กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๙ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5185)

เถรี 10-09-2016 16:24

พระอาจารย์กล่าวว่า "ป้าจี๋จองควายธนูไป ได้ลองหาข้อมูลบ้างไหม ? ถ้าควายธนูต้องหลวงปู่จันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ ถ้าวัวธนูดังที่สุดต้องหลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง แล้วก็หลวงปู่คำแสน วัดสวนดอก ส่วนใหญ่แล้วต้องใช้วัตถุอาถรรพ์ พวกที่ปั้นขึ้นมาจากดิน ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นดิน ๗ ป่าช้า แต่ถ้าสานขึ้นมา ถ้าใช้ไม้ไผ่ต้องเป็นไม้ไผ่ที่ล้มขวางทางเดิน แล้วถ้ายิ่งเป็นทางช้างเดินยิ่งดี ไม้ไผ่ล้มขวางทาง ตัดมาสานหยาบ ๆ ก็พอ ตอนปลุกขึ้นมาก็กลายเป็นวัวเป็นควายทั้งตัว หรือไม่ก็บางคนใช้สายสิญจน์จูงผี หรือสีผึ้งปิดหน้าผี แต่ต้องตายวันเสาร์ เผาวันอังคารเท่านั้น

มีของหลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง ที่มีวัวธนูแกะจากเขากระทิงด้วย เพราะวัวธนูที่ใช้ครั่งพุทรานั้นหายาก ก็ต้องเอาครั่งจากกิ่งพุทราที่ยื่นไปทางทิศตะวันออกเท่านั้น แกะด้วยเขากระทิงยังหาง่ายกว่า ส่วนควายธนูของหลวงปู่จันทร์ส่วนใหญ่เป็นดินอาถรรพ์

ครูบาอาจารย์เก่ง ๆ มีเยอะ แล้วที่อัศจรรย์ก็คือฆราวาสเก่ง ๆ ก็มีเยอะมาก แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วก็ถ่ายทอดกันในตระกูล ถ้าคนไหนรู้ไปก็อ้อนวอนกันแล้วอ้อนวอนกันอีก ต้องให้ดูพฤติกรรมกันเป็นปี ๆ พอเห็นว่าไม่เอาวิชาไปใช้ในทางที่ผิด มั่นใจแล้วท่านถึงจะยอมถ่ายทอดให้"

เถรี 10-09-2016 16:26

ถาม : คนที่รู้จักกัน บ้านเขาก็มีวิชารักษาโรค แล้วก็ถ่ายทอดกันเฉพาะลูกหลาน เหมือนคนในบ้านจะมีความเชื่อว่า ถ้าไม่ใช่ลูกหลานแล้วจะสอนไม่ได้ ไม่เชื่อฟังกัน หรือฟังกันไม่เข้าใจ ?
ตอบ : ตรงนั้นก็เป็นส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็คือความหวงวิชา อยากให้เก็บไว้ในตระกูลตัวเอง หลายรายก็ปิดบังวิชาทีเด็ดเอาไว้ กลัวว่าจะไปเจอลูกศิษย์คิดล้างครูเข้า คราวนี้ปิดไปปิดมาก็ตายไปกับตัว

เถรี 11-09-2016 12:34

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีผู้ส่งจดหมายน้อยมาถามว่า ผมเป็นลูกศิษย์พระศรีวิสุทธิโมลี (ชุบ มหาวีโร) ท่านป่วยด้วยโรคมะเร็งปอด มรณภาพเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม วันนี้จะมีงานพระราชทานเพลิงศพที่วัดสระเกศ ผมติดตามกระทู้เก็บตกที่บ้านวิริยบารมี ท่านเคยพูดถึงสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม มรณภาพแล้วไปได้สวย สมกับเป็นศิษย์หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ ผมอยากเรียนถามว่าท่านเจ้าคุณชุบคติไปได้สวยเหมือนสมเด็จฯ วัดชนะสงครามหรือไม่ครับ ?

คำถามนี้ต้องแบ่งเป็นหลายประเด็นด้วยกัน ประการที่หนึ่ง...หลวงพ่อวัดท่าซุงสั่งห้ามอาตมาว่า ใครถามว่าคนตายไปไหนห้ามบอก ประการที่สอง...อาตมาไม่ได้ไปงานศพของหลวงพ่อเจ้าคุณชุบ ก็เลยไม่สามารถที่จะสัมผัสได้ว่าท่านตายแล้วไปไหน สวยหรือไม่สวย จาก ๒ ประการที่ว่ามา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้..!

หลวงพ่อเจ้าคุณชุบ อาตมาเรียกท่านว่าหลวงพี่ชุบมาตั้งแต่ต้น เรียกจนเปลี่ยนไม่ได้ สมัยโน้นหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมีมือวิ่งทำงานในกรุงเทพฯ ให้ท่านอยู่ ๓ ท่านด้วยกัน คือพระมหาชุบ วัดเลียบ พระมหาวิจิตร วัดภาวนา กับพระมหาดำ วัดขี้เหล็ก ประมาณปี ๒๕๒๖ หลวงพี่ชุบของอาตมาได้รับพระราชทานตั้งเป็นพระราชาชั้นสามัญที่พระศรีวิสุทธิโมลี อาตมาก็ไปแหย่ท่านเล่นกันว่า

“หลวงพี่ครับ ทำไมติดนายพลก่อนรุ่น ?” คือในรุ่นท่านยังไม่มีใครขึ้นเลยสักคน หลวงพี่ชุบของอาตมาท่านก็ตอบเสียงดังฟังชัดตามสไตล์ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงว่า “กูก็ไม่ได้อยากเป็นหรอก แต่มันเสือกวิ่งเต้นกันกู กูเลยทำให้มันรู้ว่า คนอย่างกูถ้าจะเอาแล้วต้องได้..!” จบ...เพราะฉะนั้นอย่าวิ่งเต้นกันอาตมานะ เดี๋ยวจะของขึ้นเหมือนหลวงพี่ชุบ..!"

เถรี 11-09-2016 12:38

"ตอนหลังหลวงพี่ชุบควรจะได้เป็นเจ้าอาวาสวัดเลียบ แต่ปรากฏว่าไม่ได้เป็น ก็เลยไปอยู่ป่าดีกว่า แม้ตอนหลังหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงคราม จะขอให้ท่านมาเป็นเจ้าอาวาสวัดราชคฤห์วรวิหาร ท่านบอกว่าคนอย่างท่านคิดทีเดียว ทำทีเดียว เรื่องอะไรที่หันหลังแล้วไม่ย้อนคืนมาอีก ท่านก็เลยไปอยู่คลองสะท้อนที่นครราชสีมา อยู่น่าจะถึง ๓๐ ปี พวกอาตมาก็แวะไปเยี่ยมไปยามท่านบ้างเหมือนกัน

แต่อาจจะเป็นเพราะว่าท่านอยู่ป่าจนเบื่อความวุ่นวายทางในเมืองแล้ว เมื่อพวกเรานิมนต์มางาน ท่านก็มักจะไม่ได้มา เมื่อไม่นานนี้ท่านก็เข้าโรงพยาบาล พวกอาตมาเห็นแล้วใจคอไม่ดี เพราะว่าท่านผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ท้ายสุดก็เป็นเหมือนกับผู้เป็นมะเร็งทั่วไป ก็คือ หมดสภาพแล้วก็มรณภาพไป

บุคคลที่ไปเยี่ยมมากที่สุดก็คือหลวงพ่อพระเทพมหาเจติยาจารย์ หรือหลวงพ่อเจ้าคุณชัยวัฒน์ เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม หลวงพ่อเจ้าคุณชัยวัฒน์ติดอยู่ที่ตำแหน่งพระศรีรัตนมุนี ๒๓ ปี หลวงพ่อเจ้าคุณท่านก็ไม่ดิ้นไม่รน ไม่ขอ ให้ก็รับ ไม่ให้ก็ไม่เอา จนกระทั่งเพื่อนร่วมรุ่นอีกท่านหนึ่งก็คือ สมเด็จพระวันรัต เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศน์วิหารปัจจุบันนี้ ขึ้นเป็นพระพรหมมุนีแล้ว ก็นึกถึงเพื่อนว่าติดอยู่นานเหลือเกิน จึงช่วยขอเลื่อนเป็นพระราชรัตนมุนี ปัจจุบันท่านเป็นพระเทพมหาเจติยาจารย์

เราจะได้เห็นว่าจริง ๆ แล้วพระที่มาทางสายปฏิบัติ เรื่องของยศของตำแหน่งจะอยู่ในลักษณะที่ว่า "ให้ก็รับไว้ ไม่ให้ก็ไม่ไขว่คว้า" บรรดาท่านประเภทนี้ก็มักจะไม่ได้รับความนิยมจากผู้บังคับบัญชาเท่าไร เพราะว่าประจบใครไม่เป็น อย่าลืมว่าหลวงพ่อสมเด็จพระวันรัตท่านเป็นสมเด็จพระราชคณะแล้ว หลวงพี่ชุบของอาตมาที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่น ยังเป็นเจ้าคุณชั้นสามัญอยู่ตามปกติของท่านนั่นแหละ เพราะว่าท่านไม่เอายศเอาตำแหน่งอะไร"

เถรี 11-09-2016 12:46

"สมัยก่อนที่วิ่งเต้นให้กับหลวงพ่อวัดท่าซุง โดยเฉพาะในส่วนที่หลวงพ่อท่านโดนใส่ความจากทางฝ่ายปกครองจังหวัดอุทัยธานี ซึ่งไม่ชอบใจที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านดังเกินหน้าเกินตา แล้วผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ ให้ความเมตตา โดยเฉพาะหลวงพ่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์วัดสามพระยา

พวกนั้นก็หาเรื่องใส่ความบ้าง ให้คนฟ้องร้องบ้าง ก็ได้หลวงพี่ชุบ หลวงพี่วิจิตร แล้วก็หลวงพี่ดำช่วยกันวิ่งเต้นให้อยู่ หลวงพี่วิจิตรชิงมรณภาพไปก่อน ตามด้วยหลวงพี่ชุบ ตอนนี้เหลือแต่หลวงพี่ดำ เป็นเจ้าคุณโสภณธรรมเมธี พวกเรารุ่นหลัง ๆ มักจะไม่ค่อยรู้จักกัน แต่ว่าท่านก็รับนิมนต์ไปที่วัดเขาวงอยู่หลายครั้ง เวลาพุทธาภิเษกก็ไปกราบท่าน ท่านก็มองหน้า "เฮ้ย...คุ้น ๆ ว่ะ" ก็คุยความหลังกันสนุกสนาน

แต่ต้องบอกว่าเสียดายหลวงพี่มหาดำ ท่านก็อยู่ในลักษณะเป็นลูกน้องใหญ่เกินหน้าเกินตาเจ้านาย เลยไปต่อไม่ได้ เนื่องจากสมัยก่อนมีค่านิยมว่า เรื่องยศของตำแหน่งจะใหญ่เกินผู้บังคับบัญชาไม่ได้ สมัยก่อนหลวงปู่เจ้าคุณพุฒิ (พระราชอุทัยกวี วัดทุ่งแก้ว) ท่านติดอยู่ที่เจ้าคุณชั้นราช ๔๐ กว่าปี เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าเจ้าคณะภาคเป็นแค่ชั้นเทพ หลวงปู่ก็เลยขึ้นไม่ได้ ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ค่านิยมเริ่มเปลี่ยน ถ้าลูกน้องเก่งสามารถแซงหน้าเจ้านายได้

ใครที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง อยากจะทราบปฏิปทาลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงที่เป็นพระภิกษุรุ่นเก่า ๆ ซึ่งแม้จะไม่ได้อยู่ในวัดท่าซุง ว่ามีปฏิปทาการทำงานปฏิบัติงานอย่างไร ก็ไปกราบหลวงพ่อเจ้าคุณดำได้ที่วัดสุวรรณคีรีหรือวัดขี้เหล็ก ไม่ใกล้ไม่ไกล อยู่แค่บางกอกน้อยนี่เอง"

เถรี 11-09-2016 12:49

"ญาติโยมบางคนที่สงสัยว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงสั่งอาตมาห้ามบอกญาติโยมที่ถามว่าคนตายแล้วไปไหน เพราะท่านบอกว่าบอกไปแล้วมีแต่เสมอตัวกับขาดทุน ไม่มีกำไร เนื่องจากว่าสมัยก่อนอาตมามักจะบอกเขาบ่อย อาตมากราบเรียนถามเหตุผลหลวงพ่อวัดท่าซุงแล้ว ท่านบอกว่า

“ถ้าคนทำดีมาทั้งชีวิต แต่ถึงเวลาก่อนตายใจเศร้าหมองแล้วลงนรก แกคิดว่าลูกหลานเขาจะมีอารมณ์ทำความดีไหม ? แล้วถ้าคนทำชั่วมาทั้งชีวิต ก่อนตายคิดถึงความดีได้ไปสวรรค์ คนก็ทำชั่วกันบรรลัยหมด..!”

ในเมื่อเป็นคำสั่งของหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาก็ไม่เคยละเมิดคำสั่งนั้น แล้วท่านอาจจะสงสัยต่อไปว่าแล้วทำไมเรื่องของหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงคราม อาตมาถึงบอก ที่บอกเพราะโยมไม่ได้ถาม..! ก็ท่านสั่งว่าใครถามห้ามบอก อาตมาก็ไม่ได้ตั้งใจจะบอกกล่าวอะไรหรอก แค่เจออะไรก็เอามาเล่าให้ฟัง...! คราวนี้โยมถามมาเลยบอกไม่ได้ ถ้าไม่ถามอาจจะบอกไปแล้ว

เรื่องของครูบาอาจารย์ท่านสั่งอย่างไรต้องทำอย่างนั้น ฉะนั้น... ๒ เรื่องที่ท่านสั่งไว้เพราะอาตมาเฮี้ยนไปหน่อย ก็คือ ห้ามให้หวย กับห้ามบอกว่าคนตายแล้วไปไหน จึงต้องทำตามที่ท่านสั่ง ทำให้หนทางทำกินหายไปเยอะเลย ไม่อย่างนั้นให้หวยสัก ๒-๓ งวดก็ไม่ต้องเสียเวลามานั่งรับสังฆทานหรอก จะเอาสตางค์สร้างวัดเท่าไรก็ได้"

เถรี 11-09-2016 12:52

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีท่านใดจะส่งเสริมงานของสมาพันธ์ปกป้องคุ้มครองพุทธศาสนา ก็ซื้อหนังสือที่ตั้งไว้ข้าง ๆ อาตมานี่ อาตมาเป็นที่ปรึกษาสมาพันธ์เขาอยู่ หาทุนให้เขา เดี๋ยวนี้จะรอให้พระคุ้มครองอย่างเดียวไม่ได้แล้ว เราต้องคุ้มครองพระบ้าง

ลองอ่านดูจะได้รู้ว่าสถานการณ์พุทธศาสนาเราในปัจจุบันย่ำแย่ขนาดไหน ศาสนาอื่นส่วนใหญ่แล้วเขาชิงออกเป็นกฎหมายแล้วได้รับการสนับสนุน ของเราจะออกกฎหมายทีไรโดนเตะสกัดสุดชีวิต ก็เลยไม่สามารถที่จะแก้ไขอะไร

ตอนนี้สิ่งที่พวกเรารออยู่ก็คือคนที่สนับสนุน ถ้ามีโอกาสเลือกตั้งก็ได้แต่หวังว่าเขาจะได้รับเลือกเข้าไปทำหน้าที่ให้ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ต้องบอกว่า คนทำงานด้านพุทธศาสนาชื่อเสียงไม่เพียงพอ เพราะมักจะเป็นคนดีเกินไป ในเมื่อเป็นคนดีเกินไป ไม่ซื้อเสียง ไม่โจมตีคนอื่น ก็กลายเป็นว่าชาวบ้านส่วนใหญ่เขาก็ไม่เลือก"

เถรี 11-09-2016 12:58

พระอาจารย์กล่าวว่า “เดี๋ยวออกพรรษาแล้วอาตมาจะทำงานใหญ่ งานใหญ่นี่ไม่ใช่งานอะไรหรอก งานเอาวัตถุมงคลของครูบาอาจารย์มาหลอม ก็ตั้งใจว่าจะทำ "ไม้ถือ" กับ "บาตรน้ำมนต์"

คราวนี้มีวัตถุมงคลของครูบาอาจารย์ที่สามารถหลอมได้ ก็คือ พวกมีดหมอ มีดตั้งแต่สมัยหลวงปู่รุ่ง หลวงพ่อเดิมลงมา หลวงพ่อกวย หลวงพ่อแจ่ม หลวงพ่อบุญมี และอีกมากมายเยอะแยะ หรือไม่ก็ยุคเก่ากว่านั้นก็ หลวงปู่บุญ หลวงปู่ยิ้ม หลวงปู่ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ ต้องบอกว่าสำนักไหนมีชื่อเสียงก็ใส่ไป อย่างน้อยก็ชิ้นหนึ่ง ถ้าสำนักไหนมีมาก ๆ อย่างหลวงพ่อกวยก็อาจจะลงไปถึง ๘ เล่ม ๑๐ เล่ม

แต่ก่อนที่จะทำอย่างนั้นก็ต้องทำพิธีขอขมาก่อน จึงกลายเป็นงานใหญ่ ไปนึกถึงว่าวัตถุมงคลแต่ละชิ้นราคาสูงมาก ถึงเวลาทำออกมาเสร็จเรียบร้อย ญาติโยมจะมีปัญญาบูชากันไหม ?”

เถรี 11-09-2016 13:11

พระอาจารย์กล่าวว่า “วันก่อนมีญาติโยมท่านหนึ่งบอกว่า มีอาการเหมือนกับถูกของมานานแล้ว ช่วยแก้ไขให้หน่อย อาตมาก็บอกว่าให้ไปหาหมอ บอกหมอว่าแก่แล้วฮอร์โมนพร่อง ช่วยจัดยาให้หน่อย เขาไม่รู้ตัวว่าเป็นวัยทอง อยู่ในวัยร่ำวัยรวยแท้ ๆ

บางคนอาการวัยทองจะมีอาการแปลก ๆ ก็เลยคิดว่าไปโดนไสยศาสตร์มา อาตมาเป็นตอนอายุ ๕๕ ปี นอน ๆ อยู่เหงื่อแตกท่วมตัวเลย ไปหาหมอ เขาบอกว่าไม่มีอะไรครับ เป็นวัยทอง เลยสงสัยว่าผู้ชายเป็นวัยทองด้วยหรือ ? เขาบอกว่าเป็นครับ พอหลัง ๓๕ ก็เริ่มเป็น เพียงแต่ว่าของพระอาจารย์ทำไมมาช้านัก มาตอนอายุ ๕๕ ปี แสดงว่าอาตมาทำบุญไว้น้อยเลยรวยช้า คนอื่นเขาวัยทองกัน ๓๕-๔๐ ปี อาตมาเป็นตอน ๕๕ ปี

ช่วงวัยทองนับเป็นวัยวิกฤตชีวิต ถ้ามีลูกมีหลานก็กำลังวัยรุ่นเลย กำลังฮอร์โมนเกิน ส่วนคนพ่อแม่หรือพี่ป้าน้าอาก็กำลังฮอร์โมนพร่อง ทะเลาะกันบ้านแตกทุกรายแหละ คนหนึ่งเกินคนหนึ่งขาด ไม่มีพอดีสักราย ฉะนั้น...ต้องปฏิบัติธรรมเพื่อให้มีสติ จะได้รู้ยับยั้งชั่งใจตนเอง ไม่อย่างนั้นอยู่ ๆ ได้ทะเลาะกันบ้านแตกสาแหรกขาดไม่รู้ตัว"

เถรี 16-09-2016 21:36

ถาม : การที่ผมยกชุดสังฆทานมาถวายหลาย ๆ ชุดโดยให้คนนั้นคนนี้ทีละชุด กับถวายทีเดียว มีผลต่างกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ต่างกันที่ง่ายกว่าหรือยากกว่าเท่านั้นเอง เมื่อเราทำบุญ บุญนั้นเป็นของเรา จะให้ใครก็อยู่ที่เราตั้งใจอุทิศให้ บุญไม่ได้มีการแยกเป็นส่วน ๆ ว่า ทำแล้วส่วนนี้ให้คนนี้แล้ว จะให้คนอื่นไม่ได้

ถาม : ถ้าต้องการจะให้แบบเจาะจง ?
ตอบ : ถ้าจะเจาะจงเมื่อทำเสร็จแล้วอุทิศส่วนกุศล ก็ออกชื่อออกนามสกุลไปทีละคน หลังจากนั้นแล้วจะให้ทั่วไปก็ได้ ต่อให้เราไม่ได้ทำใหม่ บุญเก่าที่เราทำก็มีอยู่ สามารถอุทิศให้ได้ทุกเวลา

เถรี 16-09-2016 22:56

ถาม : เราจะทราบได้อย่างไรว่าแนวทางที่ครูบาอาจารย์สอน เราจะทำได้ไหม ?
ตอบ : ทำไม่ได้ก็ต้องทำ ไม่ใช่มาพิจารณาว่าทำได้ไหม

ถาม : ทำไว้ก่อน จะทำได้หรือไม่ได้เป็นอีกเรื่องหนึ่งใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่...มัวแต่มาพิจารณาก่อนว่าทำได้ไหมก็เสียเวลาเปล่า ๆ ไม่ทำก็ไม่ทำ ทำก็ทำสิวะ..!

ถาม : ถ้าทำไปแล้ว ไม่ได้ตามผลก็ไม่เสียเปล่าใช่ไหมครับ ?
ตอบ : อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าแบบนี้เราทำไม่ได้

เถรี 16-09-2016 22:59

ถาม : ในแต่ละวันผมเห็นอะไรก็มาพิจารณาถึงความทุกข์อะไรไปเรื่อย ๆ ถูกต้องไหมครับ ?
ตอบ : ต้องทำอย่างนั้นให้เป็นปกติ

ถาม : เคยนั่งรถแล้วพิจารณาไปเรื่อย ๆ แล้วมีเสียงก้องเข้ามาในหัวว่า “ไอ้เหี้...ดัดจริต..!” ?
ตอบ : ตอบไปว่า “ดัดจริตก็เรื่องของกู ไม่ใช่เรื่องของมึง” การปฏิบัติธรรมต้องประกอบไปด้วยศรัทธา และต้องเป็นอจลศรัทธา คือมั่นคงไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด ๆ ต่อให้ครูบาอาจารย์สั่งให้เราไปตายเราก็ต้องไป คนอื่นเขาจะคัดค้านอย่างไรเราก็ไม่ใส่ใจ เพราะว่าศรัทธามั่นคงเสียแล้ว ถ้าหากว่ายังหวั่นไหวอยู่ ประเภทยังเป๋ตามเขาอยู่ ก็แปลว่าศรัทธาเรายังน้อยเกินไป

เถรี 16-09-2016 23:00

ถาม : ภาวนามยปัญญา เราต้องใช้สมาธิระดับใดถึงจะภาวนาแล้วเกิดปัญญาได้ครับ ?
ตอบ : ปฐมฌานขึ้นไป

เถรี 16-09-2016 23:03

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของการสั่งสมบารมี เพราะเราไม่ใช่บุคคลประเภทอุคฆฏิตัญญู ฟังธรรมแล้วบรรลุเลย ก็ต้องค่อย ๆ สร้าง ค่อย ๆ สมไปทีละเล็กละน้อย

ถ้าไปดูในอรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร หลวงพ่อรูปหนึ่งท่านบวชตั้งอายุ ๒๐ ปี ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติในอานาปานสติ ก็คือ พิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม โดยไม่ว่างเว้น แม้กระทั่งถ้ำที่ตัวเองอยู่มีรูปเขียนสีสวยงามอย่างไรก็ไม่เคยเห็น เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดินจงกรมพิจารณาอยู่ จน ๖๐ ปีให้หลัง คือท่านอายุได้ ๘๐ ปี สิ่งที่ท่านปฏิบัติมาไม่ว่าจะเป็นสมถะและวิปัสสนาก็รวมตัวกันเพียงพอ จึงได้บรรลุมรรคผลตอนนั้น

ฉะนั้น...ที่บอกว่าทำแล้วทำไม่ได้ นั่นทำมาครบ ๖๐ ปีแล้วหรือยัง ? พวกเราสมัยนี้ส่วนใหญ่ใจร้อนเกินไป พอใจร้อนเกินไปถึงเวลาทำได้ ๓ วัน ๕ วันไม่เห็นผลก็เบื่อ อยากจะเลิกแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็อีกหลายชาติกว่าจะได้อะไรกับเขาบ้าง"

เถรี 18-09-2016 15:32

ถาม : โยมภาวนาคาถาเงินล้านวันละ ๑๐๘ จบ ปรากฏว่าขายที่ได้ ๒ แปลง เป็นเรื่องเหลือเชื่อมากเลยค่ะ ?
ตอบ : ไม่ต้องเหลือเชื่อหรอก อาตมาสร้างวัดมา ๙ วัด ๑๐ วัดก็ด้วยพระคาถาบทเดียวนี่แหละ เพราะว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านมาบอกว่า ถ้าสามารถภาวนาได้วันละ ๑ ชั่วโมงจะสร้างโบสถ์กี่หลังก็ได้ ก็เลยอยากจะทดสอบดูว่าจริงไหม ปรากฏว่าได้จริง ๆ จะทำอะไรก็ได้ ขนาดสร้างศาลาหลวงปู่สายเขาประเมินราคาไว้ ๔๐ ล้านบาท ทำไปจริง ๘๐ กว่าล้าน ให้ไปทำต่อ...จะได้ขายได้อีก

เถรี 18-09-2016 15:53

ถาม : เมื่ออาทิตย์ที่แล้วป่วยเป็นไข้หวัด ไซนัส ปวดหัวมาก เลยจับลมหายใจ แล้วตื่นมาก็เหมือนฝัน หรือเป็นจิตหลุดไป คำถามคือกลับมานี่จิตหลุดไปหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าหลุดก็คือไปสถานที่อื่น ถ้าอยู่กับที่ก็คือทรงสมาธิอยู่ตรงนั้น เพราะฉะนั้น...เราต้องรู้เองว่าเราไปที่อื่นหรือเปล่า ถ้าไปที่อื่นก็แปลว่าออกไปแล้ว ถ้าไม่ได้ไปก็แปลว่าจิตเข้าสมาธิลึกกว่าเดิมเท่านั้นเอง

เถรี 18-09-2016 17:11

ถาม : ผมพกวัตถุมงคลติดตัว ผมอยากจะให้อานุภาพวัตถุมงคลทุกชิ้นส่งผลเวลาภาวนา ?
ตอบ : ควรจะเป็นเช่นนั้น

ถาม : ก็คือพกชิ้นใดชิ้นหนึ่งแล้วภาวนา ดีกว่าใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ดี...เพราะกำลังใจคุณห่วยแตก ต้องหลาย ๆ ชิ้นถึงจะดี

เถรี 18-09-2016 18:29

ถาม : มรณานุสติจะทำให้เป็นฌาน เราต้องพิจารณาอย่างไรครับ ?
ตอบ : พิจารณาจนถึงที่สุดแล้วภาวนาต่อ

ถาม : คำภาวนาที่เราใช้คือ ?
ตอบ : ก็แค่ต่อยอดการพิจารณาด้วยอานาปานสติแค่นั้นเอง จะใช้ "มรณัง...มรณัง" ก็ได้

เถรี 18-09-2016 20:30

ถาม : ฝึกภาวนาแล้วหลุดออกไป ผมไปที่ไหนครับ ?
ตอบ : แล้วตูจะรู้ไหม ? ตั้งใจไปไหนก็ที่นั่นแหละ ดันมาถามคนอื่น

ถาม : ถ้าเรายกจิตขึ้นพระนิพพาน แต่ผมไม่รู้ว่าได้ไปถึงพระนิพพานจริงหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ อันดับแรกให้นึกได้ก่อน ถ้าเรานึกถึงอยู่ตลอดเวลาก็เป็นอนุสติ ต่อไปถ้ากำลังของ ศีล สมาธิ ปัญญา ดีขึ้นก็จะไปได้เอง

ถาม : ถ้ายกจิตขึ้นไปได้จริง เห็นได้จริง เราจะได้ประโยชน์อะไรบ้างครับ ?
ตอบ : อันดับแรกระหว่างที่เห็น รัก โลภ โกรธ หลง ไม่มี ประโยชน์มหาศาลเพียงพอหรือยัง ? อันดับที่ ๒ ถ้าหากว่าสงสัยก็หาท่านใดที่เจอแถวนั้น ถามอะไรที่พิสูจน์ได้ในระยะสั้น ๆ แล้วกลับมาพิสูจน์ว่าจริงไหม

การปฏิบัติธรรมที่สำคัญที่สุดคือให้ รัก โลภ โกรธ หลง หมดไปจากใจของเรา การที่เราได้ไปเห็นอะไรแสดงว่าสมาธิต้องทรงตัว รัก โลภ โกรธ หลง ไม่มี ถึงจะมองเห็น แล้วกำลังใจขนาดนั้นจะไม่มีประโยชน์หรืออย่างไร ?


ถาม : ถ้าตัวเรา รัก โลภ โกรธ หลง น้อย พฤติกรรมเราเปลี่ยน ถือว่าเป็นส่วนที่เห็นได้ชัดเจนหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ขนาดนั้นถ้าคิดว่ายังไม่ชัดเจน ก็จงโง่ต่อไป..!

เถรี 18-09-2016 20:33

ถาม : เวลาที่ภาวนา ลมหายใจเบาก็รู้ ลมหายใจหนักก็รู้ แล้วถ้าลมหายใจหายไป เราต้องดึงกลับมาที่ลมหายใจ หรือ..?
ตอบ : ก็ให้กำหนดรู้ว่าลมหายใจไม่มี เหมือนกับเราขึ้นบันไดไป ๗-๘ ขั้น จะถึงขั้นท้าย ๆ แล้วเรากลับมาหาลมหายใจก็เท่ากับมาเริ่มต้นขึ้นขั้นหนึ่งใหม่ แต่ส่วนใหญ่ก็กลับมาเริ่มที่ขั้นหนึ่งใหม่ทุกทีเพราะกลัว อยู่ ๆ ไม่หายใจเลยตะเกียกตะกายไปหายใจกันใหม่ ก็ไม่ต้องไปไหนกันสักที

แสดงว่าลืมไม้ตายที่ครูให้ไว้ ครูทุกท่านจะให้ไม้ตายไว้ว่า "ถึงตายลงไปเราก็ยอม" แม้กระทั่งตอนสมาทานพระกรรมฐาน ก็บอกว่า "ขอมอบกายถวายชีวิต" แต่พอรู้สึกว่าจะตายทีไร ก็เลิกมอบกายถวายชีวิตทุกที สรุปแล้วปฏิบัติไปก็เสียเวลาเปล่า

เถรี 18-09-2016 20:36

ถาม : เราแผ่เมตตากับอุทิศส่วนกุศล ต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : เมตตาเหมือนกับเรายื่นร่มให้ในเวลาที่เขาร้อน อุทิศส่วนกุศลเหมือนเรายื่นอาหารให้ในเวลาที่เขาหิว ต่างกันไหมเล่า ?

ถาม : อย่างนี้เวลาเราภาวนาเสร็จ แล้วเราอุทิศส่วนกุศลให้กับครูบาอาจารย์ ท่านจะได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ตั้งใจระลึกถึงท่านแล้วอุทิศไปเถอะ ท่านจะรับหรือไม่รับ ใช้ได้หรือใช้ไม่ได้ก็ขอให้เราได้ทำ

ถาม : แต่ผมคิดว่าเป็นการแผ่เมตตา ?
ตอบ : ถ้าเราตั้งใจนึกถึงขอให้ท่านโมทนาบุญก็เป็นการอุทิศส่วนกุศล ถ้าตั้งใจนึกถึงท่านด้วยความหวังดีปรารถนาดีก็เป็นการแผ่เมตตา

เถรี 19-09-2016 14:38

ถาม : อากาสานัญจายตนะ อารมณ์ที่ว่าพอเปลี่ยนเป็นอรูปฌาน ระหว่างเกิดเป็นจักรวาลกับเห็นเป็นอากาศขาว ๆ อย่างไหนเรียกว่าอากาสานัญจายตนะ ?
ตอบ : ความว่าง ไม่มีอะไรเลย

ถาม : มืดอย่างเดียว ?
ตอบ : ไม่จำเป็นต้องมืด ถ้าสมาธิคุณดีจะสว่างกว่าที่คิด

ถาม : แต่ไม่มีสี ?
ตอบ : จะมีหรือไม่มีขึ้นอยู่กับสมาธิของเรา

ถาม : แล้ววิญญาณนัญจายตนะ ?
ตอบ : เอาอย่างแรกให้ได้ก่อน ถ้าอย่างแรกไม่ผ่านอันที่สองก็ทำไม่ได้

ถาม : อย่างแรกจะรู้ได้อย่างไรว่าผ่านครับ ?
ตอบ : สามารถทรงฌาน ๔ เต็มกำลังขณะที่กำหนดความว่าง

เถรี 19-09-2016 14:39

ถาม : เคยได้ยินคำว่า ฌานใช้งาน คืออะไรครับ ?
ตอบ : ฌานใช้งานคือสามารถทรงฌานได้ทุกที่ทุกเวลา จะทำอะไรอยู่ก็สามารถทรงฌานได้

เถรี 19-09-2016 14:40

ถาม : เป้าหมายของผมทางโลกคือจะสร้างธุรกิจ ระหว่างเวลาที่ผมภาวนาตอนกลางคืนระหว่างอาบน้ำ ไม่ได้นั่งเป็นชั่วโมง กับเวลาที่ผมนั่งภาวนาพระคาถาเงินล้าน ผมควรจะฝึกภาวนาคาถาเงินล้าน หรือคาถาอภิญญา ?
ตอบ : ตัดสินใจเอาเอง

ถาม : ถ้าผมจะฝึกภาวนาคาถาอภิญญา จำเป็นต้องฝึกภาวนาในห้องเงียบ ๆ หนึ่งชั่วโมง หรือฝึกในระหว่างวันได้ ?
ตอบ : ถ้าหากคุณอยากทำให้เกิดผลก็ต้องให้เวลา อยากจะสะสมเงินซื้อรถเบนซ์ แล้วให้เวลาแค่ช่วงอาบน้ำก็คงจะพออยู่หรอก..!

ถาม : ถ้าผมจะเปลี่ยนจากคาถาเงินล้านเป็นคาถาโสตัตตะภิญญา ?
ตอบ : อยากทำก็ทำ อาตมาไม่ได้เดือดร้อนอะไรด้วย

เถรี 19-09-2016 14:43

ถาม : เวลาที่กระดูกเป็นพระธาตุ อะไรเป็นเหตุครับ ?
ตอบ : อำนาจจิตของเรา

ถาม : มีคนสันนิษฐานว่า ท่านทรงสมาบัติอยู่ตลอดจนกิเลสไม่มี ทำให้ฟอกกระดูกจนเป็นพระธาตุ ?
ตอบ : สภาพจิตของท่านที่สะอาดบริสุทธิ์ เมื่อกำลังแผ่ออกไปทำให้ส่วนอื่นก็พลอยบริสุทธิ์ไปด้วย ถ้าอยากรู้ชัด ๆ ก็ทำเองให้ได้

เถรี 19-09-2016 14:47

ถาม : ความแตกต่างระหว่างอิทธิฤทธิ์ บุญฤทธิ์ พุทธานุภาพ และกฎแห่งกรรม ?
ตอบ : อิทธิฤทธิ์เกิดจากการสร้างสมมาในเรื่องของฌานสมาบัติ ด้วยอำนาจของกสิณ บุญฤทธิ์เกิดจากการสั่งสมความดีใน ศีล สมาธิ ปัญญา เอาไว้ ต่อให้ไม่ได้ฌานได้สมาบัติก็เกิดบุญฤทธิ์ได้ พุทธานุภาพเป็นทั้งอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์รวมกัน

ถาม : อะไรแรงที่สุดครับ ?
ตอบ : กรรมวิบากแรงที่สุด

เถรี 19-09-2016 14:53

ถาม : ... (ไม่ชัด) ...
ตอบ : ขึ้นอยู่กับความสามารถของเรา ถ้าหากว่าสามารถทำได้อย่างท่านจูฬปันถก ก็สามารถแยกกายมาทำหลายอย่างพร้อม ๆ กันได้ ก็แปลว่า ถ้าทำความสะอาดวัดก็เสร็จเร็ว มีคนช่วยกันทำเป็นพัน ส่วนของเราก็แค่คิดหลาย ๆ เรื่องพร้อมกันได้ แล้วอาจจะชวนให้ฟุ้งซ่านทีหลังด้วย พอถึงเวลาก็ภาวนาอาจจะเผลอแยกจิตไปคิดเรื่องอื่น เลยกลายเป็นไม่สงบอย่างแท้จริง

เถรี 19-09-2016 15:06

ถาม : ผมลดความอ้วนอยู่ได้ระดับหนึ่งแล้ว แต่อยากจะไปต่อ อยากจะขอกุศโลบายครับ ?
ตอบ : ไปภาวนาแต่ใช้วิธีวิ่งภาวนา เอาให้ได้อย่างน้อยวันละ ๓ กิโลเมตร จะใช้เวลาประมาณ ๔๕ นาทีเท่านั้น ประมาณ ๕ นาทีแรกจะเหนื่อยหน่อย แต่หลังจากนั้นจะอยู่ตัว ซึ่งจะเป็นช่วงการสลายไขมัน ไม่ต้องถึงขนาดวันละ ๑๒ กิโลเมตรเหมือนกับทหารเขาหรอก เอาวันละ ๓ กิโลเมตรก็พอแล้ว

การลดความอ้วนที่ยั่งยืนที่สุดคือการออกกำลังผลาญไขมัน ยกเว้นการว่ายน้ำเท่านั้น การว่ายน้ำนอกจากจะไม่ช่วยลดความอ้วนแล้ว ยังทำให้อ้วนหนักขึ้น การว่ายน้ำได้แค่ทำให้มวลกล้ามเนื้อกระชับตัวขึ้น แต่การที่ตัวเองแช่อยู่ในความเย็นอยู่ตลอด เลยสร้างชั้นไขมันพิเศษขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง คุณจะสังเกตได้ว่าพวกนักว่ายน้ำแต่ละคนหุ่นหนาเป็นควายทั้งนั้น พอถึงเวลาออกกำลังร่างกายจะเผาผลาญให้สลายไขมัน แล้วถ้ามีน้ำหล่อเย็นอยู่ จะไปผลาญอะไรได้ ?

เถรี 19-09-2016 17:19

ถาม : การที่เราบูชาพระด้วยเสียง จะมีอานิสงส์อะไรครับ ?
ตอบ : เชื่อกันว่าการบูชาด้วยเสียง เกิดไปกี่ชาติก็จะโด่งดัง ถ้าไม่อยากดังก็อย่าไปบูชา..!

เถรี 19-09-2016 17:19

ถาม : เราอยากได้วัตถุมงคลเกี่ยวกับด้านการงาน ?
ตอบ : หาวัตถุมงคลที่เป็นประเภทลิงหรือหนุมาน หนุมานเขารับใช้เจ้านายทุกงานสำเร็จไม่มีพลาด

ถาม : แบบนี้ก็เหนื่อยฉิบหา..เลยครับ
ตอบ : ก็ให้คนอื่นเขา เขาจะได้ทำให้เรา..!


เถรี 19-09-2016 17:24

ถาม : บทสวดขันธปริตร เกี่ยวกับอะไรครับ ?
ตอบ : สวดแสดงความเป็นมิตรต่อบรรดาสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย โดยเฉพาะพญานาคทั้ง ๔ ตระกูล

ถาม : สัตว์เลื้อยคลานประเภทไหนครับ ?
ตอบ : ทุกประเภท จะมีพิษหรือไม่มีพิษใช้ได้ทั้งหมด

เถรี 21-09-2016 14:03

พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อกวย ถ้าใครเห็นท่านลบผงแล้วจะหนาว ลบผงทะลุกระดานเลย นั่นแหละ...วิชานะปัดตลอด"

ถาม : หลวงพ่อวัดท่าซุงได้เรียนวิชานี้ไหมครับ ?
ตอบ : ท่านจะไปขอเรียน แต่ปรากฏว่าครูที่สอนคือลิเกหอมหวล พอนอกพรรษาหลวงพ่อว่าง แกก็ไปตะลอน ๆ เล่นลิเก พอถึงเวลาหลวงพ่อไม่ว่างในพรรษา แกก็หยุดพัก เลยไม่ต้องเจอกันทั้งชาติ

ถาม : ท่านลบผงได้อย่างไร ?
ตอบ : พลังจิตล้วน ๆ

เถรี 21-09-2016 14:15

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตกลงว่าวัดเราจะมีพระพุทธรูปสามกษัตริย์ ทองคำ นาก เงิน หล่อปีละองค์ เริ่มจากปีหน้า ๒๕๖๐ หล่อนาก ๒๕๖๑ หล่อเงิน ๒๕๖๒ หล่อทองคำ ไหน ๆ ก็จะทำแล้ว ทุนก็มีเยอะแล้ว ทำให้สะใจไปเลย"

เถรี 21-09-2016 14:18

พระอาจารย์กล่าวว่า "ศาสนาอื่นเขาตั้งพรรคการเมือง มีนักการเมือง มีนักกฎหมาย มีนักการปกครอง ศาสนาพุทธของเราไม่มี เราควรหาวิธีเลียนแบบเขาบ้าง"

เถรี 21-09-2016 14:19

พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "ถวายสังฆทานอย่าลืมพระพุทธรูป ถ้าลืมพระ...เดี๋ยวพระลืมเราแล้วจะยุ่ง..!"

เถรี 21-09-2016 19:11

ถาม : เบี้ยแก้ใช้ในด้านไหนครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการแก้คุณไสย กลับร้ายกลายเป็นดี ดูภายนอกอย่างนี้ไม่ได้หรอก เพราะเขาเลี่ยมปิดทึบจากร้านเดียวกัน แล้วเอาไปให้หลวงพ่อท่านจารอักขระ ต้องเขย่า...ถ้าหากว่าเขย่าแล้วดังขลุก ๆ ๆ ก็เป็นของหลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน ถ้าเสียงดังแซ่ก ๆ ก็ของหลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ

อาตมาพกเบี้ยแก้ของหลวงพ่อคำและหลวงพ่อนุ่มอย่างละตัว ดันไปวางแปะติดกับแหวนจักรพรรดิ ปรอทเลยกินแหวนเสียกระดำกระด่างกลายเป็นแหวนยาจกไปเลย เหลือแต่หัวแหวนใสแจ๋ว ปรอทนี่ใกล้ทองไม่ได้จริง ๆ นะ


ถาม : ไม่ได้เลี่ยมหรือครับ ?
ตอบ : อันนี้ก็เลี่ยม แต่ก็โดนกิน

เถรี 22-09-2016 08:22

พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยอาตมายังเด็ก รอบบ้านมีแต่พระเกจิอาจารย์ที่มีความสามารถอย่างแท้จริง หลวงปู่แตง วัดดอนยอ อยู่เขตบางเลน หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม อยู่เขตดอนตูม หลวงพ่ออินทร์ วัดสระสี่มุม อยู่เขตกำแพงแสน ตอนพุทธาภิเษก พอท่านนั่งลงขันน้ำมนต์ก็ดิ้นเลย ผู้ใหญ่ก็ผลักอาตมามุดเข้าไปดูใต้อาสนะ ว่ามีใครผูกเชือกดึงหรือเปล่า ? อาตมามุดเข้าไปข้างใต้ก็ไม่เห็นจะมีเชือกอะไร"

ถาม : ท่านไม่ได้แตะขันน้ำมนต์ ?
ตอบ : ไม่ได้แตะเลย นั่งหลับตาเฉย ๆ ขันน้ำมนต์ก็ดิ้นตึง ๆ หกไปตั้งครึ่งตั้งค่อน อาตมามุดเข้าไปข้างใต้จึงเอาหัวไปรับเลย บางทีเป็นเด็กก็ได้เปรียบ ทำอะไรผู้ใหญ่ก็ไม่ว่า

ถาม : ใช้สมาธิอย่างเดียวหรือครับ ?
ตอบ : สมาธิอย่างเดียว เขาเรียกว่าฌานฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากฌานสมาบัติ

ถาม : นครปฐม พระเกจิฯ เยอะ ?
ตอบ : เยอะมาก ช่วงนั้นที่อาวุโสสูงสุดคือ หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว, หลวงปู่เงิน วัดดอนยายหอม, หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา, หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม, หลวงปู่แตง วัดดอนยอ, หลวงพ่ออินทร์ วัดสระสี่มุม บ้านใกล้เรือนเคียง ก็มีหลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก, หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว

เถรี 22-09-2016 08:24

พระอาจารย์กล่าวกับผู้มารับวัตถุมงคลว่า "มีดหมอของหลวงปู่ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ รายการนี้ของหนักเลย พวกไม่รู้คุณค่าก็ช่างเขา เราดูรัก ดูความเก่าก็พอ ไม่ต้องดูอย่างอื่นหรอก สมัยก่อนท่านทำไม่เน้นความสวยงามเหมือนสมัยนี้ เน้นความขลังมากกว่า"

เถรี 25-09-2016 19:24

ถาม : ชอบมีคำพูดเข้ามาในหู แต่ไม่มีความหมายค่ะ ?
ตอบ : ให้สังเกตว่าตอนนั้นเรากำลังเพลิน ๆ หรือว่าสติเริ่มจะตั้งตัว พวกนี้ก็จะแทรกเข้ามา เขาเรียกว่าอาการของความเป็นทิพย์ขั้นต้น สมาธิเริ่มเข้าที่ก็จะรับพวกนี้ได้ ถ้าเลยจุดนี้ไปก็รับไม่ได้ ต้องไปให้ถึงที่สุดถึงจะรับได้อีก ฉะนั้น...เราทำสมาธิให้สูงกว่านี้นิดเดียวก็ไม่ได้ยินแล้ว

ถาม : แต่ก็ไม่มีความหมายค่ะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ไม่มีความหมาย แต่ว่าเราได้ยินแล้วไม่เข้าใจเอง ก็บอกแล้วว่าถ้าสมาธิเราถึงช่องพอดีก็จะได้ยินเอง จะได้เห็นเอง ถ้าทำสมาธิให้สูงกว่านั้นนิดหนึ่งจะไม่ได้ยิน แต่ถ้าสูงถึงที่สุดก็จะได้ยินอีกได้เห็นอีก แล้วชัดกว่าเดิมด้วย

เถรี 25-09-2016 19:26

ถาม : หนูอ่านธรรมะจากหลายฝ่ายเกินไป จนตอนนี้หนูรวน ตีกัน หนูไม่รู้ว่าจะเริ่มจากจุดไหน ?
ตอบ : รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ตั้งใจทำสมาธิให้ทรงตัว เดี๋ยวปัญญาก็เกิดเอง อย่าลืมว่าหลักที่พระพุทธเจ้าสอน คือ ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เอาที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเป็นหลัก อันไหนง่ายและสะดวกกับเราก็ทำไป


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:00


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว