![]() |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนแรกตั้งใจว่าพอสอบพระอุปัชฌาย์ได้ ขี้เกียจบวชพระบ่อย ๆ ก็จะบวชปีละครั้งเดียว เพราะฉะนั้น...จึงออกกำหนดการของปี ๒๕๕๙ มา ไม่มีบวชพระ ๔ ครั้ง โดนหลวงพ่อวัดท่าซุงด่าจมดินเลย ท่านบอกว่า “อะไรที่กำหนดให้นั้น พอเหมาะพอดีอยู่แล้ว อย่าไปเปลี่ยนแปลง คนเราไม่ใช่ว่ามีเวลาว่างมากมายเหมือนกับที่แกต้องการ แกจัดปีละ ๔ ครั้ง เขาว่างหรือสะดวกช่วงไหนเขาก็บวชได้ แต่แกเล่นไปกำหนดทีเดียวว่า อยู่วัดก่อน ๗ วัน บวชอีก ๑๕ วัน ใครเขาจะอยู่ได้นานขนาดนั้น เดี๋ยวก็โดนไล่ออกจากงานไปเท่านั้น” ท้ายสุดก็เลยต้องเหมือนเดิม ถ้าหากว่าอาตมาจะจัดบวชอะไรค่อยว่ากันอีกที
ช่วงที่ผ่านมามีแต่งานทุกวัน โดยเฉพาะอบรมก่อนสอบนักธรรมชั้นตรี ๑๐ วัน แล้วก็สอบ ๔ วัน จากนั้นก็มาอบรมก่อนสอบนักธรรมชั้นโท ๑๕ วันสอบอีก ๔ วัน สอบธรรมศึกษาอีก ๑ วัน โอ้พระเจ้า...หมดไปหนึ่งเดือนเต็ม ๆ ไม่ได้ทำอะไรเลย โดยเฉพาะเป็นหัวหน้าวิทยากรในการอบรม ยังพูดขำ ๆ กับนักธรรมชั้นโทชั้นเอกว่า นี่คณะสงฆ์ทองผาภูมิเห็นความสำคัญของพวกคุณมาก ถึงขนาดส่งพระด็อกเตอร์มาอบรมพวกคุณเลย อำเภออื่นยังไม่ส่งวิทยากรระดับนี้ แต่ว่าสถิติทำให้เห็นชัดว่าสอบได้ถึง ๙๘ เปอร์เซ็นต์ คำว่า ๙๘ เปอร์เซ็นต์ก็คือ ๑๐๐ ตกแค่ ๒ จากที่ ๑๐๐ เคยตก ๕๐" ถาม : เป็นเพราะอาจารย์เป็นด็อกเตอร์ ก็เลยตกแค่นี้ ? ตอบ : ไม่ใช่...เป็นเพราะว่าเอาข้อสอบเก่ามาให้ซ้อมทำ แล้วไปตรงกับที่เขาออก เอาให้เขาซ้อมทำ บังเอิญตรงกับที่เขาออกพอดี พอประกาศผลนักธรรมชั้นตรี คราวนี้ยิ้มหน้าบานกันทั้งวัดเลย ที่เจ็บปวดที่สุดก็คือวัดท่าขนุน ส่งไป ๘ รูปตกไป ๑ ความจริงไม่มีโอกาสตก แต่กลับตกได้ วันก่อนพระครูสุกิจกาญจนโสภิต ถามว่า “อาจารย์พระครู ลูกศิษย์ตกได้อย่างไร ?” บอกว่า “ก็น่าจะเป็นลูกศิษย์อาจารย์นั่นแหละ” เขาบอก “ไม่ใช่” “ใช่สิ...ต้องเอาของเขาไปลอก แล้วส่งคืนมาไม่ครบแผ่นแน่เลย” พอแหย่คืนไปท่านก็สะดุ้งเลย เพราะสมุห์กอล์ฟก็เคยโดนมาแล้ว เขาเคยโดนพวกเอาไปแยกชิ้นส่วน ๓ ชิ้น ถึงเวลาต่างคนต่างลอก พอส่งคืนไปไม่ครบ นั่นแหละคนลอกสอบได้ทุกคน แต่ต้นฉบับตก หลังจากนั้นเป็นต้นมาต้องสั่งเลย อย่ารีบเสร็จ โดยเฉพาะพวกลายมือดี ๆ ถ้ารีบเสร็จโดนเอาไปลอกหมด |
ถาม : ผมนั่งภาวนาไปสักพัก ความรู้สึกเหมือนกับตัวเบ่งกล้ามครับ ผมสงสัยว่าหายใจไหม ก็เลยเอายาดมไปจ่อที่จมูก ต่อมาก็รู้สึกเย็นที่จมูกครับ ?
ตอบ : สมาธิเริ่มทรงตัว จิตกับประสาทเริ่มแยกออกจากกัน เป็นอาการปกติของการปฏิบัติ ถ้าเราไม่กลัว ให้กำหนดใจสบาย ๆ รับรู้เฉย ๆ ว่าตอนนี้เป็นอย่างนั้น ก็จะก้าวข้ามไปสู่สมาธิที่ลึกกว่าได้เอง แต่ส่วนใหญ่แล้ว เราไปรักตัวกลัวตาย จะทำให้ไปกังวลกับตรงนั้น แล้วก็ติดอยู่แค่นั้นแหละ ถาม : ผมสงสัยคำภาวนาครับ ถ้าเราสวดมนต์พร้อมออกเสียง จะถือว่าเป็นการภาวนาไหมครับ ? ตอบ : เป็น...คำว่าภาวนาคือทำให้เจริญ อะไรที่ทำให้กาย วาจา ใจ ดีขึ้น ถือว่าเป็นการภาวนาทั้งหมด |
ถาม : อยากไล่หมาไล่แมว ต้องวางอารมณ์แบบไหนไม่ให้เกิดโทษครับ เพราะบางทีหมาแมวก็ไม่กลัวครับ ?
ตอบ : อย่างอาตมาไปไล่ โดนเลียหน้าแผล็บ ๆ เขารู้ว่าไม่ได้ดุจริง ก็ไปหาไม้หาอะไรมาฟาดพื้นไปสิ ถึงเวลาเห็นไม้เขาก็เผ่นเองแหละ |
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนครูต้องคัดนักเรียนเป็นห้อง ก. ห้อง ข. เอาคนที่มีความสามารถใกล้เคียงกันไปเรียนอยู่ด้วยกัน จะได้ไม่กดดันคนที่เรียนอ่อนกว่าและไม่ทำให้คนเก่งเขาเบื่อ แต่พอคนเก่ง ๆ มาอยู่ด้วยกันก็แข่งขันกันน่าดูเลย
ทางโรงเรียนของอาตมา ครูเขาตั้งเก้าอี้ไว้ ๒ ตัว มีคิงส์กับควีน เก่งที่สุดฝ่ายผู้หญิงไปนั่งโต๊ะควีน เก่งที่สุดฝ่ายผู้ชายไปนั่งโต๊ะคิงส์ อาตมาก็ต้องพยายามยึดเก้าอี้เอาไว้ให้ได้ คนอื่นก็ต้องพยายามแย่งให้ได้ เพราะถ้าเทอมต่อไปสอบไม่ได้ที่ ๑ คนอื่นที่ได้ก็ต้องไปนั่งตรงนั้นแทน จากคนที่เคยนั่งตรงนั้น พอไปนั่งที่อื่นแล้วไม่ชิน เลยต้องยึดเอาไว้ให้ได้ ฝ่ายผู้หญิงเขาเปลี่ยนกันบ่อย อาตมาเคยโดนยึดอยู่ครั้งหนึ่งตอนเรียน มศ.๓ ตอนพ่อตาย ไปงานศพพ่ออยู่ ๑๐ วัน หลังจากนั้นรู้สึกเวิ้ง ๆ อย่างไรไม่รู้ ไม่กระตือรือร้นที่จะเรียน เทอมนั้นเลยโดนเขายึดไป ฝ่ายผู้หญิงเขาเปลี่ยนกันบ่อย เขามีอยู่ ๔-๕ คนที่ความสามารถใกล้เคียงกัน ส่วนฝ่ายผู้ชายหายาก พอเริ่มเป็นวัยรุ่นแล้วไม่ค่อยสนใจเรียน คนบ้าเรียนมีอยู่ไม่กี่คน หาคนอื่นแทนยาก ที่อัศจรรย์ก็คือส่วนใหญ่ที่เรียนเก่ง ๆ เป็นลูกจีนทั้งนั้นเลย ใช้แต่แซ่ เหมือนอย่างกับลูกไทยเขาไม่กระตือรือร้นที่จะเรียน บางคนรู้สึกว่าเป็นภาระเสียด้วยซ้ำ เรียนไปทำไม เดี๋ยวก็กลับไปทำนา ส่วนลูกจีนอย่างอาตมาพ่อแม่กรอกหูอยู่ตลอด ต้องเรียนให้เก่ง ๆ ไว้ ไม่รู้หนังสือทำอะไรก็เสียเปรียบเขา พอเคยชินกับการเรียนอะไรที่ง่าย ๆ เห็นเด็กคนอื่นเขาเรียนยาก ทุกข์ทรมานแล้ว รู้สึกเหนื่อยแทน" |
"เด็กที่วัดเขาเรียนปริญญาตรีตอนที่อาตมาเรียนปริญญาตรีเทอมสุดท้าย จนอาตมาจบปริญญาเอกแล้วเขายังไม่จบตรีเลย เขาเรียนที่สุโขทัยธรรมาธิราช เทอมแรก ๆ เขาไม่มีแนวทางเลย จึงสอนเขาว่าต้องดูหนังสืออย่างไร ต้องวิเคราะห์อย่างไร หัวก็ไม่ไป ท้ายสุดน้องเล็กเขาช่วยเข้าไปในเว็บ แล้วไปโหลดคำบรรยายของอาจารย์มาให้เขาฟัง เขาถึงจับจุดได้ เพราะว่าเรียนโดยอ่านหนังสือเอง ถ้าไม่ใช่คนแม่นจริง ๆ จะจับจุดไม่ได้ว่าวิชานี้สอนอะไร ถ้าไม่เข้าใจตรงนี้แล้วไม่มีอาจารย์อธิบายก็ไปไม่เป็น
ตอนนี้กำลังเรียนวิชาสุดท้ายอยู่ ถ้าลงวิชานี้ก็จะจบ บอกเขาว่าถ้าจะต่อโทหลวงพ่อจะส่งให้ พูดง่าย ๆ คือ ทั้งหมู่บ้านของเขายังไม่มีใครจบปริญญาตรี เป็นเด็กมูเซอ บอกว่าถ้ามีเวลาก็เรียนต่อ ถ้าเรียนแบบหลวงพ่อแค่ ๒ ปีก็จบปริญญาโทแล้ว ถ้าจบโททั้งหมู่บ้านคงไม่มีใครตามไหว จะกลายเป็นขึ้นคานหรือเปล่า ? เพราะปีนี้เขาอายุ ๒๔ ปีแล้ว" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ไปคุมกรรมฐานของนิสิต มจร. ระดับปริญญาตรีวันที่ ๑๗-๒๖ ธันวาคม ส่วนของปริญญาโทเริ่มวันที่ ๑๗ ธันวาคมไปเลิกเอาสิ้นเดือนพอดี กรรมฐานของปริญญาโท ๑๕ วัน ต้องหาทางให้เขาเลิกวันที่ ๓๐ ธันวาคมให้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วอาตมากลับไปจัดสวดมนต์ข้ามปีไม่ทัน พอสวดมนต์ข้ามปีเสร็จก็ต้องเตรียมมานั่งรับสังฆทาน ขณะเดียวกันก็ต้องไปพระสอบอุปัชฌาย์ จะปลีกตัวอีท่าไหนวะ ?
วันที่ ๒๓ ธันวาคมนี้ ต้องไปเฝ้าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระองค์ท่านเสด็จไปเปิดพุทธยานหลวงพ่อพระยืนองค์ใหญ่ที่ห้วยกระเจา ทางนั้นหาพระไปเจริญชัยมงคลคาถาและพุทธาภิเษก จริง ๆ แล้วการเจริญชัยมงคลคาถาเขาต้องเอาเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัดมา แต่ดันมีชื่อพระครูวิลาศกาญธรรมไปด้วย แล้วพระปลุกเสกอีก คนอื่นเขาเจองานเดียว เราเจอ ๒ เด้ง" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตั้งแต่หลวงพ่อวัดท่าซุงเปิดสมเด็จองค์ปฐมเป็นสาธารณะ คนรู้จักก็สร้างกันไปเรื่อย แต่อีกจำนวนมากก็ยังไม่รู้จัก แม้กระทั่งพระผู้ใหญ่ฝ่ายการปกครองที่อาตมาไปขออนุญาตสร้าง ส่วนใหญ่ก็ไม่รู้จัก ไปรู้จักพวกเราระดับล่าง ๆ บางทีท่านก็ไปยืนมองงง ๆ "เรียกว่าอะไรนะ องค์ปฐมหรือ ?" บอกท่านว่าคือพระพุทธเจ้าองค์แรกของโลก พวกเราเลยเรียกสมเด็จองค์ปฐม ท่านถึงเข้าใจ บางท่านก็แสดงภูมิรู้ว่ายุคนี้ยุคของพระสมณโคดม แล้วทำไมเราไม่สร้างองค์ปัจจุบัน ?
เดี๋ยวนี้ที่หน้าวัด รถแวะกันทั้งวัน เพราะว่าจอดพักก่อนขึ้นสังขละบุรีได้ ไปถ่ายรูปสมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่ ไปเข้าส้วม ไปซื้อน้ำ ตรงเข้าส้วมนี่แหละสำคัญ" |
พระอาจารย์เล่าว่า "เคยอ่านพระไตรปิฎก อักโกสกพราหมณ์ด่าพระพุทธเจ้า มีอยู่ประโยคหนึ่งบอกว่า "พระสมณโคดมเป็นผู้ที่ไร้รสชาติ" คำด่าประเภทนี้สมัยนี้ไม่เจ็บไม่คัน แต่สมัยนั้นน่าจะเป็นคำด่าที่เจ็บแสบมาก พระพุทธเจ้าตรัสว่าอักโกสกพราหมณ์ด่าถูก เพราะพระองค์ปราศจากรัก โลภ โกรธ หลง แล้วจึงไม่มีรสชาติอะไร
อาตมามานึกถึงตัวเอง สมัยแรกช่วงที่ทำงานใหม่ ๆ สิ่งที่อยากได้คือบ้าน สมัยนั้นบ้านจัดสรรพร้อมที่ดิน ๖๐ ตารางวา ราคาหลังละ ๒ แสนบาท ได้ยินแล้วอย่างกับฝันไป เดี๋ยวนี้มีแต่ ๔-๕ ล้านบาทขึ้น พยายามเก็บเงินจนได้ ๒ แสนบาท ปรากฏว่าบ้านขึ้นเป็น ๓ แสนกว่าบาท อาตมาเป็นคนที่ไม่ชอบซื้อของเงินผ่อน พอเก็บไป ๓ แสนกว่าบาท ก็ขึ้นเป็น ๔ แสนบาท ท้ายสุดก็หมดอยากที่จะซื้อ พอมาบวชเลยดีใจที่ตัวเองไม่มีบ้านของตัวเองจริง ๆ อย่างทุกวันนี้พระครูแสงน้องชายก็เครียดเรื่องบ้าน แกซื้อไว้ตอนที่กลับมาจากซาอุดิอาระเบีย ซื้อเงินสดสมัยนั้น ๘ แสนบาท บ่นหัวฟัดหัวเหวี่ยงทุกครั้งที่ไปดู บอกว่าคนเช่าไม่ดูแลให้เลย ปล่อยบ้านโทรมจนดูไม่ได้ เลยรู้สึกดีใจที่หมดอยากที่จะมีบ้าน แต่มาดีใจว่าไม่มีบ้านแทน" |
"มีอยู่ยุคหนึ่งเห็นรถยนต์ยี่ห้อไหนสวย ๆ ก็อยากได้ไปหมด แต่พอทำงานเก็บเงินจนกระทั่งมีพอที่จะซื้อรถ เหมือนกับหมดอยากไปเฉย ๆ คล้าย ๆ กับว่าสิ่งที่เราไม่สามารถที่จะหามาได้ ก็ไปดิ้นรนไขว่คว้า พอมีปัญญาที่จะได้ก็หมดอยาก เรื่องนี้อาตมาสังเกตตัวเองมาตั้งแต่ยังเด็ก ๆ คือถ้าอยากได้อะไรก็แทบจะบ้าไปเลย ต้องเอาให้ได้ แต่พอได้มาแล้วสามารถให้คนอื่นต่อได้เดี๋ยวนั้นเลย เหมือนกับว่าขอให้ได้มาก็พอ หลังจากนั้นก็จะหมดอยากในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ฉะนั้น...ถึงเวลาจะมีรถยี่ห้อไหนก็ได้ กลับไม่อยากได้อะไรเลย เห็นเป็นภาระ
ตอนที่เห็นเป็นภาระมากที่สุด คือ ซื้อรถเบนซ์ถวายพระเทพเมธากร เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีสมัยนั้น อาตมาเป็นคนดูแลรถ เพราะท่านไม่รู้เรื่องอะไรเลย ถึงเวลากลับมาบางที ๒ ทุ่ม ๓ ทุ่ม อาตมาก็ตรวจสอบน้ำ น้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก ลมยาง ตรวจอะไรสารพัดพร้อมกับเช็ดถู กว่าจะเสร็จก็ ๔ ทุ่ม บางทีตี ๕ ออกอีกแล้ว ถึงเวลาต้องเอาไปเข้าศูนย์ ถึงเวลาเอาไปเติมน้ำมัน ท่านเองใช้อย่างเดียว ก็เลยกลายเป็นว่า พอมีในสิ่งที่ตัวเองต้องการได้เมื่อไร ก็จะหมดอยากไปเฉย ๆ มีอยู่ช่วงหนึ่งตอนนั้นบวชได้ประมาณ ๘ พรรษา เห็นเด็ก ๆ แล้วรักสุดจิตสุดใจเลย เห็นเป็นลูกไปหมด คิดว่าถ้าไม่ได้บวชต้องแต่งงานให้ได้ อยากมีลูกของตัวเอง ช่วงนั้นก็เป็นอยู่อย่างนั้นพักเดียวแล้วก็หาย ก็เลยคิดเราเป็นอะไรกันแน่วะ ? อยากอยู่พักเดียว พอพักหนึ่งก็หมดอยาก ความรู้สึกก็เปลี่ยนไป เลยไปนึกถึงว่า ใครนะที่ถามว่าพระนิพพานไม่ต้องทำอะไรเลยก็เบื่อแย่ เออ...เขาเข้าใจเอาเรื่องของคนมีกิเลสไปคิดถึงคนหมดกิเลส หารู้ไม่ว่าคนที่วางภาระทั้งหมดได้มีความสุขขนาดไหน คิดออกกันหรือเปล่า ?" |
"ถามว่าเคยรักผู้หญิงไหม ? ก็เคย เคยบ้าถึงขนาดตี ๒ ตี ๓ ต้องโทรไปหา แต่ก็เป็นอยู่พักเดียว เหมือนโดนบังคับ คือรู้ว่าตัวเองต้องบวช ถ้าหากว่าเราบวช เกิดมีคู่แล้วต้องทิ้งเขาไป คงทำใจยาก เลยกันตัวเองเอาไว้ ยุคนั้นเลยค่อนข้างจะเป็นคนปากร้าย เวลาผู้หญิงเข้าใกล้โดนไล่กระเจิดกระเจิงหมด ตอนนั้นเข้าใจตัวเองว่า ถ้ามีคู่ก็ทิ้งเขาไม่ได้ อาตมากำลังใจไม่ยิ่งใหญ่เท่าพระพุทธเจ้า ในเมื่อใช้ชีวิตร่วมกันก็ต้องรับผิดชอบชีวิตเขา อะไรทำนองนี้
ช่วงที่ไปวัดท่าซุง บรรดาหลวงพี่ที่วัดพอได้ยินว่าจะบวช ร้องเหวอไปตาม ๆ กัน เพราะอาตมาไปทีพาสาวไป ๘ คน ๑๐ คน แล้วบอกว่าจะบวช แต่ความจริงช่วงนั้นบรรดาน้อง ๆ ยังเรียนหนังสืออยู่บ้าง เรียนจบแล้วไม่มีงานทำบ้าง แล้วที่บ้านก็ไม่มีผู้ชายที่จะเข้าวัด ถ้าอาตมาไม่พาไปเขาก็ไม่รู้ว่าจะอาศัยใครไปวัด พูดง่าย ๆ ว่าไปเป็นไม้กันหมาให้เขา แต่คนอื่นเขาไม่เข้าใจ ไปด้วยกันก็คิดว่าเป็นแฟนกัน มากันทีเยอะแยะแบบนี้แล้วบอกว่าจะบวช" |
"บวชใหม่ ๆ ๔-๕ พรรษาแรก ผู้หญิงเข้าใกล้อาตมาไล่กระเจิงหมด ที่มาปรับตัวเพราะว่ามีอยู่วันหนึ่ง ช่วงใกล้ปีใหม่โยมผู้หญิงคนหนึ่งเอาของขวัญมาให้ อาตมาบอกว่า "เออ...ขอบใจมากนะ ขอให้มีความสุขความเจริญ มีความปรารถนาที่สมหวัง" ยายนั่นได้ยินหันมามองหน้า "เออ...หลวงพี่ก็พูดดี ๆ กับเขาก็เป็นเหมือนกันนะ" ก่อนหน้านี้ด่าตลอด ไล่ตลอด ไม่ให้เข้าใกล้ นึกขึ้นมาได้ว่า ตายห่...นี่เราปากร้ายขนาดนั้นเลยหรือ ? ก็เลยค่อย ๆ ปรับตัวเองใหม่ ไม่อย่างนั้น ๔-๕ พรรษาแรกไม่ให้ผู้หญิงเข้าใกล้"
ถาม : ทำไมถึงไล่ ? ตอบ : ระวังกลัวจะผิดศีล ต้องใช้ภาษาสมัยนี้ว่าเขาดีเกินไปสำหรับเรา สมัยนี้ประโยคนี้เขาเอาไว้บอกเลิกกัน แต่อาตมารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ อาตมารู้ตัวเองอยู่ว่าต้องบวช ถ้าไปมีอะไรกับเขา ก็ไม่ควรที่จะทิ้งเขาไป ฉะนั้น...บรรดาสาว ๆ สมัยโน้น ถ้าอยู่ ๆ ได้ข่าวว่าอาตมามีข่าวเสียหายเรื่องผู้หญิง เขาเถียงตายเลย สมัยโน้นโอกาสมีเป็นร้อยเป็นพันยังไม่แตะไม่ต้อง จะมาทำอะไรเอาตอนแก่ ต้องบอกว่าตอนเป็นพระ ผู้หญิงเข้าใกล้ได้มากกว่าตอนเป็นฆราวาสเยอะเลย เพราะตอนนั้นป้องกันตัวเองชนิดขีดวงไว้เลย ห้ามล้ำเส้น รู้ว่าเป็นคนใจอ่อน ขี้สงสาร ถ้าไปมีความสัมพันธ์ขึ้นมาแล้วให้ทิ้งเขาไป คงตัดใจทิ้งไม่ลง เลยอย่าไปยุ่งกับเขาดีกว่า |
ไปเนปาลงวดนี้กว่าจะหาผู้ชายมานอนห้องข้าง ๆ ได้ก็ลำบาก งวดนี้ถึงขนาดมีคนสั่งตากล้องเอ๋ บอกให้ไปเป็นคนกันให้หน่อย แต่ความจริงเป็นคนละห้องก็หมดเรื่องแล้ว ที่ตลกคือเขาพักห้องที่เป็นเตียงคู่สำหรับนอน ๒ คน แต่อาตมาคนเดียวดันไปนอนห้องที่มี ๒ เตียง ก็ดีเหมือนกันคืนนี้นอนเตียงนี้ อีกคืนนอนเตียงนี้
ตอนแรกมหาโรจน์เขาไปด้วย ทางทัวร์จัดให้พักห้องเดียวกัน ปรากฏมหาโรจน์บอกว่า ถ้านอนห้องเดียวกับหลวงพ่อ ท่านทำตัวไม่ถูก เลยยอมเสียเงินเปิดห้องต่างหากของตัวเอง พระพุทธเจ้าท่านป้องกันพระเอาไว้ถึงขนาดว่า ห้ามภิกษุนอนเตียงเดียวกัน ท่านใช้คำว่า กายะสังสัคคัง คือมีกายอันสัมผัสกันได้ แล้วก็ห้ามห่มผ้าห่มผืนเดียวกัน ถ้านอนเตียงเดียวกันแล้วมั่นใจว่าตัวคุณไม่สัมผัสกัน ก็ห้ามใช้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ท่านกันไว้ขนาดนั้น ตอนแรกอ่าน ๆ ไป เอ๊ะ...ทำไมกันไว้ขนาดนี้ ปรากฏว่าระยะหลังผู้ชายสวยมีเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ถึงได้เข้าใจว่าท่านกันเอาไว้ล่วงหน้าเป็นพันปี เพื่อน ๆ อาตมาที่เป็นแบบนี่มีเยอะแยะเลย คบหาสมาคมกันอย่างที่เราก็ไม่ได้รังเกียจเขา ในวงการสงฆ์มีเยอะ แรก ๆ เขาก็เก็บอาการ แต่พอรู้ว่าเราไม่รังเกียจก็ปล่อยเต็มที่เลย บรรดาท่าน ๆ ทั้งหลายเหล่านี้มีความสามารถมาก เขามีความละเอียดอ่อนของผู้หญิง และมีความเข้มแข็งของผู้ชาย ฉะนั้นทำงานเก่งทุกคน ถ้าเก็บอาการได้ สามารถบวชได้ แต่ถ้าบวชแล้วเก็บอาการไม่ได้เขาไม่ได้ปรับคนบวชนะ ปรับพระอุปัชฌาย์ที่ให้บวช ส่วนคนบวชท่านว่าให้นาสนะคือให้สึกเสีย |
ตอนนี้วัดท่าขนุนตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองผู้บวช ก็คือเอาตามที่ท่านบัญญัติเอาไว้ว่าประเภทไหนห้ามบวชบ้าง แต่อุภโตพยัญชนะน่าจะไม่มี เพราะอุภโตพยัญชนะเป็นคนสองเพศ พระพุทธเจ้าท่านห้ามมา ๒ พันกว่าปี เพิ่งมาเจอไม่นานมานี้เองว่า มีเกาะอยู่แห่งหนึ่งที่ผู้หญิงผู้ชายมีอวัยวะสมบูรณ์ทั้งสองเพศเลย ฝ่ายไหนจะตั้งท้องก็ได้ เกาะนั้นเป็นทั้งเกาะ
ถาม : เป็นเผ่าพันธุ์ ? ตอบ : ใช่...พระพุทธเจ้าห้ามบวชเลย เดี๋ยวจะเกิดปัญหาขึ้น ทีแรกก็คิดว่ามีจริง ๆ หรือ พอฝรั่งออกมายืนยันเลยต้องยอมรับว่ามีจริง ๆ |
ถาม : ในอดีตชาติสามีภรรยาคู่หนึ่งได้อธิษฐานไว้ ปัจจุบันถอนคำสาบานที่ติดตามกันมาในอดีตต่อหน้าพระแม่ธรณี สามารถลบล้างคำอธิษฐานได้ไหมครับ ?
ตอบ : คำอธิษฐาน ถ้าต่างคนต่างตั้งใจเปลี่ยนแปลงจริง ๆ ก็สามารถที่จะลบล้างได้ ถาม : ลบล้างได้ แต่ก็ยังอยู่ ? ตอบ : ถ้าข้ามชาติข้ามภพเป็นเรื่องใหม่แล้ว พูดง่าย ๆ ก็คือถ้าเราไม่ไปฟื้นสัญญาเดิม ก็แทบจะไม่มีปัญหาอะไร อย่างเก่งเห็นหน้าก็รู้สึกถูกชะตา แต่ถ้าเราไปฟื้นสัญญาเดิม ความผูกพันเก่า ๆ ก็เท่ากับเราไปผูกกรรมเดิมเข้าไว้ ฉะนั้น...ถ้าเป็นไปได้ก็ขออโหสิกรรมกัน แล้วก็ถอนคำอธิษฐาน เรื่องความผูกพันข้ามชาติข้ามภพมา ถ้าเราตั้งใจจริง ๆ ถอยไปฝ่ายหนึ่งก็จบ หลวงปู่ฝั้นที่อาตมาเคยนับถือเป็นครูบาอาจารย์ก่อนที่จะมาเจอหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ท่านเล่าให้ฟังว่าท่านธุดงค์จะข้ามแม่น้ำ แล้วมีแม่ลูกแจวเรือจ้างมารับ ท่านว่าพอเห็นหน้าลูกสาวก็แวบเข้ามาในอก เข่าอ่อนแทบจะยืนไม่ติดเลย รู้เลยว่าถ้าไม่ได้บวชเป็นพระอยู่ ต้องไปขอแต่งงานด้วยแน่ ท่านว่าพอขึ้นจากเรือ ท่านเดินแทบจะไม่ได้สติ ไปเรื่อยจนได้ระยะพอสมควรก็ปักกลด ปรากฏว่าแม่กับลูกคู่นั้นตามมา มาถึงก็รำพึงรำพันว่าตัวเองมีนากี่ไร่ มีควายกี่ตัว มีลูกสาวคนเดียว ไม่มีผู้ชายที่จะอยู่คอยเป็นหลักในบ้านเลย เห็นหน้าท่านแล้วก็ชอบใจ ช่วยสึกมาทีเถอะ จะยกลูกสาวและสมบัติทั้งหมดให้ หลวงปู่ฝั้นบอกว่าท่านไปไม่เป็นเลย ใจตัวเองก็ไปตั้งครึ่งหนึ่งแล้ว แล้วเขายังมาพูดอย่างนี้อีก แต่ด้วยสำนึกว่าอยู่ในเพศของความเป็นพระ คุยเรื่องพวกนี้ไม่ได้ ได้แต่บอกปัด ๆ ไปว่าเอาไว้มารอคำตอบพรุ่งนี้แล้วกัน แม่ลูกจึงว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะเอาจังหัน คือ เอาอาหารเช้ามาถวาย แล้วจะมาฟังคำตอบ หลวงปู่ฝั้นท่านบอกว่าพอลับหลังสองแม่ลูกคู่นั้น ท่านยอมเสียสัจจะถอนกลดหนีคืนนั้นเลย ท่านบอกว่าถ้าอยู่เสร็จเขาแน่ เพราะว่าใจตัวเองไปเกินครึ่งแล้ว โดยปกติพระปักกลดแล้วด้วยสัจจะบารมี ต่อให้มีเรื่องถึงแก่ชีวิตก็ถอนกลดไม่ได้ ต้องยอมถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา แต่ท่านถอนกลดหนี ธุดงค์ข้ามไป ๔ จังหวัด ท่านว่าเดินไปที่ไหนก็นึกถึงแต่ยายหน้าใบโพธิ์ กราบเรียนถามท่านว่า แล้วหลวงปู่หนีรอดไหมครับ ? ท่านบอกว่าข้ามไป ๔ จังหวัด สมัยนั้นยังเป็นป่าเสือป่าช้าง ถ้ายังตามมาก็ยอม ปรากฏว่าผู้หญิงตามไม่ไหว ท่านบอกว่ายังคิดถึงอยู่เป็นปีจนกว่าจะจางหายไป ฉะนั้น...เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องอันตราย เราไปผูกสัมพันธ์เมื่อไรก็เสร็จเมื่อนั้น มีอย่างเดียวต้องทิ้งห่างไปเลย แรก ๆ จะยากนิดหนึ่ง หลังจากนั้นจะเบาลง ๆ |
อาตมาบวชใหม่ ๆ ก็มีเหมือนกัน มาจากไหนก็ไม่รู้ ไม่เคยรู้จักมักจี่กันเลย พอเห็นหน้าก็แปล๊บเข้ามาในใจ รู้เลยว่าคนนี้ถ้าพูดด้วยเราเสร็จแน่ ก็พยายามเลี่ยงไปเรื่อย ๆ เลี่ยงอย่างไรก็เลี่ยงไม่รอด เพราะแม่เจ้าประคุณตามไปเรื่อย ท้ายสุดหลวงพ่อวัดท่าซุงเรียกตัวไปเฝ้าหน้าห้องท่าน คราวนี้ตรงนั้นถ้าใครไม่มีธุระกับหลวงพ่อห้ามเข้าเลย เขาไม่มีข้ออ้างที่จะไป ท้ายสุดก็ต้องกลับ ถ้าหลวงพ่อท่านไม่ช่วยไว้อาตมาก็เสร็จไปแล้ว แปลกอยู่ตรงที่ว่ารูปร่างหน้าตาไม่ใช่แบบที่เราชอบเลย แต่เห็นหน้าแล้วทำอะไรไม่ได้เลย นั่งกรรมฐานก็ลืมตามอง หลับตาภาวนาไม่ได้
ถาม : พอถอนคำอธิษฐาน มีแต่แย่ลง ๆ ? ตอบ : ต้องเกิดจากฝ่ายใดฝายหนึ่งที่กำลังใจไม่ดีพอ ในเมื่อกำลังใจไม่ดีพอ พอสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป อาจจะเกิดความรักความหวงขึ้นมาอีก เรื่องราวก็เลยเละเทะไม่เป็นท่า ต้องบอกว่า ไม่เด็ดขาดพอ ถ้าเด็ดขาดพอ ทีเดียวต้องขาดเลย ถาม : ต้องต่อหน้าพระแม่ธรณีไหมครับ ? ตอบ : ไม่ต้องก็ได้ พูดง่าย ๆ ว่า ขอให้ตั้งใจจริงก็พอ อันนั้นต่อหน้าแม่พระธรณีหวังให้มีพยาน ช่วยยืนยันว่าไม่ยุ่งกันแล้วนะ |
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ปุพเพวะ สันนิวาเสนะ ปัจจุปบันนะ หิเตนะวา เอวันตัง ชะยะเตเปมัง อุปะลังวะ ยะโถทะเกฯ ปุพเพวะ สันนิวาเสนะ คือบุพเพสันนิวาสที่สั่งสมร่วมกันมา เคยเป็นคู่กันมาชาติแล้วชาติเล่า ปัจจุปบันนะ หิเตนะวา ก็คือ เกื้อกูลสร้างประโยชน์ต่อกันและกันจนรักใคร่ชอบพอกันในปัจจุบัน ท่านบอกว่าเหตุนี้แหละที่ทำให้ชายหญิงรักกัน อุปะลังวะ ยะโถทะเกฯ เหมือนดอกบัวที่ขาดน้ำและโคลนไม่ได้
เราต้องชื่นชมพระอริยเจ้าที่ท่านตัดเรื่องพวกนี้ได้ ท่าน เป็นสุดยอดมนุษย์จริง ๆ สุนทรภู่ท่านบอกว่า "อันตัณหาราคะนั้นสาหัส ถ้าใครตัดเสียได้ฉันให้ถอง อุตส่าห์เรียนวิชาหาเงินทอง ก็เพราะของสิ่งเดียวมันเกี่ยวกวน" ลองนึกดูถ้าคนเราไม่ต้องมีคู่ อยู่คนเดียว ไม่ต้องไปตะเกียกตะกายเอาอะไรมากมายเหมือนปัจจุบันนี้ ถ้ามีคู่ เดี๋ยวก็ต้องมีลูกมีหลานมีเหลน ภาระผูกพันเยอะขึ้น ๆ สุนทรภู่แกเองก็รู้ว่าตัดเรื่องพวกนี้ไม่ได้ จึงได้บอกว่า ถ้าใครตัดได้จะให้ถอง ถ้ามาเกิดสมัยนี้แล้วท้าอย่างนี้ อาตมาจะพาไปให้ถองหลายราย เพราะรู้ว่ามีหลายท่านที่ตัดได้จริง ๆ |
ถาม : เราไม่ได้มีความต้องการราคะมากเท่าที่คนในปัจจุบันมี หมายความว่าของเดิมเราบำเพ็ญมาในเนกขัมมะบารมีด้วยหรือเปล่า ?
ตอบ :ถ้าเคยผ่านเรื่องเนกขัมมะบารมีแล้ว ความรู้จักระงับยับยั้งชั่งใจจะมีเยอะ ถาม : แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ชาตินี้เมื่อถึงวาระเราจะได้บวช ? ตอบ : ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวเอง อาตมาเองหนีมาปีแล้วปีเล่า ตอนนั้นกลัวนรกจริง ๆ กลัวรักษาศีลไม่ได้ รักษาศีลไม่ได้เดี๋ยวลงนรก เลยไม่กล้าบวช แม่ขอให้บวชปีแล้วปีเล่าก็ไม่กล้าบวช จนกระทั่งท้ายสุดหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านต้องการพระบวชแก้บน ท่านว่าบวชให้ท่านได้ไหม เลยตัดสินใจว่าสมัยก่อนศีล ๒๒๗ ข้อครบถ้วนสมบูรณ์ ท่านยังบรรลุมรรคผลกันนับไม่ถ้วน สมัยนี้ศีลเกี่ยวกับการทำข้าวของเครื่องใช้ก็ดี ศีลเกี่ยวกับนางภิกษุณีก็ดี ไม่ต้องรักษาก็กำไรเป็นทุนอยู่แล้ว เพราะว่าเราไม่ต้องทำอะไรเอง ญาติโยมหามาถวาย ขณะเดียวกันนางภิกษุณีก็ไม่มีให้เราผิดศีล ก็เท่ากับว่าเรามีกำไรมากกว่าคนโบราณตั้งเยอะตั้งแยะ ถ้ายังอยู่ไม่ได้ก็ลงนรกไปเถอะ เลยตัดสินใจบวช ฉะนั้น...การบวชอยู่ที่เราตัดสินใจเอง ไม่ได้อยู่กับคำพยากรณ์ของใคร |
ถาม : มีคนทำคุณไสย จะแก้ด้วยวิธีใดคะ ?
ตอบ : ภาวนานึกถึงภาพพระครอบเราไว้ทุกเช้า แล้วก็ภาวนารักษาภาพพระไปเรื่อย ๆ ทั้งวัน ถาม : ภาวนาว่าอะไรคะ ? ตอบ : ถ้าจะเอาคืนก็ เมสัมมุกขา สัพพาหะระติ เตสัมมุกขา หรือถ้าไม่ต้องการตอบโต้ จะภาวนาพุทโธก็ได้ แต่ต้องนึกถึงภาพพระคลุมตัวเราไว้ตลอดเวลา |
ถาม : ถ้าถือศีลแปด ข้อวิกาลโภชนาฯ เราทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ถ้าถือศีลแปดจะเป็นการปรามาสไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าอยู่ในลักษณะที่ว่าถึงเวลาก็ลามากิน จะอยู่ในแนวของสีลัพพตปรามาส อย่าลืมว่าศีล ๘ ถึงเวลาอาราธนาแล้วมี วิสุง วิสุง คือประเภทรวมกันไปเลย ถ้าขาดข้อหนึ่งถือว่าขาดทั้งหมด เพราะเป็นศีลพรหมจรรย์ แต่ศีล ๕ ไม่ต้องมีคำว่า วิสุง วิสุง ก็คือต่างคนต่างอยู่ ถ้าขาด ๑ ข้อ อีก ๔ ข้อยังใช้ได้อยู่ ฉะนั้น...ศีล ๘ ของเราขาดข้อเดียวถือว่าขาดทั้งหมด ถาม : ผมถือศีล ๕ ดีกว่า ? ตอบ : ของคุณรักษาศีล ๕ ดีกว่า แต่จะลองพยายามฝืนสู้ดูก็ได้ อดสักวันสองวัน ดูซิว่าจะถึงแก่ชีวิตไหม ? ถาม : ศีลแปดไม่จำเป็นต้องอาราธนาใช่ไหมครับ ? ตอบ : ตั้งใจถือก็เป็นศีลเลย เพราะว่าศีลอยู่ที่การงดเว้น ศีลที่เราอาราธนาคือไปร้องขอให้พระท่านบอกว่ามีอะไรบ้าง แล้วพระท่านบอกก็คือให้ศีล ว่าศีลแต่ละข้อมีอะไร พอเรารู้แล้วก็รักษาตามนั้น ถ้าเรารู้แล้วก็ไม่ต้องเสียเวลาไปขอ ให้ตั้งใจงดเว้นเลย ถ้าขอแล้วไม่ตั้งใจงดเว้นก็ไม่เป็นศีล ศีลจะเป็นศีลหรือไม่อยู่ที่ว่า เรามีโอกาสละเมิดแล้วเราตั้งใจงดเว้นได้ จึงจะเป็นศีล |
ถาม : ถ้าจะบูชารกแมว ช่วยได้ในเรื่องอะไรบ้างคะ ?
ตอบ : เขาเชื่อว่าช่วยได้ในเรื่องของลาภผล หรือการค้าขาย |
พระอาจารย์กล่าวกับผู้ที่ทำบุญถวาย "ท่านแม่" ว่า "ของคุณนี่เป็นลูกแม่ใหญ่ ปกติแล้วไม่ว่าจะเป็นลูกแม่ใหญ่ แม่กลาง แม่เล็ก แม่ใหญ่ท่านก็เลี้ยงหมด แต่ส่วนใหญ่แล้วแม่ใหญ่จะเลี้ยงลูกแม่กลางกับลูกแม่เล็กดีกว่าลูกตัวเอง กลัวคนเขาว่ารักลูกตัวเองมากกว่า เลยต้องรักลูกคนอื่นให้มากกว่า
หลายคนยังไม่ทราบประวัติของท่านแม่ทั้งสาม โดยเฉพาะอยู่ในวัดท่าซุงแท้ ๆ ก็ไม่ทราบกัน จนกระทั่งอาตมาเอาชื่อแม่ทั้งสามมาบอกจนครบครัน เขาถึงได้รู้ว่าท่านแม่ชื่ออะไรกันบ้าง แม้ว่าหลวงพ่อท่านจะบังคับว่า ผู้บวชที่วัดท่าซุงทุกคนจะต้องฝึกมโนมยิทธิได้ แต่ส่วนใหญ่เขาฝึกในลักษณะว่าขอแค่ผ่านประตูเข้าไป แล้วไม่มีการซักซ้อมเพื่อการคล่องตัวมากขึ้น ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ถึงเวลาก็ไม่สามารถที่จะบอกกล่าวอะไรได้ อาตมาเองพอออกจากวัดมา ด้วยความที่รู้มาก ก็เลยไม่ไปแตะต้องมโนมยิทธิ ปัจจุบันนี้เขามีการฟ้องร้องเรื่องลิขสิทธิ์กันด้วย มีบางคนยึดความเห็นของตนเองเป็นใหญ่ เห็นว่าคำสอนของหลวงพ่อวัดท่าซุงก็ดี วัตถุมงคลของหลวงพ่อวัดท่าซุงก็ดี ตลอดจนกระทั่งแนวคิดและการปฏิบัติก็ตาม เป็นของเฉพาะภายใน สมควรที่จะให้แก่ลูกหลานหลวงพ่อเท่านั้น ก็เลยไปสงวนลิขสิทธิ์ พอที่อื่นทำตามจึงมีการฟ้องร้องขึ้นมา เสียดายว่าอาตมาแสนรู้ เลยไม่ไปแตะเสียตั้งแต่แรก หลายคนถามว่าทำไมไม่สอนมโนมยิทธิ ? ไม่ทำโน่นไม่ทำนี่ ? ตอนนี้คงรู้ชัดแล้วว่าเพราะอะไร ความจริงแล้วเรื่องของธรรมะไม่ควรที่จะไปสงวนลิขสิทธิ์ เพราะว่าธรรมะทั้งหมดมาจากพระพุทธเจ้า ถ้าจะสงวนลิขสิทธิ์ ผู้ที่สงวนได้คือพระพุทธเจ้าเท่านั้น แล้วอีกอย่างหนึ่งเราจะกล่าวอ้างว่า ธรรมะของหลวงพ่อวัดท่าซุงก็ควรจะสงวนไว้สำหรับลูกหลานในสายเท่านั้น นั่นเป็นความคิดที่คับแคบและเข้าใจผิดอย่างยิ่ง เรื่องของธรรมะเป็นสากล ใครก็ตามถ้าหากว่าตั้งใจปฏิบัติตามก็จะได้ผล ต่อให้เขาไม่ตั้งใจปฏิบัติตาม แต่ได้สัมผัสสักส่วนเสี้ยวหนึ่ง ก็ยังเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เขาเข้าถึงความดีในโอกาสข้างหน้า พอไปสงวนลิขสิทธิ์ก็เลยกลายเป็นการปิดกั้นโอกาสคนอื่นไปหมด" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ธนบัตรใบละ ๑,๐๐๐ บาทของปลอม ในปัจจุบันนี้เขาทำได้เหมือนของจริงมาก แต่ปีกครุฑตรงแถบกันปลอมถ้าเป็นของปลอมจะโดนทับไปข้างหนึ่ง มองไม่เห็น แต่ของจริงจะมองเห็น ฉะนั้น...ดูง่าย ๆ ถ้าหยิบใบละ ๑,๐๐๐ บาทขึ้นมา ให้ดูปีกครุฑก่อนว่ามีครบสองข้างหรือเปล่า ถ้าปีกครุฑมีไม่ครบสองข้างก็เป็นของปลอม
พระครูวิศาลกาญจนกิจ เจ้าอาวาสวัดตะคร้ำเอน ที่วัดของท่านมีหลวงพ่อดำดังมาก ทำให้คนไปทำบุญกันทุกวัน เขามาซื้อดอกไม้ธูปเทียนพร้อมพวงมาลัยชุดละ ๑๐๐ ไปไหว้พระ ท่านก็ต้องทอนให้เขา ๙๐๐ บาท ท่านบอกว่าเขามาตอนใกล้ค่ำ คนแก่หูตาไม่ค่อยดีจึงโดนของปลอมไปหลายใบ พูดง่าย ๆ ก็คือไม่ได้เอาของปลอมไปทำบุญเฉย ๆ แต่เท่ากับแลกเอาเงินจริงไป ๙๐๐ บาท อาตมาขอท่านเอาไว้ดู เขาเล่นง่ายดี ใช้ถ่ายเอกสารสีตัดแล้วเอามาแปะ หน้าหลังเหมือนเลย เพียงแต่ว่าถ้าไม่ใช่ตอนค่ำ ๆ ชุลมุนอยู่น่าจะจับได้ ท่านมาเจอเอาตอนกรรมการวัดนับเงินแล้ว" |
ถาม : ทำไมพวกนักเลง อย่างเสือใบพวกนี้ เขาถึงมีวิชาขลังได้ครับ ?
ตอบ : กำลังใจดี แล้วก็มีสัจจะ คำว่ากำลังใจดี ก็คือสมาธิใช้ได้เลย ให้คุณไปฆ่าคนจะมือสั่นไหม ? เขาจัดการไปกี่ศพก็หน้าตาเฉย เวลาลูกน้องทรยศถ้าจับได้ เขาเอาก้านใบตาลเชือดคอ โห...ทารุณสุด ๆ ใบตาลมีคมอยู่หน่อยเดียวเหมือนกับฟันเลื่อยหัก ๆ เอามาเชือดคอ นั่งดูคนทุรนทุรายตายได้ กำลังใจของเราทำอย่างนั้นได้ไหม ? ในเมื่อทำไม่ได้ แปลว่ากำลังใจยังสู้เขาไม่ได้ ก็ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเขาขลังกว่า เสือมเหศวรก็เพิ่งตายไปเมื่อไม่นานมานี้เองไม่ใช่หรือ ? |
ถาม : เวลานั่งสมาธิเกิดรู้สึกหนัก ๆ ตึง ๆ ตรงก้านสมองและกระหม่อม อาการข้างต้นเป็นตอนเริ่มนั่ง สักพักจิตเริ่มสว่างแจ่มใสขึ้นก็หายไป เข้าใจว่าเป็นนิวรณ์ถูกต้องไหม ?
ตอบ : จะว่าเป็นนิวรณ์ก็ได้ จะว่าเป็นมารที่เรียกว่าขันธมาร คือสิ่งที่มาขวางก็ได้ เพราะถ้าเรามัวแต่กังวลอยู่เราก็จะไม่เป็นอันทำอะไร ให้ตั้งใจอยู่กับลมหายใจของเรา พออารมณ์ใจทรงตัวสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็จะถอยไปเอง แสดงว่าสภาพจิตละเอียดมาก สามารถรู้อารมณ์เล็กน้อยที่แทรกเข้ามาได้ บางคนไม่รู้หรอก มืดอย่างเดียวเลย แต่ว่าก็เป็นเรื่องปกติของนักปฏิบัติ ถ้ามีต้นทุนเก่าไว้เยอะ โดยเฉพาะอยู่ต่างประเทศด้วย ต้องขวนขวายมาก ก็ทำอะไรได้มากกว่า สภาพจิตจึงละเอียดกว่า |
หลังจากที่มีโยมมาขอให้ทำบังสุกุลให้ "จริง ๆ แล้วพระท่านตั้งใจให้นึกถึงความตาย เรียกว่ามรณานุสติ การนึกถึงความตายเป็นมรณานุสติกรรมฐาน นึกถึงภาพพระเป็นพุทธานุสติกรรมฐาน นึกถึงพระนิพพานเป็นอุปสมานุสติกรรมฐาน อย่างน้อย ๆ ก็ได้กรรมฐานใหญ่ไป ๓ กอง ผลบุญตรงที่เราทำกรรมฐานนี้ แม้จะระยะเวลาสั้น ๆ แต่อานิสงส์มหาศาล สามารถพาเราห่างจากเคราะห์กรรมไปได้ชั่วคราว ต้องตั้งหน้าตั้งตาสร้าง ทาน ศีล ภาวนา ของเราเพิ่มขึ้น ถ้าทำได้ต่อเนื่องไม่มีช่องว่าง กรรมเก่าตามไม่ได้ ก็จะมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้นไป
แต่ก็อย่างว่าแหละ...เราไม่ได้ทำดีอย่างเดียว อนาถปิณฑิกเศรษฐียังจนชั่วคราว จนเหมือนโดนแกล้ง กองเรือไปค้าขายก็โดนลมพัดหายไปไม่ได้ข่าวคราว คลังสินค้าริมน้ำก็โดนน้ำเซาะถล่มลงน้ำไปหมด กองเกวียนที่ไปค้าขายต่างบ้านต่างเมืองก็ไม่ส่งข่าวมาสักทีว่าไปถึงไหน แต่ว่าศรัทธาของท่านไม่ถอย เคยถวายอาหารเลี้ยงพระวันละ ๕๐๐ รูป ก็ยังถวายเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าอาหารดี ๆ อย่างพวกข้าวมธุปายาสก็ลดลงมาเรื่อย ท้ายสุดเหลือแต่ข้าวต้มกับน้ำผักดองก็ยังถวายพระ คราวนี้ก็สำคัญอยู่ที่พระนั่นแหละ ฉันแต่ของดีมาตลอด เจอของไม่ดีจะฉันได้ไหม ? วันก่อนพวกสามเณรเลือกกิน อาตมาถึงได้บอกว่าพวกคุณน่าจะไปอยู่เนปาล เด็กที่นั่นเขาต้องนับเม็ดถั่วแบ่งกัน" |
ถาม : เรื่องการรู้เห็น ?
ตอบ : ภาวนาจับภาพพระไปเรื่อย ๆ ถ้าอารมณ์ใจทรงตัวได้ระดับ จะเกิดการรู้เห็นขึ้นมาเอง ถ้าหากว่าเราอยาก ไอ้ตัวอยากนี่จะทำให้ไม่เกินก็ขาด แต่ส่วนใหญ่จะเกิน วางกำลังใจเกินไปก็ไม่เห็น น้อยไปก็ไม่เห็น ต้องพอดี ๆ จับไปเรื่อย ๆ พอถึงเวลาได้ที่ก็รู้เรื่องกันเลย |
พระอาจารย์กล่าวกับพระลูกศิษย์ที่ไปเรียนบาลีว่า "นักเรียนบาลีเวลาสอบให้ภาวนาคาถาท่านปู่พระอินทร์เป็นปกตินะ ตรงไหนที่ทำได้ก็ทำไป ข้อไหนทำไม่ได้ให้เชื่อความรู้สึกแรกแล้วลุยไปเลย ผมเคย "เอ๊ะ" ทีเดียว ผิดไปคำหนึ่ง เพราะศัพท์คล้ายกับประโยคอื่น จึงคิดว่าน่าจะเป็นอีกคำหนึ่ง ทำให้ผิดไปเลย"
|
ถาม : การกรวดน้ำ ?
ตอบ : การกรวดน้ำแค่เราตั้งใจเขาก็ได้แล้ว ตั้งใจว่ากุศลตรงนี้จะอุทิศให้แก่ใคร ถ้าหากว่ารู้จักชื่อรู้จักนามสกุล ให้ออกชื่อออกนามสกุลเจาะจงไปเลย ถ้าไม่รู้จักก็นึกให้ท่านผู้นั้นผู้นี้ ถ้าได้ยินแต่เสียงก็นึกว่าให้เจ้าของเสียงนั้น ถ้าได้กลิ่นก็นึกว่าให้เจ้าของกลิ่นนั้น เขาจะได้รับเลย การกรวดน้ำแต่เดิมไม่มีมาในพระพุทธศาสนา พระเจ้าพิมพิสารทำบุญครั้งแรกจะอุทิศให้แก่ญาติที่เป็นเปรต พอพระพุทธเจ้าบอกให้อุทิศส่วนกุศล ด้วยความเคยชินของพราหมณ์ ถ้าจะให้อะไรใครก็เอาน้ำรดมือคนนั้น เป็นสัญลักษณ์ว่าฉันให้เธอแล้ว แต่คราวนี้ผีก็ไม่ยื่นมือมาให้เห็น ท่านก็เลยรดมือตัวเอง คนรุ่นหลัง ๆ จึงถือเป็นธรรมเนียมต่อ ๆ กันมา คือเอาน้ำรดมือบ้างเรียกว่ากรวดน้ำ แต่ความจริงเราตั้งใจให้ใครเขาก็ได้แล้ว เพียงแต่ว่าถ้าที่ไหนเขานิยมมือเปียกเราก็ไปเปียกกับเขา อย่าไปค้าน ถ้าอธิบายไม่ชัดเจนเดี๋ยวเขาจะหาว่าเราแหกคอกอีก |
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้ที่ลงมาช้าเพราะเมื่อเช้าทำบัญชี เสร็จแล้วก็คัดลอกไฟล์ใหม่เพื่อที่จะเอาไปสำรองไว้ พอลบไฟล์เก่า ปรากฏว่าไม่ได้ลบไฟล์เฉย ๆ เล่นลบโฟลเดอร์งานไป ๓ ปี หน้ามืดสนิท..! บทจะโดนแกล้งนี่เขาแกล้งสาหัสจริง ๆ ก็เลยคิดหาวิธี จะทำอย่างไรดี ? ให้เขาหาเศษกระดาษที่ลงบัญชีเมื่อวาน เพิ่งจะทิ้งถังขยะ ปรากฏว่าทิ้งของมาเป็นตะกร้าเลย เขาหาคืนได้แค่ ๓-๔ ชิ้น เหมือนกับทันทีที่ทิ้งก็มีใครเอาไปกินอย่างนั้นแหละ เป็นไปได้อย่างไร ? มีคนกินเศษกระดาษด้วย ?
ขึ้นไปนั่งเซ็งอยู่ข้างบน จะถามพ่อแม่ปู่ย่าตายายก็คงโดนถีบมากกว่า เลยใช้วิธีนึกย้อนหลังว่าเมื่อวานเราทำอะไรบ้าง แล้วก็ไล่พิมพ์ไปเรื่อย อาจจะขี้โกงหน่อย ๆ แต่ก็ต้องทำ ไม่อย่างนั้นบัญชีก็ไม่เสร็จ บางคนเขาว่าอาตมาความจำดี แต่ถ้าความจำช่วยไม่ได้ก็ต้องใช้วิธีนี้แหละ นึกย้อนไปเมื่อวานเราทำอะไรบ้าง เมื่อคืนเราทำอะไรบ้าง เมื่อเช้าเราทำอะไรบ้าง นึกได้ก็ลงไล่ไปเรื่อย ๆ ของเก่า ๒ ปีไม่ยากหรอก เพราะมีไฟล์สำรองอยู่ในฮาร์ดดิสก์ แค่ไปคัดลอกมาลงก็จบแล้ว แต่ของที่ทำเมื่อคืนกับเมื่อเช้านี่ แหม...ยังไม่ทันจะสำรองไว้ที่ไหนเลย ดันลบไปซะก่อน ตอนแรกอาตมาก็สงสัยว่าเทคโนโลยีใหม่ ๆ นี่มารรู้ด้วยหรือ ? ปรากฏว่าพ่อเจ้าประคุณหัวเราะก๊ากเลย บอกว่าก็เขาเป็นคนสร้างเอง จะไม่รู้ได้อย่างไร ? สรุปแล้วเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทั้งหลายทั้งปวง มารเป็นคนแนะนำให้ทำ เพื่อที่เราจะได้ยึดติดเยอะ ๆ อยู่กับเขา" |
ถาม : ทำไมเวลาภาวนาแล้ว มีเสียงเหมือนลมหายใจดังฟืดฟาดอยู่ข้างใน ?
ตอบ : ถ้าสามารถรู้ได้จะดี สติอยู่ตรงนั้นจะไม่คิดเรื่องรัก โลภ โกรธ หลง จิตเริ่มละเอียดขึ้น สิ่งที่ไม่เคยรู้เห็นก็เริ่มจะรู้เห็น ถาม : บางทีแค่พูดคุยก็เป็น ? ตอบ : จะทำอะไรก็ได้ ถ้าถึงเวลาสมาธิเริ่มเกิด เขาก็จะเป็นเองโดยอัตโนมัติ เราแค่เอาสติรับรู้ไว้เฉย ๆ ถาม : เวลาจะพูดกับเพื่อนก็เป็นค่ะ ? ตอบ : เราตั้งใจคุย ความตั้งใจเป็นสมาธิแล้ว พอเป็นสมาธิ จิตเราจะวิ่งไปสู่ระดับสมาธิที่เคยชิน ก็คือตอนที่อยู่กับลมหายใจ ถาม : พอมีอาการแบบนี้เดี๋ยวหายใจไม่ถนัดค่ะ ? ตอบ : ยังไม่ชิน เดี๋ยวพอชินแล้วก็จะสะดวกไปเอง พยายามทำให้เป็นอัตโนมัติ คือรู้เองโดยไม่ต้องกำหนดให้ได้ |
ถาม : ที่ท่านเคยบอกว่าจิตมีเกิด แล้วมีการดับไหมคะ ?
ตอบ : อยากจะดับก็ปล่อยดับไปสิ จะได้หมดภาระ เขาเรียกว่ากลัวล่วงหน้าไปก่อน เรามีหน้าที่ทำ ส่วนสภาพจะเป็นอย่างไรก็ช่าง เลิกกลัว เลิกฟุ้งซ่าน เลิกคิดก็จบแล้ว ส่วนใหญ่ที่ทำแล้วไม่ก้าวหน้าเพราะไปกลัว ไปฟุ้งซ่านว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วบางทีก็คิดไม่เลิก เลยไม่ได้ดีสักที เรามีหน้าที่ทำ ส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็ช่าง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านว่า “มอบกายถวายชีวิตต่อพระพุทธเจ้า” ก็คือ ถึงจะตายลงไปเพราะการปฏิบัตินี้เราก็ยอม จะได้เป็นการตัดร่างกายไปในตัวด้วย |
ถาม : การที่เราไม่กินเนื้อสัตว์ได้บุญไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าเราตั้งใจงดเว้นด้วยความเมตตาจริง ๆ ก็ได้บุญ แต่ถ้าเรางดเว้นเพราะไปคิดว่า เราเว้นแล้วเราจะดีกว่าคนอื่นเขา ก็จะแบกกิเลสมากขึ้นไปอีก พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า ภิกษุของท่านถ้าจะฉันเนื้อ ๑.ต้องไม่รู้ว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ๒.ต้องไม่เห็นว่าเขาฆ่าเพื่อเรา คือต่อหน้าต่อตาเลย ๓.ต้องไม่รังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อเรา อย่างเช่นว่า เอ๊ะ...เขาเองไม่น่าจะมีไก่อยู่ในบ้านนะ แต่พอเรามาถึงสักพักมีต้มไก่มาด้วย อันนี้เขาทำเพื่อเรานี่ อย่างนี้เขาเรียกว่ารังเกียจ ไปนึกถึงหลวงพ่อวิชาสมัยโน้น ร้านแม่ลาปลาเผาเปิดใหม่ ๆ ตอนนั้นมีหลวงตาวัชรชัย มีหลวงพี่ชัยศรีไปด้วย เข้าไปถึงก็เพล เจ้าของร้านมาถามว่าจะฉันอะไรเจ้าคะ ? “อะไรก็เอามาเถอะ” ปรากฏว่าเขาหายเข้าไปหลังร้าน เสียงทุบปลาช่อนปั่บ...ดิ้นพลาด ๆ หลวงพ่อวิชาหน้าเหลือสองนิ้วเลย ท้ายสุดก็บอกว่า “กินอย่างอื่นเถอะ” เรื่องนี้ไม่รู้ท่านยังจำได้อยู่หรือเปล่า ? เพราะว่าสมัยนั้นแม่ลาปลาเผาเพิ่งเปิดใหม่ ๆ ลูกค้าเขาไม่เยอะ เขาก็ทำสด ๆ ได้ สมัยนี้เขาต้องเผารอไว้แล้ว ถึงเวลาลูกค้าสั่งก็แค่อุ่นหน่อยเดียว จำได้ว่าตอนที่เขาเปิดร้าน ดูเท่มากเลยนะ เขาใช้ขวดมาเรียงต่อ ๆ กันเป็นอาคารรูปขวดใบใหญ่ ๆ |
ถาม : ไปดูในซีรีส์พุทธประวัติ เขาบอกว่าพระเจ้าพิมพิสารฆ่าตัวตาย ?
ตอบ : ในพระไตรปิฎกบอกว่าโดนพระเจ้าอชาตศัตรูจับไปขังแล้วก็ทรมาน แล้วก็เลยตายในวันที่ลูกท่านเกิดพอดี พูดง่าย ๆ ก็คือไม่ได้เห็นหน้าหลาน ถาม : แล้วเป็นอนันตริยกรรมไหมคะ ? ตอบ : เป็น...พอพระพุทธเจ้าเทศน์สามัญผลสูตร พระเจ้าอชาตศัตรูอย่างต่ำต้องได้พระโสดาบัน แต่ท่านไม่ได้อะไร เพราะมาติดกรรมตรงนี้ ก็ต้องไปชดใช้กรรมที่ฆ่าพ่อก่อน แต่ด้วยความที่พระองค์ท่านตอนหลังกลับมาเป็นสัมมาทิฐิ สนับสนุนพระพุทธศาสนาอย่างใหญ่โต ถึงขนาดเป็นประธานในการทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรก ถึงไม่สามารถล้างบาปได้ แต่ผลบุญพวกนี้ก็บรรเทาบาปลงไปได้เยอะ |
ถาม : เรื่องตำราทิศที่ตั้งกุฏิเจ้าอาวาส ถ้าตรงกับหลังโบสถ์ ?
ตอบ : ถ้าตั้งด้านหลังโบสถ์เป็นทิศปาราชิก ถ้ากุฏิเจ้าอาวาสตั้งอยู่ทิศนั้น โปรดระวังจะต้องอาบัติปาราชิก..! |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้จ่ายเงินเดือนหนึ่งบางทีก็หมื่นกว่าสองหมื่น ให้ท่านโมเอาหมาไปรักษา เมื่อก่อนจะมานี่สองวันจ่ายเงินไป ท่านโมกลับมาเกือบจะทำวัตรค่ำรอบสองไม่ทัน บอกว่า "หมดแล้วครับอาจารย์" "เฮ้ย...เพิ่งให้ไปหมื่นหนึ่ง" ท่านโมบอกว่าเอาหมาไปรักษาทีเดียว ๖ ตัว ตอนแรกก็ไม่มีคนใส่ใจ ยกเว้นว่าตัวไหนเจ็บมาก ๆ ก็ให้ไพศาลเอาไปหาหมอทีหนึ่ง ตอนหลังพอมีทิดเทิดมา ทิดเทิดก็ช่วย คราวนี้พอท่านโมรับเป็นภาระ อาตมาก็เลยควักกระเป๋าจ่ายอย่างเป็นทางการเลย
หมาตัวที่พุงโรนั้นขาดโปรตีน ก็เลยบอกท่านโมให้ซื้อไก่ย่างให้กิน ถ้าไม่ได้ไก่ย่างเดี๋ยวเอาเพ็ดดีกรีกระป๋องให้ ส่วนหมาที่ซึม ๆ นั่นเป็นพยาธิในเลือด ติดเชื้อจากเห็บ ลูกหมาที่วัดเป็นเกือบทุกตัว แต่ยาแพงใช้ได้เลย ๖ ตัวหมดไปเกือบหมื่นถ้วน ตัวที่พุงโรนั้นหมอเขาเจาะพุงแล้วดูดน้ำออกมา วันก่อนเจออยู่ตัวหนึ่งเป็นแผลที่คอเหวอะเลย ลักษณะเหมือนอย่างกับเป็นมะเร็งแล้วแตก ถามท่านโมว่าทำไมไม่เอาตัวนี้ไป ท่านบอกว่าจับไม่ได้ครับ พอตอนเย็นมาบอกจับได้แล้ว หมาหลบไปนอนในส้วม ก็เลยปิดประตูขังไว้" |
ถาม : ตัวนั้นเขาชอบแอบเข้ามานอนในศาลา ?
ตอบ : ถ้าเขาอยู่ข้างนอก เขาจะโดนแมลงวันตอมแผล อาตมาเคยไปคีบแมลงวันออกจากแผลมา บางตัวหนอนขึ้นหลังขึ้นคอ ต้องเอาน้ำยาเบตาดีนราด แล้วหนอนหายใจไม่ได้ก็โผล่หัวขึ้นมา ก็เอาปากคีบคอยคีบออกทีละตัว ยังดีว่าไปอยู่วัด ถ้าอยู่บ้านนี่เจ้าของคงทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ อยู่วัดอย่างน้อยยังมีพระดูแลพาไปหาหมอ สมัยก่อนอยู่ที่วัดท่าซุงก็มีป้าน้อย (นรีกร) เขาเรียกฉายาว่า น้อยรักหมา ส่วนป้าน้อย (นิพันธา) เดิมชื่อกานดา เขาเลยเรียกน้อยกานดากับน้อยรักหมา ถึงเวลาถ้าบอกป้าน้อยต้องมีวงเล็บ เพราะไม่รู้ว่าป้าน้อยคนไหน ป้าน้อยกานดาเป็นน้องสาวคุณหญิงเยาวมาลย์ แล้วที่ขำที่สุดก็คือคุณหญิงเยาวมาลย์ทำพินัยกรรมยกสมบัติให้ โดยมีข้อแม้ว่าให้ทนายคอยตรวจสอบ เดือนไหนป้าน้อยกานดาอยู่วัดไม่ถึง ๑๕ วันไม่ต้องจ่ายเงิน บังคับน้องให้เข้าวัด ...(หัวเราะ)... ป้าน้อยเป็นคนที่ห้าวหาญมาก นิสัยกึ่ง ๆ ผู้ชาย ถ้าไม่โดนบังคับแบบนั้นนี่ไม่เข้าวัดง่าย ๆ หรอก ถาม : พี่น้องแต่หน้าตาไม่เหมือนกันเลย ? ตอบ : สภาพจิตต่างกัน คนหนึ่งไปพระนิพพานแล้ว สภาพจิตของคนที่จะไปพระนิพพาน จิตสวยก็พลอยพาให้กายสวยไปด้วย |
ถาม : หนูไม่เข้าใจระหว่างการใช้หลักกาลามสูตรกับวิจิกิจฉา ?
ตอบ : ส่วนใหญ่กาลามสูตรเขาให้ใช้สำหรับสิ่งที่มาจากข้างนอก ได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็นมา อย่าเพิ่งเชื่อจนกว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นจะเป็นจริงตามนั้นแล้วค่อยเชื่อ ส่วนตัววิจิกิจฉาเป็นสภาพจิตของเราที่ลังเลสงสัยต่อผลการปฏิบัติ การลังเลสงสัยต่อผลการปฏิบัติ ก็คือ สงสัยว่าที่พระพุทธเจ้าสอนมานั้นดีจริงหรือไม่ ? ที่ครูบาอาจารย์สอนมาดีจริงหรือไม่ ? เราก็แค่ดูย้อนหลังไปว่า ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน เรามีพระอริยเจ้าต่อเนื่องมานับองค์ไม่ถ้วน ถ้าไม่ดีจริงท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็คงเป็นไม่ได้ ถ้ายังสงสัยก็ทำต่อไป ได้คำตอบแล้วจะเลิกสงสัยเอง เป็นเรื่องปกติ ถ้าไม่สงสัยเราก็ไม่คิดที่จะทำ ถาม : ...(ไม่ชัด)...? ตอบ : ไม่ใช่...ถ้าสงสัยลักษณะนั้นต้องทำ ทำถึงแล้วก็จะเลิกสงสัยไปเอง หรือไม่ก็หาคนที่เขาเคยทำผ่านตรงนั้นมา แล้วสอบถามรายละเอียดจากเขา แต่ว่าการเอาแต่ถาม บางทีก็ทำให้เราฟุ้งซ่าน ฉะนั้น...ลงมือทำดีกว่า ถ้าทำแล้วติดขัดตรงไหนค่อยมาถาม ถาม : เป็นมารหลอกหรือเปล่าคะ ? ตอบ : จะเรียกว่ามารหลอกก็ใช่ แต่ขณะเดียวกันถ้าไม่สงสัยแล้วใครจะค้นคว้า ? ถ้าไม่ค้นคว้าจะหาความก้าวหน้ามาจากไหน ? ฉะนั้น...เราเองก็สงสัยให้ถูกทางสิ อย่างเช่น สงสัยว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าพระนิพพานเป็นอย่างนี้ เป็นจริงหรือไม่เป็นจริง ? เราก็ค้นคว้าพระนิพพานให้ปรุไปเลย |
ถาม : เรื่องโลกุตรธรรม ๙ อย่าง
ตอบ : มรรค ๔ ผล ๔ รวมเป็น ๘ บวกนิพพาน ๑ เป็น ๙ เขาเรียกโลกุตรธรรม หรือนวโลกุตรธรรม ธรรมที่ทำให้พ้นโลก ๙ อย่าง ถาม : ไม่ใช่ มรรค ๘ หรือคะ ? ตอบ : ไม่ใช่ คนละอย่างกัน เขาบอกว่า "นับโดยมรรคผล" ไม่ใช่นับโดยมรรคเฉย ๆ นับทั้งมรรคทั้งผล มีโสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตมรรค โสดาปัตติผล สกทาคามีผล อนาคามีผล อรหัตผล แล้วก็พระนิพพาน ถาม : ที่เขาบอกว่า “๔ คู่ นับเรียงตัวได้ ๘ บุรุษ” ? ตอบ : ก็คือ ๔ คู่นี้แหละ คือพระอริยเจ้าที่เป็นอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ นับเป็น ๔ คู่ ถ้าเรียงบุคคลก็ได้ ๘ บุคคล คือ โสดาปัตติมรรคกับโสดาปัตติผลคู่ที่ ๑ สกทาคามิมรรคกับสกทาคามีผลคู่ที่ ๒ อนาคามิมรรคกับอนาคามีผลคู่ที่ ๓ อรหัตมรรคกับอรหัตผลคู่ที่ ๔ รวมแล้วก็ ๘ บุคคล |
ถาม : การที่จะสั่งสมกำลังเพื่อสู้กิเลสได้ ก็เกิดจากจิตใช่ไหมคะ ?
ตอบ : เกิดจากจิต แต่ว่าจิตจะต้องใฝ่ดี สั่งสมความดีใน ศีล สมาธิ ปัญญา มากขึ้นไปเรื่อย ๆ ถ้าหากว่าสภาพจิตไม่ใฝ่ดี มีแต่ไหลลงต่ำ ก็จะสะสมแต่สิ่งที่ไม่ดีไม่งาม แล้วพาตัวเองตกต่ำไปเรื่อย ฉะนั้น...ทุกวันนี้เราก็เหมือนกำลังไต่ภูเขาอยู่ ถ้าถึงยอดเมื่อไรก็รอดไปที ถ้าไม่ถึงยอดก็อาจจะพักอยู่กลาง ๆ เขา ถ้าเตี้ย ๆ ร่อแร่อยู่ขอบเหวก็มนุษย์ สูงขึ้นไปหน่อยก็เทวดา สูงไปอีกหน่อยก็พรหม สูงขึ้นไปอีกก็เป็นพระอริยเจ้าตามลำดับชั้น ท้ายสุดก็โน่น พ้นจากเหวหรือไม่ก็ขึ้นฝั่งได้ เป็นอันว่าเผ่นไปไกล ๆ เลย ถาม : หนูกลัวว่าจะไปเกิดอรูปพรหม ? ตอบ : กลัวก็ไม่ต้องไป อรูปพรหมไม่ได้บังคับให้เราไป ยกเว้นว่าเราทำในอรูปฌานจนชิน สภาพจิตเข้าถึงจุดนั้นอยู่ตลอดเวลา ถ้าอย่างนั้นมีสิทธิ์หลุดไปอรูปพรหมได้ แต่ถ้าหากเราไม่ได้ทำตรงนี้เอาไว้ก็ไม่ต้องไปกลัวหรอก เพราะไปยาก อรูปพรหมไม่ได้ไปง่าย ๆ หรอก ต้องบอกว่าไปยากสุด ๆ |
ถาม : พระเจ้านั่งดินซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่ลพบุรีเขาสร้างหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันตก ?
ตอบ : โบราณเขาสร้างให้หันไปทางทิศตะวันตกเพราะให้หันไปสู่แดนพุทธภูมิ ประเทศพม่าเกือบทั้งประเทศหันไปทางทิศตะวันตกหมด เขาถือว่าหันไปแดนพุทธภูมิคือที่เกิดของพระพุทธเจ้า แต่ความจริงควรจะให้ท่านหันไปทิศตะวันออก เพื่อที่เราหันไปไหว้ท่านจะได้หันไปทางทิศตะวันตกที่เป็นพุทธภูมิ แต่ที่แปลก คือ หลวงพ่อพระมหามัยมุนีหันไปทางทิศตะวันออก มิน่า...คนไหลไปอย่างกับน้ำเลย บ้านเราสมัยก่อนสัญจรทางน้ำเป็นปกติ การสร้างโบสถ์ส่วนมากก็จะหันลงแม่น้ำ จะได้ให้คนเห็นได้ง่าย ๆ ถ้าหันลงแม่น้ำแล้วผิดทิศ บางทีเขาก็ปล่อยเลยตามเลย มีอย่างหนึ่งที่ยังไม่ได้พิสูจน์คำพูดของนายละเมี้ยตอ่อง พ่อค้าไม้จันทน์เมืองมัณฑะเลย์ เขาบอกว่าไม้จันทน์อินเดียจะหอมที่สุด รองลงมาก็เป็นของพม่า รองลงมาก็เป็นของไทย แล้วก็ไล่ไปทางด้านลาว เขมร ถามว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ? เขาบอกว่ายิ่งใกล้แดนพุทธภูมิเท่าไรก็ยิ่งหอมมากเท่านั้น แต่อาตมาคิดว่าถ้าแห้งแล้งมากเท่าไรก็จะหอมมากเท่านั้น แต่คราวนี้ในเมื่อความเชื่อของเขาเป็นอย่างนั้นก็ดีอยู่อย่าง ทำให้ได้พุทธานุสติไปด้วย ตำราเขาถึงได้บอกว่า แตงของฮามิหรือไม่ก็องุ่นของซินเจียงอร่อยที่สุด หวานที่สุด เพราะว่าอยู่ในทะเลทราย ยิ่งขาดน้ำมากเท่าไร ความเข้มข้นของน้ำตาลก็ยิ่งสูงเท่านั้น เดี๋ยวเอาไว้มีโอกาสจะไปพิสูจน์ดู |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:23 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.