![]() |
ถาม : การที่คนเรามีบุคลิกคล้ายกันบอกอะไรได้บ้าง ?
ตอบ : บุญกรรมที่สร้างมาใกล้เคียงกัน |
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระมหาจุมพลท่านจบเปรียญธรรม ๙ ประโยค แล้วไปเรียนต่อ ท่านบอกว่า “เพิ่งจะรู้ว่าตัวเป็นกบในกะลา” ปกติทางพระเราจบประโยค ๙ ถือว่าสูงสุดแล้ว แต่ปรากฏว่ารู้เรื่องทางโลกนิดเดียว ไปเรียนกับเขาไม่รู้เรื่องเลย
ส่วนใหญ่แล้วพระเราที่เรียนบาลีต้องการจะเพิ่มวุฒิ จากเดิมที่เขาให้เทียบปริญญาตรี ก็จะปรับเป็นปริญญาโทหรือปริญญาเอก แล้วทางสกอ. และกระทรวงศึกษาธิการ ก็กำหนดว่าจะต้องเรียนอะไรเพิ่มบ้าง ซึ่งวิชาทั้งหลายเหล่านั้น ส่วนใหญ่แล้วพระเณรไม่เคยเจอมาเลย โดยเฉพาะท่านที่จบเปรียญธรรม ๙ ประโยค ก็มักจะเรียนตั้งแต่ตอนเป็นสามเณร ทำให้รู้วิชาสามัญน้อยมาก ไปเจอระบบการเรียน การคิด การเก็บคะแนนแบบใหม่ ๆ ก็มักจะไปกันไม่ค่อยเป็น อาตมาเองมีเพื่อนร่วมรุ่นที่เป็นเปรียญธรรม ๙ ประโยค มาเรียนปริญญาโทปริญญาเอกด้วย ก็ต้องช่วยอนุเคราะห์สงเคราะห์กันไปตามกำลัง แต่เพื่อนบางท่านก็ต้องบอกว่าหัวดีมาก อย่างพระมหากังวาล ธีรธฺมโม เปรียญธรรม ๙ ประโยค วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ตอนท่านเรียนโทเรียนเอก มีแนวคิดที่ชัดเจนมาก ทำวิทยานิพนธ์ออกมาชนิดเป็นหลักเป็นฐาน อวดคนอื่นได้ไม่อายใคร แต่ว่าบางท่านกรอบแนวคิดไปโดนจำกัดอยู่ตั้งแต่สมัยท่องบาลี ก็เลยทำให้แนวคิดไม่ชัดเจน เพื่อนฝูงก็ต้องช่วยกัน มาติวเพิ่มเติมให้ ต้องใช้ความพยายาม ใช้เวลาในการเรียน มากกว่าคนอื่นเขา" |
ถาม : มีคนจะขายที่ดินให้กับเจ้าของยาสีฟันดอกบัวคู่ ร้อยกว่าไร่ค่ะ อีก ๑ อาทิตย์ ดิฉันจะได้ค่านายหน้าไหมคะ ?
ตอบ : ไปนั่งภาวนาคาถาเงินล้าน มีเวลาตั้งอาทิตย์หนึ่ง ถาม : อาทิตย์หน้าจะได้ไหมคะ ? ตอบ : ทำ...ถ้าไม่ทำ มาถามอยู่ก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ ถ้าทำโอกาสก็ยังมี |
ถาม : ท่านที่เป็นเทวดาท่านไม่มีลมหายใจ เวลาท่านจะปฏิบัติภาวนา ท่านจะทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : เทวดาไม่จำเป็นต้องภาวนา เพราะอารมณ์ใจแต่ละชั้นท่านทรงตัวอยู่แล้ว เพียงแต่พยายามหากุศลมาเสริมหรือว่าใช้ปัญญาเพิ่มขึ้นเพื่อจะก้าวไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่า ถาม : กุศลที่จะหามาเสริมได้ เช่นอะไรบ้างครับ ? ตอบ : มีโอกาสก็สวดมนต์ มีโอกาสก็ไหว้พระ มีโอกาสก็ทำบุญ มีโอกาสก็ฟังเทศน์ เป็นต้น |
ถาม : ถ้าดวงจิตดวงเดียวกัน มีความตั้งใจเท่ากัน สร้างกุศลในฐานะที่เป็นเทวดา สร้างกุศลในฐานะที่เป็นมนุษย์ ที่เหนือจากการภาวนา อย่างนี้มนุษย์จะได้บุญบารมีหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่แน่...สำคัญแต่ว่าถูกกาละถูกเทศะหรือไม่ ถ้าสมมติว่ามนุษย์สร้างกุศลอยู่ในช่วงที่โลกว่างจากพระพุทธศาสนา ทำให้ตายก็ไม่ได้อะไรเท่าไรหรอก |
ถาม : ท่านที่เป็นเทวดา ท่านจะปฏิบัติกรรมฐานในกองอานาปานสติ สามารถเจริญได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ท่านสามารถยึดในอนุสติ ๑๐ ได้ ยกเว้นอานาปานสติ ส่วนกรรมฐานกองอื่น ๆ ส่วนใหญ่แล้วถ้าไม่มีอานาปานสติประกอบ แม้แต่คนเราก็ทรงฌานไม่ได้ |
ถาม : เคยได้ยินมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า ไม่สนับสนุนให้ใฝ่ในการทำอุปจารสมาธิเกี่ยวกับเรื่องคิด ถ้าเราตั้งใจในการทำจิตให้ผ่องใสได้มากที่สุด แต่เราก็ไม่รู้ว่าเป็นสมาธิขั้นไหน เราต้องคิดอย่างไรครับ ?
ตอบ : แล้วทำไมต้องคิด ? ทำได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น |
ถาม : เวลาที่เราอุทิศบุญกุศลแบบที่เราเจาะจง ๑ ท่าน เจาะจง ๒ ท่าน ถ้าหากว่าเจาะจง ๒ ท่าน ๒ ท่านนั้นจะได้น้อยกว่าที่เราเจาะจง ๑ ท่านหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ได้เท่ากัน |
ถาม : ถ้าหากพูดถึงพม่า ผมจะมีความรู้สึกลึก ๆ ไม่ได้ถึงกับเกลียดชัง แต่มีอะไรคาใจ เราควรจะคิดถึงประเทศพม่าในแง่ไหนดี ?
ตอบ : คิดว่าน่าไปเที่ยวมาก..! |
ถาม : การที่จะได้ใจสะอาดมากน้อย มีส่วนช่วยในการได้อภิญญามากขึ้นไหมครับ ?
ตอบ : สำคัญตรงสมาธิ ใจสะอาดแต่ขาดสมาธิ โอกาสได้อภิญญาก็ไม่มี |
ถาม : การที่เรายอมรับความจริงต่าง ๆ ถือว่าเป็นปัญญาไหมครับ ?
ตอบ : ถามว่ายอมรับแค่ไหน ? ยอมรับแบบหาทางออกไม่ได้ก็ไร้ปัญญาโดยสิ้นเชิง..! ถาม : ถ้าเรายอมรับว่าเป็นตามกฎแห่งกรรม เราก็ไม่ไปทุกข์กับสิ่งนั้น เป็นปัญญาไหมครับ ? ตอบ : เป็น ถาม : ปัญญานี่มี ๓ อย่าง หรือแค่ไหนครับ ? ตอบ : ไปดูในวิสุทธิมรรค อธิบายเฉพาะเรื่องปัญญาไว้เป็นร้อย ๆ แบบ |
ถาม : การที่เราพูดในมุมมองต่าง ๆ บางทีเราเลือกที่จะพูดมุมมองหนึ่ง ไม่ได้พูดโดยรวม ไม่ได้ตั้งใจจะโกหกเขา เราตั้งใจทำแบบนี้ เราผิดศีลไหมครับ ?
ตอบ : ดูที่เจตนา ถ้ามีเจตนาหลอกลวงเขาก็ผิดศีล |
ถาม : ผมเคยได้ยินเขาพูดว่า แค่ไม่ทุกข์ก็สุขแล้ว จริงหรือไหมครับ ?
ตอบ : แล้วสุขคืออะไร ? สุขคือความทุกข์ลดน้อยลงชั่วขณะเท่านั้น เพราะฉะนั้นความสุขจริง ๆ นั้นไม่มีในโลกนี้หรอก |
ถาม : ผมตกนรกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องสงสัย เดี๋ยวก็กำลังจะไปอีก...! |
ถาม : การที่เราเกิดมาชาตินี้ เราทำมาหากินลำบาก บุพกรรมที่เราเคยทำเป็นแบบไหนครับ ?
ตอบ : ขาดความอนุเคราะห์สงเคราะห์ต่อคนอื่น ถาม : แค่ไม่ได้อนุเคราะห์สงเคราะห์คนอื่นนี่เป็นบาปกรรมหรือครับ ? ตอบ : คนอื่นเขาจะไป เราก็ขวางทางเขา ถึงเวลาสมควรช่วยก็ไม่ช่วย แล้วเราจะเอาความสะดวกสบายมาจากไหน ? ถาม : แต่ถ้าเราช่วยหรือไม่ช่วยก็เป็นสิทธิ์ของเรา ทำไมเราต้องได้รับความลำบากด้วย ? ตอบ : ถ้าคุณไม่เห็นก็แล้วไป ถ้าคุณเห็นแล้วไม่ช่วย ต่อไปคนเขาเห็นคุณก็ไม่ช่วยเหมือนกัน ก็จงทนลำบากต่อไป |
ถาม : ถ้าเราสวดมนต์หรือคาถา จริง ๆ แล้วเราควรจะต้องรู้ความหมาย หรือเราควรจะแค่ศรัทธาอย่างเดียว ไม่ต้องรู้อะไรมาก ?
ตอบ : เริ่มต้นก็ต้องการแค่ศรัทธา ถ้ารู้มากก็เข้าไม่ถึง รังแต่จะสงสัยมากขึ้น ทำให้ผลลดน้อยลง |
ถาม : วิธีการเทคนิค คิดว่าเขาเป็นญาติเรา เราจะได้ไม่คิดในทางชู้สาว หรือคิดว่าเขาเป็นเด็ก ?
ตอบ : ไม่ใช่เทคนิค ต้องเกิดจากน้ำใสใจจริง ถาม : น้ำใสใจจริงเป็นอย่างไรครับ ? ตอบ : ต้องเห็นอย่างนั้นจริง ๆ ถาม : ถ้าเห็นอย่างนั้นจริง ๆ เกิดจากอะไร ? ตอบ : เกิดจากกำลังใจของเราที่ความดีมีมากกว่าชั่ว สรุปว่าชั่ว ๆ อย่างคุณทำไม่ได้หรอก...! |
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยนี้รองเท้าส่วนใหญ่ใช้การหล่อขึ้นรูป โดยเฉพาะบรรดารองเท้าแตะ สมัยที่อาตมาธุดงค์อยู่ รองเท้าที่ค่อนข้างจะกระชับ มีที่ล็อกนิ้วเท้า มีที่ล็อกส้นเท้า ส่วนใหญ่พื้นรองเท้าจะเป็นคนละชิ้นกับตัวรองเท้า พอเจองานหนัก ๆ เจอเดินป่าเข้าไปก็หลุดไปคนละส่วน
ฉะนั้น...สมัยก่อนการธุดงค์ สิ่งที่พระแนะนำต่อกันมา ก็คือ ถ้าใส่รองเท้าเข้าป่าให้ใช้รองเท้าแตะ ถ้าไม่ใช่ตราช้างดาวก็ให้เป็นตราดาวเทียม เพราะว่าค่อนข้างจะทนกว่ายี่ห้ออื่น ขณะเดียวกันถ้าหากว่าฝนตก ฟืนเปียก ก่อติดยาก ก็ปาดเอาพื้นรองเท้าออกมาชิ้นเล็ก ๆ เป็นเชื้อไฟที่ดีที่สุด เพราะว่าติดแล้วดับยาก ช่วยให้สามารถก่อไฟได้ง่าย ถ้ามีรองเท้าที่หล่อขึ้นรูปทั้งชิ้นแบบปัจจุบันนี้ น่าจะทำให้การเดินธุดงค์สะดวกสบายกว่านี้มาก เสียดายว่ายุคสมัยไม่ทันกัน เทคโนโลยีไม่ทันกัน เพราะฉะนั้น...รองเท้าที่เขาทำไว้ใส่ในเมือง พอไปเดินในป่าก็หมดสภาพเลย ยิ่งรองเท้าประเภทรองเท้าหนัง ไม่ว่าจะเป็นหนังแท้หรือหนังเทียมก็ตาม พอโดนน้ำแล้วหลุดเป็นชิ้น ๆ หมด ถ้าแบบไหนทนได้ เมื่อตากแห้งก็เกิดอาการกัดแหลกขึ้นมาอีก เพราะว่าเวลาหนังโดนน้ำแล้วจะยืดขยาย พอตากแห้งก็หดตัวใหม่ กัดเท้าเป็นแผลหมด" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้เป็นเดือนมีนาคม เพิ่งจะอยู่ข้างแรมเดือนสี่ ก็แปลว่าเพิ่งเข้าฤดูร้อน ถ้าเป็นสมัยก่อนฝนฟ้าที่ตก ก็จะประมาณฝนชะลาน ฝนชะช่อมะม่วง สมัยนี้บทฝนจะมาก็มาจริง ๆ จัง ๆ เลย ไม่ใช่ชะลานแล้ว แต่กวาดลานไปเลย แล้วก็ไม่ได้ชะช่อมะม่วงด้วย แต่โค่นต้นมะม่วงกันเลย อากาศเปลี่ยนไปได้จนขนาดนี้
ท่านกอล์ฟไปถามทางบ้านสิว่า พวกทุเรียน ลองกองออกหรือยัง ?เพราะว่าอากาศแบบนี้ผลไม้จะแก่เร็วมาก สุกเร็ว แล้วจะสุกจากใต้ขึ้นเหนือ แต่ถ้าข้าวนี่จะสุกจากเหนือลงใต้ เพราะว่าข้าวจะสุกตอนลมหนาวมา ข้าวจะสุกจากเหนือลงใต้ แต่ผลไม้จะสุกจากใต้ขึ้นเหนือ แสดงว่าไม่เคยสังเกตเลยใช่ไหม ? โบราณเขารู้มาก่อน เขาสามารถบอกลูกบอกหลานให้สังเกตเอาได้" |
ถาม : โยมเคยไปภาวนาอยู่ที่หนึ่ง เมื่อเกือบสิบปีที่แล้วค่ะ มีพระรูปหนึ่ง เขาก็จะมากวนเมื่อมีโอกาส และเข้าแทรกแซงบุคคลที่เกี่ยวข้อง ล่าสุดก็คือ อาเจียนเกือบทั้งวันและเริ่มจะไม่มีแรงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีวันหมด เพราะเขาก็จะส่งเข้ามา โดยที่เราทำอะไรไม่ได้ ?
ตอบ : ไปหาหมอสมัยใหม่บ้างหรือยัง ? ถาม : ยังค่ะ ? ตอบ : ลองไปหาดูนะ ถาม : เกี่ยวกับอะไรคะ ? ตอบ : ฮอร์โมนพร่อง บอกหมอว่าแก่แล้ว ช่วยจัดฮอร์โมนเพิ่มให้หน่อย ถาม : ควรไปเข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรไหมคะ ? ตอบ : ถึงเวลามีพิธีก็ไป ถาม : ส่วนที่มีเข้ามารบกวน ไม่ต้องแก้ไขอะไรหรือคะ ? ตอบ : เมื่อเราภาวนาอารมณ์ใจทรงตัวได้ อย่างอื่นก็กวนไม่ได้ ให้สังเกตว่าถ้าเราอยู่กับลมหายใจเข้าออกแล้วจะไม่เป็น ถ้าหลุดจากลมหายใจเมื่อไรถึงจะเป็น ถาม : ใช่ค่ะ จะกระตุก ? ตอบ : ถ้าอยู่กับลมหายใจของเราก็หมดเรื่อง |
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีเรื่องใหญ่ในวงการสงฆ์อยู่เรื่องหนึ่ง ก็คือเขาให้พระทุกวัดหยุดการออกโมทนาบัตรไว้ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป เพื่อที่จะให้ทางกรมสรรพากรคิดหาวิธีในการหักภาษีและออกอนุโมทนาบัตรจากพระ ต้องเรียกว่ารอบคอบรัดกุมที่สุดก่อน เท่าที่ฟังมาก็คือ ต้องมีเงินโอนเข้าบัญชีวัด แล้วถึงจะออกอนุโมทนาบัตรตามยอดเงินนั้นได้ ซึ่งเป็นการทำเรื่องง่ายให้ยากขึ้น แล้วก็เป็นการรีดภาษีจากวัดอีกด้วย
โดยเฉพาะว่าทำให้คนทำบุญยากขึ้น คนจะได้เบื่อไม่ไปทำบุญ วัดจะได้อยู่ไม่ได้ แต่ทางวัดท่าขนุนของเราใครขอก็จะออกใบอนุโมทนาบัตร เราให้ไปเรื่อย ๆ เพราะว่าเรื่องอย่างนี้เป็นหน้าที่ซึ่งระบุเอาไว้ชัดเจนว่า ถ้าทางญาติโยมขอ ทางวัดต้องออกอนุโมทนาบัตรให้ โดยเฉพาะถ้าเป็นกฎหมายออกมาบังคับ ส่วนใหญ่ก็คือไม่ได้บังคับย้อนหลัง แต่ถ้าบังคับย้อนหลังเพราะว่ามีคำสั่งว่าให้หยุดตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๑ เมื่อถึงเวลาให้เอาโมทนาบัตรใบเก่ามา อาตมาจะออกแบบใหม่ตามแบบของกรมสรรพากรให้ พูดง่าย ๆ ก็คือ เขาว่าอะไรมาไม่ใช่เราบ้าจี้ตามเขาอย่างเดียว ต้องดูความเหมาะสมด้วย" |
"ยังคิดว่าถ้าทางสรรพากรจะเป็นคนออกโมทนาบัตรลักษณะใบเสร็จเอง อาตมาก็จะส่งไปให้รายละร้อย รายละยี่สิบ รายละห้าสิบ เจอไปวัดละสองพันใบก็บ้าแล้ว แบบเดียวกับที่เขาออกกฎว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ถ้าเอากล้องถ่ายรูป เอาโน้ตบุ๊ก เอานาฬิกา เดินทางไปใช้งานที่ต่างประเทศต้องแจ้งศุลกากรก่อน ต้องถ่ายรูปอย่างละสองชุด บอกหมายเลขเครื่องให้ชัดเจนด้วย เวลากลับมาก็ต้องแจ้งด้วยว่าเอากลับมาแล้ว ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นผิดกฎหมาย
เรื่องนี้คนก็คิดได้ แต่ลืมใช้หัวแม่เท้าคิดว่าในเรื่องของทางปฏิบัติ ว่า สามารถทำได้ไหม ? คนเดินทางวันหนึ่งกี่พันกี่หมื่นคน แค่งานปัจจุบันผ่านเครื่องเอ็กซเรย์ก็แย่แล้ว ถ้าแต่ละคนต้องไปรายงานก่อน คนหนึ่งยี่สิบนาทีจะเสร็จไหม ? จะตกเครื่องบินกันอีกเท่าไรก็ไม่รู้ อีกอย่างของที่ใช้ก็เห็น ๆ กันอยู่ ส่วนใหญ่ก็ถลอกปอกเปิกกันทั้งนั้นเลย กระทั่งของอาตมาเอง ถ้าของที่เขาเอาเข้ามาเพื่อจำหน่ายจะต้องมีซีล มีกันกระแทก มีกล่องอย่างดี ซึ่งลักษณะอย่างนั้นมองดูก็รู้ ว่าไม่ใช่ของที่เราติดมาเพื่อใช้งาน ส่วนใหญ่ข้าราชการของเรามักจะใช้หัวแม่เท้าคิดแทนในการทำงาน อยากจะมีผลงานแต่ลืมดูเรื่องของปฏิบัติการว่าจะมีคนทำไหวหรือไม่ ? เดี๋ยวพอโดนคนด่ามาก ๆ เข้าก็คงจะดีขึ้นเอง ไม่โดนด่าก็ไม่ได้สติ กฎระเบียบแบบสิ้นสติก็ยังอุตสาห์ออกมาได้" |
ถาม : ในการสร้างพระ อย่างพระถวายสังฆทาน เห็นเขาเขียนว่าเป็นพระสมเด็จองค์ปฐม ?
ตอบ : เป็นเพราะเขาเขียน ถาม : เห็นแล้วไม่กล้าเลย ? ตอบ : เป็นหรือไม่เป็นอยู่ที่เรานึก เห็นภาพพระแล้วไม่ได้นึกถึงพระ ก็ไม่สามารถที่จะเป็นพระได้ เห็นพระพุทธรูปแล้วถ้าไม่ได้นึกถึงสมเด็จองค์ปฐม ต่อให้เขาบอกว่าเป็นสมเด็จองค์ปฐมก็ไม่เป็น |
พระอาจารย์บอกว่า "วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๑ ธนบัตรชุดใหม่จะออกแล้วนะ ของเก่าใครจะเก็บก็ต้องรีบเก็บแล้ว ถ้าจะเก็บก็เก็บประมาณเลขตอง เลขเรียง เลขเก้าหน้าเก้าหลัง"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "หนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์ฉบับนี้ขึ้นปีที่ ๑๕ แล้ว ไม่นึกว่าจะยืนหยัดมาได้นานขนาดนี้ เห็นมีแต่ที่อื่นเขาปิดตัวไปหมด ที่อื่นส่วนใหญ่เขาจะหาเรื่องใหม่ ๆ มาลงไม่ได้"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงที่ที่ดินวัดอันตรายที่สุด คือ ช่วงของนายกรัฐมนตรีทักษิณ เพราะที่ดินวัดจะเปลี่ยนแปลงการถือครองได้ต้องออกเป็นพระราชบัญญัติเท่านั้น คราวนั้นคุณทักษิณสั่งทีเดียวก็ออกได้เลย แล้วนายกฯ ทักษิณท่านมีโครงการแปลงที่วัดเป็นทุน ...(หัวเราะ)... ประเภทหากำไรจากที่ดินของวัด
กฎหมายคุ้มครองป้องกันวัดเอาไว้แน่นหนามาก เรื่องที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ที่ไม่จบสักทีเพราะว่าเป็นที่วัด ในเมื่อเป็นที่วัดจะเป็นอื่นไปไม่ได้ แม้ว่าคุณจะครอบครองไปกี่ร้อยปีก็ตาม ยกเว้นว่าออกเป็นพระราชบัญญัติเท่านั้น เขากลัวว่าพวกเจ้าอาวาสประเภทอยากได้เงินไปขายที่วัดจนหมด ถ้าออกเป็นพระราชบัญญัติแปลว่าต้องเข้า ครม. ต้องผ่านสองสภา ยากขนาดนั้น เรื่องของที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ก็เลยยุ่งมาจนทุกวันนี้ แล้วกฎหมายครอบครองถึงขนาดระบุเอาไว้ว่า ห้ามคู่ความยกเรื่องที่ดินวัดขึ้นฟ้องร้อง เพราะว่าฟ้องเมื่อไรคุณก็แพ้ เสียเวลาเขา ...(หัวเราะ)... ตอนนี้ สนช. ๘๔ คน มีอิสลามไป ๖๓ คนชัด ๆ ที่เหลือเป็นแนวร่วมเท่าไรไม่รู้ ฉะนั้น...ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมการแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์เพื่อเปลี่ยนแปลงการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชถึงเสร็จสามวาระภายในวันเดียว ก็รู้ ๆ อยู่ว่าทำไปแล้วจะสร้างความแตกแยกจึงต้องรีบทำ" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระหลวงพ่อกวย ถ้าไม่ใช่ยุคแรกจริง ๆ คำว่ายุคแรกจริง ๆ ประมาณช่วง พ.ศ. ๒๕๐๐ ไม่เกิน พ.ศ. ๒๕๐๕ ท่านจะทำเป็นเนื้อผง โดยเฉพาะใช้ผงวัดระฆังของหลวงปู่นาค แล้วเสกร่วมกับหลวงปู่นาคเป็นส่วนใหญ่ หลังจากปี ๒๕๐๕ เป็นต้นมาท่านจะทำเป็นผงน้ำมัน ผงน้ำมันของหลวงพ่อกวยเนื้อจะหนึกนุ่มมาก ประเภทดูปุ๊บจะรู้เลยว่าใช่ พูดง่าย ๆ ก็คือ มีลักษณะเหมือนกับแช่น้ำแล้วไม่ละลาย
ของพวกนี้ถ้าไม่มีของจริงอยู่ในมือ ก็ไม่มีตัวอย่างให้ศึกษา เราก็ต้องเสียค่าครูไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะรู้จริง ครูถึงจะเลิกคิดค่าหน่วยกิต เพราะว่าพระหลวงพ่อกวยเป็นพระที่ปลอมเกือบจะมากที่สุดในประเทศไทย โดยเฉพาะส่วนที่ไม่แนะนำเลยก็คือ สมเด็จแหวกม่านกับสมเด็จปรกโพธิ์ เพราะว่าลูกศิษย์เอาแบบไป เอาผงไป แล้วไปทำกันเอง ดูไม่ออกเลย ผงก็ใช่ แบบก็ใช่ สิ้นหลวงพ่อแล้วใครอยากได้อะไรก็ขนเอา เพราะฉะนั้น...หลายคนที่บอกว่าอยากได้สมเด็จปรกโพธิ์ อยากได้สมเด็จแหวกม่าน ขอแนะนำว่าอาตมายังดูไม่ออกเลยว่าของปลอมกับของจริงต่างกันตรงไหน" |
"ช่วงหลังปี พ.ศ. ๒๕๐๐ หลวงพ่อกวยเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดัง ก็ได้รับนิมนต์ไปพุทธาภิเษกที่นั่นที่นี่ เมื่อไปพุทธาภิเษกที่วัดระฆังของหลวงปู่นาค แล้วไปเจอหลวงปู่นาคท่านสร้างสมเด็จปรกโพธิ์
เมื่อหลวงปู่นาคท่านสร้างสมเด็จปรกโพธิ์ หลวงพ่อกวยท่านเห็นแบบสวย มีความหมายลึกซึ้ง ท่านก็เลยเอามาทำบ้าง กลายเป็นว่าสมเด็จปรกโพธิ์รุ่นแรก ๆ บางทีจะเป็นของวัดระฆังโดยตรงเลย สังเกตดูว่าถ้าเป็นของวัดระฆังเนื้อผงจะร่วน ๆ ก็คือเป็นเนื้อผงวิเศษผสมปูนเปลือกหอย ตอนหลังหลวงพ่อกวยท่านมาพัฒนาเป็นเนื้อน้ำมัน เพราะว่าไม่ได้มีผงตุนเอาไว้มากมายเหมือนอย่างของวัดระฆัง ...(หัวเราะ)... วัดระฆังเปิดกรุ วัดบางขุนพรหมเปิดกรุ ผงเหลือก้นกรุทางวัดระฆังตุนไว้เป็นหาบ ๆ หลวงพ่อกวยท่านไม่มีมากขนาดนั้น ท่านก็เลยต้องใช้ผงน้ำมันแทน" |
ถาม : (นิกายประหลาด)
ตอบ : ประเทศไทย ไม่เห็นหรือว่าตอนนี้สันติอโศกก็เท่ากับว่าเป็นนักบวชนอกกฎหมาย ธรรมกายก็โดนเล่นงานหัวซุกหัวซุนอยู่ ถ้าหากว่าศึกษาตำราจีน ประวัติศาสตร์จีนไป ก็จะรู้ว่าถึงเวลากระต่ายตายก็ต้มหมาล่าเนื้อ เพราะฉะนั้น...ตอนนี้วัดอ้อน้อยกำลังเป็นหมาล่าเนื้ออยู่ แต่ถ้ากระต่ายตายหมดเมื่อไรวัดอ้อน้อยก็ตายด้วย ...(หัวเราะ)... ต้องบอกว่าทางวัดอ้อน้อยก็หลงผิดไปหน่อย ประเภทเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น ถึงเวลาพอกลายเป็นหมาล่าเนื้อโดนต้ม จึงไม่มีใครยื่นมือมาช่วย กว่าจะสำนึกได้ก็ไม่ทันแล้ว |
ถาม : มีคนเปิดเทศน์เขาให้ฟัง รู้สึกว่าไม่อยากฟังเลย เวลาท่านเทศน์มีหลักพระไตรปิฏกอยู่ไม่ใช่หรือคะ ?
ตอบ : สพฺพปาปสฺส อกรณํ กุสลสฺสูปสมฺปทา สจิตฺตปริโยทปนํ ไม่เกินสามอย่างนี้ นั่นแหละคือหลักที่พระพุทธเจ้าท่านให้พระไปสอนชาวบ้านโดยตรงเลย ถ้าสอนก็ให้สอนอยู่ในหลักนี้ คือ สอนให้เว้นจากความชั่ว สอนให้ทำความดี สอนให้ชำระใจของตนให้ปราศจากกิเลส |
พระอาจารย์กล่าวว่า "จะมีการตั้งจังหวัดใหม่เพิ่มอีก ๖ จังหวัด คือ จังหวัดบัวใหญ่แยกจากนครราชสีมา จังหวัดเดชอุดมแยกจากอุบลราชธานี ปรากฏว่าอุบลราชธานีรอบนี้ก็โดนแยกแล้วแยกอีก จังหวัดกันทรลักษณ์แยกจากศรีสะเกษ จังหวัดชุมแพแยกจากขอนแก่น จังหวัดนางรองแยกจากบุรีรัมย์ จังหวัดนาทวีแยกจากสงขลา จังหวัดท่าศาลาแยกจากนครศรีธรรมราช
แต่ของจังหวัดนครศรีธรรมราชที่แยกนี่ได้สุราษฎร์ธานีมาด้วย เขาเอาอำเภอขนอมของทางด้านล่างของนครศรีฯ มา แล้วก็เอาอำเภอดอนสักของสุราษฎร์ธานีมาสมทบ ต่อไปเวลาเราไปหาดใหญ่ต้องบอกว่าไปจังหวัดนาทวีนะ ไม่ใช่จังหวัดสงขลาแล้ว" |
ถาม : อริยมรรคมีองค์ ๘ แบ่งเป็นอะไรบ้างครับ ?
ตอบ : แบ่งออกเป็นศีล สมาธิ ปัญญา เพราะว่าในมรรค ๘ นั้น สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ เป็นปัญญา ต้องมีสัมมาทิฐิ รู้ดีรู้ชั่ว ถึงจะยึดแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องได้ ต้องมีสัมมาสังกัปปะ คือดำริชอบ อย่างเช่นว่า ดำริที่จะออกจากกาม ดำริต้องการพ้นทุกข์ อย่างนี้นับเป็นปัญญา สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ เป็นศีล สัมมาวาจา พูดดี ไม่โกหก ไม่ส่อเสียด ไม่เพ้อเจ้อ ไม่พูดวาจายุให้เขาแตกร้าวกัน สัมมากัมมันตะ กระทำถูกต้อง คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ดื่มสุราเมรัย สัมมาอาชีวะ ทำอาชีพที่ถูกต้องทั้งศีลธรรมและกฎหมายบ้านเมือง เหล่านี้เป็นเรื่องของศีล แล้วก็ไปสัมมาวายามะ ความเพียรที่ถูกต้อง เพียรละชั่ว เพียรทำดี เพียรสร้างความดีให้เกิด เพียรรักษาความดีเอาไว้ แล้วก็ไปสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ก็รู้อยู่แล้วว่าต้องอาศัยสมาธิเป็นหลัก เพราะฉะนั้น..ตรงนี้ก็จะเป็นตัวสมาธิ ทีนี้เราแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน การใช้งานถ้าหากว่ามีปัญญา ก็จะรู้ว่าศีลดีอย่างไรถึงรักษาศีล เมื่อรักษาศีล การที่สติเราตั้งมั่นระมัดระวังในศีลอยู่ ก็ทำให้สมาธิเกิดขึ้น เมื่อมีสมาธิเกิดขึ้น ก็ไปช่วยให้ตัวปัญญาผ่องใส ใช้ในการตัดละกิเลสได้มากขึ้น ถาม : ในด้านปริยัติ ปฏิบัติ ก็คือ...? ตอบ : ปริยัติก็ยกทฤษฎีมาทั้งดุ้น ปฏิบัติเป็นเรื่องของการลงมือทำ อาตมาเองเรียนจนจบปริญญาเอก ก็ยังคิดว่าเราหลงทางหรือเปล่า ? แต่พอมาถึงจุดนี้จะเห็นว่า บางทีใบปริญญาเอกก็ไปช่วยค้ำว่าทฤษฎีของเราถูก ส่วนเรื่องของการปฏิบัติคุณมีอยู่แล้วก็ทำไปก็แล้วกัน กลายเป็นปลาสองน้ำ น้ำจืดก็ได้ น้ำเค็มก็ได้ อยู่ที่ว่าจะหันหัวลงทะเล หรือจะหันหัวขึ้นแม่น้ำ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยเด็ก ๆ เวลาไปบ้านยายที่หลังไปรษณีย์บางกอกน้อย แถวนั้นเรียกว่าบ้านช่างหล่อ ก็คือช่างแถวนั้นมีความสามารถในการหล่อโลหะ โดยเฉพาะหล่อพระพุทธรูป อาตมาชอบไปดูเขาปั้นพระ ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองชอบ ชอบมาตั้งแต่เด็ก ๆ ไปดูเขาใช้ปีบบรรจุรังผึ้งจนกระทั่งแน่น เติมน้ำลงไป ยกขึ้นตั้งไฟ จนกระทั่งขี้ผึ้งลอยหน้าก็ช้อนมาปั้นเป็นก้อน ๆ หลังจากนั้นก็เอามาใช้ในการปั้นพระ เขามีการขึ้นโครงแล้วก็เอาขี้ผึ้งพอกลงไป หลังจากนั้นก็ใช้เครื่องมือเกลาให้ได้รูปขนาดแบบที่ตัวเองต้องการ
แต่ทีนี้มีข้อสังเกตอยู่อย่าง ก็คือว่า ช่างคนไหนหน้าตัวเองเป็นแบบไหน ก็จะปั้นพระพุทธรูปออกมาหน้าตาแบบนั้น ตรงนี้จะว่าไปแล้วก็เป็นจิตใต้สำนึกอย่างหนึ่งที่เห็นว่าตัวเองดีที่สุด เพราะฉะนั้น...รูปลักษณ์ที่ออกมาคล้ายตัวเองก็จะเป็นที่พอใจที่สุด ต้องบอกว่าเป็นสักกายทิฏฐิอย่างหนึ่ง แต่ว่าคนมักจะไม่รู้ตัว" |
"สมัยแรก ๆ ที่ไปวัดท่าซุงช่วงประมาณปี ๒๕๑๘ ช่วงนั้นช่างประเสริฐเริ่มเข้ามาทำงานที่วัดท่าซุง ปั้นพระพุทธรูปสองสามองค์หน้าตาเหมือนกับตัวเองหมด หลังจากนั้นหลวงพ่อวัดท่าซุงก็สอนให้จุดธูปขอบารมีพระ ขอให้ท่านวิษณุกรรมเทพบุตรสงเคราะห์ ขอให้ทำออกมาได้มีเค้าหน้าใกล้เคียงกับพระบรมรูปขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ช่างประเสริฐก็เริ่มทำออกมาต่างจากความเคยชินของตัวเองได้
ส่วนท่านอาจารย์สุชาติ ที่เมื่อวานเราไปโรงหล่อของท่าน ท่านอาจารย์สุชาติรู้ตัว รู้ว่าถ้าไม่ฝืนมือจะออกมาเป็นหน้าตัวเอง ท่านบอกว่าทุกครั้งท่านจะต้องนึกถึงพระเป็นหลักแล้วฝืนมือเอาไว้ พยายามให้ไปตามรูปลักษณ์ของพระที่ตัวเองนึกไว้ในใจ แต่ไม่ให้เป็นหน้าตัวเอง ...(หัวเราะ)... ถ้าหากว่าช่างที่ไม่รู้ตัวจะฝืนมือตัวเองไม่ได้ หน้าตาจะเหมือนตัวเองหมด ท่านอาจารย์สุชาตินี่ต้องบอกว่ากำลังใจของท่านนี่ใช้ได้เลย ก็คือถ้าเป็นคนทั่วไปก็ต้องบอกว่าสังหรณ์แม่น แต่ความจริงนั่นคือผลของการที่ทุ่มเทสมาธิกับการงาน จนเกิดความรู้พิเศษขึ้นมาในลักษณะของทิพจักขุญาณ ท่านไปที่ศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สายที่วัดท่าขนุนครั้งแรก ตอนที่ยังสร้างยังไม่เสร็จ ไปถึงพระที่รับสังฆทานอยู่ก็พาท่านไปทางด้านที่ตั้งมณฑป เพื่อให้ท่านดูสถานที่ เพื่อให้ท่านปั้นพระให้ได้ขนาดที่พอเหมาะ แต่ท่านอาจารย์สุชาติบอกว่าไม่ใช่ตรงนี้ แล้วก็เลี้ยวไปด้านที่ตั้งพระประธานนั่นแหละ แสดงว่าจริง ๆ แล้วในส่วนของความเป็นทิพย์ของท่านก็มี ท่านเองก็คงจะมีประสบการณ์จนกระทั่งชินจึงยอมคล้อยตาม ถ้าหากว่าคนทั่ว ๆ ไปไม่คล้อยตามหรอก ต้องคิดว่าตรงนี้ใช่ แล้วก็ดื้อจะเอาตรงนั้นให้ได้" |
"แบบเดียวกับสูตรหล่อหลวงพ่อนาก ที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในโลกนี้ ถ้าเป็นคนอื่นก็ต้องดื้อ เพราะว่าไม่เข้าสูตรกับใครเลย จะเป็นไปได้อย่างไร ? แต่ด้วยความที่อาตมามีประสบการณ์เรื่องนี้มามาก อะไรที่พระท่านสั่งต้องใช่ อาตมาก็แค่ทำตามเท่านั้น ถ้าไปดื้อก็เหนื่อยเอง
มหาเอท่านถึงได้บอกว่า "อาจารย์ขอสูตรพระท่านมาตั้งแต่แรกก็หมดเรื่องแล้ว ไม่ต้องเสียเวลามาหากันแทบตาย" ก็เลยบอกท่านไปว่า "แล้วคุณเคยเห็นไหมที่พระท่านให้ง่าย ๆ ? ส่วนใหญ่ท่านก็ปล่อยเราใช้ความพยายามจนหมดความสามารถแล้วนั่นแหละ ท่านถึงจะบอก" |
ต่อไปก็เช็ดพระอย่างมีความสุข ตอนนี้พอพระเวรสังฆทานเริ่มเข้าเวรต้องเช็ดพระก่อนหนึ่งรอบ ใช้ผ้าสะอาดเช็ดถูกันให้ทุกซอกทุกมุมไปก่อนรอบหนึ่ง เพราะว่าแค่ไม่กี่วันพอโลหะทำออกซิเดชั่นกับอากาศก็จะเกิดสนิมสีดำ ๆ ขึ้นมาคลุมองค์พระ ถ้าปล่อยให้หนาก็จะเช็ดไม่ออก ดังนั้น...พระที่รับสังฆทานต้องมีหน้าที่เช็ดพระทุกวัน
มีอยู่ช่วงหนึ่งปลัดนกเป็นเวรมีหน้าที่รับสังฆทาน ด้วยความที่เคารพพระมาก ใช้ผ้าเย็นใหม่เอี่ยมไปเช็ด บอกท่านว่า “เดี๋ยวพ่อหักคอเลย...! ผ้าเย็นมันเปียก” ...(หัวเราะ)... ต้องใช้ผ้าแห้ง อุตส่าห์สั่งว่าให้ใช้ผ้าแห้งซักสะอาดไปเช็ด ดันเอาผ้าเย็นใหม่เอี่ยมไปเช็ด เดี๋ยวก็ได้ดำปี๋ทั้งองค์ สรุปแล้วท่านเลยต้องไปเช็ดคืนด้วยผ้าแห้งเสียอีกหลายรอบ แทนที่ต้องทำรอบเดียว องค์นั้นนี่เงินร้อยเปอร์เซ็นต์นะ หลวงพ่อนากมีเนื้อเงินประมาณสามสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ว่าเนื้อเงินสามสิบเปอร์เซ็นต์ลำบากตรงที่ว่า ถึงเวลาจะดำเป็นหย่อม ๆ กว่าจะลามทั่วองค์นี่ก็จะกลายเป็นพระด่างอยู่ระยะหนึ่ง เพราะฉะนั้น...จึงต้องเช็ดบ่อย ๆ ถ้าเช็ดบ่อย ๆ ก็จะมีสีสันสดใสอยู่ตลอด ไม่เป็นไรหรอก...เพราะว่าเรามีเวรผลัดเปลี่ยนกันทุกวันอยู่แล้ว |
ถาม : แล้วเราจะแยกอย่างไรว่า นี่คือศรัทธา หรือว่ามารหลอก ?
ตอบ : หัดคิดบ่อย ๆ เดี๋ยวจะรู้เองว่าอะไรถูก ต้องมี "ค่าครู" ก่อน พอจ่ายค่าครูบ่อย ๆ แล้วยังไม่เข็ดก็ยังต้องผิดต่อไป แต่ถ้าจ่ายค่าครูบ่อย ๆ แล้วเข็ด เดี๋ยวก็ได้ดีไปเอง |
ถาม : ไปเช็งเม้ง อาหารที่ลูกนำไปถวายพ่อแม่ ได้อธิษฐานถวายพระพุทธเจ้าก่อนถวายพ่อแม่ จะได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าจะทำอย่างนั้นของพระต้องแยกออกไปเลย ถ้าหากว่าไม่แยกไปเลย ถามว่าพ่อแม่จะกล้าขยับไหม ? อาตมาเองไม่ได้คัดค้าน เขาไหว้เจ้าเราก็ไหว้ด้วย ไหว้บรรพบุรุษเราก็ไหว้ด้วย แต่ถึงเวลาก็มาถวายสังฆทานให้ท่านด้วย ...(หัวเราะ)... ก็ได้ทั้งสองฝ่าย ไม่ต้องไปค้านกันให้คนอื่นเขาเห็นว่าเราขวางโลก |
พระอาจารย์กล่าวว่า "สรุปว่าระยะนี้กุมารทองหลวงพ่อกวยขาดตลาด คนที่มีอยู่ก็เริ่มรู้ตัวว่าตลาดต้องการ เริ่มขึ้นราคา ...(หัวเราะ)... ต้องบอกว่ากุมารรุ่นนั้นเป็นรุ่นมาตรฐาน มีรุ่นใหญ่กว่านี้นะ...เป็นสีดำ ลักษณะเหมือนกับนวโลหะหรือว่ารมดำมา แล้วก็อีกรุ่นหนึ่งตัวเล็กกว่ารุ่นนี้ ส่วนใหญ่หลวงพ่อท่านแจกเปลือย ๆ ไม่ได้ทำการเลี่ยมเอาไว้
วัตถุมงคลของหลวงพ่อกวยเล่นยากอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ตอนช่วงที่ท่านมีชื่อเสียงมากแล้ว มีเวลาทำวัตถุมงคลน้อย เขาไปเหมาของตลาดมาให้ท่านเสก เพราะฉะนั้น...ถ้าไม่ได้รับกับมือท่านเอง หรือแหล่งที่มาไม่ชัดเจน มีโอกาสเจอของตลาดแน่นอน เพราะว่าหลวงพ่อกวยท่านเมตตามาก ใครเอาอะไรมาให้เสก ก็เสกหมดเลย ต่อให้ไม่เคยเอาของไปเข้าพิธี ถ้าอ้างว่าหลวงพ่อกวยเสกแล้วก็ขายได้" |
"สมัยหลวงพ่อเกษม วัดสุสานไตรลักษณ์ ท่านยืนอยู่ที่หน้าต่าง มีพวกเถ้าแก่โรงงานให้คนงานแบกของผ่านหน้าต่างไป ท่านก็ "เอ้า..ไป" ... "ไป" ... "ไป" เขาแค่แบกเดินผ่านหน้าไปเท่านั้น ก็เอาไปขายได้แล้ว แต่ว่าหลวงพ่อเกษมท่านยังเมตตาเสกให้ เวลาไปแต่ละที คนเข้าคิวหาท่านยาวเป็นกิโลเมตร เข้าไปกราบหลวงพ่อ ไปถวายของหลวงพ่อ ถ้าเป็นอาตมาให้เข้าไปทีละสิบคนยี่สิบคน ให้เวลาสักสองนาที กราบเสร็จ ถวายเสร็จให้รีบออก แถวจะหายไปเร็วมาก แต่นี่กรรมการวัดเล่นให้เข้าไปทีละคน ออกมาแล้วคนต่อไปค่อยเข้า
พออาตมาไปถึง กรรมการวัดเห็นพระ "นิมนต์ครับ" แต่อาตมาไม่ไป กราบท่านข้างนอกตรงนั้น เอาเงินหยอดตู้เรียบร้อยก็กลับเลย บางทีถ้าไปที่ครูบาอาจารย์บางท่าน อย่างหลวงปู่ทองดำ วัดท่าทอง พระท่านก็ถามว่า “อาจารย์จะไม่รอหลวงปู่จริง ๆ หรือครับ ?” บอกไปว่า “ไม่เอา...ผมกลัวว่าถ้าผมอยู่ได้จนแก่ ๆ ขนาดนี้ แล้วมีคนมากวนไม่เลิก ผมจะซวยเอา” พยายามสร้างกรรมแบบนี้ไว้น้อย ๆ ดีกว่า" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:30 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.