![]() |
ถาม : ทำไมเห็ดถึงขึ้นเป็นวงกลมคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่หรอก เห็ดจะขึ้นเป็นรูปอะไรก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ต้องมีเชื้ออยู่ตรงนั้น แล้วเชื้อเห็ดมักจะมาจากปลวก ถ้าปลวกทำรังอยู่ตรงไหน เห็ดก็จะขึ้นอยู่รอบบริเวณนั้น ถ้าทำรังยาว ๆ ก็จะขึ้นเป็นแนวยาว ๆ เห็ดโคนต้องบอกว่าเป็นเห็ดศักดิ์สิทธิ์ เหตุที่เป็นเห็ดศักดิ์สิทธิ์เพราะว่าปั่นเนื้อเยื่อไม่ได้ เพาะอย่างไรก็ไม่ได้ มีอยู่ช่วงหนึ่งเขาเอาไปปั่นเนื้อเยื่อลักษณะตัดต่อพันธุกรรมเข้ากับเห็ดฟางแล้วก็เอามาปลูก อาตมาก็คิดดีใจว่าทำได้ ปรากฏว่าผลออกมาไม่ตามใจเราหรอก นึกจะเป็นเห็ดฟางก็เป็นเห็ดฟาง นึกจะเป็นเห็ดโคนก็เป็นเห็ดโคน ไม่เอากับใครเลย ปกติถ้าปั่นเนื้อเยื่อจะได้เหมือนต้นแบบเลย แต่เห็ดโคนปั่นเนื้อเยื่ออย่างไรก็ทำไม่ได้ ท้ายสุดก็ต้องปล่อยให้ปลวกเพาะตามเดิม |
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเป็นคนไม่ติดโทรศัพท์ แล้วโทรศัพท์ก็ไม่ติดอาตมาด้วย เมื่อเดือนก่อนลืมโทรศัพท์ไว้ในรถ ๓ วัน พระผู้ใหญ่โทรมา ๗ – ๘ สาย ไม่ได้รับสักสาย ท่านคงคิดว่าอาจารย์เล็กฆ่าตัวตายไปแล้วกระมัง...? ด้วยความที่ไม่ติดโทรศัพท์ ขาดไปก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองขาดอะไร ก็ทำงานไปเรื่อย รู้ตัวอีกทีตอนจะออกไปข้างนอก ขึ้นรถแล้ว อ้าว...โทรศัพท์วางอยู่บนเบาะ หยิบขึ้นมาดูมีสายเข้ามา ๗ – ๘ สาย เมื่อไม่ติดอะไรก็รู้สึกสบายดี
ญาติโยมทดลองทิ้งโทรศัพท์สักวัน ดูว่าจะลงแดงตายไหม ? ต้องตะเกียกตะกายไขว่คว้าอย่างชนิดคนติดบุหรี่ติดเหล้าแล้วอยากหรือเปล่า ? ต่างประเทศเขามีหมอจิตวิทยารับรักษา เรื่องของการเสพติดเทคโนโลยีโดยเฉพาะ บ้านเราคงรักษาไม่ได้หรอก เหตุที่รักษาไม่ได้เนื่องจากพวกเราไม่ยอมให้รักษากัน รู้สึกตัวเองมีความสุขที่จะได้ก้มหน้าก้มตากับโทรศัพท์ หารู้ไม่ว่าผลาญเวลาไปเท่าไรก็ไม่รู้ ที่แน่ ๆ ก็คือ การปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างหมดไป กลายเป็นคนมีโลกส่วนตัวมากขึ้น แต่ก็ดี...เพราะว่าบางคนมีรถยนต์ส่วนตัว มีเรือยอร์ชส่วนตัว คุยโขมงไปหมด เรามีโลกส่วนตัวยังไม่คุยทับใครเลย...!" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครที่อยู่ทางอเมริกาก็หาช่องทางขยับขยายบ้างนะ ไม่รู้ว่าจะโดนระเบิดเมื่อไร"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "แจ้งให้โยมทราบอย่างเป็นทางการว่า ใครจะไปหาอาตมาที่วัดมีโอกาสเจอน้อยมาก ต่อให้อยู่วัดก็ไม่ได้เจอ เพราะอาตมาเองก็จำไม่ได้ว่าตัวเองมีตำแหน่งอะไรบ้าง แล้วงานท่วมหัว ทำกันตั้งแต่เช้ายันดึกก็ไม่หมด ล่าสุดนี้เขาจะโหวตให้เป็นประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดกาญจนบุรี ต้องขอถอนตัวทั้ง ๆ ที่เขาเสนอชื่อไปแล้ว
การเป็นประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอคนเดียวใน ๑๓ อำเภอที่เป็นพระ ก็แย่พอแล้ว ยังจะเป็นประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดคนเดียวใน ๗๗ จังหวัดก็เกินไป ก็เลยต้องขอถอนตัว เพราะงานทั้งจังหวัดหนักเกินไป ไม่สามารถที่จะทำให้เขาได้ พอถอนตัวก็มีแต่คนบ่นเสียดาย เพราะว่าอดีตประธานสภาวัฒนธรรมท่านตั้งใจเทคะแนนให้ ซึ่งต้องการแค่ ๒๖ คะแนนเท่านั้น เฉพาะสมาชิกที่มาจากทองผาภูมิก็ ๒๒ คนแล้ว แล้วไหนจะของประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดที่เขาคุมเกือบทั้งจังหวัดอีก ฉะนั้น...แค่ ๒๖ คะแนนเป็นเรื่องที่ซวยแน่ ๆ ถ้าคุณไม่ถอนตัว เพราะว่าเขาต้องการคะแนนเสียง ถ้า ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เต็มคือ ๕๑ คะแนน ต้องการ ๒๖ คะแนนก็ชนะแน่ ๆ แล้ว มองไปแล้วเห็นว่าความซวยมาถึงแน่นอนเลยขอถอนตัวดีกว่า ฉะนั้น...โยมไม่ต้องเสียเวลาไปหาที่วัด เพราะว่าไกล มากรุงเทพฯ เดือนละครั้งได้พบแน่ ๆ ไปที่วัดแล้วไม่ได้เจอ แล้วถ้าอาตมากำลังทำงานอยู่ ใครมาขัดคอจะโดนด่ากระจายมากกว่า ดังนั้น ถ้าไม่ได้นัดเอาไว้ ได้โปรดอย่ามาเสนอหน้าไปเป็นอันขาด...! เดี๋ยวไว้มีโอกาสคงต้องทำบอร์ดใหญ่ ๆ แปะข้างฝาว่าตัวเองมีตำแหน่งอะไรบ้าง จำไม่ไหวจริง ๆ แล้วส่วนใหญ่ที่เขาแต่งตั้งให้เป็นก็เพื่อให้ช่วยจ่ายให้เขา เรื่องอื่นเขาไม่ค่อยต้องการหรอก" |
"พออาตมาถอนตัว เล่นเอาลูกศิษย์ลูกหาหน้าเหี่ยวไปตาม ๆ กัน เขารู้สึกเป็นเกียรติเป็นศรีมาก ถ้าดันอาจารย์ให้เป็นใหญ่เป็นโตได้ แต่ทุกคนโปรดทราบไว้ว่า ตำแหน่งมักมากับภาระหน้าที่และความรับผิดชอบ ไม่ใช่ขึ้นไปเป็นแบบโก้ ๆ เท่ ๆ เฉย ๆ แต่ขึ้นไปก็ต้องทำงานให้ดี ถ้าทำงานให้ดีไม่ได้ก็อย่าไปเป็นเลย ชื่อเสียงเกียรติยศที่มีอยู่จะพังบรรลัยหมดเปล่า ๆ
ท้ายสุดอาตมาถอนตัว แล้วเทคะแนนให้อดีตรองประธานสภา ชนะลอยลำ เพราะว่าคู่แข่งได้ ๘ คะแนน ถ้าตีว่าตัดคะแนนของตัวเขาออกไปก็ ๙ คะแนน ก็แปลว่าถ้าอาตมาลงสมัคร อย่างไม่มี ๆ ก็ ๔๓ คะแนน เห็นท่านประธานสภาคนใหม่บอกว่าจะขึ้นไปขอบคุณที่วัด ป่านนี้ได้เจอตัวหรือยังก็ไม่รู้ ? แล้วทำไมไม่ขอบคุณตรงนั้นเลย ? ประธานสภาคนใหม่ท่านเป็นข้าราชการบำนาญ มีโอกาสทำงานเยอะกว่า แล้วเป็นคนแก่มีไฟกระตือรือร้นที่จะทำงาน ชื่ออาจารย์สมโภช ดอกยอ ได้เป็นประธานสภาวัฒนธรรมที่จังหวัดกาญจนบุรีคนใหม่ อีกไม่นานท่านคงมีหนังสือเรียกประชุมอย่างเป็นทางการ" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเราต้องการในสิ่งที่ตัวเองไม่มี หรือมีแล้วไม่ยินดีก็ยังต้องการใหม่ อาตมาเองเห็นคนอ้วน ๆ เมื่อไร ก็คิดว่าเมื่อไรเราจะได้เป็นอย่างนั้นบ้าง ส่วนคนอ้วนเองก็คงจะเบื่อเต็มที กำลังนึกภาพว่าถ้าตัวอาตมาเองถ้าน้ำหนักสัก ๘๐ กิโลกรัม แล้วนั่งอยู่ตรงนี้ คงจะดูดีกว่านี้อีกเยอะ
ไปเยี่ยมหลวงพ่อสมปอง นั่งจับแขนกันดูว่าตอนนี้ใครผอมกว่ากัน คนป่วยทั้งคู่ หลวงพ่อสมปองหนักกว่าเพราะท่านไปผ่าตัดมา อาตมาตอนนี้เลิกคบหมอ เลิกคบยาทั่ว ๆ ไป ไม่เอาแล้ว คือมั่นใจว่าป่วยทรมานขนาดนี้เพราะกรรมเก่า ถ้ายังไม่สิ้นกรรมอย่างไรก็ไม่ตาย ฉะนั้นอยากป่วยอย่างนี้ก็ป่วยไป อาตมาเลิกกินยามา ๒ ปีกว่า ๓ ปีแล้ว แต่กลับรู้สึกว่าแข็งแรงกว่าเดิม เพราะตอนที่ฉันยาอยู่เรื่อย ๆ รู้สึกว่าตับชำรุดมาก แหล่งเก็บพลังงานไม่พอ พอถึงเวลา ๔ – ๕ โมงเย็น เริ่มป้อแป้หมดเรี่ยวหมดแรงแล้ว บางทีทำวัตรเย็นก็คอพับหลับไปเลย มาถึงตอนนี้ถ้าไม่ใช่โหมงานหนักจริง ๆ ยังพอมีเรี่ยวมีแรงถึง ๓ ทุ่ม ๔ ทุ่ม บ้าง ก็แปลว่าการกินยามีแต่จะทำให้ร่างกายทรุดโทรม ยารักษาโรคได้ก็จริง แต่ก็ทำลายร่างกายเราด้วย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครไปตรวจเบาหวานเจอน้ำตาลไม่เกิน ๕๐๐ ก็ไม่ต้องไปใส่ใจนะ จงกินต่อไป หมอสมัยใหม่กำหนดอัตราไว้ที่ ๑๐๐ กว่า ๆ เพราะเขาต้องการขายยา น้ำตาลในเลือดระดับ ๒๐๐-๓๐๐ ร่างกายจัดการได้ ไม่ต้องไปกังวล กินไปเถอะ อาตมากินมาไม่รู้เท่าไรแล้ว มีแต่คนถามว่าอายุปูนนี้แล้วไม่เป็นเบาหวานหรือ ? ก็บอกว่า "กูไม่ไปหาหมอ กูก็ไม่เป็น...!" ถ้าสัก ๕๐๐ ขึ้นไปแล้วค่อยวิ่งไปหาหมอ"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "พอดีช่วงนี้กล่าวไว้ว่าอาสาศึกจนตัวตาย อาจารย์สมปองท่านก็ถามมาว่า “หลวงพี่สุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง ?” ก็บอกว่า "ก็เหมือนเดิมทรง ๆ ทรุด ๆ ยิ่งแก่ตัวลงก็ยิ่งแย่ แต่อย่างพวกเราจะให้ได้พักคงไม่มีหรอก ก็คงตายคาสนามกันเหมือนเดิม" นาน ๆ มีโอกาสคุยกันก็รู้สึกดีเหมือนกัน
เพียงแต่ว่าเจอที่ครูบาวิฑูรย์อย่างหนึ่ง แล้วมาเจอที่อาจารย์สมปองอย่างหนึ่ง ทำให้เข้าใจว่าทำไมลูกศิษย์บ้านสบายใจถึงได้เข้มงวดอย่างชนิดที่ห้ามคนรบกวนอาจารย์ ครูบาวิฑูรย์ออกนิโรธกรรมมา อดข้าวมา ๗ วัน มาถึงแรงจะนั่งยังไม่มี ต้องมาให้ครูบารับประเคนด้วยมือตัวเอง อาตมาถึงได้ดุออกไมค์ไป บอกจะถวายก็วางลงไปเลยนั่นแหละ ท่านเองแรงจะหายใจก็ไม่มี แล้วยังต้องให้ขยับมารับอีก บางท่านต้องบอกว่ากำลังใจต่ำมาก ๆ โดยเฉพาะทำบุญทำทานแล้วไม่มีอุเบกขาในบุญในทานของตัวเอง ถ้าอาจารย์ไม่รับกลัวว่าจะไม่ได้บุญ ถ้าอาจารย์ไม่รับรู้สึกว่าเหมือนกับยังไม่ได้ทำอะไร ก็พยายามจะเคี่ยวเข็ญให้ท่านรับให้ได้ แทนที่จะถนอมธาตุขันธ์ท่านไว้ให้อยู่ด้วยกันนาน ๆ กลายเป็นไปเร่งให้ท่านตายเร็วขึ้น ดังนั้น...บ้านสบายใจคงเห็นว่าหลวงพ่อสมปองท่านเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ ก็เข้มงวดไม่ให้คนไปรบกวน ซึ่งก็เป็นเรื่องดี แต่ว่าบางอย่างก็ไม่ได้พินิจพิจารณาดูความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม อย่างเช่นว่าหลวงตาวัชรชัยไปก็ทิ้งให้รออยู่โดยไม่ไปรายงานบอกกล่าว หลวงตาท่านไม่ใช่อาตมานี่ บอกให้หลวงตารอก็รอ ถ้าอาตมาไม่รอเฉย ๆ หรอก ตูตะโกนเรียกเลย เพียงแต่เรียกแบบคนอื่นไม่ได้ยินเท่านั้น ถ้าใช้หลักนิติศาสตร์ก็ตรงไปตรงมาจนเกินไป ต้องมีหลักรัฐศาสตร์คือยืดหยุ่นกันบ้าง ขนาดฝรั่งเขายังบอกเลยว่ากฎทุกกฎต้องมีข้อยกเว้น กฎของเมนเดลยังมีลักษณะเด่น ๓ ลักษณะด้อย ๑" |
"ตอนนี้หมาที่วัดได้ลักษณะของเจ้าเจค็อบมา ๒ ตัว เจค็อบเก่งมากเลย หมาตัวเมียทุกตัวในวัดไปแย่งเขาได้หมด เพราะเป็นหมาไซบีเรียนฮัสกี้ ตัวใหญ่มาก แต่ไม่เคยมีลูกออกมาหน้าตาเหมือนตัวเองเลย...! อย่างเก่งก็มีสีตาเป็นสีฟ้าข้างหนึ่ง แต่มาปีนี้ได้หุ่นเจ้าเจค็อบมา ๒ ตัว โดนเขาอุ้มไปตัวหนึ่งแล้ว อีกตัวหนึ่งเป็นตัวเมียไม่มีใครเอา เพราะผอมกะหร่องเลย น่าจะยังไม่ได้ถ่ายพยาธิ
วันก่อนอาตมาเพิ่งเอาตับไปให้กินกล่องหนึ่ง จะได้อ้วนหน่อย แต่ว่าอย่างว่าแหละ อดมานานก็เลยล่อนิ้วอาตมาไปด้วย โอ้โฮ...ลูกหมาฟันคมมาก ถ้าหนังไม่เหนียวนี่ได้แหว่งแน่ ๆ" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาได้มีดจักตอกของหลวงพ่อเดิมมา จึงทำบายศรีขอขมาพระ แล้วจัดการหลอมเป็นชนวน เล่มนี้ตีลายจักรนารายณ์ด้วย ถ้าเป็นมีดหมอลายนี้จะไม่ยอมปล่อยหลุดมือเด็ดขาด
มีดหมอของหลวงพ่อเดิมลายกงจักรนารายณ์หายากที่สุด ปรากฏว่ามีดเหลาตอกของท่านเป็นลายจักรนารายณ์ ...(หัวเราะ)... เป็นมีดโค้ง ๆ จะมีด้ามโค้งมาทาบกับข้อศอกเพื่อให้กระชับ ก็เลยบอกช่างว่า ด้ามก็ให้เก็บไว้ จะเอามาทำผง ส่งไปให้เขาบดเป็นผง ฉะนั้น...ไม้ถือที่จะทำนี้ แค่ผงที่บรรจุก็เหลือเกินแล้ว" ถาม : ไม้ถือราคาเท่าไรคะ ? ตอบ : ยังไม่รู้เหมือนกัน ถ้าคิดจากวัตถุมงคลที่หลอมลงไป ราคาแสนนี่น่าจะเกินไปอีกมาก เพราะมีบรรจุตะกรุดมหาสะท้อนทองคำด้วย |
ถาม : มีดหมอเหล่านี้ใช้คาถาเดียวกับมีดหมอเพชราวุธไหมคะ ?
ตอบ : ตำราเดียวกัน ต้องใช้คาถาเทพอาวุธ ๕ ชนิดไว้ก่อน ปัญจะอาวุธานัง เอเตสัง อานุภาเวนะ ฯลฯ |
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมามีพระขรรค์หลวงพ่อโสก วัดปากคลอง ที่เลี่ยมพลาสติกไว้เยอะมาก
เสือขาว ลูกศิษย์หลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว ที่เหนียวนักหนา ตำรวจยิงไม่เคยเข้า ประเภทยืนให้ยิงเลย มีคนไปถามหลวงพ่อดิ่งว่าทำอย่างไรถึงจะแก้ได้ หลวงพ่อดิ่งบอกว่ามีวิธี แต่ข้าบอกไม่ได้ เพราะจะทำให้ต้องอาบัติ ก็คือทำให้คนตาย วันหนึ่งท่านคุยกับลูกศิษย์เรื่องนี้ ลูกศิษย์ไปแอบบอกตำรวจ บอกว่าให้ใช้หัวพระขรรค์ของหลวงพ่อโสก วัดปากคลอง จารกระสุนที่จะใช้ เพราะในพระขรรค์ของหลวงพ่อโสก วัดปากคลอง ซึ่งเป็นเพื่อนกันนั้น ท่านจารแก้วิชาของหลวงพ่อดิ่งเอาไว้หมดแล้ว เสือขาวไม่รู้ตัวว่าถึงฆาต ก็ยืนเย้ยฟ้าท้าดินสู้ตำรวจเหมือนเดิม โดนเข้าไปตูมเดียวหงายท้องเลย" |
ถาม : ขออนุญาตแวะไปวัดท่าขนุน ไปพักปฏิบัติธรรมได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไปเถอะ อย่างน้อยจะได้เห็นวัด โยมอาจจะเห็นว่าร่มรื่น น่าปฏิบัติธรรม แต่คนที่อยู่อาจรู้สึกว่าร้อน เพราะโดนเจ้าอาวาสด่าบ่อย...! มีเรื่องให้บ่นให้ด่ากันได้ไม่เว้นแต่ละวัน ด้วยความเป็นคนไม่ช่างสังเกต ทำให้ได้อะไรจากครูบาอาจารย์น้อยมาก เพราะว่าต้องรอให้จ้ำจี้จ้ำไชสั่งสอนเท่านั้นถึงจะได้ แต่ถ้ารู้จักสังเกตว่าครูบาอาจารย์ทำอย่างไร พูดอย่างไร คิดอย่างไร ถึงเวลาก็จะได้มากกว่านั้น ขนาดย้ายโต๊ะหมู่บูชา บอกว่าให้ดูดี ๆ นะ ถึงเวลาตั้งให้เหมือนเดิม ไปถึงก็ตั้งผิดเลย ต้องยืนด่ากันตรงนั้น แล้วไม่รู้ด้วยนะว่าผิดตรงไหน จับขยับให้ดูก็ยังไม่รู้อีก ต้องพลิกข้างหลังให้ดูว่า "คุณ...ด้านนี้มีอะไรไหม ?" "ไม่มี" "แล้วด้านนี้ล่ะ ?" "มีลายไทย" "เออ...เขาต้องการจะอวดลาย คุณเสือกเอาเข้าข้างในแล้วใครจะเห็น...!" ไม่สังเกตกันเลย ถึงเวลาสักแต่ว่าทำ ๆ ไป ทำให้อาตมาต้องมาแก้งาน เสียเวลามากขึ้นอีก อาตมาจึงมีนิสัยไม่ค่อยใช้งานใคร ทำเองดีกว่า เหนื่อยน้อยหน่อย |
พระอาจารย์ให้คำแนะนำกับพระที่เป็นเจ้าอาวาสว่า "อย่าเร่งรีบสร้างผลงาน ให้ค่อยเป็นค่อยไป ถ้าเราเร่งสร้างผลงานต้องรบกวนชาวบ้านเขามาก และตัวเองจะเหนื่อยมากด้วย ยกเว้นว่าจะไม่ง้อชาวบ้านอย่างผม ที่ตั้งกฎว่าจะไม่บอกบุญไม่เรี่ยไรได้ก็เอา ทำไปเลย"
|
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : พอสมาธิเริ่มทรงตัวจิตจะไม่ยุ่งกับร่างกาย ในเมื่อไม่ยุ่งด้วย ใครมาทำอะไรถึงจะรู้หมด แต่ไม่สนใจหรอก จะนิ่งอยู่ข้างในเฉย ๆ ให้รักษากำลังใจตรงนั้นเอาไว้ พอสมาธิเริ่มคลายออกมา ต้องรีบหาวิปัสสนาญาณให้คิด เพราะไม่อย่างนั้นจิตจะเอากำลังที่เราปฏิบัติได้ไปฟุ้งซ่าน อย่าประมาทนะ...เริ่มดีแล้ว |
พระอาจารย์กล่าวกับพระที่ถวายหนังสือว่า "มีอยู่ระยะหนึ่ง มีคนเมตตาเอาหนังสือของหลวงพ่อเกษม วัดสามแยก ไปให้ผมทีหนึ่งเป็นพันเล่ม เอาไปให้ผมแจก ผมสั่งชั่งกิโลขายหมดเลย คนถวายก็โวยวายว่าทำไมทำแบบนั้น ผมบอกว่าท่านสอนผิด เขาก็ไม่เชื่อกัน มาตอนหลังไม่นานนี้เขาเพิ่งจะรู้ แต่ก็ช้าไปหลายปี"
|
ถาม : พวกมีดหมอหรือดาบนี่เก็บมาตลอดชีวิตเลยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อาตมาชอบอย่างนี้มาตั้งแต่เด็ก พอรู้ประสาก็เห็นพี่ชายนั่งส่องพระแล้ว ถึงเวลาก็ไปนั่งฟังเขา เพราะจะมีสภากาแฟที่ผู้ใหญ่เขาคุยเรื่องนี้กัน พระเครื่องแบบนั้นดีอย่างนั้น หลวงพ่อรูปนี้เก่งอย่างนี้ ก็เลยซึมเข้าหัวไปด้วย สุดท้ายก็คัดเอาส่วนหนึ่งมาเข้าพิพิธภัณฑ์ ที่เหลือก็แบ่ง ๆ ให้เขาบูชา ไปหาที่อื่นอาจจะเจอของปลอม แล้วมีหลายเล่มที่เซียนตีเป็นของแพงกว่า เช่น มีดหมอหลวงพ่อกวยลายนาคเกี้ยวยุคแรก เขามักจะตีเป็นของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ ถาม : ช่างคนเดียวกันหรือครับ ? ตอบ : ช่างคนเดียวกัน แต่หลวงพ่อกวยท่านแปลงอักขระตัวหนึ่ง ถ้าไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ก็แปลว่าเจตนา เพราะว่ามีดหมอของหลวงพ่อเดิม ขายได้แพงกว่าหลายเท่า |
พระอาจารย์เล่าให้พระฟังว่า "ครั้งแรกที่ผมสร้างวัตถุมงคลเลยคือล็อกเก็ต ด้านหนึ่งเป็นหลวงปู่ปาน ด้านหนึ่งเป็นหลวงพ่อฤๅษี หลวงปู่ปานท่านนัดพุทธาภิเษกตอน ๖ โมงเย็น บ่าย ๓ โมงผมยังช่วยสอนมโนมยิทธิอยู่ที่วัดท่าซุงเลย กว่าจะวิ่งกลับมาถึง เหลืออีกประมาณ ๒๐ นาทีจะ ๖ โมงเย็นแล้ว ผมก็สบายใจ...อย่างไรก็ทันแน่นอน
ปรากฏว่ามาถึงเครื่องบวงสรวงยังไม่ได้ตั้งเลย คนทำเขากลัวผิดทิศ เขาเลยไม่กล้าตั้ง ผมก็ต้องมาตั้งเครื่องบวงสรวง กว่าจะเสร็จก็เลย ๖ โมงไปตั้งนานแล้ว พอขึ้นไปกราบพระ หลวงปู่ปานท่านบอกว่า "เสร็จนานแล้ว" จึงกราบเรียนถามท่านว่า "แล้วผมจะทำอย่างไรครับ ?" ท่านตอบว่า "ให้นั่งสักหน่อยหนึ่ง เดี๋ยวคนเขาไม่เชื่อ" |
ถาม : คำว่า อวตาร ใน อมรพิมานอวตารสถิตย์ ฯลฯ .....?
ตอบ : แปลว่าพระผู้อวตารจากพระนารายณ์มาอาศัยอยู่ เพราะเขาเชื่อว่าพระมหากษัตริย์ทุกองค์อวตารมาจากพระนารายณ์ เลยใช้ชื่อว่า รามาธิบดี แปลว่าพระรามผู้เป็นใหญ่ |
ถาม : ในสวรรค์ และนรก มีการทำผิดศีล ๕ ไหมครับ ?
ตอบ : สวรรค์ไม่มีผิดศีล ๕ ส่วนนรกไม่มีโอกาสผิด ถาม : แล้วเทวดารบกันละครับ ? ตอบ : ไม่ได้ฆ่ากันนี่หว่า...! ส่วนใหญ่แค่คิดโกรธก็ตายเองอยู่แล้ว |
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไปสนใจทำไม ? ควรจะสนใจว่าเราจะอยู่อย่างไร ไม่ใช่ไปสนใจว่าเขาจะอยู่อย่างไร บอกแล้วว่าคนเรามีบุญรักษาและมีกรรมรักษา ถ้าไม่ถึงวาระอย่างไรเขาก็ต้องอยู่ได้ ขนาดกินข้าวได้วันละ ๗ เม็ด ยังอยู่ได้ ๒๐ กว่าปี เรื่องอย่างนี้อาตมาไม่เสียเวลาไปคิดกังวลหรอก |
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เอาง่าย ๆ ก็ดูใจตัวเอง ถ้าใจเราเองมีความชั่วก็ไล่ออกไป ระมัดระวังไว้อย่าให้ความชั่วนั้นเข้ามา ถ้าใจเราไม่มีความดีก็สร้างความดีขึ้นมา แล้วก็รักษาไว้ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ความชั่วคือ รัก โลภ โกรธ หลง ความดี คือ ศีล สมาธิ ปัญญา มัวแต่ไปคิดเรื่องอื่นก็เสียเวลา ถาม : ที่ทำอยู่โอเคหรือไม่ครับ ? ตอบ : จะโอเคหรือไม่โอเคก็อยู่ที่เรา ถ้าต้องการตัดกิเลสมากกว่านี้ ต้องการความก้าวหน้ามากกว่านี้ ก็ยังไม่โอเค แต่ถ้าต้องการไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็หยุด อย่างนี้ก็พอไหว |
ถาม : การปฏิบัติมีแบบปฏิบัติง่าย บรรลุง่าย ปฏิบัติยาก บรรลุยาก เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นแบบไหน ?
ตอบ : ทำไปแล้วจะรู้เอง ถ้าทำสัก ๒๐ ปี แล้วยังไม่ได้สักที แสดงว่าปฏิบัติยาก บรรลุยาก ถาม : ถ้าแบ่งเป็นแบบปี อย่างไหนจึงจะเรียกว่าบรรลุง่ายครับ ? ตอบ : ไม่เกิน ๗ ปี แล้ว ๗ ปีนี่เขาหวังเป็นพระอรหันต์กันเลย |
โยมมารับวัตถุมงคล "คุณยายแม่ชีบุญเรือน โตงบุญเต็ม ต้องบอกว่าเป็นผู้หญิงมหัศจรรย์ พอ ๆ กับแม่ชีประทุม โชติอนันต์ ปกติเขามีแต่พระมรณภาพแล้วไม่เน่า แต่นี่แม่ชีประทุมเสียชีวิตแล้วไม่เน่า
เสียดายอยู่อย่างหนึ่งว่า ท่านนิมนต์มาหลายทีแล้ว แต่อาตมาไม่มีโอกาสได้ไปสำนักท่าน จนกระทั่งท่านเสียชีวิต ทันทีที่ท่านรู้ว่าอาตมาออกไปอยู่กาญจนบุรี ท่านก็นิมนต์ให้ไปที่สำนักของท่านทุกครั้ง แต่ช่วงนั้นยุ่งอยู่กับการก่อสร้าง ไม่มีเวลาปลีกตัวไป อีกอย่างหนึ่งทองผาภูมิกับโคราชสมัยนั้น รู้สึกว่าไกลลิบโลกเลย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีดหมอถ้าดูใหม่เกินไป เซียนเขาตีปลอมหมด เขาไม่ได้ดูว่าเรารักษาอย่างดี อย่างมีดหมอปราบไตรภพของหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว ที่อาตมามีอยู่ เซียนเห็นก็ตีปลอมทันทีเลย แต่เขาไม่ได้ดูว่าถ้าปลอมก็ได้เฉพาะใบ เพราะว่าอาตมาเช็ดบ่อย แต่ด้ามอย่างไรก็ปลอมไม่ได้หรอก เก่าแก่ขนาดนั้น
มีมีดหมอของหลวงพ่อเดิมอีกเล่มหนึ่ง ที่อาตมาไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นของหลวงพ่อเดิม คิดว่าเป็นของหลวงพ่อขำที่เป็นอาจารย์ของหลวงพ่อเดิมมากกว่า เพราะว่าด้ามและฝักเก่าจนไม้กร่อนจะเป็นผงอยู่แล้ว" |
พระอาจารย์กล่าวกับโยม "คุณรู้ไหมว่าที่หน้าอกเสื้อคุณเป็นพระราชลัญจกรรัชกาลที่ ๑ รู้ที่มาไหม ? เวลารัชกาลที่ ๑ ยกทัพออกศึก ทหารของท่านมีหลายครูหลายอาจารย์ บางทีก็ปะทะกันเอง ต่างคนต่างว่าครูกูแน่กว่า ของกูดีกว่า ท้ายสุดพระองค์ท่านสั่งยึดของขลังเรียบเลย "ใครมีของขลังอะไรเอามานี่" แล้วพระองค์ท่านก็ทำผ้าประเจียดแจกให้ ผ้าทั้งผืนเขียนยันต์ตัวเดียวเท่านั้น ตัวที่อกเสื้อของคุณนั่นแหละ
เขียนยันต์ลงผ้าเคียนหัว เสกน้ำมันทาตัวให้ "มึงไปลองกันได้เลย" จ้วงกันด้วยหอกด้วยดาบไม่มีเข้าสักราย ท้ายสุดก็กลายเป็นครูเดียวกัน จึงรักใคร่สามัคคีกัน ความจริงวิชาที่รัชกาลที่ ๑ ใช้ ท่านเรียกว่าวิชาแต่งคน มีแต่งคน แต่งทัพ วิชาแต่งคนนั้นหัวหน้าคนเดียวสามารถคุ้มครองลูกน้องได้ทั้งกองทัพ ท่านถึงได้เสกของเสกน้ำมันให้ จนเหนียวทั้งกองทัพ" |
"สมัยหลัง ๆ ครูบาอาจารย์ท่านทำออกมาเป็นตะกรุดแม่ทัพ ถ้าพกอยู่จะคุ้มได้ทั้งกองทัพ อย่างตำราของสายเขาอ้อ ตะกรุดชนิดนี้จะคุ้มได้ ๕ คน ตะกรุดชนิดนี้จะคุ้มได้ ๑๐ คน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวยกขบวนไปปล้นเขา แล้วจะเอาไม่อยู่ เพราะ ๕ คนหรือ ๑๐ คน ตำรวจยังพอที่จะจัดการไหว
ทางเขาอ้อเขาทำเป็นตะกรุดพิชัยสงคราม ดอกเดียวบ้าง ๔ ดอกบ้าง ถ้าอย่างของหลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส ท่านเรียกว่าตะกรุดมหาโจร ก็คือ พวกนี้ต้องเป็นหน่วยกล้าตาย ออกไปปล้นค่ายข้าศึก ลักษณะเป็นกองโจรรบพิเศษ ก็ใช้ตะกรุดมหาโจรหรือตะกรุดแม่ทัพนั่นแหละ ช่วยคุ้มครองลูกน้องได้ทั้งกลุ่ม ที่ทำรุ่นหลัง ๆ มีหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม หลวงพ่อเชื้อ วัดใหม่บำเพ็ญบุญ หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส หลวงพ่อโม วัดจันทนาราม" ถาม : ของหลวงพ่อเตียง ? ตอบ : ของหลวงพ่อเตียง ส่วนใหญ่เป็นตะกรุดคู่ชีวิต อาตมามีอยู่ดอกหนึ่ง ตีเป็นของหลวงพ่อพิธได้เลย คนเชื่อทันที แต่อาตมาไม่เอาหรอก ตีเป็นของหลวงพ่อเตียงยุคแรกนั่นแหละ เพราะพระเราเกิน ๑ บาทก็ปาราชิกแล้ว ตะกรุดของหลวงพ่อพิธหายาก ดอกหนึ่งราคาเป็นแสน ของหลวงพ่อเตียงราคาหมื่นกลาง ๆ ยังหาได้อยู่ หมื่นต้น ๆ คือไม่เกินสี่หมื่น หมื่นกลาง ๆ คือ สี่หมื่นถึงหกเจ็ดหมื่น ถ้าหมื่นปลาย ๆ ก็แปดเก้าหมื่น ศัพท์ในวงการพระเครื่องจะแปลก ๆ |
ถาม : ตะกรุดไมยราบสะกดทัพ ?
ตอบ : อันนั้นส่วนใหญ่ต้องเป็นของคนที่เป็นพ่อบ้าน ถ้าอยู่แล้วจะทำให้สถานที่นั้นสงบเรียบร้อย เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน |
หลวงปู่กลั่นถึงขนาดจะเอาอาตมาไปเป็นเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อ สายเขาอ้อดีตรงที่ว่า เขาไม่สนใจว่าคุณเป็นใคร ? มาจากไหน ? แต่ถ้าคุณมีฝีมือ มาเรียนวิชาสายนั้นก็เป็นเจ้าอาวาสได้ ช่วงนั้นอาตมาเทียวไปเทียวมา ไปขอศึกษาวิชาจากท่าน ท่านจะเอาไปเป็นเจ้าอาวาสเสียแล้ว ถ้าเป็นตำราสายเขาอ้อ เขาเชื่อว่าพวกที่ทำของขึ้น เป็นประเภท Born To Be หาได้ยาก ถ้าอย่างหลวงพ่อฤๅษีท่านว่าก็คือ พวกนี้มีของเก่าติดตัวมา มีวิชาหนึ่งที่อาตมาไม่ได้มา ก็คือ วิชาหลอมสัตตโลหะเป็นทองคำ เพราะท่านบอกว่าสงวนไว้สำหรับเจ้าอาวาส ...(หัวเราะ)... ไม่รู้ว่าจะหลอกให้อาตมาไปเป็นเจ้าอาวาสหรือเปล่า ? |
พระอาจารย์เล่าว่า "ถ้าใครไปถึงบ้านพ่อปู่ขุนพันธ์ ท่านมักจะเลี้ยงข้าวด้วย ท่านเป็นคนโบราณจริง ๆ ใครมาถึงเรือนชานก็ต้อนรับ แล้วเวลาท่านคุยกับใคร ท่านจริงจังมากเลยนะ ท่านจะจ้องหน้าคนที่คุยด้วย พวกตบะไม่ดีจะไม่กล้าสบตา ก้มหน้ามองพื้นไปเลย ...(หัวเราะ)...
อาตมาเสียดายไม้ถือที่ท่านให้มา จริง ๆ แล้วโบราณเรียกว่าไม้รกฟ้า แต่ท่านเรียกไม้ค้ำฟ้า ถ้าจำไม่ผิด "ทิดจิตร" ขอบูชาต่อไปแล้ว คุณสันติ เศวตวิมล (แม่ช้อยนางรำ) ก่อนหน้านี้เป็นคนที่ไม่สู้ใคร แล้วไปคบหากับลูกชายของปู่ขุนพันธ์ ไป ๆ มา ๆ ลูกชายก็เลยบอกปู่ขุนพันธ์ "พ่อ...หาอะไรให้เพื่อนคุ้มตัวหน่อยสิ" พ่อปู่ขุนพันธ์จึงสักให้ คุณสันติบอกว่าพอท่านเพ่งพลังจิตและตบปิดท้ายให้ ตัวลอยขึ้นมาทั้งตัวเลย พ่อปู่ขุนพันธ์ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ชักดาบฟันเลย...! ทำให้รู้ ๆ เลยว่าเอ็งเหนียวได้ขนาดนี้" |
"เสียดายเด็กรุ่นหลัง ๆ ไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้ เพราะวิชาการโบราณนั้นศึกษาได้ยาก ต้องมีความเพียรเอาจริงเอาจังจึงจะสำเร็จได้ ถ้าขาดความเพียรก็จะสำเร็จยาก จะไปรอพวก Born To Be ก็หายากเสียด้วย เพราะว่าพวกนี้เขามีของเก่าอยู่ พอมีของเก่าอยู่ ถึงเวลามาศึกษาก็เข้าใจง่าย สำเร็จง่าย"
ถาม : เด็กเดี๋ยวนี้ ไม่มีความเชื่อเลยค่ะ... น้องที่ทำงาน ที่บ้านเขาสนิทกับท่านปู่ขุนพันธ์ เคารพเป็นครูหมอ.. แม่เขาจะได้พวกทัพพี พวกมีด เครื่องครัว ที่ขุนพันธ์เสกให้... เขาก็มาเล่าประสบการณ์ เล่าเรื่องท่านปู่ให้ฟังกัน แต่คนฟังก็ฟังขำ ๆ ? ตอบ : คนอื่นก็ฟังเป็นนิทานสนุก ๆ แต่ไม่มีความเลื่อมใส ไม่ได้มีความอยากรู้อยากเรียนอะไรเลย |
ถาม : วันก่อนเขาบอกว่าผีไปที่ห้องพักเขา เขาบอกว่าเข้าห้องเขาไม่ได้ เพราะกุมารของเขาไม่ให้เข้า แต่กุมารไล่ไม่ได้ แล้วเขากลัว ก็เลยเอาผ้ายันต์เกราะเพชรสีเขียวให้เขาไป เขาขอไป ๒ ผืน ติดที่ประตูห้องผืนหนึ่ง แขวนคอผืนหนึ่ง ?
ตอบ : ต้องรอให้ผีมาก่อนใช่ไหม ? ผีไม่มาก็ไม่นึกถึงพระ เสียดายที่สมัยนี้ผีหลอกได้ยาก เพราะเขาเปิดไฟกันทั่วไปหมด ด้วยความที่ไฟกระพริบ ๆ ด้วยความเร็ว ๕๐ ครั้งต่อวินาที ถึงเวลาผีต้องรวมธาตุมาเป็นกายหยาบให้คนเห็น แต่มาโดนไฟกระแทกจนไม่สามารถจะรวมเป็นร่างขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้น...ที่ว่านอนเปิดไฟแล้วกันผีได้ ก็กันได้จริง ๆ แต่กันได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น ถ้าไปเจอผีระดับสูงกว่านั้นก็กันท่านไม่ได้หรอก |
ถาม : ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเคาะผนังห้องอยู่ทุกคืนค่ะ ทั้งที่ห้องติดกับเราก็ไม่มีใครอยู่ ?
ตอบ : อย่าเผลอไปขานรับ ตั้งใจสวดมนต์ไหว้พระของเราไป หรือไม่ก็คิดว่าใครเป็นเจ้าของเสียง เราเคยสร้างความดีอะไรใน ศีล สมาธิ ปัญญา ขออุทิศให้ให้เขาโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าไร ขอให้เขาได้รับด้วย |
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาไปงานออกนิโรธกรรมของครูบาวิฑูรย์ ก็มีบรรดาพระสายเหนือหลายรูปมา มีอยู่ท่านหนึ่งนั่งฉันอยู่โต๊ะเดียวกัน ท่านบอกว่า “อาจารย์เล็กสบายแล้ว ดังแล้ว” อาตมามาฟังแล้วก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า ตกลงนี่คุณบวชมาเพื่อดังหรืออย่างไร ? แล้วแสดงว่าไม่รู้ใช่ไหมว่าที่หลวงปู่จันทร์ (พระพุทธพจน์วราภรณ์) วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ ท่านบอกเอาไว้ว่า “ถ้าอยากดังก็อย่าไปหวังความสงบ”
คุณรู้หรือเปล่าว่าผมทำอะไรมาบ้าง ? ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ชีวิตฆราวาสอายุ ๑๖ ปี มาจนถึง ๒๗ ปี ก็ปฏิบัติธรรมมาในลักษณะอย่างนี้ ทุ่มเทอย่างนี้ สร้างบุญสร้างกุศลมาตลอดในลักษณะนี้ คนเขาเห็นอยู่ตลอด พอบวชเข้ามาคนที่เขาติดตามมาโดยตลอด เขาก็พร้อมที่จะสนับสนุน แล้วในชีวิตพระอีก ๓๐ กว่าพรรษาก็ทำแบบนี้มา โดยรวมระยะเวลาแล้ว ๔๐ กว่าปี คุณคิดว่าเป็นระยะเวลาสั้น ๆ หรือ ? เรื่องของการปฏิบัติธรรมเป็นการค่อย ๆ สะสมคุณความดีไป เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ ถ้าหากว่าถึงวาระ ถึงเวลา ดอกผลก็ย่อมเกิดขึ้นเอง แต่ถ้าไม่ถึงวาระ ไม่ถึงเวลา คุณพยายามให้ตาย ตีโฆษณาขนาดไหน ดอกผลนั้นก็ไม่เกิดขึ้นหรอก เพราะฉะนั้น...ในเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จำเป็นอยู่ตรงที่ว่า ถ้าคุณต้องการจะดัง ก็ต้องสร้างความดีให้พอ ถึงเวลาแล้วคนเขาเห็นความดีคุณก็ดังเอง แต่ถ้าคุณไม่ได้สร้างความดีไว้ ถึงเวลาตะเกียกตะกายไปตีโฆษณาขนาดไหน ก็หลอกได้แค่คนโง่ ๆ ไม่กี่คน...! เรื่องพวกนี้บางทีไปพบไปเห็นเข้าอาตมาก็รู้สึกสะดุดใจ ตรงที่สะดุดใจก็คือท่านมาดูตรงผลที่รับแล้ว ไม่ได้ดูว่าตอนที่สร้างเหตุนั้นเหนื่อยยากขนาดไหน แล้วก็ไม่ได้สร้างมาแค่ชาติเดียวอีกด้วย" |
"อาตมาไปนึกถึงเพื่อนร่วมรุ่นที่เรียนด้วยกันมา ตั้งแต่ระดับประกาศนียบัตร ปริญญาตรี ปริญญาโท ท่านหนึ่ง ก็คือพระครูใบฎีกาถาวร ถาวโร ตอนนี้ท่านไปสร้างสำนักสงฆ์ธรรมถาวรอยู่ที่จังหวัดลพบุรี ถึงเวลาท่านก็จะเอาซองมาแจกให้เพื่อนช่วยทำบุญให้ แต่คราวนี้ท่านแจกซองปีละหลายครั้ง พอสนิทสนมกันมาก ๆ เพื่อนบางคนก็ด่าเลย
พอยื่นซองมาให้ก็ “ไอ้ห่...ไม่รู้จักเอาไปให้ที่อื่นหรืออย่างไรวะ ? มีแต่มาเอาแต่กับพรรคพวกของตัวเองนี่แหละ” ปรากฏว่าพระครูใบฎีกาถาวรท่านไม่ใช่ประเภทด่าแล้วยุบ ท่านบอกว่า “ผมไม่ใช่พระครูเล็กนี่..!” อ้าว...ดันลากตูเข้าไปเกี่ยวข้องอีก ท่านบอกว่า “พระครูเล็กท่านหักร้างถางพง ทั้งหว่านทั้งไถมาตั้งแต่ชาติไหนก็ไม่รู้ มาถึงชาตินี้ท่านก็เก็บเกี่ยวได้แล้ว ไอ้ของผมเองนาก็ยังไม่มีเลย แล้วจะไปเอาจากใคร ? ก็ต้องมาเอาจากพวกเรานี่แหละ” นั่นแสดงว่าท่านรู้จริง แหม...พอเถียงเข้านี่เพื่อนอ้าปากไม่ขึ้นเลย ส่วนใหญ่แล้วคนเราจะไปดูตรงผลรับ ไม่ได้ดูว่าก่อนหน้านั้นลำบากมาขนาดไหน อาตมาเตือนพระอยู่เสมอว่า คุณเห็นผมทำตัวสบาย ๆ กับญาติโยม รู้หรือเปล่าว่าก่อนที่ผมจะปล่อยตัวแบบนี้ได้ ผมต้องเข้มงวดกับตัวเองมากี่ปี ? กว่าที่จะมั่นใจตัวเองได้ว่า ขยับไปทางไหนศีลจะขาดหรือเปล่าก็รู้ตัวอยู่ นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าคุณเริ่มต้นมาถึงก็ทำตัวสบายแบบผม นั่นคุณกำลังหาที่ตายกันตรงนั้นเลย...!" |
ถาม : มีข่าวการต่อต้านสร้างพุทธมณฑลที่ปัตตานี ?
ตอบ : เราจะเห็นว่าจริง ๆ แล้วศาสนาพุทธของเราโดนกีดกันทุกอย่าง เขาอ้างว่าสร้างที่โน่นแล้วจะทำกระทบกระเทือนศาสนาของเขา แต่เขาสร้างมัสยิดที่อื่น เขาไม่สนใจว่าจะกระทบกระเทือนศาสนาพุทธหรือเปล่า ถาม : เราแก้กฎหมายได้ไหมคะ ? ตอบ : ต้องถามผู้คุมนโยบาย มี ๒ อย่าง อย่างหนึ่ง คือ เอื้อประโยชน์ให้เขาเพราะเป็นพวกเดียวกัน อย่างที่สอง ก็คือ แกล้งโง่เพราะรับสตางค์เขาไปแล้ว ถาม : กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม เช่น การสนับสนุนการสร้างมัสยิดทุก ๗ ครัวเรือน เทียบกับวัดต้องห่างกันอย่างน้อย ๒ กิโลเมตรนี่ ทำเรื่องปรับแก้ก็มีเหตุผลชัดเจนอยู่นี่คะ ? ตอบ : อิสลามเขาออกเป็นกฎหมายแล้วเกี่ยวกับศาสนสถาน ถ้าที่ไหนมี ๗ เจ็ดครอบครัว หรือ ๑๕ คนขึ้นไปสามารถสร้างสุเหร่าได้หลังหนึ่ง กฎหมายของเขาเอาง่าย ๆ อย่างนี้ แต่กฎหมายของเรา ก็คือ วัดใหม่จะต้องห่างจากวัดเก่าอย่างน้อย ๒ กิโลเมตร ต้องมีชุมชนที่มีผู้สนับสนุนอย่างน้อย ๕๐๐ คนขึ้นไป ต้องมีเสนาสนะ เช่น ศาลากุฏิพระ เพียงพอต่อการใช้งาน จะต้องมีทุนสำรองที่จะซ่อมสร้างบูรณปฏิสังขรณ์วัดได้ ฯลฯ เขามีกำหนดเอาไว้จนกระทั่งเรียกว่ายากต่อการปฏิบัติ โดยเฉพาะต้องมีเนื้อที่อย่างน้อย ๖ ไร่ขึ้นไป อิสลามเขาไม่เห็นต้องมีแบบนี้ เขาเอาแค่ว่าถ้ามีครอบครัวอยู่ถึง ๗ ครอบครัวหรือมีคน ๑๕ คนขึ้นไปก็สร้างมัสยิดได้หลังหนึ่ง และทางราชการต้องจ่ายเงินให้ด้วย...! ถาม : แทนที่เราจะมาประท้วงกันไปมา ผลในภาพรวมก็ไม่เกิด เราใช้วิธีเริ่มจากทำกฎหมายท้องถิ่นให้แน่น ให้เป็นฐานไปสนับสนุนการยื่นวาระเข้าแก้ไขข้อที่ไม่เป็นธรรม ? ตอบ : ก็ได้อยู่ แต่คราวนี้ของเขาเป็นพระราชบัญญัติไปแล้ว ไม่ใช่กฎหมายท้องถิ่น ก็แปลว่าคุณจะต้องประชุมคณะรัฐมนตรีแล้วก็แก้ไข ซึ่งโอกาสแบบนั้นมียากเพราะว่าพวกเขาต้องขวางกั้นสุดชีวิตอยู่แล้ว |
การผ่านกฎหมายของอิสลาม เขามักจะใช้ช่วงดึก ๆ ตี ๒ ตี ๓ ซึ่งคนของเราถ้าไม่ใช่นั่งหลับก็นั่งเขี่ยไลน์กัน หรือไม่ก็ไปเข้าห้องน้ำ ไปสูบบุหรี่กัน บางคนก็ไปเข้าสภากาแฟ แต่ตัวแทนของอิสลามเขาจะเกาะสถานที่ตลอด ไม่ไปไหนเลย แล้วก็ฉวยโอกาสที่ไม่มีใครค้านเพราะว่าทุกคนล้าเต็มที่ ปล่อยให้ผ่านได้ง่าย ๆ แล้วก็ดันเป็นกฎหมายออกมา
จะมีก็กฎหมายอันสุดท้ายที่เขาไม่สามารถทำได้สำเร็จ เพราะเป็นเรื่องที่เห็นอย่างชัดเจนว่ามีปัญหา ก็คือให้จุฬาราชมนตรีเป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี และคำปรึกษานั้นเป็นสิ่งที่ต้องกระทำ เท่ากับควบคุมนายกรัฐมนตรี พอฟังแล้วก็สะดุดความรู้สึก แต่ส่วนใหญ่แล้วกฎหมายอื่น ส.ส.อื่น ๆ ถ้าเขาเห็นว่าไม่กระทบตัวเองและไม่กระทบฐานเสียงของตัวเอง เขาก็ไม่ค้าน แล้วก็มีนักวิชาการอยู่พวกหนึ่ง ประเภทที่โง่แต่อวดฉลาด บอกว่าเรื่องของการนับถือศาสนาต้องเปิดกว้าง ก็ใช่...ต้องเปิดกว้าง เราไม่ห้ามการนับถือศาสนา แต่คุณก็ต้องดูว่ากระทบส่วนรวมหรือเปล่า ? โดยเฉพาะว่าเมื่อเราเปิดกว้าง แล้วทำไมอิสลามเขาไม่เปิดกว้างให้เราบ้าง ? กลายเป็นว่าถึงเวลาจะเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว พอคุณจะเสียบ้างคุณก็ไม่ยอม แล้วเราจะไปเปิดกว้างเพื่อเขาทำไม ? |
ถาม : แล้วเวลาเขาเสนอวาระเขาพิจารณาแล้วผ่าน ทำไมเราไม่ทำแบบนั้นบ้าง ก็เหตุผลเดียวกัน เห็นชัด ๆ ?
ตอบ : เขาก็ส่งไปตามระเบียบของทางด้านรัฐสภาเขา ถึงเวลาก็ยื่นพิจารณาผ่านทีละขั้น ๆ ของเราเข้าไปทีไร เขาจะทุ่มเทงบประมาณและกำลังคนทั้งหมดที่มีสกัดสุดชีวิตทุกครั้ง แต่ของเขายื่นเข้ามาเราไม่มีใครค้าน ถาม : ถ้าพระค้านจะได้ไหมคะ ? ตอบ : ก็พระไปทีไรเขาก็อ้างว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ อาตมาถึงได้บอกว่า ถ้าใครนามสกุล...........ตายมา อาตมาจะไม่รับเผาให้ที่วัดท่าขนุน...! เพราะนาย..................... เป็นตัวสนับสนุนเขาเต็มที่ โดยพยายามคัดค้านศาสนาพุทธทุกอย่าง |
ถาม : ภาวนาคาถาอภิญญา ไม่รู้จะแบ่งลมหายใจอย่างไร ?
ตอบ : เอาที่ตัวเองสบายตามการหายใจเข้าออกของเรา อย่าให้รู้สึกลำบากหรือสะดุด เพราะฉะนั้น...จะแบ่งอย่างไรก็ได้ ให้พอดีของเรา ถาม : ภาวนาไปแล้ว รู้สึกว่ายังไม่เกิดผลค่ะ ? ตอบ : จะเป็นอย่างไรก็ช่าง เรามีหน้าที่ทำ ถาม : กายในจะหมุน ๆ ? ตอบ : ลักษณะแบบนั้นแสดงว่ากายในจะหลุดออกไป ถาม : ต้องตัดใจว่าตาย ? ตอบ : ตัดใจว่าตายเป็นตาย ตัดใจได้ก็ไปเลย ถาม : ตัดไปแล้ว แต่ไม่ไป ? ตอบ : เรายังตัดไม่ได้จริง ถ้าตัดได้ก็ไปแล้ว ถาม : หนูกลัวค่ะ ? ตอบ : นั่งมองไปเรื่อย อย่างไรก็ไม่ถึงตายหรอก ถ้าตายเราก็ไปพระนิพพาน |
ถาม : เวลาภาวนาจะเอาโสตัตตะภิญญาหรือพุทโธดีคะ ?
ตอบ : แล้วแต่เราสิ เจตนาจะเอาอภิญญาก็ว่าโสตัตตะภิญญา ถ้าเราต้องการละกิเลส พุทโธก็เหลือเฟือแล้ว อยู่ที่เจตนาของเราเอง ถาม : จะใช้อีกคาถาก็เหมือนใจยังไม่ชิน ? ตอบ : อาตมาถึงได้บอกทุกครั้งว่า เราถนัดแบบไหนให้ใช้แบบนั้น |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:33 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.