![]() |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของในหลวงรัชกาลที่ ๙ คนเห็นความดีของท่านทั่วโลก เห็นไหมว่ามีฝรั่งทั้งผู้หญิงผู้ชายสมัครเป็นจิตอาสาช่วยงานที่สนามหลวง นั่นไม่ใช่ว่าเขาทำเพราะสนุก แต่มาเพราะศรัทธาจริง ๆ ของทองผาภูมิก็มีฝรั่ง แต่เสียดายว่าลุงเดฟตายไปเสียก่อน ไม่เช่นนั้นลุงเดฟก็คงเป็นจิตอาสาทองผาภูมิเหมือนกัน
เรื่องของการทำความดีเป็นสากล คำว่าสากลก็คือทั่วโลกก็ยอมรับกันทั้งนั้น ในเมื่อใครทำดีให้เขาเห็นว่าดีจริง ๆ ทุกคนก็ยอมรับในความดีนั้นเช่นกัน ในลักษณะเดียวกับธรรมะ ไม่จำกัดด้วยสถานที่ เชื้อชาติ หรือระยะเวลา เป็นส่วนที่ทุกคนยอมรับและต้องการกันทั้งนั้น ทุกคนก็อยากจะมีภพหน้าที่ดี ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือว่าตายดี ขณะที่มีชีวิตอยู่ก็ให้มีความสุขความสงบ แต่หลายศาสนาก็แสวงหาผิดทาง พวกเราถือว่าโชคดีเกิดมาในศาสนาพุทธที่มีหลักธรรมที่แท้จริง ช่วยให้พวกเราพ้นทุกข์ได้ เดี๋ยวนี้ฝรั่งทั่วโลกเขาใช้สมาธิในการเสริมสร้างสมรรถภาพในการทำงานให้กับคนของเขา ส่วนประเทศไทยของเรายังไม่ค่อยมีใครขยับเลย เมื่อวานนี้ที่คุมสอบธรรมศึกษา ที่เห็น ๆ อยู่ทำมาเป็น ๑๐ ปีแล้วก็คือซีพี ซีพีเขาพัฒนาให้ทุกคนเรียนหมด มีธรรมศึกษาตรี ธรรมศึกษาโท ธรรมศึกษาเอก แต่มีอันหนึ่งที่ซีพีทำแล้วอาตมาไม่เห็นด้วย ก็คือยกวัดไปไว้ที่เซเว่นฯ ที่ไม่เห็นด้วยเพราะว่าเท่ากับดึงคนไปจากวัด ในเมื่อดึงคนไปจากวัดเข้าไปในเซเว่นฯ ก็ไม่ใช่ความสงบที่แท้จริง ในเรื่องของธรรมศึกษาอาตมายอมรับว่าเขาทำดี ทำถูก ถึงแม้ว่าจะเป็นการเพิ่มสมรรถภาพในการทำงานของบุคลากรของเขา แต่ว่าผลได้เกิดขึ้นกับตัวพนักงานจริง ๆ แต่ยกวัดไว้ที่เซเว่นฯ เหมือนอย่างกับทำเอาหน้า นี่วิจารณ์กันตรง ๆ นะ เหมือนกับทำเอาหน้า พอถึงเวลาก็นิมนต์พระไปเทศน์ แล้วคนก็ไปส่องกัน แต่เหมือนกับว่าเป็นงบประมาณการตลาด โฆษณาสินค้าทำนองนั้น" |
"อะไรที่เป็นความดีแท้ ความดีสากล คนเห็นก็ชื่นชม อะไรที่ยังไม่ดีแท้ก็ต้องขัดเกลา ต้องปรับปรุงกันไป ยอมรับว่าคุณก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ มีแนวคิดที่ดี ก็คือพยายามจะเอาหลักของศาสนาให้เข้าถึงบุคลากรและประชาชนทั่วไป แต่บางอย่างกระทำแล้วกระทบกับส่วนเดิมที่ดีอยู่แล้ว
อย่างเช่นว่า ถ้าซีพีจะทำโครงการนี้ ก็หาวัดหลัก ๆ สมมติว่าภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก เสร็จแล้วก็จัดโครงการร่วมกับทางวัด ดึงคนเข้าวัดในจุดนั้น ๆ ก็จะเป็นโครงการที่เหมาะสมกว่าที่จะพาคนไปเข้าเซเว่นฯ ที่อยากเข้าเซเว่นฯ จริง ๆ นอกจากคนแล้วแม้แต่หมาก็อยากเข้า แย่งกันนอนหน้าเซเว่นฯ เพราะว่าเย็น ถึงเวลาก็เอาหัวเกยประตูนอน ประตูอัตโนมัติจะปิดก็ปิดไม่ได้ เพราะว่าหัวหมาเกยอยู่" |
"ส่วนงานอื่น ๆ ที่จะใช้หลักธรรมในการพัฒนาสมรรถภาพของบุคลากรก็ไม่เคยเจอ ในทองผาภูมิใช้กันมาก ที่เห็นชัด ๆ เลยก็คือเรือนจำจังหวัดทองผาภูมิ
อย่าสงสัยว่าจังหวัดทองผาภูมิมีอยู่หรือ ? ทองผาภูมิเขามีโครงการแยกจังหวัดมานานแล้ว แต่ประชากรยังไม่พอ พวกส่วนของเรือนจำจังหวัด ขนส่งจังหวัด ศาลจังหวัด ไปอยู่ที่โน่นกันหมดแล้ว พูดง่าย ๆ ก็คือว่า อัตราเหมือนกับเป็นอีกจังหวัดหนึ่งแล้ว แต่ประชากรไม่พอ ประชากรในทะเบียนของทองผาภูมิจริง ๆ มีแค่ ๖๐,๐๐๐ กว่าคน ที่เห็นเป็นล้าน ๆ นั่นส่วนใหญ่เป็นมอญพม่า พี่น้องมอญพม่ายังไม่มีบัตร ไม่สามารถนับเป็นประชากรในทะเบียนบ้านได้" |
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่ออาทิตย์ก่อนมีโยมเอาพรมไปถวายที่วัด ๒ ผืน ระบุชัดว่าจะปูตรงนั้นตรงนี้ อาตมาบอกว่า ถ้าระบุมาก็เอากลับไปเลย ลักษณะนั้นทำบุญไปก็ได้บุญน้อยเพราะว่ายังยึดติดอยู่ ติดว่าจะต้องใช้ของของเขา จะต้องใช้ตรงนั้น จะต้องใช้ตรงนี้ ทำบุญแล้วขาดอุเบกขาในการทำ ประเภททำแล้วต้องตามดูด้วยว่าเขาใช้หรือเปล่า"
|
โยมมารับลิงปิดตารากพุดซ้อน ของหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว และพระผงกระดูกผีวัดโพธิ์ฯ "ลิงปิดตารากพุดซ้อนตัวนี้ใหญ่มาก เล่นแต่ของเฮี้ยน ๆ นี่ไม่กลัวผีกวนบ้างหรือ ? ไปถึงรีบทำบุญให้เขาก่อนเลย"
ถาม : ทำไมเขาถึงทำพิมพ์นี้ ผมอ่านตามอินเตอร์เน็ตเขาบอกว่ามีอยู่ ๕ พิมพ์ ? ตอบ : ไม่ใช่มีอยู่ ๕ พิมพ์ อยู่ที่ว่าช่างอยากทำอย่างไร ๕ พิมพ์ที่มีอยู่นั่นคือพิมพ์หลัก ๆ ที่เขาเล่นกัน อย่างที่อาตมาเอาพิมพ์มือปิดตามาลงมีใครเชื่อว่ามีไหมเล่า ? แต่ท่านก็สร้างของท่าน ของคนอื่นตัวนิดเดียว แสดงว่าตัวนี้ไปเจอโคนรากพุดซ้อนเข้า คนแกะเลยเกิดอารมณ์ศิลปินขึ้นมา แบบเดียวกับของหลวงพ่อสุ่น วัดศาลากุน เคยเจอตัวใหญ่สุดกว่านี้หน่อยหนึ่ง แล้วก็เจอเล็กสุดนี่เล็กนิดเดียวเอง ประเภทปลายรากเลย ถาม : ถ้าผมไปถูกผีกวน ? ตอบ : สมัยก่อนเขาทำให้ทหารไปออกรบอินโดจีน พอกลับมาเขาก็เอามาคืนวัดกันหมด เพราะว่าอยู่บ้านบางทีเขาบอกว่ากวนมาก คงทำบุญให้เขาไม่เป็นกระมัง ? |
ถาม : เวลานี้ ยังไม่ถึงอารมณ์เบื่อเลยค่ะ ยังอยู่ที่กลัวอยู่ กลัวแบบไม่อยากอยู่แล้ว ที่นี่มันน่ากลัว จะรู้สึกอึดอัดเหมือนกับเรากลั้นหายใจ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะสมาธิตอนนั้นยังอยู่หรือเปล่า มักเป็นตอนขับรถค่ะ พอเราหายกลัว มองไปข้างนอกว่าไม่มีอะไรเลย เห็นทุกอย่างว่าเป็นปกติ เห็นว่าเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้างหน้า รวมทั้งตัวที่ขับรถอยู่ด้วย ไม่ทราบว่าควรจะทำอย่างไรต่อคะ ?
ตอบ : หมั่นสังเกตบ่อย ๆ หมั่นเข้าถึงหมั่นคลายออก เดี๋ยวก็รู้เองว่าอะไรเป็นอะไร พวกเราส่วนใหญ่ไปถึงได้ แต่ออกไม่ค่อยเป็น เพราะว่าขาดความชำนาญ ต้องซักซ้อมเข้าออกสมาธิให้ชำนาญ ถาม : ที่หายใจไม่ออกนี่ เป็นเพราะกำลังจะไม่มีลมหายใจใช่ไหมคะ ? ตอบ : ให้สนใจอาการภายในที่เกิดขึ้นได้แล้ว ไม่ต้องสนใจลมหายใจ ถ้าไปสนใจลมหายใจ ช่วงลมหายใจกำลังหายไปบางทีเราก็รู้สึกตกใจบ้าง อึดอัดบ้าง |
ถาม : อยากขอขมาหลวงพ่อ กับความคิดที่อาจจะเคยล่วงเกินหลวงพ่อโดยไม่ได้ตั้งใจ ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ ไม่ได้ถือโทษอะไรหรอก จะขอขมาก็ไปขอที่หน้าหิ้งพระโน่น ขอตรงกับพระพุทธเจ้าเลย |
ถาม : ผมได้สนทนากับเพื่อนคนหนึ่ง เขาบอกว่าไม่อยากมาทำบุญ เพราะพระรวยกันแล้ว แต่ตัวเขาเองก็ยังอยากทำความดี สอนลูกให้ทำความดีอยู่ เราจะแนะนำเขาอย่างไรครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วความคิดเช่นนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ แต่ถ้าเขายอมรับฟังคำแนะนำอยู่ ก็แค่ถามเขาว่า ถ้าการลงทุนที่มีดอกผลตอบแทนมาก กับการลงทุนที่มีดอกผลตอบแทนน้อย โดยสัญชาตญาณของเราจะเลือกอะไร ? ก็ต้องเลือกในส่วนที่มีผลตอบแทนมาก ส่วนที่มีผลตอบแทนมากก็คือ อันดับแรก เจตนาในการให้ของเราบริสุทธิ์ อันดับที่ ๒ วัตถุทานของเราบริสุทธิ์ อันดับที่ ๓ ผู้ให้คือตัวเราบริสุทธิ์ อันดับที่ ๔ ผู้รับเป็นผู้บริสุทธิ์ ถ้าส่วนไหนขาดตกบกพร่องไป บุญก็ลดไปตามส่วน ก็ทำให้ผลที่ควรจะได้น้อยลง เพราะฉะนั้น...ถ้าเราทำทานกับสัตว์เดรัจฉาน เลี้ยงหมู เลี้ยงหมา อะไรก็ได้ แต่คุณเอาแต่เลี้ยงหมา ๕๐๐ ตัวเป็นเวลา ๑๐๐ ปีติดต่อกัน ก็ไม่เท่ากับเลี้ยงข้าวคนมื้อเดียว คุณอาจจะประเภทให้คนลำบากยากจน คนขอทาน หรืออุปถัมภ์เด็กบ้านเมตตาก็ได้ แต่ถ้าเขาไม่มีศีล ไม่มีธรรม ก็สู้ทำบุญกับพระกับเณรครั้งเดียวไม่ได้ แต่ถ้าคนที่มีแนวคิดเป็นมิจฉาทิฏฐิแบบนั้นแล้วเราอธิบายไม่ชัดเจน เขาไม่ฟังเราหรอก เขาจะฟังเหมือนกับเป็นข้อแก้ตัว ปล่อยเขาไปเถอะ...เสียเวลา ต่างคนต่างเดิน ต่างคนต่างไป เพราะถึงเวลาก็ต่างคนต่างตายอยู่แล้ว ไม่ได้ตายพร้อมกัน ไม่ได้ไปด้วยกัน |
ถาม : การที่ตูน บอดี้แสลม ไปวิ่งเพื่อหาเงินช่วยโรงพยาบาล ถือว่าทำเพื่อส่วนรวม หรือว่าเป็นแค่ความตั้งใจในการทำงานของเขา ?
ตอบ : เรื่องนั้นต้องถามเขาเอง ถามเขาว่าเป้าหมายอยู่ที่ไหน ? แต่เท่าที่ดูแล้ว เขาเห็นว่าถ้าจะช่วยคนส่วนรวมได้มาก ๆ เราก็ต้องทำในสิ่งที่ส่วนรวมต้องร่วมกันใช้ โดยเฉพาะในเรื่องของสุขภาพคนเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ถ้าประชาชนสุขภาพดี ก็มีเรี่ยวแรงที่จะพัฒนาประเทศชาติได้ เขาก็เลยเน้นเอาโรงพยาบาล ถาม : เขาทำเพื่อคนอื่น ? ตอบ : ทำเพื่อคนอื่นก็ทำเพื่อส่วนรวมอยู่แล้ว เพราะคนอื่นหลาย ๆ คนก็คือส่วนรวม ไม่ต้องสงสัยหรอก |
พระอาจารย์เล่าว่า "ในบาลีท่านมีบอกเอาไว้ว่า ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว เกิดจากนายพรานคนหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดชื่อนายโกกะ
นายโกกะเป็นพรานล่าเนื้อ วันนั้นพาหมาล่าเนื้อออกไปล่าสัตว์ตามปกติ แต่เดินสวนทางกับพระภิกษุรูปหนึ่ง คราวนี้พระของเราในสายตาของคนอินเดียทั่วไปถือว่าเป็นคนกาลกิณี คนอินเดียจะไว้ผมยาวทั้งผู้หญิงผู้ชาย แล้วเกล้ามวยโดยสมมติเป็นเขาพระสุเมรุ เป็นที่สถิตของพรหมเทวดาทั้งหลาย พูดง่าย ๆ ก็คือเกล้ามวยผมให้เป็นที่สถิตของเทวดาที่ตนเองนับถือ ในเมื่อพระพุทธเจ้าของเราตัดผมสั้น โดยเฉพาะเกศาของพระองค์ท่านตัดสั้นแล้วก็ม้วนขดเป็นก้นหอยอีก ก็เลยเหมือนกับคนหัวล้าน ฝ่ายอื่นเขาก็เลยเรียกว่าสมณะโล้น เมื่อเจอบุคคลที่ว่าเป็นกาลกิณี นายโกกะก็ว่า “ดูว่าวันนี้เราจะซวยมาก มาเจอสมณะโล้นผู้เป็นกาลกิณี คงจะล่าสัตว์อะไรไม่ได้” ก็เดินสวนกันไป ปรากฏวันนั้นทั้งวันนายโกกะไม่เจอสัตว์ที่จะล่าสักตัวเดียว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแกพาหมาไปฝูงใหญ่ หมาเห่าเสียงดังแล้วสัตว์หนีหมดหรือเปล่า ? แต่ขากลับก็เดินสวนกับหลวงพ่อองค์นั้นอีก หลวงพ่อท่านก็คงไปธุระกลับมาเหมือนกัน นายโกกะเห็นก็โมโหว่า “สมณะโล้นขัดลาภของเราครั้งหนึ่งยังไม่พอ ยังจะมาขัดครั้งที่สองอีก” ก็เลยยุหมาให้ไล่กัด ความจริงหมาก็ไม่คิดจะกัดอะไร แต่พอเจ้านายสั่ง...หมาก็ไล่กัด พระก็เลยต้องหนี...ตะกายขึ้นไปบนต้นไม้ ปรากฏว่ากิ่งที่สูงมากก็ไม่มี ได้แต่อยู่ต่ำ ๆ พอพ้นปากหมาเท่านั้น นายโกกะเห็นก็เลยชักเอาลูกศรที่ตัวเองไว้ยิงสัตว์นั่นแหละ ทิ่มฝ่าเท้าพระที่อยู่บนกิ่งไม้เพื่อให้พระกระโดดลงมา พระก็พยายามหลบซ้ายเลี่ยงขวา นายโกกะก็ไม่เลิก แกก็ไล่ทิ่มไปเรื่อยเพื่อจะให้โดดลงมาให้หมากัด" |
"พอพระท่านหลบไปหลบมา จีวรท่านหลุดตกลงไปคลุมตัวนายโกกะที่อยู่ข้างล่าง พวกหมาเป็นหมาล่าสัตว์เขาจำกลิ่นศัตรูได้ เมื่อจีวรคลุมตัวก็เลยลืมไปว่าเป็นเจ้านาย คิดว่าเป็นศัตรูหล่นลงมา ก็เลยกัดนายโกกะถึงแก่ความตาย
คราวนี้พระท่านเห็นอย่างนั้นท่านก็ตกใจส่งเสียงตะเพิดไล่หมา หมาเงยขึ้นมา อ้าว...ตายละวา...นี่เรากัดเจ้านายตัวเองตาย หมาก็เลยเตลิดหนีกันหมด พระท่านจึงต้องลงไปทั้ง ๆ ที่ไม่มีจีวร ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วถามว่า “ข้าพระพุทธเจ้าเป็นสาเหตุให้นายพรานโกกะถึงแก่ความตาย ศีลจะขาดหรือเปล่า ?” เพราะว่าถ้าศีลขาดคือต้องอาบัติปาราชิก ขาดความเป็นพระไปเลย พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “สิ่งที่ทำไปไม่ถือว่าศีลขาด เพราะว่าไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายใคร เกิดจากการที่พยายามหลบเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายเอาลูกศรแทงฝ่าเท้าตัวเอง จนกระทั่งจีวรหลุดลงไปต่างหาก เพราะฉะนั้น...สิ่งที่นายโกกะได้รับจึงเรียกว่า "ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว” อะไรจะดวงเฮงปานนั้น" |
"เรื่องของพระกับนายพรานนี้มีหลายเรื่อง อีกเรื่องหนึ่งก็เรื่องที่ว่า พระท่านเห็นนายพราน ช่วงที่กำลังเดินทางในป่าเป็นทางโค้ง พระมองเห็นก่อน แสดงว่าพระตาไวกว่า ก็เลยคิดว่าเราเป็นคนกาลกิณีในสายตาของเขา ถ้าไปทำให้เขาโชคร้าย เดี๋ยวเขาจะโกรธเอา ก็เลยหลบเข้าไปอยู่ในพุ่มไม้
แต่ปรากฏว่าจริง ๆ แล้วนายพรานก็เห็นพระ นายพรานก็คิดว่า พระภิกษุผู้ทรงศีลกำลังเดินทางมา ถ้าเราถืออาวุธอยู่ก็จะไม่เป็นการเหมาะสม เพราะท่านอาจจะกลัวได้ พอเดินไปถึงทางโค้งก็เลยพุ่งหอกของตัวเองซ่อนไว้ในพุ่มไม้ ปรากฏว่าใจเดียวกัน พระท่านก็หลบเข้าพุ่มไม้เพราะไม่อยากให้นายพรานเห็น นายพรานก็พุ่งหอกไปซ่อนไว้ในพุ่มไม้เพราะไม่อยากให้พระไม่สบายใจ สรุปว่าพระตาย..! เรื่องของกรรมบันดาลให้เป็นไปนี่ฟังแล้วเหลือเชื่อ ชาติก่อนพระท่านเคยเป็นชาวนาแล้วไปฟังเทศน์ ก็เลยเอาปฏักปักลงบนพื้นเพื่อที่จะได้แสดงความเคารพพระ ปรากฏว่าไปปักลงบนหลังกบพอดี กบตายคาที่เลย มาชาตินี้หลบไปอยู่ในพุ่มไม้ก็โดนหอกเข้าเต็ม ๆ เหมือนกัน" |
ถาม : การปฏิบัติที่ผ่านมา ก็พิจารณาว่าเกิดขึ้นแล้วดับลง ได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้...จัดเป็นอุทยัพพยานุปัสสนาญาณ แล้วหลังจากนั้นล่ะ ? ถาม : ก็พิจารณาว่าร่างกายไม่เที่ยง ? ตอบ : ถ้าพิจารณาก็ต้องให้เห็นว่าไม่เที่ยงเพราะอะไร ทุกข์เพราะอะไร ไม่อย่างนั้นแล้วสภาพใจของเราไม่ยอมรับ ก็จะกลายเป็นสักแต่ว่าทำ ๆ ไป |
ถาม : ถ้าเกิดเราทำอะไรลงไป โดยที่เรายังไม่แน่ใจว่าผิดศีลหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระนี่ซวยแน่ ๆ เพราะว่าศีลของพระนี่ไม่รู้ก็ผิด สงสัยแล้วขืนทำก็ผิด |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงมนุษย์เราเป็นสัตว์ที่กินทั้งพืชและเนื้อ แบบเดียวกับพวกลิงพวกค่างเป็นสัตว์ครึ่งกินพืช ครึ่งกินเนื้อ คราวนี้ถ้ากินอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียวจะขาดสารอาหาร ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงมัชฌิมาปฏิปทา ไม่ทรงอนุญาตตามคำขอของพระเทวทัตที่ขอให้ภิกษุฉันมังสวิรัติอย่างเดียวก็เพราะเหตุนี้
พระองค์ท่านเป็นสัพพัญญู รู้จริงว่าถ้าขาดสารอาหารแล้วจะมีโทษมากกว่า แต่ในยุคนั้นทางด้านศาสนาฮินดู โดยเฉพาะศาสนาเชน เขาถือการไม่เบียดเบียนผู้อื่นอย่างเคร่งครัด ก็เลยกินแต่ผัก กินแต่ถั่วงา ซึ่งความจริงเขาก็ทำถูก เพราะว่าพวกถั่วมีสารโปรตีนอยู่ เพียงแต่ว่าบุคคลทั่วไปที่กินอาหารที่มีเนื้อก็มีมาก ถ้าพระของเราประกาศว่าฉันเจอย่างเดียว ครอบครัวที่ยังกินเนื้อสัตว์อยู่ ก็จะลำบากในการหาอาหารอีกส่วนหนึ่งเพื่อมาถวายพระ พระพุทธเจ้าไม่อยากรบกวนชาวบ้านมากเกินไป จึงประกาศว่าใครอยากจะฉันมังสวิรัติก็ให้ฉันมังสวิรัติ ใครจะฉันอาหารที่เป็นเนื้อเป็นปลา ถ้าเว้นจากการเห็นว่าเขาฆ่าเพื่อเรา รู้ว่าเขาฆ่าเพื่อเรา รังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ก็สามารถที่จะฉันได้ แต่ถ้ารู้ว่าเขาฆ่าเพื่อเรา เห็นว่าเขาฆ่าเพื่อเรา รังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ยังฉันก็จะโดนปรับโทษ" |
"เรื่องนี้จะอยู่คู่โลกไปตราบชั่วฟ้าดินสลาย บอกแล้วว่ามนุษย์เราไม่ใช่สัตว์กินพืช เมื่อเป็นเช่นนั้นอย่างไรก็ต้องมีเนื้อเป็นอาหาร เพียงแต่จะเป็นเนื้อสัตว์ชนิดใด อย่างคนจีนกินเจช่วงที่ผ่านมาก็เป็นพวกเนื้อปลอม ซึ่งถือว่าเป็นการปรุงแต่งหลอกตัวเอง ๒ ชั้น ก็คือคิดว่ากินเจอย่างหนึ่ง คิดว่างดเว้นจากเนื้อสัตว์อย่างหนึ่ง แต่กลับเอาโปรตีนมาทำเป็นรูปสัตว์รูปเนื้อต่าง ๆ
อาตมาไปประเทศพม่าเข้าร้านอาหารเจ พอสั่งไปปรากฏว่ากลายเป็นไข่ต้มฮังเลมา ก็ยังสงสัยอยู่ว่าเป็นเจประสาอะไร ? แต่มานึกถึงบ้านเราว่าบางแห่งที่เขากินมังสวิรัติ เขาไม่เว้นไข่ ไม่เว้นนม ก็คิดว่าเป็นแบบเดียวกัน ปรากฏว่าเข้าใจผิด ไข่ที่เห็นต้มมาอยู่ในแกงกะหรี่นั่น พอตักเข้าจริง ๆ เป็นมันฝรั่ง เขาเอามันอาลูมาเกลาจนเป็นรูปไข่ เสร็จแล้วก็คลุกในเครื่องเทศ ก็เลยเหมือนอย่างกับไข่จริง ๆ ตักเข้าไปปรากฏว่าเป็นมันฝรั่งทั้งลูก มีอยู่เที่ยวหนึ่งนั่งรถทัวร์เพื่อที่จะไปไหว้พระที่มัณฑะเลย์ ซึ่งมีระยะทางไกลมาก ถ้าออกจากย่างกุ้งตอน ๖ โมงเย็นจะไปถึงมัณฑะเลย์ประมาณ ๙ โมงเช้า มีแวะกินข้าวเช้ากันกลางทาง พอพระลงไปเขาก็ถามว่าเอาอาหารปกติหรืออาหารเจ ? ก็บอกเขาว่าเอาอาหารปกติมาแล้วกัน อาหารเจต้องเสียเวลาเตรียม ก็นั่งฉันกันจนอิ่ม" |
"ปรากฏว่ามีโยมผู้หญิง ๒ คน อายุมากแล้วคนหนึ่ง น่าจะเป็นแม่ลูกกัน มานั่งกินอาหารเจโต๊ะใกล้ ๆ พอเขาคิดค่าอาหาร อาหารเจแพงกว่า เล่นเอาโยม ๒ คนโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง ก็เลยบอกโยมว่าอย่าโกรธ เพราะว่าเราตั้งใจไปแสวงบุญ ในเมื่อเราตั้งใจจะสร้างบุญบริสุทธิ์ ราคาบุญก็แพงขึ้นบ้างก็ทน ๆ เอา
ช่วงหลังอาตมามีงานมากจนกระทั่งปลีกตัวไม่ออก ก็เลยทำให้หนังสือเที่ยวพม่าที่ควรจะออกอีก ๓-๔ เล่มก็ยังไม่ได้ออกสักเล่ม แล้วเรื่องที่ควรจะเขียนต่อก็คา ๆ ทิ้ง ๆ เอาไว้ ไม่รู้ชาตินี้จะได้เขียนจบหรือเปล่า ที่บันทึกเอาไว้ใหม่ก็กองอยู่บานตะเกียง ยังไม่มีเวลาไปเกลาต้นฉบับออกมาให้เป็นเล่มสักที" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "กองทุนรักษาพยาบาลพระภิกษุสามเณรของเดือนที่ผ่านมา เพิ่งจะมีโอกาสจัดการเมื่อเช้านี้ ส่วนที่ทำง่ายเลยก็คือญาติโยมจำนวนหนึ่งที่โอนวันที่เดิมทุกวันทุกครั้ง แล้วทำบุญด้วยเงินจำนวนเท่ากันทุกครั้ง ถ้าอย่างนั้นอาตมาก็แค่คัดลอกข้อมูลเก่าวางลง แล้วก็เปลี่ยนแค่เดือนเท่านั้น ท่านเหล่านี้ต้องบอกว่าสัจจบารมีมั่นคงมาก ทำวันเดิมจำนวนเท่าเดิมตลอด
อีกประเภทหนึ่งก็ทำทุกเดือน แต่ทำเฉพาะตอนมาทำบุญที่บ้านเติมบุญนี้ ซึ่งตรงวันเดิมบ้าง ไม่ตรงวันเดิมบ้าง ส่วนอีกประเภทหนึ่งตั้งกองทุนแล้วก็สาบสูญไปจากโลกเลย ไม่เคยเข้าไปดูอีกเลยว่าตัวเองได้ตั้งกองทุนไว้ คาดว่าคงจะลืมไปหมดแล้ว ก็เลยทำให้เห็นว่า ในเรื่องของการสร้างบุญสร้างบารมีของคนยังต่างกันได้ขนาดนั้น หลายคนก็มาวันเดิม มาจำนวนเท่าเดิมตลอด จะฝนตกแดดออกน้ำท่วมอย่างไรก็ทำบุญตรงเวลา อีกประเภทหนึ่งก็ทำทุกเดือน จำแม่นยำว่าตัวเองตั้งกองทุนไว้ ก็เพิ่มทุนไปเรื่อย ๆ เดือนละ ๑๐๐ บาทบ้าง ๓๐๐ บาทบ้าง ๕๐๐ บาทบ้าง ส่วนอีกประเภทหนึ่งนั้น ตั้งทุนครั้งเดียวในชีวิตแล้วก็สาบสูญไปเลย บางคนก็เกือบ ๑๐ ปีไม่ได้โผล่มาเลย อย่างที่เขาบอกว่านิ้วมือยังไม่เท่ากัน แล้วจะให้กำลังใจคนเท่ากันย่อมเป็นไปไม่ได้" |
ถาม : ขออนุญาตถวายนวดครับ
ตอบ : ไม่ต้อง อาตมาเลิกนวดมานานแล้ว ส่วนใหญ่เจอ ๒ ประเภท ประเภทแรกนวดไม่เป็น สักแต่ขยำไปเรื่อย ประเภทที่ ๒ นวดเป็น แต่มือหนักฉิบหา...! ไม่รู้จักหนักจักเบา ใส่มาเต็มที่ตลอด |
ถาม : มีข่าวว่าระหว่างถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ ๙ เกิดภาพมหัศจรรย์ค่ะ ?
ตอบ : มหัศจรรย์อย่างไร ? ถาม : มีควันสีขาว ก้อนเมฆ มีนกสีขาวค่ะ ตอบ : นกเชื่อได้ ก้อนเมฆเชื่อไม่ได้ ก้อนเมฆสมัยนี้คอมพิวเตอร์กราฟฟิกแต่งได้ง่ายยิ่งกว่าอะไรอีก คิดเสียว่านกตกใจอะไรจึงบินออกมาก็แล้วกัน ของอะไรบางอย่างรู้อยู่แก่ใจก็พอ วิพากษ์วิจารณ์กันมากมายเกินไปเดี๋ยวจะกลายเป็นเลยเถิดไปกันใหญ่ ความดีที่พระองค์ท่านทำเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดว่า คนหนึ่งจะทุ่มเทเพื่อคนเป็นล้าน ๆ คนโดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก เป็นเรื่องที่เป็นไปแทบจะไม่ได้ในความรู้สึกของคนทั่วไป แต่พระองค์ท่านทำได้ และเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ พูดง่าย ๆ ว่าทั่วโลกยอมรับในความดีของพระองค์ท่าน ตรงจุดนั้นจึงเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุด สิ่งที่พระองค์ท่านทำก็เป็นแรงบันดาลใจให้กับคนจำนวนมาก โดยเฉพาะคนไทยด้วยกัน ได้ก้าวตามรอยพระยุคลบาท สร้างความดีเพื่อส่วนรวมโดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก อาตมาเองก็ตั้งซุ้มถวายพระองค์ท่านอยู่ในศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สายวัดท่าขนุน เอาพระบรมราโชวาทที่พระองค์ให้เมื่อตอนฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปีมาติดเอาไว้ให้คนได้อ่านกัน เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่พระองค์ท่านเข้าถึงธรรมได้ลึกซึ้งมาก สามารถเอาหลักธรรมของพระพุทธเจ้าจากพระไตรปิฎก มาสอนประชาชนโดยที่ไม่มีกลิ่นอายบาลีเหลืออยู่เลย ไปอ่านดูก็จะเห็นแต่ความเสียสละ อดทน อดกลั้น อดออม สละประโยชน์สุขส่วนตนเพื่อประโยชน์สุขส่วนรวม |
ถ้าไม่ใช่เซียนบาลีจริง ๆ ไม่รู้หรอกว่าพระองค์ท่านเอามาจากไหน นั่นคือ หลักฆราวาสธรรม ธรรมะของฆราวาสทั่วไป ที่มี สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ ๔ อย่างด้วยกัน เราไปอ่านแล้วจะไม่เห็นเค้าเลย
ส่วนอันที่เขียนสรรเสริญคุณของพระองค์ท่านด้วยตัวเอง อาตมาให้หันเข้าหาข้างฝา ใครอยากอ่านก็ไปมุดดูเอา แต่พระบรมราโชวาทของพระองค์นี้ตั้งใจโชว์ให้ทุกคนได้เห็น จะได้เป็นข้อเตือนใจแล้วนำไปปฏิบัติตาม ปัจจุบันนี้เวลาเห็นคนใส่เสื้อหรือว่าสติ๊กเกอร์ติดรถว่า เรารักในหลวง ถ้าเป็นรัชกาลที่ ๑๐ คงจะภูมิใจว่าชาวบ้านรักเราจริง ๆ ติดกันไว้เพียบเลย ที่น่าห่วงใยก็คือสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เพราะว่าสุขภาพของพระองค์ท่านชำรุดมาก เป็นเราอายุ ๘๕-๘๖ ปี ก็แทบจะคลานไม่ไหวแล้ว |
๔,๖๘๕ โครงการใน ๗๐ ปี ๓๕ ปี ๒,๓๐๐ กว่าโครงการ ๑๗ ปีประมาณ ๑,๑๗๐ กว่าโครงการ หั่นครึ่งลงไปอีก ๖ ปีครึ่งประมาณ ๖๐๐ โครงการ เพราะฉะนั้นถ้า ๖ ปีครึ่งประมาณ ๖๐๐ โครงการ ปีหนึ่งเท่ากับพระองค์ท่านทำไปประมาณ ๑๐๐ โครงการ นี่คือโครงการที่ประสบความสำเร็จ แล้วที่ไม่ประสบความสำเร็จไม่รู้อีกเท่าไร
|
ถาม : หนูไปวัดท่าซุงเมื่อไม่กี่วัน แล้วลืมใส่ซองที่นั่น มาทำที่นี่ได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจทำควรจะทำที่นั่น พระเรามีราคาแค่บาทเดียวยังไม่พอ ยังมีศีลอีกข้อหนึ่งที่ห้ามไว้ต่างหาก เมื่อภิกษุน้อมลาภที่เขาถวายสงฆ์มาเพื่อตน...ก็โดนอีก เพราะฉะนั้น...โยมตั้งใจถวายที่วัดท่าซุงก็ควรจะไปที่วัดท่าซุง |
พระอาจารย์เล่าว่า "งานที่แล้วมีโยมเขียนหน้าซองถวาย ๔,๐๐๐ บาท มีแต่ซองเปล่า ๆ คือโยมเขียนเสร็จแล้วถวายเลย อาตมาก็ไม่ทวงด้วย ปล่อยเลยตามเลย"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานนี้ตอนคุมสอบธรรมศึกษามีทั้งหมด ๑๔ ห้อง เฉพาะของโรงเรียนทองผาภูมิวิทยา โรงเรียนอนุบาลทองผาภูมิอีก ๑๒ ห้อง โรงเรียนวัชรวิทย์อีก ๔ ห้อง พูดง่าย ๆ ว่าแทบจะต้องแบ่งภาคเอา แล้วมีปัญหาก็คือ พระของเราไม่เก่งบาลี พอถึงเวลาขึ้นกระทู้ ซึ่งก็คือหัวข้อเทศน์เพื่อให้เด็กได้เขียน เหมือนอย่างกับเทศน์บนหน้ากระดาษ
อาตมาเข้าไปถึงมองปุ๊บชี้ว่าตรงนี้ผิด พระท่านก็สงสัย เขาคิดว่าหลวงพ่อจำกระทู้ได้ทุกกระทู้เลยหรือ ? ไม่ใช่หรอก...บาลีผิด ถ้าเราแม่นในเรื่องวรรค วรรคกะ เป็น กะ ขะ คะ ฆะ งะ วรรคจะ เป็น จะ ฉะ ชะ ฌะ ญะ วรรคตะ เป็น ตะ ถะ ทะ ธะ นะ วรรคฏะ เป็น ฏะ ฐะ ฑะ ฒะ ณะ ตัวสะกดกับตัวตามต้องอยู่วรรคเดียวกัน ถ้าอยู่ผิดวรรคก็ผิดทันทีเลย อย่างเช่น อัตถะ ที่แปลว่า ประโยชน์ ต้อง ต.เต่าสะกด ถ.ถุงตาม เพราะว่าเป็นวรรค ตะ อัจฉรา ที่แปลว่านางฟ้า ก็ต้อง จ.จานสะกด ฉ.ฉิ่งตาม ถ้าหากว่าเป็น สัทธา ก็ต้อง ท.ทหารสะกด ธ.ธงตาม เพราะว่าอยู่ในวรรคเดียวกัน อย่างอัฏฐิ ฏ.ปฏักสะกด ต้อง ฐ.ฐานตาม คราวนี้มองปุ๊บก็รู้แล้วว่าผิด ชี้ให้ท่านดูแล้วก็ให้ไปแก้ พระท่านสงสัยว่าอาตมาจำกระทู้ธรรมได้หมด ๓-๔ เล่มเลยหรือ ? บอกว่าไม่ใช่หรอก เขียนผิดแค่มองก็รู้ว่าผิด เพราะว่าผิดหลักภาษา" |
"เวลาท่านเรียนบางทีก็จับจุดไม่ได้ ในเมื่อจับจุดไม่ได้ก็จะไม่เข้าใจว่าผิด โดยเฉพาะบาลีเขามีเสียงสั้น เสียงยาว มีเสียงหนัก เสียงเบา พอถึงเวลาสมาสหรือสนธิ จะต้องแก้ตัวไหนเป็นเสียงสั้น ตัวไหนเป็นเสียงยาวให้ยุ่งไปหมด
ไปถึงก็ให้เขาดู ชีวิตัง ไม่ใช่ชีวีตัง ให้แก้ใหม่ คนเรามีเผลอ คิดว่าภาษาไทยชีวีใช่ไหม ? แต่ถ้าจะเอาบาลีเป็นชีวีไม่ได้ ต้องชีวิ แล้วถ้าเป็นเอกวจนะเสียงสั้น พหุวจนะเสียงยาว อย่างเช่นเอกวจนะคือบุคคลเดียว เสฏฐิ แต่ว่าถ้าหากเป็นพหุวจนะก็คือเศรษฐีหลายคน ก็จะเป็นเสฏฐีเลย เพราะฉะนั้นเสฏฐิกับเสฏฐี ใช้คนละที่ คนละรูปประโยคกัน ถ้าจับหลักได้ก็จะได้เลย ถ้าจับไม่ได้ก็เมาอยู่นั่นแหละ ไม่รู้ว่าอาจารย์สอนอะไร ก็สักแต่ว่าไล่จำเอา วันนั้นต้องเดินไปแก้ให้เขา ๓-๔ ห้อง" |
"ตอนช่วงที่ไปบรรยายในงานอบรมก่อนสอบ ท่านพระครูปริยัติชัยกาญจน์เข้ามาถึงก็ “โอ๊ย...หลวงพ่อเล็กยังต้องบรรยายเองอีกหรือ ? ใคร ๆ เขาก็ให้ลูกศิษย์ทำทั้งนั้นแหละ” ก็เลยเกิดปัญหาตรงที่ว่า พอทดสอบแล้วนักเรียนเขียนบาลีไม่ได้
จะเรียกว่าเด็กก็ไม่ได้หรอก บางรูปก็ ๖๐ กว่าปีแล้วค่อยมาบวช พอเรียนมาถึงระดับนักธรรมโท นักธรรมเอก ต้องใช้บาลีเยอะมาก เอาหนังสือส่งไปให้เปิดหาก็ไม่เจออีก พอดีว่าบรรยายพระวินัยนักธรรมเอกเกี่ยวกับเรื่องสังฆกรรมสีมาอะไรพวกนั้น ท่านถาม "อาจารย์ครับ...ช่วยเขียนการทักนิมิตสีมาให้หน่อยได้ไหมครับ ?" ก็เลยบอกว่า อ้าว...พวกคุณไม่ได้เรียนมาใช่ไหม ? ในหนังสือไม่มีหรือ ? เขาบอกในหนังสือทักแค่ทิศเดียวครับ เขายกตัวอย่างแค่ทิศตะวันออกทิศเดียว ปุรัตถิมายะ ทิสายะ กิง นิมิตตัง ทางด้านทิศตะวันออกจะมีอะไรเป็นเครื่องหมายหรือ ? ปาสาโณ ภันเต มีก้อนหินเป็นเครื่องหมายครับ รุกโข ภันเต มีต้นไม้เป็นเครื่องหมายครับ ปัพพะโต ภันเต มีภูเขาเป็นเครื่องหมายครับ วัมมิโก ภันเต มีจอมปลวกเป็นเครื่องหมายครับ ก็ว่าไป" |
"พอไปทิศตะวันออกเฉียงใต้ ก็พูดว่า ปุริมัตถิมายะ อะนุทิสายะ กิง นิมิตตัง เขาก็งงอีก ว่าทำไมไม่ใช้ อคาเณยยะ ทิสายะ คือทิศอาคเณย์มี แต่บาลีเขาไม่ใช้ เขาใช้ อะนุทิสายะ ก็คือทิศเล็ก บ้าเข้าไปอีก ก็เลยต้องไปไล่เขียนให้เขาทีละทิศ ๆ จนหมด
เขาก็สงสัยว่าทำไมต้องเริ่มที่ทิศตะวันออก ทำไมไม่เริ่มทิศเหนือ ? ถ้าเราให้ลูกศิษย์ไปบรรยาย ลูกศิษย์จะตอบได้ไหม ? เขาเรียกบูรพาทิศ ทิศแรกเริ่ม เป็นทิศที่ตะวันขึ้นก่อน พุทธเจ้าเองตอนตรัสรู้ก็หันไปทางทิศตะวันออก เขาก็เลยถือมงคลว่าเป็นทิศแรกเริ่ม เพราะฉะนั้น...ทางด้านซ้ายของพระพุทธเจ้าก็คือทิศเหนือ ทางด้านขวาคือทิศใต้ ถ้าบอกว่าทักขิเณยยะทิศ เขาถึงใช้คำว่าทิศเบื้องขวา ซึ่งหมายถึงพระสารีบุตรที่นั่งอยู่ด้านขวาของพระพุทธเจ้า เป็นพระอัครสาวกฝ่ายขวา พอไปถึงพระโมคคัลลานะ ก็อุตตรทิศ ทิศเบื้องซ้าย ต้องอธิบายให้เขาได้ว่ามีที่มาจากไหน" |
"พอบรรยาย ๓ ชั่วโมงเสร็จ ถามพระว่า “ตอนคุณเรียนอาจารย์คุณสอนแบบนี้ไหม ?” ท่านบอก “ไม่มีเลยครับ อาจารย์แค่มาอ่านตำราให้ฟังเท่านั้น” ก็คือตำรามีแค่ไหนบอกแค่นั้น รายละเอียดอื่นไม่มี ก็เลยเป็นวิธีสอนที่ลูกศิษย์เบื่อหน่ายมาก เพราะว่าชวนให้หลับ ไม่ได้อะไรเลย อ่านตำราเองก็ได้ ทำไมต้องไปนั่งตูดด้านฟังอาจารย์เป็นวัน ๆ
มานึกถึงที่ท่านเจ้าอาวาสวัดถ้ำเขาปูนบอก “หลวงพ่อเล็ก...ยังต้องบรรยายเองอีกหรือ ?” มานึกในใจว่าถ้าตูไม่บรรยายเองเขาจะตกกันเยอะกว่านี้ แต่ว่ายอมรับว่าแก่ เพราะว่าโดยปกติแล้วจะไม่นั่งบรรยาย จะยืนกับเดินเพื่อให้ความสนใจทั่วทั้งห้อง ปรากฏว่าพอครบ ๓ ชั่วโมงนี่นั่งไม่ลงเลย เข่าระบมไปหมด แล้วก็อย่างนั้นแหละ วันละ ๓ ชั่วโมง จนกว่าจะหมดการอบรม" |
ถาม : อย่างในพระราชพิธีพระบรมศพ เวียนอุตราวรรต ?
ตอบ : อุตราวรรต ก็คือเวียนซ้าย ถาม : ถ้าในชีวิตประจำวัน ? ตอบ : ชีวิตประจำวันเป็นทักษิณาวรรต ในเมื่อเป็นทักษิณาวรรตให้รู้ว่าเราเวียนขวา คำว่าเวียนขวาคือเอาตัวเราเป็นหลัก แล้วสิ่งที่เราเวียนจะอยู่ทางด้านขวา ก็คือวนไปโดยที่ให้แขนขวาของเราอยู่ด้านใน แต่ถ้าอุตราวรรต อย่างเวียนศพนี่เขาเวียนซ้าย ก็คือเอาตัวเราเป็นหลัก ให้สิ่งที่เราเวียนอยู่ทางซ้าย อย่างเช่นเมรุอยู่ทางซ้ายมือแล้วเราก็เวียนไปเรื่อย คราวนี้ถ้าเรารู้ละเอียดอย่างนี้ ต่อไปเขาว่าอย่างไรเราก็ทำถูก ถึงเวลาข้อสอบออกอะไรมาอาตมาสามารถเฉลยปากเปล่าได้ เขาก็งงกัน ก็บอกเขาว่า ถ้าคุณทวนอยู่ทุกปี ๓๐ กว่าปีผ่านไป ถึงอยู่บรรทัดไหนก็ต้องจำได้แล้ว ในส่วนหนึ่งก็คือการเรียนการสอน ยิ่งสอนมากอาจารย์ยิ่งเก่ง เพราะว่าทวนอยู่บ่อย ๆ ส่วนลูกศิษย์นะหรือ ? ใหม่ล้วน ๆ ถึงเวลาสอนผ่านไปปีหนึ่ง ปีหน้ามาลูกศิษย์ชุดใหม่มาอีกแล้ว ก็ไม่รู้เรื่องกันต่อไป ส่วนอาจารย์ก็ย้ำแล้วย้ำอีก ๆ ย้ำจนจำได้หมดแล้ว |
เขาถามว่าธรรมมุทเทศ คืออะไร ? ใครแสดงกับใคร ? คำถามนี้มี ๒ คำตอบ คำตอบแรกคือ ธรรมมุทเทศก็คือลักษณะของการยกหัวข้อธรรมขึ้นมา ซึ่งมีเนื้อหาใจความว่า
๑.โลกคือหมู่สัตว์อันชรานำไปไม่ยั่งยืน ๒.โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน ๓.โลกคือหมู่สัตว์ไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง จำต้องละในสิ่งทั้งปวง ๔.โลกคือหมู่สัตว์พร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา พระรัฐบาลเถระแสดงแก่พระเจ้าโกรัพยะ ไปเปิดตำราดูได้เลยไม่ผิดสักคำ เหตุที่จำได้ก็เพราะว่าทวนอยู่บ่อย ๆ แต่ขณะเดียวกันลูกศิษย์เขาเพิ่งเรียน อาจารย์ท่านอื่น ๆ พอสอบผ่านแล้ววางเลยไม่ได้ไปดูอีก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านย้ำนักย้ำหนา ท่านบอก “เรื่องพระไตรปิฎกให้ขยันเปิดอ่านไว้ ข้าเองพยายามอ่านให้ได้ปีละจบ” มีใครใฝ่รู้ขนาดหลวงพ่อวัดท่าซุงบ้าง ? ท่านเรียนจนจบแล้วท่านยังทวนอยู่ตลอด ส่วนอาตมาเอง ๔-๕ ปีได้สักจบก็ดีตายชักแล้ว พออ่านไปถึงส่วนสุดท้ายก็...หลับ พระสูตร พระวินัย สนุก สามารถอ่านได้ตลอดต่อเนื่อง พอไปถึงพระอภิธรรมนี่อ่าน ๆ ไปแล้วง่วง มีแต่กระดูกล้วน ๆ ขบไม่เข้าเลย กว่าจะจบได้แต่ละที จบแบบไม่รู้เรื่องอีกต่างหากนะ เพราะว่าเรื่องของพระอภิธรรมพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนมนุษย์ทั่วไป แต่ไปสอนพรหม สอนเทวดาที่เป็นอุคฆฏิตัญญู ฟังแค่หัวข้อก็เข้าใจแล้ว กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา อัพยากะตา ธัมมาฯ เป็นอย่างไร ? กุสะลา ธัมมา ธรรมที่เป็นกุศล ก็คือทำแล้วดีด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ก็คือส่วนที่เรียกว่า กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต |
พอมา อะกุสะลา ธัมมา ธรรมที่เป็นอกุศล ก็คือทำแล้วชั่ว ชั่วทางกาย ชั่วทางวาจา ชั่วทางใจ ก็เป็น กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ก็ต้องไปอธิบายอีกว่า กายทุจริตมีอะไรบ้าง ? มีฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม ดื่มสุราเมรัย วจีทุจริตมีอะไร ? พูดโกหก พูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ มโนทุจริตมีอะไร ? เป็นมิจฉาทิฏฐิ โลภอยากได้ของเขา ยิ่งอธิบายจะยิ่งกว้างออก แต่ถ้าบอกหัวข้อสั้นนิดเดียว
อัพยากะตา ธัมมา ธรรมที่เป็นกลาง ๆ กลางอย่างไร ? เหมือนอย่างกับคนนอนหลับ ไม่คิดดี ไม่คิดชั่ว อย่างนั้นไม่กลางก็ไม่ได้ แต่ว่าเป็นกลางแบบไม่มีกุศล เพราะว่าสภาพจิตไม่ได้ตั้งอยู่ในความเป็นกลางด้วยปัญญาอย่างแท้จริง ฉะนั้นอ่านแล้วทำความเข้าใจไปด้วย บอกว่า ๔-๕ ปีได้จบหนึ่งนี่อาตมาก็ว่าตัวเองเก่งตายชักแล้ว แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงบอก ท่านพยายามอ่านให้ได้ปีละจบ |
อาตมาจะมีพระไตรปิฎก ๒ ชุดอยู่ในห้องนอน ก็คือชุดอรรถกถา ๙๑ เล่มของมหามกุฎราชวิทยาลัย กับชุดแปล ๔๕ เล่มของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และยังมีฉบับประชาชน ฉบับแก่นธรรม ฯลฯ อะไรกันให้ยุ่งไปหมด รายละเอียดเยอะ
เราจำเป็นต้องศึกษาอยู่ตลอด แล้วจะเห็นว่าความลึกซึ้งของพระพุทธเจ้านั้นมีขนาดไหน ตรัสหลักธรรมทั้งหมด ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ไม่มีขัดกันเลย ทุกบทหนุนเสริมกันได้หมด ถึงได้บอกพระว่าเวลาบรรยายให้พระใหม่ ในส่วนของธรรมวิภาคพยายามโยงเนื้อหาเข้าหากันด้วย อย่างเช่นว่า ธรรมอันเป็นโลกบาลธรรม คือ ธรรมคุ้มครองโลก ได้แก่ หิริ โอตัปปะ ละอายชั่ว กลัวบาป ธรรมมีอุปการะมาก คือ สติ สัมปชัญญะ ดูแล้วคนละเรื่องคนละราวกัน แต่ถ้าคุณมีสติสัมปชัญญะ คุณจะมีหิริโอตัปปะ คนมีหิริโอตัปปะ ต้องมีสติสัมปชัญญะ แล้วเสร็จแล้วต่อไปไปที่ไหน ? ถ้าหากว่าสมมุติว่าเราไปเรื่องของพระรัตนตรัย บุคคลที่มีสติสัมปชัญญะย่อมรู้ว่าพระรัตนตรัยดีอย่างไร บุคคลที่มีหิริโอตัปปะย่อมเคารพพระรัตนตรัย ไม่ฝืนคำสอนของท่าน ไปด้วยกันได้หมด อยู่ที่เราอธิบายอย่างไร ถึงได้พยายามย้ำกับพระที่ยกหน้าที่ครูสอนให้ท่านว่า พยายามอธิบายความเชื่อมโยงให้เห็นด้วยว่า พระพุทธเจ้าของเราเป็นอัจฉริยะมนุษย์อัศจรรย์ขนาดไหน ว่าหลักธรรมที่พระองค์ท่านเทศน์ไม่มีขัดกันเลย มีแต่หนุนเสริมกันทั้งหมด ไม่มีใครทำได้หรอก...เชื่อเถอะ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ ๙ ของอำเภอทองผาภูมิประชาชนไป ๘,๐๐๐ กว่าคนเท่านั้น แต่ว่ากันเช้ายันค่ำเหมือนกัน โดยเฉพาะพระวัดท่าขนุนที่บวชถวายพระราชกุศล ๙๙ รูป เขาจัดให้เข้าวางดอกไม้จันทน์ตอนเที่ยง ก็เลยไปยืนตากแดด พอตอนค่ำอาตมาทำพิธีสึกให้ ก็สงสัยว่าเขาไปทำอะไรมาวะ ไหล่ไหม้กันทุกคนเลย นึกไปนึกมา อ๋อ...ไปตากแดดกันมา
ที่เรารู้ว่าคนไป ๘,๐๐๐ กว่าคน เพราะว่านับจากดอกไม้จันทน์ คือดอกไม้จันทน์ของเราเตรียมไว้เท่าไรรู้ นับที่เหลือ ที่หายไปก็คือที่เผานั่นแหละ เพราะฉะนั้นรายงานยอดของทองผาภูมิจะเป็นยอดตามความเป็นจริง ก็คือมีเศษ แต่ของที่อื่นส่วนใหญ่เขาก็คงจะประมาณ ๆ เอา อาตมาโดนไป ๒ วันเต็ม ๆ เนื่องจากว่าวันแรกที่ถวายพระเพลิงก็จะมีการสวดธรรมนิยาม อันนี้เขากำหนดมาเลยว่าสวดกี่บท อาตมาเองก็นั่งเป็นองค์ที่ ๓ จากทางท้าย ก็เลยต้องขัดบทธรรมนิยามให้เขา ปกติต้ององค์ที่ ๓ จากข้างหน้า แต่จากข้างหน้ามาทั้งหมดนี่ไม่มีใครสามารถ องค์ที่ ๓ จากข้างท้ายก็ต้องขัดแทน" |
"สวดธรรมนิยามแล้วพอรุ่งขึ้นก็สวดพุทธมนต์ ถ้าเป็นชาวบ้านเขาเรียกฉลองอัฐิ ถ้าเป็นของพิธีหลวงเขาเรียกพิธีสามหาบ พิธีสามหาบอะไร ? หาบทอง หาบนาก หาบเงินใช่ไหม ?
พิธีกรรมเกี่ยวเนื่องด้วยเรื่องงานอวมงคล คือ ผู้ตาย ผู้วายชนม์ เขาพยายามหาคำที่เป็นมงคลมาใช้แทน กลายเป็นพิธีสามหาบ ชาวบ้านเขาเรียกพิธีเก็บกระดูก หมดเรื่องหมดราว โดนอยู่ ๒ วัน ก่อนหน้านั้นช่วงจัดงานที่เหนื่อยที่สุดก็คือเจ้าคณะอำเภอ อาตมาเองก็ติดงานยาวเลย พี่ชายตาย ติดงานพิธีถวายพระเพลิง ต่อมาน้าสะใภ้ตาย จนกระทั่งหลวงพ่อพระครูใบฎีกาจำนง สัทธิโก เจ้าอาวาสวัดตลุงใต้มรณภาพ ท่านเป็นพ่อของท่านเจ้าคุณพระวิสุทธิพงษ์เมธี มรณภาพจัดงานศพอยู่ ๑๕ วัน ปลีกตัวไปไม่ได้เลย ไปได้วันเผา ก็ยังดีได้ไปเผาให้หน่อย แล้วช่วงที่จัดงานศพอยู่ก็ฝากเงินให้พระท่านไปเป็นเจ้าภาพสวดศพแทน บางทีพรรคพวกเพื่อนฝูงแม้ว่าจะสำคัญ แต่คราวนี้งานพิธีหลวงก็ถือว่าสำคัญที่สุด โดยเฉพาะงานพิธีเดียวกันกับของในหลวงนี่ห้ามประชาชนจัดงานทับ อย่างเช่นว่า ถ้าเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษานี่ห้ามสวดศพ ถือว่าไม่เป็นมงคล ถ้าเป็นอาตมานี่ให้สวดเลย เพราะถือว่าเป็นมงคลใหญ่ เป็นการสวดพระอภิธรรม พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์เป็นหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าเทศน์แล้วมีผู้บรรลุมรรคผลมากที่สุด ต้องบอกว่าพรหมเทวดา ๘๐ โกฏิ บรรลุมรรคผลเมื่อฟังพร้อมกับพระพุทธมารดา โบราณก็เลยใช้บทนี้ในการสวดขึ้นบ้านใหม่ แต่งงาน งานมงคลต่าง ๆ ใช้หมด มาถึงสมัยในหลวงรัชกาลที่ ๕ เขาเอามาสวดในงานของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี" |
"สมัยนั้นตำแหน่งพระบรมราชเทวีเป็นตำแหน่งมเหสีเอก ตอนหลังถึงจะขยับขยายกันใหม่ ของเราก็คล้าย ๆ ประเทศจีน ที่มีตั้งมเหสีพระชายาเป็นชั้น ๆ ลงไป ของเราก่อนหน้านี้ก็มีพระบรมราชเทวี มีพระมเหสี มีพระราชชายา พระวรชายา ไล่ลงไป สมัยหลังก็นิยมที่จะทำตามแบบตะวันตก ก็คือมีคนเดียว ในสมัยในหลวงรัชกาลที่ ๖ ท่านก็เลยมีพระชายาหรือว่าพระมเหสีองค์เดียว เมื่อถึงเวลาไม่สามารถจะมีรัชทายาทให้ พระองค์ท่านก็หย่าแล้วจดทะเบียนใหม่
ฉะนั้น...เราจะเห็นว่าในหลวงรัชกาลที่ ๖ มีแค่สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ราชสุดาพระองค์เดียว แล้วก็ต้องบอกว่าเป็นลูกที่พ่อไม่ได้เห็นหน้า พอได้ยินว่ามีพระประสูติกาลแต่ไม่มีเสียงประโคม แปลว่าเป็นลูกผู้หญิง เป็นเจ้าฟ้าหญิง พระองค์ท่านก็ เออ...ลูกผู้หญิงก็ดีเหมือนกัน เสร็จแล้วก็สวรรคตไปเลย ไม่ได้เห็นหน้า ลูกไม่ได้เห็นหน้าพ่อ พ่อก็ไม่ได้เห็นหน้าลูก พอมานิยมผัวเดียวเมียเดียวตามแบบของทางตะวันตก ก็ถัด ๆ มาเราก็จะเห็นว่าในหลวงรัชกาลที่ ๗ ที่ ๙ ก็อยู่ลักษณะนั้น ก็คือมีพระบรมราชินีพระองค์เดียว อย่างสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗ แล้วก็มาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ ตอนนี้ชาวบ้านก็คงใจจดใจจ่อว่าพระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๑๐ จะเป็นผู้ใด" |
"เรื่องในรั้วในวังแต่โบราณมีกฎมณเฑียรบาลบังคับอยู่ ในปัจจุบันก็ยังมีกฎหมายเพิ่มเติมอย่างมาตรา ๑๑๒ เป็นอะไรที่ต้องระมัดระวังเพราะฝรั่งไม่เข้าใจ ที่เราไปเห็นคลิปหนึ่งที่ฝรั่งมีภรรยาเป็นคนไทย แล้วคุณภรรยาเธอแต่งตัวหรูหราฟู่ฟ่ามาก แกเข้าไปถวายบังคมพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ ๙ เจ้าหน้าที่กันไว้ คุณเธอก็ทะเลาะเบาะแว้งขึ้นเสียงกัน ขนาดคุณสามีพยายามจะดึงไว้แกก็ยังไม่ยอม แกก็เถียงฉอด ๆ
ต้องบอกว่าไม่รู้กาลเทศะ ไปอ้างสิทธิส่วนบุคคลซึ่งเป็นเรื่องของฝรั่งที่ไม่มีสถาบันที่เป็นที่เคารพอย่างของบ้านเรา อาตมาเองไปเข้าแถวรอ ไปเคารพศพประธานเหมา ยืนเข้าแถวยาวเป็นกิโลเป็นชั่วโมงได้ เจ้าหน้าที่เขาเดินมาถึงเขาชี้ที่เท้าแล้วก็ดึงออกไปเลย เพราะใส่รองเท้าแตะ ปล่อยให้เสียเวลาเข้าแถวอยู่ตั้งนาน อยากจะไปดูว่าผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นผู้นำของประชาชนเป็นพันล้าน เขาเก็บรักษาไว้อย่างไร ปัจจุบันนี้เขายกท่านประธานาธิบดีสีจิ้นผิงเทียบเท่าประธานเหมากับท่านเติ้งเสี่ยวผิง เพราะว่ามีระบุเอาไว้ชัด เอ่ยนามอยู่ในกฎหมายหรือธรรมนูญของเขา ก็ต้องบอกว่าจริง ๆ ท่านประธานาธิบดีหรือจิ้นผิงเป็นผู้ที่มีความอดทนอดกลั้นมาก โดนอเมริกายั่วยุเท่าไรก็ไม่ออกทะเล แล้วคนยั่วยุก็ออกทะเลเสียเอง โลกเราปัจจุบันนี้ทุกคนใจคอไม่ค่อยจะดี เพราะประธานาธิบดีอเมริกาเป็นคนปากไวและจุดเดือดต่ำมาก" |
ถาม : (ได้ยินเสียงเรียก แต่ไม่เห็นตัวคนเรียก)
ตอบ : แล้วได้ขานไหม ? ถ้าไม่ก็แล้วไป เป็นอันว่าจบ เราถวายสังฆทานแล้วตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้าของเสียงหรือเจ้ากรรมนายเวร ได้ยินอย่างนั้นอย่าไปขานรับเชียวนะ ถ้าไม่ขานรับก็เป็นอันว่ารอดไป |
ถาม : ต้องเปลี่ยนชื่อไหมคะ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น เปลี่ยนชื่อมากี่คน ๆ ก็เห็นแย่เหมือนเดิม เพราะว่าไม่ยอมเปลี่ยนความประพฤติ ฉะนั้น...เรื่องเปลี่ยนชื่อจึงไม่จำเป็น ถ้าให้เกิดผลดีต้องเปลี่ยนการกระทำของเราเอง ทำแต่เรื่องดี ๆ แล้วทุกอย่างก็จะดีเอง |
ถาม : ที่เขาโพสต์จองวัตถุมงคลหลายรายการ เขาเอาหมดจริง ๆ หรือคะ ?
ตอบ : เขาเอาจริง ๆ แต่พอแจ้งราคาไปเดี๋ยวก็รู้ว่าจะทำท่าอย่างไร อย่างบางคนจะเอาตะโพนหลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ ของหลวงพ่อภักตร์นี่คนมีเงินยังหาไม่ได้เลย คราวที่แล้วออกไปลูกหนึ่ง ใครจะไปคิดว่าลูกแค่ปลายนิ้วก้อย คนกล้าสู้เป็นแสน ต่อให้มีเงินก็หาของไม่ได้ แต่ละคนที่ลงรายการขอบูชาไปได้คิดถึงราคาบ้างหรือเปล่า ? อาตมายังสงสัยอยู่ว่าพอแจ้งราคาแล้วจะสลบกันไหม ? |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:32 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.