กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๗ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4133)

เถรี 17-09-2014 12:29

ถาม : ถ้าจับลมหายใจสามฐาน รู้สึกว่าไปบังคับ ไม่ได้สบาย แต่ตัวเองจับแค่ฐานเดียว รู้หายใจเข้าออกนี่สบาย จับภาพพระได้ ?
ตอบ : เอาที่เราสบาย ถ้าเราดูในวิสุทธิมรรคจะเห็น มี ผุสนา คือ จับฐาน กับ อผุสนา คือ ไม่จับฐาน ท่านใช้คำว่ารู้ตลอดกองลม ก็คือหายใจเข้าตามรู้เข้าไป หายใจออกตามรู้ออกมา สิ่งไหนที่สบายสำหรับเรา ทำแล้วได้ผลดี ให้ทำอย่างนั้น

ถาม : ถ้าสามฐานจะละเอียดกว่า ?
ตอบ : ถ้า ๗ ฐานแล้วละเอียดกว่า ๓ ฐานอีก แต่คราวนี้คนที่ไม่เคยชินก็จะทำให้เสียผลปฏิบัติ ดังนั้น..การปฏิบัติกรรมฐาน ให้เอาสิ่งที่เหมาะกับเรา ไม่ใช่เอาตามคนอื่นเขา

ถาม : มีอะไรที่ควรทำเพื่อส่งผลหรือสนับสนุนการปฏิบัติ ?
ตอบ : ถ้าในเรื่องสนับสนุนการปฏิบัตินี่ให้แผ่เมตตาเลย อย่างอื่นเป็นอานิสงส์ในลักษณะของกามาวจร ก็คืออย่างไรเสียก็ไม่พ้นในเขตของสวรรค์ ๖ ชั้น แต่เรื่องของการภาวนานี่ตั้งแต่ระดับพรหมขึ้นไป จนกระทั่งสามารถหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพาน ส่วนสนับสนุนไม่ใช่บุญทางนี้ บุญทั้งหลายเหล่านี้เราทำได้ตามปกติ แต่ว่าในส่วนของสนับสนุนการปฏิบัติธรรมให้ใช้แผ่เมตตา

ถาม : อย่างอื่นไม่ช่วย ?
ตอบ : ช่วยเหมือนกัน อย่างน้อยเราทำแล้วเราปีติขึ้นมา แต่ว่าไม่เหมือนกับการแผ่เมตตาที่เป็นการเสริมกำลังใจโดยตรง

เถรี 17-09-2014 14:52

ถาม : เรื่องกสิณยังเอาตัวไม่ค่อยรอด จับภาพพระไม่ได้ตลอดเวลา ทำกสิณกองหนึ่งคือกสิณแสงสว่าง จะติดว่าต้องทำอย่างไรให้ได้ตลอดเวลา ?
ตอบ : เอาพระแก้วเป็นองค์กสิณแทน

ถาม : พระแก้ว ?
ตอบ : ใช่...แก้วก็คืออาโลกกสิณ เราก็จับภาพพระแก้วแทน ถ้าภาพพระชัดเจนเท่าไร ดวงกสิณก็ชัดเจนเท่านั้น เราก็ประคองภาพพระไว้เหมือนกับประคองดวงกสิณ

ถาม : พระแก้วไม่ต้องสว่างก็ได้นะคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องจ้ะ...ถึงเวลาถ้าสมาธิทรงตัวภาพพระจะสว่างขึ้นไปเรื่อย ๆ เอง

เถรี 17-09-2014 15:05

ถาม : เวลากราบพระพุทธรูปแบบนี้ ตั้งใจกราบพระพุทธรูปหรือน้อมใจกราบพระพุทธเจ้า ?
ตอบ : สองอย่าง ร่างกายกราบข้างล่าง ใจกราบข้างบน ควบไปเลย ทำให้ชินไว้

ถาม : ต้องแบ่ง ?
ตอบ : แบ่งทีเดียวพร้อมกัน ๒ ที่ได้เลย ปกติเขาทำได้เป็นสิบ ๆ ที่พร้อมกัน

เถรี 17-09-2014 15:08

ถาม : อาราธนาศีลเราต้องสวดอะไรไหมคะ หรือแค่ตั้งใจก็พอ ?
ตอบ : แค่เราตั้งใจว่าจะรักษาศีลก็พอ การอาราธนาก็คือการขอร้องให้พระท่านบอกว่าศีลมีอะไรบ้าง พอพระท่านบอก เราก็สมาทาน คือ ศึกษาตามนั้นว่าศีลแต่ละข้อเราต้องปฏิบัติอย่างไร ในเมื่อเรารู้อยู่แล้วเราก็ทำไปเลย ไม่ต้องเสียเวลาอาราธนา ไม่ต้องเสียเวลาสมาทาน

ถาม : มีคนบอกว่า ถ้าไม่อาราธนาแล้วไม่นับ ถ้าอย่างนั้นที่ทำมาก็เป็นศูนย์ ?
ตอบ : บางคนเขาก็เข้าใจอย่างนั้นแหละ ศีลอยู่ที่การตั้งใจงดเว้น ไม่ได้อยู่ที่การอาราธนาหรือสมาทาน

เถรี 17-09-2014 15:22

ถาม : จะเข้าป่าก็มีความกลัวบ้าง เพราะตัวเองก็ไม่ได้มีอะไรเลย ไม่ได้เก่งอะไรเลย ?
ตอบ : ตั้งใจสวดบทกรณียเมตตาสูตรให้ได้ แล้วจะไปอยู่ป่าไหนก็ตั้งใจสวดสาธยายแผ่เมตตาไปก่อน รับรองว่าอยู่ได้ทุกที่

ถาม : จริง ๆ กลัวคนมากกว่ากลัวอย่างอื่น ?
ตอบ : ใช่..คนน่ากลัวที่สุด อาตมายืนยันเหมือนกัน

ถาม : กรณียเมตตาสูตรช่วยได้ ?
ตอบ : ช่วยได้ ถ้าหากว่าเราทำจนเป็นปกติคนจะไม่คิดร้าย

ถาม : จะช่วยคนที่เราพาไปด้วยไหมคะ ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจดีก็ได้ทั้งคณะ กำลังใจมีว่า แบบแย่ ๆ คือ แม้แต่ตัวเองก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แบบปานกลาง ก็คือ ช่วยเหลือตัวเองได้ ช่วยคนอื่นไม่ได้ อย่างดีก็คือ ช่วยตัวเองได้ ช่วยคนอื่นได้ด้วย ดังนั้น..ก็ขึ้นอยู่กับกำลังใจของเราเอง

เถรี 17-09-2014 15:27

ถาม : หลวงตาเจ้าขา ทำอย่างไรหนูถึงจะมีพลังพิเศษ (เด็กน้อยถาม) ?
ตอบ : ต้องหัดภาวนาพุทโธ ๆ บ่อย ๆ จ้ะ พุทโธ ๆ ไปเรื่อย ๆ ให้ได้เยอะขึ้น ๆ จนได้สักวันละชั่วโมง เดี๋ยวก็จะเริ่มมีพลังแล้ว ค่อย ๆ ทำนะจ๊ะ..รุ่นนี้เขารุ่นอภิญญา ต้องยกให้เขา

ถาม : หลวงตาเอากี่ชั่วโมง ?
ตอบ : ตอนนี้เอาสักสองสามนาทีก่อนจ้ะ พอได้แล้วค่อยเอาเป็นชั่วโมง

ให้ทำทุกวัน ทำบ่อย ๆ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ...นับหนึ่ง หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ...นับสอง ใหม่ ๆ เอาให้ได้ ๑๐๐ ครั้งก่อน พอนาน ๆ ไปแล้วค่อยเอาให้ได้เป็นชั่วโมง

เถรี 17-09-2014 15:40

ถาม : เมื่อก่อนหนูนั่งสมาธิแล้วจะมีแสงสว่างขึ้น ไม่ต้องหลับตาก็มีแสงวาบเข้ามา ทำให้หนูรู้สึกว่าข้างในที่ไม่สงบก็รู้สึกสงบมากขึ้น แล้วก็เหมือนกับเคลื่อนออก พอรู้ตัวก็วูบเข้า ตาไปจับจ้องมาก ๆ ก็ไม่ขยับค่ะ ?
ตอบ : เพราะว่าเราไปจ้อง เขาก็อายสิ ทำใจสบาย ๆ พอเห็นแสงสว่างให้ตั้งใจว่าที่สุดของแสงอยู่ที่ไหนเราขอไปที่นั่น พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนเราไปที่นั่น แล้วเราภาวนาของเราไป จะไปหรือไม่ไปก็ช่าง

ถาม : หนูหลับแต่จะรู้สึกอยู่ตลอดเวลาค่ะ ?
ตอบ : ดีแล้วจ้ะ เพราะถ้าเราเผลอหลับ กิเลสก็กินเราตอนหลับ จึงจำเป็นที่จะต้องหลับกับตื่นให้มีความรู้ตัวเท่ากัน แต่ไม่ต้องไปกังวล เพราะร่างกายนอนอยู่ ก็ได้พักอยู่แล้ว ถึงเวลาก็ปล่อยไป ถ้ารู้ตัวก็ดี เราก็ภาวนาของเราไปเรื่อย นึกถึงภาพพระไปเรื่อย ๆ

เถรี 17-09-2014 15:44

ถาม : หลวงตาเจ้าขา ลูกแก้วไว้ทำอะไรคะ ? ...(เด็กน้อยถาม)... ?
ตอบ : หลวงตาก็เอาไว้มอง แล้วหลับตาลงนึกถึง เราจะนึกถึงลูกแก้วใส ๆ ได้พักหนึ่ง..ใช่ไหมจ๊ะ ? พอภาพหายไปเราก็ลืมตามองใหม่ แล้วก็หลับตานึกถึง จนกระทั่งหลับตาเราก็เห็นลูกแก้วใส ๆ ได้ หลังจากนั้นพอทำไปเยอะ ๆ แล้ว ก็จะเห็นได้อยู่ตลอดเวลา หลับตาก็เห็น ลืมตาก็เห็น หนูก็ตั้งใจขอให้ลูกแก้วใหญ่ ๆ ขึ้น แล้วคราวนี้อยากเห็นอะไรล่ะ ?

สมมติว่าเราเรียนหนังสือแล้วอยากเห็นข้อสอบ เราก็ขอให้
ข้อสอบโผล่มาในลูกแก้ว ข้อสอบก็จะโผล่มาในลูกแก้วให้เราเห็นเอง เพราะฉะนั้น..ตอนนี้ค่อย ๆ หลับตานึกถึง พอหายไปก็ลืมตาดูใหม่ หลับตานึกถึงลูกแก้วใหม่ พอนึกไม่ได้ก็ลืมตาดูใหม่ แล้วก็หลับตาลงนึกถึงใหม่ อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหลับตาก็เห็นเหมือนกับลืมตา กลับบ้านไปแล้วทำบ่อย ๆ นะจ๊ะ พอมีฤทธิ์แล้วค่อยมาอวดพี่ ๆ ป้า ๆ อา ๆ เขา

ถาม : หลวงตา..หนูอยากได้ลูกแก้วใส ?
ตอบ : เอาอีกลูกหนึ่งก็ได้ สรุปแล้วเราต้มหลวงตานี่หว่า..! กลับบ้านไปทำบ่อย ๆ นะจ๊ะ คนอยากมีฤทธิ์ต้องขยัน กลัวอย่างเดียวว่ารู้ไม่ทัน โดนผู้ใหญ่หลอกให้ดูหวยเท่านั้นแหละ

เถรี 17-09-2014 15:48

ไปนึกเสียดายหลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณีให้หวยเขามา ๓๐ กว่าปี พอวันที่ท่านมรณภาพน่าจะปี ๒๕๓๐ ถ้าจำไม่ผิดนะ หลวงพ่อฤๅษีฯ บอกว่า “เฮ้อ...เขาขอหวยจนพระอรหันต์ตายไปทั้งองค์” ไม่เคยมีใครไปหาหลวงพ่อเนื่องแล้วอยากได้ธรรมะเลย มีแต่เอาหวยล้วน ๆ จนกระทั่งหลวงพ่อเนื่องท่านเบื่อ ท่านใช้วิธีเขียนใส่กระดานไว้เลย แล้วคนก็ไม่ค่อยรู้วิธีเล่นกัน

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมาเปิดเผยว่า ถ้าอยากได้งวดนั้นเลยให้ตัดท้ายเล่นตัวเดียว แต่ถ้าอยากถูกตรง ๆ ๓ ตัว ให้ตาม ๑๒ งวด งวดที่ ๑ ถ้าเล่น ๑๐ บาท งวดที่ ๒ ให้เล่น ๒๐ บาท งวดที่ ๓ ให้เล่น ๓๐ บาท เพิ่มแบบนี้ไปเรื่อย ท่านบอกว่าถ้าถูกแล้วจะคุ้ม ท่านบอกไม่เกิน ๑๒ งวดก็จะออก

เหตุที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่าคนที่บุญไม่มีก็จะไม่ได้ ถึงเวลาตาม ๆ ไปก็เบื่อเลิกไปเอง ขอหวยจนพระอรหันต์ตายไปทั้งองค์ ไม่คิดจะเอาอะไรเลย หลวงพ่อเนื่องมรณภาพปรากฏว่าคณะกรรมการไปค้นกุฏิ มีเงินอยู่ ๒๐ กว่าล้านบาท ท่านรับจากโยมมาก็ทิ้ง ๆ ไว้อย่างนั้นแหละ ไม่ได้สนใจจะทำอะไรเลย อยู่บนเตียงบ้าง อยู่ใต้เตียงบ้าง บางคนเอาแบงค์ไปทั้งปึก เพื่อที่จะเอาให้ท่านให้หวย ท่านก็จะดึงคืนเขาไปใบหนึ่ง ก็คือใบที่จะออก แล้วอีก ๙๙ ใบ ท่านก็โยนโครมไว้ใต้เตียงเหมือนเดิม

จะว่าไปแล้วอาตมาก็เป็นลูกศิษย์สายหลวงพ่อเนื่องเหมือนกัน เพราะว่าหลวงปู่สายไปเรียนวิชากับหลวงพ่อเนื่อง หลวงปู่สายธุดงค์ขึ้นไปจนกระทั่งถึงสุโขทัย แล้วก็ย้อนกลับมาพิษณุโลก ได้ข่าวว่าหลวงพ่อเนื่องมีความสามารถขนาดนั้น จึงลงทุนนั่งรถไฟมาลงกรุงเทพฯ แล้วต่อออกไปแม่กลอง กราบเรียนวิชากับหลวงพ่อเนื่อง ด้วยความที่ถือสัจจะว่าธุดงค์ ท่านก็เลยต้องนั่งรถไฟกลับไปพิษณุโลก แล้วก็ไปเดินกลับ ที่ท่านรีบมาก็คือรีบมาศึกษาวิชาการ พอได้วิชาได้อะไรเสร็จ ซักซ้อมจนกระทั่งมีความมั่นใจ ก็นั่งรถไฟกลับไปที่เดิม แล้วก็เดินกลับ สมัยก่อนท่านถือสัจจะกันเคร่งครัดขนาดนั้น

เถรี 17-09-2014 15:49

ถาม : จะทำมีดหมอนี่ ?
ตอบ : ปีหน้า ถึงเวลาจะเปิดฟรีสไตล์จ้ะ ใครมีมีดก็เอามาเข้าพิธี

ถาม : อย่างไรเราจึงจะรู้ว่าถึงเวลาใช้ ?
ตอบ : เหมือนกับพกปืน จะใช้หรือไม่ใช้อยู่ที่เรา

เถรี 18-09-2014 08:18

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีโยมถามว่า พระกราบแม่ ล้างเท้าให้แม่ได้หรือไม่ ? ก็ต้องบอกว่า ถ้าพระรูปใดทำอย่างนั้นแปลว่าส่งแม่ลงอเวจีไปเรียบร้อยแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย..!

อันดับแรก...พระถือศีล ๒๒๗ ข้อ จัดเป็นอุดมเพศ แม้แต่สามเณรที่ถือศีล ๑๐ พระยังไม่สามารถที่จะรับไหว้ได้ แล้วนี่เราไปกราบแม่ ก็สร้างโทษให้เกิดกับแม่หนักมาก

ลำดับต่อไป ก็คือ การล้างเท้าให้แม่ แม่เป็นผู้หญิง จัดเป็นวัตถุอนามาส ภิกษุจับต้องกายหญิงแล้วเกิดจิตกำหนัดขึ้นมา ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ขาดจากความเป็นพระ ต้องโดนลงโทษด้วยการอยู่ปริวาสจนกว่าจะครบตามกำหนด แล้วให้คณะสงฆ์อย่างน้อย ๒๐ รูป สวดคืนความเป็นพระให้ ถึงกลับเป็นพระอีกครั้งหนึ่ง ถ้าไม่มีจิตกำหนัด ร่างกายของผู้หญิง สิ่งของที่เนื่องด้วยกายหญิง อย่างเช่น เส้นผม หรือเสื้อผ้า ก็จัดเป็นวัตถุอนามาส จับแล้วโดนอาบัติทุกกฏ จะไปคิดว่าเป็นแม่ตัวเองไม่ได้ ก็แปลว่าแม้แต่ตัวพระเองก็เสี่ยงกับอาบัติหนักมาก

ลำดับต่อไปก็คือ เกิดโทษหนักกับตัวเองในลักษณะของอัญญสัตถุทเทส เพราะว่าไปกราบไหว้ผู้อื่นที่ไม่ใช่ศาสดา ถ้าวัดน้ำหนักกันแล้ว เขาให้น้ำหนักเท่าอนันตริยกรรมเลย ก็แปลว่าพระเองก็เกิดโทษหนักมาก โอกาสที่จะได้มรรคได้ผล ก็กลายเป็นไม่มีไปเลย

ลำดับต่อไป ก็คือ ไปปิดมรรคผลของบุคคลที่เป็นแม่ด้วย เนื่องจากว่าผู้เป็นแม่แทนที่จะเคารพพระรัตนตรัย กลายเป็นว่าจะรอให้ลูกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัยมาทำความเคารพ ไม่เช่นนั้นก็จะมานั่งคิดว่า ปีที่แล้วลูกยังทำแบบนี้ แล้วปีนี้ทำไมลูกไม่มาทำ ทำให้แม่ขาดจากพระรัตนตรัย ปิดมรรคปิดผลไปเลย ชาตินี้ไม่ต้องคิดกัน

ดังนั้น...เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะได้ยินว่าบุคคลที่ทำมีชื่อเสียง ซึ่งจะทำให้บรรดาท่านที่สิ้นสติเลียนแบบกันเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอนในปีหน้า"

เถรี 18-09-2014 08:22

"มีอยู่ช่วงหนึ่งที่มีพระไปกราบไหว้ฤๅษี ซึ่งฤๅษีนั้นก็สนิทสนมคุ้นเคยกับอาตมาดี นั่นก็เป็นเหตุคล้ายคลึงกัน ก็คือกราบไหว้ผู้อื่นที่ไม่ใช่ศาสดา นับถือผู้อื่นที่ไม่ใช่ศาสดา ท่านเรียกว่าอัญญสัตถุทเทส ก็คือถือผู้อื่นเป็นศาสดาแทน ก็เท่ากับปิดมรรคผลของตัวเองไปเลย

เนื่องจากอาตมาสนิทสนมใกล้ชิดกับฤๅษีท่านนั้นด้วย ก็รู้ว่าท่านเป็นพุทธภูมิ ก็คือเป็นพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีอยู่ ถ้าท่านยินดีในลักษณะที่ให้พระมากราบไหว้ ก็แปลว่านำตนเองห่างไกลความสำเร็จไปอีกมาก คงจะต้องไปเวียนว่ายตายเกิด ลำบากลำบนอีกเยอะ กว่าที่จะกลับมาได้ในระยะที่ใกล้เท่าเดิม

เมื่อประมาณเดือนกว่าที่ผ่านมาก็มีข่าวทางเขมร พระภิกษุไปกราบไหว้ฆราวาสที่อ้างว่าเป็นพระพุทธเจ้ามาเกิดใหม่ เราจะว่าพระภิกษุเขมรได้รับการศึกษามาน้อยกว่าของเราก็ไม่ได้ เพราะว่าพระภิกษุจากเขมรมาศึกษาพระวินัยจากเมืองไทยไป แล้วก็นำเอารูปแบบการปฏิบัติจากเมืองไทยไปใช้ จนกระทั่งเขมรก็มีมหานิกายและธรรมยุติกนิกายเหมือนกัน เราจะบอกว่าเขารู้น้อยก็ไม่ได้ แต่ต้องเรียกว่าเป็นความเข้าใจผิดแล้วทำให้ตนเองต้องลำบาก ขณะเดียวกันผู้อื่นก็ลำบากไปด้วย เกิดกรรมหนักทั้งสองฝ่าย

เรื่องพวกนี้ถ้าเราไม่ทำให้ชัดเจน ไม่ชี้แจงให้ชัดเจน ต่อไปพอญาติโยมเห็นว่าพระไปกราบเท้าแม่ ล้างเท้าแม่ แล้วไปชื่นชม ก็เท่ากับว่าโมทนาสิ่งที่ไม่ดี ก็จะเกิดโทษกับตัวเองด้วย ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เราต้องระมัดระวังเอาไว้ เพราะว่าแค่กึ่งพุทธกาล นี่แค่ ๒๕๕๗ ปีเท่านั้น ถ้าเราจะนับตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็เพิ่งจะ ๒๖๐๒ ปีเท่านั้น การประพฤติปฏิบัติก็ยังนอกลู่นอกทางถึงขนาดนี้แล้ว ยิ่งนานไป ถ้าไม่มีใครทำให้ชัดเจน ก็จะยิ่งเละเทะหนักขึ้นไปอีก"

เถรี 18-09-2014 08:26

"เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้ว อย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยว่าไว้ก็คือ “เป็นพระ จะไม่รู้ไม่ได้” เพราะว่าพระนั้นศีลจะขาดก็ต่อเมื่อ

๑. ต้องโดยไม่รู้ (อ้างว่าไม่รู้ไม่ได้ บวชเข้าไปแปลว่าต้องรู้ว่าพระมีศีลอะไรบ้าง เขาถึงให้ไปเป็นนาคก่อน)
๒. ต้องโดยไม่ละอาย (นี่ก็คือรู้แล้วแต่ฝ่าฝืนไปทำ เรียกว่าพวกหน้าด้าน)
๓.
ต้องโดยสงสัยแล้วขืนทำ (ไม่แน่ใจแล้วไปทำ ต่อให้ทำถูกก็โดนปรับอาบัติ ศีลขาด)
๔. ต้องโดยสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร
๕. ต้องโดยสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร
๖.
ต้องโดยลืมสติ

เรื่องของพระเราโอกาสที่จะแก้ตัวก็นั้นไม่มี จะอ้างว่าไม่รู้ก็ไม่ได้ อ้างว่าขาดสติก็ไม่ได้ อ้างว่าเข้าใจผิดก็ไม่ได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านปรับไว้ทุกรูปแบบ จำเป็นที่จะต้องศึกษาให้ชัดเจนก่อนแล้วถึงบวช ไม่อย่างนั้นบวชเข้าไปพระอุปัชฌาย์อาจารย์ต้องรีบชี้แจงให้ชัดเจนก่อน

อย่างของวัดท่าขนุน จะมีการชี้แจงในเรื่องของอาบัติที่โทษหนักและล่อแหลมคือ ปาราชิก ๔ และสังฆาทิเสส ๑๓ ไว้ชัดเจนมาก ถึงเวลาแล้วศีล ๑๗ ข้อนี้คุณต้องรู้ อ้างว่าไม่รู้ไม่ได้ อาบัติอื่นสามารถแก้ไขแสดงคืนต่อหน้าคณะสงฆ์ได้ แต่อาบัติสองอย่างนี้ ปาราชิก ๔ ข้อ ถ้าโดนแล้วขาดจากความเป็นพระไปเลย แก้ไขไม่ได้ ส่วนสังฆาทิเสส โดนแล้วขาดความเป็นพระชั่วคราว จนกว่าจะได้รับโทษตามที่กำหนดไว้ แล้วให้คณะสงฆ์อย่างน้อย ๒๐ รูปสวดคืนความเป็นพระให้ ถึงจะกลับเป็นพระอีกครั้งหนึ่ง"

เถรี 18-09-2014 08:35

"ปัจจุบันนี้วัดท่าขนุน มีพระโดนสังฆาทิเสสอยู่ ๒ รูป ต้องแยกวงไปฉันต่างหาก เพราะว่ากลายเป็นอนุปสัมบัน คือผู้ศีลไม่เท่าเขา รอให้ออกพรรษาแล้วจะส่งไปอยู่ปริวาส เพื่อรับโทษที่ตนเองติดอยู่ จนกว่าที่จะครบถ้วน แล้วคณะสงฆ์จะสวดอัพภาน คือคืนความเป็นสงฆ์ให้ ถึงจะกลับมาอยู่ร่วมกับพระอื่นได้

พระที่ท่านโดนอาบัติสังฆาทิเสสนั้น มีอยู่รูปหนึ่งน่าเสียดายมาก เพราะไปกล่าวโจทก์พระอีกรูปหนึ่งว่าขโมยของ การที่ไปกล่าวโจทก์ว่าเขาขโมยของ ก็คือกล่าวหาเขาว่าต้องอาบัติปาราชิก แต่คราวนี้โจทก์โดยไม่มีมูล อาตมาซักถามรายละเอียดแล้ว เห็นด้วยตัวเองหรือเปล่า ? ก็ไม่เห็น ได้ยินด้วยตนเองหรือเปล่า ? ก็ไม่ได้ยิน มีผู้ที่เชื่อถือได้มาบอกกล่าวเรื่องนี้หรือเปล่า ? ก็ไม่มี ในเมื่อโจทก์โดยอาบัติที่ไม่มีมูลก็คือ ไม่ได้เห็นด้วยตนเอง ไม่ได้ยินด้วยตนเอง แล้วก็ไม่มีผู้ที่เชื่อถือได้มาบอกกล่าว ก็แปลว่ากล่าวโจทก์ผู้อื่นด้วยอาบัติที่ไม่มีมูล ตนเองต้องสังฆาทิเสสเอง พระพุทธเจ้าต้องกันเอาไว้ เพื่อป้องกันการใส่ร้ายกันในลักษณะอย่างนี้

อาตมาถามว่าไม่ชอบหน้ากันเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า ? ท่านก็ไม่พูด แต่ถึงจะพูดหรือไม่พูดก็ตาม ก็บอกท่านไปว่า "ต้องอาบัติสังฆาทิเสส เพราะฉะนั้น..ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก็ไม่ต้องอยู่ร่วมกับคณะสงฆ์เขา ถ้าเขาลงสังฆกรรมก็ไม่ต้องไปลงกับเขา เพราะว่าสังฆกรรมเขาจะเสีย คราวนี้ก็รอเวลาว่าออกพรรษาเมื่อไรก็ไปอยู่ปริวาส รับโทษที่ตัวเองทำไว้" รายอื่นโดนอาบัติเพราะตัวเองทำเอง แต่ท่านนี้กล่าวหาผู้อื่นด้วยอาบัติที่ไม่มีมูล

ดังนั้น..ญาติโยมถ้าคิดจะบวช ศีลพระต้องแม่น ถ้าไม่แม่น โอกาสเดี้ยงมีสูงมาก ถ้าโดนอาบัติปาราชิกไป ก็เสียชาติเกิดเลย"


ถาม : ต้องอาบัติเพราะโจทก์อาบัติผู้อื่นโดยไม่มีมูล อาบัติที่ตนเองต้องโดนต้องเป็นสังฆาทิเสสหรือครับ ?
ตอบ :ไม่ใช่...ตัวเองจะโดนอาบัติที่รองลงไป เช่น โจทก์อาบัติสังฆาทิเสส ตนเองต้องปาจิตตีย์ ต้องอาบัติที่ต่ำกว่าลงไปเป็นชุด ๆ

เถรี 18-09-2014 08:41

"ย้อนกลับไปเรื่องเดิมนิดหนึ่งว่า บุคคลทั่วไปสมควรที่จะกราบเท้าแม่ ล้างเท้าแม่ แต่เป็นพระไม่สมควรด้วยประการทั้งปวง เพราะก่อให้เกิดโทษหนักทั้งตนเองและแม่ของตน ที่น่าเสียดายที่สุดก็คือ ถ้าแม่มีโอกาสจะได้มรรคได้ผล ก็เท่ากับไปปิดมรรคปิดผลของแม่ไปเลย

ถ้าแม่ไปปลื้มว่าลูกมากราบเท้า ดีเหลือเกิน แล้วตั้งหน้าตั้งตารออีกก็เฮง แม่พระสารีบุตรนั้น จนวินาทีสุดท้ายถึงยอมกราบลูก"

เถรี 18-09-2014 09:24

พระอาจารย์กล่าวกับพระถึงเรื่องการสร้างธงมหาพิชัยสงครามว่า "ธงมหาพิชัยสงครามอย่าไปสร้างเลย ไม่มีประโยชน์หรอก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า พ้นจากท่านไปแล้ว คนอื่นสร้างก็ไม่มีผล วัตถุมงคลบางอย่างก็ไปตามสายครูบาอาจารย์ ขณะเดียวกันบางอย่างก็ไปตามสายเลือด ธงมหาพิชัยสงครามไปตามสายเลือดตระกูล ถ้าจะทำก็ทำอย่างผม คือดัดแปลงเสีย ในเมื่อเราดัดแปลงก็ไม่ใช่ธงมหาพิชัยสงคราม ไม่ผิดกฎกติกา พระหรือพรหม หรือเทวดา ท่านก็สามารถสงเคราะห์ได้

เพราะว่าวิชาจากตำราพระร่วง ถ้าไม่ได้ครอบครูต่อกันมา ทำไปไม่มีผล ตอนที่ครอบครูก็มีแค่ ๙ รูป ที่สึกออกไปก็เยอะแล้ว หลวงพี่บัญชาสึก ท่านน้อยสึก ท่านชาติชายสึก ที่อยู่ข้างนอกก็มีผม หลวงตาวัชรชัย หลวงพี่วิรัช ออกจากวัดมารวมแล้วเกินครึ่ง

ถ้าจะทำ ทำเป็นอย่างอื่นดีกว่า ผมเห็นหลวงตาวัชรชัยทำ หลวงพี่ชลอทำ หลวงพี่องอาจทำ จะทำไปทำไม ? ทำไปแล้วไม่มีผล ทำแล้วญาติโยมเขาเอาไปใช้แล้วไม่ได้ผลก็เฮงอีก แม้กระทั่งการทำวัตถุมงคลแบบเดียวกับครูบาอาจารย์ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านยังไม่ทำเลย มีคนขอให้หลวงพ่อวัดท่าซุงทำพระทรงสัตว์แบบต่าง ๆ เหมือนของหลวงปู่ปาน หลวงพ่อท่านก็ไม่ทำ ท่านบอกว่าไม่ควรที่จะวัดรอยครูบาอาจารย์

ผมก็เห็น..อย่างของวัดคู้สลอด หรือหลวงพ่อมี วัดมารวิชัย ทำแล้วดูสับสน ถอดแบบออกมาเลย คนรุ่นหลังตาไม่ถึงก็เหมาว่าเป็นของวัดบางนมโค ทำให้เซียนหากินกันเพลิน หลวงปู่ปานท่านสร้างพระคำข้าวองค์ใหญ่ ๕ นิ้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านทำองค์เล็ก เรื่องการบรรจุผงวิเศษ หลวงพ่อท่านบรรจุหลังพระ ท่านไม่ได้บรรจุด้านบนแบบพระหลวงปู่ปาน ต้องเลี่ยง ๆ อย่าให้เหมือนกัน เหมือนกันแล้วนานไปจะจำกันไม่ได้ว่าอะไรเป็นอะไร อย่างสมเด็จองค์ปฐมมีสารพัดแบบ ถ้าจะทำต้องลงให้ชัด ๆ ไปเลยว่าของวัดไหน อย่างหลวงพี่ชลอถอดแบบทางวัดท่าซุงไปแทบทุกพิมพ์

นาน ๆ ไป ๓๐-๔๐ ปีญาติโยมสับสนตายชักเลย ทำก็ลงให้ชัด ๆ ที่องค์พระเลยว่า "สมเด็จองค์ปฐม วัดศาลพันท้ายนรสิงห์" คนรุ่นหลังจะได้ไม่ต้องเล็งกันตาเหล่ สมัยนี้คอมพิวเตอร์สแกน เลเซอร์สแกน เล่นถอดแบบไปได้ทุกจุด คนรุ่นหลังก็แย่ ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ขนาดพวกเราทัน ๆ หลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่ยังสับสนจะตาย"

เถรี 18-09-2014 09:29

"ขนาดของผมเขายังปลอมกันอุตลุด แต่ละรุ่นปลอมกันมาแล้วพยายามที่จะสร้างข่าว อย่างสมเด็จองค์ปฐมรุ่น ๓ ผมยืนยันว่าไม่ได้พุทธาภิเษก สมเด็จองค์ปฐมถ้าจะนับรุ่น ๓ จริง ๆ ต้องนับเหรียญรูปหลวงพ่อหลังสมเด็จองค์ปฐม หรือไม่ก็เหรียญหลวงพ่อหลังรูปพระศรีอริยเมตไตรย จะเสกพร้อมกับรุ่นที่แขวนหน้ารถ แต่รุ่นนั้นก็ซื้อจากท้องตลาด แล้วมีแค่ ๕๐๐ ชุด ตอนนี้ไม่ต้องห่วง..ซื้อจากท้องตลาดมีได้เป็นล้านชุด ถ้าไม่ใช่ที่เชื่อถือได้จริง ๆ ก็อย่าไปแตะ เขาพยายามออกข่าวว่า หลวงพ่อเสกไว้ให้ก่อนแล้ว

แม้กระทั่งเรื่องของเหรียญทำน้ำมนต์ เขาถอดเนื้อหาเหรียญทำน้ำมนต์ของผมไปทั้งแท่งเลย แล้วบอกว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านพูด คิดดูแล้วกัน..ขนาดผมลงชื่อ เขาตัดชื่อผมออก แล้วไปลงว่าเป็นของหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่นถอดไปทุกคำเลย ของผมพิมพ์เป็นเวิร์ด เขาคัดลอกไปหมด ต่อไปต้องเป็นแสกนเป็น pdf ห้ามแก้ไฟล์ ไม่อย่างนั้นแล้วไม่ลงทุนกันเลย คัดลอกไปอ้างเฉย ๆ "

เถรี 18-09-2014 11:40

ถาม : จิตกับใจ ?
ตอบ : จิตกับใจจริง ๆ แล้วเป็นตัวเดียวกัน แต่บางคนก็ไปแยกว่าใจคือใจ จิตคือจิต แต่ตามที่อาตมาว่า สภาพจิตหรือการทำงานของจิต คือชวนะ ก็คือใจ บางคนเรียกว่าจิต บางคนเรียกว่าใจ บางคนไม่เข้าใจเรียกว่าวิญญาณ นึกว่าเป็นผีไปเสียอีก

ถาม : หลักการคิด ?
ตอบ : การคิดต้องดูว่าเราคิดเรื่องทางโลกหรือคิดเรื่องทางธรรม แต่ว่าการคิดทั้งหมดที่สำคัญที่สุด คือ เราต้องมีสัมปชัญญะ คือความรู้ตัว และหยุดความคิดนั้นไว้ที่จุดที่พอดี ถ้าเกินพอดีไปเมื่อไรก็ฟุ้งซ่าน หรือไม่ก็ทำให้ รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้น

เถรี 18-09-2014 11:45

ถาม : ธรรมะของพระพุทธเจ้าเกี่ยวข้องกับจักรวาลหรือไม่ ?
ตอบ : หลักธรรมะของพระพุทธเจ้าคือความเป็นธรรมชาติ ก็เท่ากับเป็นหลักเดียวของจักรวาล คือสรรพสิ่ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีอะไรทรงตัวอยู่ได้ วิทยาศาสตร์เพิ่งจะตามไปถึงแค่อนิจจังอย่างเดียว สรรพวัตถุล้วนแล้วแต่ไม่เที่ยงเพราะเป็นแรงดึงดูดระหว่างอนุภาคคือพลังงานนั่นเอง พอเลิกดึงดูดกันก็สลาย ไม่มีอะไรเหลือ

ถาม : .... (ไม่ชัด).....มายุคสมัยเรามีการเปลี่ยนแปลงระบบพลังงานตลอดเวลา ?
ตอบ : จะมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าเมื่อถึงเวลาจะใช้ถึงระดับพลังงานนั้น ต้องได้รับการฝึกถึงระดับอภิญญา สังเกตว่าคนที่ได้อภิญญา สามารถมุดน้ำดำดิน เหาะเหินเดินอากาศได้ จริง ๆ ก็แค่ดึงเอาพลังงานในตัวมาใช้เท่านั้น

ถาม : เคยดูวีดีโอ....(ไม่ชัด)... เขาดึงเอาพลังงานมาใช้หรือครับ ?
ตอบ : จริง ๆ ก็คือพลังจิต พลังจิตที่สำคัญที่สุด เพราะสามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบกายหยาบที่เป็นวัตถุธาตุได้

ถาม : จริง ๆ เราจำเป็นต้อง.... ?
ตอบ : ไม่จำเป็นต้องรู้ ทำให้ได้ก็พอ ส่วนใหญ่มัวแต่ไปฟุ้งซ่านคิดอยู่ ก็เลยทำไม่ได้สักที

เถรี 18-09-2014 11:51

ลักษณะของการคิด เมื่อไปถึงระดับหนึ่งจะเกิดความคิดแตกฉานขึ้นมา แต่จะแตกกระจายกว้างออกไปเรื่อย ๆ คิดอะไรก็สมเหตุสมผลไปหมด แต่ให้สังเกตว่าไม่ได้สอนเราคิดเรื่องตัดกิเลส เพราะฉะนั้น..ถ้าเราไปคิดอยู่ หลงเสียเวลาคิดตาม ๒๐ ปี ๓๐ ปี คิดว่าเราเก่ง คิดอะไรก็ถูก คิดอะไรก็ดี แต่วิธีการละกิเลสไม่มีเลย หลายคนก็เผลอว่าตัวเองต้องได้มรรคได้ผลอะไรบางอย่าง เพราะคิดอะไรก็สามารถหาเหตุเชื่อมโยงได้ทุกอย่าง แต่ขอให้สังเกตชัด ๆ ว่า ไม่มีวิธีการละกิเลสแม้แต่นิดเดียว มารหลอกให้เราเสียเวลาคิด รู้ตัวก็รีบเลี้ยวกลับ

มาถึงระดับนี้ถ้าต้องการเป็นนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังของโลกนี่สบาย เขียนทฤษฎีอะไรขึ้นมาก็ได้ จะสมเหตุสมผลไปหมด แข่งกับสตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง ได้สบาย แต่ไม่มีวิธีละกิเลส ฉะนั้น...ให้ระมัดระวัง มาถึงระดับนี้แล้วควบคุมตัวเองให้เป็น หยุดคิดให้ได้ หยุดไม่ได้ก็ฟุ้งซ่านไปเรื่อย พลังงานที่จะใช้ในการละกิเลส จะโดนดึงเอาไปใช้งานในการฟุ้งซ่าน กลายเป็นว่าผลการปฏิบัติหาความก้าวหน้าไม่ได้ พอถึงเวลา เอ๊ะ..ทำไมกิเลสกำเริบอีกแล้ว ? เพราะเราไม่ได้ละกิเลส เราดันไปคิดฟุ้งซ่านอย่างเดียว ถ้าจะเอาประโยชน์ในการปฏิบัติธรรมก็แทบจะไม่มี

ถ้าจะเอาทางโลก ๆ เอาอะไรก็คิดได้หมด อย่าง ดร.อาจอง ใช่ไหม ? คิดระบบยานลงจอดดวงจันทร์ได้สำเร็จ ขณะที่ฝรั่งคิดไม่ได้ นั่นฟุ้งได้ขนาดนั้น แต่ก็ดี เพราะเขาทำให้วัตถุธาตุต่าง ๆ ก้าวหน้าขึ้น แต่ถ้าเราตั้งใจละกิเลส เสียเวลาอย่าบอกใครเลย

เถรี 18-09-2014 15:41

พระอาจารย์กล่าวถึงการพุทธาภิเษกเมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคมว่า "การพุทธาภิเษกวัตถุมงคลครั้งนี้ ปรากฏว่าวัตถุมงคลหลัก ๆ เป็นวัตถุมงคลหลวงปู่สายวัดท่าขนุน หลวงปู่สายท่านมรณภาพปีเดียวกับหลวงพ่อวัดท่าซุง ระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ช่วงทำบุญ ๑๐๐ วัน อาตมาก็วิ่งอยู่ ๒ วัดคือวัดท่าซุงกับวัดท่าขนุน สวดพระอภิธรรมที่วัดท่าซุงเสร็จประมาณ ๒ ทุ่มครึ่ง วิ่งมางานทำบุญเช้าที่วัดท่าขนุน เสร็จแล้ววิ่งกลับมาทำงานต่อที่วัดท่าซุง ถามว่าไกลมากไหม ? ไปกลับก็ราว ๆ ๗๐๐ กิโลเมตรต่อวัน แต่โยมจะเห็นหน้าอยู่วัดท่าซุงทุกวัน ก็ไม่คิดว่าออกจากวัดไป เพราะออกไปตอนกลางคืน

เนื่องจากว่าวัตถุมงคลหลัก คือ รูปหล่อและเหรียญรุ่น ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย ตอนพุทธาภิเษกกราบขอบารมีพระ พรหม เทวดาและครูบาอาจารย์ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า "ในเมื่อเป็นรูปหลวงพ่อสาย แกก็ไปขอหลวงพ่อสายสิ" เลยต้องกราบขออนุญาตหลวงปู่สายให้ช่วยพุทธาภิเษกรูปหล่อของท่านเอง

ไม่ทราบว่าหลวงปู่สายท่านดำดินมาท่าไหน โผล่ขึ้นมากลางกองวัตถุมงคลจนเต็มองค์ แล้วสมเด็จองค์ปฐมก็สวมลงไปทับลงไปอีกชั้นหนึ่ง จากนั้นองค์ของสมเด็จองค์ปฐมก็ขยายจนเต็มโบสถ์ แล้วขยายออกไปด้านนอกโบสถ์ เพราะว่ามีญาติโยมรออยู่นอกโบสถ์เยอะมาก ขยายออกไปยังวัตถุมงคลที่ญาติโยมนำมาเข้าพิธี โดยเฉพาะวัตถุมงคลของอาจารย์โต หรือคุณนวศรี ที่ขนไปถึงก่อน ๑ วัน จอดรถรออยู่หน้าโบสถ์

ปรากฏว่าพอเต็มที่แล้ว อาตมามองที่กองวัตถุมงคล เห็นมีอยู่หน่อยหนึ่งไม่มีรัศมีในลักษณะของวัตถุมงคลที่ปลุกเสกแล้ว จึงกราบเรียนถามพระว่าเป็นเพราะอะไร หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านตอบแทนพระว่า "พวกนอกคอกครูบาอาจารย์ ไม่รู้จะไปสงเคราะห์มันทำไม" อาตมาเองก็ไม่รู้ เพียงแต่สงสัยว่านอกคอกแบบไหน

มารู้ภายหลังว่ามีคนแอบเอาวัตถุมงคลยัดเข้าไปในโบสถ์ ทั้ง ๆ ที่ได้สั่งห้ามแล้ว บอกแล้วว่าถ้าเป็นวัตถุมงคลส่วนตัวให้เอาไว้ด้านนอก เพราะข้างในไม่มีที่ให้วางแล้ว เขาก็พยายามที่จะยัดเข้าไป เอาไปซ้อนไว้ด้านบน กลายเป็นว่าเข้าไปแล้วไม่ได้ดี ขณะที่คนอยู่ข้างนอกได้หมด

ถือว่าเป็นบทเรียนสำหรับบุคคลที่ทำอย่างนั้นว่า ต่อถ้าไปสั่งอะไรให้ทำเช่นนั้น เรื่องของพระ เรื่องของเทวดา ท่านพูดอะไรครั้งเดียว ถ้าหากเราไปฝืน ท่านก็จะไม่สงเคราะห์ให้ อาตมาเจอมาเองหลายครั้งแล้ว เรื่องของการฝืนไม่ใช่เรื่องสนุก ไม่ใช่เรื่องโก้เก๋เท่ระเบิด เราอาจจะคิดว่าเรารั้นแล้วเราจะได้ดีกว่าคนอื่นเขา..ไม่ใช่ ถ้าหากรั้นในการปฏิบัติธรรม อย่างเช่นว่าทำไม่ได้ กูจะเอาให้ได้ อย่างนี้โอกาสเจริญมีมาก แต่ถ้าคำสั่งครูบาอาจารย์แล้วไปรั้น โอกาสที่จะเจริญมีน้อยมาก"

เถรี 19-09-2014 05:44

พระอาจารย์กล่าวว่า "จะบอกให้ญาติโยมฟุ้งซ่านล่วงหน้า...ในอีกระยะหนึ่งข้างหน้า พอถึงเวลาที่สภาพจิตละเอียดมากกว่านี้ สามารถที่จะจับได้ถึงอนุภาคของพลังงานต่าง ๆ ที่ไหลเวียนอยู่ทั่วจักรวาลอนันตจักรวาล การพุทธาภิเษกของพระ จะใช้อำนาจจิตของตัวเองดึงเอาธาตุพลังทั้งหลายเหล่านี้บรรจุอยู่ในวัตถุ ก่อให้เกิดพลังงานในการป้องกัน ในการรักษาต่าง ๆ ฉะนั้น..ยังมีสิ่งให้พวกเรายึดติดอีกหลายระดับเลย ค่อย ๆ ทำไป ยังมีอะไรให้สนุกอีกเยอะ ค่อย ๆ ทำไป รู้ตัวเร็วก็หลุดเร็วหน่อย รู้ตัวช้าก็ติดกันนานหน่อย"

เถรี 19-09-2014 05:47

พระอาจารย์กล่าวว่า "อะไรที่มันงอก ๆ กินแล้วระวังโรคเก๊าท์ไว้ด้วย สารอาหารต้องเต็มที่เขาถึงงอกได้ ก็พอ ๆ กับการกินอาหารทะเล หรือกินไก่ อาตมาไม่ได้ตำหนิวิทยาศาสตร์ แต่ตำหนิคนที่เอาวิทยาศาสตร์ไปใช้ อย่าง...(น้ำผลไม้สกัดเข้มข้น)...ใช่ไหม ? ที่เอาน้ำผลไม้หลายอย่าง แต่ละอย่างล้วนแล้วแต่ดี ๆ ผสมกัน ระวังไว้ด้วย..ถ้าใครแพ้ กินเข้าไป จะคันคะเยอไปทั้งคืน

เขาทำในห้องวิจัยว่า น้ำผลไม้อย่างนี้ดีอย่างนี้ ๆ เขาก็เอาหลาย ๆ อย่างที่ดี ๆ มารวม ๆ กัน แต่เขาไม่เข้าถึงเรื่องของธาตุต่าง ๆ สารต่าง ๆ ที่มีการหักล้างกัน มีการหนุนเสริมกัน ถ้าหักล้างกันก็จะเป็นพิษ ถ้าหนุนเสริมคุณภาพจะรุนแรงมากกว่าปกติ แล้วเรากินเข้าไปโดยไม่รู้ เพราะวิทยาศาสตร์เขาว่าดี แต่ดีแค่ไม่กี่คน คนที่ร่างกายไม่ดีนี่จะแย่ไปเลย

ฉะนั้น..เราต้องเชื่อพระพุทธเจ้าว่ามัชฌิมาปฏิปทา ทุกอย่างต้องพอเหมาะพอดี มากเกินไปก็ไม่ดี น้อยเกินไปก็ไม่ดี เรื่องของวิทยาศาสตร์บางทีเขาคิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้า ค้นพบอย่างนั้น ค้นพบอย่างนี้ ท้ายที่สุดสิ่งที่ค้นพบมา เอามาใส่รวมกันเมื่อไรก็บรรลัยหมด โบราณเขายังใช้คำว่า "ลางเนื้อชอบลางยา" คนบางคนเหมาะกับยาบางอย่าง ป่วยด้วยโรคเดียวกัน คนนี้กินยาตัวนี้หาย แต่ทำไมอีกคนกินไม่หาย ?

คนป่วยด้วยโรคเดียวกัน คนละเพศก็มีความต่างแล้วในการให้ผลของยา คนละขนาดน้ำหนักตัว คนละอายุ ก็มีความต่างกัน หมอโบราณจึงจัดยาตามธาตุ ตามลักษณะ ตามอายุ แต่ว่าปัจจุบันหมอฝรั่งมาถึง อย่างนี้กินหาย ก็ใส่เข้าไปอย่างเดียว แล้วเขาไม่สงสัยหรือว่าโรคอีโบล่า ทำไมบางคนเป็นแล้วหาย บางคนเป็นแล้วตาย ?"

เถรี 19-09-2014 05:48

ถาม : วิธีการทอดกฐินกับวิธีการทอดผ้าป่า ?
ตอบ : กฐินสำหรับพระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้ว่า ในแต่ละปีพระรูปไหนมีผ้าเก่าจะได้มีผ้าไว้เปลี่ยน ส่วนผ้าป่านั้น ท่านเอาไว้เพื่อให้พระที่แสวงหาผ้าอยู่ จะได้นำไปเย็บเป็นจีวรใหม่ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะทำแบบไหน ผ้าป่าสามารถทอดได้ตลอดเวลา แต่กฐินจำกัดเวลา ทอดได้ปีละแค่ครั้งเดียว

เถรี 19-09-2014 05:49

พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่นั่งรอทำบุญถวายสังฆทานว่า "นึกถึงผู้ตายให้เขามาโมทนานะจ๊ะ ทำบุญให้คนตายต้องรีบทำให้เร็วที่สุด ไม่ใช่นั่งรอใจเย็น ๆ เขายิ่งลำบาก เขายิ่งต้องการไว ๆ "

เถรี 19-09-2014 05:52

ถาม : มัชฌิมาปฏิปทา ?
ตอบ : มัชฌิมาปฏิปทาไม่มีมาตรฐาน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ของแต่ละคนไม่เท่ากัน เป็นไปตามปัญญา ตามกำลังบารมีของแต่ละคนที่สั่งสมมา ในเมื่อมัชฌิมาปฏิปทาไม่มีมาตรฐาน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ เราจึงต้องพยายามปรับให้เหมาะสมกับเรามากที่สุด

ถาม : มัชฌิมาปฏิปทาของแต่ละคนจะรู้ได้อย่างไร ?
ตอบ : ต้องหามุมของตัวเอง ไม่มีใครสามารถบอกได้ เพราะแต่ละคนไม่เท่ากัน แรก ๆ ทำให้เข้มข้นไว้ก่อน พอถึงเวลาเคยชินแล้วเราผ่อนจะพอดี ไม่ใช่ว่าแรก ๆ ทำตามสบาย แล้วพอผ่อนเมื่อไรก็ยาน ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว

ถ้าเราเข้มแข็งกว่า ก็จะสามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วกว่า เหมือนคนที่แข็งแรงเดินทาง ย่อมได้ระยะทางที่มากกว่าและไปถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วกว่า

เถรี 19-09-2014 05:53

ถาม : ทำบุญไปแล้วสามีจะได้รับไหม ?
ตอบ : ต้องถามสามี อย่าไปถามคนอื่น ถ้าไปถามคนอื่นเดี๋ยวจะเดือดร้อน อาตมาเจอมาหลายคนแล้ว ไปถามหมอดูว่าทำบุญไปแล้วสามีจะได้รับไหม ? หมอดูก็บอกไม่ได้รับ ต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ เสียเงินอีกเยอะแยะ

เถรี 19-09-2014 05:55

ถาม : แฟนนั่งกรรมฐานแล้วมีเรื่องเข้ามาเยอะขึ้นครับ ?
ตอบ : ถ้าเขาไม่นั่งกรรมฐาน อุปสรรคจะหนักกว่านั้นอีก เรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเรื่องของบุญใหญ่ ถ้าบุญใหญ่มาถึง กรรมก็จะตามได้น้อย ถ้ารู้จักทำให้สม่ำเสมอกรรมก็จะตามไม่ทัน ยังโชคดีที่รู้จักทำสมาธิ ไม่อย่างนั้นถ้ามามากกว่านั้นก็จะรับไม่ไหว

ฉะนั้น..กลับไปทำให้เยอะกว่าเดิม ถ้าไม่ทำจะจุกกว่านี้อีก หลายคนมักจะเข้าใจผิด คิดว่าพอเข้าวัดปฏิบัติธรรมแล้วเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นมาก โปรดทราบว่าถ้าไม่เข้าวัดปฏิบัติธรรม จะเจอหนักกว่านั้นอีก

ภาษิตจีนเขาบอกว่า "ขี้แตกแล้วค่อยขุดส้วม" ถึงจะไม่ทันกาลก็ขุดไปเถอะ งวดหน้าอย่างไรก็มีส้วมไว้ใช้แล้ว ถึงวันนี้ไม่ทันก็ขุดไปก่อน ตั้งหน้าตั้งตาขุดเอาไว้ การเข้าวัดปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน เรามาในจังหวะที่โชคดีมาก ๆ แล้ว เข้าวัดแล้วค่อยเดือดร้อน ถ้าเดือดร้อนตั้งแต่ก่อนเข้าวัด เราจะไม่มีบุญกุศลอะไรไว้ผ่อนกำลังของกรรมที่เข้ามาเลย

ฉะนั้น..ถึงเวลาให้ตั้งหน้าตั้งตาทำความดีไประยะหนึ่ง พอกำลังความดีเพียงพอ สามารถที่จะหนีห่างได้ กรรมก็ตามไม่ทัน ถ้ารู้จักทำให้สม่ำเสมอ ก็จะสามารถหนีต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง เรื่องของความดีความชั่วไม่สามารถหักล้างกันได้ แต่ถ้าทำความดีมาก ๆ ท่านเปรียบว่ามีน้ำทะเลอยู่แก้วหนึ่ง ถ้าเราเทน้ำจืดลงไปมากเข้า น้ำทะเลก็หายเค็มไปเอง ฉะนั้น..ต้องเร่งทำความดีให้มากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นเราก็จะต้องมาบ่นว่าน้ำทะเลเค็มปี๋ เป็นเพราะเข้าวัดแน่ ๆ เลย..!

เถรี 19-09-2014 05:56

ถาม : พระพุทธเจ้าท่านบิณฑบาตทุกเช้าไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าดูในพระไตรปิฎก ต่อให้รับนิมนต์ไปฉันในบ้านหรือในวัง พระองค์ท่านก็เอาบาตรไป ก็แปลว่าพระองค์ท่านรับบาตรทุกวัน

ถาม : แล้วเวลามีนิมนต์ใหญ่ ๆ อย่างเศรษฐีนิมนต์ทุกวัน ท่านจะเดินบิณฑบาตไหมครับ ?
ตอบ : ปกติพระองค์ท่านก็ไม่ได้เดินบิณฑบาตทั่วไป แต่ไปโปรดเฉพาะคน เพียงแต่ว่าถ้าเขานิมนต์ไป พระองค์ท่านก็จะส่งบาตรไปให้คนนั้น ให้เขาจัดอาหารใส่บาตรให้

เถรี 19-09-2014 05:57

ถาม : ถ้าเราต้องภาวนาคาถาเม สักมุกขาฯ ให้เรามีอำนาจมหาสะท้อนอยู่ในตัวตลอดเวลา ต้องภาวนาวันละกี่จบ ?
ตอบ : จนกำลังใจทรงตัวก็ใช้ได้แล้ว สมาธิสูงด้วยยิ่งดี

เถรี 19-09-2014 05:57

ถาม : เวลาเราถวายบังคมพระพุทธเจ้า เรานั่ง แต่ทำไมเทวดา พรหม ถึงยืน ?
ตอบ : ปกติแล้วเทวดาเขาแสดงความเคารพด้วยการยืน แม้แต่คนในสมัยนั้นก็แสดงความเคารพด้วยการยืน ดังนั้น..ถ้าใครไม่กลัวเมื่อยก็ยืนไปเถอะ..!

เถรี 19-09-2014 09:06

พระอาจารย์กล่าวว่า "พรุ่งนี้ (๘ กันยายน ๒๕๕๗) เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ พวกคนไทยในพม่าเขาทำบุญวันสารทกันพรุ่งนี้ คราวนี้คนไทยในพม่าเขาพูดภาษาเหมือนกับภาษาลาว เพราะเป็นภาษาไทยโบราณ พวกอยู่ตามตะเข็บชายแดนเขาเลยเรียกกันง่าย ๆ ว่าสารทลาว แต่สารทไทยนิยมทำสิ้นเดือนสิบ ช้ากว่าเขาไปครึ่งเดือน ถ้าพรุ่งนี้อาตมาอยู่วัด ก็รับกระยาสารทเป็นโอ่งเลย สมัยก่อนพอกระยาสารทเหลือมาก หลวงพ่อโต วัดระฆัง ถึงได้เอาไปผสมทำพระสมเด็จ

เดี๋ยวนี้ตรุษไทย สารทไทย คนไม่ค่อยจะรู้จักกันแล้ว สมัยก่อนตรุษก็ต้องกวนกาละแมทำข้าวเหนียวแดง พอมาสารทไทยก็กวนกระยาสารท แต่ปัจจุบันนี้เขารู้จักแต่สารทจีน สารทจีนเลยมาแล้ว เพราะว่าสารทจีนตรงกับเดือน ๗ ของจีน ตรงกับเดือน ๙ ของไทย ถ้าวันพร้อมกันก็จะตรงกับขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๙ แต่คราวนี้ของจีนบางทีเขานับก่อนวันหนึ่ง หลังวันหนึ่ง ส่วนสารทลาว ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๐ ก็ตรงกับไหว้พระจันทร์ของจีน ไหว้พระจันทร์ตรงกับกลางเดือน ๘ ของจีนเขา ของเราเวลาเร็วกว่าจีน ๒ เดือน ก็เป็นกลางเดือน ๑๐

สมัยก่อนบรรดากษัตริย์ที่มีบุญญาธิการมาก ๆ จะมีการปรับเปลี่ยนชะตาบ้านเมืองด้วยการลบศักราช กำหนดวันเดือนปีเอาใหม่ ก็เลยทำให้วันเดือนปีไม่ตรงกัน อย่างพระนางเจ้าจามเทวีทำพิธีลบศักราช ทำให้วันเวลาเร็วขึ้น ๒ เดือน ฉะนั้น..กลางเดือน ๑๒ ของพวกเรานี่ ทางด้านเหนือเป็นเดือนยี่แล้ว เวลาเราลอยกระทงกัน ทางเหนือเขาเลยเรียกว่างานยี่เป็ง วันเพ็ญ เดือนยี่

ท่านลบศักราชเพราะว่าต้องการจะหลอกขุนหลวงวิลังคะ นัดแนะว่าให้สู่ขอ กำลังของตัวเองยังไม่พร้อมที่จะรบ ก็นัดว่าถึงเวลาให้มาขอวันนั้น เดือนนั้น ปีนั้น พอขุนหลวงวิลังคะกลับไปเตรียมตัว ทางด้านนี้ก็ทำพิธีลบศักราช ประกาศให้บรรดาประเทศราชต่าง ๆ รู้กันทั่ว ยกเว้นขุนหลวงวิลังคะไม่บอก พอเขายกขันหมากมาถึงก็บอกว่า เป็นกษัตริย์ทำไมผิดสัญญา เลยมาตั้งนานเท่าไรแล้ว ขุนหลวงวิลังคะไล่ให้คนไปสืบทีละบ้านทีละเมือง ทุกบ้านตอบเหมือนกันหมดว่าวันนี้ เดือนนี้ ปีนี้ เพราะท่านทำการลบศักราชแล้วตั้งวันเดือนปีใหม่

เป็นวิธีเอาตัวรอดที่สวยมาก แต่ขุนหลวงวิลังคะไม่ยอม ท้ายสุดก็ยกทัพมารบด้วย มารบด้วยตอนนี้ไม่กลัวแล้ว เพราะพร้อมแล้ว"

เถรี 19-09-2014 09:13

ถาม : พิธีไหว้พระจันทร์ของจีนนี่มีผลไหมครับ ?
ตอบ : การไหว้พระจันทร์สมัยก่อนนี่เป็นของคนจีน อย่าลืมว่าถ้าเรานึกถึงเทวดาองค์ใดองค์หนึ่งด้วยความเคารพ ก็จะมีเทวดาที่มีศักดานุภาพ หรือว่ามีความสามารถใกล้เคียงกับต้นตำรับที่เขาเคารพนับถือ มารับหน้าที่นั้น ก็มีผลอยู่ จัดเป็นเทวตานุสติได้

รู้สึกว่าตั้งแต่อเมริกาไปเหยียบดวงจันทร์นี่ การไหว้พระจันทร์ไม่ขลังแล้วนะ ลดความขลังไปเยอะ กลายเป็นการค้ามากกว่า ขายขนมไหว้พระจันทร์กัน..ใช่ไหม ? เดี๋ยวนี้ฝรั่งรู้จักมูนเค้กกันทั่วไปแล้ว แต่ว่าปีนี้เห็นเขาปรับหลายรูปแบบ มีบางคนทำขนมไหว้พระจันทร์หน้าตาเหมือนซาลาเปา ผ่าออกมาข้างในก็ไส้ทุเรียนไข่เค็มนั่นแหละ บางรายหน้าตาเหมือนขนมไหว้พระจันทร์แต่สีแปลก ๆ พอลองชิมดูรสชาติขนมฝรั่งชัด ๆ เลย ก็ดัดแปลงกันไปเรื่อย ถ้าอย่างไหนได้รับความนิยมก็ติดตลาด ขายดีไป

ญี่ปุ่นเขามีแต่ขนมโมจิ เพราะเขาเห็นว่าในดวงจันทร์มีกระต่ายกำลังตำขนม สมัยอาตมาเด็ก ๆ ขนมโมจิบ้านเราเขาเรียกกะลอจี๊ เป็นแป้งข้าวเหนียวที่เหนียวหนับเลย แล้วมาคลุกพวกถั่วพวกงากับน้ำตาล เด็ก ๆ ชอบกินมาก พวกนั้นขว้างติดข้างฝาไว้ได้ไม่หล่นหรอก เหนียวหนับเลย แล้วเขาเอามาดัดแปลง มีไส้ มีรสโน้นรสนี้ เมืองไทยเราดัดแปลงขนมโมจิจนญี่ปุ่นจำหน้าไม่ได้แล้ว มีหลายรสเหลือเกิน

เถรี 19-09-2014 09:18

ถาม : ทำไมคนจีนเขาจะมีวันไหว้ต่าง ๆ เยอะมากครับ ?
ตอบ : สมัยก่อนพวกภัยธรรมชาติมีเยอะมาก ก็เลยทำให้เขาเกิดความเชื่อขึ้นมาว่า เกิดจากการบันดาลของเทพเจ้า อย่างเทพเจ้าแห่งดิน เทพเจ้าแห่งน้ำ เทพเจ้าแห่งลม เทพเจ้าแห่งไฟ เทพเจ้าภูเขา คนจีนเขาเลยต้องกำหนดวันขึ้นมาเพื่อทำความเคารพเทพเจ้า เพื่อสร้างความพอใจแก่ท่าน แล้วท่านจะได้บันดาลให้เรือกสวนไร่นาอุดมสมบูรณ์

จะว่าไปแล้วก็คือต้องการจะเอาตัวรอดนั่นเอง จึงอ่อนน้อมถ่อมตนต่อธรรมชาติ พยายามไม่เบียดเบียนธรรมชาติ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของศาสนานั่นแหละ เพราะว่าเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจ เพียงแต่ว่าไม่ครบองค์ประกอบของศาสนา มาระยะหลังพอมีศาสดาประกาศหลักคำสอนขึ้นมา มีคนเชื่อถือปฏิบัติตาม มีสถานที่ทำพิธีกรรม องค์ประกอบศาสนาถึงได้ครบถ้วน ถ้าไม่มีศาสดา ไม่มีคำสอน ไม่มีผู้เชื่อฟังและปฏิบัติตาม ไม่มีสถานที่ทำพิธีกรรม สิ่งเหล่านี้มีไม่ครบ เขาถือเป็นแค่ลัทธิเท่านั้น

อย่างลัทธิคอมมิวนิสต์ ลัทธิคอมมิวนิสต์มีศาสดาคือคาร์ล มาร์กซ์ มีผู้เชื่อถือและปฏิบัติตาม มีหลักคำสอน แต่ไม่มีสถานที่ประกอบพิธีกรรมแบบศาสนสถาน

เถรี 19-09-2014 09:21

ถาม : การสร้างพระพุทธรูปไว้ที่วัดกับไว้ตามสถานที่ราชการ จะได้อานิสงส์เหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเอาอานิสงส์การสร้างในตอนแรกได้เหมือนกัน แต่ถ้าจะเอาอานิสงส์ระยะยาวที่มีคนไปเคารพกราบไหว้บูชา ในวัดจะได้เปรียบกว่า เพราะเป็นสถานที่ ๆ คนเขาเข้าไปเป็นปกติอยู่แล้ว เราสร้างไว้ข้างนอกนี่ ถ้าเขาไม่ได้ผ่านไปตรงนั้น ก็คงไม่มีโอกาสได้ไปกราบไหว้

ถาม : ผู้บริหารมีโครงการว่าจะไปสร้างไว้ริมทะเล แล้วมีศาลเสด็จในกรมหลวงชุมพร ?
ตอบ : ไม่มีความเห็นอะไร ถ้าเป็นไปได้ก็ให้หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก หรือว่าทิศเหนือให้ได้ก็แล้วกัน

ถาม : หันไปตะวันออกเฉียงเหนือครับ
ตอบ : ก็ยังดี

เถรี 19-09-2014 13:34

พระอาจารย์กล่าวว่า "การปล่อยชีวิตสัตว์ที่เขาจะฆ่าแน่ ๆ เป็นการตัดเคราะห์กรรมและเป็นการต่ออายุด้วย หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสั่งอาตมาว่า "แกเป็นทหารมาทุกชาติ ออกรบฆ่าเขาไว้มาก กรรมเก่าที่ตามมาทันจะทำให้ป่วยบ่อย ให้ไปปล่อยสัตว์ อย่างเช่น ปลาที่เขาขายไว้สำหรับฆ่า เดือนละตัวสองตัว แล้วจะบรรเทากรรมตรงนี้ลงได้"

อาตมาก็อวดรู้ กราบเรียนหลวงพ่อท่านไปว่า
การปล่อยปลาเป็นการต่ออายุ ในเมื่อผมไม่ต้องการอายุยืนอยู่แล้ว ผมจะปล่อยไปทำไมครับ ?” ท่านบอกว่า “แกอย่าเพิ่งเข้าใจผิด การปล่อยชีวิตสัตว์ที่เขาจะฆ่า จะเป็นการต่ออายุก็ต่อเมื่อเรามีอุปฆาตกรรมเข้ามาในช่วงนั้น ถ้ากรรมหนักที่เราเคยฆ่าคนฆ่าสัตว์ใหญ่ไว้มาถึง อุปฆาตกรรมจะตัดรอนถึงขนาดเสียชีวิต"

ท่านบอกว่า "ถ้ามีอุปฆาตกรรมเข้ามาอย่างนั้น จะเป็นการต่ออายุ แต่ถ้าไม่มีอุปฆาตกรรมเข้ามา การที่เราปล่อยเขา ทำให้เขามีชีวิตรอด ได้รับความสุข ได้รับความสะดวกสบาย ต่อไปเราทำอะไรก็จะสะดวกสบายไปด้วย"

เมื่อทราบดังนั้นอาตมาก็ปล่อยตามที่ครูบาอาจารย์สั่ง จำได้ว่าปล่อยเดือนแรกคือวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๙ มาถึงป่านนี้ก็เกือบ ๓๐ ปีถ้วนแล้ว ปล่อยมา ๒๙ ปี นับชีวิตไม่ถ้วน เพราะว่าไม่ได้ปล่อยทีละตัวสองตัว ไปเห็นตาปริบ ๆ อยู่ก็เหมาหมด มีอยู่เที่ยวหนึ่งที่ปล่อยได้สะใจที่สุด คือ ไปเจอปลาดุกอยู่ปีบหนึ่งเลยซื้อมาปล่อย อาตมาไม่รู้หรอกว่ากี่ร้อยตัว เป็นลูกปลาดุกตัวเล็ก ๆ แน่นไปทั้งปีบเลย โห..เขาอุตส่าห์ไปช้อนลูกครอกตัวเล็ก ๆ มาขายได้ ปลาขนาดปกติอาตมาก็ซื้อ แถมลูกปลาดุกนั่นอีกปีบหนึ่ง ต้องบอกว่าบ้านเรากินล้างกินผลาญ"

เถรี 19-09-2014 13:45

ถาม : ทำไมพญานาคจึงปรากฏมากกว่าพญาครุฑครับ ?
ตอบ : เวลาครุฑมาเขาไม่ได้ทิ้งร่องรอยไว้ พญานาคมายังมีรอยให้เห็น มีคนบอกว่าเดี๋ยวตรงโน้นก็มีรอยพญานาค ตรงนี้ก็มีรอยพญานาค ไม่มีคนบอกว่ามีรอยพญาครุฑสักที ครุฑก็คือนกใหญ่ ที่มีขนาดใหญ่มาก ตามตำราเขาบอกว่าขยับปีกทีหนึ่งบินไปได้ ๑ โยชน์ (๑๖ กิโลเมตร)

คนจีนก็มีนกเผิง นกเผิงนี่เขาบอกว่ากางปีกโบยบินที่หนึ่งสามารถไปได้รอบโลก ก็แสดงว่าการรู้เห็นเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ คนสมัยก่อนเขารู้เห็นคล้าย ๆ กัน เพียงแต่ว่าเรียกไม่ค่อยจะตรงกันเท่านั้น เรียกกันไปคนละอย่างสองอย่าง แต่ว่าลักษณะที่อธิบายก็คือแบบเดียวกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ถ้าสรุปไว้ค่อนข้างจะปลอดภัยหน่อยก็คือเชื่อว่ามี แต่ถ้าให้เชื่อเต็มที่ก็คือขอเห็นด้วยตัวเองสักที


ถาม : ยูเอฟโอนี่ใช่ครุฑไหมครับ ?
ตอบ : คนละเรื่องเดียวกัน ยูเอฟโอเป็นของมนุษย์ต่างดาว เอาเป็นอันว่าที่เขาถ่ายมายังไม่มีหน้าตาเป็นพญาครุฑก็แล้วกัน พญาครุฑเขตประจำของท่านอยู่รอยต่อระหว่างชั้นจาตุมหาราชกับเขาพระสุเมรุ คราวนี้ในเมื่อที่ประจำของเขาอยู่ตรงนั้น การเข้าออกก็อยู่บริเวณนั้นประจำ ส่วนพญานาคนั้นทางเข้าออกมีอยู่ทั่วโลก ก็เลยปรากฏตัวให้เราเห็นได้มากกว่า ถ้าของเขาบังคับว่าต้องมีทางเหมือนกับไปตามถนน คนก็เลยได้เห็นรถยนต์ คราวนี้พญาครุฑเปรียบไปเหมือนเครื่องบิน เรากว่าจะได้เห็นสนามบินก็โน่นแหละ หลายจังหวัดกว่าจะมีสักที่ ก็เลยกลายเป็นว่าพวกเราจะสัมผัสกับพญาครุฑได้น้อยกว่า ถ้าอยากเห็นก็แถวหน้าธนาคาร มีทุกที่แหละ..! ระยะนี้เห็นเขาฮิตเหรียญพญาครุฑกัน แล้วต้องปิดทองด้วยนะ

เถรี 19-09-2014 13:47

ความจริงครูบาอาจารย์ท่านสอนคาถาบางบทไว้ เกี่ยวกับมหาอำนาจพญาครุฑ แต่คราวนี้การที่เราอยู่ ๆ จะไปสร้างเหรียญมีรูปพญาครุฑ ก็เกี่ยวข้องกับเรื่องของในหลวง เพราะว่าตราครุฑเป็นตราแผ่นดิน ก็เลยอย่าไปแตะดีกว่า เห็นหลายสำนักเขาทำกัน ทำเฉย ๆ ไม่มีปัญหา ถ้ามีใครหมั่นไส้แล้วเขาฟ้องขึ้นมานี่ซวยจริง ๆ ขนาดไม่มีเรื่องเขายังสามารถโยงเข้ามาเป็นผังล้มเจ้าได้ ขืนบังอาจใช้ตราครุฑนี่เสร็จแน่

ถาม : รูปพญาครุฑตามหน้าสถานที่ราชการต่างจะมีเทวดารักษาไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าผ่านการอธิษฐานจิตของครูบาอาจารย์มาก็จะมี เห็นว่าบางทีเขาอัญเชิญตราครุฑขึ้น ก็นิมนต์หลวงปู่หลวงพ่อที่เขาเคารพมาทำพิธีให้ ถ้าประเภทนั้นจะมีเทวดารักษา แล้วหลายที่ก็ดุเสียด้วย โดยเฉพาะพญาครุฑที่กองสลาก

ถาม : เขาจัดอยู่ประเภทไหนครับ ?
ตอบ : เป็นเดรัจฉานกึ่งทิพย์ อยู่ริมเขตของชั้นจาตุมหาราช

ถาม : อยู่ในการปกครองของท่านไหนครับ ?
ตอบ : ถ้าผู้ปกครองโดยตรงก็ไม่มี แต่ว่าถ้าเทวดาที่มีศักดานุภาพขอร้องให้ช่วยอะไรหรือทำอะไร เขาก็เต็มใจทำให้

เถรี 19-09-2014 13:59

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่อง "นางไพร" ที่คุณทองทิว สุวรรณทัตเขียน เป็นเรื่องเกี่ยวกับเรื่องของผู้หญิงชาวป่าคนหนึ่ง ที่มีอำนาจจิตเหนือสัตว์ป่าทุกชนิด เก็บตัวเงียบ ๆ อยู่กับบ้าน แต่ถ้ามีช้างตกมันหรือว่ามีสัตว์ป่าเข้ามาอาละวาดในหมู่บ้าน ถ้าเธอไปถึงสัตว์นั้นจะสงบหมดเลย ต้องเรียกว่าเป็นกรรมวิปากชาฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดโดยวิบากกรรม ติดตัวมาตั้งแต่เกิด

แบบเดียวกับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ท่านยืนยันตรงกับหลวงพ่อวัดท่าซุง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่าช้างทุกตัวมีผีคุม หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพท่านบอกว่า ช้างทุกตัวมีเทวดารักษา ซึ่งก็คือข้อมูลเดียวกันนั่นแหละ ฉะนั้น..หลวงพ่อเดิมท่านบอกว่า ถ้าจะคุยกับช้างให้รู้เรื่อง ให้แผ่เมตตาให้เทวดาที่รักษาช้างก่อน ถ้าแผ่เมตตาให้เทวดาที่รักษาเสร็จแล้ว คราวนี้จะคุยอะไรกับช้างก็ว่าไปเถอะ

ท่านบอกว่าถ้าสมาธิถึง ๆ นี่ต่อให้ช้างตกมันก็คืนสติกลับมาได้ เพราะว่าเทวดาที่คุมอยู่ท่านช่วย หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถึงได้บอกว่าช้างนี่พูดรู้เรื่องทุกตัว อาตมาไปลองมาแล้ว อยู่กลางป่ากลางดง คุยกันรู้เรื่องจริง ๆ"

เถรี 19-09-2014 14:04

ถาม : บางทีเวลาไปเจอช้าง แล้วเขามาหมอบมาทักนี่ เพราะเนื่องกันมาใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าตัวเมตตาของเราสูงจริง ๆ เทวดาที่รักษาช้างท่านก็จะยินดีที่จะช่วยสงเคราะห์ แล้วก็อีกอย่างก็คือว่ามีบุญมีกรรมเนื่องกันมา บางทีเหมือนอย่างกับว่าเจอหน้ากันแล้วจำได้

ถาม : เราแผ่เมตตาแล้วช้างได้ยิน ?
ตอบ : ไม่ใช่ช้างได้ยินหรอก เทวดาหรือผีได้ยิน ในเมื่อได้ยินก็ เอ้า...ช่วยไปจัดการหน่อยซิ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ต้องบอกว่าเป็นบูรพาจารย์สายตรงของวัดท่าขนุน เพราะว่าหลวงปู่สาย วัดท่าขนุนไปบวชกับท่าน เรียนวิชากับท่าน


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:56


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว