![]() |
พระอาจารย์กล่าวกับเด็กนักเรียนโรงเรียนเทพศิรินทร์ว่า "ถ้าหากว่าเรียนดีกีฬาเด่นก็ครบถ้วน ถ้าหากว่าดีด้านเดียวก็กลายเป็นว่าขาดไปส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้น..บอลจตุรมิตรสามัคคี ระยะหลังเทพศิรินทร์ผูกปีแพ้ ปีนี้ชนะได้ ขนาดอาตมาไม่ใช่ศิษย์เก่าเทพศิรินทร์ยังดีใจแทนเลย ชนะได้สักที ขืนแพ้นานไปเดี๋ยวเฉา คือประเภทแพ้แล้วแพ้อีกแล้วไม่ท้อถอยนั้นหายาก ต้องมีแพ้บ้างชนะบ้างจะได้มีกำลังใจ พระพุทธเจ้าตรัสว่า อัตตา หะเว ชิตัง เสยโย การชนะตนได้เป็นดีที่สุด ชนะอย่างอื่นไปก็เท่านั้นแหละ"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "รองานสร้างมณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำนี้เสร็จแล้ว เฮียจั๊วก็คงสบายใจ อายุ ๗๐ กว่าแล้ว ขอทิ้งผลงานเอาไว้อีกสักชิ้นหนึ่ง ตอนนี้อยู่ในระหว่างที่ถ่ายแบบเป็น ๑ ต่อ ๑ ก็คือขนาดเท่าของจริง แต่คราวนี้ก็ต้องใช้ระยะเวลา น่าจะประมาณอีกเดือนหนึ่ง กว่าแบบจะเสร็จ ช่วงนี้เขาว่าอยู่ในระหว่างหาวัสดุ พอดีเขามีไม้สักทองใหญ่ที่เป็นไม้เก่า เหลือจากซ่อมเรือพระราชพิธีกับซ่อมพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทอยู่ อาตมาบอกว่าขนมาได้เลย
ปกติแล้วค่าถ่ายแบบจะเป็น ๕ เปอร์เซ็นต์ของราคาที่เซ็นสัญญา ก็แปลว่าอาตมาจะต้องจ่ายประมาณ ๖๒๕,๐๐๐ บาท แต่เขาทำให้ฟรี ๆ และเป็นช่วงจังหวะพอดี จะทำงานทีไรจะมีคนเข้ามาพอดี จึงเชื่อแล้วว่าขอให้ทำตามที่หลวงพ่อบอกเถอะ ท่านเตรียมทุกอย่างไว้แล้วแหละ" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "บรรดาพิณพาทย์ สะล้อ ซอ ซึง เครื่องสายเก่า ๆ ฟังแล้วเย็น พวกดนตรีรุ่นใหม่ ๆ พวกร็อก พวกพังก์ นี่ประเภทฟังแล้ว รัก โลภ โกรธ หลง กำเริบ เฮฟวี่เมทัล..ใช่ไหม ? ฟังกันหูจะพัง ต้องพวกหูเหล็กถึงจะฟังได้ คาดว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้อายุมากหน่อย ต้องมีปัญหาเรื่องการได้ยินอย่างแน่นอน
งานสงกรานต์ที่จังหวัดกาญจนบุรี จะเป็นเวลาโชว์เครื่องเสียง บรรดารถต่าง ๆ บ้านต่าง ๆ จะเอาเครื่องเสียงมาเปิดกันสนั่นหวั่นไหวไปหมด บางทีอาตมาวิ่งรถผ่านไปประมาณ ๑ กิโลเมตร โดนเครื่องเสียงอัดจนเหนื่อยเลย กระแทกตึง ๆ อัดจนแทบจะตาย บ้านโน้นก็ขนโฮมเธียเตอร์มา บ้านนี้ก็เครื่องเสียง ไอ้นั่นเปิดรถทั้งคัน ดูแล้วลำโพงประมาณ ๒๐ ตัว แล้วเขาทนฟังของเขาได้อย่างไรก็ไม่รู้ ?" |
ถาม : หลวงพ่อเคยเห็นดวงแก้ววิเศษของหลวงพ่อวัดท่าซุงบ้างไหมครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าแก้วจักรพรรดิ เคยเห็นออกจะบ่อยไป เคยถ่ายรูปลงเว็บเอาไว้ด้วย เป็นดวงแก้วที่ประหลาดมาก ถ้าเราดูด้วยสายตา จะเหมือนเป็นเนื้อหินอ่อนทึบลาย ๆ แต่พอไฟส่องกลับใสสว่าง เป็นเรื่องประหลาดดีเหมือนกัน มีทั้งองค์ใหญ่และองค์เล็ก ส่วนของอาตมาเอง เป็นแบบที่โบราณเรียกว่าแก้วอินทนิล ถ้าสมัยนี้คงเรียกว่าแก้วมรกต ขนาดน่าจะประมาณกำปั้น แล้วก็จะมีเป็นแก้วสุริยกานต์กับแก้วจันทรกานต์อีกอย่างละ ๑ ดวง ของอาตมาไม่ใช่แก้วจักรพรรดิอย่างของหลวงพ่อวัดท่าซุงท่าน เป็นคนละอย่างกัน แก้วสุริยกานต์จะเป็นสีแดง จันทรกานต์จะเป็นสีน้ำเงิน ทั้ง ๒ อย่างนี้เขาบอกว่าห้ามพกด้วยกัน แต่อาตมาพกมาตลอด โดยเอาแก้วอินทนิลไว้ตรงกลางก็หมดเรื่อง เขาบอกว่า ๒ อย่างนี้พลังจะหักล้างกันเอง จนอาจจะสร้างความวิบัติให้กับเจ้าของ แต่คราวนี้ของอาตมามีแก้วอินทนิลองค์ใหญ่อยู่ ก็เลยเอากั้นกลางไว้เป็นกรรมการห้ามมวย แก้วอินทนิลเคยลงภาพไว้ในเว็บท่าขนุน ลองไปหาดูแล้วกัน แต่ว่าสองอย่างหลังนี่ไม่กล้าลง ที่ไม่กล้าลงเพราะบางคนเขาบอกว่าเนื้อแก้วเป็นเพชร ถ้าเพชรขนาดนั้นนี่อาตมาประมาณราคาไม่ถูกหรอก ใหญ่กว่าไข่นกพิราบตั้งเยอะ ประมาณไข่ไก่ขนาดกลางเห็นจะได้..! |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าในเรื่องของมีดต้องดูชาวบ้าน ชาวบ้านมีมีดเหน็บเล่มหนึ่งกับมีไฟ เข้าป่าไปไม่อดตายหรอก มีดเล่มเดียวหากินได้สารพัด แล้วมีดชาวบ้านเขาใช้อยู่ทุกวัน ๆ สวยอย่าบอกใครเลย มีดของเราเผลอหน่อยเดียวก็ทิ้งให้สนิมกิน มีคนเคยถามว่ามีดหมอลับได้หรือเปล่า ? อาตมาขอยืนยันว่าตั้งแต่เด็ก ๆ มา เห็นมีดหมอหลวงพ่อเดิมเขาลับใช้งานกันเป็นปกติทุกเล่ม เพราะว่าสมัยก่อนมีดหมอคือมีดใช้งาน เพียงแต่ว่ามีพุทธคุณ ต้องระมัดระวังเก็บไว้ในที่สูง เขาลับใช้กันเป็นปกติ
โดยเฉพาะพวกเสือพวกโจรหนังเหนียว ๆ นี่เจอมีดหมอหลวงพ่อเดิมเข้าไปเปื่อยหมด มีดหมอถ้าลับใช้งานให้ระมัดระวังอย่าให้บาดตัวเอง เพราะว่าแผลจะรักษาไม่หาย เคล็ดลับก็คือใช้ด้ามมีดหมอฝนกับน้ำแล้วทาแผลถึงจะหาย ตอนหลังพอหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านออกน้ำมันชาตรีมา อาตมาก็เลิกฝนด้ามมีดหมอ ใช้น้ำมันชาตรีทาแทน หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว ออกทั้งมีดทั้งดาบ แต่ว่าคนไม่ค่อยได้กัน เพราะว่าของท่านพิธีการทำยาก เตรียมโลหะเตรียมอะไรกว่าจะทำได้แต่ละเล่ม หลวงปู่ยิ้มท่านเป็นปรมาจารย์เก่ายุคไล่ ๆ กับหลวงปู่ศุขโน่น สมัยก่อนเจ้าเมืองกาญจนบุรี พอเวลาเข้ากรุงเทพฯ มาถวายรายงานข้อราชการ บรรดาเจ้าใหญ่นายโตก็ถาม “เจ้าคุณ..มีของขลังของหลวงพ่อเฒ่ายิ้มมาหรือเปล่า ?” สมัยก่อนการเดินทางยาก ถ้าไม่ใช่หน้าที่ราชการจริง ๆ ไม่ค่อยมีใครอยากไปหรอก ทางเมืองกาญจน์ ฯ ป่าเสือป่าช้างทั้งนั้น เพราะฉะนั้น..ถ้ามีคนมาจากเมืองกาญจน์ เขาก็ขอเอาดื้อ ๆ เลย หลวงปู่ยิ้มท่านเป็นอาจารย์ของหลวงปู่เหรียญ วัดหนองบัว หลวงปู่ดี วัดเหนือ หลวงปู่สอน วัดทุ่งลาดหญ้า หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ นั่นก็ลูกศิษย์หลวงปู่ยิ้มทั้งนั้น ว่ากันว่าหลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้ ก็เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ยิ้ม แต่ว่าหลวงปู่เปลี่ยนท่านมีพื้นฐานการปฏิบัติมาก่อน ก็เลยไม่ได้ไปเรียนนานแบบคนอื่นเขา พอไม่ได้ไปเรียนนาน หลายคนเลยไม่ได้นับหลวงปู่เปลี่ยนเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ยิ้ม ถ้าถามว่าหลวงปู่เปลี่ยนอาวุโสระดับไหน ? อาวุโสระดับท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัด แล้วตั้งหลวงปู่ดีเป็นพระใบฎีกาฐานานุกรมของท่านได้ แสดงว่าท่านต้องบวชก่อนอย่างน้อย ๑๐-๒๐ ปี ถ้าถามว่าหลวงปู่สอน วัดทุ่งลาดหญ้า เก่งแบบไหน ? ก็ต้องดูหลวงพ่อลำไย ลูกศิษย์ท่านก็พอ ส่วนหลวงปู่ม่วง วัดบ้านทวนนี่มาอีกสายหนึ่งเลย จากหลวงปู่ม่วงก็เป็นหลวงปู่เพิ่ม หลวงปู่ซ้ง" |
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เหมือนกับมีวันนี้วันเดียว ถ้าเราทำหน้าที่ของเราดีที่สุดแล้ว ถึงเวลาก็สามารถจากไปอย่างสง่างามที่สุด ไม่ต้องให้ใครเขาตำหนิ ไม่ต้องให้ใครเขาด่าว่าตามหลังไป ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ทำ ๆ ไปก่อนอย่าเพิ่งเล่นตัว ขอให้เข้าใจว่าตราบใดที่เรายังอยู่ในโลกมนุษย์ เรายังต้องกินต้องใช้อยู่ การทำงานของเราก็ถือเป็นการปฏิบัติธรรม ก็คือช่วยให้เราเห็นความทุกข์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ถาม : แล้วจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์แก่โลกมากกว่านี้ ? ตอบ : ถ้าเราไม่ทำตัวให้เป็นภาระแก่โลกก็พอแล้ว ถาม : ปลูกผัก ปลูกข้าว ก็มีแมลง ต้องฆ่า ? ตอบ : เขามีวิธีการอยู่เยอะแยะไป มีทั้งวิธีทางธรรมชาติหรือวิธีทางสารเคมีก็เลือกไป อาตมาเคยทำมาก่อน ที่บ้านก่อนหน้านี้เป็นสวนผัก แต่ปรากฏว่ามาระยะหลัง พอรัฐบาลสนับสนุนสินค้าส่งออก สมัยนั้นก็จะเน้นเรื่องข้าว ไม้สัก ข้าวโพด ยางพารา น้ำตาล ฯลฯ รอบบ้านเขาก็เปลี่ยนไปปลูกอ้อยกันหมด คราวนี้พอเนื้อที่เป็นพันเป็นหมื่นไร่กลายเป็นไร่อ้อยหมด ก็เหลือผักอยู่แค่กระจุกเดียว แมลงมีเท่าไรก็มารุมอยู่ตรงนั้น ก็ต้องหาวิธีว่าทำอย่างไรเราถึงจะป้องกันได้ คราวนี้จะไปซื้อสารเคมีอะไรก็ลำบาก ก็ต้องใช้วิธีปลูกพืชที่แมลงไม่ชอบเอาไว้ ก็มีพวกกระเพรา ดาวเรือง พวกผักที่ส่งกลิ่นฉุน ๆ กลบกลิ่นผักอื่นหมด แมลงก็หาไม่เจอ เพียงแต่ว่าถ้าที่หลายไร่จะลำบาก เราจะดูแลยาก ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ต้องลงทุนปลูกผักกางมุ้ง ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ก็ไม่จำเป็น ต้องประเภทแบ่งกันคนละครึ่ง เอ็งกินไปครึ่งหนึ่ง เหลือให้ข้าครึ่งหนึ่ง ปลูกผักกางมุ้งจ้ะ ยอมลงทุนสักนิดหนึ่ง ทำประตู ๒-๓ ชั้น ถึงเวลาเดินเข้าซองไปก่อน เปิดประตูหนึ่งเข้าซองย้อนมา แล้วเปิดอีกประตูหนึ่งค่อยเข้าไปในแปลงผัก ก็พอที่จะกันได้ แต่ถ้าเล็ก ๆ ไม่พอให้แมลงกินหรอก ต้องทำเยอะหน่อย |
ถาม : มีเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และรูปปั้นพระยาพิชัยดาบหัก ควรจัดโต๊ะหมู่บูชาอย่างไรคะ ?
ตอบ : เอาพระประธานเป็นหลัก หลังจากนั้นก็เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ รูปปั้นพระยาพิชัยดาบหักให้อยู่ล่างสุด |
ถาม : เวลาเราได้บางสิ่งมาแบบบังเอิญ ?
ตอบ : คำว่าบังเอิญในโลกนี้ไม่มี ทุกอย่างเป็นไปตามวาระบุญวาระกรรม ถาม : แล้วจะตีความอย่างไร ? ตอบ : ก็ไม่ต้องตีความอะไร มีโอกาสไปวัดก็เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว แต่ถ้าให้ดีกว่านั้นคือวัดใจของเราว่ามีความดีหรือเปล่า? ถ้าไม่มีก็เร่งสร้างขึ้นมา ถ้ามีอยู่แล้วก็เร่งทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป |
ถาม : วัตถุมงคลจำเป็นต้องมีหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าเรามั่นใจในความดี นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้เป็นปกติ ไม่ต้องมีก็ได้ แต่คราวนี้เนื่องจากว่าเราเองต่อให้เก่งขนาดไหน โอกาสเผลอย่อมมี ในเมื่อโอกาสเผลอมี ถ้าหากว่ามีพระติดตัวไว้หน่อยก็จะมั่นใจได้มากกว่า ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ได้..สำคัญที่ว่าเรานึกถึงพระได้ไหม ? ตื่นเช้ามาขออาราธนาบารมีท่านช่วยคุ้มครองรักษา ถ้าวันนี้เราหมดอายุขัยตายลงไป หรือเกิดอุบัติเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิต ก็ขอไปอยู่กับท่าน ให้ตั้งใจอย่างนั้น ถาม : ควรเลือกวัตถุมงคลแบบไหน ? ตอบ : ความจริงจะบอกว่าเอาที่เราศรัทธา แต่บางคนบอกว่าต้องตรงกิเลสด้วย คือเอาที่เราชอบด้วย |
ถาม : ไปทอดกฐินที่วัดอัปสรสวรรค์ ?
ตอบ : วัดอัปสรสวรรค์เป็นวัดที่มีพระประธานมากที่สุด พระประธานในโบสถ์ ๒๘ องค์ เขาสร้างตามความที่มีในพระไตรปิฎกว่า พระพุทธเจ้าท่านพบพระพุทธเจ้าในอดีตมาทั้งหมด ๒๔ พระองค์ แล้วในกัปแรกที่พระองค์ท่านได้รับพยากรณ์มีพระพุทธเจ้าอีก ๓ องค์ รวมกับตัวพระองค์ท่านเป็น ๒๘ พระองค์ เขาก็เลยสร้างพระพุทธรูป ๒๘ พระองค์เป็นพระประธาน เอาทีเดียวให้คุ้ม ถาม : แล้ว ๓ องค์รุ่นแรกเลย คือ.. ? ตอบ : ๓ องค์รุ่นแรกคือพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ตัณหังกร เมธังกร และ สรณังกร เกิดในกัปเดียวกับพระพุทธเจ้าพระนามว่าทีปังกร แต่ว่าผ่านไปแล้ว พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเรา ได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้านามว่าทีปังกร แล้วมีพระพุทธเจ้าถัดมาอีก ๒๔ พระองค์ถึงได้ตรัสรู้ ถาม : ๓ องค์รุ่นแรกนี่คือก่อนองค์พระพุทธเจ้าทีปังกร ? ตอบ : ก่อนหน้านั้นมีสามล้านกว่าพระองค์ พระพุทธเจ้ามีพระนามว่าทีปังกรเป็นองค์ที่ ๔ ของ ๒๔ องค์ล่าสุด |
ถาม : .(ไม่ชัด)... ลำบากไหม ?
ตอบ : ลำบากไหม ? อาตมาไม่เคยคิดตั้งเลย เพราะรู้ว่าความดีไม่พอที่จะไปถวายพระนามให้พระพุทธเจ้าท่าน แต่เห็นเขานิยมตั้งกันจัง ถาม : พระสมเด็จองค์ปฐม ก็คือองค์ที่พิษณุโลก ? ตอบ : คำว่าสมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ปฐม เกิดขึ้นโดยหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเรียก ก็แปลว่าเกิดขึ้นไม่นาน แต่องค์ที่พิษณุโลก สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระเจ้าศรีทรงธรรมปิฎก หรือที่เรียกว่าสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ต้องบอกว่ายุคสมัยห่างกันเยอะ ถาม : แล้วองค์ที่พิษณุโลกกับองค์ปฐมที่วัดท่าซุง เรานึกถึงองค์ไหน ? ตอบ : ไหว้แล้วเรานึกถึงพระองค์ไหนก็เป็นพระองค์นั้นแหละ พระพุทธรูปเขาสร้างไว้เป็นพุทธานุสติ คือเป็นเครื่องระลึกถึง เพราะฉะนั้น..เราจะนึกถึงพระพุทธเจ้าพระองค์ไหน ก็ไหว้แล้วก็นึกเอา ถาม : ถ้าเราคิดถึงทุกองค์ละคะ ? ตอบ : ก็เรานึกถึงทุกพระองค์ได้ไหมเล่า ? ถ้านึกถึงทุกองค์ได้ก็เท่ากับได้ไหว้ทุกพระองค์ |
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "เครื่องประดับถ้าเป็นวัสดุงาช้าง อย่าใส่ไปต่างประเทศนะจ๊ะ บางประเทศนี่เขาจับติดคุกเลย อาตมาไปต่างประเทศยังต้องปลดมีดหมอด้ามงาช้างออก ถึงเราจะมั่นใจว่าเครื่องไม่ดังก็เถอะ แต่ถ้าดังขึ้นมานี่เฮงจริง ๆ
ไปเขมรขากลับระหว่างที่นั่งพักอยู่ ก็มีเจ้าหน้าที่ของสายการบินของเขา มาขอให้ช่วยดูหมอให้หน่อยว่า ก็คือเขาถามเรื่องยุ่ง ๆ ในชีวิตทั้งนั้น ดูไปดูมามีโยมเอาลูกมายกให้อีก มัวแต่ไปเห่อเด็กอยู่ จะได้เวลาเขาประกาศให้ขึ้นเครื่อง ก็รีบเดินผ่านไป เครื่องร้องเสียลั่นเลย ลืมอาราธนาจนได้ พอเสียงดังนี่ต้องรีบขอพระ อย่าให้เขาหาเจอนะครับ ไม่อย่างนั้นผมซวยแน่ ๆ เลย สรุปว่าหาไม่เจอ ท้ายสุดเลยอ้าปากให้เขาดูว่า ใช่ครอบฟันอันนี้หรือเปล่าที่ทำให้เครื่องดัง ?" |
หลังจากการสนทนาตอบปัญหาธรรมกับโยม พระอาจารย์ได้กล่าวว่า "พวกเราส่วนใหญ่ถนัดในการภาวนา แต่ไม่ถนัดในเรื่องของการพิจารณา พอมาพูดถึงในเรื่องของการพิจารณา การตัด การละอะไร บางทีเราไม่เข้าใจ ฟังก็รู้แค่ผิว ๆ เพราะฉะนั้น..จึงต้องวิ่งไปชนกับกิเลสเอง..!"
|
ถาม : ทำไมพระพุทธเจ้าถึงไม่บวชให้ "นาค" ?
ตอบ : สัตว์เดรัจฉานมีปัญญาไม่เพียงพอที่จะบรรลุมรรคผล เพราะว่าอยู่ในภพภูมิที่ต่ำกว่า มีปัญญาไม่พอที่จะพิจารณาให้รู้ทั่วถึงธรรม หลัก ๆ ของสัตว์เดรัจฉานมีแค่ กิน นอน สืบพันธุ์ หลบภัย มีอยู่ส่วนหนึ่งที่ท่านไม่ได้บอกก็คือ วิสัยของผู้มีพิษมักโกรธ ในเมื่อตัวเองไม่มีโอกาสได้มรรคผลก็แปลว่าระงับโกรธไม่ได้ เดี๋ยวอาละวาดขึ้นมา คนอื่นจะเดือดร้อนกันมาก |
ถาม : เจ้าพ่อหลักเมืองกาญจนบุรีเป็นพรหม ปกติต้องเป็นภุมมเทวดาไม่ใช่หรือครับ ?
ตอบ : ปกติเจ้าพ่อหลักเมืองต้องเป็นอากาศเทวดา แล้วก็มักจะเป็นชั้นจาตุมหาราช เท่าที่เจอ ๆ มาก็มีของกรุงเทพฯ เรานี่เป็นชั้นดาวดึงส์ ของเมืองกาญจน์ฯ เมืองสำคัญ ทรัพย์ใต้ดินมาก ทองคำเยอะ..จึงเป็นพรหมเลย |
ถาม : จะอ่านหนังสือสอบ แต่สมาธิความจำไม่ค่อยดี ?
ตอบ : รู้ตัวว่าสมาธิไม่ดีก็นั่งสมาธิสิวะ..! มีคำตอบอยู่ในตัวแล้ว ฝึกซ้อมสมาธิบ่อย ๆ ใช้คาถาท่านปู่พระอินทร์ช่วย ถาม : มีวิธีทำบุญอะไรที่จะช่วยอานิสงส์ให้มีปัญญา ? ตอบ : คงทำยาก อานิสงส์เรื่องปัญญาก็คือสมาธิ เพราะสมาธิก่อให้เกิดปัญญา จิตสงบปัญญาจะมีเอง ถ้าสร้างธรรมทานก็ต้องรอชาติหน้าถึงจะได้ผล |
ถาม : ไม้พะยูงเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : พะยูงมีอยู่ ๓ สี คือ พะยูงดำ จะมีสีดำเข้มไปเลย พะยูงปกติ จะมีสีน้ำตาลออกดำ ใช้ไปนาน ๆ จะดำไปเอง พะยูงทอง สีน้ำตาลแดง จะแดงสวยมาก แต่หายาก ส่วนใหญ่ที่เป็นน้ำตาลแดงไม่ค่อยมีเท่าไร ใหม่ ๆ จะสีแดง พอนาน ๆ ไปสีจะเข้มขึ้น คนจีนชอบเอาไปทำเฟอร์นิเจอร์ ใช้ไปเช็ดไปจนดำเมี่ยมเลย เขาเรียกว่าไม้จันทน์ม่วง ถาม : กี่ปีถึงจะใช้ได้ ? ตอบ : ต้องรอจนโต ๕๐-๖๐ ปีขึ้นไป เดี๋ยวนี้วัดทางภาคอีสานลำบากมากเลย เพราะบางคนจะไปหาซื้อ "ต้นนี้สองแสน หลวงพ่อขายไหม ? ถ้าหลวงพ่อไม่ขายหลวงพ่อนอนเฝ้าให้ดีนะ เผลอเมื่อไรจะเอาฟรี..!" คิดดู..พระไปกิจนิมนต์ครึ่งชั่วโมง กลับมาหายไปทั้งต้นแล้ว..! ประเทศจีนนิยมกันเพราะชื่อเป็นมงคล ใช้งานไปหลายร้อยปีก็ยังคงสภาพ ไม่ผุพังง่าย ๆ บ้านเศรษฐีเขาอยากได้ไปทำเฟอร์นิเจอร์จึงซื้อไม่อั้น ราคาแพงเท่าไรก็ซื้อ บ้านเราก็ขายกันไป ระยะหลังต้องชั่งกิโลขาย เพราะราคาแพง ตอนที่อาตมาทำพระขรรค์โสฬส ๘๔ พรรษาธรรมิกราช จ่ายค่าไม้ชุดแรกไปสองแสนกว่าบาท ได้ไม้ไม่กี่ชิ้นหรอก มีพะยูงดำติดมาท่อนเดียว มีไม้ที่หายากเกือบจะเป็นไม้เฉพาะถิ่นไป เช่น ไม้เทพทาโร บางคนเรียกตะไคร้ต้น มีกลิ่นหอมคล้าย ๆ ตะไคร้หอม ทางปักษ์ใต้ชอบเอามาทำเป็นของที่ระลึก ไม้หลุมพอ เนื้อละเอียด สวยมาก คุณสมบัติคล้ายไม้สัก คือปลวกไม่กิน ต้อง "นายหัว" ที่รวยจริง ๆ ถึงจะสร้างบ้านด้วยไม้หลุมพอได้ |
ถาม : ไม้งิ้วดำละครับ ?
ตอบ : ไม้งิ้วดำพบได้ทุกภาค แต่หายากสุด ๆ ร้อยวันพันปีจะเจอสักต้นหนึ่ง อาตมาเองเจอที่เป็นต้นจริง ๆ อยู่ครั้งเดียวเท่านั้นเอง ตอนที่ไปเลื่อยกับพระครูแสงช่วงยังเป็นฆราวาส ท่อนแค่แขน ใช้เลื่อยเหล็กไฮสปีดเลื่อยอยู่ครึ่งค่อนชั่วโมงกว่าจะขาด แสดงว่าเหนียวกว่าเหล็กอีก..! ที่เขาขายกันอยู่ส่วนมากบอกว่าเป็นไม้งิ้วดำ แต่เขาลืมไปว่า ไม้งิ้วดำเป็นไม้เนื้อเบา เพราะว่าก็คือต้นไม้ประเภทเดียวกับนุ่นนั่นแหละ แต่ว่าเป็นสีดำ เป็นไม้ตระกูลเดียวกับต้นนุ่น ที่ขายอยู่จะมี ๒-๓ อย่างด้วยกัน ถ้าเป็นไม้ดำแล้วเสี้ยนเป็นสีน้ำตาลลาย ๆ ถ้าดูจะเห็นลายเสี้ยนค่อนข้างชัด แล้วเนื้อไม้หนักมากจะเป็นไม้มะเกลือ ถ้าหากว่าเป็นสีดำแล้วลายเสี้ยนไม้หรือลายเนื้อไม้ออกสีชมพูหน่อย จะเป็นไม้มะริด ถ้าหากว่าสีดำสนิทเลยจะเป็นไม้ดำดง ปัจจุบันนี้ที่ขายกัน ร้อยละ ๙๐ เป็นไม้ดำดง บางคนที่มีจรรยาบรรณหน่อยก็เรียกว่า "ไม้ดำ" แต่คนซื้อมักจะทึกทักเอาเองว่าเป็นไม้งิ้วดำ ไม้ดำดงนี่แหละที่พวกไร้จรรยาบรรณมักจะเอามาแหกตาเราว่าเป็นไม้งิ้วดำ บางทีก็เอาไม้มะเกลือมาบอกว่าเป็นไม้งิ้วดำ แต่ไม้มะเกลือที่เขาบอกว่างิ้วดำ ถ้าเราเห็นแล้วชอบใจก็ซื้อมาเถอะ มะเกลือแพงจะตายไป ที่บ้านอาตมาเคยมีมะเกลืออยู่ต้นหนึ่ง ขนาดใหญ่ ๓ โอบกว่า ตั้งแต่เด็ก ๆ อาตมาก็เห็นอยู่อย่างนั้นแล้ว น่าจะสูงถึง ๔๐ เมตร มีคนเขามาขอซื้อพี่ชายไปสี่แสนบาทของสมัยนั้น ถามว่าเอาไปทำอะไร เขาบอกว่าเอาไปทำโลงจำปา โห..ไม้อย่างนั้นทำโลงใครจะแบกไหววะ ? เพราะหนักมาก ขอซื้อไม้ต้นเดียวไปสี่แสน ราคาสมัยที่ทองบาทละสองพันกว่าบาทเอง ตอนเด็ก ๆ พอถึงเวลาแม่ก็จะเก็บลูกมะเกลือต้นนั้น เอามาตำกับกะทิให้พวกอาตมากินถ่ายพยาธิ จะมีเคล็ดลับว่าต้องใช้เท่าอายุ อย่างเช่นว่า ๑๐ ขวบก็ใช้มะเกลือ ๑๐ ลูก ๒๐ ขวบก็ ๒๐ ลูก ห้ามกินเกินอายุ แล้วก็ห้ามเก็บค้างคืน ถ้าเก็บแล้วมักจะเป็นพิษ ต้องตำแล้วผสมกะทิกินตอนนั้นเลย ที่ตำผสมกะทิเพราะกะทิช่วยให้ถ่ายง่าย พอถึงเวลาถ่ายพรวดออกมานี่ บางทีพยาธิไส้เดือนยั้วเยี้ยไปหมด พยาธิเมาขนาดโดนถ่ายออกมา แสดงว่าถ้าไม่ใช่คนตัวใหญ่ก็เป็นพิษนะ แต่ว่าถ้าเก็บหลาย ๆ ชั่วโมงจะเป็นพิษถึงตาบอดได้ คนรุ่นหลังบางทีไม่รู้ เขาบอกว่าถ่ายพยาธิด้วยมะเกลือ ตำเสร็จแล้วก็แช่ตู้เย็นไว้ ค่อยไปกินทีหลัง..เสร็จหมด..! |
ถาม : ต้นนั้นขึ้นมากี่ปีได้ครับ ?
ตอบ : อาตมาเกิดมาก็เห็นอยู่ต้นขนาดนั้นแล้ว ทุกปีจะมีนกกระจาบไปทำรัง เพราะต้นสูงและเปลาะมาก ใคร ๆ ก็ขึ้นไปกวนไม่ได้ คงเป็นไม้ประเภทที่เขาเรียกว่าไม้จ้าวป่า ขึ้นเด่นมากเลย ตอนเตี่ยไปหักร้างถางพงก็ทิ้งเอาไว้ต้นเดียว ต้นอื่นโดนโค่นหมด ไม้แดงต้นใหญ่ ๆ ก็โค่นหมด ตอนหลังมีคนมาขอขุดเอาตอไปทำเฟอร์นิเจอร์กัน พวกเราสมัยก่อนกว่าจะขุดได้แต่ละตอ ทั้งขุดทั้งสุมทั้งเผากว่าจะทำไร่ได้ สมัยนี้อยากได้ทำเฟอร์นิเจอร์ก็ใช้รถขุดกันกระจายหมด ไม่ต้องเสียเวลาจ้างเขาขุดเหมือนสมัยก่อน สมัยก่อนมีพวกรับจ้างขุดตอ แล้วก็รับจ้างขุด "ขยองเดือน" ก็คือก้อนหินที่จมดินอยู่ จะไปตกลงกันว่าก้อนนี้ราคาเท่าไร สมมติว่า ๒๐๐ บาท บางคนน้ำตาจะร่วง ตกลงกันไว้ ๒๐๐ บาท เพราะดูข้างบนไม่น่าจะใหญ่ สรุปว่าหินก้อนนั้นขุดไปครึ่งไร่กว่า..! เวลาหักร้างถางพงป่าใหม่ ๆ นี่ต้องขุดตอ ขุดหิน เก็บออกให้หมดจะได้ทำไร่ไถนาได้สะดวก พื้นที่หักร้างถางพงใหม่ ๆ นี่ไม่มีใครอยากไถให้หรอก ไถทีผาลไถหักหมด พวกรถไถเก่ง ๆ นี่เขาเก่งจริง ๆ ไม่รู้ว่าเอาฝีมือมาจากไหน ? โดยเฉพาะแถวเพชรบูรณ์ พวกคนขับรถไถฝีมือเซียนทั้งนั้น เนินเขาสูงขนาดที่รถตะแคงข้างแต่เขาไถได้ แถวบ้านโยมมีไหม ? แรก ๆ ก็บอกว่า “ไถไม่ได้หรอก รถคว่ำตายห่..!” ไถไม่ได้ก็ไม่เป็นไร กินข้าวกันก่อน เลี้ยงเหล้าเข้าไปครึ่งขวด..หนึ่งขวด พอเมา ๆ ก็ไปไถให้ ตอนแรกไม่เอาหรอก..บอกว่ากลัวรถคว่ำ |
ถาม : ถ้าจะปลูกต้นไม้ ๒ ข้างทางให้สวย ควรเอาต้นอะไรดี ?
ตอบ : เอาเป็น ๒ ข้างถนนใช่ไหม ? ถ้าหาได้นะ เอาต้นตำเสาของปักษ์ใต้ ทางอีสานเรียกต้นมันปลา ของเราเรียกต้นกันเกรา ทรงจะเหมือนกับฉัตร แล้วดอกหอมอย่าบอกใครเลย ขนาดแห้งแล้วก็ยังหอม ถาม : อย่างนั้นต้องไปหาทางปักษ์ใต้ ? ตอบ : ตลาดต้นไม้มีเยอะแยะไป บอกตาแดงหรือคุณมงคลของเราก็ได้ ไปพักเดียวก็เอามาให้แล้ว เพราะเขาขายไม้พวกนี้อยู่ พรรคพวกกันเองเขาก็ไม่ได้คิดกำไรเท่าไรหรอก จะเอากี่ต้นก็สั่งเขา ที่ปักษ์ใต้เขาเรียกต้นตำเสาเพราะว่าส่วนใหญ่เขาเอาไว้ทำเสา เป็นไม้ที่เนื้อแข็งแล้วก็เหนียวมาก แต่ที่อาตมาติดใจก็คือติดใจดอก ออกเป็นช่อสีเหลืองอ่อน ๆ หอมอย่าบอกใครเลย คนแก่ ๆ สมัยก่อนเก็บมาซุกไว้ในตู้เสื้อผ้า ทำให้ผ้าหอมติดทนนาน |
ถาม : ต้นขี้อ้าย ?
ตอบ : ต้นขี้อ้ายสมัยนี้หาดูยากแล้ว แถวบ้านอาตมาขนาดมี "ทุ่งขี้อ้าย" ยังหมดเลย ไม้บางอย่างคนเขาไม่รู้จัก อย่างชื่อโบราณเขาเรียกต้นตุมกา สมัยใหม่เขาเรียกว่าต้นแสลงใจ เขาเอาเม็ดมา ๑ เม็ดมาแช่น้ำร้อน แช่พักเดียวนะ ห้ามแช่นาน กินลงไปถ่ายท้องระเบิดเทิดเถิงเลย ถ้าหากว่าแช่นานนี่ถ่ายถึงตาย หมอสมัยก่อนพอคนไข้หมักหมมโรคไว้เยอะ เขาจะทำให้กิน เรียกว่า "ถ่ายรุ" คือถ่ายของที่เสีย ๆ ในร่างกายออกไปให้หมดก่อน แล้วค่อยให้ยารักษา แต่ว่าหมอต้องเก่ง เพราะว่าใช้เม็ดเดียว แล้วก็แช่น้ำร้อนพักเดียว แช่นานเกินก็ไม่ได้ เพราะพิษแรง ส่วนใหญ่คนป่วยร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว ถ้ายาแรงบางทีถึงตาย กินลงไปมีเท่าไรก็ถ่ายหมด ถาม : แล้วสลอดละคะ ? ตอบ : สลอดถ่ายแล้วหมดแรง ส่วนใหญ่เขาไม่ค่อยใช้กัน โบราณเขาแต่งโคลงไว้ว่า กาฝากกาจับต้น.....................ตุมกา กาลอดกาลากา......................ร่อนร้อง เพกาหมู่กามา........................จับอยู่ กาม่ายมัดกาซร้อง...................กิ่งก้านกาหลง มีต้นกาฝาก ต้นตุมกา ต้นการ่อน ต้นเพกาที่บางทีเรียกว่าลิ้นฟ้า แล้วก็กาหลง บ้านน้องทรายที่ด่านช้างมีต้นกาหลงเถาเบ้อเร่อ ใหญ่เกือบเท่าขาอ่อน เลื้อยพันบ้านไปครึ่งหลัง เขาบอกว่าหลวงพ่อจะเอาไปทำวัตถุมงคลเมื่อไรให้ไปเอาได้เลย ไม่ได้ไปเอาสักที ประเภททำพวกสายเสน่ห์เขาจะใช้กัน |
ถาม : ทำไมถึงชื่อกาหลงครับ ?
ตอบ : หน้าตาต้นเหมือน ๆ กันหมด แล้วชอบขึ้นเป็นหมู่ ในเมื่อเหมือนกันหมดคนยังหลงเลย อย่าว่าแต่กา เขาถึงได้เรียกกาหลง หรือกาหลงรัง แต่ว่าต้นกาหลงที่กาญจนบุรีนั้น พวกนกมาเกาะอยู่แล้วไม่ไปไหน จนอดตายเป็นแถว ๆ เลย นั่นเขาเรียกว่ากาหลงเหมือนกัน แต่ว่าแบบที่เมืองกาญจน์ฯ น่าจะมีอำนาจพิเศษอะไรมากกว่า ส่วนกาหลงทั่ว ๆ ไปนั่นเป็นเพราะชื่อ ถาม : เป็นไม้เถา ? ตอบ : เป็นไม้ต้นกึ่งเถา เพราะถ้าขึ้นสูงแล้วมักจะเลื้อย ถ้าต้นเล็กจะยืนต้น ถาม : แล้วลูกสวาด ? ตอบ : ลูกสวาดส่วนใหญ่เขาจะเอาไปทำเสน่ห์กัน ถึงเวลาต้องกลืนลงท้องไปก่อน ผ่านไฟธาตุของเราย่อยก่อน พอถ่ายออกมาแล้วไปเขี่ยมาล้าง ค่อยเอามาใช้งาน |
ถาม : กรณีคนที่ฆ่าตัวตาย เราจะทำอย่างไรเพื่อช่วยเขาได้คะ ?
ตอบ : ฆ่าตัวตายทำบุญอะไรไปให้เขาก็ได้ทั้งนั้นแหละจ้ะ เพราะว่ายังตายโดยไม่หมดอายุ เขาโมทนาได้หมดเลย จะว่าไปแล้วพวกนี้โชคดีนะ ฆ่าตัวตายเขามักเป็นอุปฆาตกรรม คือ กรรมที่มาตัดรอนให้ตายตั้งแต่ยังไม่หมดอายุ ไปรับดีรับชั่วก็ไม่ได้ ต้องเป็นสัมภเวสีเร่ร่อนไปเรื่อย ใครทำบุญไปให้ก็ได้หมด ถึงได้บอกว่าบางทีโชคดี แต่ก็ต้องดูนะ ไม่ใช่เห็นว่าโชคดีก็เลยลองไปฆ่าตัวตายดูบ้าง ถาม : คนที่ฆ่าตัวตายต้องกำลังใจเข้มแข็งมาก เพราะปกติแล้วคนเราจะรักร่างกาย ? ตอบ : เศร้าหมองเสียจนไม่เห็นประโยชน์ในการมีชีวิต ไม่ใช่เข้มแข็ง ถ้าไม่มีใครทำบุญให้ หมดอายุความเป็นมนุษย์มักจะลงข้างล่างไปเลย..! |
ถาม : ก่อนหน้านี้ไปช่วยงานภูเขาทอง เหมือนกับเราช่วยไปเรื่อย ๆ แต่ก็เพิ่มภาระงานขึ้น พอไม่มีงานก็รู้สึกว่าอยากจะทำ ...(ไม่ชัด).... ?
ตอบ : ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด คิดว่าทุกอย่างทำเพื่อเป็นพุทธบูชา ธัมมบูชา สังฆบูชา ตายเมื่อไรขอไปพระนิพพานที่เดียว เอาแค่นั้นแหละ โดยเฉพาะภูเขาทองมีพระบรมสารีริกธาตุ เท่ากับเราได้รับใช้อยู่ใกล้เบื้องพระยุคลบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถาม : ถ้าเราทำงานด้วยตั้งใจว่าถวายเป็นพุทธบูชา ธัมมบูชา สังฆบูชา อย่างนี้งานอื่น ๆ เราก็ทำได้ ? ตอบ : ทำได้..ถ้าเป็นงานเพื่อส่วนรวมทำได้ทั้งนั้น ถาม : เท่ากับเราปฏิบัติไปด้วยหรือเปล่า ? ตอบ : เท่ากับเป็นการปฏิบัติธรรม อยู่ที่เราตั้งกำลังใจ |
พระอาจารย์กล่าวว่า “คนเป็นพ่อแม่จำไว้เลยว่า ถ้ารักลูกต้องปล่อยให้ลูกทำอะไรด้วยตัวเองให้เร็วที่สุด เผื่อว่าอยู่ ๆ ไม่มีเราแล้ว เขาจะได้เอาตัวรอดได้ อาตมาหุงข้าวเองซักผ้าเองตั้งแต่อยู่ชั้น ป.๒ ทำกับข้าวเองเสร็จสรรพ เพราะว่าติดนิสัยชอบไปโรงเรียนแต่เช้า คราวนี้พี่สะใภ้เขาก็ต้องทำงานบ้าน ต้องเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่ กว่าจะเสร็จแล้วค่อยมาหุงข้าวก็ช้า จึงทำเองเลยหมดเรื่อง”
|
พระอาจารย์กล่าวว่า “ในวรรณคดีทั้งบาลีและไทย นายพรานที่ดังมาก ๆ เลยก็จะมีพรานบุญในเรื่องพระสุธน-มโนราห์ พรานเจตบุตรในพระเวสสันดรชาดก แล้วก็พรานโสณุดรในฉัททันต์ชาดก พรานโสณุดรนี่ต้องบอกว่าแกสุดยอดเลย เพราะว่าทางที่จะเข้าไปถึงสถานที่อยู่ของพญาฉัททันต์ บางช่วงต้องปีนหน้าผาสูงเป็นร้อย ๆ วา แกก็อุตส่าห์ฟั่นเชือกหนัง ตอกหมุดโยงตัวเองลงไปจนถึง ปรากฏว่าขากลับพญาฉัททันต์ให้คาถาพญาช้างสารมา ก็เลยแบกงากลับได้แบบเดินภูเขาเป็นที่ราบเลย”
|
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่ตั้งใจถือศีลแปดอยู่ช่วงหนึ่งว่า “ไม่ต้องเสียเวลาไปลาศีลนะ กลับไปถือศีล ๕ ต่อได้เลย สมัยก่อนการที่เขาลาศีล เพราะว่าโยมไม่ค่อยจะรู้ว่าศีลมีอะไรบ้าง ในเมื่อเรารู้แล้วว่าศีล ๕ เป็นอย่างไร ศีล ๘ เป็นอย่างไร ก็ลดจากศีล ๘ ไปถือศีล ๕ เท่านั้นก็พอ ไม่ต้องไปลาแล้วก็สมาทานศีล ๕ ใหม่”
|
มีโยมพาลูกมาทำบุญ "ได้กี่เดือนแล้วจ๊ะ ? (๑๑ เดือนค่ะ) รับรองว่าถ้าถามเดือนไม่มีทางถึงปี อาตมาเลี้ยงหลานมาเยอะ พอเลี้ยงเยอะ ๆ ก็เกิดความชำนาญ พอเกิดความชำนาญแค่มองก็รู้ว่าเด็กอายุกี่เดือนแล้ว ลักษณะการปฏิบัติธรรมก็ต้องซักซ้อมเยอะ ๆ จะเกิดความชำนาญ พอมีความคล่องตัวมาก ๆ เราจะเข้าสมาธิระดับไหนก็ได้ สลับกันไปสลับกันมาก็ได้ อย่างพวกมีทิพจักขุญาณ มีทิพโสต เวลารำคาญก็เข้าฌานสองฌานสามไป ไม่รู้ไม่เห็นอะไร แต่ถ้าอยู่อุปจารสมาธิหรือฌานสี่ก็เห็นหรือได้ยินหมด"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงคำว่า ๑๘ มงกุฎสมัยก่อนก็คือสุดยอดพญาลิง ๑๘ ตัว ความหมายมาเพี้ยนตอนหลัง มีความหมายของลิงหลอกเจ้าเข้ามาด้วย พอมาตอนหลังคำว่า ๑๘ มงกุฎเขาก็เลยเอาไปใช้กับพวกที่ล่อลวงคนอื่นเขา
ถ้าใครอ่านรามเกียรติ์รุ่นเก่า ๆ จะจำได้ “นิลเอกนิลนนท์นิลขันธ์ สุรเสนสุรกานต์ทหารใหญ่ อีกชามภูวราชฤทธิไกร มีอายุได้โกฏิปีปลาย” อาตมาเองรู้จักว่า “บัดนั้น” กับ “เมื่อนั้น” ต่างกันอย่างไรก็จากเรื่องนี้แหละ คุณครูท่านบอกว่าถ้าเป็นตัวเจ้าใช้ “เมื่อนั้น” แต่ถ้าหากว่าเป็นเสนาทหารจะใช้ “บัดนั้น” เช่น "เมื่อนั้น พระตรีภูวนาถนาถา กับ บัดนั้น พญาพิเภกยักษี" เป็นต้น บางทีคำบรรยายในวรรณคดีต้องใช้จินตนาการตามไปเยอะมากเลย ที่ตลกที่สุดคือนิลนนท์วิ่งไปส่งข่าวกับพระราม ตอนไปไม่เป็นไรไปได้ แต่ขากลับหลงทาง บัดนั้น.......................นิลนนท์ฤทธิไกรใจหาญ ประโยคเดียวเท่านั้นเองวิ่งถึงพลับพลาเลยได้ฟังสุครีพบัญชาการ ............ก็วิ่งลนลานเข้ามา ครั้นถึงน้อมเศียรอภิวาท .............พระตรีภูวนารถนาถา สะอื้นพลางทางทูลกิจจา............ ว่าพระอนุชาวิลาวัณย์ ออกไปสัประยุทธ์ชิงชัย ...............กับอ้ายกุมภกรรณโมหัน บัดนี้ต้องโมกขศักดิ์มัน............... พระน้องนั้นสุดสิ้นชนมาน เขาใช้บรรยายคำเดียวว่า “ก็วิ่งลนลานเข้ามา” ถึงแล้ว แต่ตอนกลับบรรยายระยะทางยาวดีจัง จึงหลงทาง" |
ถาม : เวลาจินตนาการจะได้อรรถรส ต้องปรุงแต่ง แล้วเวลาเราจะเสพอรรถรสควรทำอย่างไร ?
ตอบ : จำเป็นต้องปรุง ไม่ปรุงก็ไม่อร่อย แต่ต้องมีสติคอยควบคุม อย่าให้เกินเลย ฉะนั้น..ต้องรู้ว่าอะไรก็ตาม ถ้าส่งจิตออกนอกจะเป็นสาเหตุของทุกข์ ถึงเวลาไม่มีให้เสพก็เริ่มแสวงหา ก็คือต้องยากลำบาก ต้องทุกข์ เราเห็นทุกข์จึงรู้จักระงับยับยั้ง ไม่คล้อยตามไปทั้งหมด มืดคลุ้มอับแสงดาวเดือน........... เมฆเกลื่อนบดบังรัศมี ตอนมาวิ่งพรวดเดียวถึงเลย ตอนกลับดันพาหลงเสียได้ แต่ต้องบอกว่ายุคนั้นทันสมัยมากเลย พระรามยิงพลุนำวิถี ๓ ดวง..สว่างโร่เลยไม่เห็นมรรคาพนาลี ................กระบี่พาหลงวงไป ว่าแล้วจับจันทราทิตย์ ...............ทรงฤทธิ์พาดสายเงื้อง่า น้าวหน่วงแผลงไปในเมฆา.......... เสียงสนั่นลั่นฟ้าธาตรี เกิดเป็นศศิธรสามดวง ...............โชติช่วงจำรัสรัศมี แสงสว่างพ่างพื้นธรณี............... ภูมีเร่งรีบเสด็จจร ตอนวิ่งไปหาพระรามบรรยายประโยคเดียว ตอนกลับบรรยายเสียยาวเป็นหน้ากระดาษเลย |
หนุมานเป็นลูกพระพายกับนางสวาหะ ก็เลยได้พรพิเศษว่า ถ้าสิ้นชีวิต ลมพัดมาต้องเมื่อไรก็ฟื้นใหม่ แล้วตามเรื่องหนุมานรบไม่เคยแพ้ ทำงานสำเร็จทุกครั้ง โบราณาจารย์ก็เลยสร้างเครื่องรางของขลังรูปหนุมานขึ้นมา ลักษณะถือเคล็ดว่าเป็นผู้ไม่ตาย แล้วประสบความสำเร็จในหน้าที่ทุกอย่าง มีหลวงพ่อสุ่น วัดศาลากุน เครื่องรางหนุมานดังที่สุด แล้วก็มีหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว เขาเรียกว่าลิงจับหลัก หลวงพ่อเชย วัดบางกระสอบ เป็นองคต องคตถือว่าทำงานสำเร็จก็จริง แต่ว่าถ้าเป็นสมัยนี้ต้องบอกว่าทำเกินหน้าที่ เป็นทูตเจรจา แต่ดันไปฆ่าทหารของทศกัณฑ์
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "พอหลังวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ในหลวงก็จะมีพระชนมายุ ๘๘ พรรษา ไปนึกถึงคนอายุ ๘๘ นี่จะเอาสมบูรณ์จริง ๆ ก็คงยาก เพราะว่าคนที่จะร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงทั้งที่อายุมาก ก็คือคนที่สร้างปาณาติบาตมาน้อย แต่ในอดีตชาติในหลวงเป็นจอมทัพในการกู้ชาติกู้แผ่นดิน ต้องบอกว่าสังหารฆ่าศึกมาจนนับไม่ถ้วน สุขภาพของพระองค์ท่านจึงได้ชำรุดทรุดโทรมไปตามแรงกรรมเก่าที่ได้ทำไว้ ขณะเดียวกัน..ในชาตินี้พระองค์ท่านก็ทรงงานจนแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อน ก็ยิ่งทำให้พระวรกาย..ต้องใช้คำชาวบ้านคือ "กรอบ" ในเมื่อกรอบจนถึงที่สุด ทรุดลงไปครั้งหนึ่งก็ฟื้นคืนได้ยาก
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้บางทีก็ทำให้พวกเราคิดประมาท บอกว่าได้ยินในหลวงตรัสว่าจะอยู่ถึง ๑๒๐ พรรษา ต้องบอกว่า นั่นเราได้ยินในหลวงตรัส อาตมาเองเห็นลายมือของหลวงพ่อวัดท่าซุงเขียนบอกไว้ว่า ท่านจะมรณภาพวันไหน เดือนไหน ปีไหน ก็ปรากฏว่าท่านจะต้องอยู่ถึงประมาณ ๑๑๘ ปี แล้วก็ไม่สามารถที่จะอยู่ได้ เพราะว่าร่างกายไปไม่ไหว เมื่อเป็นดังนั้นท่านก็ต้องตัดใจทิ้งร่างกาย ไปทำงานในลักษณะของกายทิพย์แทน ถ้าพวกเราไปประมาทว่า ได้ยินในหลวงตรัสว่าจะอยู่ถึง ๑๒๐ พรรษา นั่นก็คือกำลังใจที่พระองค์ท่านตั้งใจไว้ เพื่อที่จะช่วยเหลือประเทศชาติของเรา เพื่อที่จะสร้างความสุขให้กับประชาชนให้ได้มากที่สุด..นานที่สุด แต่เราต้องดูด้วยว่าพระวรกายของพระองค์ท่านไหวหรือเปล่า ? ถัดจากนี้อีก ๒ ปี พระองค์ท่านก็ ๙๐ พรรษา อายุ ๙๐ นี่โบราณเขาบอก “ลูกหลานดูนั่งร้องไห้” ถ้าร้อยปี "ไข้ก็ตายบ่ไข้ก็ตายแล" |
ถาม : เมื่อทุกอย่างในโลกเป็นสมมติ เราจะพูดว่าการทำบุญเป็นสมมติได้หรือไม่ ?
ตอบ : ถ้านับแล้วทุกอย่างเป็นสมมติ แต่อย่าลืมว่าสมมติก็มีสัจจะ คือความจริงของสมมติอยู่ โดยเฉพาะในส่วนความเป็นจริงนั้น เป็นความจริงแท้ที่เถียงไม่ได้ แม้ว่าเราจะสมมติขึ้นมาว่าท่านเป็นอย่างนั้น ท่านเป็นอย่างนี้ แต่ท่านก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เขาเลยเรียกว่าสมมติสัจจะ ถาม : จริง ๆ แล้ว สมมติในโลกนี่ เกิดจากการสร้างขึ้นมาเองของเราทั้งหลาย ? ตอบ : จะเรียกว่าการสร้างก็ใช่ จะเรียกว่าการปรุงแต่งก็ใช่ แต่ว่าท้ายที่สุดก็คือการถวายความเคารพต่อพระรัตนตรัย |
ถาม : บางคนที่มีความสามารถพิเศษ เข้าใจสมมติในโลก เช่น เห็นว่าร่างกายหรือสิ่งของไม่ใช่แท่งทึบ ก็แทรกผ่านกันไปได้ เมื่อมีคนทำได้ถึงความพิเศษอันนี้แล้ว ทำไมจึงไม่เข้าใจความจริงของโลก ต้องถึงตรงไหนจึงจะเป็นปัญญา ? ?
ตอบ : ต้องเข้าถึงอริยสัจ ถ้าไม่เข้าถึงอริยสัจก็ยังเป็นปัญญาที่เอาตัวรอดไม่ได้ ในส่วนที่เขาเรียกว่าวิสุทธิ ๗ อย่างคือสีลวิสุทธิ จิตวิสุทธิ ทิฏฐิวิสุทธิ ก็คือความบริสุทธิ์ของศีล ความบริสุทธิ์ของจิต ความบริสุทธิ์ของทิฐิ คือความเห็น บริสุทธิ์ของศีลก็จัดอยู่ในส่วนของศีลในไตรสิกขา จิตวิสุทธิจัดอยู่ในส่วนของสมาธิหรืออธิจิตสิกขา ทิฏฐิวิสุทธิจัดอยู่ในส่วนของปัญญา ก็คือปัญญาสิกขา ก็เลยกลายเป็นว่าในส่วนของปัญญาแท้ ๆ ก็ยังมีหลายระดับ เพราะยังมีกังขาวิตรณวิสุทธิ ก้าวข้ามความสงสัยเสียได้ จึงเกิดมัคคามัคคญาณวิสุทธิ เห็นหนทางที่จะมุ่งไปสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้น จากนั้นก็เป็นปฏิปทาญาณวิสุทธิ ทำเพื่อให้ถึงซึ่งความบริสุทธิ์หลุดพ้น จนไปถึงญาณทัสสนวิสุทธิ รู้แจ้งเห็นจริง เข้าถึงความบริสุทธิ์สิ้นเชิง เปรียบไปแล้วก็เหมือนกับคนเดินขึ้นที่สูง ยิ่งขึ้นสูงเท่าไรก็ยิ่งมองได้ไกลเท่านั้น ฉะนั้น...ถ้ากำลังของศีล ของสมาธิของเราสูงมากเท่าไร ปัญญาของเราก็จะกว้างไกลเท่านั้น แล้วท้ายสุดก็จะสามารถเห็นทุกข์และเข้าถึงความดับทุกข์ได้ |
ถาม : เวลาที่รู้สึกปวดใจนี่เป็นเพราะโดนกิเลสเล่นงานใช่หรือไม่ ? อย่างเช่น เวลาที่เรารู้ตัวว่าพลาดท่ากิเลสไปแล้ว แทนที่จะวางลง ยังมาฟุ้งต่อเป็นเรื่องเจ็บใจว่าทำไมโง่นัก ?
ตอบ : ลักษณะอย่างนั้นแสดงว่าปัญญายังไม่พอ ก็จะโดนกิเลสหลอกไปเรื่อย ถ้าหากว่าปัญญาเพียงพอ จะสาวไปดูว่าสาเหตุเกิดจากอะไร ? แล้วเราเลี่ยงจากสาเหตุนั้น เรื่องนั้นก็ไม่เกิดขึ้น เราก็ไม่ต้องมานั่งปวดใจอีก ถาม : เวลาที่เราคิดชั่ว ต่อให้รู้ตัวก็ไม่ทันกิเลสไปแล้ว ทำอย่างไรก็ไม่ทันกิเลส ต้องทำอย่างไรจึงจะไม่แวบออกไป ? ตอบ : อันดับแรกต้องไม่หลุดจากสมาธิเลย หลุดเมื่อไรกิเลสก็แทรกเข้ามาเมื่อนั้น หลังจากนั้นก็มาพิจารณาให้เห็นว่ามีทุกข์มีโทษอย่างไร ? จนกระทั่งจิตของเราเบื่อหน่าย ไม่คิดที่จะทำอย่างนั้นอีก ก็อาศัยกำลังของสมาธิช่วยเสริม ให้สภาพจิตมีความเด็ดขาดในการตัดละตรงนั้น ก็จะเลิกการกระทำอย่างนั้นได้ |
ถาม : เราเอาวัตถุมงคลเข้าพิธีเสกมีดหมอได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เขาเสกมีดหมอ เอาวัตถุมงคลไปเสกเผื่อว่าจะกลายเป็นมีดบ้าง ได้ไหมล่ะ ? ถาม : แล้วมีดของผมแบบนี้ล่ะครับ ? ตอบ : มีดอะไรก็ได้แต่ต้องไม่ใช่มีดพับ เพราะว่ามีดพับเป็นมีดหมอไม่ได้ ถาม : ถ้าเอามีดสำนักอื่น ถ้าไปเสกในงานอานุภาพจะเปลี่ยนไหมครับ ? ตอบ : ถ้าท่านสงเคราะห์ให้มากกว่าก็เปลี่ยน อาตมาเล็ง ๆ ว่าจะหาดาบคาตานาที่ญี่ปุ่นเขาตีด้วยมือ เล่มละ ๑๕๐,๐๐๐ ดอลลาร์ มาเข้าพิธี เป็นมือหนึ่งของโลกในการทำดาบซามูไร ทำกันเป็นปี ไม่ต้องห่วง..คิวยาวยันแกตาย ไม่รู้ว่าจะมีช่องให้เสียบแทนหรือเปล่า ? |
ถาม : โกรธโดยไม่มีสาเหตุ ?
ตอบ : ต้องมีสิ เพียงแต่ว่าเรารับแรงกระทบมาแล้วเรารู้ไม่ทันต่างหาก เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีสาเหตุ เราอาจจะไม่พอหู ไม่พอตา ไม่พอใจ เก็บ ๆ เอาไว้ ให้อภัยไปเรื่อย จนสุดท้ายให้อภัยไม่ไหว ก็ปรี๊ดแตก ถาม : วิธีป้องกันไสยศาสตร์ ? ตอบ : ถ้าเรามั่นใจในคุณพระรัตนตรัย ภาวนานึกถึงพระไว้เป็นปกติ อารมณ์ใจทรงตัวแค่ปฐมฌานละเอียด ไม่มีไสยศาสตร์หรืออันตรายภายนอกกล้ำกลายได้แล้ว เราก็ภาวนาของเราไป ส่วนคนอื่นจะเป็นอย่างไรก็ช่างเขา นึกถึงภาพพระคลุมเราเอาไว้มิดทั้งตัวเลย ใครทำอะไรมาก็ติดอยู่ที่พระ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เอามีดอะไรก็ได้ที่เรามั่นใจไปเข้าพิธี ถ้าไม่รู้จะเลือกอะไร อาตมาแนะนำ Gerlach หรือ Zwilling รู้จักไหม ? มีดทำครัว ใช้งานได้หลากหลายดีด้วย Zwilling ตราตุ๊กตาคู่คมสุด ๆ เลย ยี่ห้อ Gerlach ก็ได้ เหล็กหนักดี ใบมีดเขา ๗ นิ้ว ๙ นิ้ว คนเห็นแล้วสยอง แหลมเปี๊ยบเลย เล่มละไม่กี่ร้อย ไม่แพง เหล็กคุณภาพสุดยอด ไม่ขึ้นสนิมด้วย"
|
พระอาจารย์เล่าว่า "คุณวีรวิทย์ เหล่าวงค์ไทย เขาวิ่งรถจากลพบุรีมาทำบุญ คุณวันชัย พิทักษ์วงษ์ พาครอบครัววิ่งมาจากชลบุรี เขามีกำลังใจวิ่งทำบุญข้ามจังหวัด ถ้าเราไปเทียบกำลังใจแล้วยังสู้เขาไม่ได้ ไม่ติดฝุ่นเขาเลย ครอบครัวทิดเอฟอยู่โคราช วิ่งมาทำบุญที่นี่ทุกเดือน แล้วต้องผลัดกันมาด้วยนะ วันนี้แม่กับลูกเฝ้าบ้าน พ่อมา พรุ่งนี้พ่อเฝ้าบ้าน แม่กับลูกมา ฝากได้ก็ไม่ฝาก ขอมาทำเอง ถ้าเอกอยู่โคราชจะมาไหม ?"
|
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อกลางเดือนอาตมาลงไปพังงา กับภูเก็ต พังงาเพิ่งจะไปเป็นครั้งแรก โยมนิมนต์ไว้นานแล้วเพิ่งมีโอกาสแวะไป ภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สับสนวุ่นวาย เศรษฐกิจสะพัดมาก นักท่องเที่ยวฝรั่งแทบจะเดินชนกันตาย ในส่วนของพังงา จะมีนักท่องเที่ยวทางอยู่ด้านตะกั่วทุ่ง ทางด้านตะโก พอออกไปทางด้านตะกั่วป่านี่สงบเงียบ น่าอยู่ สองทุ่มแทบจะไม่มีรถบนถนนเลย
อาตมาแวะไปวัดสุวรรณคูหา วัดนี้มีพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ตลอดจนเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงอยู่ แม้กระทั่งนายกรัฐมนตรีในอดีต อย่างเช่น พระยาพหลฯ พระยาทรงสุรเดช แต่ว่าลายพระหัตถ์ที่เห็นยากคือ ลายพระหัตถ์ของสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมารองค์แรกเลย ไปถึงพอลงรถ พระปลัดธนารักษ์รี่เข้ามาต้อนรับ "ดีใจมากเลยครับ ที่พระอาจารย์มาโปรดวัดผม" อาตมาก็..เฮ้ย..! "ผมตามผลงานพระอาจารย์ในเว็บมาหลายปีแล้วครับ ยังไม่รู้จักท่านอาจารย์เลย เพิ่งมีโอกาสได้เจอตัวเป็น ๆ วันนี้เอง แล้วมาเจอที่วัดตัวเองด้วย" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:58 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.