กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5682)

เถรี 18-07-2017 08:05

ผมคิดอยู่แต่แรกว่าถ้าเราไม่ฝึกมโนมยิทธิก็ดีนะ งานไม่เยอะ หูหนวกตาบอด ไม่รู้อะไร...ใช่ไหม ? หมดเรื่องไปเลย

แหม...แต่ตอนนั้นคัน อยากจะฝึก ซ้อมแล้วซ้อมอีก หามรุ่งหามค่ำ ปีหนึ่งก็แล้ว สองปีก็แล้ว สามปีก็แล้ว เล่นไม่ยอมเลิก ใครจะไปรู้ว่าพอซ้อมคล่อง กลายเป็นโดนด่าง่ายแบบนี้..!

เถรี 18-07-2017 08:07

ผมเป็นคนที่บังเอิญฝึกตามวิธีที่หลวงพ่อท่านบอก ที่ท่านบอกว่า "ข้าสั่งให้ทำอะไร ก็ทำแค่นั้น ให้ทำแบบคนโง่ ๆ" ผมก็ทำไปเรื่อย ทำแบบโง่จริง ๆ ทำจนโดนครูฝึกไล่ เพราะว่าไปทำให้การฝึกของเขาเสียหมด

พอครูฝึกเอ่ยประโยคแรกผมก็รู้แล้วว่าคำถามคืออะไร จึงชิงตอบก่อน คนอื่นเจ๊งหมดเลย เพราะว่าคนอื่นเขายังไม่ได้ยินเลยว่าคำถามคืออะไร

ผมโดนไล่ออกจากห้อง มานั่งหน้าเหี่ยวอยู่ หลวงพ่อท่านบอกว่า "คล่องตัวขนาดนั้นก็ไปเป็นครูสอนเขาได้แล้ว" จึงเริ่มไปสอน พอไปสอนเข้าก็มีปัญหาอีก ก็คือว่า ครูฝึกส่วนใหญ่เขายึดตายอยู่กับรูปแบบ เนื่องจากว่าไม่มีความคล่องตัว ไม่รู้อารมณ์ลูกศิษย์จริง ก็ต้องไป ๑-๒-๓-๔-๕ ทั้ง ๆ ที่ลูกศิษย์ไปตั้ง ๒๐-๓๐ แล้ว

พอถึงเวลาก็มาบอกว่าผมสอนผิดอีก อย่างเช่นบอกว่าผมสอนไม่ได้ตัดขันธ์ ๕ ไม่ถูกต้อง ผมบอก "ป้า...ฟังดี ๆ นะ ผมบอกกับลูกศิษย์ว่า ถึงตอนนี้เราตายลงไปก็ยอม เราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว ถ้าป้าคิดว่าอย่างนี้ไม่ได้ตัดขันธ์ ๕ ผมก็ไม่รู้ว่าจะไปตัดอะไรแล้ว" ต้องบอกว่ารวบรัดมากเกินไป จนคนแก่ตามไม่ทัน

ผมเป็นคนถนัดในการทำของยากให้ง่าย บรรดาครูอื่น ๆ ชอบทำของง่ายให้ยาก ก็เลยประเภทไม่ค่อยจะลงรอยกัน เถียงกันอยู่ประจำ

เถรี 18-07-2017 08:12

ถาม : (การใช้ลูกแก้ว)
ตอบ : ถ้าเสกมาแล้วก็มีอานุภาพในเรื่องลาภผล ให้ใช้คู่กับพระคาถาเงินล้าน

เถรี 18-07-2017 08:28

ถาม : เอารูปปั้นศาลตายายที่บ้านมาล้างทำความสะอาด ปรากฏว่าฐานร้าวแตก เพราะเป็นปูนพลาสเตอร์ เปลี่ยนได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ซื้อมาเปลี่ยนใหม่ จุดธูปบอกกล่าวท่านก่อน บอกท่านว่าขอเปลี่ยนชุดใหม่ที่ดูดีกว่านี้ ส่วนของเก่าก็ลอยน้ำไปหรือไม่ก็เอาไปไว้โคนไม้ใหญ่ ส่วนใหญ่แล้วเขาจะทำด้วยปูนปลาสเตอร์ พวกนี้โดนน้ำไม่ได้ ท่านทำให้รู้ว่าถ้าโดนน้ำก็เจ๊งแบบนี้แหละ

ถาม : ควรทำวันไหนคะ ?
ตอบ : วันพฤหัสบดี

เถรี 18-07-2017 09:21

ถาม : ทำไมคนเราต้องภาวนาคะ ?
ตอบ : อันดับแรกคือต้องการให้ใจสงบ ในเหตุการณ์ทางโลกถ้าใจเราสงบลง ประสิทธิภาพการทำงานทุกอย่างจะดีขึ้น อันดับที่สองก็คือ จิตใจที่สงบจากกิเลสชั่วคราว เป็นความสุขที่หาได้ยากในชีวิตปัจจุบัน หลังจากนั้นก็คือต้องการให้เกิดปัญญา เพื่อหาทางหลุดพ้นจากกองทุกข์ ซึ่งเป็นขั้นท้าย ๆ ของการภาวนาเลย

ถ้าคนสมาธิดี ๆ โรคสารพัดโรคจะหายไปเองโดยอัตโนมัติ อย่างเช่นโรคเครียด นอนไม่หลับอะไรประมาณนั้น เพราะฉะนั้น...ลองไปทำดู เป็นยานอนหลับชั้นดีเลย พุทไม่ทันจะโธก็หลับแล้ว


ถาม : ถ้าสติตามไม่ทันละคะ ?
ตอบ : ถ้าสติตามไม่ทันจะมี ๒ อย่าง อย่างหนึ่งคือหายไปเฉย ๆ เหมือนกับเราเผลอหลับ อีกอย่างหนึ่งก็คือไปฟุ้งซ่าน รัก โลภ โกรธ หลง เสียเยอะแยะ พอรู้ตัวให้รีบดึงกลับมาอยู่กับลมหายใจใหม่ เริ่มต้นนับ ๑ กันใหม่

ถาม : ถ้าวูบหายไปเลย ?
ตอบ : รอให้ได้สติแล้วก็เริ่มต้นใหม่ พยายามตั้งสติจดจ่ออยู่กับลมหายใจเอาไว้ อย่าเผลอให้หลุดไปอีก แต่ก็จะหลุดอยู่เรื่อย ๆ จนกว่าเราจะชำนาญ ถึงจะดีขึ้นไปเรื่อย ๆ แรก ๆ ก็จะรำคาญ ไม่ทันไรหลับอีกแล้ว ความจริงไม่ได้หลับหรอก สติขาด จึงไม่รับรู้อะไร

เถรี 18-07-2017 09:24

ถาม : ผมไม่ใช่คนโทสะจริต ถ้าจะเลือกฝึกกสิณสีสามารถทำได้ไหมครับ ?
ตอบ : ทำได้ทุกคน แต่เพียงแต่ว่าถ้าเป็นคนโทสะจริต การฝึกกสิณสีจะมีส่วนช่วยในการระงับโทสะได้

เถรี 18-07-2017 09:38

ถาม : การตั้งศาลสี่เสา ?
ตอบ : ถ้าไม่จำเป็นและไม่รู้จริงอย่าไปตั้ง

ถาม : ถ้าทำไปแล้ว ?
ตอบ : ถ้าไม่จำเป็นอย่าไปทำ ถ้าทำไปแล้วอย่าถอน เพราะเราไม่สามารถที่จะไปใช้ผู้ใหญ่ระดับนั้นได้หรอก ส่วนใหญ่เขาไปตั้งอากาศเทวดาให้ท่านเป็นเจ้าที่ บ้าชัด ๆ..!

ถาม : ถ้าต้องการเปลี่ยนแก้ไข ?
ตอบ : ต้องดูด้วยว่าคนอื่นเขาจะว่าเอาหรือเปล่า ? ถ้าเป็นส่วนรวมคนเขาเคยไหว้ เดี๋ยวจะโดนเอาง่าย ๆ

ถาม : ของโรงงาน ?
ตอบ : ถ้าสามารถสั่งการได้ก็เอา ถ้าไม่สามารถสั่งการได้ก็อย่าไปยุ่งดีกว่า

เถรี 18-07-2017 14:40

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ถ้าเป็นงบที่เบิกออกมาแล้วก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างไรก็เอาไปคืนไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนกลางเท่านั้น ถ้าเอาเข้ากระเป๋าเองก็ผิด จำไว้ว่าพวกเราอยู่ลำบาก เพราะว่าติดเรื่องศีลเรื่องธรรม พวกที่ไม่คิดเรื่องนี้ก็อยู่กันสบาย

เถรี 18-07-2017 15:33

พระอาจารย์เล่าว่า "อาทิตย์ก่อนไปสอนหนังสือที่วัดไร่ขิง ตอนนั่งรถแท็กซี่กลับมามีแต่ธนบัตรใบใหญ่ จะจ่ายค่าแท็กซี่อย่างไร ? เพราะแท็กซี่ยืนยันว่าไม่มีทอน ก็เลยเข้าสถานีบริการน้ำมัน แวะเข้าไปในร้านสะดวก จะซื้อของใช้สักหน่อย

ปรากฏว่าร้านในสถานีตราหอยไม่มีใบมีดโกนแม้แต่อันเดียว ไม่รู้ว่าจะซื้ออะไร แต่อยากได้ใบย่อยมาจ่ายค่าแท็กซี่ ก็เลยหยิบถั่วมา ๑ กระป๋อง พอเดินไปที่จ่ายเงิน มีโยมพรวดพราดเข้ามา ยื่นใบละพันให้พนักงาน "ผมช่วยจ่ายครับ" แล้วอาตมาจะทำอย่างไร ? หยิบใบละพันคืนไป บอกว่า "ไม่ต้อง" แล้วก็ส่งใบละ ๕๐๐ ของตัวเองไปให้พนักงาน

เขายืนงงอยู่พักหนึ่ง ท้ายสุดวิ่งไปเปิดตู้ หยิบน้ำเย็นมา ๑ ขวด "ถ้าอย่างนั้นผมขอถวายน้ำแล้วกันครับ" จะบอกเขาอย่างไรว่าอาตมาไม่ฉันน้ำเย็น ? บอก
ก็ไม่ได้ รับก็รับวะ..! ที่ดีใจคือยังมีคนอยากทำบุญอยู่มาก แต่ไม่ดูตาม้าตาเรือเลย เกือบ ๕ โมงเย็น ไปซื้อถั่วกระป๋อง ยังจะแย่งจ่ายอีก มึงจะสนับสนุนให้ฉันตอนเย็นใช่ไหม ?

เมื่อกลางเดือนที่แล้ว ขึ้นไปงานสืบชะตาของหลวงปู่ครูบาบุญยัง วัดห้วยน้ำอุ่น ถึงยอมรับว่าตัวเองดังแล้ว เพราะว่าแวะที่ไหนก็มีแต่คนรู้จัก ท้ายสุดแวะเข้าไปกราบหลวงพ่อพระพุทธชินราชก็ยังอุตส่าห์มีคนวิ่งมาทำบุญ เขาถามก่อนว่าใช่ไหม ? ใช่ก็ใช่วะ เขาบอกว่าไม่เคยไปวัด แต่จำหน้าได้ เห็นในเฟซบุ๊กบ่อย"

เถรี 18-07-2017 15:37

"สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงยังอยู่ จัดงานแต่ละทีคนจะมาประมาณแสนกว่าถึงสองแสนคน กราบเรียนถามหลวงพ่อว่า "ถ้านับหลวงพ่อกับหลวงปู่ปานแล้วใครดังกว่ากัน ?" ท่านบอกว่าหลวงปู่ปานดังกว่าเยอะ ถามว่าทำไมครับ ? ท่านบอกว่ารุ่นข้ามีทั้งโทรทัศน์ มีทั้งวิทยุ มีทั้งหนังสือพิมพ์ช่วยโฆษณา คนมาแค่แสนสองแสน สมัยหลวงปู่ปานไม่มีโฆษณา มีแต่บอกกันปากต่อปาก จัดงานวัดแต่ละที เรือแพจอดแน่นขนัดจนคนเดินข้ามฝั่งได้เลย ท่านบอกว่าหุงข้าวทีละ ๘ กระทะ ยังไม่ทันคนกิน

มาถึงรุ่นอาตมาที่เขาบอกว่าดัง ก็ ดังเพราะสื่อโซเชียลไปไว ลำพังประเภทจัดงานวัดคนมาทีสองพันสามพัน ไม่ได้เสี้ยวหนึ่งของหลวงพ่อท่านสมัยโน้น แต่จะว่าไปแล้ววัดเรา
ถ้าไปเยอะกว่านั้นก็ไม่ไหว ญาติโยมส่วนหนึ่งก็อยู่บ้านดีกว่า เพราะว่าพุทธาภิเษกหรือเป่ายันต์เกราะเพชร อยู่บ้านตั้งใจรับได้เหมือนกัน แถมยังมีถ่ายทอดสดด้วย...ใช่ไหม ? ยิ่งสบายใหญ่เลย"

เถรี 19-07-2017 18:46

พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมผู้หญิงบางคน พอเห็นพระเดินมาก็ขยับปุ๊บ อาตมาต้องบอกว่าให้ยืนเฉย ๆ เพราะขยับแล้วจะชน ยืนเฉย ๆ พระท่านเดินหลบได้เอง เขามักจะหลบไปขวางทางพระพอดี"

เถรี 19-07-2017 18:57

ถาม : ทำไมคนที่เกิดมาเป็นผู้ชายแล้ว กรรมที่เกิดจากการล่วงละเมิดผู้หญิง ยังสามารถส่งผลได้อีก ?
ตอบ : มีอะไรที่กรรมส่งผลไม่ได้บ้าง ?

ถาม : บางคนก็เคยล่วงเกินผู้หญิงเหมือนกัน แต่ทำไมเรา...?
ตอบ : เพราะว่าเราทำได้ชั่วกว่าเขา นี่เป็นความสามารถพิเศษที่น่าชื่นชม...! เราก็เลยได้มากกว่าคนอื่น เพราะฉะนั้น...พยายามชั่วให้มากกว่านี้ จะได้เยอะกว่านี้อีก...!

เถรี 19-07-2017 18:59

ถาม : ที่หลวงพ่อให้ผมทำตามท่านขันติวาทีดาบส จะเป็นขนาดนั้นได้ต้องสั่งสมบารมีไว้ดีแล้ว ต้องสั่งสมกำลังฌานเยอะด้วยหรือเปล่า ?
ตอบ : เปล่า...ของท่านเป็นแค่ระดับต้น ๆ เท่านั้นเอง ลองนึกถึงวัวถึงควายดูสิ ว่าสั่งสมกำลังฌานเท่าไร ? ขนาดไม่ได้อะไรเลย ทำไมถึงทนได้ ?

เถรี 19-07-2017 19:05

ถาม : ตะกรุดหนังเสือที่รับไป ถ้าเอาไปใช้ทางค้าขายได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เอาไว้ค้าขายก็ได้ แต่แม่ค้าคงจะดุน่าดู เหมือนกับเสือ ถามว่าเสือเป็นมหาเสน่ห์ไหม ? เป็น...เสือดุใคร ๆ ก็อยากเห็น ถือเป็นเมตตามหานิยมอย่างหนึ่ง แต่คงจะงับลูกค้าเป็นว่าเล่น

เถรี 19-07-2017 19:10

ถาม : เวลาคิดไปแล้ว เหมือนลงแค่ทุกขัง ความทุกข์ไม่เที่ยง มีอยู่แค่นี้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ก็แค่นี้ ถ้าเราไม่แบกก็จบแล้ว ถ้าเที่ยงก็ต้องอยู่กับเราตลอดไป ทำไมบางทีเราดีใจ ทำไมบางทีเราเสียใจ ตอนดีใจเราลืมทุกข์ ทุกข์หายไปชั่วคราว ถ้าเที่ยงก็ต้องอยู่ตลอดไป พยายามมองให้เห็นว่าธรรมดาของทุกอย่างเป็นอย่างนั้น ในเมื่อปกติธรรมดาเป็นอย่างนั้น เราไม่ไปยุ่งด้วยก็หมดเรื่อง

ถาม : ก็ต้องมีคิดบ้างใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ใช่...เพียงแต่ว่าคิดแล้วต้องจบให้เร็วที่สุด ถ้าเผลอจะฟุ้ง

เถรี 19-07-2017 19:13

ถาม : ความกลัวเหมือนขึ้นมาแล้ว เราไม่จำเป็นต้องกลัว ถ้าเราขจัดความกลัวออกไปได้ก็จบ ไม่มีอะไรต้องกลัวบนโลกใบนี้ ?
ตอบ : ถ้าเราเห็นความตายเป็นของธรรมดา เราจะไม่กลัวอะไรเลย เพราะทุกอย่างที่เรากลัวคือกลัวตาย ผู้หญิงกลัวจิ้งจก กลัวตายไหม ? จิ้งจกโดดเกาะ ยี้...ขยะแขยง..เดี๋ยวขาดใจตาย ท้ายสุดก็ลงตรงตาย

อาตมาตามดูอยู่ ๒ ปีกว่าเกือบ ๓ ปี ดูความกลัวอยู่อย่างเดียว ว่ากลัวเพราะอะไร ท้ายสุดสรุปได้ว่า ความกลัวทุกประเภทเกิดจากกลัวตายทั้งนั้น ถ้าเลิกกลัวตาย ก็เลิกกลัวทุกอย่าง

เถรี 19-07-2017 22:31

ถาม : เรื่องสมาธิค่ะ พอเข้าไปแล้ว เหมือนเข้าไปนิ่งอยู่ในนั้น ดิ่งลงไปจนหนูรู้สึกว่าจะดิ่งลงไปถึงไหนวะ บางทีก็นิ่งค่ะ ?
ตอบ : บางเวลาอยากนิ่งก็ให้นิ่ง บางเวลาอยากจะดิ่งก็ให้ดิ่ง แต่ว่ากำหนดเวลาไว้ว่าต้องการนานเท่าไร แล้วคลายออกมาพิจารณาด้วย ไม่อย่างนั้นจะได้แต่กำลังอย่างเดียว ปัญญาจะไม่มี

ตอนที่สั่นนั้นอยู่ลักษณะว่ากำลังเพียงพอ อยากจะหลุดออกไปแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง เราก็แค่ตั้งใจว่า ออกไปเมื่อไร เราก็จะไปกราบพระที่พระนิพพาน


ถาม : ไปแล้วไม่กลับมาได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถามท่านเองแล้วกัน ส่วนใหญ่ที่เห็นโดนถีบกลับมาทุกราย

เถรี 19-07-2017 22:35

ถาม : ตอนที่เริ่มสามารถคิดได้ จะมีช่วงหนึ่งที่คิดไม่ได้ก่อน เหมือนกับต้องถอยลงมา แล้วก็เริ่มคิดได้ ?
ตอบ : ถ้าสมาธิสูงเกินไปจะคิดไม่ได้ เพราะว่าจะไปอยู่กับตัวนิ่งแทน ต้องคลายออกมาให้ได้ระดับหนึ่งถึงจะคิดได้ แต่ถ้าหากว่าเข้าออกได้คล่องตัวจริง ๆ สมาธิสูงแค่ไหนก็คิดได้ ฉะนั้น...ซ้อมอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกคือซ้อมออก จะได้คิดได้ง่ายขึ้น อีกอย่างคือซ้อมเข้าให้สูงกว่านั้น ถ้าเข้าออกได้คล่องตัว สูงแค่ไหนก็คิดได้

ถาม : ตอนที่คิดได้จะพุ่งมาที่กายก่อนค่ะ เราตั้งไว้ก่อนเข้าสมาธิค่ะ ว่าเราต้องกลับมาดูกายมาพิจารณา พอเข้ามาแล้วก็วูบไปเป็นโครงกระดูก แบบนั้นเอาได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : อย่างไรก็ได้ ให้เราเห็นว่าสภาพร่างกายของเรานี้หาความดีไม่ได้ แบบไหนก็เอา ให้คิดได้ก็แล้วกัน

เถรี 19-07-2017 22:39

ถาม : คนที่อยู่อย่างโลกไม่ช้ำ ธรรมไม่เสีย ทำไปก็จะรู้เองหรือครับ ?
ตอบ : เอาศีลเป็นกรอบ ติดกรอบศีลเมื่อไรก็ถอยหลัง อย่าไปต่อ

ถาม : บางทีเหมือนคนไม่สนโลกครับ ?
ตอบ : ไอ้นั่นอยู่ที่สันดานของเรา การที่เราไม่สนใจในโลก แปลว่าแบกสักกายทิฏฐิและมานะไว้เต็ม ๆ แต่แบกแบบที่ไม่รู้ตัว เพราะมึงมีความคิดอยู่ในใจว่า "กูดีกว่าเขา กูเลยไม่ยุ่งกับเขา" แบกกิเลสไว้เต็มหัว แต่ไม่รู้ตัว ดันคิดว่าดี

คนเข้าถึงธรรมจริง ๆ ยังคงเคารพสมมติทางโลกอยู่ เพราะว่าสมมติก็เป็นความจริง แต่เป็นความจริงแบบโลก เรียกว่า สมมติสัจจะ ในเมื่อความจริงเป็นอย่างนั้น ขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นอย่างนั้น ระเบียบปฏิบัติเป็นอย่างนั้น เราก็ต้องทำตามนั้น ไม่อย่างนั้นก็ขวางโลก พยายามทำตัวให้เป็นน้ำกลิ้งบนใบบอน ไม่ได้ติดอยู่บนใบบอนหรอก

เถรี 19-07-2017 22:45

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : จะไปยากอะไร แค่เห็นว่าธรรมดา กูทำมากูก็ต้องโดนอย่างนี้ เรียกว่ายอมรับกฎของกรรม ในเมื่อเรายอมรับ เราไม่ไปดิ้นรนต่อต้าน เหมือนกับสัตว์ที่ติดอยู่ในกับดัก ถ้าไม่ดิ้นก็ไม่เจ็บ คุณทะลึ่งไปดิ้นเอง

ทำไม่รู้ไม่ชี้ อยากด่าก็ด่า อยากว่าก็ว่า พอเหนื่อยเขาก็เลิกเอง ดูว่าใครจะหน้าด้านกว่ากัน มึงมีปัญญาด่า กูก็มีปัญญาฟัง ถ้าเป็นอย่างอาตมาก็สนุกไปด้วย มีคนด่า "ไอ้เหี้ย" "อืม...มึงรู้จริง กูเคยเกิดเป็นเหี้ยด้วย" "ไอ้ชาติหมา" " กูก็เคยเกิดเป็นหมาเยอะเลย มึงรู้ได้อย่างไรวะ ?" โดนมาเยอะแล้ว บางทีก็ช่วยเขาด่าด้วย

ทำตัวเหมือนอย่างกับยืนอยู่กลางที่โล่ง ๆ ใครขว้างอะไรมา ไม่กระทบสักอย่าง จะไปเดือดร้อนอะไร เราดันไปตั้งกำแพง ตั้งข้างฝา ตั้งหลังคาไว้เสียเยอะแยะ ถึงเวลาปึงปังมาด้านไหนก็โดนหมด คราวนี้พอโดนเข้าดันจัดการไม่เป็นอีก โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่คนเดียว เดี๋ยวก็หัวหงอกหน้าเหี่ยว คนแกล้งยังไม่ทันเป็นอะไรเลย
อย่าเอาคำพูดของคนอื่นเป็นประมาณ ดีชั่วเรารู้ที่ตัวเราเอง อยากจะพูดก็ให้เขาพูดไป

อย่างหลวงปู่เจ้าคุณนรฯ ท่านบอกว่า จะเอาอะไรกับคำของมนุษย์ ดีแสนดี ถ้าเขาจะติ เขาก็หามาติ ชั่วแสนชั่ว ถ้าเขาจะชม เขาก็หามาชม ฉะนั้น...
คำพูดของคนประมาณไม่ได้ แบกไว้เมื่อไรก็หนักอยู่คนเดียว เขาไม่ได้เดือดร้อนอะไรกับเราด้วย เขาด่าเราก็ยิ้ม เขาว่าไอ้บ้าเราก็ยิ้ม

เถรี 19-07-2017 22:56

พระอาจารย์เล่าว่า "เจ๊ซกลั้งไปโรงพยาบาล ยื่นบัตรไว้ตั้งแต่ ๖ โมงเช้า ๙ โมงกว่าแล้วคนอื่นไปจนจะหมดแล้ว ตัวเองยังไม่ได้คิวสักทีก็โมโห ไปโวยวายเจ้าหน้าที่ว่า "ทำไมอั๊วมาก่อน คนมาทีหลังเรียกเขาหมด ไม่เรียกอั๊วสักที ?" เขาถามว่าชื่ออะไร เจ๊บอกว่าชื่อซกลั้ง เจ้าหน้าที่ดูหมดแล้วบอกไม่มีบัตรชื่อซกลั้ง ไหนเจ๊เอาบัตรประชาชนมาดูหน่อย ? ปรากฏว่าเจ๊เปลี่ยนชื่อเป็น "เพียงเพ็ญ" เขาเรียกเพียงเพ็ญเท่าไรเจ๊ก็ไม่สนใจ เจ๊รอแต่ซกลั้ง คนอื่นก็แซงคิวไปเรื่อย

ตอนสมัยอาตมายังรับราชการอยู่ ไปชายแดนมีหมาเป็นเจ้านาย เพราะยศทางทหารของหมาสูงกว่า หมามียศพันตรี แต่ขอโทษ...ไม่มีใครเรียก "ผู้พันเอ็กซ์" หรอก เรียก "ไอ้เอ็กซ์" ถ้าเราเจอหน้าครั้งแรกต้องทำความเคารพก่อน เพราะว่ายศเขาสูงกว่า ปรากฏว่าเวลาเจ้านายโมโหตะโกน "ไอ้เอ็กซ์" อาตมาก็ "ครับ" ทุกที เพราะว่าชื่อดันคล้ายกัน...!"

เถรี 19-07-2017 22:59

"พอไปเห็นถึงได้เข้าใจคำว่า ยศช้าง ขุนนางพระ เวลาช้างออกศึกชนะมา ได้รับพระราชทานแต่งตั้งให้เป็นคุณหลวง คุณพระ เป็นเจ้าคุณ อย่างคุณพระเศวตฯ ช้างคู่บารมีในหลวงรัชกาลที่ ๙ เจ้าพระยาไชยานุภาพ ช้างทรงของพระนเรศวรมหาราช นั่นเป็นเจ้าคุณ ปรากฏว่าเจ้าคุณก็ยังกินหญ้าอยู่เหมือนเดิม

ถึงได้บอกว่า ยศช้าง ขุนนางพระ ในหลวงตั้งสมณศักดิ์ให้เป็นชั้นนั้นชั้นนี้ เป็นพระครู เป็นเจ้าคุณ เป็นสมเด็จพระราชาคณะ ก็เห็นได้แค่ฉันเช้า ฉันเพล ได้ไม่มากไปกว่านั้นเลย

พระเราจำกัดด้วยเวลา จำกัดด้วยศีล ทำอะไรต้องอยู่ในกรอบ ส่วนใหญ่แล้วญาติโยมสมัยนี้ห่างวัดห่างวามาก โทรมาตอน ๑๑ โมง ๑๐ นาที ถ้าเป็นโยม อาตมาให้อภัย แต่หลังจากที่คุยจบก็จะเตือนว่าคราวหลังอย่าโทรมาเวลานี้ เพราะพระกำลังฉันเพลอยู่ แต่ถ้าเป็นพระโทรมานี่จะด่าเลย "ถ้ามึงไม่แด..ก็ให้คิดถึงกูด้วย กูกำลังแด..อยู่...!"

เถรี 20-07-2017 19:17

พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาเคยโดนพระยายมราชท่านว่าครั้งหนึ่ง ตอนนั้นโยมทำบุญแล้วเขาไม่เขียนชื่อมา อาตมาลงบัญชีไม่ถูกว่าใครเป็นคนถวาย ก็เลยแกล้งบอกโยมว่า "เขียนชื่อเขียนนามสกุลมาด้วย เดี๋ยวนายบัญชีท่านไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำบุญ" เสียงท่านลุงพระยายมราชบอกว่า “เทวดาไม่ได้โง่เหมือนท่านนี่” แอบย่องมาข้างหลังตอนไหนก็ไม่รู้ ? ...(หัวเราะ)..."

เถรี 20-07-2017 19:56

ถาม : เป็นหมอแต่รักษาคนไข้ไม่ได้ จะบอกเขาตรง ๆ ว่าเกินความสามารถที่จะรักษาก็ไม่ได้ ?
ตอบ : เรามีหน้าที่รักษา คนทุกคนมีกรรมเป็นของตัวเอง เราทำหน้าที่ของเราดีที่สุดแล้ว ถ้าสามารถผ่อนกรรมของเขาได้ก็ดี ถ้าผ่อนกรรมของเขาไม่ได้ เขาก็ต้องยอมรับสภาพของเขาเองบ้าง ไม่อย่างนั้นเราจะเครียด...อุเบกขาบ้าง เมตตากรุณาก็ดี มุทิตายิ่งดีใหญ่เลย แต่ถ้าหากว่าสุดความสามารถแล้วต้องอุเบกขา พระพุทธเจ้าให้อุเบกขากันไว้ไม่ให้พวกเราบ้า อย่าลืมพรหมวิหารตัวสุดท้ายนะ สำคัญมากเลย

ถาม : ทำบุญให้เจ้ากรรมนายเวรของคนไข้ได้ไหม ?
ตอบ : ได้...ทำไปเถอะ แต่ส่วนใหญ่แล้วเหมือนอย่างกับเอาน้ำแก้วเดียวไปดับไฟทั้งกอง ซึ่งเป็นไปได้ยาก เพราะเขาสร้างกรรมผูกพันกันมานาน

ไปนั่งท่องพวกคำแผ่เมตตา กัมมัสสะกา...มีกรรมเป็นของตน กัมมะทายาทา...มีกรรมเป็นมรดก กัมมะโยนิ...มีกรรมเป็นกำเนิด กัมมะพันธุ...มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์


ใครทำใครได้ เขาต้องทำมาเขาถึงเป็นอย่างนั้น เราทำตามหน้าที่ของเรา ช่วยเขาได้เท่าไรก็เอาแค่นั้น ได้ทำหน้าที่ก็พอแล้ว ไม่ใช่ทำหน้าที่แล้วเราต้องประสบความสำเร็จทุกครั้งไป

เถรี 20-07-2017 20:06

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาจะทำบันไดขึ้นรอยพระพุทธบาท รอยพระพุทธบาทอยู่บนเขาอีกลูกหนึ่งตรงข้ามกับวัด ให้ทิดโอไปสำรวจ รายงานมา ๘๙๐ กว่าเมตร อาตมาก็ว่าบันไดเกือบพันเมตร ราคาจะเท่าไร ? ช่างสรุปราคามาที่ ๑๒ ล้าน ๘ แสนบาท"

เถรี 20-07-2017 20:32

พระอาจารย์กล่าวว่า "เดี๋ยวนี้พระสำหรับถวายสังฆทาน เขาไม่ค่อยหล่อทองเหลืองกันแล้ว เห็นมีแต่ปูนทาสี ต่อไปพระทองเหลืองจะกลายเป็นของหายาก สมัยนี้ไม่ใช่เรซิ่นด้วย เห็นเป็นปูนขาวหรือปูนปาสเตอร์ทาสีเลย เขาพยายามลดต้นทุนลงไปเรื่อย ๆ เพื่อเอากำไรมากขึ้น"

เถรี 20-07-2017 20:37

มีโยมเอาพระแก้วมาถวาย "สมัยก่อนคำว่า แก้ว แปลว่า ของที่มีค่ามาก เช่น ช้างแก้ว ม้าแก้ว นางแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว เป็นสัตว์หรือบุคคลที่มีคุณค่าหาได้ยาก ของเราถวายพระแก้ว ก็แปลว่า ถวายพระที่มีคุณค่าหาได้ยาก"

เถรี 20-07-2017 20:44

มีโยมเอาผ้าอาบน้ำฝนมาถวาย "ผ้าอาบน้ำฝนต้องอย่างนี้ ผ้าอาบสมัยนี้ซีทรูชัด ๆ เขาพยายามที่จะลดวัสดุลงเพื่อที่จะได้ขายให้ได้กำไรมากขึ้น ทอตาห่าง ๆ อย่างกับตามุ้ง แล้วจะให้พระที่ไหนไปนุ่งอาบน้ำ เพราะฉะนั้น...ผ้าอาบของอาตมาใช้ผ้าสบงทั่วไป แต่อันนี้เขาทำผ้าอาบมาประณีตมาก ถือว่าร้านนี้คบได้

ส่วนใหญ่พวกร้านขายสังฆภัณฑ์ ไม่น่าจะเป็นร้านบรรจุสังฆทานเอง แต่ได้รับการบรรจุมาจากที่อื่น หลายแห่งจะเห็นว่าเอากระดาษหนังสือพิมพ์บ้าง ถุงบ้าง ยัดใส่เอาไว้ครึ่งค่อนถัง แล้วก็เอาของวางไว้ข้างบน จนดูเหมือนกับมีของเยอะ

บางร้านก็เอาถาดวางไว้ตรงปากถังเลย แล้วเอาของวางบนถาด ถึงเวลาก็ห่อกระดาษแก้วรวมกัน เหมือนอย่างกับว่าของล้นขึ้นมาขนาดนั้น แต่จริง ๆ แล้วเป็นถังเปล่า ๆ วางผิดจังหวะก็หกคะเมนไปเลย เพราะว่าหนักข้างบน"

เถรี 20-07-2017 21:07

พระอาจารย์กล่าวว่า "คุณหมอฉลองตายทำให้เห็นว่า คนที่ตั้งใจทำงานด้วยใจจริง ๆ ชาวบ้านจะรักมาก เพราะว่าคนไปกันแน่นวัด เผาตอน ๔ โมง ๑๓ นาที จนถึง ๕ โมงเย็นรถยังออกจากวัดไม่หมด เจ้าหน้าที่ ๕ คนช่วยกันโบกไปเถอะ ถ้าไปเจอพวก “ผมเคยออกทางนี้” สักคันก็เจ๊งเลย เขาให้เดินรถทางเดียวแล้วไปวิ่งสวน

คืนแรกที่สวดตั้งเก้าอี้ไว้ ๔๐๐ ตัวไม่พอ ไปเอาเพิ่มอีก ๓๐๐ ตัวก็ไม่พอ ก็เลยแจ้งทางด้านนายกเทศมนตรีว่า
วันเผาขอเก้าอี้เพิ่มด้วย นายกเทศมนตรีเอามาให้อีก ๕๐๐ ตัว เกือบไม่พอเหมือนกัน

หมอฉลองเริ่มรับราชการที่โรงพยาบาลทองผาภูมิปี ๒๕๓๐ ทำงานด้วยใจจริง ๆ ทุ่มเททุกอย่างให้กับชาวบ้าน คิดโครงการสารพัดโครงการเพื่อสุขภาพของชาวบ้าน ใครเจ็บใครป่วยอะไรถ้าอยู่โรงพยาบาลจะตามดูตลอด ถ้ากลับบ้านแล้วก็ยังตามข่าวคราวอยู่ อยู่ ๆ ก็ตาย อายุแค่ ๕๕ ปี เป็นการตายที่กะทันหันมาก ญาติ ๆ ทำใจไม่ได้

ท่านพิจิตร โตเร็ว อัยการศาลจังหวัดกาญจนบุรี เมื่อวานนี้ร้องไห้เลย เพราะว่าใส่บาตรคู่กันทุกวัน อาตมาเทศน์เมื่อวานไม่เข้าหูท่านอัยการเลย เพราะว่ามัวแต่ร้องไห้อยู่ ขึ้นบาลีว่า "อัชเชวะ กิจจะมาตัปปัง โก ชัญญา มะระณัง สุเว พระพุทธเจ้าตรัสว่า มีการงานอะไรพึงทำให้สำเร็จเสียตั้งแต่วันนี้ เพราะไม่รู้ว่า
จะตายในวันพรุ่งนี้หรือเปล่า" อธิบายขยายความจนจบ ไม่ได้เข้าหูท่านอัยการเลย คิดอยู่อย่างเดียวว่าหมอฉลองตายเร็วเกินไป

วันที่ ๒๑ มิถุนายนนี้คุณหมอยังไปวัด เพราะว่าท่านทำหน้าที่มัคคนายกและเป็นไวยาวัจกรด้วย ปรากฏว่าวันที่ ๒๒ พระมหาสันติ พระน้องชายโทรมาบอกว่าหมอฉลองเข้าโรงพยาบาล อาตมาก็...เออ เดี๋ยวมีเวลาค่อยไปเยี่ยม วันที่ ๒๓ โทรมาบอกว่าตายแล้ว ไปเร็วมาก คนมีบุญมักจะไปในลักษณะอย่างนั้น ไปง่าย ไปเร็ว ไม่มีทุกข์ทรมาน คนดีตาย คนก็ร้องไห้เสียใจ คนไม่ดีตาย ถ้ามีคนร้องไห้คงจะดีใจ..!"

เถรี 20-07-2017 21:15

"การตายของหมอฉลองนั้น ครอบครัวสูญเสียลูกที่ดี โรงพยาบาลสูญเสียบุคลากรที่ดี วัดก็สูญเสียไวยาวัจกรและมัคคนายกที่ดี ชาวบ้านเสียหนักกว่าเพื่อน เสียคุณหมอที่แสนดีของเขาไป

ตอนแรกคุณยายทองร่วม คุณแม่ของหมอฉลองก็บ่น “ยายอายุ ๘๐ แล้วจะให้ไปท่าขนุนก็ไกลเกินไป อย่าเอาหมอไปที่นั่นเลย” บอกว่ายายลองขึ้นไปหน่อยก็แล้วกัน ปรากฏว่าสวดศพคืนแรกคนมากัน จนเตรียมเก้าอี้ ๗๐๐ ตัวไม่พอนั่ง บอกยายว่า “คราวนี้ยายรู้หรือยังว่าทำไมต้องเอาหมอมาที่นี่ ?” ยายไม่คิดว่าคนจะรักหมอฉลองกันขนาดนี้

ตอนนี้บรรดากลุ่ม LINE ต่าง ๆ เหงาเลย เพราะว่าหมอฉลองขยันส่ง LINE มาก ไม่ว่าจะข่าวคราวอะไรจะแจ้งถึงตลอด หลายคนบอกว่าต้องรีบปิด LINE ถามว่าทำไม ? เดี๋ยวหมอส่งมาอีก ...(หัวเราะ)... ถ้าส่งตอนนี้น่าจะส่งข่าวว่าไปอยู่ที่ไหน..!"

เถรี 20-07-2017 21:30

พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาไปงานวันเกิดหลวงปู่ครูบาบุญยังที่วัดห้วยน้ำอุ่น ท่านทำพิธีสืบชะตาอายุ ๗๘ ปี ไปเจอ "กล้วยลับแล" เข้าที่นั่น อ๋อ...ที่แท้พวกเขาย่องมาทำบุญกับหลวงปู่เหมือนกัน

สมัยก่อนหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์บอกว่า พวกลับแลมาทำบุญกับท่านบ่อย ส่วนใหญ่ชอบเอากล้วยมาถวาย ให้สังเกตว่ากล้วยเครือไหนถ้ามีถึง ๑๓ หวี หวีหนึ่งมีถึง ๑๖ ลูกขึ้นไป เป็นกล้วยของคนลับแล เคยเห็นกล้วยเครือใหญ่ขนาดนั้นไหม ? แต่ครั้งนี้อาตมาเจอ ๒๐ หวี หวีละ ๒๐ ลูก ถ่ายรูปไว้ดูด้วย ไม่ทันเห็นว่าเขาเอามาวางไว้ตอนไหน เพราะว่านั่งลงไปก็อยู่ตรงหน้าแล้ว"


ถาม : ได้ชิมไหม ?
ตอบ : ไม่กล้ากิน เขาวางถวายหลวงปู่ คาดว่ารสชาติน่าจะดีเพราะว่าอุดมสมบูรณ์ขนาดนั้น ลูกใหญ่มากนะ แล้วหวีหนึ่งมีตั้ง ๒๐ ลูก อาตมาไปนั่งนับเลย เครือหนึ่งมีกี่หวีก็หมุนซ้ายหมุนขวานับดู สรุปแล้วเครือนั้นมี ๒๐ หวี หวีหนึ่งมี ๒๐ ลูก กล้วยเครือหนึ่งมีตั้ง ๔๐๐ ลูก..!

เถรี 20-07-2017 21:33

สมัยหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์มีลูกศิษย์ช่างสังเกต พอเห็นแล้วก็ย่องตามเขาไป เขาก็แต่งตัวเหมือนชาวบ้านธรรมดานี่แหละ เดินไป ๆ เผลอหน่อยเดียวหายลับตาไปทุกที อยากจะรู้ว่าอยู่ตรงไหน ก็อุตส่าห์ย่องตามไป

อาตมาอยู่ที่ตองไว ประเทศพม่า วันนั้นเป็นวันพระ เดินขึ้นไปไหว้พระเจดีย์เสร็จ ก็นั่งพิงผนังภูเขาภาวนาไปเรื่อย อยู่ ๆ ก็มีคนมายืนอยู่ตรงหน้า อาตมาก็...อ้าว
อย่างนี้ไม่ใช่คนปกติแล้ว จึงทักก่อน เขาไม่เห็นว่ามีพระแอบนั่งอยู่ตรงซอกเขา ก็เลยถามว่า “โยม...ถามอะไรหน่อย ?” เขาก็ตกใจหันมาเห็นพระเข้า ถามว่า “ที่โยมมานี่เป็นอภิญญาหรือว่าเป็นฤทธิ์โดยธรรมชาติ ?” เขาบอกว่าเป็นฤทธิ์โดยธรรมชาติ เรียกว่า กัมมวิปากชาฤทธิ์ สามารถใช้ได้ตามปกติ

เถรี 20-07-2017 21:37

ถามว่า “ฤทธิ์โดยธรรมชาติแบบไหน ?” “ก็แบบเดียวกับนกบินได้ ปลาว่ายน้ำได้” แล้วก็เลยถามว่าเขามาทำอะไร ? เขาบอก “วันนี้วันพระ มาทำบุญ” แสดงว่าอาจารย์อังกุระท่านปฏิบัติดีใช้ได้

ก็เลยบอกว่า “มาลองแข่งกันหน่อยไหม ?” รู้สึกคัน..อยากลอง ไม่ได้เล่นมานานแล้ว เขาถามว่าแข่งอะไร ? “ใครจะเข้าไปถึงศาลาก่อนกัน” เขาบอกว่า แข่งกันเฉย ๆ นั้นไม่สนุก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เขาล้วงถุงเงินมาให้ดู โอ้...เจ้าประคุณเถอะ มีแต่เหรียญเงินใหญ่ ๆ รูปพระนางเจ้าวิกตอเรียทั้งนั้นเลย เป็นเหรียญเงินสมัยอังกฤษครองพม่าอยู่

เขาบอกว่า “ถ้าท่านชนะผมให้หมดนี่เลย” “แล้วถ้าหากว่าอาตมาแพ้ ?” เขาบอกว่า “ให้ท่านหาพระอีก ๔ รูป รวมกับท่านเป็น ๕ รูปเข้าไปให้ผมทำบุญ ๓ วัน” ก็เลยบอกว่าถ้าทำบุญ ๓ วันไม่ได้หรอก เพราะอาตมาได้ยินว่าวันหนึ่งของเขานี่เป็นเดือนของเรา อาตมาหายไป ๓ วันนี่คนทางกรุงเทพฯ ร้องตายเลย

เขาก็เลยเปิดทางให้ดูว่า ถ้าพระคุณเจ้าจะไปเมื่อไรให้ไปทางนี้ ก็มองไป พอเขาเอามือทำท่ากวาดไป เห็นเป็นทางเลย จะมีแนวลำธารที่ต้องข้ามไป เขาบอกว่ามาถึงลำธารแล้วตะโกนเรียก ผมจะให้คนมารับ จนป่านนี้อาตมายังไม่ได้ไปเลย สิบกว่ายี่สิบปีแล้ว ไปทีจะเอาตั้ง ๓ วัน ต้องแบบนี้ไปจำพรรษากับเขาด้วยนะสิ

เถรี 20-07-2017 21:39

ถาม : ได้ลองแข่งกันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ได้ลองกัน เพราะว่า ๓ วันถ้าอาตมาแพ้นี่เจ๊งเลยนะ วันหนึ่งเป็นเดือนยังพอทน ถ้าวันหนึ่งเป็นปีนี่ยุ่งเลย หายไป ๓ ปี โผล่มาอีกทีหลายคนแก่หมดแล้ว ถ้าเวลาเขาต่างกันขนาดนี้ สำหรับเรากับเขาก็คงจะไม่นาน วันไหนเบื่อ ๆ โยมก็ลองหนีเข้าไปในนั้น ๓-๔ วันแล้วค่อยออกมา

ถามว่าชาวลับแลเป็นใคร ? ก็เป็นคนนี่แหละ ทำบุญมาดี แต่ว่าไม่ดีพอที่จะเสวยสุขเป็นเทวดานางฟ้า แต่ก็ดีเกินกว่าที่จะอยู่ร่วมกับพวกเรา ก็เลยกลายเป็นเขตต่างหากของพวกเขาอยู่ ส่วนใหญ่แล้วมีพื้นฐานศีล ๕ เป็นปกติ เพราะฉะนั้น...โครงการหมู่บ้านศีล ๕ นี่ไม่ต้องไปประกาศในเขตลับแลหรอก เขาทำกันเป็นปกติอยู่แล้ว

เถรี 20-07-2017 21:57

พระอาจารย์กล่าวว่า มีอยู่วันหนึ่ง ก็กำลังรับสังฆทานอยู่อย่างนี้แหละ พระท่านก็บอกว่า "คนสมัยนี้ทำบุญ ตั้งกำลังใจผิดจึงได้บุญน้อย" กราบเรียนถามท่านว่าเป็นเพราะอะไร ? ท่านบอกว่า “มัวแต่ถ่ายรูปกัน” กำลังใจไม่ได้ตั้งมั่นอยู่กับทานตรงหน้า ห่วงแต่จะถ่ายรูป

อันนี้อาตมาไม่ได้ว่าเองนะ ท่านที่มองไม่เห็นท่านว่ามา อาตมาก็แค่ว่าต่อ ไม่เป็นไรหรอก...อย่างไรก็มีหลักฐานนะ ถึงเวลาลงไปข้างล่างนี่นายบัญชีทำงานง่าย เพราะว่าเรามีหลักฐานพร้อมว่าได้ทำบุญจริง ๆ”

เถรี 21-07-2017 08:36

พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนช่วงสตมวาร ก็คืองาน ๑๐๐ วันในหลวง ทางอำเภอมอบหมายให้สภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิเป็นแม่งาน มีงบประมาณให้ ๓๐,๐๐๐ บาท แล้วจัดงานออกมาดีมาก เขาก็เลยให้มาอีก ๓๔,๐๐๐ บาท ขอให้ช่วยจัดงานเทศกาลผลไม้ของดีทองผาภูมิ

ไม่ทราบว่าทางอำเภอไม่รู้หรือว่ารู้แต่แกล้งไม่รู้ ว่าที่ให้มา ๓๐,๐๐๐ บาทตอนงานในหลวง อาตมาควักเพิ่มไปเป็นแสน..! นี่เขาก็เลยให้มา ๓๔,๐๐๐ บาท จัดงานเทศกาลสำหรับคนทั้งประเทศ ปรากฏว่าเจ้าคณะอำเภอบอกว่า “อาจารย์พระครูรู้ไหม ? เขาเก็บค่าร้าน ร้านหนึ่งตั้ง ๒,๕๐๐ บาท” อาตมาก็ “เฮ้ย...เก็บหรือ ? ผมให้เต็นท์ฟรีเลยนะ” “ก็ส่วนของอาจารย์พระครูเขาไม่เก็บหรอก แต่พวกที่มาตั้งร้านส่วนอื่นโดนทุกคน” "เขาไม่มาบอกผมนี่ ถ้าเขาบอกผมให้ตั้งฟรี" ใครไม่รู้เป็นนักเลงไปเก็บเสียร้านละ ๒,๕๐๐ บาท"

เถรี 21-07-2017 08:40

"อาตมาในฐานะประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิ ก็ต้องบอกว่าเป็นภาระที่เลี่ยงไม่ได้ เพราะว่าอะไรรู้ไหม ? สภาวัฒนธรรมอำเภอมีทั่วประเทศ ๘๗๘ สภา มีประธานสภาเป็นพระอยู่ ๑ รูป อีก ๘๗๗ เป็นฆราวาสทั้งหมด ในเมื่อเป็นสภาวัฒนธรรมก็ต้องเอางานเกี่ยวกับวัฒนธรรมไปแสดง ส่วนเด็ก ๆ กระดี๊กระด๊ามาก ถ้าพระอาจารย์เล็กเป็นประธานก็แสดงกันสุดชีวิตเลยเพราะรู้ว่าได้เงินแน่

สรุปว่าวันแรกอาตมาจ่ายคนละ ๒๐๐ บาทให้เด็ก ๆ ที่มาแสดง หมดไป ๑๓,๘๐๐ บาท หารเอาเองว่ากี่คน ? เฉพาะรางวัลเด็กที่มาแสดงนะ ๖๐ กว่าคนมากันแบบไม่ยั้งเลย

แต่ก็เป็นที่ชื่นชมของประธานจัดงาน ทางด้านรองผู้ว่าฯ มาเปิดงาน ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดในฐานะผู้บังคับบัญชาอีกชั้นหนึ่งของอาตมาก็มา เขามาดูงานว่างบน้อย ๆ จัดงานได้ดีจัดกันอย่างไร ก็จัดแบบนี้แหละ เพราะว่าควักกระเป๋าจ่ายเพิ่มเอง..!"

เถรี 21-07-2017 08:52

"อาตมาให้งบประมาณสภาวัฒนธรรมตำบล ๗ ตำบลเพื่อทำอาหารที่เป็นวัฒนธรรมพื้นบ้านมาจำหน่ายในงาน ก็มีมอญ กะเหรี่ยง ขมุ ฯลฯ ปรากฏว่าไทยอีสานกินขาดเลย ของรายอื่น ๆ ให้งบประมาณไปแล้วต่อยอดไม่ได้ เพราะว่าอาหารที่ทำมาไม่เป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตา พอวันแรกหมดแล้วก็หมดเลย

แต่ปรากฏว่าของเรือนไทยอีสานนี่ ๕ วันคึกคักมาก ให้ทุนไป ๓,๐๐๐ บาท เขาต่อยอดได้ตั้งหลายหมื่น ข้าวเหนียว ส้มตำ ไก่ปิ้ง ซุปหน่อไม้ ขายกันกระจายเลย อาตมาก็ถามหัวหน้าทีมมอญกับกะเหรี่ยงว่า "ทำไมสู้เขาไม่ได้วะ ?" ก็เพราะว่าอาหารอีสานเขารู้จักกันทั่วประเทศ แต่อาหารมอญอาหารกะเหรี่ยงเขารู้กันอยู่แค่กลุ่มเล็ก ๆ

อาตมามอบเงินให้เขาไปทำ ถ้าหากว่าเขาต่อยอด ได้กำไรก็ใส่กระเป๋าตัวเองไปเลย ไม่ต้องเอามาคืน ได้ลองไปลองชิมดู...อร่อยมาก โดยเฉพาะซุปหน่อไม้ อาตมาฉันข้าวเหนียวหมดไปถุงใหญ่ ฉันเสร็จแล้วต้องทำงานต่อ เดินแทบไม่ออกเลย"

เถรี 21-07-2017 21:31

พระอาจารย์กล่าวว่า “งานอุปสมบทหมู่ถวายเป็นพระราชกุศลในหลวงรัชกาลที่ ๙ ช่วงวันที่ ๒๑ –๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๐ ความจริงก็น่าจะให้คร่อมวันที่ ๒๖ ตุลาคมไปเลย แต่ปรากฏว่าวันที่ ๒๖ ตุลาคม เป็นฤกษ์มหาสิทธิโชคพอดี ก็เลยบวชตั้งแต่วันที่ ๒๑ ตุลาคม แล้วไปสึกในวันที่ ๒๖ ตุลาคม หลังทำวัตรค่ำแล้ว ก็ประมาณ ๒ ทุ่ม

สำหรับคนที่จะไปบวชนั้น ถ้าไม่เคยบวชมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบวชแบบอุกาสะ จำเป็นที่จะต้องเข้าวัดตั้งแต่วันที่ ๑๔ ตุลาคม จากวันที่ ๑๔ ตุลาคม ถึง วันที่ ๒๖ ตุลาคม ก็ประมาณ ๑๓ วัน ถ้าไม่มั่นใจว่าลางานได้ก็อย่าเพิ่งสมัคร สมัครบวชแล้วถอนตัวเจอขึ้นบัญชีดำ...!”

เถรี 21-07-2017 21:46

พระอาจารย์เล่าว่า "เดี๋ยวนี้เสียเงินซื้อไก่ปิ้งทีหนึ่ง ๓๐๐-๔๐๐ บาท ปกติอาตมาเลี้ยงหมาอยู่แค่ตัวเดียว ปรากฏว่าอีกตัวหนึ่งมาฝากตัวเป็นลูกของตัวที่เลี้ยงอยู่ หมาที่เหลือก็ยัดเยียดตัวเองมาเป็นหมาเจ้าอาวาส ถึงเวลาจะเลี้ยงแต่ละที แห่กันมาจะครึ่งวัด..!

ส่วนเจ้าหมูหยองเป็นหมาประหลาด เป็นโกลเด้นฯ ผสมไซบีเรียนฯ สายพันธุ์ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับในวงการ ผสมข้ามพันธุ์กันแต่
หน้าตาออกมาดูดี แต่ลูกที่คลอดออกมานี่หมาวัดล้วน ๆ หมูหยองเป็นคุณแม่มือใหม่ คลอดลูกทีเดียว ๙ ตัว ต้องคอยหาซื้ออะไรให้กิน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวนมไม่พอเลี้ยงลูก จากหมาที่ไม่สู้ใครเลย แม้กระทั่งหมาเล็ก ๆ ก็กัดได้ พอมีลูกแล้วหมูหยองเริ่มดุ ตอนนี้ใครเข้าใกล้ลูกไม่ได้ กระโชกใส่ไว้ก่อน สัญชาตญาณคุณแม่มือใหม่ล้วน ๆ"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:39


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว