![]() |
ยศช้าง ขุนนางพระ ตั้งยศให้ช้าง ช้างก็ยังกินอ้อยกินหญ้าอยู่เหมือนเดิม ตั้งยศให้พระ ถ้าท่านรู้ตัวว่าเป็นพระ ท่านก็ยังเป็นหลวงปู่หลวงพ่อเหมือนเดิม ถ้าท่านไม่รู้ตัวว่าเป็นพระ กูเป็นพระครู กูเป็นเจ้าคุณ ก็ปล่อยท่านไปเถอะ เพียงแต่ว่าได้ยศมาแล้วต้องใช้ ยิ่งเป็นสัญญาบัตรแล้ว ถ้าทำเป็นสมถะยอมไม่ใช้ ระวังจะซวย ถือว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ..!
เรื่องยศนี่ต้องดูหลวงปู่สิม วัดถ้ำผาปล่อง ท่านเป็นพระครูสันติวรญาน ทิ้งตำแหน่งไปอยู่ป่าอยู่ถ้ำ จนกระทั่งได้รับพระราชทานตั้งเป็นเจ้าคุณพระญานสิทธาจารย์ ท่านรับพัดเสร็จ รุ่งขึ้นท่านก็มรณภาพเลย คราวนี้หนีไกล ใครก็ตามไม่ได้ ท่านจะปฏิเสธก็ไม่ได้ เพราะเกรงว่าจะเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เลยใช้วิธีหนีไปพระนิพพาน หมดเรื่องไปเลย ๑๒ สิงหาคมไปรับพัด ๑๓ สิงหาคมก็มรณภาพ ไปดีกว่า ขืนอยู่เดี๋ยวท่านให้เยอะกว่านี้ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เคยได้ยินชื่อหลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบไหม ? สมัยก่อนพระแถวภาคกลาง ไม่ใช่เฉพาะอยุธยานะ ก่อนออกธุดงค์ต้องไปขึ้นครูกับหลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ แม้กระทั่งหลวงพ่อฤๅษีของเราก็ไปขึ้นครูธุดงค์ที่นั่น"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "ของบางชิ้นในเว็บถ้าเก็บกลับมา อาตมาก็พกติดตัวต่อ เพราะคนไม่รู้จัก คิดว่าทำไมแพงจัง ? ไม่รู้จักก็เรื่องของเขา หลวงปู่ยิ้ม วัดเจ้าเจ็ด ๔-๕ องค์ ออกเกลี้ยงไปแล้ว
หลวงปู่ยิ้ม วัดเจ้าเจ็ด หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก ๓ เสืออยุธยา มีหลวงปู่จงไม่เอายศตำแหน่งกับใคร ไปเรื่อย ไปนึกถึงสมัยโน้น หลวงปู่ปานรับพัดพระครู ชื่อเสียงกิตติคุณของท่านดังคับประเทศ สมัยนี้เป็นเจ้าคุณเทพ เจ้าคุณธรรม ยังดังน้อยกว่าหลวงปู่ปานตั้งเยอะ แสดงว่าพระครูสมัยก่อนราคาสูงมาก วันก่อนไปเปลี่ยนผ้าครองถวายหลวงปู่สาย พระท่านก็ช่วยกันยกอัฐบริขารออกมาก่อน อาตมาต้องเตือนให้ระวัง เพราะพัดยศของหลวงปู่ทั้ง ๒ เล่มเป็นด้ามงาทั้งคู่ นั่นพัดพระครูนะ พระครูสมัยก่อนราคาแพงมาก เป็นด้ามงา สมัยนี้ขนาดเจ้าคุณยังแค่ด้ามพลาสติก" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระนิพพานไม่ใช่ภาษาพูด ไม่ใช่ภาษาเขียน พระนิพพานเป็นภาษาใจ ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง นาญโญ อัญญัง วิโสธะเย คนเราจะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน คนหนึ่งจะทำให้อีกคนหนึ่งบริสุทธิ์หาได้ไม่ แปลว่าอยากจะไปพระนิพพานต้องลงทุนลงแรงทำเอง ถ้าติดขัดตรงไหนมาถามก็แล้วกัน"
|
ถาม : หนูขายพวกเสื้อผ้า เครื่องสำอาง จะเป็นการทำงานยั่วกิเลสเหมือนดารานักร้องไหมคะ ?
ตอบ : ขายไปเถอะ..เราไม่ได้บังคับให้เขาแต่ง เขาเอาเงินมาซื้อเอง ในเมื่อมาซื้อเองก็กรรมของเขาเอง ของตั้งอยู่เฉย ๆ ไม่ยั่วกิเลสใคร ยกเว้นว่าเขาแต่งแล้วไปยั่วกิเลสเสียเอง ถาม : เวลาขายเราก็แนะนำว่าเครื่องสำอางนี้ดีอย่างนี้ ๆ ? ตอบ : ถ้ากังวลมากก็ไปขายอย่างอื่นแทน เวลาที่เรารักษาศีลปฏิบัติธรรมมีตั้งเยอะตั้งแยะ ไม่ใช่ว่าเราจะนั่งขายอยู่ทั้งวันทั้งคืนเมื่อไร เรียกว่ากังวลจนเกินเหตุ อะไรที่พอปล่อยได้ก็ปล่อย พอวางได้ก็วาง ไม่ใช่แบกไว้ทุกเรื่อง มารหลอกให้เราคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย เรื่องความสงบของใจจริง ๆ ก็เลยไม่มี อยากจะขายอะไรก็ขายไป ถึงเวลาเลิกขายก็มานั่งภาวนาจะไปพระนิพพานของเรา |
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่กำลังจะเปิดกิจการใหม่เพิ่มว่า “อย่าเปิดศึกหลายด้าน เปิดศึกหลายด้านจะบริหารให้ดีก็เหนื่อยมาก ถึงได้เตือนว่า ถ้าเราทำงานเก็บเงิน ได้เงินมาเยอะ ๆ แล้วสุขภาพชำรุดก็ต้องเอาเงินเก็บนั่นแหละไปรักษาตัว แล้วจะคุ้มหรือ ? เงินเป็นของดี แต่ค่อนข้างจะทะเยอทะยาน เพราะฉะนั้น..ต้องให้เงินเป็นผู้ตาม อย่าให้เงินเป็นผู้นำ
มีบริษัทหนึ่งที่ผลิตน้ำผลไม้สกัดรวม เคยกินกันหรือยัง ? ที่เขาว่าอย่างโน้นดีอย่างนี้ดีแล้วก็เอาหลาย ๆ อย่างมาสกัดรวมกัน ระวัง..บางคนกินเข้าไปคันปางตายเลย สำหรับบางคน พอหลายอย่างลงไปแล้วหักล้างกันก็มี หนุนเสริมกันก็มี ก็จะทำอันตรายกับคนกิน แต่คนทำไม่รู้ รู้อยู่อย่างเดียวว่ามีประโยชน์ การแพทย์โบราณเขาศึกษาลึกซึ้งกว่า ไม่ว่าจะเป็นอายุรเวชโบราณแบบของอินเดีย แพทย์แผนโบราณแบบจีนหรือแพทย์แผนโบราณแบบไทย ในเมื่อเขาศึกษาลึกซึ้งกว่า เขารู้ว่าอะไรเหมาะอะไรควร การจัดยาให้คนไข้จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก ไม่ใช่ว่าอะไรดีก็ตั้งหน้าตั้งตาให้กินเข้าไป พระพุทธเจ้าตรัสอะไรไว้ไม่ผิดหรอก ต้องมัชฌิมาปฏิปทา พอดี ๆ เป็นทางสายกลางจึงจะก่อประโยชน์ มากเกินไปก็เป็นโทษ น้อยเกินไปก็ไม่พอที่จะเข้าถึงประโยชน์นั้น ถ้าใครอยากรู้ว่า เวลาพวกธาตุอาหารต่าง ๆ หักล้างหรือว่าหนุนเสริมกันว่าเป็นอย่างไร ก็ลองไปกินหอมหัวใหญ่กับน้ำผึ้ง หรือไม่ก็ลูกพลับกับปูทะเล แล้วจะรู้รสชาติของชีวิต รับรองว่าหามส่งโรงพยาบาลแน่นอน ที่บางคนบอกว่าอาหารเป็นพิษ เรารู้จักแต่กิน ไม่รู้ว่าอย่างไหนหนุนเสริมกัน อย่างไหนหักล้างกัน คราวนี้ถ้าเข้าไปหักล้างกันก็เอาร่างกายเราเป็นสนามรบ กว่าจะรบกันเสร็จเราก็เละ..!” |
ถาม : เขาบอกว่าแหวนจักรพรรดิให้ใส่นิ้วชี้ข้างขวา ?
ตอบ : จะใส่นิ้วไหนก็ได้ คราวนี้มีคนประเภทที่คิดว่าพระเจ้าจักรพรรดิต้องบัญชาคนก็เลยใส่นิ้วชี้ กะว่าจะชี้สั่งอย่างเดียว ขอบอกว่าใครสั่งอย่างเดียวแล้วไม่ลงไปดูด้วยนี่งานเละทุกราย..! ถาม : หนูใช้คู่กับคาถาเงินล้าน ? ตอบ : เรื่องของคาถามีอานิสงส์อยู่แล้ว ขอให้ทำจริง ๆ เท่านั้น |
ถาม : เรียนไม่เก่ง สอบตก ?
ตอบ : เขาบอกว่าสอบได้เป็นของตลก สอบตกเป็นของธรรมดา ให้นั่งสมาธิภาวนา ใช้คาถา "สหัสสะเนตโต เทวินโท ทิพพะจักขุง วิโสทายิ" ท่องไว้บ่อย ๆ เล่นเกมให้น้อย ๆ ลง ก็สอบได้เอง ทำไปเถอะ จะมากจะน้อยผลต้องมีอยู่แล้ว ไม่ใช่ยังไม่ทันทำก็กลัวโน่นกลัวนี่ เล่นไลน์ให้น้อย ๆ หน่อย ภาวนาให้เยอะขึ้นก็จะสอบได้เอง เวลาได้ยินว่าเด็กเรียนไม่เก่ง หรือมีปัญหากับการเรียนแล้วเครียด อาตมาเกิดมาไม่เคยมีปัญหาอย่างนี้ สอบทีไรก็ลุ้นอยู่อย่างเดียวว่าจะได้ที่ ๑ หรือเปล่า แสดงว่าผลของการปฏิบัติสมาธิภาวนามาในอดีตมีผลมหาศาล เรื่องของการเรียนของเด็กสมัยนี้ ที่ว่าไม่เก่ง ไม่ดี มีอยู่ ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุหนึ่ง...อยู่ที่ตัวเอง สาเหตุที่สอง...อยู่ที่อาจารย์ สาเหตุแรกพ่อแม่ต้องเคี่ยวเข็ญหน่อย เพราะว่าพอวัยรุ่นขึ้นมามักมีสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าการเรียน สมัยนี้เทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นอินเตอร์เน็ตก็ดี พวกเครื่องไม้เครื่องมือ ไอโฟน ไอแพ็ด ต่าง ๆ ทำให้เด็กไปทุ่มเทความสนใจตรงนั้นมากกว่า ต้องสอนให้เด็กมีวินัยให้ได้ ถ้าทุ่มเทความสนใจในการเรียนได้เท่าที่ไปนั่งเขี่ยไลน์ก็พอแล้ว ส่วนประการที่ ๒ อยู่ที่อาจารย์ เพราะว่าครูบาอาจารย์สมัยนี้หาเก่งยาก ไม่ต้องอะไรหรอก รุ่นของอาตมานี่แหละ สอบเข้าเรียนอะไรไม่ได้ ก็เข้าเรียนครู แทนที่คนเก่งที่สุดจะไปเรียนครู เพื่อที่จะได้สอนเขาต่อ กลายเป็นว่าคนที่ไม่เอาไหนเลยไปเรียนครู ในเมื่อตัวเองไม่เก่ง ไปสอนเด็กเก่งได้ก็ประหลาดแล้ว |
ส่วนอีกประเภทหนึ่ง คือ บรรดาครูที่ born to be เกิดมาเก่ง ไปเปิดโรงเรียนสอนพิเศษ ความจริงบรรดาติวเตอร์เก่ง ๆ ต้องจับเข้ามาในโรงเรียน ให้สอนเด็กให้หมด ให้เป็นศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์หมดเรื่องหมดราวไปเลย ต้องบอกว่าในเมื่อโครงสร้างการศึกษาของเราบิด ๆ เบี้ยว ๆ มาแต่แรกแล้ว ก็ต้องทน ๆ กันไป
อีกประการหนึ่ง คือ ปัจจุบันนี้เขาต้องการให้ครูโกหกมากเป็นพิเศษ เอะอะก็ต้องทำผลงานทางวิชาการ ทำแผนการสอน ปรากฏว่าคนที่เก่งคือคนที่เขียนรายงานออกมาได้สวยที่สุด แต่ในความเป็นจริง จะสอนได้เรื่องหรือเปล่าก็ไม่รู้ ในเมื่อถึงเวลาแล้วครูต้องไปทำเรื่องพวกนี้อยู่ แล้วใครจะมีอารมณ์มาสอนเด็ก จะว่าไปแล้วเรื่องพวกนี้ควรจะมีเจ้าหน้าที่สักแผนกหนึ่งทำแทนเลย ถึงเวลาก็เอาข้อมูลไปให้เขาทำ ไม่อย่างนั้นก็กินเวลาคุณครูไปหมด ประการสุดท้าย ตั้งเงินเดือนครูให้สูงลิบโลกไปเลย ไม่อย่างนั้นไม่พอใช้สักที ร้อยละ ๙๙.๙๙ ของครูบาอาจารย์ในประเทศไทย ติดหนี้หมด แล้วก็อย่าไปถามนะว่าเด็กจะเก่งได้อย่างไร เพราะเด็กบ้านเราไม่ได้ฝึกให้อ่านหนังสือ ต่างประเทศเทคโนโลยีเขาดีขนาดไหนก็ตาม ค้นอินเตอร์เน็ตเก่งกว่าเราหลายเท่าก็ตาม แต่เขาบังคับเด็กให้เข้าห้องสมุด เราลองไปยุโรป อเมริกาดู บรรดาเด็กที่เรียนมหาวิทยาลัยดัง ๆ ไม่ว่าจะเป็นไอวี่ลีกก็ดี อะไรก็ดี ต้องเข้าคิวยาวเป็นไมล์เพื่อเข้าห้องสมุด เนื่องจากคุณครูไม่ยอมรับข้อมูลที่เอามาจากอินเตอร์เน็ต คุณจะต้องอ้างได้ว่าเอามาจากหนังสือเล่มไหน หน้าไหน ข้อไหน ไม่อย่างนั้นครูไม่เอา ก็เท่ากับบังคับให้เด็กต้องอ่านหนังสือโดยปริยาย ส่วนบ้านเราต้องบอกว่าราคาหนังสือแพง เล่มขนาดนี้ (ยกหนังสือให้ดู) ราคาหลายร้อย ถ้าไม่ใช่ว่าแจกฟรี ต่ำ ๆ ก็ ๒๐๐ บาท ค่าแรงขั้นต่ำของเราวันละ ๓๐๐ บาท แต่อย่างของอเมริกา ชั่วโมงละ ๘ ดอลลาร์ ซื้อแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นละ ๙๙ เซ็นต์ แถมโค้กอีกกระป๋องหนึ่ง ๒ ดอลลาร์ ก็เท่ากับหมดไป ๓ ดอลลาร์ ยังเหลืออีกตั้ง ๕ ดอลลาร์ หนังสือเล่มหนึ่ง ๓.๙๙ ดอลลาร์ แปลว่าเขาว่าทำงานชั่วโมงหนึ่ง กินอิ่มไม่พอ มีหนังสืออ่านอีกเล่มหนึ่ง เขาทำงานวันละ ๘ ชั่วโมง เหลือที่จะพอ แต่บ้านเราทำงานทั้งวันซื้อหนังสือได้ ๑ เล่ม ข้าวไม่ต้องกิน แล้วจะให้เด็กเราเก่งเหมือนเขาได้อย่างไร ถ้าจะแก้ต้องแก้ตั้งแต่ระดับนโยบายการศึกษาของประเทศเลย |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ซื้อจักรยานมาแล้วต้องใช้ให้ครบอย่างน้อย ๓ เดือนนะ ไม่ใช่ใช้ ๓ วันแล้วเอาไว้ตากผ้า บ้านเราส่วนใหญ่แล้วมักจะทำอะไรฉาบฉวยแบบไฟไหม้ฟาง ถึงเวลาก็เห่อตามกัน พวกบรรดาสินค้าที่ขายตรงถึงขายได้ดี แต่ดีพักเดียวแล้วก็เลิก ต้องไปหาของอื่นมาขายใหม่ เพราะฉะนั้น..โปรดอย่าเป็นไฟไหม้ฟาง โปรดทำอะไรจริง ๆ จัง ๆ แล้วเราจะประสบความสำเร็จเอง
แต่ก็อย่าจริงจังกับชีวิตมากเกินไป ถ้าหาเงินมามาก ๆ แล้วสุขภาพชำรุด เงินที่ได้มาก็ไม่พอซ่อมสุขภาพ หัดพักเสียบ้างจะได้อ้วนท้วนสมบูรณ์" |
ถาม : หนูเลี้ยงแมวไว้แล้วเขาสร้างความเดือดร้อนให้เยอะมาก ต้องการจะเอาไปปล่อย ?
ตอบ : แปลกดีนะ..หนูเลี้ยงแมว ปกติมีแต่หนูเป็นอาหารของแมว..! แมวเขาเลือกที่อยู่ของเขาเอง ถึงเวลาเขาก็ไปหาของเขาได้ แต่ต้องบอกว่าเราความเมตตาบกพร่องไปหน่อย แต่อาตมาก็เป็นคนเบื่อแมวที่สุดเลย สมัยอยู่วัดท่าซุง ป้าศุอดีตภรรยาหลวงตาวัชรชัย เก็บแมวทุกตัวมาเลี้ยง คราวนี้แมวมีกลิ่นแรง อาตมาเดินผ่านบ้านป้าศุทีไรจะสลบให้ได้..! ถ้าใครเลี้ยงแมวไว้โปรดระมัดระวัง อันดับแรกก็คือข้าวของเฟอร์นิเจอร์ทุกอย่าง รับประกันว่าเขาเล่นกระจาย อันดับที่ ๒ ก็คือกลิ่น ไม่รู้ฝรั่งเขาคิดสเปรย์ดับกลิ่นได้หรือเปล่าไม่รู้ จะว่าไปแล้วกลิ่นนั้นเขาทำเครื่องหมายว่าเขตนั้นเป็นของเขา แต่แหม..กลิ่นประทับใจจริง ๆ ถาม : แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไรดีคะ ? ตอบ : ยังไม่เจอวิธีเลย ยกเว้นว่าไม่เลี้ยง ถาม : หนูเปิดร้านขายเสื้อผ้าแล้วเขาฉี่ใส่สินค้า เลยเดือดร้อนมาก ? ตอบ : แน่นอน ที่วัดท่าขนุนแมวมาฉี่ใส่พรมที่นั่ง มาฉี่ใส่กระดาษทิชชู่ที่ใช้ แล้วกลิ่นฉี่นี่ต้องทิ้งกระดาษไปทั้งกล่อง ไม่สามารถจะเหลือไว้ใช้งานได้ครึ่ง ๆ แล้วเราจะไปปล่อยที่ไหน ? เดี๋ยวนี้เห็นเขามีสมาคมช่วยหมาช่วยแมว เอาไปไว้ที่นั่นก็ได้เขาจะได้เลี้ยงต่อให้ ลอง ๆ ไปหาข้อมูลดู |
ถาม : กำลังใจตก แก้อย่างไร ?
ตอบ : ไม่มีทางแก้ ต้องมีสติอย่างเดียวเลย เพราะว่าทันทีที่เราใกล้ความดีมากเท่าไร มารเขารู้ว่าเราจะพ้นมือแล้ว ก็เลยหาทางกวนเราให้ขุ่น แล้วตอนที่กวนเราให้ขุ่นได้ เพราะใจเราหลุดจากลมหายใจเข้าออก เพราะฉะนั้น..เอาสติจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออก อย่าเผลอให้หลุดได้ พอเราภาวนาอารมณ์ดี ๆ แล้วเราก็มักจะนั่งดูไปเรื่อย ไม่ได้คิดที่จะดูจะแลเพิ่มเติมอะไร พอถึงเวลากำลังน้อยกว่าก็โดนเขางัดหงายท้อง ไปทำให้ต่อเนื่องมากกว่านี้ เริ่มจะดีแล้ว อาตมาเคยหกล้มหกลุกวันหนึ่งเป็นร้อยเป็นพันครั้งเลย ถาม : เวลาภาวนาไปรู้สึกว่าร่างกายเรา....(ไม่ชัด) ตอบ : ความชั่วเกิดทางไหน ? ทางกาย ทางวาจา ทางใจ เมื่อเรานั่งอยู่ตรงนั้น กายกับวาจาเราชั่วตรงไหน ? ก็เหลือแต่ใจ ก็ปล่อยไปบ้างสิ เราชนะไปตั้ง ๒ แล้ว ให้เขาชนะไปสักอย่างหนึ่งก็ได้ |
ถาม : ถ้าเราภาวนาแล้วฟุ้งซ่านเอาไม่อยู่ แล้วไปปั่นจักรยาน ?
ตอบ : ปั่นจักรยานเพื่อแม่ เวลาออกกำลังรู้สึกเหนื่อย ร่างกายไม่ไหว รู้สึกว่าใกล้ตาย ใจจะสงบไปเอง ถาม : (ไม่ชัด) ตอบ : ศีล..ของท่านตัวตายดีกว่าศีลขาด ของปุถุชนพร้อมที่จะศีลขาดถ้าตัวจะตาย..! วิธีนี้เอาไปใช้ได้ทุกคนนะ ถ้าฟุ้งซ่านมาก ๆ รัก โลภ โกรธ หลงมาแบบฟ้าถล่มดินทลาย ไปวิ่งรอบสนามหลวงสัก ๓ รอบก็หายเอง พอเหนื่อยลิ้นห้อยจะขาดใจตายลงไป จิตจะสงบ เพราะรู้ว่าจะตายแล้ว ต้องเอาตัวเองนะ เชื่อกิเลสไม่ได้แล้ว มีบางสายท่านให้กลั้นลมหายใจ แต่ไม่ดี เพราะว่าถ้าเผลอจะชิน อย่างของโบราณ คาถาจำนวนมากให้กลั้นใจภาวนา ๗ คาบ ๙ คาบ พอเราไม่หายใจ ร่างกายรู้ว่าตัวเองจะตายแล้ว จิตจะนิ่งอยู่ข้างใน ทำให้เกิดกำลังมากกว่าตอนปกติที่ฟุ้งซ่านอยู่ ท่านต้องการให้จิตนิ่งและมีกำลัง ท่านถึงได้ให้กลั้นใจ ลักษณะของการฟุ้งซ่านก็เหมือนกัน ถ้าเรากลั้นใจร่างกายจะไปไม่รอด จิตจะนิ่งอยู่เฉพาะหน้า แต่ว่าอย่าไปทำ ให้ใช้วิธีอื่น ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเคยชินแล้วจะกลั้นไปเรื่อย |
พระอาจารย์กล่าวว่า “สังสารันตา ภวาภเว สังสารวัฏคือการเวียนว่ายตายเกิดตามภพต่าง ๆ มีมาก เนิ่นนานจนนับชาติไม่ถ้วน คราวนี้เกิดเมื่อไรก็ทุกข์อีก ท่านบอกว่า ทุกขา ชาติ ปุนัปปุนัง เกิดเมื่อไรก็สร้างทุกข์ให้จนนับไม่ได้ ทุกข์แล้วทุกข์อีก ก็อยู่ที่พวกเราว่ายังอยากจะเกิดมาทุกข์อีกไหม ?”
|
พระอาจารย์กล่าวว่า “ส่วนใหญ่คนสมัยใหม่เราทำอะไรฉาบฉวย รู้ว่าอะไรดีก็ทำออกมาขาย โดยที่ไม่ได้ดูว่าความพอดีแต่ละคนไม่เท่ากัน อย่างเมื่อวานน้ำย่านางที่เอามาถวาย ถ้าอาตมาฉันไปสักแก้วก็ปางตายเลย เย็นอย่าบอกใครเชียว ถ้าไม่ใช่ไฟธาตุดี ๆ ฉันลงไปก็ไข้จับหรือไม่ก็เป็นหวัดไปเลย ถามว่าดีไหม ? ดี..แต่ว่าเหมาะสำหรับบางคน
โบราณถึงได้บอกว่าลางเนื้อชอบลางยา คนบางคนเหมาะกับยาบางตัว ขนาดคนป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บอย่างเดียวกัน คนโบราณจ่ายยาให้ยังไม่เท่ากัน เพราะว่าขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย ขึ้นอยู่กับอายุ ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทาน” |
ถาม : เรียนโยคะ ?
ตอบ : โยคะเรียนไว้แหละดี แต่ว่าต้องทำสม่ำเสมอจะช่วยได้เยอะมาก โรคภัยไข้เจ็บเกิดไม่ได้เพราะเลือดลมดี เรียนจนเก่งแล้วก็ไปถ่ายทอดต่อ รู้สึกชั่วโมงเรียนเดี๋ยวนี้แพงด้วยนะ ลองทำท่าสุริยนมัสการคาอยู่อย่างนั้น แล้วจะรู้รสชาติของชีวิต อยู่เฉย ๆ แท้ ๆ ทำไมร่างกายเผาผลาญได้ขนาดนั้น ก็คือการที่เราต้องตั้งสติทรงตัวให้ได้โดยใช้กำลังทางร่างกาย ตอนไปที่เนปาลเจอครูสอนโยคะผู้หญิง น้ำหนักน่าจะเกิน ๘๐ แต่แม่เจ้าประคุณพลิ้วไปทั้งตัวเลย ยอมรับว่าเขาเก่งจริง ๆ บอกกับเขาว่า “I make meditation only, I don’t know about Yoga.” แกหัวเราะก๊ากเลย น้ำหนักน่าจะเกิน ๘๐ แน่นอน แต่ว่าเดินเหินอะไรคล่องตัวไปหมด ความสูงก็ใกล้เคียงอาตมา อย่าลืมว่าแขกเขาตัวใหญ่อยู่แล้ว เขาเปิดเป็นลักษณะกึ่งสถานบำบัดกึ่งรีสอร์ท คนก็ไปพักแล้วก็ไปฝึกกับเขา จัดเป็นคอร์ส คอร์สหนึ่ง ๗ วันบ้าง ๑๕ วันบ้าง ตอนแรกไม่ได้จะไปหรอก เกิดจากตากฤษณ์ เขาเป็นมัคคุเทศก์อยู่ และแม่ป๋อมที่ไปด้วยเขาเล่นโยคะ จึงถามหาว่าที่นี่มีครูโยคะเก่ง ๆ ไหม ? คุยไปคุยมาเขาก็บอกว่าเขาก็มีครูอยู่ แล้วเขาก็ถามว่าทางเรามีใครเป็นครู ? แม่ป๋อมก็ชี้มาที่อาตมา ฉะนั้น..อาตมาก็เลยกลายเป็น "กูรู" ไปเลย การรู้อะไรหลาย ๆ อย่างก็ดีนะ แบบที่โบราณเขาบอกว่า “เรียนรู้ไว้เขาก็ไม่ขออะไรเรากินหรอก แต่อาจจะช่วยให้เรามีกินได้” |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทำงานก็ให้มีเวลาพักผ่อนเป็นของตัวเองบ้าง ไม่ทุ่มจนขนาดเอาเงินที่ได้มาไปรักษาตัวหมด ทำงานให้เมตตาต่อตัวเองบ้าง ถ้าคิดว่าอยู่ตัวแล้วก็ไม่ต้องไปหาเรื่องเหนื่อยมากขึ้น เหนื่อยมากขึ้นความทุกข์ก็มากขึ้น"
|
ถาม : (จะเข้าผ่าตัดรักษากระดูกสันหลังทับเส้นประสาท)
ตอบ : ไปหาพวกหมอนวดดีกว่า หมอจัดกระดูก ที่อาตมาเคยไป หมอไฉ้..พญาเวชคลินิก ไปถูกไหม ? เขาใช้เวลาประมาณ ๒-๓ นาที กด ๆ ดัด ๆ ดึง ๆ ลั่นเกรียวกราวไปทั้งตัวก็หาย ร้านเขาอยู่ซอยประชาอุทิศ ๑๙/๑ อยู่ปากซอยเลย อายุแค่นี้เองหมอนรองกระดูกทับเส้นแล้ว เดี๋ยวเขาดันให้ก็เข้าที่แล้ว ถ้าเราไปทำอะไรคล้าย ๆ เดิมก็จะเป็นอีก แต่ก็ดีกว่าผ่า จ่ายแค่ ๕๐๐ บาท ๓ ทีก็เสร็จแล้ว |
ถาม : (จะเปลี่ยนชื่อ)
ตอบ : เปลี่ยนแล้วได้อะไร นอกจากเสียเงินค่าธรรมเนียม คนรู้จักก็เรียกแต่ชื่อเก่า จำไว้ว่าถ้าจะเปลี่ยน ให้เปลี่ยนแนวคิดและความประพฤติจะมีผลแน่นอน เปลี่ยนชื่อไม่มีประโยชน์หรอก |
ถาม : มีความรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่ทั้งผู้ชายและไม่ใช่ทั้งผู้หญิง ?
ตอบ : ให้เป็นอย่างนั้นแหละดีแล้ว เพราะจริง ๆ แล้วถ้าสักแต่เห็นว่าเป็นรูป สักเห็นว่าเป็นธาตุ ก็จะรู้สึกชัดว่าไม่ใช่ของเรา ในเมื่อไม่ใช่ของเรา เรื่องของผู้หญิงผู้ชายเขาก็ไม่ใส่ใจกันแล้ว |
ถาม : เวลาปฏิบัติแล้วสงสัยหมดทุกอย่าง สงสัยบุญบาป สงสัยครูบาอาจารย์ ?
ตอบ : อันนี้เขาเรียกว่าวิจิกิจฉา เป็นเครื่องกั้นการปฏิบัติธรรมของเรา พูดง่าย ๆ คือเป็นอุปสรรค ต้องพยายามภาวนาให้จริง ๆ จัง ๆ ถ้าเข้าถึงสมาธิสักระดับหนึ่งความสงสัยจะหมดไปเอง แต่ถ้าตราบใดที่เข้าไม่ถึง เราก็จะสงสัยไปเรื่อย เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีผลจริงหรือเปล่า ทำให้ถูก ถ้าทำดี ทำถูก เข้าถึงจริง ๆ ก็จะเลิกสงสัยไปเอง สำหรับโยมที่เป็นคนช่างสงสัยนับว่ายังดี เพราะว่าโยมสงสัยแล้วยังทำ เจอบางคนสงสัยแล้วไม่ทำ ในเมื่อสงสัยแล้วไม่ทำ ก็อยู่ในลักษณะคิดว่า คาดว่า น่าจะเป็นอย่างนั้น น่าจะเป็นอย่างนี้ ก็เลยไม่เกิดผลกับตัวเองสักที ในเมื่อสิ่งที่ตัวเองทำไม่เกิดผล ก็กลายเป็นว่าของดีอยู่ตรงหน้าแล้วไม่รู้จัก ดีไม่ดีก็เกิดการปรามาสพระรัตนตรัยไปด้วย พวกลังเลสงสัยนี่บางทีจัดอยู่ในพวกวิตกจริต ไม่ถึงระดับของวิตกจริตแต่ต้องบอกว่าอยู่ในพวกเดียวกัน เพราะวิตกจริตนี่ประเภทย้ำคิดย้ำทำ ในเมื่อย้ำคิดย้ำทำอยู่ ท่านบอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากใช้อานาปานสติอย่างเดียว ถ้าถามว่าพระอริยเจ้ายังมีพวกจริตต่าง ๆ อยู่หรือไม่ ? ก็ต้องบอกว่าแม้แต่พระอรหันต์ท่านก็ยังมีอยู่ เพราะว่าจริตคือความเป็นไปของจิตที่เคยชินมานับชาติไม่ถ้วน สภาพจิตถึงแม้ว่าจะบริสุทธิ์แล้ว แต่ว่าความเคยชินนั้นมีอยู่ ถึงเวลาก็อดที่จะทำอย่างเดิมไม่ได้ แต่ว่าเป็นการกระทำที่เป็นเพียงกิริยาเท่านั้น ไม่ได้สร้างกรรมให้เกิด หลวงพ่อวัดพระพุทธบาทตากผ้า ท่านต้องแต่งตัวเรียบร้อยทุกครั้ง จัดแล้วจัดอีก ขยับแล้วขยับอีก แม้แต่ท่านอนท่านก็นอนเรียบร้อยสุด ๆ ลักษณะนั้นถ้าเป็นคนทั่วไปก็คือราคะจริต คือทำอะไรจะต้องดีที่สุด |
ถาม : แม่เพิ่งไปตรวจเจอว่าเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ?
ตอบ : รักษาไปตามปกติ ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น ไม่ต้องคิดว่าคาดว่า จะรักษาแบบไหนก็ทำไป ถาม : เขาให้อาหารทางสายยาง ไม่แน่ใจว่ายาจะเข้าไปติดในหลอดหรือเปล่า ? ตอบ : พวกเราส่วนใหญ่มักวิตกกังวลเกินเหตุ มักจะคิดปรุงแต่งล่วงหน้าไปไกล ๆ คนป่วยก็รักษาไป ปล่อยให้เป็นหน้าที่หมอ ถ้าไม่รักษาแผนปัจจุบันจะรักษาแผนโบราณก็ทำไป ตัดสินใจให้เด็ดขาดสักข้างหนึ่ง คนแก่ขนาดนั้นแล้ว แผลเป็นมะเร็ง รักษาอย่างไรก็ตายแน่ แต่ขอให้ได้ทำเท่านั้น ไม่ใช่ไปคาดเสียก่อนว่าผลการรักษาจะเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนี้ ท้ายสุดก็ไม่ได้ทำอะไร |
พระอาจารย์กล่าวว่า “การใช้วัตถุมงคลสำคัญตรงสมาธิต้องไม่เคลื่อน เพราะฉะนั้น..ห้ามกลัวเด็ดขาด ถ้ากลัวใจหายวาบนี่เสร็จทุกราย..!”
|
ถาม : ฝ่ายชายมีภรรยาน้อยอีกคน โดยหลอกภรรยาน้อยว่าภรรยาหลวงยินยอม แต่จริง ๆ แล้วภรรยาหลวงไม่ได้ยินยอม ผิดศีลไหมคะ ?
ตอบ : ผิดทั้งคู่ ฝ่ายผู้หญิงก็ละเมิดของรักของหวงเขา ฝ่ายผู้ชายก็เจตนาหลอกลวงเขา ถาม : คือผู้หญิงไม่รู้ เพราะว่าโดนหลอก ? ตอบ : ไม่รู้แต่โทษเกิดเพราะทำไปแล้ว เหมือนกับกินยาพิษโดยไม่เจตนา แล้วตายไหมเล่า ? จะอ้างว่าฝ่ายหญิงไม่รู้ไม่ได้ เพราะคุณก็ลักลอบได้เสียกับเขา..! เอาอย่างอาตมาสิ มองไปเห็นสาวหน้าตาพอไปวัดได้ ก็เหมาไว้ก่อนว่า "เมียเขา" จบเลย ฉะนั้น..เรามองไปเห็นหนุ่มเริ่มโตขึ้นมาสัก ๑๐ ขวบก็เหมาไว้ก่อนว่า "ผัวเขา" จบ ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา ถ้าเป็นโกวเล้งหนักกว่านั้นอีก อาตมายังให้ตั้ง ๑๐ ขวบ โกวเล้งบอกตั้งแต่ ๘ ขวบถึง ๘๐ ปี..! |
การแต่งงาน สมัยก่อนที่เชิญแขกมาร่วมงาน เขาไม่ได้หวังว่าจะให้เอาเงินมาช่วย แต่เพื่อประกาศให้ทุกคนรู้ว่าคนนี้มีเจ้าของแล้ว จะได้ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา สมัยหลังนี้การแต่งงานรู้สึกว่าจุดมุ่งหมายผิดพลาดไปเยอะเลย โดยเฉพาะพวกที่เอาเงินไปละลายน้ำ จัดงานใหญ่โต เช่าโรงแรมหมดไปเท่าไรไม่รู้ มีแกะสลักน้ำแข็งด้วย จริง ๆ แล้วก็แค่ประกาศให้รู้ว่าตนเองมีคู่แล้ว คนจะได้ไม่ไปยุ่งด้วย
เดือนที่แล้วอาตมาลงไปงานแต่งงานที่สุไหงโกลก ปรากฏว่าพระต้องฉันเพลตั้งแต่ประมาณ ๑๐ โมง เพราะว่าเขามารับไปโรงแรมตั้งแต่ ๙ โมง แล้วเริ่มพิธีสงฆ์เลย เจ้าบ่าวเจ้าสาวใส่บาตรเสร็จสรรพเรียบร้อย จึงฉันไปเลย พระครูสว่าง วัดรัตนานุภาพ พาโยมชาวโคกโกมาหมดหมู่บ้าน ทำบุญมาห้าหมื่นกว่าบาท อาตมาไม่ทันจะออกจากโกลก วัตถุมงคลก็ไม่เหลือสักชิ้นแล้ว เล่นมากันหมดหมู่บ้าน ญาติโยมทางด้านโน้นทำอะไรก็ลำบาก เป็นชนกลุ่มน้อย แต่ความจริงน่าจะประพฤติตัวแบบพวกเขา ชนกลุ่มน้อยก็จริงแต่โวยทุกเรื่องก็หมดเรื่อง แต่คราวนี้เรารักสงบเกินไป ในเมื่อรักสงบเกินไปไม่มีการตอบโต้อะไรเลย ก็กลายเป็นว่าอยู่ไม่ได้หรืออยู่ยาก ผู้คนก็น้อยลง ๆ เขาบอกว่า ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ตอนนี้เหงา ๆ ซึม ๆ เศรษฐกิจไปไม่ได้ ชาวจีนที่ค่อนข้างจะมีฐานะก็ต้องปิดร้าน เพราะว่าถ้าเปิดร้านจะโดนวางระเบิด |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนแรกคิดว่าคนเราเสื่อมสมรรถภาพลงไปเรื่อย ๆ เพราะความสบาย กลายเป็นว่าตอนนี้แม้แต่หมาก็เสื่อมสมรรถภาพไปด้วย สมัยอาตมายังเด็กจนถึงวัยรุ่น หมาขึ้นต้นไม้ได้ ไปหากินกันเอง กล้วยสุกคาต้น หมาตะกายขึ้นไปกินบนต้นเลย ถ้าไม่ได้เห็นคาตาก็ไม่รู้ว่าหมาขึ้นได้
อาตมาชอบที่สุดคือวิ่งให้หมาไล่ พอหมาไล่เราก็วิ่งไปถึงต้นมะพร้าวแล้วก็ตะกายพรวดขึ้นไปเกือบครึ่งต้น หมาก็ตะกายไปเกินครึ่งต้นเหมือนกัน แล้วไม่รู้เป็นอะไร ที่บ้านหมาจะเกลียดมอเตอร์ไซค์มากที่สุด มอเตอร์ไซค์ฮอนด้ารุ่นแรก ๆ ที่แฮนด์สูง ๆ ที่เขาเรียกรุ่นม้ามีเขา หมาที่บ้านโดดกัดยันหัวคนขี่เลย ถ้าหากว่าคนขี่มอเตอร์ไซค์เตะ หมาก็งับขาลากลงมาทั้งอย่างนั้นแหละ..!" ถาม : ตัวใหญ่ไหมคะ ? ตอบ : ก็ไม่ค่อยตัวใหญ่หรอก หมาไทยธรรมดาค่อนข้างจะปราดเปรียว เพราะไม่ค่อยมีอะไรกินนอกจากน้ำข้าว ที่เหลือไปหากินเอง บางทีตรุษสารทมีไก่ อาตมากินไก่เสร็จเหลือแต่กระดูก ยกให้หมาดูแล้วขว้างเข้าไปในดงหญ้าคา หมาพรวดเข้าไปไม่ถึงนาทีเอาออกมากินแล้ว หมาสมัยนี้โยนเลยหัวไปศอกหนึ่งหาไม่เจอแล้ว สมัยก่อนพวกโจรผู้ร้ายเยอะ ถ้าหมาไม่ดุนี่เขาไม่เกรงใจ ถ้าหากว่าใครจะมาบ้าน ต้องยืนตะโกนตั้งแต่ถนนใหญ่ แล้วพวกเราคนใดคนหนึ่งออกไปพาเขาเข้ามา ไม่อย่างนั้นหมากัดตาย ตอนเด็ก ๆ ก็ไม่รู้ว่าทำไมเวลาหมากัดแล้วผู้ใหญ่ถึงต้องเอารองเท้าตบให้เลือดออก มารู้ตอนหลังว่าถ้าเลือดระบายออกไม่ได้จะปวดสาหัสมาก พอตบจนเลือดออกแล้ว เอาสารส้มตำละเอียดแล้วอุดแผล โห..แสบเข้าไส้เลย ถาม : โรคพิษสุนัขบ้าละคะ ? ตอบ : ไม่เห็นเขาจะเป็นโรคพิษสุนัขบ้า สมัยนี้กลัวกันจัง สมัยอยู่วัดท่าซุงมีหมาบ้าเหมือนกัน แล้วก็แปลก..หมาด้วยกันรู้ ปกติถ้าหมาแปลกหน้าเข้ามานี่รุมกัดตายเลย แต่นี่หมาบ้าเดินหลังแข็งทื่อเข้ามา หมาทุกตัววิ่งหนีหมด หมาเขาก็รู้ว่าไอ้นี่ไม่ควรที่จะเข้าใกล้ |
ถาม : เลี้ยงหมาอย่างไรให้ดุครับ ?
ตอบ : เขาบอกว่า เอาข้าวเหนียวคลุกน้ำตาลให้กิน คุณลองกินเองดูก็ได้ ข้าวเหนียวพลังงานสูง น้ำตาลทำให้ความดันขึ้น หมาจะหงุดหงิด เจอใครก็กัดแหลก |
พระอาจารย์กล่าวเตือนสามเณรอธิวัฒน์ ฉ่ำคำ ว่า "รู้ไหมว่าผมเป็นห่วงพวกคุณมาก เรื่องการสร้างวัตถุมงคลนั้นสร้างง่าย แต่การสร้างตัวเองนั้นสร้างยาก คุณควรที่จะสร้างตัวเองก่อน การไปเที่ยวสร้างวัตถุมงคล ประโยชน์ก็ตกแก่คนอื่น ถ้ายังอยากที่จะอยู่มั่นคงในพระพุทธศาสนา ให้รีบสร้างตัวเองด้วยศีล สมาธิ ปัญญาให้มากไว้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป"
|
พระอาจารย์กล่าวกับสามเณรอธิวัฒน์ ฉ่ำคำ ว่า "อาตมาจำโอวาทของหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศท่านขึ้นใจ ต้องสร้างตัวเองให้มั่นคงก่อน การไปทำอย่างอื่นถึงจะได้ผล ถ้าตัวเองยังไม่มั่นคง จะไปทำอะไรให้ดีได้"
|
พระอาจารย์กล่าวเตือนสามเณรอธิวัฒน์ ฉ่ำคำ ว่า "คนบูชาวัตถุมงคลไปเขาจะใจร้อนทุกคน สร้างเสร็จก็ต้องรีบส่งให้เขา ไม่ใช่ว่าถึงเวลารับเงินมาแล้วก็สบายใจ ของเก่ายังไม่ทันจะส่ง ก็ทำของใหม่อีกแล้ว"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้มณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำน่าจะได้ถึง ๖๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว เพราะว่าส่วนใหญ่ชิ้นส่วนต่าง ๆ จะเสร็จแล้ว เพียงแต่ว่าเขายังไม่ได้ประกอบกันเข้าไป หลังวันที่ ๑๕ ช่างจะเอาไปประกอบไว้ในสถานที่จริง แล้วค่อยตกแต่งตรงนั้น ถามว่าทำไมต้องรอถึง ๑๕ ? เขาบอกว่า ส่วนงานที่ต้องขัดแต่ง เขาจะเหลือให้น้อยที่สุด จะได้ไม่ไปทำข้างในศาลาให้สกปรก แล้วอาตมาต้องเอาผ้าม่านออกก่อนด้วย เพราะเขากลัวขัดไม้แล้วม่านจะเละ พอเห็นเป็นของจริงแล้วจะรู้ว่าใหญ่เป็นลำเรือ แค่ช่วงแท่นประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำ ก็สูงเกือบ ๆ ถึงไหล่ของอาตมาแล้ว"
|
ถาม : มีครูบาอาจารย์บอกว่า แม่ผู้เลี้ยงดูเรามามีพระคุณสูงสุด ไม่ใช่แม่ที่คลอดเรามาแล้วทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ?
ตอบ : ไม่ใช่..คนอื่นจะเลี้ยงดูเรามาอย่างไร เมตตาเรามามากแค่ไหน ก็ไม่อาจทดแทนพระคุณของแม่ได้ เพราะว่าอย่างน้อยเราต้องอาศัยท้องแม่มาตลอดระยะเวลา ๙ เดือน ๑๐ เดือน ถ้าท่านไม่ระมัดระวังรักษามาเราก็ตาย คลอดออกมาแล้วไม่เลี้ยงดูเราก็ตาย ก่อนจะถึงมือคนอื่นต้องผ่านมือแม่มาแล้วทั้งนั้น คนอื่นไม่ว่าจะดีกับเราขนาดไหนก็ตาม พระคุณแม่ต้องมาก่อน |
ถาม : ทำบารมี ๑๐ อย่างไรถึงเต็ม ?
ตอบ : ทำสักอย่างหนึ่งไปเรื่อย ๆ ทุกอย่างจะเต็มเองโดยอัตโนมัติ เราทำตัวใดตัวหนึ่ง ตัวอื่นจะมาด้วย ถ้าเราจะเริ่มด้วยอธิษฐานบารมี เราต้องมีปัญญาว่าสิ่งนี้ดีอย่างไร ผู้ที่มีปัญญาก็ย่อมเห็นว่าคุณของพระรัตนตรัยเป็นอย่างไร เรื่องของทาน ศีล ภาวนาเป็นอย่างไร ไล่ไปเรื่อย จะเห็นว่ามาครบ แม้ว่าเราจะขึ้นว่าเราใช้อธิษฐานบารมี แต่ความจริงบารมีอื่นก็มาด้วยทั้งหมด ฉะนั้นสิ่งที่เราทำ อย่างเช่นว่า เราถวายสังฆทาน เราอธิษฐานต้องการพระนิพพาน เป็นอธิษฐานบารมีก็จริง แต่ก็เป็นทานบารมีด้วย เป็นปัญญาบารมีด้วย อย่างนี้เป็นต้น ถาม : จะใช้บารมีได้เมื่อไร ? ตอบ : สร้างกำลังใจของเราให้ดีก่อน เหมือนกับเราขุดสมบัติ มีความสามารถขุดคุ้ยได้ลึกเท่าไร ก็ได้มามากเท่านั้น เลื่อมใสศรัทธาในคุณของพระรัตนตรัยจริง ๆ เมื่อไร ก็ใช้ได้เต็มเมื่อนั้น |
ถาม : การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วมกับไม่มีส่วนร่วม แตกต่างกันอย่างไร ? (วิธีทำวิทยานิพนธ์)
ตอบ : การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม เราต้องเข้าไปอยู่ในนั้นด้วย มีผลดีอยู่ตรงที่ว่า พอเขาไว้ใจเราแล้ว เราจะได้ข้อมูลที่ลึกกว่า การสังเกตการณ์แบบไม่มีส่วนร่วม เราได้แต่สังเกตอยู่ห่าง ๆ แต่ถ้าเขารู้ตัวว่าเราไปสังเกตการณ์ เขาก็อาจจะตั้งใจทำให้ดูแต่เรื่องที่ดี ๆ สิ่งที่เราได้มาอาจจะไม่ใช่ความจริง ต่างมีผลดีและไม่ดีด้วยกัน การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วมนั้นเสียเวลา ต้องไปคลุกคลีตีโมง อาศัยความสนิทสนมคุ้นเคยที่ค่อย ๆ สร้างขึ้น ทำให้เราเข้าถึงข้อมูลได้มากกว่า แต่ใช้เวลานาน การสังเกตการณ์แบบไม่มีส่วนร่วม ใช้เวลาไม่นานแต่ว่าสิ่งที่ได้มานั้นไม่แน่ว่าจะเป็นข้อมูลที่แท้จริง ถาม : การไปร่วมปฏิบัติธรรมตามกำหนด ๓ - ๕ วัน ? ตอบ : ยังไม่เรียกว่ามีส่วนร่วม เพราะเราไม่ได้ไปอยู่กับเขานานพอ ต้องบอกว่าแค่ฉาบฉวย วันสองวันเขาไม่นับ ต้องเข้าไปฝังตัวอยู่เป็นเดือนเป็นปี นั่นแหละถึงเรียกได้ว่ามีส่วนร่วม |
ถาม : ชำระหนี้สงฆ์แทนคนอื่น ?
ตอบ : เรื่องชำระหนี้สงฆ์ ถ้าต้องทำแทนกัน ทำแล้วต้องบอกให้เขายินดีโมทนาด้วย แปลว่าทำได้เฉพาะตอนเป็น ๆ เท่านั้น ถ้าล่วงลับไปแล้ว โน่น..ชาติหน้าค่อยว่ากันใหม่ วันก่อนนิสิต มจร.ห้องเรียนวัดไชยชุมพลชนะสงคราม จัดบอร์ดเกี่ยวกับวิชาพระพุทธศาสนา ก็มีรูปพระประธานจากวัดต่าง ๆ มา อาตมาเห็นแล้วดีใจว่า มีหลายวัดที่เขาตั้งตู้ชำระหนี้สงฆ์เอาไว้ด้วย แสดงว่าคนเริ่มรู้มากขึ้น เพราะว่าคำว่าชำระหนี้สงฆ์นั้น มั่นใจได้เลยว่าเริ่มจากหลวงพ่อวัดท่าซุง ไม่ได้มาจากที่อื่นหรอก สมัยก่อนอาตมาไปทำบุญวัดอื่นมาตลอดก็ไม่เห็นมี เริ่มมาจากหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกกล่าวให้ทราบว่า พระยายมราชท่านบอกมา ว่าการเป็นหนี้สงฆ์เขาปรับลงอเวจีอย่างเดียว พอสอบถามถึงวิธีการแก้ไข ท่านว่าต้องสร้างพระพุทธรูปอย่างน้อยหน้าตัก ๔ ศอก ถึงจะทดแทนกันได้ คราวนี้การสร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก ถ้าไม่ปิดทองอานิสงส์จะได้กับเจ้าภาพคนเดียว ถ้าปิดทอง ไม่ว่าจะร่วมกันกี่ร้อย กี่พันคน ก็มีอานิสงส์ในการชำระหนี้สงฆ์ได้ทั้งคณะ แล้ววัดท่าซุงก็เริ่มสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ขึ้นมาก่อน ตอนแรกก็สร้างที่ด้านข้างศาลา ๒ ไร่ ๒๘ องค์ ต่อมาก็ขยายเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่นาของตาสมัคร ๑๒๐ องค์ เสร็จแล้วไปด้านหน้าวิหารร้อยเมตร ๖๘ องค์ ไปรอบศาลา ๑๒ ไร่ ไปที่อาคาร ๒๕ ไร่ ไม่แน่ใจว่ามีเท่าไร แม้กระทั่งรอบธุดงค์ร้อยไร่ก็มี เยอะแยะไปหมด อย่างที่วัดท่าขนุนแค่ ๓๐ กว่าองค์เอง เพราะว่าไม่มีที่จะให้ทำ ถามว่าไม่มีที่จริง ๆ หรือ ? ก็ไม่ใช่ แต่อาตมาอยากจะรักษาสภาพป่าเอาไว้ เลยไม่ไปบุกเบิกหักล้างถางพง เมื่อ ๒ อาทิตย์ที่ผ่านมา มีโยมอยากจะสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ จึงแนะนำให้ไปหาพระครูหน่อย บอกว่าวัดหนองบ้านเก่าเขาทำอยู่ ถามว่าจองทันไหม ? เขาบอกว่ายังต้องการเจ้าภาพอยู่ ก็เลยโชคดีไป มีบางคนยังเจาะจงกับการทำบุญมา อาตมาก็หนักใจเหมือนกัน มีอยู่คณะหนึ่งตั้งใจทำบุญเรื่องส้วมอย่างเดียวเลย "วัดไหนสร้างห้องน้ำให้บอกด้วย" ถึงเวลาอาตมารู้ว่าพรรคพวกทำห้องน้ำ ก็จะโทรไปบอกเขา |
ถาม : เมื่อครู่คุยกับคนหนึ่งเรื่องกรรมฐานที่หลวงพ่อและครูบาอาจารย์เคยสอนไว้ เพื่อมาเปรียบดูที่พระอาจารย์นำกรรมฐานแล้วถามว่า จะเป็นอรูปฌานได้อย่างไร การตั้งภาพพระไว้ข้างในที่ศูนย์กลางกายนี่ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้ายังมีภาพพระอยู่ก็ไม่ใช่ ถาม : ที่กำหนดจับลมหายใจเข้า-ออก ข้างในตัวเรา ? ตอบ : ถ้าใจจับอยู่ข้างในก็คล้ายคลึงกับส่วนของอรูปฌาน ถ้าเอาไว้ข้างนอกนี่เป็นรูปฌานแน่ ๆ ถาม : แล้วที่เราพิจารณาให้เป็นสีลานุสติ ? ตอบ : พอถึงเวลาพิจารณาเสร็จก็ภาวนาต่อไปเลยก็เท่านั้นเอง ถาม : เรื่องอรูปฌานนี้ จำได้ว่าตอนที่พระอาจารย์สอนถึงความไม่มีอะไร แล้วนึกขึ้นว่าเคยพิจารณาอนิจจัง แล้วเห็นรอบ ๆ ตัวกลายเป็นพายุหมุนขมวดถึงตัวเราว่า ที่แท้ในโลกนี้ก็ไม่มีอะไร ? ตอบ : ถ้าสามารถเห็นว่าทุกอย่างไม่มีอะไรจริง ๆ ก็ใช่เลย |
ถาม : เคยเห็นเพื่อนคุยกัน แม้กระทั่งเพื่อนต่างศาสนาก็ยังมีมรณานุสติ นึกได้ว่าวันหนึ่งเขาก็ต้องตาย แล้วก็ตั้งใจจะทำความดีตอนที่ยังไม่ตาย เป็นความดีตามความเข้าใจของแต่ละคนนะคะ ?
ตอบ : รู้ว่าต้องตาย แต่..ตายแล้วจะไปไหน ? ถาม : เป็นแค่เพราะเขาไม่รู้จักพระนิพพาน ? ตอบ : ไม่สามารถที่จะเข้าถึงได้อย่างแท้จริง ต้องบอกว่าเขารู้แค่เพียงผิวเผินเท่านั้น |
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาเห็นพระธาตุเสด็จชัดที่สุดตอนเป็นฆราวาส มาในลักษณะเหมือนกับเม็ดข้าวสารเกือบเต็มเม็ด หักไปมุมหนึ่ง แต่คราวนี้ท่านใหญ่มาแบบเครื่องบินโดยสารเลย สว่างโร่มาทั้งฟ้า แล้วก็ลงที่หิ้งพระ อาตมารีบวิ่งไปดูด้วยความดีใจ เห็นคา ๆ ตาอย่างนี้ต้องเป็นของเราแน่เลย ปรากฏว่าไม่มี ไล่เปิดภาชนะบรรจุเปิดไปเปิดมา ไปอยู่ในผอบบรรจุของพี่ชาย
สรุปแล้วอาตมานั่งกรรมฐานเอย สวดมนต์เอย ทำความสะอาดหิ้งพระเอย กลับไม่ได้ สงสัยท่านจะเสด็จเข้าผิดผอบ ไปอยู่ในผอบของพี่ชาย หน้าตาเหมือนกับองค์ใหญ่ที่เห็นเลย จำภาพได้แม่นมาก เพราะสว่างเต็มฟ้ามาเลย เรื่องของพุทธานุภาพเป็นอัปปมาโณจริง ๆ องค์จริงเล็กนิดเดียวประมาณเม็ดข้าวสารไม่เต็มเม็ด แหว่งไปมุมหนึ่ง แต่ปรากฏว่าตอนเสด็จมาใหญ่อย่างกับเครื่องบินทั้งลำ" |
"คุณบุญถึง ลูกศิษย์รุ่นเก่าของหลวงพ่อวัดท่าซุง เป็นเจ้าของสถานีบริการน้ำมันที่มโนรมย์ ตอนนี้ไม่รู้ว่าเปลี่ยนอาชีพหรือยัง ได้ยินเสียงพระธาตุเสด็จวี้ด ๆ อยู่ตลอด เจอลงมาอยู่บนผ้าขาว เก็บเอาไว้บูชาองค์หนึ่งก็แล้ว สององค์ก็แล้ว สามองค์ก็แล้ว ไปถามหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านว่า "เอ็งมันดีแต่หู ตาไม่ดี" คือได้ยินแต่ไม่เห็น แสดงว่าอย่างนี้มีพื้นฐานของทิพโสตมา แต่ไม่มีพื้นฐานของทิพจักขุ
พอไปงานวัดโพธิ์นางดำ เอาเรือหางยาวไป ได้ยินเสียงหลวงพ่อฤๅษีสวดมนต์ออกลำโพงชัดแจ๋ว แต่พอขึ้นศาลาไปแล้วไม่เจอ เจอหลวงพ่อรักษ์ วัดศรีรัตนาราม หลวงพ่อรักษ์บอกว่า "โน่น..อาจารย์คุณนั่งเคี้ยวหมากอยู่นั่น" แกเห็นแต่อาสนะเปล่า ๆ แต่หลวงพ่อรักษ์ท่านรู้ ท่านปูอาสนะไว้ให้เลย เสียดายหลวงพ่อรักษ์มรณภาพไปแล้ว ไม่อย่างนั้นพูดแบบนี้พวกเราได้แห่กันไปอีกบาน เรื่องอย่างนี้ถ้าท่านยังอยู่ ก็ไม่ควรพูด เพราะคนไปกันเยอะ" ถาม : ถ้าท่านพร้อมที่จะสงเคราะห์ล่ะครับ ? ตอบ : พร้อมอยู่ แต่กลายเป็นการเพิ่มภาระให้ท่าน ถ้าเราไม่พูดงานก็ไม่มากขึ้น |
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนที่อาตมาฝึกกสิณอยู่ที่วัดท่าซุง ป้าศุแกเห็น เพราะว่ากุฏิของอาตมาคือตึกกองทุนกับเรือนเป๊ปซี่ของป้าศุอยู่ติดกัน บ้านบายศรีชื่อจริงชื่อเรือนเป๊ปซี่ อาตมากำลังฝึกเดินทะลุกำแพง ป้าศุรู้แกก็แซวว่า "หลวงพี่ระวังนะ ถ้าสมาธิคลายตอนอยู่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ก็ติดอยู่ตรงนั้นแหละ" ไม่ทักไม่ว่า ตอนทักชักเสียว ๆ ตอนนั้นที่ทำเป็นส่วนของอากาศกสิณ ทำให้เป็นช่องว่างได้ เห็นพวกเล่นกลทำได้ ประเภทล้วงของข้ามกำแพง ล้วงของในตู้ พวกนี้จะมีพื้นฐานอภิญญาเก่าทั้งนั้น เอาไปแหกตาชาวบ้านเขา"
ถาม : ต่างประเทศเขาทำกันได้เยอะ..! ตอบ : ของฆราวาสเขาอ้างว่าเล่นกลได้ ของพระเราจะไปเล่นอย่างนั้นไม่ได้ มีคลิปอยู่คลิปหนึ่งที่พระท่านฉีกกระดาษทิ้ง แล้วลอยกลับมาติดอย่างเดิมทีละแผ่น ๆ แสดงว่าพวกเรายังไม่ได้ดูกัน |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:30 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.