กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4240)

เถรี 20-11-2014 18:51

ถาม : ตอนนั้นนั่ง ๆ อยู่ก็เห็นว่าร่างกายเราเหมือนถุงอุจจาระ เหมือนกับว่าเราเห็นเป็นปกติ ?
ตอบ : ตอนนั้นเป็นการเห็นด้วยปัญญา เขาเรียกว่า วิปัสสนาญาณ วิ แปลว่า วิเศษ แจ้ง ต่าง , ปัสสนา แปลว่าการเห็น รวมแล้วแปลว่า เห็นอย่างวิเศษ เห็นอย่างแจ่มแจ้ง เห็นต่างไปจากปกติ

ฉะนั้น..ต้องพยายามรักษาอารมณ์อย่างนั้นเอาไว้ จะได้ไม่โดนกิเลสหลอก ถ้ารักษาไว้ไม่ได้ก็โดนหลอกไปเรื่อย

เถรี 21-11-2014 16:34

พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงป๋าวิวัฒน์นอนโรงพยาบาลยาวเลย มะเร็งกระดูกเวลาออกอาการ แปลว่ากระดูกโดนกินผุหมดแล้ว"

เถรี 21-11-2014 17:51

ถาม : การขายเครื่องปรับอากาศหรือบริษัทผลิตเครื่องปรับอากาศมาขายไปใช้ในวัด หรือว่าไปใช้ในผับในบาร์คนกินเหล้ากัน ?
ตอบ : ถ้าเขาทำแล้วมาให้วัดใช้ฟรี ๆ เป็นบุญ แต่ถ้าเขาทำแล้วเอามาขายนี่ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก เพราะว่าทางวัดได้ตอบแทนด้วยการจ่ายเงินไปแล้ว

ถาม : แล้วการขายให้พวกที่เอาไปทำไม่ดี จะเป็นบาปไหมครับ ?
ตอบ : อยู่ที่คนเอาไปใช้ อาวุธใช้เป็นเครื่องป้องกันตัวก็ได้ เอาไปฆ่าเขาก็ได้ ขึ้นอยู่กับคนที่เอาไปใช้ ฉะนั้น..คนขายไม่มีบุญไม่มีบาปอะไรกับเขาหรอก ยกเว้นว่ายุว่า เอาไปแล้วไปยิงกบาลเขา นั่นถึงจะมีโทษ เรามีหน้าที่ขายก็ขายไป ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับบุญบาปของใคร

ถาม : แล้วที่พระพุทธเจ้าตรัสเกี่ยวกับมิจฉาวณิชชา ?
ตอบ : ในส่วนที่พระองค์ท่านตรัสท่านไม่ได้บอกว่าเป็นบาป แต่บอกว่าพุทธมามกะไม่ควรทำ เพราะว่าชวนให้คนอื่นเข้าใจผิดได้ง่าย อย่างเช่น ขายอาวุธ ขายยาพิษ เหมือนคุณสนับสนุนให้เขาไปฆ่าคนอื่นนี่ แต่ความจริงไม่ได้เกี่ยวกันเลย อยู่ที่คนเอาไปใช้ แต่คนที่เข้าใจผิดจะไปว่าเขาอย่างนั้น

เถรี 21-11-2014 17:55

ถาม : การเอาเหล้าไปให้เจ้านาย จะบาปไหมครับ ?
ตอบ : การให้เหล้าคนอื่นเป็นการให้ทานที่ไม่มีอานิสงส์ ยกเว้นว่าเราตั้งใจว่าเอาไปแล้วคุณต้องกินนะ มีการกำชับกำชาด้วย ถ้าอย่างนั้นเราก็จะมีส่วนผิดไปด้วย แต่ถ้าหากว่าให้ไปเฉย ๆ เป็นทานที่ไม่มีอานิสงส์ พระพุทธเจ้าตรัสกับพระภิกษุเกี่ยวกับประวัติของพระเวสสันดร เล่าว่าพระเวสสันดรให้ทานทุกอย่าง แม้กระทั่งให้สุราแก่นักเลงสุรา พระอานนท์กราบทูลถามว่า สุราเป็นสิ่งที่ผิดศีล แล้วให้ไปจะมีบุญมีบาปอย่างไร ? พระองค์ท่านตรัสว่าเป็นทานที่ไม่มีอานิสงส์ เพราะว่าให้ไปคนกินก็ไปทำผิดเสียเปล่า ๆ แต่ว่าที่พระองค์ท่านเจตนาให้ เพราะว่าต้องการให้ทุกอย่างที่คนเขาชอบใจ นักเลงเหล้าให้อย่างอื่นก็ไม่ชอบใจ นอกจากให้เหล้า พระองค์ท่านก็เลยให้ไปด้วย

ฉะนั้น..ถ้าหากว่าได้มาเราให้ต่อได้ แต่อย่าไปกำชับว่า "ให้แล้วต้องกินนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะเสียใจมาก" ถ้าแบบนี้ก็ผิดเต็ม ๆ


ถาม : แล้วคนขายสุราบาปไหมครับ ?
ตอบ : คนขายไม่บาป อย่าไปตั้งใจว่าเราขายเพื่อให้เขากินให้เมา คิดเสียว่าเราทำงานของเรา แต่อย่างที่ว่านั่นแหละว่า ทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่าย พระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญ ถึงได้บอกว่าเป็นอาชีพที่พุทธมามกะไม่ควรทำ

ถาม : โดยเจตนา ถ้าเราให้ไวน์เพื่อรักษาสุขภาพ ?
ตอบ : ถ้าเพื่อสุขภาพจริง ๆ แล้วได้ แต่คนส่วนใหญ่มักจะกินเกินขนาด เขาให้กิน ๑ แก้ว เราก็ไปล่อเสีย ๓ ขวด ๕ ขวด..!

เถรี 21-11-2014 17:58

ถาม : คนเป็นครู สอนเด็ก ๆ มีจิตวิญญาณของความเป็นครู อย่างนี้เขาจะได้บุญไหมครับ ?
ตอบ : นั่นเป็นส่วนของธรรมทานเลย ได้บุญของธรรมทานไปด้วย แต่ว่าเป็นธรรมทานบริสุทธิ์แค่ไหนเท่านั้น ถ้าเป็นธรรมทานบริสุทธิ์คือหลักการปฏิบัติธรรมแท้ ๆ นี่อานิสงส์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เต็ม ส่วนที่เหลือก็ลดหลั่นลงไปแต่ว่าได้ธรรมทานแน่นอน

ถาม : แล้วการขายยารักษาโรคละครับ ?
ตอบ : ถ้าเราขายยายังไม่ได้อะไร เพราะว่าเขาต้องมาซื้อจากเรา แต่ถ้าเราเป็นหมอยาอย่างสมัยก่อน เขาจ่ายยาให้ รักษาด้วยเมตตา ได้อานิสงส์ไปเต็ม ๆ อย่างสมัยอาตมาเด็ก ๆ คนไข้บางคนอาการหนัก แล้วยาสมุนไพรไม่ใช่ปุบปับออกฤทธิ์เหมือนสมัยใหม่ บางทีต้องกินต่อเนื่องกันไป ๑๐ วันหรือครึ่งเดือนถึงจะออกฤทธิ์เต็มที่ คราวนี้คนมาเงินทองก็ไม่มี เจ็บได้ป่วยมา หมอเขาก็รับให้กินให้อยู่ รักษาพยาบาลจนหาย บางทีเงินไม่มีจริง ๆ ก็ให้ค่ารถกลับบ้านด้วย ถ้าลักษณะอย่างนั้นได้อานิสงส์ไปเต็ม ๆ เพราะคุณเป็นหมอตั้งใจรักษาโรค

แต่สมัยนี้ความตั้งใจตรงนั้นไม่มี เขาขายเพื่อที่จะเอากำไร ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เรื่องผลบุญที่จะได้จากการรักษาคนอื่นด้วยยาก็เลยไม่มี

เถรี 21-11-2014 17:59

ถาม : พระนิพพานเที่ยงหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเถียงกันเรื่องที่ต่างคนต่างไม่สามารถพิสูจน์ได้ ก็พูดกันไม่รู้จบ เอาเป็นว่าทำถึงเมื่อไรก็รู้เองดีกว่า

เถรี 21-11-2014 18:01

ถาม : ใจเที่ยงไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าสภาพจิตใช้คำว่าเที่ยง ไม่มีเที่ยงแน่นอน เพราะว่ามีการเปลี่ยนแปลงเสวยอารมณ์ไปเรื่อย ๆ

ถาม : ใจเราฆ่าแล้วไม่ตายใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ตายแต่ร่างกาย ใจอยู่ในลักษณะเปลี่ยนรูปเปลี่ยนขันธ์ไปตามบุญตามกรรม

เถรี 21-11-2014 18:02

ถาม : กำลังใจตกครับ ?
ตอบ : ไปตั้งใจทำใหม่เลย ของเคยทำแล้วก็ทำได้อีก เพียงแต่ว่าทำได้แล้วอย่าเปิดโอกาสให้กิเลสลุยเข้ามาอีก

เถรี 21-11-2014 18:02

ถาม : มีตะกรุดมหาสะท้อน (ไม่ชัด) ?
ตอบ : ไม่ต้องไปกังวลตรงนั้น คิดดี พูดดี ทำดีเข้าไว้ สิ่งที่ดีย่อมย้อนกลับมาหาเราเอง

เถรี 21-11-2014 18:07

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของธรรมทานระยะหลังนี่ต้องระวัง เพราะว่าคำสอนผิด ๆ มีเยอะ วันก่อนในเว็บพลังจิตอาตมาเพิ่งจะปิดกระทู้ไปกระทู้หนึ่ง ประเภทพระโสดาบันยังเสื่อมได้ ในเมื่อพระโสดาบันของแกเสื่อมได้ ข้าก็เลยจัดการให้เสื่อมไปเลย..!

อริยะ แปลว่า ผู้เจริญโดยส่วนเดียว ในเมื่อเจริญขึ้นก็ย่อมไม่มีวันตกต่ำ เขาดันเก่งกว่าพระพุทธเจ้า ส่วนอีกรายหนึ่งกำลังคิดอยู่ว่าจะเฉ่งดีหรือไม่ดี เพราะเขาแกล้งบ้า คราวนี้เขาชักจะเล่นแรงขึ้น เขาบอกว่าไปคาราโอเกะ แล้วอยากจะชวนเจ้าชายสิทธัตถะมาเต้นด้วย กำลังพิจารณาความประพฤติอยู่ มีมาอีกสัก ๒-๓ กระทู้เดี๋ยวได้โดนแน่..!"

เถรี 21-11-2014 18:10

พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงมีฎีกานิมนต์ถึงหลวงพ่อครูบาสนิท ถึงตุ๊พ่อสิงห์ แต่ว่ามีโยมคนหนึ่งบอกว่าเขาไปทั่วประเทศอยู่แล้ว เขาอาสาไปส่งให้ ไม่อย่างนั้นว่าจะฝากคุณติ๊กไป ปีหน้าวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ จะหล่อพระประธานในศาลา ตั้งใจว่าจะนิมนต์ท่านไป

มีส่วนหนึ่งที่นั่งปรกคุมธาตุทั้ง ๘ ทิศ อีกส่วนหนึ่งก็เจริญชัยมงคลคาถาตอนหล่อพระ ทีนี้ต้องส่งฎีกาแต่เนิ่น ๆ เพราะเดี๋ยวท่านรับงานคนอื่นแล้วจะไปไม่ได้

มีสายทางแม่กลองอยู่ท่านหนึ่งที่ยังไม่เคยนิมนต์ไปวัด แต่รู้จักกันมานานแล้ว ก็คือ หลวงพ่อพระมหาสุรศักดิ์ วัดประดู่ (พระครูพิศาลจริยาภิรม) น่ารักมาก นั่งเคี้ยวหมากทั้งวัน สมัยก่อนพระที่เคี้ยวหมาก ท่านเคี้ยวไปภาวนาไป ลักษณะว่าอิริยาบถและสัมปชัญญะ จับการเคลื่อนไหวของร่างกาย จิตจะได้ไม่เคลื่อนไปที่อื่น ก็ใช้วิธีเคี้ยวหมากไปภาวนาไป ถึงเวลาหมากจืดคายออกมานี่ เอาไปแขวนคอได้เลย ขลังแล้ว"

เถรี 21-11-2014 18:22

ถาม : (โยมแจ้งว่าหลวงพี่โอป่วย)
ตอบ : ตอนไปเยอรมันท่านก็ป่วยหนักเข้าโรงพยาบาลไปครั้งหนึ่ง จะว่าไปท่านก็อายุมากแล้ว เพราะท่านอายุมากกว่าท่านเจ้าคุณเจ้าอาวาสอีก อาตมากับเจ้าคุณเจ้าอาวาสนี่ต่างกันรอบหนึ่งพอดี เพราะฉะนั้น..อายุตัวเองบวกไป ๑๒ ก็จะได้อายุท่าน

อาตมา ๕๕ ปี ของท่านก็ต้อง ๖๗ ปีแล้ว หลวงพี่โอท่านแก่กว่าอีก หลวงพี่โอนี่รุ่นไล่เลี่ยกับหลวงตาวัชรชัย น่าจะประมาณ ๗๐ แล้ว ทางด้านพี่วิรัชก็ ๖๔-๖๕ ปี หลวงตาชลอก็ไล่ ๆ กัน


ถาม : เป็นกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง ?
ตอบ : แสดงว่าน่าจะเป็นเส้นเลือดบางส่วนตีบ อาการเจ็บไข้ได้ป่วยของพระจริง ๆ แล้ว ทำให้เรารู้ว่าตัวเองมีต้นทุนเท่าไร เหตุการณ์ฉุกเฉินอย่างหนึ่ง การเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างหนึ่ง กำลังใจที่ทำไว้จะมารวมตัวกัน ทำให้เรารู้ว่าเรามีต้นทุนเท่าไร ? เพียงพอหรือเปล่า ? ตายตอนนี้เราจะไปพระนิพพานได้จริงไหม ? จะบอกชัดเลย

ถาม : เคยไม่สบายแล้วรู้สึกว่าอยากตาย ?
ตอบ : ถ้าอยากตายยังไปพระนิพพานไม่ได้หรอก บางคนปฏิบัติธรรมมาถึงระดับที่รู้สึกว่าอยากตาย อาตมาขอยืนยันว่า ดีไม่ดีลงข้างล่างไปเลย เพราะตัวอยากตายนี่จิตหมอง ต้องทำไปปัญญาเห็นแจ้ง ไม่มีความปรารถนาในร่างกาย แต่ก็ไม่ได้คิดจะตาย จะอยู่ในลักษณะอยู่ก็ได้ตายก็ดี ถ้าอยู่เรายังได้สร้างบุญสร้างบารมี ถ้าตายเราก็ไปนิพพาน กำลังใจจะอยู่ในระหว่างอยู่ก็ได้ตายก็ดี ไม่จำเป็นต้องไปอยากตาย

พุทธภูมิก็เป็นนะ แล้วต้องเป็นมากกว่าด้วย ไม่ใช่ว่าพุทธภูมิไม่แตะอารมณ์พระอริยเจ้าเลย พุทธภูมินี่เน้นอารมณ์พระอริยเจ้ามากกว่าปกติสาวกหลายเท่า เพราะถ้ารู้ไม่ละเอียดก็สอนคนอื่นไม่ได้ พุทธภูมิเขามีกำลังใจเทียบเท่าพระโสดาบัน เทียบเท่าพระอนาคามี เทียบเท่าพระอรหันต์ได้

เถรี 21-11-2014 18:28

(โยมกำลังอ่านหนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์) "อย่าอ่านมาก อ่านแล้วจะติด ท่านอาจารย์ดร.มนตราบอกว่า รับหนังสือจากอาตมาไป ก่อนนอนคิดว่าเปิด ๆ ดูสักหน้าสองหน้า ปรากฏว่าอ่านจนหมดเล่มเลย อย่างหนังสือที่ไปพม่า ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ถ้าหากว่ามุมมองของเราเห็นเป็นเรื่องสนุก ก็ไม่รู้สึกว่าลำบาก แต่ถ้าคนอื่นไปอาจจะร้องจ๊าก ว่าลำบากขนาดนี้ยังหัวเราะได้อีก ขึ้นอยู่กับมุมมองของเรา ขึ้นอยู่กับกำลังใจของเรา คนที่ไปด้วยกันต้องกำลังใจใกล้เคียงกัน ไม่อย่างนั้นแล้วไปไม่รอดหรอก ลำบากหน่อยก็ขอกลับแล้ว มีบางช่วงที่ออกธุดงค์ก็บาดเจ็บสาหัสเลย

เมื่อล่าสุดก็ ๕-๖ วันที่ผ่านมา พอเริ่มเดินบิณฑบาต อาตมาก็โดนตะขาบกัดตั้งแต่ต้นทางเลย เพราะว่าเดินออกจากวัด จะต้องผ่านป่าอยู่ช่วงหนึ่งแล้วถึงขึ้นถนน ตะขาบกำลังออกหากินหรือจะกลับบ้านก็ไม่รู้ ? ไปเหยียบเข้าเลยโดนตั้งแต่ต้นทาง กว่าจะเดินกลับถึงวัดก็ ๕ กิโลเมตรเห็นจะได้ ก็เดินไปเรื่อยหน้าตาเฉย

มาถึงวัดแล้วพระลูกศิษย์เขาเห็นขาบวมขนาดนั้นอาจารย์ยังไปได้อีก จึงบอกไปว่า “ก็อย่าไปคิดซีวะว่าเจ็บ” สภาพร่างกายของเรา กับใจ กับความรู้สึกสุขทุกข์ เป็นคนละส่วนกัน ถ้าหากว่าภาวนาไปจนใจสงบมาก ๆ จะแยกออกเอง จะเห็นชัดเลยว่านี่ร่างกายส่วนร่างกาย ตัวผู้รู้ก็รู้ นิ่ง ชัดเจนอยู่ เวทนาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เจ็บปวด เมื่อยขนาดไหนก็ตาม ก็เป็นส่วนของเวทนาทางร่างกาย ถ้าแยกออกได้ชัด ๆ ต่อไปเกิดอะไรขึ้นกับร่างกาย ก็จะไม่รู้สึกห่วงใย เพราะรู้ว่าเป็นคนละส่วนกัน"

เถรี 21-11-2014 18:37

ถาม : ศาลพระภูมิตั้งอยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ?
ตอบ : เอาให้แน่ ๆ นะ ต้องอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของตัวบ้าน

ถาม : ใช่ครับ จะถอนครับ ต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าจะถอนต้องตั้งศาลใหม่ก่อนให้ถูกทิศ แล้วก็อัญเชิญท่านไปที่ศาลใหม่ก่อน แล้วค่อยถอนของเก่า ไม่ใช่ไปรื้อบ้านท่านก่อนแล้วสร้างทีหลัง ช่วงนั้นท่านจะไปอยู่ที่ไหน ? จริง ๆ แล้วท่านไม่ได้อยู่ที่ศาลหรอก แต่ว่าควรทำให้ถูกต้อง ตั้งใหม่ก่อนแล้วค่อยรื้อของเก่า

ถาม : ถอนศาลนี่ใช้มีดหมอแล้วก็คาถาถอนโบสถ์ได้ไหมครับ ?
ตอบ : อันนั้นเขาไม่เรียกว่าถอนศาล เขาเรียกว่าไล่เจ้าที่เลย โอ้พระเจ้า..! ปกติเขาทำน้ำมนต์ธรณีสาร หรือไม่ก็ทำน้ำมนต์ถอนโบสถ์ แต่เราถ้าคิดว่าเชิญท่านขึ้นศาลใหม่ด้วยความเคารพ แล้วขออนุญาตรื้อก็รื้อไปเลย เพราะจะให้ไปทำครบพิธีบางทีก็สวดไม่เป็น แหม..เล่นใช้มีดหมอแล้วล่อคาถาถอนโบสถ์ อันนั้นไล่กันชัด ๆ ระวังท่านจะไล่เราบ้างนะ..!

เถรี 21-11-2014 18:40

ถาม : ศาลพระภูมิมีท่านท้าวมหาราชได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้ามีท้าวมหาราชนี่ยิ่งกว่าศาลพระภูมิอีกนะ แต่เพียงแต่ว่าเป็นหมู่บ้านที่มีศาลรวมหรือเปล่า ?

ถาม : ที่บ้านเองค่ะ ?
ตอบ : ถึงเวลาจุดธูปไหว้พระก็นึกถึงท่านด้วย บอกกับท่านว่าถึงเวลาเราไหว้พระก็เท่ากับเราแสดงความเคารพท่านด้วย ขอให้ท่านมาโมทนาบุญ ก็เท่ากับเราระลึกถึงท่านอยู่ตลอดเวลาเหมือนกับมีศาลของตัวเอง

เถรี 21-11-2014 19:40

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานอุปสมบทหมู่ถวายหลวงปู่สายที่ผ่านมา ได้พระทั้งหมด ๑๑๒ รูป ปรากฏว่านาคทุกคนได้รับคำชมจากพระอุปัชฌาย์อาจารย์ว่ามีความคล่องตัว เข้าใจขั้นตอนการบวชและท่องขานนาคได้พร้อมเพรียงกันดีมาก เรื่องนี้ถือว่าเป็นความดีของทิดกวาง

เมื่อตอนทิดกวางยังบวชอยู่ อาตมาเองก็สอนในสิ่งที่พระควรจะทำ ควรจะเป็น เมื่อท่านสึกไป ท่านก็ว่า ปกติแล้วเรื่องอย่างนี้ที่อื่นไม่เคยได้ยินเขาสอนกัน ผู้ที่บวชเข้ามาอาจจะทำผิดทำพลาดได้ ก็เลยขออนุญาตทำหน้าที่แทนอาตมา ถึงเวลามีการบวชหมู่ของทางวัด ไม่ว่าจะช่วงมาฆบูชา วิสาขบูชา เข้าพรรษาหรือว่าลอยกระทง ก็จะอาสาไปเป็นพี่เลี้ยงฝึกซ้อมให้ โดยเฉพาะการบวชหมู่ครั้งนี้ เขานัดฝึกซ้อมกันเป็นเดือน ให้ไปท่องกันเองให้คล่อง แล้วมาจับคู่ฝึกให้พร้อมเพรียงกัน

ฉะนั้น..พระอุปัชฌาย์อาจารย์จึงชมว่า ทุกคนมีความคล่องตัวและมีความเข้าใจพิธีกรรมมาก ทำให้ไม่ช้า สามารถบวชเสร็จแล้วก็สวดมนต์ฉลองพระใหม่ พร้อมกับฉันเพลได้ทัน

อาตมานึกว่าบวชชุดหนึ่ง ถ้าคู่สวดคล่อง ๆ ก็ใช้เวลาประมาณ ๒๐ นาที ๑ ชั่วโมงได้ ๓ ชุด บวชอย่างน้อย ๑๒ ชุด ก็ใช้เวลาประมาณ ๔ ชั่วโมง ถ้าบวช ๖ โมงเช้าก็ไปเสร็จเอา ๑๐ โมงเป็นอย่างต่ำ ดังนั้น..จึงเป็นเรื่องที่ว่า ถ้านาคไม่คล่องตัวก็จะลากระยะเวลายาวขึ้นไปอีก เท่าที่ผ่านมาวัดท่าขนุนยังไม่มีเรื่องให้ขายหน้าพระอุปัชฌาย์อาจารย์ เพราะอาตมาบังคับว่า ถ้าท่องขานนาคไม่ได้ก็ไม่ให้บวช"

เถรี 21-11-2014 19:44

"ช่วงก่อนบวชหมู่ มีโยมคนหนึ่งพาลูกชายมาขอบวช กำหนดว่าจะบวชวันนั้นวันนี้ อาตมาบอกว่าโยมกำหนดได้ แต่ถ้าลูกชายขานนาคไม่ได้อาตมาก็ไม่ให้บวช ตกลงว่าเขาเลยย้ายไปบวชวัดอื่น เพราะว่าต้องการความแน่นอน

ความจริงแล้วการขานนาค คือการที่ผู้บวชเข้าไปร้องขอต่อพระอุปัชฌาย์อาจารย์และคณะสงฆ์ ให้ยกตนเองขึ้นเป็นอุปสัมบันในพระพุทธศาสนา ต้องกล่าววาจาด้วยตนเอง ร้องขอด้วยตนเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นสอนให้ทีละประโยค ทีละคำ ไปนึกถึงหลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร ท่านไม่รู้หนังสือ อยากจะบวชก็ต้องไปอยู่วัดซ้อมขานนาค ให้พระพี่เลี้ยงบอกทีละประโยคแล้วก็ท่องตาม ใช้เวลาอยู่ ๗ เดือนเศษ กว่าจะจำได้หมด

เมื่อพระบวชไปแล้ว อาตมาก็แนะนำแล้วว่า อานิสงส์ในการบวชนั้นมหาศาลมาก ให้อธิษฐานขอสิ่งดี ๆ ในชีวิตของตนเอง ปรากฏว่าพ่อเจ้าประคุณสึกแล้ว จำนวนหนึ่งตามอาตมาลงไปทอดกฐินปลดหนี้ที่ปักษ์ใต้ ไปเห็นเขาตักมัจฉาพาโชคกัน เลยไปอธิษฐานขอรางวัลใหญ่ที่นั้น ได้จักรยาน ได้เตียงนอน ได้พัดลมกันมาหมด จนเขาต้องปิดร้านไปเลย เพราะรางวัลใหญ่ไม่มีแล้ว สรุปว่าบวชมาแทบตายต้องการแค่นั้นแหละ..!"

เถรี 21-11-2014 19:46

"ตอนแรกอาตมาอยู่ในที่พักก็สงสัยว่าเสียงอะไรเฮ ๆ บอกพระที่ติดตามว่า ไปดูทีว่ามีอะไรกัน สักพักหนึ่งก็กลับมาแจ้งให้ทราบว่า บรรดาทิดไปตักมัจฉาพาโชค อธิษฐานขออะไรก็ได้อย่างนั้น พอตักได้อย่างที่ขอก็เฮกันใหญ่ คนมีเงินเป็นล้านไปซื้อจักรยานคันเดียว ไม่ได้ก็ให้รู้ไป แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า พอไปซื้อจักรยานแล้ว เงินที่เหลือก็ไม่พอซื้ออย่างอื่น

ที่บวชไป พอถึงเวลาอาตมาอบรมต่อเนื่องอยู่ ๗ วัน มีหลายท่านบอกว่า ไปบวชที่อื่นไม่มีใครเขาบอกอย่างนี้เลย ทำผิดก็ผิดเป็นโทษเฉพาะตัวไป บวช ๓ วันแรกก็ให้ฉันที่หอฉัน เพราะว่าพระเป็นร้อย ๆ ไปบิณฑบาตญาติโยมจะลำบาก ก็ปรากฏว่าโยมเขาขอร้องมาว่าอยากใส่บาตรพระเยอะ ๆ อาจารย์นำพระออกบิณฑบาตสักหน่อย ก็เลยว่าถ้าอย่างนั้นขอรบกวนวันเดียว ขอไปบิณฑบาตข้าวสารอาหารแห้งวันที่ ๔ คือบวชวันที่ ๑๖-๑๗-๑๘ วันที่ ๑๙ ก็ไปบิณฑบาต พอโยมเห็นพระเดินเป็นแถวเป็นร้อย ๆ ก็เกิดศรัทธา

บางคนเห็นตรงนั้นก็วิ่งไปหาซื้อของมาใส่ตอนนั้นเลย บางคนก็เข็นของมาทั้งรถเข็น บอกว่าใส่ไม่ไหว ขอถวายอาจารย์คนเดียวแล้วกัน ช่วยเอามือแตะรับหน่อย เดี๋ยวที่เหลือจะช่วยยกขึ้นรถของทางวัดให้ มีไม่กี่รายที่สามารถใส่ได้ตั้งแต่รูปที่ ๑ ถึงรูปที่ ๑๕๐ กว่าได้ เพราะว่าพระที่วัดแต่เดิมก็เกือบ ๔๐ รูป บวชเข้าไปอีก ๑๑๒ ดังนั้น..ใส่ไม่ถึงท้ายสักราย เพราะว่าถ้าใส่คนละชิ้นก็ ๑๕๐ ชิ้นเห็นจะได้ บะหมี่สำเร็จรูปลังหนึ่งเพิ่งจะมีแค่ ๓๐ ซองเอง บวชพระเยอะ ๆ พอถึงเวลาสึกไม่ค่อยจะดี เพราะสึกทีเยอะ ๆ พระเก่าเห็นก็เลยสึกตามไปด้วย..!"

เถรี 21-11-2014 19:50

"ช่วงออกพรรษาญาติโยมก็ไปปฏิบัติธรรมกัน วันรุ่งขึ้นตักบาตรเทโวฯ กับทอดกฐินสามัคคี ช่วงเช้าก็เป็นการตักบาตรเทโวฯ ตอนบ่ายก็ทอดกฐินสามัคคี อาตมาสั่งให้แม่ชีแจกของแห้งให้หมดคลัง เพราะว่าวันตักบาตรเทโวฯ จะมาอีกมหาศาลเลย ปรากฏว่าส่วนใหญ่ที่ให้ของไปก็เป็นหน่วยป่าไม้และ ตชด.

โดยเฉพาะบรรดาหน่วยป่าไม้ต่าง ๆ ในทุ่งใหญ่นเรศวร และศูนย์สงเคราะห์เด็กชาวเขาของแม่ชีแจ๊ก ก่อนหน้านี้เลี้ยงเด็กไว้ ๘๐ กว่าคน ตอนนี้เด็กที่อยู่ประจำมีประมาณ ๓๐ คน เพราะว่าที่เหลือเข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพฯ แม่ชีคนเดียวสู้ได้ กำลังใจถึงมาก เพียงแต่ว่าเด็กช่วงวัยรุ่นกินมาก รายจ่ายเรื่องอาหารจะสูงเป็นพิเศษ อาตมาบอกว่าให้ไปขนที่วัดท่าขนุนได้เลย ของหมดเมื่อไรให้ไปเอาได้ทันที แล้วก็มอบให้ท่านอาจารย์อังกุระเอาข้ามไปทางวัดตองไว ไปมอบให้บรรดาวัดวาอารามทางฝั่งพม่าที่เขาลำบากยากจน โดยเฉพาะบรรดาผ้าไตรต่าง ๆ ที่มีมากเป็นพิเศษ ก็ส่งไปให้ ปรากฏว่าเพิ่งจะโละผ้าไตรได้หมดคลัง ช่วงกฐินน่าจะเข้ามาเกิน ๓๐๐ ไตรอีกแล้ว กลายเป็นว่ายิ่งให้ก็ยิ่งเพิ่ม

พอตักบาตรเทโวฯ เสร็จ พวกแม่ชีแจ๊กและพวกป่าไม้ก็มาขนไปอีกรอบหนึ่ง รู้สึกว่ายุบไปหน่อยเดียว พอมาอีกไม่กี่วันก็บวชพระร้อยกว่ารูป แล้วไปบิณฑบาตข้าวสารอาหารแห้งอีก ตอนนี้ก็ล้นคลังเหมือนเดิม ต้องไล่แจกไปเรื่อย ๆ มีญาติโยมหลายคนพอเห็นแล้วก็มาขอ บอกว่าจะเอาไปแจกที่โน่น มอบให้ที่นี่ อาตมาบอกว่าไม่ให้ เขาก็ถามว่าแล้วทำไมคนโน้นคนนี้ให้ได้ บอกไปว่า “ที่ให้ไปเพราะอาตมามั่นใจว่า เขาเอาไปช่วยเหลือคนอื่นจริง ๆ แต่ของคุณเป็นใครอาตมาก็ไม่รู้จัก อยู่ ๆ มาขอ ถ้าเอาไปขายอยู่ในตลาดนัดอาตมาก็ไม่อาจจะทราบได้ เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่ใช่รู้จักมักคุ้นกันจริง ๆ แล้วจะไม่ให้” บอกไปอย่างนั้น เหมือนกับเลือกที่รักมักที่ชังแต่ไม่ใช่ เป็นการป้องกันการทุจริต

คนที่เขามีเจตนาดีจริง ๆ อาจจะมีแต่น้อย ไม่อยากจะพลาดแบบวัดอื่น ๆ ที่พอไปขอเสร็จแล้วไปขายถูก ๆ ในตลาดนัด เปิดร้านขายในตลาดนัดเลย เสียค่าร้าน ๒๐ บาท ขายได้ตั้งหลายพัน เพราะของขอมาเฉย ๆ"

เถรี 21-11-2014 19:51

พระอาจารย์กล่าวว่า "กฐิน ๓ วัด วัดท่าขนุน ๑,๓๕๐,๐๐๐ บาท วัดพุทธบริษัทกับเกาะพระฤๅษีได้ที่ละ ๑๗๐,๐๐๐ บาท ความจริงของเขาได้ไม่ถึง แต่อาตมาตัดจากของท่าขนุนให้ไปเพื่อให้ลงท้ายเป็นเลขกลม ๆ ที่ท่าขนุนได้มาก เพราะว่าเจ้าภาพ ๓ - ๔ รายระบุว่าถวายเฉพาะวัดท่าขนุนแห่งเดียว"

เถรี 22-11-2014 12:36

ถาม : โดนฟ้าผ่าข้าง ๆ ประมาณสักห้าเมตร ฟ้าแลบลงมาระดับสายตา แต่ไม่เป็นอะไรเลย ในตัวมีแค่ตะกรุดมหาสะท้อนดอกเดียว ?
ตอบ : ถ้าไม่มีวัตถุมงคลคุ้มครอง ในรัศมี ๕ เมตรนี่ตายขาดไปแล้ว..!

ถาม : รู้สึกขนหัวลุกมากครับ ?
ตอบ : ขนหัวลุกเป็นไปได้ว่าเกิดจากกำลังของกระแสไฟฟ้า แต่ว่าขณะเดียวกันเราต้องนึกเวลาฟ้าฟาดลงมา อย่างผ่าลงกลางฝูงควาย โดนเข้า ๑ ตัว อีก ๗-๘ ตัวรอบนั้นตายหมด รัศมีเกิน ๕ เมตร ของเราห่างไม่ถึง ๕ เมตรแล้วไม่เป็นอะไรเลย ถือว่าโชคดีมาก ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์คุ้มครองก็แย่ไปแล้ว

เถรี 22-11-2014 12:55

(มีโยมพาลูกอ่อนมาทำบุญ) "เห็นอนิจจังไหม ? ตอนนี้ยังเดินไม่ได้ ยังพลิกไม่ได้ ต่อมาก็มาพลิกตัวได้ ขยับไปข้างหน้าได้ หัดคลาน หัดยืน หัดเดิน หัดวิ่ง มีอนิจจังอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เราได้เห็นหรือเปล่า ? จากเด็กเล็กก็กลายเป็นเด็กโต เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นวัยกลางคน เป็นคนแก่ อนิจจังอยู่เรื่อย

ฉะนั้น...ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ต้องเห็นทุกอย่างเป็นธรรมะ ไม่ใช่เห็นเฉพาะเวลา ถ้าเห็นเฉพาะเวลานั่งกรรมฐานนี่เสร็จหมด กลายเป็นเหยื่อของวัฏสงสารหมด ต้องเห็นอยู่ตลอดเวลา แล้วเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด จิตถอนออกมาจากการยึดมั่นถือมั่น ถ้าอย่างนั้นโอกาสหลุดพ้นก็จะมี"

เถรี 22-11-2014 13:03

พระอาจารย์กล่าวว่า "สอนเด็ก ๆ ด้วยว่าลูกอมเมนทอสอย่าไปกินร่วมกับโค้กเป็นอันขาด จะทำให้โค้กฟู่ขยายกว่าเดิมหลายเท่า รับประกันได้ว่าตับไตไส้พุงพังแน่ ๆ"

เถรี 22-11-2014 13:48

ถาม : เวลาเรียนเด็กไม่ค่อยสนใจ ?
ตอบ : บางอย่างต้องแล้วแต่เวรแต่กรรมเขาเหมือนกัน เพราะไม่ว่าเราจะเคี่ยวเข็ญอย่างไรเขาก็ไม่สนใจ แต่เท่าที่ผ่าน ๆ มา มีอยู่ว่า อันดับแรก..ถ้าอาจารย์สอนดีเด็กจะให้ความสนใจ อย่างที่ ๒ คือพยายามปรับของยากให้เป็นง่ายให้ได้ ซึ่งเรื่องนี้บางทีวิชาไหนเขามอบให้เป็นสิทธิ์ขาดของอาจารย์ เราก็สามารถทำได้ แต่ถ้าวิชาไหนที่ไม่ใช่สิทธิ์ขาดของอาจารย์ ข้อสอบออกมาจากส่วนกลาง แบบนี้เราก็แย่

เถรี 22-11-2014 16:27

มีโยมเอาจั่นมะพร้าวมาถวายบูชาพระ "ทางพม่าเขาก็นิยมไหว้พระด้วยจั่นมะพร้าวอย่างนี้แหละ เพราะว่าเป็นของสูง อาตมารู้อย่างเดียวว่าเอาไว้ทำน้ำตาล ตอนสมัยเด็ก ๆ ก็จับจั่นมะพร้าวมัดรวมกันแล้วปาด เอากระบอกรองไว้ มะพร้าวสมัยก่อนตามธรรมชาติหาต้นเตี้ย ๆ ยาก มาระยะหลังเขานิยมมะพร้าวน้ำหอม ก็คัดพันธุ์จนกระทั่งได้พันธุ์เตี้ย ๆ แล้วจะมีการขุดหลุมลงไปลึก ๆ อีก อย่างเช่นว่า ถ้ามะพร้าวน้ำหอมสูงสัก ๓ เมตร เขาก็ขุดหลุมลงไป ๒ เมตร มะพร้าวโตขึ้นมาก็อยู่ปากหลุมพอดี ทำให้เก็บได้ง่าย

ที่บ้านอาตมามีมะพร้าวอยู่ต้นหนึ่ง อายุ ๖๐ กว่าปี ลูกตกถึงพื้นแตกทุกลูกเลยเพราะต้นสูงจัด เหตุที่สูงมากเพราะว่าขึ้นแข่งกับต้นมะม่วง โดนต้นมะม่วงเบียดก็เลยต้องรีบขึ้นเพื่อจะให้ได้แดด แข่งกับต้นมะม่วงไปแข่งมา ต้นมะม่วงสูง ๓๐ กว่าเมตร แต่ต้นมะพร้าวสูงกว่า ลูกตกถึงพื้นแตกทุกลูกเลย ทั้ง ๆ ที่มะพร้าวตกจะไม่แตกเพราะเปลือกที่หุ้มหนามาก แต่ต้นนั้นตกเมื่อไรก็แตกเมื่อนั้น มีอาตมาปีนได้คนเดียว คนอื่นไม่มีปัญญา เพราะเกินกำลังของเขา

จะมีมะพร้าวไฟซึ่งลูกจะออกสีแดง ๆ ก็คือน้ำตาลแดง เขามักเอาไว้ทำยา เขาบอกว่าน้ำมะพร้าวอ่อนกับปัสสาวะเด็กละลายยาเขียวใช้แก้โรคหัด สมัยก่อนเขาใช้น้ำปัสสาวะเด็กเข้ายา อาตมาเองพอรู้ภาษาก็มีคนมาขอฉี่อยู่เรื่อย สรุปว่ายาสมัยก่อนเข้าน้ำมูตร คือน้ำปัสสาวะเป็นเรื่องปกติ

ของพระท่านจะบอกว่า “ปูติมุตตะเภสัชชัง นิสสายะ ปัพพัชชา” ปัจจัยคือเครื่องอาศัยของบรรพชิตอย่างหนึ่ง คือ การฉันยาดองด้วยน้ำมูตร ส่วนใหญ่ก็เป็นมะขามป้อมดองด้วยปัสสาวะ รักษาได้สารพัดโรค ถ้าจะให้ดีที่สุดเขาให้ใช้น้ำปัสสาวะของตัวเอง ฉี่มาแล้วก็ทิ้งไว้หน่อย จะมีส่วนลอยหน้าเป็นฝ้าอยู่นิดหนึ่ง เทฝ้าออกแล้วที่เหลือก็เอาไปใช้งาน ถ้าจะดองมะขามป้อมเยอะ ๆ ก็ต้องฉี่กันหลายวันหน่อย"

เถรี 22-11-2014 16:29

"ตามที่ฝรั่งเขาทำวิจัยว่า ร่างกายเราเวลาปัสสาวะออกมา จะมีสารอาหารหรือแร่ธาตุบางอย่าง ที่หลุดออกมากับปัสสาวะด้วย ถ้าหากว่ากินกลับเข้าไป ร่างกายก็จะตรวจสอบอีกรอบหนึ่งว่า อะไรที่ขาดแล้วทำให้ร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วย ก็จะดึงกลับไปเข้าระบบ ก็ทำให้รักษาโรคได้ แต่พระพุทธเจ้าท่านรู้มาตั้งสองพันกว่าปีแล้ว ในอินเดียทุกวันนี้กินน้ำปัสสาวะรักษาโรคกันเป็นปกติ มีแต่พวกเราที่ยี้กัน กินไม่ได้

มะพร้าวสมัยก่อนเขาปลูกชายทะเล โดยเฉพาะเกาะสมุยมีมากเป็นพิเศษ จนเขามีคำพังเพยว่า "อย่าเอามะพร้าวห้าวไปขายเกาะสมุย" ปรากฏว่าพื้นที่ชายทะเลจริง ๆ มะพร้าวโดนน้ำเค็มมากก็ไม่ค่อยติดลูก ต้องพื้นที่กลาง ๆ เกาะถึงจะดี สมัยก่อนบรรดาเศรษฐีที่ดินตามเกาะ จะเอาที่ด้านใน ๆ ให้ลูกรัก เอาที่ด้านติดทะเลให้ลูกชังที่ค่อนข้างจะขี้เกียจ มาสมัยหลังลูกจอมขี้เกียจรวยอื้อไปตาม ๆ กัน เพราะคนแย่งกันไปซื้อทำรีสอร์ท ที่ตรงกลางเกาะไม่ค่อยมีใครไปซื้อกันหรอก ต้องบอกว่าบุญใครบุญมัน"

เถรี 22-11-2014 16:34

ถาม : กรรมที่โกงชาติโกงแผ่นดินหนักมากไหมครับ ?
ตอบ : หนักมากไหม ? ก็ขึ้นอยู่กับเขา ถ้าพวกประเภทหน้าด้านใจดำก็ไม่รู้สึกว่าหนักเท่าไร แต่ไม่เป็นไร กรรมประเภทนี้เขามีนรกให้ต่างหากขุมหนึ่งเลย ภูมิใจได้ อุตส่าห์สร้างกรรมแล้วเขาสร้างนรกมาให้ขุมหนึ่งโดยเฉพาะ

เถรี 22-11-2014 16:40

พระอาจารย์กล่าวถามถึงเด็ก "อายุกี่เดือนแล้วจ๊ะ ? (๕ เดือนค่ะ) แสดงว่าคอแข็งใช้ได้ ปกติเด็กสมัยก่อนจะคอพับคออ่อน สมัยนี้คอแข็ง มีพัฒนาการเร็วขึ้น เมื่อพัฒนาการเร็วขึ้น โตเร็วขึ้น รู้ภาษามากขึ้น แปลว่าอายุสั้นลง เพราะพัฒนาการช้าเท่าไร อายุก็จะยืนเท่านั้น พัฒนาการเร็วอย่างลูกหมา ๒ - ๓ เดือน ก็เป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว แล้วหมาอายุเท่าไร ? อย่างเก่งก็ ๒๐ ปี แต่ไม่เคยเจอถึง

หมาตัวที่อาตมาเจออายุยืนที่สุดก็ ๑๔ ปี โดนรถชนตายเสียก่อน ไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้นอยู่มากี่ปี แต่พออาตมารู้ภาษา เจ้าหมาตัวนั้นก็อยู่แล้ว ไปโดนรถชนตายตอนอาตมาอายุ ๑๔ ปี แสดงว่าหมาบางตัวก็แข็งแรงผิดหมาเหมือนกัน

ในเมื่อวงจรชีวิตสั้น พัฒนาการก็เร็ว เหมือนกับยุง ถึงเวลาไข่ลงในน้ำ เกิดเป็นตัวลูกน้ำ กลายเป็นไอ้โม่ง ลอกคราบเป็นยุง หาเลือดกิน ผสมพันธุ์ วางไข่ ใน ๗ วันก็ตาย ชีวิตมนุษย์เราถ้าเปรียบกับจักรวาลที่ยิ่งใหญ่ไพศาล ก็เป็นแค่เศษเสี้ยวธุลีเดียว แวบเดียวก็ตายแล้ว แต่ก็ยังประมาทกันอยู่ ไม่ค่อยจะขวนขวายสร้างความดีกัน

ที่มาลาพาลีเทพบุตรสะท้อนใจว่า ชีวิตมนุษย์สั้นขนาดนี้เลยหรือ ? นางปติปูชิกาก็กราบเรียนว่า “ชีวิตมนุษย์ก็ประมาณนี้เท่านั้น” มาลาพาลีเทพบุตรถามว่า “แล้วเขาทั้งหลายเหล่านั้นมีความประมาทหรือไม่ประมาทเป็นปกติ ?” นางปติปูชิกาบอกว่า “ประมาทเป็นปกติ ไม่ค่อยใส่ใจในการบุญการกุศล กอบโกยแต่ความสุขความสบายใส่ตัว” เล่นเอาท่านเทวดาอึ้งไปเลย"

เถรี 22-11-2014 17:43

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนเขามีคลิปที่พ่อวัดไข้ลูกแล้วบอกว่าติดโรคอีโบล่า เด็กก็ช็อกล้มตึงไปเลย แล้วเขาก็เอาคลิปที่ถ่ายมาหัวเราะกัน นั่นถ้าเด็กหัวใจวายตายไปเลยก็ซวยสิ เด็กร้องไห้โฮเลย สัญชาตญาณรักชีวิตกลัวความตายนี่ เป็นของทุกคนทุกสัตว์เลยนะ อาหารนิทฺทํภยเมถุนญฺจ สามญฺญเปตปฺปสุภีนรานํ ภยะ คือ ความกลัวภัย คือสรุปง่าย ๆ ว่ากลัวตาย"

ถาม : คำว่า ภยะนี่เกิดจากกิเลสล้วน ๆ หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เป็นกิเลสในสังโยชน์ที่สั่งสมมาชาติแล้วชาติเล่า จะบอกว่าจริง ๆ แล้วก็คือความรักตัวเอง ก็เลยระมัดระวังรักษาไม่ให้ตัวเองตาย จึงต้องกลัวความตาย สรุปว่าเป็นกิเลสใหญ่ที่ซ่อนอยู่ หน้าตาจริง ๆ คือสักกายทิฐิ

ถาม : ซ้อนกันเยอะมากนะคะ ?
ตอบ : มากหรือไม่มากก็แค่เลิกเล่นเฟซบุ๊ก ๕ วันจะลงแดงตาย เฟซบุ๊กนั่นเป็นแค่กายปลอมของเราเท่านั้น เป็นกายสมมติที่เราสร้างขึ้นมา ส่วนร่างกายตัวนี้เป็นสมมติของโลก แต่ว่านั่นเป็นสมมุติซ้อนสมมติที่เราสร้างขึ้นมา ขนาดนั้นเรายังปล่อยไม่ได้วางไม่ลง แล้วตัวเราจริง ๆ จะวางได้อย่างไร ? ถ้าใครคิดว่าวางได้ก็เลิกเล่นเฟซบุ๊กเท่านั้นเอง...จบ

ถาม : คนไม่กดไลค์ คนไม่แอดฯ ก็...?
ตอบ : ยิ่งถ้าใครโดนเลิกเป็นเพื่อนนี่โกรธสุด ๆ ไปเลย

เถรี 22-11-2014 18:18

ถาม : ให้ลูกฝึกอาโลกกสิณครับ มีแต่แสงรอบตัว คำภาวนายังอยู่ ?
ตอบ : ถ้าลมหายใจยังอยู่ ให้ดูลมหายใจไปด้วย แล้วก็กำหนดรู้ว่าสภาพของแสงสว่างไปด้วย ถ้าหากว่าเป็นไปได้ ลองอธิษฐานให้แสงมารวมตัวกันเฉพาะตรงหน้าของเรา เพราะบางทีถ้ากว้างทั่วไปเราก็จับได้ไม่ทั่ว ภาวนาไปเรื่อย ถ้ายังมีก็อาโลกกสิณังไปเรื่อย ๆ แต่ให้กำหนดว่าแสงทั้งหมดจงมารวมตัวกันอยู่ตรงหน้าของเรา ไปลองดู..ถ้ารวมตัวได้ก็พยายามรักษาเอาไว้ พยายามเห็นให้ได้ทั้งหลับทั้งตื่น ต่อไปถ้าหากว่าจะสอบก็ขอให้ข้อสอบโผล่ขึ้นมาแทนภาพกสิณ

ถาม : ก็คือให้แสงมารวมอยู่ตรงหน้า และให้ลมหายใจหายไป ?
ตอบ : ลมหายใจจะเป็นไปเอง เราบังคับไม่ได้หรอก คำภาวนาก็เป็นไปเอง ถ้าหากยังมีคำภาวนาอยู่ เราก็ภาวนาต่อ แต่ขอให้ความสว่างมารวมอยู่ในหน้าอกของเรา ไม่อย่างนั้นถ้ากว้างทั่วไปหมดมักจะจับไม่ค่อยจะถูก

ถาม : จะพามาให้หลวงพ่อสอนครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลาพามาหรอก ถึงพามาก็บอกเหมือนกันอย่างนี้ เอาแค่ว่าถ้ารวมได้ จะหลับจะตื่นให้รู้สึกถึงแสงสว่างนั้นอยู่เสมอก็พอ

ถาม : ตอนตื่นนี่คือ ?
ตอบ : ตอนตื่นอยู่เราก็นึกถึงคำภาวนาพร้อมกับแสงสว่างนั้น ตอนหลับก็นึกถึงจนหลับไป ถ้าสมาธิดี ๆ หลับอยู่ก็ยังนึกถึงได้

เถรี 22-11-2014 18:20

ถาม : ผมว่าจะไปนั่งกรรมฐานครับ ?
ตอบ : เคยทำอะไรให้ทำอย่างนั้น กรรมฐานอย่าเปลี่ยนบ่อย เปลี่ยนบ่อยแล้วไม่เคยชิน สภาพจิตจะไม่ค่อยยอมรับของใหม่ สำคัญว่าคุณจะนั่งอย่างไรก็ตาม อย่าทิ้งลมหายใจเข้าออกก็แล้วกัน ความรู้สึกทั้งหมดต้องอยู่ตรงนี้เสมอ ถ้าเผลอคิดเรื่องอื่นเมื่อไร ก็ดึงกลับมาอยู่ลมหายใจเข้าออกใหม่ ส่วนคำภาวนาจะใช้อย่างไรก็แล้วแต่เราถนัด รักษาความรู้สึกให้อยู่ตรงนี้ ต่อเนื่องกันให้ได้สัก ๒๐-๓๐ ครั้งของลมหายใจ โดยไม่คิดเรื่องอื่นก็ดีตายชักแล้ว ส่วนใหญ่ยังไม่ทันไรก็ไปแล้ว สำคัญตรงทำจริง ๆ เท่านั้น อย่าไปทำ ๆ ทิ้ง ๆ

เถรี 22-11-2014 18:51

พระอาจารย์กล่าวว่า "รู้ไหมว่าเดี๋ยวนี้กะเหรี่ยงตามชายแดนของบ้านเรา ถ้าวันไหนไม่ได้กินกาแฟจะทำงานไม่ได้ อะไรจะรุนแรงขนาดนั้น ? ส่วนใหญ่แรก ๆ เกิดจากนักท่องเที่ยวที่เข้าไปเที่ยวหมู่บ้านเขา ถึงเวลาตัวเองกินกาแฟ ก็ไปชวนกะเหรี่ยงกินด้วย พวกนั้นพอกินเข้าไปก็คึกคัก ทำงานขยันขันแข็ง ก็เลยกินต่อ ๆ กันมา พอเขาไม่เอาเข้าไปให้ก็เลยซื้อเอง ปีที่แล้วทางด้านบ้านคลิตี้ เขาทำวิจัยไว้ว่า ค่ากาแฟเป็น ๗๐ เปอร์เซ็นต์ของรายจ่ายในครัวเรือนทั้งปี กินกันดุเดือดขนาดนั้น

บ้านตะเพินคี่ที่อาตมาไปเป็นประจำ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านก็คือโซเวีย เวลาชงกาแฟใส่ที ๒ ช้อนโต๊ะ..! ไม่ได้ใส่ ๒ ช้อนชา เอากาแฟสำเร็จรูปไปให้ เขาบอกว่าไม่เห็นจะลื่นคอเลย ต้องเล่นประเภททีหนึ่ง ๒ ช้อนโต๊ะ บอกให้รู้ไว้ เผื่อพวกเราไม่สามารถจะทำงานได้ถ้าไม่ได้กินกาแฟ ให้รู้ว่าแย่แล้ว ตอนนี้กะเหรี่ยงทั่วประเทศไทยแค่ไม่มีกาแฟขายก็จบแล้ว ทำงานไม่เป็นหรอก

แถวคลิตี้ขึ้นไปผ่านทางด้านทุ่งใหญ่ ออกไปทางไล่โว่ด้านสังขละบุรี เขาปลูกกาแฟกันมาตั้งแต่ ๓๐-๔๐ ปีที่แล้ว ปัจจุบันนี้กำลังโด่งดังมาก เขาเรียกว่ากาแฟกะเหรี่ยง แต่ว่าพวกเขาคั่วกันไม่เป็น ได้แต่เก็บเม็ดขาย ในเมื่อคั่วกันไม่เป็น ถึงเวลาก็ต้องมาซื้อกาแฟข้างนอกนั่นแหละ กลายเป็นว่าทำเงินได้เท่าไรกลายเป็นค่ากาแฟจนหมด

คนที่กินกาแฟประจำ ๆ พออายุมากขึ้นจะเป็นโรคหัวใจทุกคน เพราะกาแฟไปกระตุ้นให้หัวใจเต้นผิดปกติ ก็คือเต้นเร็วขึ้น พอกาแฟเริ่มหมดฤทธิ์หัวใจเริ่มเต้นตามปกติ เราก็กินเข้าไปใหม่ หัวใจก็เต้นผิดจังหวะอีก นาน ๆ ไปจะเกิดอาการที่เรียกว่าหัวใจพิการ เต้นไม่เป็นจังหวะ แล้วก็พาให้อาการหนักขึ้นไปเรื่อย ๆ แม้กระทั่งในหลวงพระองค์ท่านยังทรงตรัสเลยว่า พระองค์ท่านไม่เสวยกาแฟแล้ว เพราะกาแฟนั้นเซาะหัวใจ"

เถรี 22-11-2014 19:06

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องการสร้างพระด้วยโลหะเงินหรือทองคำ ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะว่าวัสดุมีราคาสูงมาก ก็เลยมีการใช้วิธีต่าง ๆ เพื่อให้ได้อานิสงส์เป็นพุทธบูชา มีทั้งการปิดเงินปิดทอง มีทั้งการกะไหล่เงินกะไหล่ทอง (กะไหล่เงินกะไหล่ทอง ก็คือการชุบในสมัยนี้) แล้วก็มีการบุเงินบุทอง บุเงินบุทองน่าจะเป็นการลงทุนที่ค่อนข้างมาก เพราะเป็นการตีทองเป็นแผ่นบางแล้วก็หุ้มองค์พระ การหุ้มก็ใช้วิธีตีให้แนบเป็นเนื้อเดียวกับองค์พระไปเลย เหมือนกับหุ้มทอง แต่ว่าเป็นทองที่ไม่ได้หนามาก

ในปัจจุบันเทคโนโลยีในการหล่อก้าวหน้าขึ้นมาก สามารถใช้วิธีหล่อองค์เล็ก ๆ แทน ชอบใจแบบไหน สมัยนี้ถอดแบบด้วยคอมพิวเตอร์ได้ ถึงเวลาก็ใช้เลเซอร์สแกนเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ จะปรับให้ใหญ่หรือเล็ก ก็อยู่ที่เราชอบใจ ตามกำลังและวัสดุของเรา

โลหะทองคำเป็นโลหะมหัศจรรย์ เพราะไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจน ดังนั้น..ทองคำจะไม่มีวันผุแบบโลหะชนิดอื่น ๆ ในเมื่อไม่ผุก็แปลว่าอยู่จนชั่วฟ้าดินสลาย อาตมาเคยเจอทองคำโบราณ ลักษณะเก่าเสียจนไม่มียาง กลายเป็นลักษณะเนื้อทองแห้ง ๆ แต่ก็ยังเป็นทองอยู่

แต่ที่น่าอัศจรรย์ก็คือว่า เราใช้ทองคำเป็นตัวค้ำจุนมูลค่าของเงินในการแลกเปลี่ยนสินค้า ดาวดวงอื่นที่มีมนุษย์อยู่ เขาก็ใช้โลหะทองคำในการซื้อขายแลกเปลี่ยนเหมือนกัน เขาก็รู้ว่าโลหะชนิดนี้เสื่อมค่าได้ยาก ไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจน ไม่ทำลายตัวเอง จึงทำให้แม้แต่ต่างดาวก็ใช้ทองคำในการแลกเปลี่ยนสินค้า

เรามาดูภาษิตโบราณที่กล่าวว่า ทองคำแท้ไม่กลัวไฟเผา ก็คือ ถ้าเราเป็นคนดีจริงก็ไม่กลัวการทดสอบ เพราะว่าทดสอบไปเมื่อไรก็ยังเป็นคนดีอยู่ เหมือนกับทองคำแท้ เผาเมื่อไรก็ยังเป็นเนื้อทองอยู่ ไม่ใช่ว่าไส้ในเป็นโลหะอื่นหรือเป็นตะกั่ว"

เถรี 23-11-2014 07:57

ถาม : เด็กที่มีอาการรับรู้ผิดปกติแต่กำเนิด เช่น ตอนเกิดเจอแสงสะท้อนของหิมะจ้ามาก ทำให้ประสาทรับรู้การเห็นภาพผิดไปจากคนอื่น อาจตกใจกลัวปฏิสัมพันธ์ปกติของคนรอบข้าง แปลว่าสมมติของเขาต่างจากสมมติของคนอื่นใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่...ประสาทรับรู้เมื่อสัมผัสแล้วเกิดรู้ขึ้นมาเป็นเรื่องปกติแค่นั้น แต่ถ้าเราไปคิดต่อว่าชอบหรือไม่ชอบ เย็นร้อนอ่อนแข็ง ก็จะเป็นการปรุงแต่งของจิต แล้วก็เกิดตัณหาขึ้นมา ที่เด็กเป็นอย่างนั้น น่าจะเกิดจากประสบการณ์ข้ามชาติบางอย่าง ทำให้ไม่ไว้ใจคนแปลกหน้ามากกว่า

ถาม : อย่างนั้นเขามีความจำว่าการรับรู้แบบนั้นเป็นอันตรายหรือคะ ?
ตอบ : เขาจะปรุงทันทีเลยว่าชอบหรือไม่ชอบ อย่างเช่นว่าแสงจ้าเกินไปคือไม่ชอบ อันนี้อันตราย สภาพจิตมีการปรุงแต่งเป็นปกติ ข้ามชาติข้ามภพมา ถ้าสักแต่ว่ารับรู้ก็ไม่มีอันตรายอะไร ส่วนใหญ่คือรับมาก็ปรุงทันที

ถาม : แล้วที่รู้สึกว่าโลกน่ากลัว เป็นอันตราย อย่างนั้นแล้ว ทำไมก็ยังไม่เข็ดสักที ?
ตอบ : ถ้าปัญญาไม่พอ ก็ยังไม่เข็ด ไม่เบื่อ ก็เป็นอันว่ายังคงต้องเกิดต่อไป

เถรี 23-11-2014 11:23

พระอาจารย์เล่าว่า "เคยมีโยมคนหนึ่ง พอได้ยินว่าวัตถุมงคลทำด้วยโลหะที่มีค่ามากเท่าไร เทวดาที่รักษาก็ยิ่งมีศักดานุภาพมากเท่านั้น เขาจึงไปรีดแผ่นทองคำขาวมาให้อาตมาเขียนตะกรุด ท้ายสุดเหล็กจารไม่ยอมกินโลหะ เพราะว่าโลหะแข็งกว่ามาก ก็เลยต้องเขียนด้วยปากกาเมจิกแทน เหล็กจารไม่กินเนื้อทองคำขาว ถึงเวลาก็ลื่นไปเฉย ๆ เขียนไม่ได้

เสียดายว่าระยะนี้ไม่มีอารมณ์ที่จะไปบุกป่าฝ่าดงอีก ไม่อย่างนั้นจะไปค้นให้ได้ว่าแร่เพรียงไฟคืออะไร จะได้ผสมทองคำใช้เอง เพราะตอนนี้ส่วนผสมทองคำนั้นขาดอยู่อย่างเดียว มีทองแดงเถื่อน ตะกั่วเถื่อน สารปากนกแก้ว แร่เพรียงไฟ

ทองแดงเถื่อน ตะกั่วเถื่อน สารปากนกแก้ว ใช้อย่างละ ๑ ส่วน แร่เพรียงไฟใช้ หนึ่งในสี่ส่วน คาดว่าแร่เพรียงไฟน่าจะเป็นตัวลดจุดหลอมเหลวของโลหะอื่น เพราะโบราณเขาใช้
กระทะใบบัวในการหลอมทองคำ ด้วยปกติถ้าหลอมด้วยกระทะใบบัว ทองแดงเถื่อนจะต้องใช้อุณหภูมิสูงเกินกว่าที่จะกระทะใบบัวจะทนได้

ตะกั่วเถื่อนบ้านเราเรียกว่าดีบุก ทองแดงเถื่อนไม่ต้องกังวล สั่งทองแดงนอกมาแทนก็ได้ ส่วนสารปากนกแก้วลักษณะคล้าย ๆ กับสารส้ม แต่เป็นสีแดงแปร๊ดคล้ายปากนกแก้วจริง ๆ ตอนที่ได้มา เอาไปให้วิทยาศรมเขาตรวจสอบว่าเป็นแร่ธาตุชนิดไหน ปรากฏว่าเป็นโพแทสเซียมไดโครเมต ราคาต่างประเทศปอนด์ละแปดบาทเอง จะซื้อสักเท่าไรก็ได้ เหลือแต่แร่เพรียงไฟที่หาเท่าไรก็ไม่เจอ บุกเข้าไป ๔ ครั้ง เป็นเรื่องแปลกที่ว่าหลงทางทั้ง ๔ ครั้ง

คนที่สอบวิชาแผนที่เข็มทิศของทหารได้ที่ ๑ จะหลงทางได้อย่างไร ? ขนาดเอาภาพถ่ายทางอากาศมาวัดลงในแผนที่ ๑ : ๕๐,๐๐๐ มาร์กจุดเรียบร้อยแล้ว เดินขึ้นไป ๔ ครั้งก็หลงทั้ง ๔ ครั้ง ขึ้นไปทุกครั้งก็มั่นใจว่าถูกเป้าหมาย บางทีก็ขุดกันแหลกลาญ แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ทุกที ไปขุดไม่เจอแร่เพรียงไฟ แต่ไปเจอหินหยกแทน คิดว่าถ้าขนเอามาขายจริง ๆ ก็คุ้ม แต่คาดว่ายังไม่ใช่เวลาที่สมควร เพราะถ้าเป็นเวลาที่สมควรต้องหาเจอแล้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านยืนยันว่าขุดลึกไม่เกิน ๑ เมตร อาตมาขุดลึกถึงช่วงหัวยังไม่เจอเลย"

เถรี 23-11-2014 11:27

"ไป ๔ ครั้งหลง ๔ ครั้ง เพื่อนร่วมคณะเกือบโดนเสือสมิงพาไปรับประทานด้วย เขาเห็นเป็นผู้หญิงเรียกก็เลยตามไป เวลาคนเราโดนกรรมบังมักจะเป็นอย่างนั้น อยู่ ๆ ก็ลุกพรวดพราดเดินไป อาตมาเห็นผิดสังเกตก็วิ่งไล่ตาม พอพ้นโค้งเห็นจ้ำอ้าว ๆ อยู่ก็คว้าหมับ ถามว่าจะไปไหน ? เขาบอกว่าเห็นผู้หญิงชาวบ้านมาเรียก แสดงว่ามีทางออก กำลังจะตามเขาไป นี่แปลว่าเราอีก ๓ คนไม่ต้องไปไหนสิ ? เขาไม่เรียกพวกเราเลย จ้ำอ้าวไปคนเดียว

ก็เลยชี้ให้ดูว่ารอยเท้าที่เอ็งตามคือรอยอะไร ? เพราะว่าเดินเลาะไปริมห้วย รอยที่เหยียบน้ำเปียก ๆ บนหินแห้ง ๆ เห็นชัด ๆ เลยว่าเป็นรอยเท้าเสือ เสียดายที่อาตมาไม่ได้เห็นตอนที่แปลงเป็นคน ตอนที่เป็นเสือก็ไม่ได้เห็น เห็นแต่รอยเท้า ดังนั้น..คาดว่าถ้าไม่ใช่อาตมาที่เข้าใจเรื่องผีบัง ก็คงได้ตายไปแล้ว

หลงด้วยกันแท้ ๆ ถึงเวลารู้ว่ามีคนจะพาไปทางออก ดันไปคนเดียว แล้วก็เป็นเรื่องแปลก เพราะบทที่จะทำให้หลงก็หลงจริง ๆ หลงชนิดที่ว่าเราตั้งใจเดินกลับหลังไปคนละทิศกับทางข้างหน้า เดิน ๆ ไปหลายชั่วโมงก็ไปสู่ที่เดิม ขึ้นเหนือไปตรง ๆ ก็ไปโผล่ตรงนั้น ลงใต้ไปตรง ๆ ก็ไปโผล่ตรงนั้น ตะวันออกก็ลงตรงนั้น ตะวันตกก็ลงตรงนั้น เดินเสียจนกระทั่งพอเห็นรอยเท้าคนก็ดีใจมาก ตามไปตามมาปรากฏว่าเป็นรอยเท้าตัวเอง ก็แปลว่า "เขา" ยังไม่ต้องการให้ทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้"

เถรี 23-11-2014 12:37

พระอาจารย์กล่าวกับทิดว่า "บอกแต่แรกแล้วว่าไม่ต้องใส่หมวก เราทำความดี ต้องไปอายใครวะ ? ถ้าเป็นอาตมา สึกออกไปพ่อจะโกนซ้ำอีกสองวันพระ..! คนเราไปทำความดีจะต้องไปหลบ ๆ ซ่อน ๆ ใคร ? ให้เขารู้ชัด ๆ ไปเลยว่าเราไปบวชมา"

เถรี 23-11-2014 17:36


พระอาจารย์กล่าวว่า "ตำราปลูกเรือนของหลวงปู่สาย วัดท่าขนุน ดูออกไหม ? ตีตารางที่ดินว่างของเราเป็นรูปแบบนี้ ตรงไหนเป็นสีน้ำเงินก็เป็นที่ที่ดี"

ถาม : อันนี้คือที่ตรงที่ดินทั้งหมด หรือเฉพาะที่ตรงบ้าน ?
ตอบ : ที่ทั้งแปลง นับทั้งแปลงเลย ดูว่าลงตรงไหนก็ได้ ลงได้เป็น ๑๐ ที่ ไม่ต้องไปเครียดหรอก สมัยนี้ที่แพงจะตาย ขอแค่มีที่ปลูกบ้านก็พอ บางแห่งตารางวาละ ๘ แสนบาทเข้าไปแล้ว ๘ แสนบาทนี่ราคาประเมิน ขายจริงอีกเท่าไรไม่รู้ ? อย่างที่ชลบุรี บางแห่งซื้อขายกันตารางวาละ ๔ ล้านกว่า เงิน ๔ ล้านซื้อที่ได้พอปลูกศาลพระภูมิได้แค่หลังเดียว

ความจริงมีลายมือหลวงปู่สายอีกเยอะ โดยเฉพาะบันทึกของท่าน ใครเห็นลายมือหลวงปู่ โดยเฉพาะลายเซ็นของท่าน จะนึกว่าหลวงปู่เขียนสวยจัง เป็นลายมือของเด็ก ม.๘ รุ่นโบราณ

เถรี 23-11-2014 17:49

พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครจะขึ้นไปลำพูน - เชียงใหม่บ้างไหม ? จะได้ฝากฎีกาไปบ้าง มีครูบาสนิท ครูบาบุญยัง ตุ๊พ่อสิงห์ ครูบาสง่า ครูบาวิฑูรย์ ครูบาเหนือชัยด้วย ตอนนี้ครูบาเหนือชัยกำลังใช้ไม้เท้าหัดเดิน ฝากฎีกาไปพร้อมกับช่วยกราบเรียนว่ามาเสียดี ๆ ปีหน้าวันเกิดท่าน น่าจะไม่ได้จัดงานนิโรธกรรม แต่จัดเป็นงานสืบชะตาอย่างเดียว ไม่เป็นไรหรอก แห่อย่างเดียว ไม่ต้องไปอดข้าว ๗ วันด้วย"

ถาม : ถ้าท่านออกนิโรธฯ มา เราทำบุญคนแรกจะได้บุญคนเดียวไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าได้ทำบุญคนเดียวก็ได้ ถ้าหลายคนก็แบ่งกันไป สมัยนี้ประเภทใครรู้ก็แห่กันไปมืดฟ้ามัวดิน โอกาสจะได้คนเดียวเต็ม ๆ ก็ยาก ให้สังเกตว่า สมัยก่อนมีพวกแม้วถูกรางวัลที่ ๑ พวกนั้นก็โชคดีไป อยู่ในป่าในดอย ยังถูกรางวัลที่ ๑

เถรี 24-11-2014 18:03

พระอาจารย์กล่าวถึงท่านอาจารย์สุชาติ (ปั้นพระ) ว่า "ด้วยความที่เป็นช่าง ต้องใช้สมาธิในการทำงานมาก พอจิตสงบแล้วทิพจักขุญาณเกิด แต่ท่านไม่เข้าใจ ท่านไปคิดว่าอยู่ ๆ ก็คิดออกว่าต้องทำอย่างไร นั่นแหละคือความเป็นทิพย์ คนทั่ว ๆ ไปคิดว่าท่านทำงานในลักษณะที่ว่าค่อย ๆ คิดแล้วจะทำได้ ไม่ใช่หรอก..สมาธิที่ทรงตัวช่วยให้ความเป็นทิพย์เกิด"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:21


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว