![]() |
พระอาจารย์ท่านเคยปรารถถึง อารมณ์พระอรหันต์ว่า
ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์ วางเฉยในร่างกาย ยอมรับกฎของกรรม |
เถรีเคยได้ยินหลวงพ่อท่านเปรยให้ฟังว่า "การพอใจในการนวดก็จัดว่าเป็นกามอีกอย่างหนึ่ง"
|
พระท่านหนึ่งที่เป็นสายหลวงปู่มั่น (จำไม่ได้แล้วว่าเป็นท่านใด) เคยกล่าวว่า "อะไรทั้งหมดที่ท่านศึกษาในหนังสือ มันขึ้นต่อจิตทั้งนั้น ถ้าท่านยังไม่อบรมจิตของท่านให้มีความรู้มีความสะอาดแล้ว ท่านจะมีความสงสัยอยู่เรื่อยไป..."
|
วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๑ ณ กุฏิหลวงปู่สาย มีครอบครัวหนึ่งนำซองกฐินมาถวายหลวงพ่อเล็ก หน้าซองกฐินเขาเขียนข้อความอะไรบางอย่างไว้ หลวงพ่อเล็กท่านหยิบมาอ่าน แล้วก็ถามว่า "นี่ลายมือใคร?" ท่านก็ยิ้ม แล้วก็พูดบอกลักษณะนิสัยเจ้าของลายมือนี้ว่าเป็นคนอย่างไร
หลังจากนั้น ท่านจึงกล่าวว่า "ลายมือสามารถบอกถึงใจได้ จริง ๆ แล้วก็คือ การที่ใจส่งไปยังสมอง แล้วสมองก็ส่งออกมาเป็นลายมือที่บอกถึงใจ ไม่ใช่เรื่องของทิพจักขุญาณแต่อย่างใด นักวิทยาศาสตร์ชาวต่างชาติเขาก็ทำการศึกษาค้นคว้าในเรื่องนี้กัน" |
หลวงพ่อเล็กเคยบอกว่า "บุคคลที่เป็นนักปฏิบัติ ถ้าจะเอาดีได้แล้วศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาต้องเสมอกัน"
|
ถามหลวงพ่อเล็กว่า "ทำอย่างไรจึงจะประคองสติในเวลานอนได้"
หลวงพ่อท่านก็บอกว่า "ให้ดูลมหายใจเข้าออก หรือไม่ก็ให้ฟังเสียงธรรมะโดยฟังให้เข้าใจทุกประโยคทุกคำ สติมันจะถอยลงมาอยู่ที่ระดับหนึ่ง (ท่านทำมือลดลงให้ดู) แล้วมันจะหยุดอยู่แค่นั้นของมันไปเรื่อย ๆ จะไม่ตัดหลับ" |
พระอาจารย์ท่านเมตตาสอนว่า หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ท่านสอน"ดีนอกเอาไปเดี๋ยวก็หล่นหาย เอาดีในซิ.."
ดีในของท่านคือ "พุทโธ" ท่านว่า คำเดียวคุ้มได้ทั้งสามโลก.. |
ก่อนวันงานวันพิธีโสฬส มีท่านหนึ่งขอธรรมะจากหลวงพ่อ
"หลวงพ่อคะ ขอธรรมะง่าย ๆ สำหรับลูกเจ้าค่ะ" หลวงพ่อท่านก็บอกว่า "อ๋อ รักษาศีล เจริญสมาธิ ใช้ปัญญาให้เห็นไตรลักษณ์เท่านั้นแหละ" หลวงพ่อก็กล่าวว่า "ทำทั้งชาติเลย" (หัวเราะ) "จะเอาง่าย ๆ ก็เลยให้ ง่ายแต่ทำยาก" |
หลวงพ่อบอกว่า "ถ้าถามว่าสิ่งใดที่อาตมามีอยู่แล้วถือว่าสำคัญที่สุด อาตมาถือว่าพระบรมสารีริกธาตุเขี้ยวแก้วที่มีอยู่นั้นสำคัญที่สุด"
|
หลวงพ่อกล่าวถึงในเรื่องจาคะว่า "สมาธิทรงตัวสูงมากเท่าไร กำลังการสละออกของเราก็ยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น สามารถที่จะให้ได้ตลอดเวลา แม้แต่ชีวิต เลือดเนื้อ ร่างกาย ถ้ามีคนต้องการมันก็สละให้ได้"
|
ท่านยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า "แม้ร่างกายถ้าเราสละถึงที่สุด ชีวิตนี้ก็สละได้เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ถ้าอย่างนั้นตัวจาคานุสติคือการสละออกของเรา จะมีผลเต็มที่คือท้ายสุดเข้าสู่พระนิพพาน"
|
หลวงพ่อท่านบอกว่า "รักกับโลภ เป็นตัวเดียวกัน เพราะรักจึงอยากมีอยากได้ มันทำให้จิตใจของเราถูกหน่วงเหนี่ยว ยึดแน่นอยู่กับทรัพย์สินและร่างกายของตนเองและผู้อื่น ดังนั้น มันยิ่งหน่วงเหนี่ยวเรามากเท่าไหร่ เราก็สละออกยากเท่านั้น แต่ถ้าเราสละได้มันจะเกิดปีติ คือ ปลื้มใจ อิ่มใจ"
|
หลวงพ่อสอนว่า " ในเมื่อเราสละวัตถุสิ่งของได้ เราก็สละอารมณ์ไม่ดีในใจของเราได้ ค่อย ๆ ละมันออกไปด้วยกำลังของสมาธิ"
|
หลวงพ่อบอกว่า "การปฏิบัตินั้นเราจะทิ้งของเก่าไม่ได้ อันไหนเคยทำได้แล้ว ต้องทบทวนเอาไว้เสมอ ๆ เพื่อความคล่องตัว"
|
หลวงพ่อสมปองเคยปรารภว่า อยากจะบันทึกคำสอนของหลวงพ่อพระราชพรหมยานไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษากัน คิดถึงแม้กระทั่ง จะบันทึกไว้บนแผ่นศิลาแล้วเก็บรักษาไว้ให้ชนรุ่นหลัง เพื่อชนรุ่นหลังจะได้รู้ว่า หลวงพ่อสอนอย่างไร คณะของหลวงพ่อจึงไปนิพพานกันหมด
|
โดยส่วนตัวผมมั่นคงในพระรัตนตรัยเต็มหัวใจ รอดพ้นจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็หลายครั้ง แต่ในทุกครั้งผมจะนึกถึงกฏแห่งกรรมไว้ก่อน เพราะองค์สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรัสสอนว่า สัตว์โลกทั้งหลายเป็นไปตามกรรม ไม่มีใครหลีกพ้นกฏแห่งกรรมได้ แม้แต่ตถาคตเอง" (อ้างอิงมาจากหนังสือคุณลุงหมอสมศักดิ์) คิดเสมอว่าถ้าถึงที่ตายก็พร้อมตาย เพราะมั่นใจใน ทาน ศีล ภาวนา(แม้จะเล็กน้อย) ว่าได้ทำมาเต็มหัวใจแล้วเท่าที่จะทำได้ แม้จะไม่เต็มกำลังบารมี ๑๐ ที่สมควรจะมี
|
แต่ละเนื้อความที่พระอาจารย์บอกสอนไว้นั้น ท่านเมตตากล่าวซ้ำให้ฟังกันนับครั้งไม่ถ้วนครับ
|
หลวงพ่อเล็กบอกว่า "จิตของคนเราถ้าไม่ควบคุมเอาไว้ภายในให้ดี มันจะส่งส่ายออกนอกตามความเคยชิน แล้วเที่ยวไปเสวยอารมณ์ต่าง ๆ ซึ่งมักจะคิดกันว่าดี ความจริงมันแส่ไปหาทุกข์ให้ตัวเองทั้งนั้น"
|
โอวาทหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ "ศรัทธานะดี แต่ต้องมีปัญญาประกอบด้วย"
|
หลวงพ่อบอกว่า "บรรพชิตพึงพิจารณาเนือง ๆ ว่า ความเป็นอยู่ของเราเนื่องด้วยผู้อื่น เราต้องทำตนเป็นผู้เลี้ยงง่าย
ภิกษุสงฆ์ต้องทำตัวเหมือนผึ้ง ดื่มน้ำหวานแล้วบินไปโดยดอกไม้ไม่ชอกช้ำ" |
ถ้านิมิตเห็นงู หลวงพ่อเล็กบอกว่า "งู ถ้าไม่ใช่หญิง ก็หมายถึงกิเลสตัวร้ายในใจของเราเอง"
|
หลวงพ่อบอกว่า "โภชเนมัตตัญญุตา (การรู้จักประมาณในการกิน) ถ้าคำแรกอร่อยเมื่อไร คำที่สองต้องระวังให้มากไว้ มันจะกลายเป็นกินตามใจกิเลส!"
|
หลวงพ่อเล็กบอกว่า "การรักษาระเบียบวินัยที่เป็นของหยาบยังทำไม่ได้ แล้วการเข้าถึงธรรมที่เป็นของละเอียดจะเข้าถึงได้อย่างไร?"
|
หลวงปู่จันทร์ วัดเจดีย์หลวง ท่านบอกเอาไว้ว่า "ถ้าอยากดัง ก็อย่าหวังความสงบ!"
|
ในงานวันอาสาฬหบูชาที่ผ่านมา มีคนถวายทองคำบูชาพระเขี้ยวแก้วเป็นจำนวนมาก หลวงพ่อเล็กบอกว่า "ถ้าเผลอเกิดใหม่เป็นผู้หญิงก็จะมีเครื่องมหาลดาปสาธน์เหมือนนางวิสาขา ถ้าเกิดเป็นผู้ชายได้พบพระพุทธเจ้า แล้วอุปสมบทเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา จะมีจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ลอยมาสวมตัวให้"
|
หลวงพ่อเล็กกล่าวว่า "ตัวมโนมยิทธินั้นมีทั้งจุดเด่นและจุดด้อยอยู่ในที่เดียวกัน ก็คือเห็น พอเห็นก็มั่นใจว่าต้องเป็นอย่างนั้น แล้วก็ไม่ค่อยใช้ปัญญาตรองดู จำไว้ว่า..ถ้าหากรับฟังสิ่งใดมาก็ตาม แล้วรู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล ก็ให้ไปเทียบกับคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือไม่ก็เทียบกับคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง ถ้าออกนอกทางเมื่อไร ชักเท้ากลับได้เลย"
|
หลังงานทำบุญอายุวัฒนมงคล ๘๐ ปี พระเทพเมธากร เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี วัดท่ามะขาม หลวงพ่อเล็กได้กล่าวกับพระวัดท่าขนุนด้วยกันว่า :onion_wink: "เรื่องพวกนี้เราดูแล้ว ถ้ารู้จักสลดใจ ก็ให้นำมาปรับปรุงกาย วาจา ใจของเรา แต่ถ้าไม่รู้จักสลดใจ แถมยังรักษาอารมณ์ใจไม่เป็น เราก็จะเตลิด วันนี้อุตส่าห์ยอมยื่นอาหารให้กิเลสมันกินหน่อยหนึ่ง(ให้ไปออกงานด้วย) ไม่อย่างนั้นมันจะอกแตกตาย พอกิเลสมันได้กินแล้ว ก็ภาวนาต่อได้ จริง ๆ แล้วมันหลอกเรา คือ เราสั่งสมกำลังของเราเพื่อที่จะเอาไว้ฆ่ากิเลส หรือไม่ก็เพื่อที่จะเอาไว้ส่งตัวเราเองให้พ้นจากวัฏสงสาร แต่มันหลอกให้เราเสียพลังงานไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มันรั่วหมด กำลังก็เลยไม่พอใช้งานสักที แล้วเราก็เต็มใจจะรั่วด้วย มันจึง โอ๊ย..! เครียดจะตายอยู่แล้ว พอเราเชื่อว่ามันจะตาย เราก็เลยปล่อย พอปล่อยแล้วสบาย ก็เลยปล่อยมันอยู่เรื่อย ความจริงความรู้สึกที่ว่าจะตายแล้วนี่ กิเลสมันจะตายนะ ไม่ใช่เราจะตาย พอกิเลสมันกำลังจะตายแล้ว เราก็ดันไปเชื่อ แล้วก็คิดว่าเราจะตาย ก็เลยไปหยุด มันก็เลยไม่ตายสักที เรื่องพวกนี้ค่อย ๆ ดู ค่อย ๆ ทำไปเถอะ ได้นิดได้หน่อยเก็บสะสมเรื่อย ๆ เดี๋ยวได้มากเอง" :onion_wink:"เรื่องของการปฏิบัติ จริง ๆ แล้วเราต้องทุ่มเทกับมัน โดยเฉพาะการปฏิบัติที่ต่อเนื่อง เป็นเคล็ดลับที่สำคัญที่สุด ถ้าทิ้งช่วงเมื่อไรกิเลสมันเข้าได้ มันกลืนได้ เพราะฉะนั้น..เรื่องพวกนี้สำคัญที่เราต้องสู้จริง ๆ ไม่ใช่ถึงเวลาที่ว่าจะตาย เราก็คิดว่าจะตาย" :onion_wink: "เรื่องของธรรมเนียมเป็นเรื่องเราต้องรู้ไว้ ถึงเวลาจะใช้ได้ อย่างเช่นว่า การตั้งตาลปัตรเทศน์ ตาลปัตรต้องอยู่ซ้ายมือเสมอ คัมภีร์เทศน์จะต้องอยู่ขวามือ กระโถนก็อยู่ขวามือ แต่อยู่เยื้องไปข้างหลัง เรื่องพวกนี้ถ้าเรารู้ก็จะทำได้ถูก ถ้าไม่รู้ก็จะทำผิด" |
เถรีได้ยินหลวงพ่อพูดถึงเรื่องการสร้างวัตถุมงคลว่า "เดี๋ยวนี้เขาเห็นการสร้างพระเป็นของเล่น จึงได้สร้างเอา ๆ เพราะคิดว่าจะได้บุญ บุญนั้นก็ได้ แต่กรรมที่จะต้องไปใช้นี่สิ..!"
กุมภา ๕๓ |
หลวงพ่อบอกว่า "ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นบ่อเกิดของกิเลสทั้งนั้น"
มกรา ๕๓ |
ในเนื้อเพลงมะเมียะ มีการสยายผมลงเช็ดพระบาท
เจ้าชายผู้เป็นดวงใจ สะท้อนถึงวัฒนธรรมประเพณี ชาวเหนือแต่โบราณ ที่ดูเหมือนผ่านตาพระอาจารย์ เคยเมตตาเล่าไว้ว่า...อันกุลสตรีชาวเหนือนั้น แสดง ความภักดีต่อสามีอย่างสูงสุดด้วยการปล่อยผมของ ตนลงเช็ดเท้าให้ |
หลวงพ่อ : พรหมวิหารสี่แก้ราคะได้อย่างไร?
เถรี : .............. หลวงพ่อ : ในเมื่อเราเห็นว่าทุกข์ เรารักเขาก็อย่าไปสร้างทุกข์ให้เขา สงสารเขาก็อย่าไปไปสร้างทุกข์ให้เขา ไม่ไปผูกเวรผูกกรรมกับใครเขา เถรี : :154218d4: กุมภา ๕๓ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทุกครั้งที่อารมณ์ทรงตัวได้ดี ให้คิดว่าเป็นโอกาสของเราแล้ว รีบพยายามกอบโกยให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อที่ถึงเวลาแล้ว จะได้ไม่ต้องเสียเวลามานั่งทำกันใหม่อีก"
กันยา ๕๑ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระศรีอาริยเมตไตรย ท่านสงเคราะห์หลวงพ่อหลายวาระ โดยผ่านร่างทรงชื่อว่า ปรีชา ทรงธรรม พวกเราต้องเคยได้ยินชื่อ
ท่านบอกว่าท่านจะสงเคราะห์อย่างไร ช่วยอย่างไร ถึงเวลานั้นจะเอาของมาถวาย และก็เป็นไปตามนั้นจริง ๆ ท่านนั่งคุยกันอยู่ข้างบน แต่คนข้างล่างเอามาถวายแทน ท่านเป็นร่างทรงที่พระศรีอาริย์ให้การสงเคราะห์โดยเฉพาะ ไม่ได้ทรงเปะปะอะไรทั่วไป เป็นการสงเคราะห์เฉพาะคนเลย และท่านก็พยากรณ์เกี่ยวกับวัดท่าซุงไว้หลายอย่าง...ซึ่งตรง" ถาม : อยากรู้ครับ ตอบ : ถ้าบอกได้บอกไปแล้ว ตุลา ๕๑ |
งานพิธีเป่ายันต์ ปี ๒๕๕๑ พระอาจารย์กล่าวว่า " การที่เราจะทำ ความดีอะไร ที่จะให้ในหลวงทรงมีกำลังใจ ที่จะอยู่นาน ๆ ก็คือ การที่เราสร้างความดี ใน ศีล สมาธิ ปัญญา ที่ในหลวงทรงโปรดที่สุด เพราะพระองค์ท่านทรงปฎิบัติมาทั้งชีวิต"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า " ผู้ที่แสวงหาทางหลุดพ้น คือ ผู้ที่เห็นภัยของสังสารวัฏ"
กรกฎา ๕๑ |
พระอาจารย์ท่านสอนว่า "สำหรับนักปฏิบัติแล้ว จะงานเล็กงานใหญ่ทุ่มเทกำลังเท่ากัน เพื่อความไม่ประมาท งานเล็กถ้าทุ่มเต็มที่ก็เสร็จเร็ว งานใหญ่ทุ่มเต็มที่เดี๋ยวก็เสร็จเอง และถ้าไม่เสร็จ....การทุ่มเทเต็มที่ก็เป็นคำตอบแก่ตัวเองอยู่แล้ว"
|
พระอาจารย์เคยบอกว่า "ในการพูดธรรมะให้ผู้อื่นฟัง การที่จะทำให้คนอื่นฟังเข้าใจได้ง่าย อยู่ตรงที่ว่า สามารถเรียงลำดับเรื่องราวได้หรือไม่ ?
อย่างแรก ต้องมี อุเทศ คือ รู้ว่าธรรมะที่เราจะกล่าวนั้น มาจากที่ใด ? เกิดขึ้นด้วยเหตุใด ? เหมาะแก่จริตผู้ฟังนั้นหรือไม่ ? อย่างที่สอง ต้องมี นิเทศ คือ ต้องขยายเนื้อความธรรมะนั้นให้แตกออกอย่างกว้างขวางได้ อย่างที่สาม ต้องมี ปฏินิเทศ ต้องย่อสรุปในธรรมะนั้นในตอนท้ายให้ได้ ท่านบอกว่า บางทีพูดยาวไปเรื่อย คนฟังจะจับใจความไม่ได้ เราก็ต้องมาสรุปให้เขาฟังอีกที พระทั่วไปไม่พ้นจากการใช้วิธีการนี้หรอก" มกรา ๕๒ |
พระอาจารย์เคยบอกว่า "ในบรรดาสังขารทั้งหลาย จิตสังขาร น่ากลัวที่สุด เรามักไปปรุงแต่ง คิดเอาไว้ก่อน"
จิตสังขาร = การปรุงแต่งของจิต ตุลาคม ๕๑ |
หลวงพ่อหยิบ หนังสือมนต์พิธี (เล่มสีเหลือง)ให้ แล้วสั่งให้เปิดไปที่หน้า ๗๓ บรรทัดที่ ๑
ท่านบอกว่าเป็นคาถาแก้เขินอาย ท่องคาถานี้แล้วจะแกล้วกล้า อาจารย์ให้คาถานี้หลวงพ่อมาอีกที หลวงพ่อจะใช้สวดก่อนที่จะขึ้นปาฐกถาธรรม คาถานี้คือ สีหะนาทัง นะทันเต เต ปะริสาสุ วิสาระทา มิถุนา ๕๑ |
หลวงพ่อบอกให้มารับหนังสือมนต์พิธี ท่านบอกให้เปิดไปที่หน้า ๓๑ คาถาเมตตานิสังสะสุตตะปาโฐ
ท่านบอกว่า ถ้าสวดคาถานี้แล้ว ใจจะสงบ ไม่ครั่นคร้าม ไปที่ใดจะมีแต่ภูตผีเทวดาเมตตา หน้า ๖๓ ก็เช่นกัน คาถากะระณียะเมตตะสุตตัง ท่านยังบอกให้เปิดไปที่หน้า ๗๒ ตั้งแต่ "นะโม เม สัพพะพุทธานัง" ไปจนถึง "โคตะโม สักยะปุุงคะโว" เป็นคาถาที่เอ่ยถึงพระนามของพระพุทธเจ้าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ท่านบอกให้สวดคาถานี้ด้วย สิงหา ๕๑ |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 11:33 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.