องฟอกไต เกิดจากอาหารการกินในปัจจุบันที่ไปทำลายไตมาก โดยเฉพาะกินอาหารเนื้อมากกว่าผัก ร่างกายต้องการโปรตีน ถ้าคิดเป็นเนื้อก็ประมาณขีดครึ่งต่อวันเท่านั้น ทีนี้ถ้าเรากินเกิน ไตก็ต้องไปดึงออก ทำให้หน่วยไตทำงานหนัก แล้วก็ชำรุดพังกันหมด ถึงเวลาไม่มีไตไว้คอยฟอกเลือด ก็ต้องสร้างห้องฟอกไตขึ้นมาให้ทำหน้าที่แทน
คราวนี้ที่อาตมาทำ เกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุที่หนึ่งคืออาตมาเป็นประธานพัฒนาโรงพยาบาลทองผาภูมิอยู่ ตำแหน่งบ้านี่ตอนที่เขาประชุมกรรมการ ๓๐ - ๔๐ คน เหมือนกับล็อกตายอยู่ก็คือ ห้ามเป็นนักการเมืองท้องถิ่น ห้ามเป็นข้าราชการประจำ ห้ามไปห้ามมาเหลือพระอยู่รูปหนึ่งกับประธานชมรมผู้สูงอายุ แล้วประธานชมรมผู้สูงอายุแก่ขนาดไหนแล้ว ? ก็ต้องยกตำแหน่งถวายพระไปนั่นแหละ ประการที่ ๒ คนทองผาภูมิถึงเวลาจะฟอกไต เดินทางใกล้ที่สุดคือโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนาในตัวจังหวัด ซึ่งห่างออกไป ๑๔๐ กิโลเมตร ไปแล้วไม่แน่ว่าจะได้ฟอกไต ถ้าคิวเต็มก็ต้องรอไปก่อน ในเมื่อชาวบ้านเขาลำบากขนาดนั้น แล้วอาตมาพอช่วยได้ก็ช่วยเขาหน่อย" |
"ปี ๒๕๕๖ ทอดผ้าป่าซื้อเครื่องมือให้ทางโรงพยาบาล ตอนนี้เงินเป็นล้าน ๆ ก็ไม่พอ เนื่องจากว่าเครื่องฟอกไตเครื่องหนึ่งต่ำสุดก็ห้าแสนกว่าบาท แล้วปัจจุบันนี้เครื่องที่คุณภาพดีอยู่ที่เก้าแสนกว่าบาทถึงหนึ่งล้านบาท
ถามว่าต่างกันตรงไหน ? เครื่องห้าแสนกว่าบาทฟอกไตแล้วต้องนอนหมอบกระแตไปประมาณ ๒ วัน แต่เครื่องเก้าแสนกว่าหรือหนึ่งล้านฟอกไตแล้วไม่เพลียขนาดนั้น กะว่าจะให้เขาทั้งสองแบบ ใครมีเงินมากก็ฟอกแบบดีหน่อย ใครมีเงินน้อยก็นอนไปสัก ๒ วัน จะเอาประเภทเครื่องเป็นล้านอย่างเดียวอาตมาก็ไม่ไหว เพราะ ๑๒ เครื่อง บอกเขาว่าจะให้ปีละ ๒ เครื่องก็แล้วกัน กว่าจะครบนี่ไม่รู้กี่ปี ? แต่ว่าปีนี้ทำห้องฟอกไตให้ก่อน หลวงพ่อมณฑลท่านช่วยมาห้าแสนบาท ทางด้านพวกชาวบ้านร่วมกันบริจาคมาก็น่าจะได้สัก ๒ เครื่อง แล้วเดี๋ยวปีหน้าอาตมาเพิ่มไปอีก ๒ เครื่อง ทุกอย่างก็จะดีขึ้น พอครบยูนิตเขา ๑๒ เครื่อง ก็คงไม่มีใครที่จะฟอกพร้อมกันทีหนึ่งเยอะขนาดนั้น" |
"ตอนอาตมาไปปากีสถาน ไปช่วยที่มูลนิธิที่เขาทำเรื่องฟอกไต คนปากีสถานน่าสงสารมาก เพราะว่ากินอาหารเนื้อเป็นหลัก ขนาดหนุ่ม ๆ สาว ๆ ยังฟอกไตกันเป็นแถวเลย พวกเราเข้าไปเยี่ยมเขาก็ดีใจ ทั้ง ๆ ที่เป็นอิสลามก็ยังอุตส่าห์ทักทาย บังเอิญอาตมาพอจะทักทายตามวิธีการของอิสลามเขาได้ เขาก็ยิ่งดีใจกันใหญ่ ตอนนั้นพวกเราก็เรี่ยไรเงินดอลลาร์ช่วยเขาไป เขาก็ยังอุตส่าห์ให้อนุโมทนาบัตรมา
คราวนี้พอเป็นบ้านเราเองก็ต้องทำ ถ้าโยมไม่อยากฟอกไตก็เปลี่ยนนิสัยการกิน กินผักกินผลไม้ให้ได้สัก ๗๐ เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือ ๓๐ เปอร์เซ็นต์ไว้กินเนื้อ เน้นพวกปลาให้มากเข้าไว้ เพื่อนพระสังฆาธิการคนโน้นก็ฟอกไต คนนี้ก็ฟอกไต อาตมาคงไม่ถึงคิวหรอก เพราะไม่ค่อยกินเนื้อ แล้วอีกอย่างถึงคิวเขาก็ต้องรีบบริการ เพราะว่าอาตมาเป็นคนไข้สำคัญอยู่แล้ว อาจจะไปลัดคิวคนอื่นให้เขาเดือดร้อน เดี๋ยวนี้พอไปโรงพยาบาลแต่ละที ทั้งผู้อำนวยการ ทั้งหมอ ทั้งพยาบาล วิ่งมากันหมด ต้องบอกว่า โน่น...คุณไปดูแลคนไข้ อาตมาเดินเองได้ แต่เขาไม่ค่อยฟังกันหรอก" |
ถาม : คนเราเสื่อมไปตามสังขาร เมืองไทยไม่ได้มีเครื่องฟอกไตมากพอ รู้สึกสงสารคนต่างจังหวัด ?
ตอบ: คิดถึงสมัยปู่ย่าตาทวดเราสิ อาหารคืออะไร ? ผัก น้ำพริก แกงส้ม แล้วก็ปลา ถึงขนาดมีคำพูดว่าที่ว่า "กินข้าวกินปลากันมาหรือยัง ?" "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" พวกเราเพิ่งจะมาบ้ากินแบบฝรั่งกันไม่นานนี้เอง แล้วไตก็พังกันหมด |
มีทิดเพิ่งสึกใส่หมวกมา "ไม่ต้องไปใส่หมวกหรอก จำไว้ว่าเรื่องการบวชคือเราทำความดี และเป็นการทำความดีสูงสุดในชีวิตลูกผู้ชายครั้งหนึ่งด้วย ต้องอวดเขา ไม่ใช่ประเภทไปใส่หมวกปิด ๆ บัง ๆ โกนหัวต่อไปอีก ๒ เดือนเลย ให้เขารู้เอาไว้ว่าเราไปบวชมา"
|
พูดถึงเทือกเขาหิมาลัย "นิ้วกลมบอกว่าหิมาลัยไม่มีจริง เพราะเขาไปแล้วเจอแบบนี้ เขาไม่เหมือนเรา แม่เจ้าประคุณจัดให้สะใจมาก ไม่ว่าจะไปมุมไหน คุณต้องการดูอะไร มีให้หมด ขนาดเขาถ่ายรูปเฮ ๆ อยู่ฝั่งซ้าย อาตมาอยู่ฝั่งขวา เอาเทือกเขามาให้ถ่ายได้อย่างไร ? ลองคิดดูว่าเครื่องบินเขาบินไปตรง ๆ แล้วหิมาลัยอยู่ฝั่งซ้าย โยมก็เฮไปถ่ายทางฝั่งซ้ายหมด อาตมามองออกหน้าต่าง อ้าว...แล้วฝั่งนี้คืออะไร ? ก็หิมาลัยทั้งเทือก ก็เลยถ่ายเพลินอยู่คนเดียว ไม่มีคนแย่ง ขอบคุณที่เมตตา
พอโยมเขาหายเห่อ มาชวนไปถ่ายรูปบ้าง อาตมาบอกว่าถ่ายได้แล้ว ไม่มีใครเชื่อ ต้องกดรูปให้เขาดู แล้วตอนที่บินจากอิสลามาบัดไปกิลกิต ข้ามหิมาลัยทั้งเทือกเลย วิสัยทัศน์สุดยอด มีกี่ร้อยยอดเห็นหมด ทั้ง ๆ ที่เขาบอกว่าเครื่องบินสายนี้บิน ๑๐ เที่ยว โอกาสที่จะข้ามได้สัก ๔ เที่ยวก็ยาก แล้วก็จริง ๆ พอเครื่องของเราเฉียดซอกเขาลงที่สนามบินกิลกิต อากาศก็ปิดเลย เที่ยวต่อไปมาไม่ได้แล้ว ต้องบอกว่าไปไหนนี่ถ้ารู้จักเจ้าที่ ท่านช่วยสงเคราะห์สุดชีวิตจริง ๆ" |
"บางส่วนที่อาตมาไม่เข้าใจเพราะว่าไม่เคยเห็น แล้วไปจินตนาการเอาเองก็คือธารน้ำแข็ง ธารน้ำแข็งนี่อาตมาก็คิดว่าใสปิ๊งเลย หรือไม่ก็ต้องขาวมาเชียว ที่ไหนได้..ดำคลั่กเลย...! เหมือนกับน้ำโคลนกลายเป็นน้ำแข็ง เพราะว่าไหลลงมาจากเขา ก็เอากรวดหินดินทรายมาด้วย แต่อาตมาไม่เคยเห็น ก็คิดว่าจะต้องใส ๆ หรือไม่ก็ขาว ๆ ของจริงไม่ใช่ ลงมานี่ดำดูไม่ได้เลย ถ้าหากว่าไม่เย็นก็คือขี้ดินดี ๆ นี่เอง
ด้วยความที่ไม่เคยเจอ อุตส่าห์ตะเกียกตะกายลงไปเพื่อที่ไปถ่ายรูป ตอนขึ้นนี่สิ ทั้งแบกทั้งหามเลย จะมีพวกชาวบ้านและเด็ก ๆ ทำตัวเป็นพี่เลี้ยงพาพวกเราขึ้น พาพวกเราลง ช่วยกันหอบช่วยกันหิ้ว สำหรับอาตมาเองเขาไม่ได้ช่วยอะไรเลย แล้วจะมาแบมือขอรางวัล บอกว่าเดี๋ยวเขกกบาลเลย พูดง่าย ๆ ว่าเดินยังไม่ทันอาตมาเลย แล้วจะมาขอรางวัล ก็เลยเอาปากกาให้ไปด้ามหนึ่ง เพราะว่าใช้ปากกาเขียนบันทึกอยู่ บอกเขาว่าเอาไปแค่นี้แหละ" |
ถาม : ที่ไหนครับ ?
ตอบ : ที่ปากีสถาน เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาเอเวอเรสต์ ทางด้านธารน้ำแข็งฮอปเปอร์ พวกเราก็ลุยตลอดแนวเขาคาราโครัมข้ามไปจีน ไปดูหิมะหน้าร้อนกัน หน้าร้อนเขาไม่มีหิมะ ไม่มีฝน พวกเราไปนี่กระหน่ำสะใจมาก อยากดูมากใช่ไหม ? โน่น...คนขออยู่โน่น (ยายจี๋) บ่นว่าอยากดูหิมะ อยากดูมากก็เอาไปเลย ตอนแรกฝนตกแล้วไกด์ไม่ยอมให้ไปต่อ อาตมาบอกเขาว่า "ไป..ขึ้นหน้าอย่างเดียวไม่ต้องฟังอะไรเลย..เชื่อข้า" ปรากฏว่าอีกไม่กี่นาทีกลายเป็นหิมะ ไกด์ค่อยโล่งอกไปที เขาบอกว่า Snow ok, rain not ok. ถามเขาว่าทำไม ? เขาบอกว่าฝนลงมา น้ำจะชะเอาหินลงมาด้วย แถวนี้ถล่มอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าหิมะลงมาจะคลุมอยู่ แล้วหินจะไม่ถล่ม พวกเราก็เลยไปเล่นกันเสียสะใจ อะไรที่เขาห้าม พวกเราทำกันหมด ห้ามวิ่ง ห้ามตะโกน ห้ามหัวเราะ ทำกันทุกอย่าง เขากลัวจะเป็นโรคแพ้ที่สูง ปรากฏว่าไม่มีใครเป็น นอกจากไกด์จากเมืองไทย ดมออกซิเจนอยู่บนรถลงไม่ไหว บรรดานักท่องเที่ยวกลายเป็นเด็ก เล่นหิมะกันหมด |
ไปที่สวิตเซอร์แลนด์ก็เหมือนกัน นั่นก็หิมะหน้าร้อน คราวนี้ทางด้านเจ้าของพื้นที่เขาบอกว่า ๓๐ กว่าปีแล้วเพิ่งจะมีอีกครั้งหนึ่ง เขาบอกว่าเคยเกิดครั้งหนึ่งเมื่อ ๓๐ กว่าปีก่อน อาตมาก็ระแวงว่า ๓๐ กว่าปีก่อน หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไป มาปีนี้หลวงลูกตามไป เพราะว่าหลวงพ่อก็ไปเข้าถ้ำน้ำแข็งโบราณที่อาตมาไปนั่นแหละ นึกขำ ๆ ว่า ถึงเวลาไปเทวดาท่านก็เลยสงเคราะห์ ๓๐ กว่าปีที่แล้วมีครั้งหนึ่ง แล้วก็เพิ่งจะมามีก็คือตอนที่อาตมาไป ฤดูร้อนมีหิมะนิด ๆ หน่อย ๆ เหลืออยู่บนยอดเขา อยากเห็นกันดีนัก เอาไปเสียให้เข็ด...!
เรื่องแบบนี้จะเรียกว่าบังเอิญก็ใช่ แต่บังเอิญจนน่าเกลียด บังเอิญบ่อยไปหน่อย ไปไหนก็เหมือนกัน เช็คอุณหภูมิก่อนไป ทิเบตอยู่ที่ประมาณ ๕ - ๗ องศา แต่ช่วงที่เราอยู่ ๑๘ - ๑๙ องศาตลอด เป็นอุณหภูมิที่พวกเรารับได้ ไม่อย่างนั้นก็ป่วยตายกันหมด พอลงมาแค่นั่งรถไฟเลื่อนออกจากลาซา เช็คอุณหภูมิใหม่ ลดเหลือ ๑๑ องศาแล้ว ตอนที่ถึงซีหนิงนี่ไม่รู้ว่าเหลือเท่าไร ? ไม่ได้ดู |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:12 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.