![]() |
พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงปู่จ้อย วัดบางช้างเหนือ บางทีชาวบ้านเรียกหลวงปู่เจ๊ก ท่านปิดจริยา ปิดความสามารถตัวเอง แบกไหน้ำตาลเมา เดินหัวทิ่มทุกวัน แต่ก็มีคนรู้ว่าหลวงปู่จ้อยวิชาดี จึงตามตื๊อขอเรียนวิชากับหลวงปู่ ท่านปีนหนีไปที่คอระฆังบนพระปฐมเจดีย์ (ก่อนถึงปล้องไฉน) ไอ้บ้านั่นก็ปีนตามไปตื๊อขอเรียนวิชา สูงจากพื้นเกือบร้อยเมตร..!
หลวงปู่จ้อยถามว่า "อยากเรียนจริงใช่ไหม ?" ก็ตอบว่าจริง "กูบอกอะไรจะเชื่อใช่ไหม ?" "เชื่อ" "ถ้าอย่างนั้นมึงโดดลงไปเลย" เจ้านั่นโดดจริง ๆ โดดลงไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ข้างล่าง เขาคงมั่นใจว่าหลวงปู่บอกให้โดดคงไม่เป็นไร แล้วก็ไม่เป็นอะไรจริง ๆ เพราะพระอย่างหลวงปู่ท่านแค่คิดก็เป็นอย่างที่ท่านต้องการแล้ว ทางคณะสงฆ์ส่งพระสังฆาธิการจากกรุงเทพไป ๒ รูป ไปสอบสวนหลวงปู่จ้อย ข้อหาผิดพระวินัยเป็นอาจิณ เพราะว่าดื่มเครื่องดองของเมา ไปถึงเจอหลวงปู่จ้อยห่มดองพาดสังฆาฎิเป็นอย่างดี นั่งรออยู่ "พระเดชพระคุณมีธุระอะไรครับ ? นิมนต์ฉันน้ำก่อน" จัดแจงรินน้ำชาให้ ฉันน้ำเสร็จเขาก็แจ้งว่า ทางกรุงเทพฯ ส่งมาสอบสวนว่าท่านดื่มสุราเป็นอาจิณ ถ้ามีความผิดจริงก็โทษถึงจับสึก หลวงปู่จ้อยบอกว่า "ถ้าผมต้องสึก พระเดชพระคุณสองท่านก็ต้องสึกด้วย" ถามว่าทำไม ? "ก็ท่านเพิ่งจะดื่มสุราลงไป" สองท่านตกใจหยิบแก้วขึ้นมาดม น้ำชากลายเป็นเหล้าหมดเลย พอรู้อย่างนั้นก็ก้มกราบ..ลาเลย รู้ว่าท่านแกล้งเมา สมัยนั้นไม่ได้มีมือถือ ไม่ได้มีไลน์ พระจากกรุงเทพฯ จะไปสอบสวนท่าน หลวงปู่รู้ได้อย่างไรถึงแต่งตัวนั่งรอ แบบเดียวกับสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส ไปเยี่ยมหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว คุยธุระปะปังเสร็จ หลวงปู่บุญทูลว่า "นิมนต์ท่านเจ้าพระคุณกลับเถิดครับ พายุมา ต้นไม้ล้มทับกุฏิ หลังคากระเบื้องแตกไป ๑๑ แผ่น" อยู่นครปฐมนะ แล้วพระตำหนักท่านอยู่วัดโพธิ์ กลับมาเห็นต้นไม้ล้มทับจริง ๆ บอกลูกศิษย์ปีนขึ้นไปดู กระเบื้องแตกไป ๑๑ แผ่น ตรงเป๊ะเลย" |
พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงปู่รุ่งท่านเป็นลูกศิษย์รุ่นพี่ของหลวงพ่อเดิม เป็นลูกผู้พี่ แม่ท่านเป็นพี่สาวแม่ของหลวงพ่อเดิม หลวงปู่รุ่งบวชก่อน ๑๑ พรรษา ท่านก็ไปศึกษากับหลวงปู่เทศ วัดสระทะเลก่อน ได้วิชาอะไรมาท่านก็มาลองเรื่อย หลวงพ่อเดิมไปศึกษามายังไม่ได้ลอง จึงต้องไปศึกษากับหลวงปู่รุ่งก่อนว่าหลวงปู่รุ่งทำอะไรไปบ้าง
พอเห็นหลวงปู่รุ่งฝังตะกรุดที่สันมีดหมอ หลวงพ่อเดิมก็เลยเปลี่ยนไปฝังที่ด้าม จะได้ไม่ซ้ำกัน ตะกรุดท่านม้วนเสร็จก็เอากั่นยัดเข้าไป บางชุดถ้าตรงกับวันพระใหญ่ปลงผม ก็มีเกศาของท่านบรรจุด้วย สมัยนั้นพระเกจิอาจารย์ดัง ๆ ก็มีหลวงพ่อขัน วัดเขาแก้ว แล้วก็พ่อเทศ วัดสระทะเล หลวงพ่อเงิน วัดพระปรางค์เหลือง การเรียนวิชาของท่านเหล่านี้ท่านก็วนเวียนอยู่แถวนั้น หลวงปู่เทศเรียนวิชาทำมีดหมอจากหลวงพ่อขัน วัดเขาแก้ว พอทางวัดเขาแก้วสืบสายวิชาต่อไม่ได้ หลวงพ่อกันก็ไปเรียนกลับมาจากหลวงพ่อเดิมอีกที เป็นงูกินหาง สมัยก่อนเขาไม่หวงวิชา รู้อะไรก็แลกเปลี่ยนกัน หลวงพ่อเดิมท่านดังมากกว่าเพราะว่านอกจากฝีมือแล้ว วัดท่านยังอยู่ข้างสถานีรถไฟ คนไปมาง่าย ลงสถานีรถไฟเดินหน่อยเดียวก็เข้าวัดแล้ว ส่วนหลวงปู่รุ่งพาชาวบ้านย้ายไปหนองสีนวล เดินป่าไปเป็นวันเลย ท่านก็เลยดังสู้น้องชายไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เป็นรุ่นพี่ เรียนวิชามาก่อน ทำสำเร็จมาก่อน" |
"อาตมาไม่มีอารมณ์ไปทำเบี้ยแก้ โดยเฉพาะเบี้ยแก้นี่ทำอย่างไรก็ไม่ดัง เพราะของดังจริงก็หลวงปู่รอด วัดนายโรง หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว หรือไม่ก็หลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ หลวงพ่อม่วง วัดคฤหบดี โดยเฉพาะหลวงพ่อม่วง ใครไปขอเบี้ยแก้เตรียมหัวแตกได้เลย พอออกมาก็จะมีคนถามว่า "ไปขอของดีหลวงพ่อมาใช่ไหม ?" "ใช่" "ได้มาบ้างหรือเปล่า ?" "ได้" "ขอลองหน่อยเถอะ" ...(หัวเราะ)... คมแฝกหวดเลย เล่นกันตรงนั้นเลย
โดนตีร่วงทั้งยืน ลุกขึ้นมาไม่เป็นอะไร บางทีโดนแทงโดนฟัน ผ้าขาดกะรุ่งกะริ่ง ไม่เป็นอะไร คนแทงยังหัวเราะ "หลวงพ่อเรายังแน่เหมือนเดิม" ให้ของดีไปเจอลูกศิษย์ตามลองเลย" |
ถาม : นะ ปุเนวัง จินตะยิสสามิ ข้าพเจ้าจะไม่คิดอย่างนี้อีก ต้องใช้การฝึกจิตอย่างเดียวเลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าสติเท่าทันก็จะไม่คิด ก็คือทันทีที่จะคิด สติระลึกรู้จะเตือนว่า สิ่งที่เราคิดนี้ดีหรือชั่วอย่างไร คิดแล้วเป็นโทษอย่างไร เป็นประโยชน์อย่างไร ถ้าหากมีในด้านที่เป็นประโยชน์ก็คิดในด้านที่เป็นประโยชน์ ถ้าคิดแล้วเป็นโทษก็ตัดทิ้งเลย ก็คือไม่สร้างตั้งแต่เหตุ ในเมื่อไม่สร้างเหตุที่ไม่ดี ผลที่ไม่ดีก็ไม่เกิดขึ้น |
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๘ นี้ นอกจากมีงานฉลองบ้านวิริยบารมีแล้ว ยังมีงานหล่อสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเงิน หน้าตัก ๙.๙ นิ้ว ไม่ใช่หน้าตัก ๑๖ นิ้วอย่างที่บางคนเขียนมา และหล่อเพื่อถวายกุศลแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวโรกาสเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา ไม่ใช่หล่อแล้วยกไปน้อมเกล้า ฯ ถวายพระองค์ท่านอย่างที่บางคนเข้าใจ
อาตมาไม่ค่อยเข้าใกล้เชื้อพระวงศ์ เพราะรู้สึกว่าหมือนกับตั้งใจไป "โหน" พระองค์ท่าน มีคนชวนเข้าวังหลายรอบแล้วก็ไม่ไป ที่พระองค์ท่านพระราชทานรางวัลเสาเสมาธรรมจักรผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาให้ ก็ถือว่าพบกันตามหน้าที่ แต่อย่างบางคนที่ตะเกียกตะกายดิ้นรนเพื่อให้ได้เข้าหาพระองค์ท่าน อาตมาไม่ทำ" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "กระทู้บูชาวัตถุมงคล ใครผิดกติกา คุณพัชรีภรณ์ (ตัวเล็ก) ตัดสิทธิ์เลย เสียดายที่หลายคนมาผิดตอนโอนเงิน ถ้าผิดตอนจองนี่จะตัดสิทธิ์ให้ร้องจ๊ากไปเลย..!"
|
พระอาจารย์กล่าวที่ว่า "ท่านใดที่ร่วมสร้างพระพุทธรูปทองคำ ด้านหลัง (ที่บ้านวิริยบารมี) มีตะกรุดยันต์มหาเศรษฐีเงินล้านอยู่ ยังไม่ได้ม้วน ใส่กล่องไว้อย่างสวยเลย ปกติชมรมโมทนาบุญพลังจิตเอามาให้ร่วมบูชา ดอกละ ๕๐๐ บาท อาตมาได้มาฟรี ๆ ก็เลยให้บูชาแค่ ๑๐๐ บาท เอาเงินไปร่วมซื้อทองคำหล่อพระ ซึ่งวันนี้ก็ซื้อไปแล้ว ๔.๕ กิโลกรัม"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อพระพุทธชินราชมหาลาภในวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านตั้งใจสร้างหน้าตัก ๘ ศอก แต่เนื่องจากทำซุ้มแบบพระพุทธชินราชด้วย ช่างเขาคำนวณแล้วปั้นให้ถึง ๘ ศอกไม่ได้ ก็เลยลดขนาดลงมาหน่อยหนึ่ง
พอเขาปั้นปูนเสร็จ หลวงพ่อท่านก็เสกคำข้าว เอาไปทาเสียทั่วเลย จึงเป็นสมเด็จคำข้าวองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ถ้าหากว่าใครได้ไปก็ไปขอลาภขอพรกับท่านได้ อาตมาไปก็ไม่ขอมากหรอก ขอแค่ถ้าทำงานอะไรก็ขออย่าให้ติดขัด แค่นี้ก็ได้ทุกอย่างอยู่แล้ว" |
ถาม : ถ้าเราทำงานร่วมกับคนอื่นแล้ว เขาด่าเราเช้าเย็น จับผิดเราตลอดเวลา เราควรทำอย่างไร ?
ตอบ : ช่างโคตรพ่อโคตรแม่มัน..! ถาม : เขาจ้องทุกอิริยาบถ ? ตอบ : เป็นเรื่องปกติ คนเราถ้าเขาจับผิด แปลว่าเราต้องมีดี ในเมื่อเรามีดีจะต้องไปแยแสอะไร เขาไม่มีคุณค่าพอที่จะให้เราโกรธด้วยซ้ำไป ถ้าคิดแบบคนมีกิเลสก็ "เอ็งไม่มีราคาพอที่จะให้ข้าโกรธหรอก" ว่าแล้วก็สะบัดตูดไปเลย..! ถาม : เขาเป็นหัวหน้างานเรา ต้องตรวจสอบเรา ? ตอบ : ถ้าอย่างนั้นต้องมีผลงานที่โดดเด่นไปเลย อย่างอาตมาถึงเวลาก็ท้าเจ้านายเลยว่า "แน่จริงก็ไล่ผมออกสิ" ไม่เห็นกล้าไล่สักคน เพราะถ้าไม่มีอาตมางานก็ไปไม่ได้ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยบอกว่า ถ้าใครคิดว่าขาดตัวเองไปแล้วหน่วยงานไปไม่ได้ ถ้าเป็นท่านจะฆ่าทิ้งเลย คนประเภทนี้ถ้าไม่ใช่เก่งเกินก็จะทำให้งานแย่ไปเลย แต่สำหรับอาตมาบังเอิญว่าทำงานเก่งกว่าชาวบ้านเขา ทำงานเก่งจนเจ้านายต้องง้อ "ถ้าหากว่าคุณทำผิดท่าผิดทาง แล้วผมไปเอง คุณนั่นแหละที่จะเดือดร้อน" |
ถาม : สังฆทานที่เวียน ทางวัดเขาออกมาขายให้ทางตลาดได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าท่านจำหน่ายแล้วเอาเงินไปใช้ในกิจการของวัด เป็นส่วนของสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน ก็สามารถจำหน่ายได้ แต่ควรที่จะโปร่งใส ไม่ใช่งุบงิบจำหน่ายกันเอง แต่ถ้าจำหน่ายแล้วเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ก็ไม่เหมาะไม่ควรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เกิดโทษแก่ท่านเอง เราไม่ต้องไปกังวลแทนท่านหรอก |
พระอาจารย์กล่าวว่า "แจ้งให้ญาติโยมทั้งหลายทราบว่า เงินที่บริจาคมาก็ดี บูชาวัตถุมงคลหรือประมูลวัตถุมงคลก็ดี เพื่อร่วมหล่อพระพุทธรูปทองคำ อาตมาซื้อทองคำแท่งไปแล้วทั้งหมด ๒๓ ล้านบาทเศษ เฉพาะที่เป็นเงินสดซื้อทองคำแท่ง ไม่ใช่ทองคำที่โยมถวายมา ซื้อราคาแพงที่สุดตอนราคา ๒๓,๐๐๐ กว่าบาท และซื้อต่ำที่สุดตอน ๑๘,๑๐๐ บาท และจะรอเมื่อลงมาถึง ๑๗,๙๐๐ บาท แล้วจะซื้ออีกที
แล้วที่อนาถมากก็คือตั้งแต่ซื้อทองคำแท่งมา ๒๐ กว่าล้านบาท ลืมลงบัญชีรับจ่ายประจำเดือน ลงอยู่แต่ในบัญชีสร้างพระพุทธรูปทองคำ..!" |
"อาตมากำลังวางแผนอยู่ว่า ถ้าสร้างพระพุทธรูปทองคำเสร็จแล้ว จะมีงานแห่สมโภชทุกปี กำลังมองว่าจะเป็นช่วงมาฆบูชาหรือเป็นช่วงลอยกระทงดี ปกติมาฆบูชาทางวัดมีกิจกรรมเกือบจะเต็มทั้งวันอยู่แล้ว อาจจะต้องเป็นช่วงลอยกระทง เพิ่มกิจกรรมในลักษณะของงานประจำปีไปเลย แห่รอบตลาดแล้วก็วนกลับวัด เอาไปอวดให้คนอื่นเขาปล้น..!
ไปนึกถึงที่เขาขโมยมหาพิชัยมงกุฎที่ในหลวงรัชกาลที่ ๔ มอบให้ที่พิพิธภัณฑ์ของฝรั่งเศส วัดท่าขนุนไม่ได้ป้องกันแข็งแรงขนาดนั้น ถ้าเขาจะเอาก็คงจะได้ แต่อยากจะรู้ว่าเขาจะยกไปอย่างไร ? พระพุทธรูปทองคำหน้าตัก ๑๖ นิ้ว ถ้าไม่แข็งแรงจริง ๆ ยกไม่ไหวหรอก" ถาม : ทั้งหมดต้องใช้ทองกี่กิโลกรัม ? ตอบ : ต้องรอจนแต่งเสร็จแล้วว่าจะเหลือกี่กิโลกรัม แต่จากที่ช่างคำนวณว่าใช้ทองคำ ๔๐ กิโลกรัม อาตมาต้องหาให้เกินไปเท่าตัว เผื่อเอาไว้เป็นชนวนที่ไหลออก แล้วค่อยเอามาสร้างเป็นเครื่องทรงแทน |
ถาม : ตอนผมไปสมัครงาน เกิดอุปสรรคเยอะมาก อย่างเช่น หาที่ตั้งโรงงานไม่เจอ ระหว่างรอสัมภาษณ์ก็ไฟดับอีก อย่างนี้เป็นลางร้ายที่พระท่านเตือนหรือว่าเจ้ากรรมนายเวรขวางครับ ?
ตอบ : เขาแค่อยากรู้ว่าคุณจะเอางานจริงหรือเปล่า ? ถ้าเอาจริงก็ต้องตะเกียกตะกายไปจนได้ |
ถาม : หลวงพ่อเคยบอกผมว่า “เอ็งมันรู้เยอะเกินไป การรู้เยอะเกินไปมักจะไม่ได้เรื่อง ครูบาอาจารย์สมัยก่อนท่านบอกแค่ไหนก็ทำแค่นั้น” ทีนี้ผมถามหลวงพ่อว่า มีวิธีละสงสัยโดยแกล้งทำเป็นไม่ได้รู้เยอะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ดีเหมือนกันนะ อาตมาก็อยากได้วิธีนี้เหมือนกัน โบราณเขาเรียกว่า “ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด” ลักษณะเหมือนอย่างกับน้ำล้นแก้ว เติมอะไรลงไปก็ล้นทิ้งหมด ฉะนั้น..คุณแค่ทำตัวเป็นแค่แก้วเปล่าเท่านั้นก็หมดเรื่อง บอกอะไรก็ทำอย่างนั้น อย่างอื่นกองเอาไว้ก่อน พอถึงเวลาทำจนไม่มีอะไรจะทำ แล้วค่อยไปงัดของเก่าขึ้นมาทำใหม่ ทุกวันนี้อาตมาพกความรู้เต็มสมองแต่กองเอาไว้ จะใช้แล้วค่อยงัดขึ้นมา ญาติโยมบางทีก็ถามว่าจำอะไรได้มากมายขนาดนั้น ก็ไม่ได้จำหรอก ถึงเวลาก็เก็บเข้าลิ้นชักไว้ จะใช้แล้วค่อยดึงออกมา แบ่งเป็นไฟล์ แยกเป็นโฟล์เดอร์ แล้วเซฟเก็บไว้ ถึงเวลาค่อยเสิร์ชหาเอา ถาม : ของผมมีปัญหาตรงตอนเสิร์ชนี่แหละครับ ว่าทำอย่างไรจะค้นได้เร็ว ๆ ? ตอบ : สมาธิต้องดี ถ้าสมาธิดีหน่อยก็จะค้นได้เร็ว |
ถาม : หลวงพ่อเคยได้ยินวัตถุอาถรรพ์ที่เรียกว่าไม้...(ไม่ชัด)..
ตอบ : รู้จักแต่ไม้แย้กอด ไม้ชนิดนี้แปลกมากตรงที่มีสารอะไรบางอย่างที่พวกจิ้งจกตุ๊กแกจะชอบมาก ถ้าเจอนี่จะกอดติดหนับเลย บางคนเรียกไม้แหย่แย้ ถึงเวลาเอาไม้แหย่ลงไปในรู แย้จะกอดติดให้เราดึงออกมาปิ้งได้เลย ถาม : ถ้าพกติดตัวจะมีอานุภาพอย่างไรครับ ? ตอบ : ถ้าเจอแย้ก็กระโดดกอดเลย ไม้แหย่แย้จะมีลักษณะเหมือนกับมีกาบหุ้มข้อเป็นเกล็ด ๆ ถ้าไม่มีไม่ใช่หรอก เด็กบ้านนอกอยากได้มากเลย ไม่ต้องหากับข้าวนาน ถึงเวลาแหย่ลงรูแย้ ไม่ต้องขุดหรอก แย้กอดเราก็ดึงออกมาเลย รุ่นอาตมาใช้เบ็ดราวยาวสัก ๒๐ - ๓๐ ตัว ถึงเวลาเกี่ยวข้าวตอกแล้วก็ทิ้งไว้เรี่ย ๆ ดิน พอโดนลมพัดข้าวตอกก็ส่ายดุ๊กดิ๊ก ๆ แย้ก็จะวิ่งไปงับแล้วก็ติดเบ็ด พอติดเบ็ดก็จะดึง พอยิ่งดึงก็ยิ่งเขย่า ตัวอื่นก็คิดว่าข้าวตอกเป็นแมลงก็ไล่งับกันใหญ่ เรื่องบาปเรื่องกรรมนี่ขอให้บอกเถอะ สมัยเด็ก ๆ อาตมาทำไว้เยอะ ที่เล่าให้ฟังเพื่อเป็นอุทาหรณ์ว่า พอถึงเวลามาปฏิบัติแล้วก็ทิ้งหมดทุกอย่างเลย สารพัดการล่านี่ต้องบอกว่าเป็นนักฆ่าโดยสายเลือด ขนาดลุยน้ำลึกถึงเอวลงตกปลายังได้กินเลย ปกติคนลงน้ำปลาจะต้องหนีหมด เพราะว่าผู้ใหญ่เขาเลือกทำเลดี ๆ บนฝั่งไปหมด อาตมาไม่มีที่ มองซ้ายมองขวา ท้ายสุดลุยไปตกกลางน้ำยังอุตส่าห์ได้อีก ที่อาตมาป่วยอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะเรื่องปาณาติบาต สะสมมาชาติแล้วชาติเล่านี่แหละ ไม้แหย่แย้ ไม้แย้กอด แล้วแต่จะเรียกกัน เป็นพืชกึ่งล้มลุก ก็คือ กิ่งจะแผ่ออกกึ่ง ๆ เลื้อย หักเอามาสักเรียวหนึ่ง ที่กะว่าพอ ๆ กับรูแย้ ยาวประมาณศอกหนึ่งแล้วแหย่เข้าไป ถ้าเอาเหน็บฝาบ้านไว้จิ้งจกตุ๊กแกจะมาล้อมเลย ไม่รู้ว่ามีกลิ่นอะไรที่พวกนี้ชอบ พอ ๆ กับเด็กบ้านนอกจะรู้วิธีเรียกจิ้งจก เอาใบตองแตก ๆ มาเหน็บข้างฝาไว้เดี๋ยวจิ้งจกก็มา |
ถาม : วิธีการต่อสีผึ้ง ?
ตอบ : เอาของเก่าโปะหน้าของใหม่ แล้วเอาไปวางผึ่งแดด แต่เห็นเดี๋ยวนี้บางคนเอาใส่ไมโครเวฟเลย ถ้าใส่ไมโครเวฟโปรดระวังภาชนะอาจจะเปลี่ยนรูปได้ |
พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของการปฏิบัติธรรมต้องเริ่มจากศรัทธาก่อน คราวนี้ในเรื่องของศรัทธาก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวบุคคลอยู่ดี สำนักของคุณต่อให้แย่แค่ไหน ถ้าตัวบุคคลเป็นที่ศรัทธาเขาก็จะไปกันเอง”
|
ถาม : ขออนุญาตถามเรื่องการทำทานแล้วมีอานิสงส์มาก ระหว่างสิ่งที่ให้มีจำนวนมากหรือจำนวนน้อย ถ้าหากว่าผู้ให้มีความตั้งใจสูงแต่ของมีจำนวนน้อย กับผู้ให้มีความตั้งใจต่ำแต่ว่าของนั้นมีจำนวนมาก อันไหนจะได้อานิสงส์มากกว่ากันครับ ?
ตอบ : ในพระบาลีท่านใช้คำว่า ลูขัง วา ปะณีตัง วา สิ่งของจะหยาบหรือประณีตก็ตาม ขอให้ได้มาโดยบริสุทธิ์ ถ้าได้มาโดยบริสุทธิ์ เป็นวัตถุทานที่บริสุทธิ์ อานิสงส์ย่อมได้เต็มร้อยส่วน เพราะฉะนั้น..จึงไม่ได้จำกัดอยู่ที่ว่ามากหรือน้อย แต่สำคัญว่าต้องได้มาโดยบริสุทธิ์ ในส่วนของวัตถุทาน ส่วนใหญ่แล้วอานิสงส์ก็คือจะมั่งมีในทรัพย์สินเงินทองในกาลข้างหน้า ดังนั้น..ผู้ที่มีวัตถุทานที่บริสุทธิ์ ถ้าให้ในจำนวนที่มากกว่าก็จะเป็นคนรวย แต่จะมีทรัพย์สินมากกว่า อย่างเช่นว่า ถ้ามหาเศรษฐีมีทรัพย์สิน ๘๐ โกฏิ บุคคลที่ให้มากกว่าก็อาจจะมี ๑๒๐ โกฏิ ๒๐๐ โกฏิ มากกว่าคนอื่นเขา แต่เป็นมหาเศรษฐีเหมือนกัน |
ถาม : เวลาให้พร พระท่านจะบอกว่า อายุ วรรณะ สุขะ พละ หรือ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง การลำดับความสำคัญเป็นอย่างนั้นเลยหรือไม่ครับ คืออายุสำคัญมาก พละสำคัญน้อยที่สุด ?
ตอบ : ที่ว่ามานั้นคิดฟุ้งซ่านจนเกินไป เพียงแต่ว่า ๔ สิ่งนั้นเป็นของที่คนสมัยโบราณต้องการทั้งสิ้น อายุ คือความเป็นผู้มีอายุยืนใคร ๆ ก็ต้องการ วรรณะ ในที่นี้หมายถึงชาติตระกูล ไม่ใช่ผิวพรรณที่คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้เขาแปลกัน ถ้าหากว่าเป็นคนไม่มีวรรณะคือจัณฑาล เป็นคนกาลกิณีที่ไม่มีใครคบหาด้วย ดังนั้น..คำให้พรที่ว่า วรรณะหรือวัณณัง ในที่นี้หมายถึงชาติตระกูลของตนเอง สุขะ ขอให้มีความสุข ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการจะมี พะลัง ขอให้มีกำลัง ไม่ว่าจะเป็นกำลังกาย กำลังใจก็ตาม เมื่อมีแล้วก็สามารถที่จะทำมาหากิน หรือว่ากระทำในสิ่งที่ตนมุ่งหวังเอาไว้จนสำเร็จได้ ดังนั้น..สิ่งทั้ง ๔ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่คนสมัยนั้นต้องการทั้งสิ้น เวลาท่านให้พรถึงได้บอกว่า “อายุ วัณโณ สุขขัง พะลัง” แต่ไม่ได้เป็นการเรียงลำดับความสำคัญ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนเห็นว่าสำคัญทั้งนั้น เราไม่ได้อยู่อินเดียไม่รู้หรอกว่าบรรดาจัณฑาลที่ไม่มีวรรณะเป็นสิ่งที่ต่ำต้อยด้อยค่า โดนคนเหยียดหยามขนาดไหน ดร.เอ็มเบ็ดการ์ ถือว่าเป็นบิดาของพุทธศาสนาสมัยใหม่ของอินเดีย ท่านเป็นจัณฑาล ไปเรียนหนังสือต้องไปปูกระสอบนั่งอยู่มุมห้องข้างหลัง เพราะไม่มีใครยอมให้นั่งด้วย เวลาเดินไปเพื่อเขียนกระดานดำ เพื่อนจะวิ่งกรูกันฉวยปิ่นโตที่วางอยู่ข้างกระดานดำหนีไปที่อื่น เพราะกลัวว่ากาลกิณีจะไปติดในอาหารเขา จนกระทั่งอาจารย์ที่สอนสงสาร เลยให้ใช้นามสกุลของท่าน ในเมื่อมีนามสกุลเอ็มเบ็ดการ์ก็เลยกลายเป็นคนมีวรรณะ ถ้าไม่มีคนที่รู้ถึงรากเหง้าของตนเองจริง ๆ ก็ไม่มีใครรู้ว่าคนนี้เป็นจัณฑาลมาก่อน แล้วอาจารย์ท่านก็ช่วยขอทุนจนท่านได้ไปเรียนต่างประเทศ จบปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอกมา ๑๗-๑๘ สาขา เรียนเพราะต้องการจะดิ้นรนให้พ้นจากวรรณะที่ผูกรัดตัวเองไว้ จนกระทั่งตอนหลังกลับไป ท่านเยาวหราล เนรูห์ ตั้งให้เป็นรัฐมนตรี ช่วยร่างรัฐธรรมนูญใหม่ของอินเดีย แล้วในรัฐธรรมนูญใหม่ก็กำหนดว่าไม่มีการแบ่งแยกวรรณะ แต่ก็กำหนดได้แค่ในรัฐธรรมนูญเท่านั้น ในความเป็นจริงทุกวันนี้ก็ยังแบ่งแยกวรรณะกันอยู่ พระสงฆ์เราเวลาไปอินเดีย เขาจะมองด้วยความหวาดระแวง ว่าเป็นพวกจัณฑาลหรือเปล่าเพราะว่าโกนหัว แต่ท่านอาจารย์ ดร.วศิน กาญจนวณิชย์กุล ไปเรียนที่อินเดียเพื่อนไม่รังเกียจ ถามว่าทำไมไม่รังเกียจ ท่านบอกว่า “เขาเห็นผมเป็นวรรณะแพศย์ ก็คือพ่อค้า เพราะนามสกุลผมมีคำว่า วณิชย์” เขาดูนามสกุลแล้วรู้ แต่เขาไม่รู้ว่าบ้านเราตั้งกันส่งเดช |
ถาม : เวลานั่งสมาธิจะมีอาการคันยุบยิบ อยากเรียนถามว่าพระอริยเจ้าเวลานั่งสมาธิท่านคันไหมครับ ? แล้วถ้าท่านคันท่านทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : บุคคลที่เริ่มแรกปฏิบัติ ยังมีสิ่งที่ขัดขวางมากอยู่ โดยเฉพาะในส่วนของขันธมาร เขาจะกลั่นแกล้งให้เกิดอาการอย่างนั้นอย่างนี้ของร่างกาย เพื่อดึงให้เราไปสนใจตรงนั้น จะได้ไม่สนใจในการปฏิบัติ แต่ถ้าบุคคลไม่ต้องถึงระดับพระอริยเจ้าหรอก กำลังใจเริ่มทรงตัวแล้ว ถ้าเกิดความรู้สึกขึ้นมา ก็จะกำหนดสติให้มั่นคง แล้วก็เอื้อมไป อาจจะลูบ อาจจะแตะให้หายจากอาการคันนั้น แล้วก็กลับเข้าสู่อิริยาบถเดิม ดังนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติ เราจะมองดูได้ชัด ๆ ว่าคนไหนทรงอารมณ์อยู่หรือเปล่า เพราะถ้าทรงอารมณ์อยู่ ในเรื่องของการเคลื่อนไหวพรวดพราดจะไม่มี จะมีแต่ค่อยเป็นค่อยไป |
ถาม : สัตว์เลี้ยงที่เราเลี้ยง เราสามารถนำวัตถุมงคลให้เขาป้องกันตัวได้ไหมครับ ?
ตอบ : หลวงพ่อแย้ม วัดตะเคียน ท่านทำตะกรุดคล้องคอให้หมา ที่วัดท่าซุงหมาก็คล้องเชือกแดงเพียบเลย ถาม : เราต้องอาราธนาให้เขาใช่ไหมคะ ? ตอบ : อาราธนาขอให้คุ้มครองเขาแล้วก็คล้องไปเลย แต่ถ้าของหลวงพ่อแย้ม วัดตะเคียน ท้ายสุดหมาก็สูญตะกรุดหมด คนแย่งหมาเลย จนกระทั่งเขาเรียกตะกรุดหลวงพ่อแย้มว่า ตะกรุดคอหมา หมาท่านเคยไปโดนเขาตีเขาฟันมาจนเป็นแผลเหวอะหวะ ท่านขี้เกียจรักษาก็เลยทำตะกรุดคล้องคอให้ จากนั้นพอไปโดนเท่าไรก็ไม่มีบาดแผล คนก็เลยจับหมามาแย่งตะกรุด เชื่อเถอะ...ถ้าเป็นหมาของวัดท่าขนุน คล้องตะกรุดมหาสะท้อนให้ ตะกรุดหายทุกตัวแหละ..! |
ถาม : ปัจจุบันนี้ไม่มีพระพุทธเจ้า แล้วในโลกมนุษย์ เทวโลก พรหมโลก ทั้งหมดต้องกราบพระสงฆ์ ถูกต้องไหมครับ ?
ตอบ : ต้องดูก่อน ถ้าเป็นสมมติสงฆ์ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หรือว่าเป็นพระอริยสงฆ์ เทวดาพรหมท่านให้ความเคารพเป็นปกติอยู่แล้ว ถ้าสักแต่ว่าห่มเหลืองไป ท่านไม่เหยียบเอาก็บุญแล้ว..! ถาม : ถ้าเป็นพรหมเทวดาที่ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านยังกราบพระสมมติสงฆ์ไหมครับ ? ตอบ : ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านก็กราบเป็นปกติ บางทีก็มาตั้งใจทดสอบทั้ง ๆ ที่เราเป็นปุถุชนธรรมดา แต่ท่านมาในกายของพระอนาคามีเต็มระดับ สว่างโร่มาแต่ไกลเลย มาถึงก็กราบงาม ๓ ทีก้นโด่ง บอกว่า “ชื่นใจเหลือเกิน ได้กราบพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างพระคุณเจ้า ช่างเป็นบุญของโยมเหลือเกิน” แล้วท่านก็ไป ปล่อยให้เราฟุ้งซ่านไปเป็นเดือน เวลาท่านทดสอบนี่ท่านทดสอบเจ็บจริง ๆ ถาม : แล้วจะเอาอะไรเป็นเครื่องยืนยันครับ ? ตอบ : ถ้าเชื่อว่าดีก็โง่ต่อไป เราเองทำได้แค่ไหนเราต้องรู้สิ ไม่ใช่ว่าคนอื่นบอกแล้วไปเชื่อ |
ถาม : ท่านที่ปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าพระภิกษุสงฆ์เป็นพระอริยเจ้าชั้นต้น ท่านจะกราบพระภิกษุสงฆ์ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นสมมุติสงฆ์ที่ศีลบริสุทธิ์ท่านก็กราบ บุคคลกว่าจะปฏิบัติไปจนเป็นว่าที่พระพุทธเจ้า ความละเอียดอ่อนของจิตใจของท่านมีมหาศาล ท่านจะเห็นคุณความดีในทุกสิ่ง โดยเฉพาะบุคคลที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย ดังนั้น..ท่านจึงกราบเป็นปกติ ถ้าหากว่าเป็นภิกษุทั่วไปแต่ได้ทิพจักขุญาณ สามารถรู้เห็นได้ หลายท่านก็จะขออนุญาตกราบคืน |
ถาม : นึกถึงบาปเก่าที่เราทำ เวลาที่เรานึกใจหมองลงมา เราต้องระวังอย่างไรใจจะได้ไม่เศร้าหมอง ?
ตอบ : ระมัดระวังไว้อย่าไปนึกถึง อย่าให้จิตติดอยู่ตรงนั้นแล้วเกิดความเศร้าหมองขึ้น ผิดก็แค่ยอมรับผิด หันไปเกาะความดีในอนุสติ ๑๐ แทน ถาม : พยายามไม่ให้ใจเศร้าหมอง ว่าเราไม่ได้ทำตรงนั้น ก็รู้สึกกระด้าง ๆ ? ตอบ : มัวแต่ห่วงความรู้สึก เดี๋ยวก็ได้ไปนรก..! ไม่ต้องคิดถึงได้เลยเป็นดี เพราะถ้าคิดถึงเมื่อไร เราอาจจะเผลอให้ใจเศร้าหมองได้ ฉะนั้น..ถึงเวลาให้ลืมเสีย วางอุเบกขาไปเลย แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำความดีใหม่ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมที่ไปช่วยวางผางประทีปงานมาฆบูชา คงเห็นผลงานที่ลงในเว็บแล้วว่างามแค่ไหน โดยเฉพาะพระนามาภิไธยย่อ สธ. ๖๐ พรรษา สวยสมใจนึก อาตมาอุตส่าห์เอาแผ่นฟิวเจอร์บอร์ดไปวาง แล้วจัดเรียงผางประทีปให้ตรง เรียงด้วยมือแล้วไม่ค่อยตรง
ฝีมือวาดของท่านปัญญาเป็นหลัก แล้วก็มีท่านเบสท์กับน้องแนนช่วยกันแต่งเติม อาตมาเป็นคนออกแบบ ในลานธรรมนี่ส่วนใหญ่ฝีมือน้องเล็ก ฝู กับน้องแนน ตรงไหนไม่ไหวก็นิมนต์ท่านปัญญาไปช่วยวาดให้ เราเลยได้ช้างมาอีก ๑ ตัว เห็นช้างกำลังชูงวงถวายกระบอกน้ำ แต่ถ้าดูไกล ๆ จะเหมือนลิงถวายรวงผึ้ง..!" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "สบงตัวนี้เดี๋ยวค่อยเอาออกประมูล แม่ชีที่วัดเขาประกาศไว้แล้ว ถ้าประมูลเมื่อไรเขาสู้เลยสองแสนบาท เพราะแม่ชีเป็นคนเย็บเองมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว หวังว่าคงไม่มีใครปาดหน้าสองแสนกับเก้าบาทนะ"
|
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมามีนิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่ง คือ หยิบของแล้วไม่ค่อยหนัก ก็เลยคิดว่าคนอื่นเป็นเหมือนกัน บางที่ส่งให้คนรับทรุดทั้งยืนเลย
สมัยยังไปธุดงค์อาตมาไม่ค่อยสบาย ส่วนมากก็มาลาเรียกำเริบ พระอื่นท่านบอกว่า “อาจารย์ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพวกผมกางกลด ปูผ้าให้” อาตมาจึงลงไปตักน้ำแทน เห็นไม้ท่อนหนึ่ง เออ..ท่อนใหญ่ดี ถ้าเอามาสุมไฟก็ลุกได้ทั้งคืน จึงแบกกลับมา อีกมือหนึ่งก็ถือบาตรใส่น้ำเต็มมาด้วย พอมาถึงที่พัก พระท่านเห็นก็กรูกันเข้ามาช่วย บอกท่านว่า "คุณเอาบาตรไปก็พอ" เขาก็ว่า "เอาท่อนไม้ดีกว่าครับ" "พวกคุณไหวแน่นะ ?" "ไหวครับ" มหาเคแบกข้างหน้า ท่านกอล์ฟแบกข้างหลัง พออาตมาปล่อยมือนี่หัวทิ่มใส่กันเลย ท่อนไม้ท่อนใหญ่ประมาณบาตร แล้วก็ยาวราว ๓ เมตรกว่า ด้วยความที่อาตมาค่อนข้างจะแข็งแรงก็เลยไม่ค่อยรู้สึกหนัก ตอนแรกคิดว่าคนอื่นเขาจะเป็นแบบอาตมา กว่าจะรู้ท่านก็แทบจะโดนทับตายไปแล้ว..!" |
https://www.watthakhanun.com/webboar...1425718382.jpg พระอาจารย์สอบถามตัวเล็กว่า "ในกระทู้บูชาวัตถุมงคล ใครได้พระพุทธรูปองค์นั้นไป ? แกะสลักจากหินพระธาตุเขาสามร้อยยอด อาตมาคิดราคาเท่ากับเมื่อ ๖ ปีก่อน ไม่ได้เพิ่มแม้แต่บาทเดียว" |
ถาม : จะแก้ความเครียดได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : ถ้าอารมณ์ใจทรงตัวความเครียดจะไม่มี ถ้าหากว่ามีความเครียดแปลว่าอารมณ์ใจของเรายังไม่ทรงตัว ใช้วิธีแก้แบบชาวบ้าน ๆ คือออกกำลัง ไปทำอะไรให้เหงื่อโทรม ถูบ้านสัก ๓ ชั้นก็ได้ เดี๋ยวก็หายเครียดไปเอง จะลองถูบ้านหลังนี้ไหม ? กว่าจะเสร็จก็เหงื่อโชกทั้งตัว ถ้าหาสถานที่ออกกำลังยาก ก็ยืมเครื่องปั่นจักรยานของใครก็ได้มานั่งปั่น ปั่นไปก็ภาวนาไป ได้กำไรสองทาง ทางแรกคือออกกำลังให้หายเครียด ทางที่สองคือภาวนาเอากำไร แต่ต้องทำให้สม่ำเสมอนะ ไม่ใช่เอาไว้ตากผ้า เครื่องออกกำลังแต่ละบ้านนี่น่าสงสารจริง ๆ เลย ส่วนใหญ่มักจะเอาไว้ตากผ้า..! |
ถาม : ...(ไม่ได้ยิน)...?
ตอบ : อันดับแรก ไปหาหมอก่อน หมอบอกอย่างไรให้รักษาอย่างนั้น อันดับที่สอง ถ้าสิ้นสุดความสามารถของหมอแล้ว คราวนี้ก็อยู่ที่เราว่าจะหาคุณประโยชน์จากความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นได้ขนาดไหน ประการแรก ความเจ็บป่วยเป็นทุกข์ของสภาพร่างกาย เป็นสิ่งที่ไม่ใช่จะเกิดขึ้นกับทุกคนได้ง่าย ๆ กว่าพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้เห็นทุกข์อย่างแท้จริง ใช้เวลาในการสร้างสมบารมีต่ำสุดก็ ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป เพราะฉะนั้น..ความเจ็บไข้ได้ป่วยที่ปรากฏเป็นทุกข์เฉพาะหน้าของเรา จึงเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่าจนประมาณไม่ได้ เราเห็นว่าร่างกายมีความเจ็บป่วยเป็นปกติอย่างนี้ ยังอยากได้ใคร่มีอยู่อีกหรือเปล่า ? ลองถามตัวเองดู ถ้าปัญญาถึงเราอาจจะก้าวล่วงจากกองทุกข์ไปได้เลย ประการที่สอง ถ้ารู้สึกว่าความทุกข์ทรมานเป็นสิ่งที่เราต้องทนแล้วทนเล่า ก็พยายามจับตัวอานาปานสติ คือ ลมหายใจเข้าออกของเราจนทรงตัวเป็นปกติ ถ้าหากลมหายใจเข้าออกทรงตัว สภาพจิตกับประสาทจะเริ่มแยกออกจากกัน เราจะไม่รับรู้ถึงอาการป่วยของร่างกาย เท่ากับว่าระงับเวทนาต่าง ๆ ลงได้ชั่วคราว แต่วิธีที่สองนี้เหมือนอย่างกับเราไปกดเอาไว้ แต่วิธีแรกก็คือถ้าหากเรารู้แจ้งเห็นจริงก็จะก้าวพ้นไปได้เลย หลังจากนั้นเราก็จะรู้ว่าความทุกข์เป็นปกติธรรมดาของร่างกาย สภาพจิตใจยอมรับ ไม่ไปดิ้นรนกระวนกระวายอีก ป่วยก็เหมือนกับไม่ป่วย ไปเลือกเอาว่าจะเอาวิธีไหน อาตมาทำให้ดูแล้ว โยมไปเลียนแบบเอาก็แล้วกัน |
:4672615:เก็บตกเดือนมีนาคมปี ๕๘ หมดแล้วค่ะ:4672615: ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:06 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.