![]() |
"โดยเฉพาะเด็ก ๆ รุ่นใหม่ อาหารฝรั่งเข้ามามาก แคลอรี่สูง นอกจากประเภทกระตุ้นให้โตไวแล้ว ยังอ้วนง่ายด้วย บ้านเราตอนนี้คนอ้วนมีมากกว่า ๓๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว แปลว่า ๑๐ คนเดินมา อย่างน้อยต้องมีคนอ้วน ๓ คน ดูจากปัจจุบันนี้น่าจะเกิน ๓ คนแล้ว
อีกอย่างหนึ่งก็คือบรรดาอาหารโดยเฉพาะไก่ จะมีสารกระตุ้นตกค้างอยู่เยอะมาก แต่เรื่องนี้เขาไม่เอามาพูดกัน เพราะว่าถ้าเอามาพูดกันบริษัทใหญ่จะเสียหาย เขาจะต้องพยายามเร่งให้ไก่โตเร็วที่สุด ๔๐ วัน หรือ ๔๕ วัน ต้องจับขายได้ เพื่อประหยัดต้นทุนและได้กำไรสูงสุด สารตกค้างที่อยู่ในไก่ พวกเราก็กินเข้าไป เด็ก ๆ ก็เท่ากับโดนกระตุ้นให้โตไปด้วย คนแก่ไม่โตแล้ว มีแต่จะตาย ก็แปลว่าคนแก่จะอ้วน ส่วนเด็กเป็นหนุ่มเป็นสาวเร็วเพราะฮอร์โมนกระตุ้นตกค้างเหล่านี้ ก็เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เร็ว แล้วคราวนี้อายุยังน้อย สติสัมปชัญญะก็น้อย ความยับยั้งชั่งใจจึงน้อยไปด้วย ยิ่งห่างไกลศีลธรรม ไม่ละอายชั่วกลัวบาป ก็กลายเป็นคนสังคมในปัจจุบันของเรา ไม่ต้องไปโทษใคร เพราะว่ารัฐบาลเองก็ไม่ได้คิดที่จะช่วยอะไร ตัวเองก็ลำบากยังเอาตัวไม่รอด ขนาดนาฬิกายังต้องยืมเพื่อนมาใช้ ก็ไม่ต้องหวังที่รัฐบาลจะไปช่วยประชาชนอะไรได้หรอก" |
เด็กอ่อนกำลังร้องไห้ พระอาจารย์จึงพูดว่า "รู้ว่าลำบากแล้วยังตะกายมาเกิดอีก แล้วจะไปโทษใคร ? ทน ๆ อยู่ไปอีกชาติหนึ่งก็แล้วกัน"
|
ถาม : มีโยมอาการไม่ดี โดนของที่เขาฝัง ?
ตอบ : ต้องขุดของที่เขาฝังออกมา ถ้าขุดขึ้นมาได้ก็จบ ถ้าขุดขึ้นไม่ได้ เดี๋ยวเขากระตุ้นใหม่ก็กำเริบใหม่ ส่วนใหญ่เขาจะฝังไว้ทางสามแพร่งหรือใต้ถุนบ้าน สมัยก่อนมักจะฝังไว้ใต้บันได ถาม : แต่รับยันต์เกราะเพชรแล้วนะครับ ? ตอบ : ยันต์เกราะเพชรเขาเอาไว้กัน ถ้าโดนมาก่อนก็ช่วยไม่ได้ โดนมาก่อนพอไปเข้าพิธีก็หายชั่วคราว พอกลับไปอยู่ใกล้ของ โดนเขากระตุ้นก็กำเริบใหม่ สมัยรัชกาลที่ ๓ รัชกาลที่ ๔ กล้องถ่ายรูปเริ่มเข้ามาในประเทศไทย มีในหลวงรัชกาลที่ ๔ ที่ยอมถ่ายรูปเป็นพระองค์แรก คนอื่นไม่ยอมถ่ายรูปเพราะกลัวว่าจะเป็นพวกฝังรูปฝังรอยหรือใช้วิชาบังฟันอะไรพวกนั้น ถ่ายรูปครึ่งตัวเดี๋ยวกูจะต้องขาดครึ่งตัว เขาถึงไม่กล้าถ่ายรูปกัน ในหลวงรัชกาลที่ ๔ จึงได้แสดงให้เขารู้ว่าไม่เป็นอะไร เพราะว่าพระองค์ท่านทรงให้ถ่ายเองเลย แต่คนก็ยังถ่ายพระองค์ท่านเต็มองค์อยู่ดี มาภายหลังจึงกล้าถ่ายครึ่งพระองค์ |
พระอาจารย์กล่าวกับศิษย์ "ถ้าเห็นอาตมาเป็นครู ครูก็ขอสั่งว่ารีบไปทำ ชอบตรงไหนก็ลงมือได้ ไม่ใช่มานั่งรอครู ครูจะดีแค่ไหน ครูจะเก่งแค่ไหน ถ้าลูกศิษย์ไม่ลงมือทำก็ไร้ประโยชน์"
|
ถาม : อยากให้เงินคล่องตัว ?
ตอบ : จะเอาการงานคล่องตัวก็ไปภาวนาคาถาเงินล้าน เพียงแต่ให้ทำจริง ๆ ต้องคิดว่าเราชั่วก็ชั่วจริง ๆ แล้ว ตอนดีต้องดีจริง ๆ บ้าง ถาม : ภาวนาไม่เป็นเวลาครับ ? ตอบ : ว่าให้เต็มที่ก็แล้วกัน แบบเงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดินก็พอ อย่าไปคิดอะไรให้มากมาย |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทันโต เสฏโฐ มนุสเสสุ ทันโต = อันว่าฟัน เสฏโฐ = ประเสริฐที่สุด มนุสเสสุ = ในหมู่มนุษย์ ในหมู่มนุษย์ผู้ที่มีฟันถือว่าประเสริฐที่สุด ? ไม่ใช่แล้วล่ะ...(หัวเราะ)...
ทันโตตัวนี้แปลว่าฝึกมาดีแล้ว ทีนี้ไปคล้องกับทันตะที่แปลว่าฟัน แปลบาลีผิดก็เจ๊งเลย เด็กอ่อนกับคนแก่ไม่มีฟัน หาความประเสริฐไม่ได้...ใช่ไหม ? ทันโต เสฏโฐ มนุสเสสุ ในหมู่มนุษย์ ผู้ที่ฝึกตนดีแล้วประเสริฐที่สุด ถามว่าฝึกอะไร ? ก็ฝึกกาย ฝึกวาจา ฝึกใจของเรา แล้วกาย วาจา ใจฝึกด้วยอะไร ? ก็ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ศีลควบคุมกาย วาจาให้เรียบร้อย สมาธิควบคุมทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจในเบื้องต้น ส่วนปัญญานั้นถ้าหากว่าดีจริง สามารถควบคุมกาย วาจา ใจ ได้ในระดับสูงสุด" |
ถาม : (พูดถึงเหรียญ) "นะ" หลวงพ่อโต วัดวิหารทอง แล้วศิษย์มาเพิ่มนะโมพุทธายะ
ตอบ : ลูกศิษย์สามารถที่จะเพิ่มเติมได้ แต่สำคัญอยู่ที่ว่าทำจริงขนาดไหน อาตมาก็นึกว่าคนไม่ค่อยรู้จักหลวงพ่อโต วัดวิหารทอง แต่เหรียญท่านลงปุ๊บก็ไปปั๊บเลย |
ถาม : ช่วงนี้แม่ผมเห็นภาพหลอนบ่อย เขาเห็นมดมา ผมก็โกหกบอกว่าเอายาฉีดมดตายไปหมดแล้ว ?
ตอบ : ดีมากเลย ทำให้ใจแม่คิดว่าฆ่าสัตว์...! ถาม : ถ้าโกหกจะผิดศีลข้อนั้นไหม ? ตอบ : โกหกก็ผิดอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าผิดมากหรือผิดน้อย ส่วนกำลังใจแม่ ถ้าไปเกาะไว้ว่าเอ็งฆ่ามด แม่ก็พลอยซวยไปด้วย |
ถาม : เมื่อเดือนธันวาคมไปงานฝึกมโนมยิทธิ พอเข้าไปงานรู้สึกว่าของขึ้น หนูก็เบรกเอาไว้ ตอนฝึกเหมือนตัวจะแตก อยากกระโดด มีความรู้สึกว่าไม่อยากจะปฏิบัติแล้ว อยากจะสบาย ๆ ?
ตอบ : ไปฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังเพื่ออะไร ? ถาม : เพื่อ...? ตอบ : แล้วพอจะไปทำไมไม่เอา ? การที่เราจะไปพระนิพพานได้ต้องตัดละ แม้แต่ร่างกายตัวเองก็ไม่ต้องการ ในเมื่อสามารถตัดละขนาดนั้นได้ ถึงจะไปได้ แล้วแค่ประเภทละความอายที่จะเกิดอาการแปลก ๆ กับร่างกาย เรายังละไม่ได้ แล้วเราจะไปได้อย่างไร ? เพราะฉะนั้น...ไปใหม่ คราวนี้อย่าไปเบรกไว้ ปล่อยไปเต็มที่ จะหกคะเมนตีลังกาอย่างไรก็ปล่อยไป ต้องบอกว่ากลัวดี คนอื่นเขาพยายามแทบตายไปไม่ได้ แต่นี่ไปได้ กลับพยายามรั้งไว้ไม่ให้ไป เขาเรียกว่าลืมจุดหมายของตัวเองว่าไปฝึกเพื่ออะไร ฝึกเพื่อที่จะไปให้ได้ แต่พอจะไปดันไม่เอา..ไปอายเขา |
อย่างญาติโยมที่ตั้งใจทำบุญสร้างบารมีเพื่อไปพระนิพพาน บางคนก็มาทั้งครอบครัว บางคนก็พาสามีภรรยา บางคนก็พาคู่รักของตัวเองมา แล้วก็ห่วงหน้าพะวงหลังกันอยู่นั่นแหละ ห่วงกันไม่แล้วห่วงกันไม่เลิก การไปพระนิพพานของเราแม้แต่ตัวเองยังห่วงไม่ได้ การที่เราต้องห่วงคนอื่น ไปแบกคนอื่นไว้ กลายเป็นภาระที่สลัดไม่ออก แล้วเราจะไปพระนิพพานอย่างไร ? เพราะฉะนั้น...โปรดคิดใหม่ให้ดี ๆ ว่าสิ่งที่เราทำกับเป้าหมายในชีวิตปัจจุบันของเรา ค้านกันหรือเปล่า ?
พระพุทธเจ้าตรัสว่า เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา ดูก่อน..ภิกษุทั้งหลาย หนทางของคนเพียงคนเดียว จึงเป็นทางที่นำสัตว์ทั้งหลายไปสู่ความบริสุทธิ์ ก็คือหลุดพ้นจากความทุกข์เข้าไปสู่พระนิพพาน แต่เรามักจะประเภทมา ๒ คน มา ๓ คน มา ๕ คน มาแล้วไม่พอ บางคู่ยังมีเป้าหมายอีก ว่าจะมาช่วยกันส่งให้อีกฝ่ายหนึ่งไปพระนิพพาน แต่อาตมาดูแล้วน่าจะมาเพื่อช่วยกันถ่วงอีกฝ่ายไม่ให้ไปพระนิพพานมากกว่า...! |
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อคืน ๒ วันที่ผ่านมาปวดหลังมาก ปวดเหมือนกระดูกทับเส้น ปวดแล้วร้าวเป็นเส้น ๆ หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ท่านมาสอนให้นอนแล้วเตะขาขึ้นฟ้า เตะให้ข้ามหัวได้ยิ่งดี ก็เลยลองทำดู ปรากฏว่าดีขึ้นเยอะเลย สรุปว่านี่อาตมากำลังสนับสนุนอาจารย์อ้อยใช่ไหม ? ว่าพระที่ไปพระนิพพานแล้วยังกลับมาได้ ...(หัวเราะ)... ปล่อยให้เขาทะเลาะกันไป พวกเราอย่าไปยุ่งกับเขาเลย"
|
ถาม : เวลาภาวนาพระคาถาเงินล้านที่ศูนย์กลางกายแล้วรู้สึกแน่น ๆ ควรจะแก้ไขอย่างไร ?
ตอบ : ปล่อยไป เรามีหน้าที่รับรู้เฉย ๆ จะไปยุ่งอะไรเล่า ? ภาวนาอย่างไร ดูลมอย่างไรก็ดูต่อไป ลมเหลือแค่ไหน คำภาวนาเหลือแค่ไหนก็ยินดีแค่นั้น เรามีหน้าที่ดู ส่วนหนังจะเล่นอย่างไรก็เรื่องของเขา เรามีหน้าที่แค่ดูไปเรื่อย ๆ |
พระอาจารย์กล่าวถึงซานไห่จิง คัมภีร์ของขุนเขาและท้องทะเล "หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่อัศจรรย์มาก เพราะว่าเขียนมาเป็นพันปีแล้ว กล่าวถึงโลกทั้งในส่วนที่เป็นทิพย์และส่วนหยาบปะปนกันอยู่ คราวนี้บรรดาผู้คนและสัตว์ที่เขากล่าวถึงมีทั้งคนจริง ๆ มีทั้งสัตว์จริง ๆ และมีทั้งบรรดาเปรต อสุรกาย พวกเทวดาปะปนกันอยู่ แต่เสียดายอยู่อย่างเดียวว่าเขาไปวาดรูปประกอบ ก็เลยทำให้เพี้ยนหมด
อย่างเช่นเขาบอกว่า บนท้องทะเลแห่งหนึ่งห่างจากฝั่ง ๗๐๐ ลี้ มีปลาชนิดหนึ่งมีปีก ๔ ปีก เหินบินบนน้ำได้ ก็คือปลานกกระจอก บางอย่างเขาก็เข้าใจผิด อย่างเช่นว่า บนท้องทะเลห่างจากฝั่ง ๒,๕๐๐ ลี้ มีมนุษย์เผ่าพันธุ์หนึ่งใบหน้าเป็นนก มีปีก ๒ ข้าง ไม่สามารถเหินบินได้ อาศัยยังชีพจากสัตว์ต่าง ๆ ที่หาได้จากท้องทะเล ก็คือนกเพนกวินที่ยืนสองขา เขาก็เลยไปคิดว่าเป็นคน ในท้องทะเลบนเกาะแห่งหนึ่งมีสัตว์รูปร่างเหมือนวัว ไม่มีเขา มีเท้าข้างเดียว ชอบปรากฏตัวในขณะที่พายุคลื่นลมรุนแรง ก็คือแมวน้ำ แต่คราวนี้เขาวาดรูปประกอบเป็นวัวแล้วมีขาข้างเดียว ตูจะบ้า...! จินตนาการไปไกลเหลือเกิน" |
"บางทีเขากล่าวถึงคน ว่ามีมนุษย์รูปร่างใหญ่เหมือนยักษ์ อาศัยอยู่แต่ในเรือที่แล่นไปในท้องทะเล นั่นก็พวกไวกิ้ง
เขาระบุเอาไว้หมดเลย เพียงแต่คนวาด วาดอะไรออกมาก็ไม่รู้ ก็เขาระบุไว้ชัด ๆ ว่ามีสัตว์ชนิดหนึ่งรูปร่างเหมือนวัว มีเขาข้างเดียว ก็แรดนะสิ แต่เขาวาดเป็นรูปวัวแล้วมีเขาข้างเดียว ตูจะบ้า...! ส่วนที่พิลึกพิลั่นเพราะเป็นโลกทิพย์ซ้อนกับโลกมนุษย์ ไม่ขอพูดถึง ที่อาตมาพูดถึงคือสัตว์ทั่ว ๆ ไปที่เขาบรรยายมา คนวาดก็วาดจนเข้าป่าเข้าดงหมด คราวนี้ที่เขาว่ามาเป็นเรื่องอัศจรรย์ตรงที่ว่า เขาบอกว่าสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งรูปร่างเหมือนวัว ลำตัวสีเขียวอ่อน ไม่มีเขา มีเท้าข้างเดียว เวลาขึ้นลงท้องทะเลเกิดพายุฝนกระหน่ำ ร่างจะเปล่งประกายเจิดจ้า ตัวเปียกน้ำก็เงาวับนะสิ...! ฟังแล้วจะบ้าตาย ถ้าเขาไม่วาดรูปพวกเราจะรู้จักอีกหลายตัว " ถาม : ที่เป็นกึ่งทิพย์นั้น ใกล้ป่าหิมพานต์ไหมคะ ? ตอบ : บางทีมันก็ซ้อนอยู่ในโลกเรานี่แหละ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "แจ้งให้ญาติโยมทราบว่าหล่อพระ ๑๘ กุมภาพันธ์นี้ พระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม หรือหลวงพี่มหาเอ วัดปากน้ำภาษีเจริญ รับเป็นเจ้าภาพค่าแรงหล่อพระ เงินที่พวกเราถวายปัจจัยมาก็ร่วมกันซื้อเม็ดเงิน ซื้อทองคำไป
คาดว่าครั้งนี้ค่าหล่อจะแพงกว่าครั้งที่แล้ว เพราะว่าโลหะแพงกว่ามาก การใช้ความระมัดระวังของช่างจะมีสูงกว่า ก็ตีว่าน่าจะแพงกว่าคราวที่แล้วสักเท่าตัว ไม่รู้คราวต่อไปหล่อหลวงพ่อทองคำจะเจอค่าหล่อเท่าไร" |
พระอาจารย์กล่าวกับพระนิสิตว่า "ช่วงหลัง มจร.ของเราจากที่เปิดหลักสูตรต่าง ๆ เพื่อเอื้อให้พระเณรได้เรียน กลายเป็นกีดกันไม่ให้พระเณรเรียน เพราะว่าค่าเทอมแพงขึ้นเยอะมาก รุ่นผมเรียนปริญญาโท ค่าเทอมเต็มที่ก็ ๑๘,๐๐๐ บาท ปริญญาโทตอนนี้ ๒๙,๐๐๐ บาทแล้ว ปริญญาเอกรุ่นนี้ ๔๕๐,๐๐๐ บาท รุ่นผม ๓๕๐,๐๐๐ บาทขึ้นมาแสนหนึ่ง แถมยังกำหนดด้วยว่าต้องเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติม ต้องสอบ TOEFL ต้องสอบพื้นฐานคอมพิวเตอร์
ปริญญาโทต้องได้พื้นฐานคอมพิวเตอร์ ๑๗๐ คะแนน ปริญญาเอก ๒๒๐ คะแนน TOEFL ปริญญาโท ๓๐๐ คะแนน ปริญญาเอก ๕๐๐ คะแนน โอ้โห...สอบต่างประเทศชัด ๆ เลย จนป่านนี้มหาโก้ของทางด้านวัดป่าเลไลยก์ยังไม่จบเลย ทั้ง ๆ ที่วิทยานิพนธ์เล่มดำเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว เพราะว่าติด TOEFL อยู่ เขายกระดับขึ้นมาเพื่อที่จะให้เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำ มีมาตรฐานสูง จาก ๑๕๗ มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ มจร. ของเราขึ้นพรวด ๆ ภายใน ๓ ปีขึ้นมาถึงอันดับ ๓๘ ถือว่าเป็นชั้นนำของประเทศเลย แต่คราวนี้กติกาที่เขากำหนดขึ้นมาเพื่อสร้างมาตรฐานให้สูงยิ่งขึ้น กลายเป็นการกีดกันพระเณรของเรา ผมพูดในที่ประชุมไป ๒ ครั้งแล้ว แต่เขาบอกว่าช่วยอะไรไม่ได้ เพราะว่าเป็นนโยบายเบื้องบน ลองคิดดูว่าพระเณรของเราอุตส่าห์บวชเข้ามาเพื่อจะได้เรียน กลับไม่มีปัญญาจะจ่ายค่าเทอมที่แพงขึ้นมาอีกเป็นเท่าตัว กติกาต่าง ๆ ที่ออกมาก็กลายเป็นกีดกันพวกเรากันเอง ส่วนใหญ่พระเณรพวกเราขาดการเรียนพื้นฐานสายสามัญมา ในเมื่อไม่มีพื้นฐานแล้วจะเอาคะแนนภาษาอังกฤษ TOEFL ตั้ง ๕๐๐ ต่อให้คุณจบจุฬาฯ หรือธรรมศาสตร์ก็ยังจะตายเอาเลย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนพม่ามาทำงานเมืองไทยเก็บเงินจนร่ำรวย ส่วนคนไทยไปไหว้เทพทันใจที่พม่าขอให้ร่ำรวย ดูแล้วความประพฤติเพื่อให้รวยห่างไกลเหลือเกิน"
|
ถาม : (ยันต์ดอกบัว)
ตอบ : ยันต์ดอกบัว อันนี้เรียกยันต์บัวบาน ไม่ใช่ยันต์ดอกบัว ยันต์บัวบานส่วนใหญ่จะไปทางเมตตา มหาเสน่ห์ ทำอะไรประสบความสำเร็จ เหมือนกับดอกบัวที่กระทบแสงอาทิตย์ก็บาน ถาม : ยันต์ที่เป็นดวงละครับ ? ตอบ : ยันต์ดวงส่วนใหญ่เอาดวงเจ้าของลงไป เขาเชื่อว่าจะหนุนดวงตัวเองให้ดีขึ้น ยันต์บัวบานส่วนใหญ่ก็คือพุทธคุณ บัว ๙ กลีบก็คือ อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ บัว ๕ กลีบก็คือ นะ โม พุท ธา ยะ อยู่ที่เราจะใช้แบบไหน |
ถาม : ต่อไปบวชที่วัดพระอาจารย์ อย่างน้อยต้องบวช ๑๕ วันหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น อาตมาไม่เคยบังคับ พวกนั้นอยากบังคับก็เป็นเรื่องของเขา โยมถามว่า ต่อไปนี้ถ้าบวชก็ต้องบวช ๑๕ วันใช่หรือไม่ ? อาตมาก็บอกว่าอันนั้นเป็นระเบียบ ในเมื่อเป็นระเบียบก็เรื่องของระเบียบ ไม่ใช่ข้อบังคับ ที่วัดท่าขนุนถ้าคุณขานนาคได้ จะบวช ๑ วัน ๓ วัน ๕ วัน อาตมาก็รับ เพราะว่ากติกาของวัดท่าขนุนหรือระเบียบของวัดท่าขนุนมีอยู่แล้ว สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ถ้าเปรียบไปแล้วก็เหมือนกับกองบัญชาการ วัดต่าง ๆ ก็คือแม่ทัพที่ทำศึกอยู่แนวหน้า การรบทัพจับศึกที่แนวหน้าต้องพิจารณาตามสถานการณ์ ไม่ใช่ฟังแต่คำสั่งจากส่วนกลาง เดี๋ยวนี้เขาบวชกัน ๓ วัน ๕ วัน ๗ วันก็แทบจะไม่มีเวลามาบวช แล้วจะให้บวช ๑๕ วันก็หาเรื่องกันชัด ๆ นี่เป็นแผนการอย่างหนึ่งของศาสนาอื่น ที่ต้องการจะ "บอนไซ" พระพุทธศาสนาของเรา ให้มีบุคลากรเหลือให้น้อยที่สุด ก็เลยกำหนดกติกาที่ยากขึ้นไปเรื่อย ๆ อาตมารับทราบแต่จะปฏิบัติหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของเจ้าพนักงานโดยกฎหมาย คือเจ้าอาวาสเอง เมื่อเช่นนั้นก็แปลว่า ถ้าที่อื่นถ้าไม่รับบวชแก้บน ไม่รับบวชระยะสั้นกว่า ๑๕ วัน ให้ไปที่วัดท่าขนุน อาตมาจะบวชให้ |
คนเขามีเวลาแค่นั้น ลางาน ๗ วันก็จะโดนไล่ออกแล้ว ยังจะเอา ๑๕ วันอีก ของบางอย่างไม่ต้องใช้หัวแม่เท้าตรองดู ก็ต้องรู้แล้วว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม หลับหูหลับตาออกระเบียบมา บอกว่าต้องการที่จะทำให้พุทธศาสนาของเรามั่นคงขึ้น บุคคลที่บวชเข้าไปได้เรียนรู้อะไรตามหลักสูตรที่เขากำหนดไว้ ไม่จำเป็น...วัดท่าขนุนหลักสูตรโหดกว่าอยู่แล้ว ไปเจอวัดที่เขา “ฉันเช้าแล้วเอน ฉันเพลแล้วนอน ตอนบ่ายพักผ่อน ตอนค่ำจำวัด” บวชสัก ๖ เดือน ๑ ปี ก็ไม่มีประโยชน์
การที่จะแก้ไขปัญหาคณะสงฆ์ ไม่ใช่ออกกฎให้เขาบวชยาวบวชสั้น แค่สอนให้บรรดาพระภิกษุสามเณรของเราละอายชั่วกลัวบาป รักศีลของตัวเองก็จบแล้ว กฎระเบียบออกมาจะมีประโยชน์อะไร ถ้าหน้าด้านไม่ทำตามเสียอย่าง พระพุทธเจ้าออกมารอบคอบขนาด ๒๒๗ ข้อ ยังละเมิดกันเป็นว่าเล่น เพราะฉะนั้น...จุดสำคัญก็คือ ถ้าเราสามารถอบรมพระเณรของเราให้ละอายชั่วกลัวบาป รักศีลตัวเอง รู้จักว่าสิ่งใดทำดีทำถูก สิ่งใดไม่ควรทำก็จบ มักจะแก้ปัญหาไม่ถูกจุด เกาไม่ถูกที่คัน แบบนั้นก็เชิญเกาต่อไปเถอะ..! |
ตั้งแต่สมัยที่อาตมาโดนบังคับไปเรียนหลักสูตร ป.บส. ที่เขาบอกว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ อาตมาเองเป็นตัวแทนของคณะสงฆ์ภาค ๑๔ กับภาค ๑๕ ก็คือ ๘ จังหวัดภาคกลาง ยกให้อาตมาขึ้นเวทีไปพูดแทน ขณะที่ตัวแทนภาคอื่นเขาก็ขึ้นมากัน อาตมาเองก็ว่า เรื่องของการเรียนไม่ได้จำเป็นเท่าไรหรอก การเพิ่มเติมความรู้ในบริหารถือว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ให้อาตมาเรียนตรรกศาสตร์ TT FF ไม่เห็นเอามาบริหารอะไรได้ ดีที่เจตนาของพวกท่านดี ตั้งใจส่งเสริมให้พระสังฆาธิการได้มีความรู้มากขึ้น ไม่อย่างนั้นอาตมาจะถือว่าพวกคุณบัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติ เพิ่มเติมในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้เพิ่มเติม
ฉะนั้น..เรื่องของคณะสงฆ์ถ้าสอนให้พระเณรละอายชั่วกลัวบาป รักศีลก็จบแล้ว ก็ไม่ต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมมากมายหรอก เล่นเอาหัวหน้าหลักสูตรต้องโดดขึ้นเวทีมาอธิบายเอง สรุปว่าอาตมาตั้งแต่เป็นนิสิตระดับประกาศนียบัตร ก็เป็นที่จดจำของอาจารย์ มจร. ชนิดแม่นยำไปจนวันตาย หลักสูตรเขาอาศัยด็อกเตอร์หลายคนคิดกันขึ้นมา โดนเด็กบ้านนอกอย่างอาตมาตีคว่ำไม่เป็นท่าเลย |
ถาม : เขาไม่เข้าใจว่าจะสร้างพระไปทำไม ถ้าสร้างพระเครื่องเขาเข้าใจ เลยไม่รู้จะตอบเขาอย่างไร ?
ตอบ : พุทธปูชา มหาเตชะวันโต สร้างพระไว้กราบไหว้บูชา ไม่ได้สร้างพระไว้เฉย ๆ นี่แม่คุณ...! ถาม : ไปสร้างวัดทำไม ไปสร้างโรงพยาบาลดีกว่า ? ตอบ : ใช่...แล้วทำไมเขาไม่สร้างโรงพยาบาลล่ะ ? วัดกับโรงพยาบาลมีความเหมือนอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ เข้าวัดไปแล้วคนสบายใจ ได้รักษาโรคทางใจ ส่วนโรงพยาบาลนั้นคนเข้าไปรักษาโรคทางกาย |
ถาม : วันก่อนหลังจากน้องชายใส่บาตรแล้ว พระท่านเดินกลับมาแล้วบอกเพื่อนที่จะใส่บาตรว่า "ไม่ต้องใส่แล้ว โยมผู้ชายใส่แล้ว แต่ถวายซองปัจจัยได้นะ" เพื่อนก็ตำหนิพระว่าอยากได้ปัจจัยโยม และในความเข้าใจของเพื่อน คือ มีพระไม่ดี มากกว่าพระดี และไม่เห็นด้วยที่ใครบอกว่าอย่าตำหนิพระ โดยมองว่าถ้าปล่อยไว้จะสนับสนุนให้มีพระไม่ดีมากขึ้นอีก กระทั่งอธิบายพระวินัยให้ฟังว่า พระสามารถปฏิเสธอาหารหากเต็มบาตรหรือเพียงพอแล้ว และพระทำหน้าที่เป็นเนื้อนาบุญให้เราได้ถวายปัจจัยก็ตาม เพื่อนก็ยังไม่เข้าใจ
ตอบ : ไปนึกถึงที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้ว่า หลวงปู่ปาน วัดบางนมโคสร้างบารมีไว้ดี พระอุปัชฌาย์อาจารย์ของท่านเป็นพระอรหันต์ทั้งนั้นเลย คราวนี้มานึกถึงโยมของตัวอาตมาเองคือคุณน้าฟ้า ในชีวิตคุณน้าฟ้าเป็นคนใจบุญสุนทานมาก แต่เหมือนอย่างกับท่านสร้างบุญไว้น้อยไปหรืออย่างไรไม่รู้ ? เพราะว่าอาจารย์องค์แรกที่ท่านเลื่อมใสชนิดมอบกายถวายชีวิตให้ คือท่านอาจารย์นิกร พออาจารย์นิกรมีเรื่องมีราวขึ้นมา คุณน้าก็ไปหาท่านอาจารย์ยันตระแทน พอท่านอาจารย์ยันตระมีเรื่องมีราวขึ้นมา ท่านก็ไปหาหลวงพ่อภาวนาพุทโธแทน สรุปแล้วชีวิตนี้ทั้งชีวิตของคุณน้า ก็คงคิดว่าหาพระดีไม่ได้แล้ว นึกถึงพี่สาวของเจ้าของบ้านวิริยบารมี ที่ศรัทธาพระสายวัดป่า อกหักไปรอบหนึ่งเพราะว่าพระปฏิบัติไปขอรับบริจาคทีหนึ่งเป็นล้าน ๆ ก็หาที่ใหม่ พอเจอที่ถูกใจก็จะเอาท่านสอนกรรมฐานที่บ้านวิริยบารมี หลังจากอาตมาออกมาแค่ ๒ เดือนหลวงพ่อที่ท่านเอามาแทนก็มีเรื่องมีราวใหญ่โตไปเลย ลักษณะอย่างนั้นก็คงทำให้หมดศรัทธาไปเลยเหมือนกัน ถาม : ถึงเพื่อนจะยังไม่เข้าใจ แต่เห็นว่าเจตนาของเขา คือ ปกป้องพระศาสนานะคะ ? ตอบ :การปกป้องศาสนาที่ดีที่สุดจริง ๆ ก็คือ ศึกษาหลักธรรม ทำให้เข้าถึงจริง ๆ จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร |
ถาม : เราทำกายภาพให้คนไข้ ถ้าคนไข้มีองค์หรือมีครูของเขาคุมอยู่ คนที่เป็นนักกายภาพที่ทำให้คนไข้ จะต้องมีหลักอย่างไรบ้างจึงจะปลอดภัย ?
ตอบ : โบราณเขามีครู ทุกอาชีพมีครู ถึงเวลามีการจัดงานไหว้ครูก็ขอบารมีครูปกป้องปกปักรักษา ถึงเวลาทำหน้าที่อะไรก็ขอให้ทำได้เต็มที่ เต็มสติกำลัง เต็มความสามารถของตัวเอง สมัยนี้ไหว้ครูกันบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ถ้าไม่มีครูช่วยป้องกันก็รับเละไปเถอะ ถาม : อย่างคนที่เรียนบัญชี เรียนกฎหมาย ไม่มีครู จะทำอย่างไรครับ ? ตอบ : ทำไมจะไม่มี ? ครูที่สอนคุณมาไม่มีหรืออย่างไร ? ถาม : ถ้าเป็นครูสอนสายการแพทย์ เราควรไหว้นึกถึงครูบาอาจารย์ที่สอนเรามาหรือครับ ? ตอบ : ถ้าไหว้ครูที่สอนเรามาก็ดี แต่บรมครูทางการแพทย์เห็นที่ไหน ๆ เขาก็ไหว้พ่อปู่หมอชีวกฯ กันทั้งนั้น |
ถาม : ฉันทะกับความอยากต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ต่างกันตรงที่ฉันทะคือเราตั้งใจปรารถนาที่จะทำในสิ่งที่ดี ๆ ส่วนความอยากหรือโลภะ หรือตัณหานั้น แม้กระทั่งสิ่งชั่ว ๆ ก็เอา |
ถาม : ถ้าเรามีพรรคพวกที่มีความประพฤติไม่ดี...?
ตอบ : เอาภาษิตจีนเข้าว่า “พบผู้คนพูดวาจาผู้คน พบภูตผีพูดวาจาภูตผี” ก็เท่านั้นเอง |
ถาม : ถ้าในอนาคตหุ่นยนต์เอไอมา คนเราจะอยู่ยากขึ้นใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้แปลว่าอยู่ยากขึ้น เราก็เรียนเรื่องการควบคุมหุ่นสิวะ...! ถาม : แล้วคนที่ไม่ได้มีความขยันจะทำอย่างไรครับ ? ตอบ : แล้วคุณจะไปห่วงเขาทำไม ? แต่ละคนสร้างบุญสร้างกรรมมา ถ้าเป็นการคัดเลือกของธรรมชาติ ผู้อ่อนแอก็สูญสลาย ผู้เข้มแข็งถึงจะคงอยู่ อยากทำตัวอ่อนแอเองแล้วจะไปโทษใคร |
ถาม : การที่เรากำหนดภาพพระใหญ่หรือเล็กได้ สามารถบ่งบอกระดับสมาธิได้ไหมครับ ?
ตอบ : บอกได้..ไปสังเกตเอาสิวะ ว่ากำลังใจตอนนั้นเทียบเท่ากับสมาธิในระดับไหน |
ถาม : ถ้าเราจะฝึกก่อนตาย เราต้องฝึกทำสมาธิในระดับสูงให้ได้หรือเอาที่แน่ใจ ?
ตอบ : เอาที่สบายใจ ตอนตายสมาธิใช้แค่ระงับกายสังขาร สำคัญที่สุดคือปัญญาต่างหาก ว่าเราตัดเราละร่างกายนี้ได้ไหม |
พระอาจารย์กล่าวว่า “ญาติโยมส่วนใหญ่ทั้งที่เป็นศิษย์สายตรงก็ดี ข้างเคียงก็ดี ที่มีความศรัทธาในตัวหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ก็ให้ดูปฏิปทาของครูบาอาจารย์ด้วยว่า กว่าท่านจะเป็นอย่างนั้นได้ ท่านทุ่มเทการฝึกฝนตนเองชนิดมอบกายถวายชีวิต ถ้าเราจะเลียนแบบปฏิปทาครูบาอาจารย์ก็คือทุ่มเทฝึกฝนตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนา ทำให้จริง ๆ จัง ๆ ชนิดเอาชีวิตเข้าแลกแบบท่าน”
|
ถาม : การปฏิบัติตอนนี้เริ่มเกิดอารมณ์เบื่อ มองเห็นอะไรก็เกิดความสลดใจ จะแก้อย่างไรคะ ?
ตอบ : รักษาความเบื่อเอาไว้ เพราะถ้าเราไม่เบื่อเราก็ยังอยากเกิดอยู่ จริง ๆ แล้วความเบื่อเป็นสิ่งที่ดีมาก เป็นส่วนของนิพพิทาญาณซึ่งเป็นญาณขั้นสูง เพียงแต่ว่าให้ใช้ปัญญาบวกเข้าไปด้วย ปัญญาที่เราจะพิจารณาก็คือว่า ถ้าเราสามารถพ้นทุกข์ในชาตินี้ การเกิดมาเจอกับสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายแบบนี้เพียงชาติเดียว ก็เหมือนกับหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นเท่านั้นเอง ระยะเวลาที่สั้น ๆ เราจะพ้นทุกข์แล้ว ทำไมเราจะอยู่ให้ดีไม่ได้ พอเราใช้ปัญญาประกอบเข้าไป ก็จะก้าวข้ามความเบื่อนั้นไป กลายเป็นสังขารุเปกขาญาณแทน ก็คือปล่อยวาง ไม่ไปแบกเอาไว้ให้ทุกข์ |
พระอาจารย์กล่าวว่า “ระยะนี้มีการถกเถียงเกี่ยวกับข้อปฏิบัติในพุทธศาสนามาก แต่บุคคลทั้งหลายส่วนใหญ่จะลืมความเป็นจริงไปข้อหนึ่งว่า บุคคลในยุคปัจจุบันที่จะสร้างบารมีมาถึงขนาดปรารถนาความหลุดพ้น ต้องการหลักธรรมโดยบริสุทธิ์นั้นมีน้อย ส่วนใหญ่สามารถให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาขั้นต้นได้บ้างก็ถือว่าดีมากแล้ว
ดังนั้น...หลายแห่งก็เลยทนไม่ได้ที่เวลาญาติโยมยังคงทำบุญอย่างเดียว ก็ต้องบอกว่าขณะที่เด็กกำลังเรียนชั้นประถมอยู่ เราเองทนไม่ได้อยากให้เขาเรียนชั้นปริญญา ก็ย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่คราวนี้นักวิชาการส่วนใหญ่ เขาไปหวังเอาว่าควรที่จะจบปริญญากันเสียที โดยที่ไม่ได้ดูว่าบุคลากรในระดับจบปริญญานั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากวาดไปเกือบหมดแล้ว อายุกาลศาสนาที่เหลืออยู่ไม่ถึง ๕,๐๐๐ ปีนั้นเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่ง ในยุคของเรา ถ้าใครก็ตามที่ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ก็มักจะกลายเป็นคนที่แปลกแยกจากสังคม มักจะต้องตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน ต้องใช้ความอดกลั้นอดทนเป็นอย่างสูง ถึงจะเอาตัวรอดจากลมปากของคนได้ ในส่วนนี้พวกนักวิชาการที่เขาถกเถียงกันนั้น ลืมมองสภาพสังคมในปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร สังคมในปัจจุบันไม่ใช่สิ่งที่เอื้อต่อการปฏิบัติธรรม แต่ว่ายิ่งจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติธรรม เพราะไม่อย่างนั้นแล้วกระแสของ รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ จะดึงเราไปอย่างชนิดกู่ไม่กลับ ถ้าอยู่ในลักษณะนั้นเราก็จะกลายเป็นบุคคลที่น่าสงสาร โดนกระแสคลื่นซัดไปโดยไม่สามารถที่จะตั้งหลักหรือว่าตั้งตัวได้ เรื่องนี้ก็ควรที่จะสังวรเอาไว้ด้วยว่า บางอย่างเสียงวิชาการที่ค่อนข้างจะดัง ก็ลืมความเป็นจริงในสังคมไปเหมือนกัน" |
ถาม : อากาศแบบไหนที่ทำลายสุขภาพคะ ?
ตอบ : ร้อนจัด หนาวจัด แย่พอกันนะ ร้อนจัดทำให้เส้นเลือดขยายตัวมาก เลือดไม่พอเลี้ยงสมองก็ร่วงตึง แบบที่เขาเป็นลมแดดกัน ส่วนหนาวจัด พอกล้ามเนื้อหดตัวมาก ๆ บางทีอวัยวะไม่ทำงาน อาจจะถึงตายเลย ถาม : วันที่สังขารแตกดับ จะเกิดเวทนาบีบคั้น กระทั่งจิตทิ้งไปจากร่างกายหรือเปล่าคะ ? ตอบ : ถ้าเวทนาจนทนไม่ไหว ชีวิตก็แตกดับไปเป็นเรื่องปกติ ถาม : เป็นทุกคนไหมคะ ? ตอบ : บางคนสร้างบุญไว้ดี ปาณาติบาตน้อย ถึงเวลาเวทนาไม่ได้บีบคั้น แต่ว่าไฟเขาหมด หมดกำลัง หมดอาหารอะไรพวกนั้น ถาม : แล้วทำไมตอนจะหมดลม เราก็ต้องไม่เอาร่างกายอยู่แล้ว แต่เราคิดไปพระนิพพานไม่ทัน ? ตอบ : ต้องทำไว้ก่อน ถ้าสติ สมาธิ ปัญญาไม่พอ จะไปหวังก่อนตายนี่ยากสุด ๆ คือจิตของเรามีสภาพจำ ถึงเวลาก็จะไปจำในของเก่าที่ตัวชำนาญ ซึ่งก็คือการละเมิดศีลละเมิดธรรม ต้องฝึกปรือเอาไว้ให้เคยชิน ไม่อย่างนั้นแล้วเสร็จสถานเดียว |
:cebollita_onion-17: เก็บตกเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ หมดแล้วค่ะ :cebollita_onion-17: ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และเผือกน้อย |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:48 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.