![]() |
พระอาจารย์กล่าวว่า “เด็กยุคนี้มีใครกัดปลากัดกันบ้างไหม ? เด็กสมัยก่อนถ้าเลี้ยงปลากัด จะมีความสามารถในการดูแหล่งน้ำเพื่อหาแหล่งยุงหรือไรน้ำ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีอะไรเลี้ยงปลากัด แต่สมัยนี้เขาเล่นอาหารเม็ดยันเตเลย แต่อาหารเม็ดดีตรงที่ว่าสารอาหารครบถ้วน ทำให้ปลากัดสีเข้มมาก ถ้าเด็กบ้านนอกเขาจะแยกปลากัดเป็น ๓ ประเภท จะมีลูกป่า ลูกหม้อ แล้วก็ลูกสังกะสี ปลากัดลูกป่านี่ไปหาช้อนเอาตามแหล่งน้ำทั่ว ๆ ไป ตัวก็ไม่ใหญ่มาก ต้องบอกว่าใน ๓ ประเภท ปลากัดลูกป่าจะตัวเล็กที่สุด ส่วนปลากัดลูกหม้อเป็นปลาที่เขาเลี้ยงกันมาจนกระทั่งนับรุ่นไม่ถ้วน จะตัวใหญ่กว่าปลากัดลูกป่าเกือบ ๒ เท่า แล้วสีจะเข้มมาก แดงจัด เขียวจัด น้ำเงินจัด
ความที่เขาเลี้ยงในหม้อดินเขาเลยเรียกว่าปลากัดลูกหม้อ จนกระทั่งกลายเป็นสำนวนว่าใครก็ตามที่อยู่ในหน่วยงานไหนนาน ๆ ก็จะเรียกว่าเป็นลูกหม้อ ส่วนปลากัดลูกสังกะสีเป็นลูกผสมระหว่างลูกหม้อกับลูกป่า ถ้าหากว่าลูกหม้อใหญ่สักเบอร์ L ไอ้สังกะสีนี่จะเป็นเบอร์ M ส่วนลูกป่าจะเป็นเบอร์ S ไอ้ที่กัดอึดที่สุดก็คือลูกหม้อ ปล่อยลงไปกัดกันเมื่อไรก็โน่น พระตีกลองเพลยังไม่เลิกเลย บางทีเด็ก ๆ ออกไปแข่งขันยิงนกตกปลา เล่นโยนหลุม ทอยกอง ตั้งเตกันจนเบื่อแล้ว กลับมาดูก็ยังกัดอยู่นั่นแหละ ต้องบอกว่าปลากัดลูกหม้ออึดที่สุดแล้วก็ทนที่สุด ฉะนั้น..คนไหนที่อยู่สังกัดในหน่วยงานนาน ๆ เขาถึงได้เรียกพวกลูกหม้อ เพราะอยู่ทน ไม่รู้จักไปสักที” |
ถาม : แล้วปลากริมละครับ ?
ตอบ : ปลากริมนั้นมันอีกพันธุ์หนึ่งไม่ใช่ปลากัด ปลากริมนั้นเขาเรียกปลาจีน สวยอย่างเดียว ปล่อยลงไปกัดเมื่อไรก็ตาย เป็นลูกไล่ได้อย่างเดียว คือเวลาเลี้ยงปลากัดแล้วจะสอนให้ดุ เขาจะต้องมีไอ้ตัวที่ไม่ค่อยสู้ใครปล่อยลงไปให้ไล่กัด ดังนั้น..ใครก็ตามที่โดนคนอื่นเขารังแกอยู่ตลอด เขาจะเรียกว่าไอ้ลูกไล่ คือลงไปให้เขาไล่ฟัดอย่างเดียว แบบเดียวกับปลากัด เรื่องของปลากัดนี่มีสำนวนเยอะ อย่างลูกหม้อก็มาจากเลี้ยงปลากัด ลูกไล่ก็มาจากเลี้ยงปลากัด ก่อหวอดนี่ก็ของปลากัดชัดเลย เพราะเวลาตัวเมียจะไข่ ตัวผู้จะพ่นฟองรวม ๆ กันเป็นก้อน เขาเรียกว่าหวอด ที่เขาบอกว่าเริ่มก่อหวอดแล้วก็คือเริ่มจะวางไข่แล้ว แต่ไอ้สถานการณ์การเมืองถ้าเขาบอกก่อหวอดแล้วก็คือจะหาเรื่องกันแล้ว พอตัวเมียไข่แล้วตัวผู้ผสมเชื้อเสร็จ ก็จะคาบไข่ไปพ่นไว้ที่หวอด ไข่ก็จะอยู่ปริ่ม ๆ ผิวน้ำแล้วมีหวอดคลุมอยู่ จะได้ความอุ่นจากแดดพอดี ๆ พอถึงเวลาก็ออกเป็นตัว ตัวเล็กนิดเดียวแทบจะมองไม่รู้เรื่องหรอก เหมือนอย่างกับว่าเป็นจุดดำ ๆ แล้วมีขีดออกมาหน่อยเท่านั้นเอง แรก ๆ ก็ยังกินอะไรไม่ได้ ต้องเอารำโรยลงไปให้กินกันมุบมิบ ๆ พอเริ่มเป็นตัวเห็นชัดหน่อยก็เอาลูกไรให้กิน โตขึ้นมาพอกินลูกน้ำได้ก็เอาลูกน้ำให้กิน ปลาก็จะกินแต่ลูกน้ำตัวอ่อน ไม่กินไอ้โม่งเพราะจะเป็นยุงอยู่แล้ว ลูกน้ำไอ้โม่งตัวอย่างกับถั่วงอกเล็ก ๆ หัวแข็งโป๊กเลย..ขี้เกียจกิน ส่วนใหญ่เด็กจะชอบปลากัดลูกป่า เพราะไปช้อนกันเองตื่นเต้นดี แล้วกัดกันเดี๋ยวเดียวก็รู้ผลแล้ว เหมือนอย่างกับว่าปลาลูกป่าเป็นปลานักเลง ถ้าอีกฝ่ายไม่สู้ก็ไม่รังแกซ้ำ แต่ปลาลูกหม้อนี่เป็นปลาหวงถิ่น ถึงเวลากัดกันตายไปข้างหนึ่ง กว่าจะแพ้ชนะแต่ละตัวนี่ล่อกันเยินไปตาม ๆ กัน ครีบขาด หางกุด ปากแหว่ง เกล็ดหลุดกระจายหมด บางทีกัดติดบิดกันอยู่ใต้น้ำเป็นนาที ไม่รู้ว่าอึดได้อย่างไรขนาดนั้น ? |
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนตอนที่ยังไม่ได้ไปเป็นทหาร อาตมาโดนเขาจองตัวเป็นลูกเขย สาวคนนั้นถ้าลมพัดแรง ๆ ก็ปลิวไปเลย ด้วยความที่เขาจองตัวเป็นลูกเขยหลายบ้านไปหน่อย เลือกไม่ถูกจึงไปบวชดีกว่า บวชไปสิบกว่าพรรษาแล้วแม่เขาเพิ่งพาตัวคนจองมาหา บอกเขาไปว่าคืนสัญญาได้นะ..ไม่ว่าหรอก"
ถาม : ไม่ชัด ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วเขามีแต่ลูกสาว ๒ - ๓ คน เสร็จแล้วเวลาไปหาหลวงพ่อวัดท่าซุงด้วยกัน คุยกันไปคุยกันมาก็ถูกอัธยาศัย บางทีก็ไปกินไปนอนเป็นลูกชายให้เขา คราวนี้บ้านโน้นบ้าง บ้านนี้บ้าง พวกน้องแบม จณิสตาสมัยนั้นขี้มูกราขี้ตากรัง เพราะคุณจิรา ลิ่วเฉลิมวงศ์เขาจะไปหาหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นประจำ รายนั้นเรียกป้าไม่ได้ โกรธนะ..ต้องเรียกพี่อย่างเดียว อาตมาเรียกป้าเมื่อไรแกก็ให้เรียกพี่ทุกที ทำให้เห็นว่า คนเข้าวัดปฏิบัติธรรม ก็มีกำลังใจหลายระดับด้วยกัน อาตมาถือว่าเปิดเผย ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง ส่วนของเขาอะไรที่ทำให้รู้สึกไม่ดีในสังคมเขาพยายามปิด ๆ บัง ๆ แต่อย่างว่าแหละ..เขาอยู่ในวงสังคมอีกระดับหนึ่ง เขายอมลงมาคบเด็กกะโปโลอย่างอาตมา ก็ถือว่าเป็นความเมตตาอย่างสูงแล้ว ถ้าไม่ได้นั่งรับใช้อยู่ข้าง ๆ หลวงพ่อเขาคงไม่คุยด้วยหรอก แต่ว่าความที่สนิทกันมาก ก็เลยเห็นพวกลูก ๆ หลาน ๆ เขาก็เหมือนพี่น้องไปด้วย ตอนไปอยู่ที่เกาะพระฤๅษี เขายังตามไปปฏิบัติธรรมตั้งหลายรอบ แล้วคราวนี้ไปโดนขนบุ้งเข้าก็เลยเข็ดไม่ไปอีก เขาเป็นภูมิแพ้ บุ้งพอถึงเวลาหน้าที่จะทำดักแด้ ก็จะเอาขนตัวเองทำรัง บุ้งพวกนี้แสบมากเลย คือจริง ๆ แล้วขนบุ้งจะมีพิษอยู่ ถึงเวลาก็จะเอาขนมาสานเป็นรัง แล้วตัวกลายเป็นดักแด้อยู่ข้างใน พอเลิกใช้รังขนก็ปลิวว่อนไปหมด คุณจิราหายใจเข้าไปแล้วคอบวมขนาดหายใจไม่ออก ต้องรีบไปหาหมอ ตั้งแต่นั้นก็เลยเข็ด..ไม่ไปอีก ก่อนหน้านี้พอวันอาทิตย์อาตมาก็จะขี่จักรยานไปบ้านเขา มีอยู่ ๓ - ๔ บ้าน วนไปบ้านโน้นบ้างบ้านนี้บ้าง ก็แปลกดีเหมือนกันนะ ส่วนใหญ่เขามีแต่ลูกสาว มีอยู่รายหนึ่งชื่อเจ้าตุ๊ก สูงเกือบเท่าอาตมาเลย เด็กผู้หญิงสูง ๑๗๐ เซนติเมตร สมัยนั้นก็เป็นตัวประหลาดนะสิ แกก็คงไม่รู้ว่าจะเดินกับใครมาเดินกับอาตมาค่อยยังชั่วหน่อย เดินกับคนอื่นต้องก้มมองเขา เวลานัดกันที่ป้ายรถเมล์นี่แกมาหรือยังอาตมาจะเห็นแต่ไกลเลย ผู้หญิงสูง ๑๗๐ ดูสูงมาก ผู้ชายสูง ๑๗๐ เซนติเมตร รู้สึกว่าไม่สูงเท่าไร |
พระอาจารย์กล่าวว่า “เมื่อปลายเดือนรับสังฆทานอยู่ที่หาดใหญ่ แม่ชียิ้นเขาพาคุณเคนนี่จากมาเลเซียมาหา คุณเคนนี่เขาตั้งบริษัทผลิตพวกเครื่องปรุง พวกซอส ซีอิ๊ว น้ำปลา ปรากฏว่ากิจการไม่ค่อยดีก็เลยพามา น่าเสียดายที่คุณเคนนี่แกพูดไทยไม่ได้เลย แกสาธุได้อย่างเดียว ไม่อย่างนั้นจะให้แกไปภาวนาคาถาเงินล้าน ท้ายสุดไม่รู้จะทำอย่างไรก็เลยให้ลูกแก้วไป เขาส่งข่าวมาบอกว่ากิจการดีขึ้น คนซื้อสินค้ามากขึ้น ก็ดีใจกับแกด้วย
จะมีวิธีไหนล่ะ ? น่าจะต้องเปิดเสียงให้ฟัง แล้วให้แกเลียนแบบตาม ไม่รู้ว่าจะสวดได้หรือเปล่า เพราะว่าภาษาอังกฤษก็ไม่มีคำตรง ออกเสียงเพี้ยน ๆ แต่ถ้าหากว่าเขาศรัทธาก็น่าจะมีผล เพียงแต่ว่ายังไม่เคยลอง น่าเสียดายว่าถ้าเป็นคนไทยแนะนำไปอย่างนั้นนี่อย่างไรก็รุ่งแน่ ๆ คราวนี้เขาเป็นจีนมาเลเซีย แล้วพูดได้แต่ภาษาแคะลึก ที่ขำที่สุดก็คือแม่ชียิ้น เขาบอกว่าอาตมาเป็นลูกจีนแต่พูดจีนไม่ได้แล้ว แกก็อธิบายไปเรื่อย พอเขาอธิบายเสร็จ อาตมาก็อธิบายต่อให้โยมคนไทยฟัง แม่ชีก็ว่าของแกไปเรื่อย แกลืมไปว่าคนที่แปลได้ทุกคำจะพูดไม่ได้เลยหรือ ? ดีเหมือนกัน..อาตมาไม่ต้องเหนื่อยเอง” |
ถาม : ถามเรื่องการตั้งศาล (ไม่ชัด)
ตอบ : เรื่องของศาลส่วนใหญ่เขาให้ตั้งวันพฤหัสบดี ข้างขึ้น เดือนคู่ แต่ให้เว้นเดือนแปดข้างแรมกับเดือนสิบเพราะอยู่ในช่วงเข้าพรรษา เชิญเทวดาจ้างก็ไม่มาหรอก เพราะเขาถือศีลอยู่ข้างบน ถาม : ไม่ชัด ตอบ : เขาไม่นิยมกันจ้ะ เอาตามที่โบราณเขานิยมดีกว่า จะได้ไม่มีคนเขาตำหนิได้ แล้วสมัยนี้ก็มั่วไปหมด รู้ไหมว่าศาลพระพรหมควรมีแห่งเดียว ก็คือที่พระพรหมเอราวัณ ที่อื่นไม่ควรมี การที่จะมีพระพรหมดูแลสถานที่สักแห่งหนึ่งไม่ใช่หาง่าย ๆ เท่าที่เจอมาก็มีเจ้าพ่อหลักเมืองกาญจนบุรีเป็นพรหม นอกนั้นก็เป็นเทวดา ขนาดเจ้าพ่อหลักเมืองรักษากรุงเทพฯ ถือว่าดูแลทั้งประเทศยังเป็นแค่เทวดาชั้นดาวดึงส์เลย ไปเจอเจ้าพ่อหลักเมืองของมาเลเซียเขาก็ดูแลทั้งประเทศ นั่นเป็นอินทกะของท่านท้าววิรูปักข์ ของเนปาลยิ่งหนักเข้าไปใหญ่เป็นเจ้าแม่ ผู้หญิงดุน่าดู เขามาชุดส่าหรีสวยพริ้งไปเลย ถ้าผู้หญิงสวยขนาดนี้จะส่งไปประกวดนางงามอะไรดีหนอ ? |
พระอาจารย์เล่าว่า “นึกถึงคุณยายคนหนึ่ง สมัยนั้นยังทำงานที่ซอยอ่อนนุช คุณยายแกจะทำพวกขนม พวกขนมใส่ไส้ ขนมตาล ขนมถ้วย ใส่กระจาดแล้วกระเดียดขาย คุณยายพูดเพราะมาก แล้วพูดเป็นธรรมชาติจริง ๆ พอสนิทสนมกันก็ถาม คุณยายเขาก็เล่าให้ฟังว่า เคยรับใช้อยู่ในวังเจ้านายมาก่อน อายุ ๓๐ กว่าดันมีคนไปขอ พ่อแม่ก็เห็นด้วยว่าลูกจะได้เป็นฝั่งเป็นฝา ก็เลยไปขอตัวคืนจากเจ้านาย ขอให้ลูกมาแต่งงาน เจ้านายก็อุตส่าห์ประทานเงินสินสอดมาให้ตั้ง ๒ ชั่ง
แต่ก็อย่างว่า พอแต่งงานไปมีลูกหลายคนก็เลี้ยงไม่ไหว ฐานะจึงแย่ คุณยายก็เลยต้องอาศัยฝีมือในวังทำขนมขาย แต่แกพูดเพราะได้เป็นธรรมชาติ กริยามารยาทเรียบร้อยจริง ๆ ดูแล้วอาตมาอายแทน “คุณเจ้าค่ะ คุณเจ้าขา” ตลอด ของอาตมาพูดแบบนั้นต้องดัดจริต ของยายแกเป็นธรรมชาติเลย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเกิดลัคนาสถิตราศีตุลย์ บังคับให้ต้องยุติธรรม เขาบอกคนเกิดราศีตุลย์ไม่แน่ว่าจะเป็นคนยุติธรรม แต่ผู้ที่ลัคนาสถิตราศีตุลย์ ดวงเกิดบังคับว่าต้องเป็นคนยุติธรรม เลือกที่รักมักที่ชังไม่ได้ แล้วก็ดันไปเกิดเอาวันที่กลางวันกับกลางคืนยาวเท่ากันพอดีอีก"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า “คนจีนสมัยก่อนมาเมืองไทยแบบเสื่อผืนหมอนใบ บางคนเสื่อยังไม่มีเลย เพราะว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ต้องรวมเป็นค่าเรือค่าอาหารให้กับไต้ก๋ง ไม่มีสตางค์พอจะซื้อเสื่อซื้อหมอนก็นอนดาดฟ้าเรือไป บางรายต้องเอาเชือกผูกตัวเองติดกับราวไว้ กลัวคลื่นตีตกน้ำ ถ้ามาผิดจังหวะเจอคลื่นลมแรงบางทีก็เรือล่มทั้งลำ
คนรุ่นนั้นมาถึงอันดับแรกก็ต้องหางานให้ได้ก่อน ส่วนใหญ่จะกินอยู่กับกงสี คำว่ากงสีถ้าเปรียบกับของเราก็คือบริษัท คราวนี้พอมีที่กินที่อยู่ก็ประหยัดกินประหยัดใช้ จะทำงานด้วยความขยันขันแข็งและซื่อสัตย์มาก แล้วคนจีนมีส่วนที่คนอื่นไม่ค่อยมีคือความกตัญญู ใครช่วยเหลือตัวเองไว้จะจดจำแล้วก็คอยทดแทน หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า คนจีนไปอยู่ที่ไหนก็เจริญเพราะมีความกตัญญู ความกตัญญูแม้แต่พระพุทธเจ้าก็สรรเสริญว่า นิมิตตัง สาธุ รูปานัง กตัญญูกตเวทิตา ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี ท่านบอกว่าคนจีนไปอยู่ที่ไหนก็ลำบากไม่นาน เดี๋ยวก็ตั้งหลักได้ ถ้าดูอย่างบ้านเราก็รุ่นแรก ๆ ที่มา เดี๋ยวก็เป็นเถ้าแก่ เดี๋ยวก็เป็นเจ้าสัวกันหมดแล้ว คำว่าเจ้าสัวมาจากคำแต้จิ๋วว่า "จ่อซัว" คือ ฐานะมั่นคงเหมือนภูเขา แต่คนไทยเรียกเพี้ยนเป็นเจ้าสัว คราวนี้พอรุ่นตัวเองประหยัดกินประหยัดใช้มา ก็เลยเข้มงวดกับลูก มีอยู่ครอบครัวหนึ่งดังมากเลย ถ้าเอ่ยชื่อตอนนี้ก็อ๋อทันที ลูกใช้เงินเป็นเบี้ยพ่อก็ดุเอา ลูกเขาก็บอกว่า “พ่อเป็นลูกคนจน พ่อต้องประหยัด แต่ผมเป็นลูกคนรวย พ่อเป็นเจ้าสัว ผมมีสิทธิ์ใช้” คนจีนเขาถึงมีคำคมหรือภาษิตอยู่ว่า "รุ่งเรืองขนาดไหนไปไม่เกิน ๓ รุ่น" ถ้าหากว่ารุ่นปู่เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาด้วยความสามารถ รุ่นพ่อไม่ลำบากเท่า อย่างเก่งก็ประคับประคองเอาไว้ มารุ่นลูกยิ่งสบายเข้าไปใหญ่ก็ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ เลย ถ้าไม่ใช่บุญกุศลดีจริง ๆ ก็มักจะมาล่มสลายเอารุ่นลูกรุ่นหลานนี่แหละ เพราะว่าไม่เคยลำบาก รุ่นที่เคยลำบากมานี่เขาลำบากชนิดที่ต้องกินข้าวต้มกับก้อนกรวดคั่วน้ำเกลือ" |
พระอาจารย์เล่าว่า “พวกเราที่อยู่เมืองไทยอุดมสมบูรณ์ ที่เขาบอกว่าพอเรือเข้าปากอ่าวเจ้าพระยา คนจีนเห็นต้นไม้เขียวชอุ่มไปหมดเขาก็บอกว่ารอดตายแล้ว บ้านเขาไม่มีอย่างนี้ ไม่มีกินจริง ๆ บ้านเราไม่มีอย่างไรนี่หัวไร่ชายนายังพอหาได้ ฉะนั้น..เขาลำบากมาก็ขวนขวายเต็มที่ ส่วนเราอุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลาในนามีข้าว ก็ไปเรื่อยเปื่อย โดยเฉพาะว่าคนไทยเราไม่นิยมค้าขาย คนไทยเรามีภาษิตประจำใจว่า “สิบพ่อค้าไม่เท่าหนึ่งพระยาเลี้ยง” ในเมื่อไม่นิยมค้าขาย นิยมแต่ส่งลูกรับราชการ หวังพึ่งใบบุญลูก แล้วจะมีสักกี่คนที่จะไปเป็นพระยาหรือเจ้าพระยาได้ ?
ก็เลยทำให้ครอบครัวคนไทยมาระยะหลังเหมือนกับว่า พอความเป็นใหญ่เป็นโตในหน้าที่การงานลดความสำคัญ มือที่กุมเศรษฐกิจกลายเป็นคนจีนหมด แล้วช่วงนั้นก็มีการบีบบังคับต้องเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลกันให้ยุ่งไปหมด เพราะถ้ายังมีเค้าบอกว่าเป็นคนจีน อาจจะโดนเนรเทศกลับไปเลยก็ได้ เพราะว่ายุคนั้นมีการปฏิวัติรัฐประหารกันทุกบ่อย ถึงขนาดมีการลอบฆ่านายกสมาคมพ่อค้าจีนไป ๒ คน ถือว่าเป็นเรื่องสะเทือนขวัญหมู่ชาวจีนมาก หลายรายถึงขนาดหนีกลับเมืองจีนไปเลย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ากลับไปก็ลำบากเพราะจีนเป็นคอมมิวนิสต์ แต่กลัวว่าอยู่เมืองไทยโดนหมายหัวเดี๋ยวก็ตาย" |
ถาม : คนจีนก็มีเข้ารับราชการไม่ใช่หรือครับ ?
ตอบ : มีน้อย ต้องเป็นลูกจีนที่เก่งจริง ๆ แล้วหลุดเข้าไปรับราชการ อย่างหลวงวิจิตรวาทการ สมัยอาตมาเองเข้าเรียนนักเรียนนายสิบ ยังโดนสอบประวัติ เพราะว่าพ่อเป็นต่างด้าว ตอนแรกเขาจะไม่เอา แต่อาตมาโวยวายด้วยเหตุ ๒ ประการ ประการแรกผมสมัครตามสิทธิ์ ประการที่ ๒ พ่อผมตายแล้วเกี่ยวอะไรกับผมด้วย ? ถ้าไม่ใช่คนปากหมาอย่างอาตมาก็ไม่ได้เรียนหรอก คราวนี้อาตมากล้าโวยเขาเลยต้องให้เรียน ปัจจุบันนี้ตระกูลสำคัญ ๆ ที่กุมเศรษฐกิจนี่ไล่ขึ้นไป เอาแค่รุ่นปู่จะต้องมีอากงอาม่าแน่นอน ประเทศไทยเราเป็นประเทศเดียวก็ว่าได้ ที่คนจีนอพยพเข้ามาแล้วผสมกลมกลืนกลายเป็นเชื้อชาติเดียวกันแบบไม่แบ่งแยก ประเทศอื่นอย่างไรก็แบ่งแยก เขาจะมีไชน่าทาวน์ตรงโน้นตรงนี้ ของไทยไม่ต้องหรอก ทั้งประเทศ ไล่ไปเถอะ ถึงเวลาแล้วคุณจะเป็นเจ้านาย เป็นเจ้าคุณ คุณพระอะไรก็จริง แต่ถึงเวลาต้องใช้เงินใช้ทอง ก็ต้องพึ่งพาบรรดาเจ้าสัว ต้องส่งลูกแต่งข้ามกันไปข้ามกันมา บรรดาเจ้าสัวถ้าได้ลูกเขยมีพ่อเป็นใหญ่เป็นโตอยู่ หรือว่าได้ลูกสะใภ้ที่พ่อเขาเป็นใหญ่เป็นโตอยู่ ก็ได้พึ่งพาอาศัยได้ จึงกลมกลืนกันไปเองโดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะของบ้านเราหลักยึดก็คือสถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันพระมหากษัตริย์ของเราต้องบอกว่าเป็นที่พึ่งได้จริง ๆ ทำให้คนจีนเขารักเมืองไทยเหมือนบ้านเกิดตัวเอง |
ถาม : ในวังยังมีการทำกงเต็กด้วย ?
ตอบ : อันนั้นเป็นเรื่องปกติ ในช่วงรัชกาลที่ ๕ สมาคมคนจีนยังร่วมกันสร้างพระตำหนักถวายในหลวงรัชกาลที่ ๕ อยู่ที่บางปะอิน พระที่นั่งเวหาสน์จำรูญ เขาเรียกเทียนเหม็งเต่ย (พระตำหนักฟ้ารุ่งเรือง) แปลเป็นไทยก็เวหาสน์จำรูญ แต่จริง ๆ คนจีนเข้ามาเมืองไทยมากตั้งแต่สมัยอยุธยา แล้วมามากสุด ๆ ช่วงกรุงธนบุรี เพราะเขาถือว่าคนจีนเป็นฮ่องเต้ เพราะว่าพระเจ้าตากสินมหาราชนี่มีพ่อเป็นคนจีน เป็นนายอากรบ่อนเบี้ย คนจีนนี่เขารักแซ่ รักญาติ รักพวกพ้อง ถึงเวลารู้ว่ามีญาติเป็นพระเจ้าแผ่นดินอยู่ ต้องไปมาหากินได้แน่ก็มาเลย แห่กันมามืดฟ้ามัวดิน แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นจีนแต้จิ๋วเพราะว่าพวกนี้อยู่ริมทะเล เดินทางได้สะดวก |
พระอาจารย์เล่าว่า ตามหลักฮวงจุ้ยถ้าเป็นแอ่งน้ำใหญ่อยู่หน้าบ้านจะดี แต่ถ้าเป็นน้ำไหลถ้าจากหน้าบ้านหรือหลังบ้านนั้นหาดีไม่ได้เลย ยกเว้นอย่างเดียวว่าจะเป็นถุง แบบเดียวกับช่วงก่อนที่เขาจะตัดคลองลัดโพธิ์ ถ้าลักษณะอย่างนั้นตามหลักฮวงจุ้ยเขาจะเรียกถุงเงิน หรือที่เขาเรียกกระเพาะหมู แล้วในหลวงให้ตัดกระเพาะหมูลอยไปเลย ตั้งแต่นั้นมาน้ำไม่ท่วมพระประแดงอีก เนื่องจากว่าไหลลงทะเลได้ทัน ไม่ต้องอ้อมไปไกล ตัดตรงไปเลยไม่กี่กิโลเมตร พื้นที่ในลักษณะกึ่งเกาะ หรือกระเพาะหมูที่ว่าก็ต้องดูให้ดี ๆ ว่าอยู่ลักษณะที่น้ำไหลอ้อมเข้าหรืออ้อมออก ถ้าไหลออกก็อย่าไปเอาเลย
|
พระอาจารย์กล่าวว่า “ตอนที่หลวงปู่ทองเทศที่วัดท่าซุง อายุ ๙๖ พวกเราก็เป็นห่วงท่าน บอกให้หาลูกหลานมาดูแลหน่อย หลวงปู่ก็เห็นความหวังดีก็เลยจดหมายไปเรียกลูกชายมาดูแล ลูกชายอายุ ๗๗ เดินสั่นแหง็ก ๆ หลวงปู่อายุ ๙๖ ยังเดินตัวปลิวเลย ตกลงก็เลยไม่รู้ใครดูแลใคร ตอนนั้นอาตมาคุมโรงครัววัดอยู่ หลวงปู่ท่านขยันมาก ๙๐ กว่าแล้วยังออกบิณฑบาตทุกวัน แล้วคราวนี้ท่านไปหกล้ม คนแก่อายุขนาดนั้นแล้วเนื้อไม่เกิดแล้ว แผลกว่าจะหายตั้ง ๒ เดือนกว่า
ก็เลยบอกหลวงปู่ว่าไม่ต้องบิณฑบาตหรอก เดี๋ยวพวกผมจะบิณฑบาตเลี้ยงเอง ถ้าไม่มีใครบิณฑบาตเลี้ยง ผมสั่งให้โรงครัวไปส่งก็ได้ แต่ว่าหลวงปู่หาลูกหลานสักคนมาอยู่เป็นเพื่อน ถึงเวลาจะได้มาหิ้วปิ่นโตจากโรงครัวไปถวาย หลวงปู่ส่งจดหมายไปบอกลูกชายมา เจ้าประคุณเอ๋ย..คนอายุ ๗๗ เดินถือปิ่นโตสั่นแหง็ก ๆ ไอ้เรากลัวกับข้าวจะหกหมด หลวงปู่ทองเทศท่านบวชตอนอายุ ๘๐ ท่านเอาเงินถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงไว้สามพัน บอกว่า “ถ้าผมตายช่วยจัดงานศพให้ผมด้วย” หลวงพ่อท่านก็หัวเราะ บอกว่า “ไม่รู้ใครจะได้เผาใคร” ปรากฏว่าหลวงปู่ ๙๐ กว่า หลวงพ่อ ๗๖ มรณภาพก่อน หลวงปู่อยู่มายัน ๑๐๓ ปีค่อยตาย อาตมาออกจากวัดมาปีกว่าค่อยมีโอกาสไปได้เยี่ยมท่าน พอไปถึงหลวงปู่ก็ว่า “โอ๊ย..คิดถึงจังเลย ไปไหนมาตั้งนานไม่แวะมาดูกันบ้าง” บอกท่านไปว่า “ผมออกจากวัดไปเป็นปีแล้วครับ” หลวงปู่ก็บอกว่า “ไม่เห็นมีใครเขาบอกปู่เลย” ตอนแรกท่านอยู่ที่กุฏิ ๑๐ หลัง ทางด้านหลังโบสถ์ แล้วคราวนี้กุฏิเป็นบันได ขึ้นลงไม่สะดวก แล้วอากาศค่อนข้างจะร้อน มาระยะหลังเลยย้ายท่านไปอยู่ตรงสวนไผ่ อย่างน้อย ๆ อากาศร่มรื่นกว่าเยอะ แล้วอยู่ชั้นล่าง มีอาคารกั้นด้านบนอยู่ชั้นหนึ่ง แล้วอยู่ติดต้นไม้ก็เลยเย็นมาก หลวงปู่ท่านก็นั่งอ่านหนังสือ นั่งภาวนาของท่านไปเรื่อย อายุ ๙๐ กว่าแล้วไม่ต้องใช้แว่น นั่งอ่านหนังสือพิมพ์สบายใจเฉิบ หลวงปู่ท่านร่างเล็กนิดเดียว หนังสือพิมพ์ไทยรัฐเป็นเล่มจัมโบ้ หลวงปู่ท่านก็นอนบนหนังสือพิมพ์แล้วก็อ่านเลย เวลาท่านอ่านหนังสือพิมพ์ดูมีความสุขมาก ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไม่รู้ท่านยิ้มเยาะหรือเปล่าที่อาตมาต้องใส่แว่น" |
"อาตมาได้ไปงานศพหลวงปู่ทองเทศ ได้ไปงานศพหลวงตาสมชาย งานศพหลวงพี่สมพงศ์ งานศพหลวงพี่ประทีป รู้สึกว่าพระที่วัดท่าซุงตายนี่จะได้ไปทุกศพนะ ของหลวงตาสมชายพอไปถึง ท่านก็มาทุบหลังพลั่ก "ทำไมมาเอาป่านนี้วะ ?" แหม..ทำอย่างกับผมอยู่ใกล้ ๆ นี่ แล้วถามท่านว่า "หลวงตาตายแล้วไปไหน ?" ท่านบอกว่า "หลวงพ่อบอกให้ไปไหนข้าก็ไปที่นั่นแหละ"
ได้ยินว่าเดือนที่แล้วหลวงน้าอมรก็เพิ่งจะตาย แต่ของหลวงน้าอมรนี่ไม่ได้ไปงานแน่เลย เพราะช่วงนี้ภารกิจเยอะเหลือเกิน พวกรุ่นเก่า ๆ นี่ยังคิดถึงกันอยู่ ท่านจำอาตมาแม่นเพราะความแสบของอาตมา ส่วนที่อาตมาจำท่านแม่นเพราะท่านเคยให้ความอนุเคราะห์สงเคราะห์ ช่วยกันไปช่วยกันมา ส่วนใหญ่แล้วพระผู้ใหญ่ท่านพออายุมากแล้ว มีพระลูกพระหลานคอยอำนวยความสะดวกอะไรให้แล้วรู้สึกดี อย่างหลวงตาสมชายท่านดูแลระบบน้ำประปาของวัดอยู่ แล้วอายุ ๗๐ แล้วต้องปีนขึ้นไปบนหอประปา ไปเติมคลอรีน เลยบอกท่านว่า "หลวงตาผสมอย่างไรบอกผมแล้วกัน เดี๋ยวผมขึ้นไปจัดการให้" เพราะว่าประมาณ ๓ วันถึงเติมคลอรีนที หลวงตาท่านก็สอน "ถ้าระดับน้ำแค่นี้ให้เติมเท่านี้ ๆ ถ้าเต็มถังเติมหมดถ้วยเลย" อาตมาก็รอให้น้ำสูบเต็มถังแล้วเติมทีเดียวก็หมดเรื่องไม่ต้องปีนขึ้นปีนลงบ่อย ๆ" |
พระอาจารย์เล่าว่า "แต่ไม่ไหว..ใหม่ ๆ ขึ้นไปนี่หมาหลวงตาจะฟัดตาย หมาวัดแต่ละตัวรู้ว่าควรจะทำหน้าที่ตรงไหน พวกเฝ้าหอประปานี่นอนเฝ้า ๔ มุมเลยนะ ใครจะเอาอะไรไปเติมส่งเดชมีหวังโดนหมากัดตาย หอประปาสูงขนาดไหน ถ้าโดนหมารุมกัดมีอย่างเดียวคือต้องโดดหนี ลงไปก็ไม่เหลือหรอก ตอนแรกก็ไม่นึกว่าหมาจะกล้าขึ้นบันได เพราะว่าเป็นบันไดที่เป็นแผ่นเหล็กใหญ่ประมาณฝ่ามือแล้วขึ้นไปสูงลิบเลย แต่หมาก็ขึ้น เขารู้ว่าต้องทำหน้าที่ตรงไหนขึ้นไปก็นอนเฝ้า
อย่างของหลวงน้าอมรท่านมีชื่อเสียงในความเป็นคนใจร้อนใจเร็ว แล้วติดนิสัยฝรั่ง เพราะว่าท่านอยู่อเมริกาจนได้กรีนการ์ดมา การติดนิสัยฝรั่งของท่านคือว่า ถ้ามีปัญหาต้องเคลียร์กันตรงนั้น ซึ่งไม่ใช่นิสัยคนไทย นิสัยคนไทยไม่ใช่อย่างนั้น นิสัยคนไทยถ้ามีเรื่องแล้วเคลียร์กันตรงนั้นได้ต่อยกันแน่นอน คราวนี้หลวงน้าอมรพอมีเรื่องก็จะไปจับมือจับแขนคู่กรณี แล้วก็บอกว่ามีปัญหาอะไรให้ว่ามาตรงนี้เลย คนอื่นก็ยิ่งโกรธใหญ่ เพราะคิดว่าไปเอาเรื่องไม่ยอมเลิก อาตมาพอเห็นก็รู้ท่าว่าท่านติดนิสัยฝรั่งมา ฉะนั้น..มีโอกาสก็ไปเลียบ ๆ เคียง ๆ หลวงน้าอมรชอบอ่านหนังสือ ท่านสะสมหนังสือเป็นห้อง ๆ เลย ก็ไปเที่ยวหา "หลวงน้ามีเรื่องนั้นไหม ? มีเรื่องนี้ไหม ? ผมเคยอ่านนาน ลืมไปแล้ว ขอยืมหน่อยเถอะ" หลวงน้าท่านคุยเรื่องหนังสือมีความสุข ท่านก็คุยไปเรื่อย ไป ๆ มา ๆ ระยะหลังท่านไม่รู้จะคุยกับใคร ก็หอบกาน้ำร้อนมาฉันน้ำร้อนไปคุยไปด้วย" |
"กลายเป็นว่าบรรดาพระอายุมาก ๆ ที่ค่อนข้างจะคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง ส่วนใหญ่ในวัดตอนนั้นอาตมามีหน้าที่ชวนคุย กลัวว่าท่านอยู่เงียบ ๆ แล้วจะเครียด จะมีหลวงน้ามีชัย หลวงน้าอมร หลวงตาสมชาย หลวงน้าสัมฤทธิ์ แล้วแต่ละท่านนี่ขวานผ่าซากทั้งนั้น พอนิสัยขวานผ่าซากแล้วคนอื่นเขากลัวโดนผ่าเลยไม่เข้าใกล้ อาจจะเป็นเพราะว่าอาตมาเป็นคนประเภทขวานผ่าซากเหมือนกัน เลยคุยกันรู้เรื่อง จนพี่ ๆ บางท่านเขายังสงสัย ว่าอาตมาไปตั้งนานแล้วทำไมไม่โดนสักที..!
หลวงน้าสัมฤทธิ์สึกไปครั้งหนึ่งแล้วไปบวชใหม่ เคยไปวัดท่าขนุน ๒ ครั้ง ไปเยี่ยม..แต่ว่าท่านก็แก่เต็มทีแล้ว ตอนไปครั้งสุดท้ายก็เกือบ ๘๐ แล้ว นี่ไม่ได้ข่าวไม่ได้คราวว่าเป็นอย่างไรบ้าง ลูกชายท่านบวชพรรษาเดียวกันแต่คนละรุ่น เพราะของอาตมาบวชนอกพรรษา บวชก่อนเข้าพรรษานานมาก แต่ว่าถือว่าปีเดียวกัน หลวงพ่อท่านจัดบวชหมู่ให้ แล้วคนอื่นก็ไปบวชตอนเข้าพรรษาอีกที" |
พระอาจารย์กล่าวว่า “มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาเชื่อกันว่า คนเรากินยาลงไปแล้วไปทำลายจุลินทรีย์ในกระเพาะอาหารไปมาก ก็เลยเอาน้ำหมักจากพลูคาวมาถวาย อาตมารับไปไม่ถึงร้อยขวดก็ใกล้เคียง ก็ฉันให้เขาดู ถึงเวลาก็ยกกรอกอั้ก ๆ ลงไป ฉันเพื่อที่เขาจะได้ว่าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเขาก็ว่า “เพราะไม่ฉันยาของผมก็เลยไม่หาย” ฉันให้รู้ว่าของเอ็งฉันลงไปก็เท่านั้นแหละ บางอย่างแรงกรรมก็มากกว่า แต่โยมก็มักจะคิดว่าตัวเองเก่งเกินกรรม พยายามจะช่วย เอาไม้จิ้มฟันไปงัดภูเขาชัด ๆ
ไปนึกถึงที่พญาวสวัตตีมาราธิราชด่าธิดาพญามาร ที่ดื้อไปรบกับพระพุทธเจ้าว่า “เหมือนอย่างกับขุดภูเขาด้วยเล็บมือ คงจะมีวันสำเร็จหรอก” ดุลูกสาวตัวเอง นางตัณหา นางราคา นางอรดี บอกว่า “พ่อแพ้พระพุทธเจ้ามา เดี๋ยวลูกไปจัดการให้ ไม่มีผู้ชายคนไหนในโลกรอดมือลูกไปได้” พ่อห้ามแล้วห้ามอีกว่าอย่าเลย “มหาสมณะนั้นไม่ใช่ผู้ชายอย่างที่เธอคิด” ลูกสาวก็ไม่เชื่อ พอแพ้พระพุทธเจ้ายับเยินกลับมา พญาวสวัตตีมาราธิราชเลยดุเอาว่าเตือนแล้วไม่ฟัง จะไปสู้กับพระมหาสมณะองค์นั้นก็เหมือนไปขุดภูเขาด้วยเล็บมือ จะถอนตอไม้ใหญ่ด้วยการเอาอกไปกระแทก..คงจะหลุดหรอก แต่ต้องบอกว่า ๓ ท่านนั้นสุดยอดเลยนะ ชายบางคนชอบหญิงวัยรุ่น ชายบางคนชอบหญิงสาว บางคนชอบหญิงโตเต็มสาว ชอบหญิงวัยกลางคน ชอบหญิงวัยแก่ เขาแปลงได้ทุกแบบ แต่ไม่สำเร็จสักแบบ จนพระพุทธเจ้าเหนื่อยแทน พระองค์จึงตรัสว่า พอเถอะ..ไม่มีประโยชน์หรอก" |
พระอาจารย์กล่าวว่าที่วัดมีพระใหม่ท่านหนึ่งบอกว่า “อาจารย์ครับ ผมบวชได้ ๓ พรรษาแล้ว ขออนุญาตลาสึกครับ” อาตมาสะดุ้งเฮือก บอกว่า อะไรวะ ? เพิ่งเห็นบวชได้ไม่นาน ๓ พรรษาแล้ว” เขาบอก “ได้ ๙ เดือนแล้วครับ” อาตมาถอนหายใจเฮือกเลย เป็นการเข้าใจผิดเอง เขาไปเข้าใจว่า ๑ พรรษาคือ ๓ เดือน เขาไม่ได้เข้าใจว่าพรรษาของพระหมายถึง ๑ ปี แต่ต้องผ่านช่วงเข้าพรรษา ๓ เดือนนั้นด้วย อาตมาก็ว่าบวชพักเดียวท่านบอกว่าได้ ๓ พรรษาแล้ว มีอะไรเข้าใจผิดกันเยอะแยะเกี่ยวกับเรื่องของศัพท์แสงทางพระ
ถาม : อย่างการจะเรียกทิดจริง ๆ ก็ต้องบวชให้ได้พรรษาใช่ไหมคะ ? ตอบ : อย่างน้อยก็ต้องบวชได้พรรษา แต่สมัยนี้เขาถือว่าสึกมาก็เป็นทิดหมดแหละ เพราะคำว่าทิดก็มาจากคำว่าบัณฑิต แต่สมัยก่อนคนเขาออกเสียง ฑ เป็น ท ก็เลยกลายเป็น “บัณทิด” แล้วก็ตัดเลยแค่ทิดคำเดียว อุบาสกเมื่อย่อลงเหลือ ประสก อุบาสิกาย่อลงเหลือ สีกา ที่เราสงสัยว่าคำว่าประสกกับสีกามาจากไหน พระใหม่กับพระเก่าเราจะเห็นต่างกัน ความเป็นธรรมชาติ กลมกลืนกับเพศภาวะของตนยังไม่มี ก็ต้องค่อย ๆ ขัดเกลาไปเรื่อย ๆ แรก ๆ ก็ไม่เคยชิน พระใหม่เยอะต่อเยอะด้วยกัน เจอญาติโยมอาวุโสกว่าก็ยกมือไหว้ เล่นเอาโยมสะดุ้งเฮือก” พระอาจารย์กล่าวให้โอวาทพระที่บวชใหม่ว่า “เป็นพระเรา อยู่ต่อหน้าโยมให้สงบเหมือนอยู่ตัวคนเดียว อยู่ตัวคนเดียวให้ระมัดระวังเหมือนอยู่ต่อหน้าโยม พอเคยชินเข้าแล้วจะสบาย ๆ ไปเอง” |
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมามีสีผึ้งหลวงปู่ครูบาอ่อนอยู่ครึ่งตลับ เพราะว่าตอนนั้นหลวงปู่ครูบาอ่อนท่านชวนไปปิดทองหลวงปู่ครูบาครอง ผู้เฒ่าท่านยกย่องกันเอง หัวเราะกันซะไม่มี ไปถึงก็กราบงาม ๓ ทีขออนุญาตเปิดสบง หลวงปู่ครูบาครองก็ถามว่าทำไม ? หลวงปู่ครูบาอ่อนท่านบอกว่า “พระผู้เฒ่าทรงความดีพอที่จะปิดทองบูชาได้แล้ว” แล้วท่านก็ส่งขี้ผึ้งให้อาตมาตลับหนึ่ง ช่วยกันถูช่วยกันทาเป็นการใหญ่ แล้วท่านก็ปิดทองตั้งแต่หัวเข่าไปยันหน้าแข้งเลย
เสียดายหลวงปู่ครูบาครองท่านอายุมากขนาดนั้น จึงไม่กล้านิมนต์ท่านไปงานที่วัด ครั้งล่าสุดปีก่อนที่ส่งฎีกาไปก็บอกหลวงพี่เอกแล้วว่า ถ้าหลวงปู่ไม่สะดวกด้วยธาตุขันธ์ไม่จำเป็นต้องมา นึกแล้วก็ขำ ๆ หลวงปู่ท่านเป็นผู้เฒ่าที่น่ารักมาก ถึงเวลาไปกราบลาท่านทีไร กราบ ๆ พอทำท่าจะขยับลุกท่านก็กอดหมับ คนเห็นก็เฮกัน แต่ถ่ายรูปไม่ค่อยจะทัน จริง ๆ ถ้าอยู่ใกล้จะไปอยู่อุปัฏฐากดูแลท่านเลย เพราะว่าเคยชินกับการดูแลพระผู้ใหญ่มา ตั้งแต่หลวงปู่องค์นั้นองค์นี้จนถึงหลวงพ่อวัดท่าซุง แม้กระทั่งหลวงพ่อวัดท่ามะขาม จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็เจ้าคณะจังหวัดรูปใหม่ก็เหมือนกัน เลขาท่านส่วนใหญ่ปล่อยให้ท่านเดินจากรถไปจนถึงที่ แล้วท่านเป็นอัมพฤกษ์ไปซีกหนึ่ง ท่านคิดอยู่อย่างเดียวว่าพระผู้ใหญ่จะแสดงความอ่อนแอไม่ได้ เดี๋ยวถ้าผู้บังคับบัญชาเห็นว่าทำงานไม่ได้แล้วจะปลดออกจากตำแหน่ง โอ๊ย..ใครจะไปหวงตำแหน่ง เจ็บไข้ได้ป่วยปานนั้น ถ้าคนนั้นรับไปได้เร็วเท่าไหร่ก็ดีเท่านั้น ฉะนั้น..ของอาตมาเห็นเมื่อไรก็วิ่งเข้าไปประคองท่านก่อน" |
"อีกองค์ที่น่ารักมากเลยคือหลวงปู่ครูบาอุ่น วัดโรงวัว พระผู้เฒ่ามีไฟนี่หายากจริง ๆ ๘๐ กว่าแล้วอะไรจะคึกคักปานนั้น นั่งรับแขกได้ทั้งวัน มีหน้ามาแซวอาตมาอีกว่าหนุ่มกว่ายังสู้ท่านไม่ได้ โห..ผมไม่ได้ทำบุญมาดีอย่างหลวงปู่นี่ครับ แล้วท่านนั่งตอบคำถามคน คำถามเดียวตอบทั้งวันไม่เบื่อ เขามาถาม “หลวงพ่อมาจากไหนครับ ? ครูบามาจากไหนคะ ?” ท่านก็ “โอ้..ชื่อครูบาอุ่น วัดโรงวัว สันกำแพงโน้น” ตอบได้ทั้งวันไม่มีรำคาญใคร
สายหลวงพ่อฤๅษีฯ กับสายเหนือผูกพันกันมานับชาติไม่ถ้วน จนทิ้งกันไม่ขาดหรอก ถึงเวลาเห็นก็รู้สึกคุ้นเคยแล้ว ไม่ใช่แค่ยุคใกล้ ๆ ไล่มาโน่นเลย ตั้งแต่ยุคตาลีฟู น่านเจ้า หนองแส ลงมายันเชียงแสน ไกลลิบโลก คนรุ่นใหม่เอาศัพท์พวกนี้แล้วก็ไปหาในกูเกิลนะ จะได้รู้ว่าประวัติของสถานที่เกี่ยวข้องกับคนไทยอย่างไร ส่วนใหญ่เด็กรุ่นหลังเขาไม่ให้เรียนประวัติศาสตร์แล้ว..ใช่ไหม ? ไม่ให้เรียนประวัติศาสตร์ก็ด้วนไปเฉย ๆ ไม่รู้หรอกว่าคนไทยเป็นอย่างไร วิชาศีลธรรมก็ไม่มีแล้ว" |
ถาม : พระอาจารย์เคยเรียนถึงเมืองลุงไหมครับ ?
ตอบ : เมืองลุง เมืองปา นั่นก็เคยเรียนอยู่ สมัยนี้เขาไม่ให้เรียนกันแล้ว ของพวกเรานี่ไม่ต้องมากหรอก ถ้าพูดถึงเมืองด้ง เราก็จะสงสัยว่าอยู่ที่ไหนวะ ? ตายละวา..เมืองด้งอยู่ที่ไหนไม่รู้จัก เมืองลุง เมืองปานี่ใกล้ ๆ กับรุ่นของหนองแส ตาลีฟู คนแถวนั้นเขาจะนิยมเอาคำสุดท้ายของชื่อพ่อมาต้องเป็นชื่อลูก อย่างพีล่อโก๊ะ ก็จะมาเป็นโก๊ะล่อฝง จะไล่มาเป็นช่วง ๆ จะรู้ว่าเป็นลูกใครสืบกันมา เหมือนอย่างกับทางด้านมาเลเซีย ชื่อจะบอกเลยว่าเป็นลูกใคร อย่างเช่น นาจิบ บิน ฮัสซัน นายนาจิบลูกนายฮัสซัน บอกชัด ๆ เลย ฮัสซันคือที่ฝรั่งออกเสียงว่าฮุสเซน แล้วมามีชื่อ อับดุล บิน เน็งบัว เขาก็สงสัยว่าทำไมชื่อแปลก เขาก็บอกว่าชื่ออดุลย์ ลูกนายเหน่งกับนางบัว คราวนี้พอไปอยู่ที่มาเลเซีย เสียงเพี้ยนเป็นอย่างนั้น เขาเป็นตระกูลไทยเก่าที่อยู่มาเลเซีย เวลาข้ามไปแถว ๔ รัฐ ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู ปะลิส คนไทยเยอะแยะไปหมด แล้วสุลต่านของทั้ง ๔ รัฐนี้โดนตัดสิทธิ์ไม่ให้พระราชาธิบดี รัฐอื่น ๆ เขาเลือกกันได้แต่ ๔ รัฐนี้ไม่เลือก เพราะเขากลัวว่าจะติดสายเลือดคนไทยไป อย่างหลวงพ่อซัง วัดวัวหลุง กับหลวงพ่อทวดที่โน่นเขานับถือกันมาก เพราะว่าพื้นเดิมของท่านไปสงเคราะห์คนแถวนั้นเป็นปกติ |
พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของวิทยายุทธ์โบราณนี้รุ่นหลัง ๆ รู้สึกว่ายังไม่มีใครกินบรูซ ลีลง อย่างของหลี่เหลียนเจี๋ยแม้ว่าจะฝึกชนิดที่เรียกว่าเป็นที่ยอมรับกัน จนได้ขึ้นทะเบียนเป็นวัตถุโบราณที่มีชีวิตของประเทศจีน แต่ว่าไม่ได้เท่าบรูซ ลี เพราะว่าหลี่เหลียนเจี๋ยเขาฝึกหลายอย่างจนเกินไป ในเมื่อหลากหลายจนเกินไป ความชำนาญเฉพาะอย่างก็เลยไม่มี
ของบรูซ ลีนี่เขาถึงขนาดเอาพวกหนังเก่า ๆ ของเขามาแล้วก็จับเวลาการออกหมัดออกเท้าของเขา แล้วสรุปได้ว่าเร็วที่สุดในโลก ๒ วินาทีออกได้ ๕ หมัด ใครทำได้ขนาดนั้นบ้าง ? มือปืนที่ยิงได้เร็วที่สุดก็คือบิล จอร์แดน กับ เจฟ คูเปอร์ ๒ คนนี่ก็ยังเถียงกันอยู่ว่าใครเก่งกว่า เพราะคนหนึ่งก็ถนัดลูกโม่ อีกคนหนึ่งถนัดเซมิ-ออโต้ คือ ปืนแมกกาซีน นั่นเร็วที่สุด ๓ วินาทีได้ ๕ นัด นั่นขนาดใช้กลไกเข้าช่วย แต่คราวนี้บรูซ ลีเขาใช้ความสามารถของตัวเอง ๒ วินาทีออกได้ ๕ หมัด เร็วกว่าอีก ถาม : ไม่ชัด ตอบ : เขาฝึกจนเป็นสภาพเดียวกับใจแล้ว บรูซ ลีเขาสอนลูกศิษย์ เขาชี้ดวงจันทร์ ลูกศิษย์ก็ชี้ เขาก็ถามว่า “คุณเห็นดวงจันทร์หรือเห็นนิ้ว ?” ลูกศิษย์บอกว่าเห็นนิ้ว เขาบอกว่าใช้ไม่ได้ ต้องเห็นนิ้วพร้อมกับดวงจันทร์ ลูกศิษย์ก็ถามว่าหลักการของอาจารย์คืออะไร ? คือ ออกอาวุธไวจนไร้เงา ถ้ายังมีเงาก็ยังมีช่องทางให้คนเขาป้องกันได้ ถาม : ก็ไม่น่าจะเร็วจนตาไม่เห็นนี่คะ ? ตอบ : จริง ๆ ช้ากว่า แต่ว่าสายตาของคนพอเห็นแล้วต้องสั่งสมอง คราวนี้ของเขาเร็วกว่าการสั่งงานของสมอง คู่ต่อสู้จึงหลบไม่ทัน แล้วอีกอย่างหนึ่งพอความเร็วไปถึงระดับหนึ่ง สายตาคนจะปรับไม่ทัน จะเห็นเบลอ ๆ เท่านั้น สรุปแล้วว่าท้ายสุดการฝึกทุกอย่างลงตรงจิต พอสภาพจิตนิ่ง ความที่จิตเร็วที่สุดจะเห็นทุกอย่างช้าไปหมด ถ้าถามว่าจิตเร็วขนาดไหน ต้องดูตอนเกิดอุบัติเหตุ พอเกิดอุบัติเหตุสภาพจิตของเราที่เขม็งตัวขึ้นมา จะรวมสิ่งที่สั่งสมมาทั้งหมด กลายเป็นคุณสมบัติเต็มที่ของตนแล้วแสดงออก เราจะเห็นภาพนั้นช้าทุกอย่าง ฉะนั้น..เวลาเกิดอุบัติเหตุเราจะเห็นว่าทำไมถึงช้า แต่จริง ๆ ไม่กี่วินาทีเองก็ชนเข้าไปแล้ว แต่จริงสภาวะจิตเร็วกว่า ทุกอย่างก็เลยเห็นเหมือนกับช้า ถ้าหากว่ามือเท้าตอบสนองได้ทันก็สามารถป้องกันได้ |
ถาม : การปฏิบัติให้ผลดี สังเกตจากเวลาหกล้ม ระยะหลังเรารู้สึกว่าไม่กระแทกคือยั้งไว้ทันเหมือนเป็นไปโดยอัตโนมัติ แต่ไม่รู้ว่ายั้งไว้อย่างไร คราวล่าสุดถึงกับลื่นหงายหลังหัวลงพื้น แต่ไม่เป็นไร และรู้ด้วยว่าบังคับมือเท้า บังคับตัวอย่างไร... ข้อแตกต่างคืออะไรคะ?"
ตอบ : สมาธิเริ่มดีขึ้น การรับรู้เริ่มชัดขึ้น ขั้นตอนต่าง ๆ เริ่มช้าก็ทำให้เราเห็นรายละเอียดที่มากขึ้น ถ้าจะเอาละเอียดจริง ๆ ก็อย่างที่เคยอธิบายแล้ว ว่าจะตื่น ก็ต้องถามตัวเองก่อนว่าจะตื่นแล้วหรือยัง ? ถ้าพร้อมที่จะตื่นก็กระจายความรู้สึกไป จนกระทั่งตลอดปลายมือปลายเท้า ประสาทสมบูรณ์พร้อมก็สั่งตัวเองว่าลืมตา ขยับลุก นั่ง ยืน ไปห้องน้ำ เป็นขั้น ๆ เหมือนกับบัญชาการหุ่นยนต์ตามโปรแกรม แต่คนอื่นจะเห็นเราลืมตาแล้วลุกเลย แต่ความจริงแล้วช้ามาก ค่อย ๆ ทำไปเดี๋ยวก็สั่งได้ทั้งหมด |
ถาม : ถามถึงเรื่องอกรณียกิจ ? (ไม่ชัด)
ตอบ : ตัวเดียวกัน แต่ว่าเขาเน้นในการห้ามฆ่ามนุษย์ คือถ้าหากว่าทำร้ายเขาไม่ถึงตายโดนอาบัติถุลลัจจัย หากว่าตายโดนอาบัติปาราชิก หากว่าฆ่าสัตว์อื่นมีห้ามอยู่ในสัปปาณวรรคอยู่แล้ว เป็นอาบัติปาจิตตีย์ไป อกรณียกิจนี่เขาเน้นการห้ามฆ่ามนุษย์โดยตรง |
พระอาจารย์กล่าวว่า “ที่พระสถูปโพธานารถ กรุงกาฐมาณฑุ มีคนทิเบตไปปฏิบัติธรรมกันมาก เพราะความเชื่อทางทิเบตเขาว่า หุบเขากาฐมาณฑุเกิดจากพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ ฟันวงรอบเขาเปิดช่องให้น้ำไหลออก เพราะก่อนหน้านี้เป็นบึงน้ำใหญ่ พอน้ำไหลจนแห้งก็เป็นหุบเขากาฐมาณฑุ ถึงเวลาก็สร้างเจดีย์บูชาพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ พวกนี้เขานับถือพระโพธิสัตว์เป็นปกติอยู่แล้ว ทางสายวัชรยานจึงมากันเนืองแน่นไปหมด โดยเฉพาะตอนที่อพยพหนีจากจีนลงมา อยู่กันจนกลายเป็นทิเบตน้อยไปเลย
แต่หมาทิเบตที่นั่นน่าสงสารมาก กะรุ่งกะริ่งเป็นหมาขี้เรื้อน เพราะว่าเพิ่งพ้นหน้าหนาวมา หมาเพิ่งพลัดขนหนาวออก ก็หลุดบ้างไม่หลุดบ้างดูไม่ได้เลย ถ้าเป็นที่วัดท่าขนุน อาตมาจะไปช่วยตะกุยออกให้ ก็สวยทีเดียวเลย อันนี้ของเขาต้องรอให้หลุดเองจนหมด อยู่ที่วัดท่าขนุนถึงเวลาไปตะกุยออกมาเป็นหอบ ๆ สมัยเจ้าฟ้าตอนแรกไม่รู้หรอก อยู่ ๆ ทำไมขนหลุดเป็นม้วน ๆ ออกมา พอลองไปลูบดูม้วนมาได้เป็นก้อนเลย คุณกฤษณ์ (มัคคุเทศก์) เขาบอกว่า กรุงกาฐมาณฑุเป็นลักษณะเหมือนมีดเล่มใหญ่ ทางด้านลลิตปุระหรือเมืองปาทานลักษณะเป็นมันดาลาคือทรงกลม แล้วภักตรปุระลักษณะเป็นทรงกรวย แสดงว่าเรื่องภูมิสถาปัตย์นี่ทางโบราณเขากำหนดไว้ชัดเลย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า “ที่เนปาลน้ำหายาก คนที่อยากทำบุญจะซื้อน้ำไปเทใส่รางน้ำสาธารณะให้คนเขาไปกินกัน นี่ถ้าบ้านเราน้ำหายากก็คงทำบุญด้วยน้ำเหมือนกัน เพราะว่าบ่อน้ำเขาลึก ๘ เมตร ๑๐ เมตร มีน้ำอยู่ประมาณคืบหนึ่ง ต้องโยนถังลงไป แล้วตะแคงถังให้ตักน้ำมาเทใส่หม้อทองเหลือง ก็ได้หน่อยเดียว แล้วค่อยตักใหม่อีก ถังเป็นสิบ ๆ ใบ ตักกันทั้งวันก็ไม่พอใช้หรอก
ลักษณะของธรรมเนียมเก่าที่พูดถึงในพระไตรปิฎก ที่มีนางกุมภทาสีทำหน้าที่ตักน้ำก็คงจะลักษณะอย่างนี้แหละ” |
พระอาจารย์กล่าวว่า “วันก่อนมหาติ๊กมาเล่าให้ฟังว่า ไปอังกฤษแล้วโดนโยมเขาถามเกี่ยวกับศาสนาพุทธว่า “พระพุทธเจ้าเป็นใคร ? สอนอะไร ?” ท่านก็อธิบายไปเรื่อย ท้ายสุดถามว่าทำไมถึงเชื่อพระพุทธเจ้า ก็ตอบไปว่าพระพุทธเจ้าสอนให้เรามีความสุข พ้นจากความทุกข์ เขาก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้ มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่บันดาลให้เรามีความสุข มหาติ๊กบอกตกลงเสียน้ำลายเปล่า
เลยบอกกับท่านไปว่า ถ้าเป็นผมตอกกลับหงายท้องไปแล้ว ถ้าหากว่าพระเจ้าบันดาลให้ทุกคนมีความสุข ทำไมคนทุกข์เยอะแยะไป บ้านคุณพวก Homeless ก็เยอะแยะ ในแอฟริกาอดตายไปทั้งเท่าไร ถ้าพระเจ้าของคุณยุติธรรมและรักทุกคนเท่ากันจริง ๆ ทำไมทุกคนไม่รวยเสมอกัน แต่พระพุทธเจ้าของผมสอนว่าทุกอย่างเกิดจากกรรม ใครทำมาเท่าไรก็ได้เท่านั้น คนทำน้อยก็ได้แค่ที่เห็น ไม่ยุติธรรมกว่าหรือ ? ถ้าพระเจ้าของคุณบันดาลได้แค่นั้น ก็แปลว่าพระเจ้าของคุณไม่ยุติธรรมและรักชาวบ้านไม่จริง จริง ๆ แล้วเรื่องแบบนี้ไม่ควรเสียเวลาไปเถียงกัน เอาชนะกันทางคารมไม่ได้อะไร นอกจากทำให้คนแพ้ถึงเวลาก็หาทางดิ้นรนเอาชนะ เกิดทิฐิมานะขึ้นมาเดือดร้อนไปเปล่า ๆ บางทีอาตมาก็ต้องถามเขากลับไปตรง ๆ ตั้งแต่สมัยฆราวาสแล้ว พวกเอลเดอร์ต่าง ๆ ต้องบอกว่าเขาเป็นสุดยอดเลยนะ พูดภาษาไทยก็ได้ ร้องเพลงไทยก็ได้ ถามเขาว่าฝึกมานานแค่ไหน ? เขาบอกฝึก ๓ เดือน แล้วก็มาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ อาตมาเป็นคนชอบคุยก็ถามเขาไปเรื่อย เขาเห็นว่าคงจะขายคัมภีร์ไบเบิลได้แน่ก็ยิ่งคุยเข้าไปใหญ่ ท้ายสุดก็เขาว่าคุณเคยเห็นพระเจ้าของคุณไหม ? เขาบอกว่าไม่เคยเห็น อาตมาบอกว่า “ขอโทษเถอะ..ในเมื่อคุณไม่เคยเห็นแล้วคุณเชื่อได้อย่างไร ?” เขาบอกว่าความศรัทธาในพระเจ้าต้องเป็นไปโดยไม่มีข้อแม้ อาตมาบอกว่าถ้าอย่างนั้นถือเป็นความโง่ ศรัทธาต้องมีปัญญาประกอบ ไม่ใช่เชื่อตามอย่างเดียว ศาสนาของผมสอนว่าอย่าเชื่อ แม้แต่ท่านผู้นี้เป็นครูของเรา เขาถามว่า “แล้วท่านเห็นพระพุทธเจ้าไหม ?” บอกว่าเห็นอยู่ในบ้านองค์เบ้อเริ่มเลย เขาว่า "ไม่ใช่..ตัวจริงเคยเห็นไหม ?" อาตมาบอกว่า "ไม่เคยเห็น..แต่มั่นใจว่ามี" เขาบอกว่า "ไม่เคยเห็นแล้วมั่นใจได้อย่างไรว่ามี ?" ตอบไปว่า "คุณเคยเห็นปู่ทวดคุณไหม ?" เขาก็ตอบว่า "ไม่เคยเห็น" ... "แล้วย่าทวด ?" ..."ก็ไม่เคย" ... "แล้วคุณมั่นใจได้อย่างไรว่ามี ? คุณมั่นใจว่ามีเพราะคุณมีปู่ คุณมีพ่อใช่ไหม ? ของผมก็เหมือนกัน ในเมื่อครูบาอาจารย์ของผมเป็นพระสงฆ์มีอยู่ พ่อของพระสงฆ์ก็ต้องมี พ่อของพ่อก็ต้องมี พระพุทธเจ้าที่เป็นพ่อใหญ่ก็ต้องมี" นั่งเถียงกับพวกนี้สนุกดี สมัยนี้ขี้เกียจเถียงแล้ว สรุปแล้วในสายตาของเขา อาตมาเป็นพวกซาตานที่โปรดไม่ได้” |
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่เตรียมรูปหลวงปู่หลวงพ่อมาถวายว่า “โยมจ๋า..อย่างน้อย ๆ เอารูปหลวงปู่หลวงพ่อวางบนกล่องก็ยังดีจ้ะ วางบนพื้นต่ำไปหน่อย อาตมาถอนหายใจเฮือกมาหลายทีแล้ว ญาติโยมบางท่านก็สภาพจิตไม่ละเอียดพอ ทำอะไรบางอย่างเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยโดยไม่รู้ตัว แบบเดียวกับการถวายสังฆทานที่นี่ วางองค์พระลงก็ยื่นสตางค์ข้ามหัวพระมาใส่ขัน อาตมายกขันตะแบงข้างให้ก็ยังไม่รู้ว่าทำไมต้องไปใส่ข้าง ๆ ด้วย เอื้อมข้ามพระมาเลยก็ได้..!
หลวงปู่หลวงพ่อของเรา พระพุทธเจ้าของเรา ถ้าเราไม่เคารพยกย่อง ก็ไม่มีใครเขาเคารพยกย่องแทนเรา ฉะนั้น..ถึงเวลาก็ระมัดระวังนิดหนึ่ง อะไรที่ทำแล้วไม่เหลือบ่ากว่าแรง เป็นการยกย่องให้เกียรติท่านได้ก็ช่วยทำหน่อยเถอะ” |
ถาม : (มีโยมมาอธิษฐานหลังจากถวายสังฆทาน) “ขอให้ผมได้ไปพระนิพพานชาตินี้ครับ”
ตอบ : เอ้า..พยายามเข้าหน่อย จะเอาใจช่วย ถ้ากล้าคิด กล้าพูด กล้าทำจริง ๆ สำเร็จแน่ เอาให้ได้ก็แล้วกัน |
พระอาจารย์กล่าวเมื่อเห็นเด็กร้องไห้เพราะถูกถังสังฆทานทับมือ แต่ไม่ได้เอามือออก ยืนร้องไห้อยู่อย่างนั้นว่า “นี่แหละที่พระพุทธเจ้าท่านสอนอริยสัจถึงขึ้นต้นด้วยทุกข์ เพราะว่าพอคนเราเกิดทุกข์ขึ้นมา จะไม่ดูว่าสาเหตุเกิดจากอะไร แต่จะรู้ว่าทันทีว่านี่คือความทุกข์ ฉะนั้น..เด็กโดนถังสังฆทานทับมือจึงร้องก่อน บางคนก็ร้องว่าเจ็บ ๆ แต่ไม่รู้หรอกว่าเจ็บเพราะอะไร พอถึงเวลาเจ็บจนกระทั่งหาทางออกไม่เจอ ก็เริ่มฉลาดขึ้นมาหน่อย จะเริ่มหาสาเหตุว่าทุกข์มาจากไหน จึงกลายเป็นสมุทัย เสร็จแล้วพอรู้สาเหตุ เพราะว่าไอ้ความใจร้อนก็เลยทำให้อยากจะให้ทุกอย่างจบลง จึงกลายเป็นนิโรธ ความดับเกิดขึ้น เสร็จแล้วในเมื่ออยากจะให้ทุกอย่างดับลง ก็จำเป็นที่จะต้องหาทางดับให้ได้ นั่นก็คือมรรค ฉะนั้น..พระพุทธเจ้าท่านจัดอริยสัจ ๔ จัดตามสภาพจิตของบุคคล ไม่ได้จัดตามหัวข้อธรรม"
|
พระอาจารย์กล่าวเมื่อมีโยมกำลังยกสังฆทานมาถวาย แต่ซุ้มเรือนแก้วพระพุทธรูปเกิดหักว่า "ไม่เป็นไรจ้ะ ถือว่าพระพุทธเจ้าท่านแสดงธรรมให้เห็น ว่าทุกอย่างเป็นอนิจจังไม่เที่ยง ไม่มีอะไรต้องหนักใจ เพราะอย่างไรก็ต้องพังแน่ ๆ ใช้งานมาหลายปีแล้ว คนทั้งประเทศท่านไม่แสดงธรรมะให้เห็น มาแสดงให้เราเห็น แสดงว่าเราต้องทำบุญไว้เยอะ"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า “คาดว่าการห่มจีวรแบบมังกร คงจะมาจากพระใหม่ที่ห่มแล้วหลุดห่มแล้วหลุดนี่แหละ เขาก็เลยตัดสินใจให้หลุดอยู่อย่างนั้นเลย แต่ว่าเวลาห่มแล้วจะบิณฑบาตยาก จีวรจะรัดบาตรติดอยู่กับตัว แล้วถ้าเป็นพระใหม่ ผ้าใหม่ยังแข็งอยู่ ยังไม่แนบตัว ถึงเวลาดึงเวลาดึงจีวรขึ้นมาเพื่อจะเปิดบาตร ก็อาจจะถลกสบงตามมาด้วย
อย่างปัจจุบันจะมีมหานิกายที่ห่มแบบพันแขนที่เขาเรียกห่มมังกร เขาเรียกแบบมักง่าย เพราะสมัยก่อนนักเลงเขาสักมังกรพันแขน ในเมื่อพระเอาจีวรพันแขนเขาเลยเรียกห่มมังกร ส่วนห่มแบบทั่ว ๆ ไปเขาเรียกห่มแหวก เป็นแบบของพระธรรมยุติ คือพระมอญเขาห่มแบบนั้น ธรรมยุติเขาสืบสายมาจากหลวงพ่อซายของทางด้านมอญเขา เลยห่มตามแบบพระมอญ ส่วนห่มดองพาดสังฆาฏิรัดอก เกิดจากหลวงพ่อเจ้าคุณภัทรมุนี ท่านเป็นอาจารย์สอนบาลี แล้วท่านเป็นคนเคร่งครัดมาก คือถึงเวลาต้องสวดมนต์ทำวัตร การสวดมนต์ทำวัตรของพระก็ต้องพาดสังฆาฏิด้วย คราวนี้พอท่านห่มเฉวียงบ่าเพื่อที่จะสอนบาลี เดี๋ยว ๆ ก็เลื่อนหลุด ต้องดึงมาเหน็บอยู่เรื่อย ดึงมาแล้วเอาแขนหนีบอยู่เรื่อยท่านก็รำคาญ ท่านก็เลยห่มดองพาดสังฆาฏิเอาผ้ารัดอก ดูทะมัดทะแมง ปรากฏว่าคนอื่นเห็นเข้าว่า เออ..เข้าท่าดี จึงเลียนแบบตามกันใหญ่ ก็เลยกลายเป็นว่ามีการห่มดองพาดสังฆาฏิรัดอกเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง" |
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาไปพม่าครั้งแรก ห่มดองพาดสังฆาฏิไปไหว้พระมหาเจดีย์ชเวดากอง พระพม่าเรียกอาตมาว่าภิกษุณี เพราะว่าในพระวินัย ภิกษุณีถ้าหากว่าต้องออกข้างนอกต้องมีผ้ารัดอก เนื่องจากว่าสมัยนั้นยกทรงชั้นในอะไรก็ไม่มี แล้วถ้าห่มจีวรผืนเดียวก็ค่อนข้างจะอนาจาร พระพุทธเจ้าท่านจึงบังคับว่า ต้องมีผ้ารัดอกถึงจะออกจากที่พักได้ พระพม่าเขาก็ช่วยกันวิเคราะห์ใหญ่ ว่าพระที่สืบสายพระพุทธศาสนาไปทางประเทศไทยน่าจะเป็นภิกษุณี ถึงได้สอนห่มแบบนี้ ปล่อยให้ท่านวิเคราะห์กันต่อไป
ถ้าถามว่าเจ้าคุณภัทรมุนีมีความสำคัญอย่างไร ต้องบอกว่าท่านมีศิษย์เป็นสามเณรที่สอบประโยค ๙ ได้เป็นรูปแรกของการสอบข้อเขียน ก็คือสามเณรเสฐียรพงษ์ วรรณปก ถ้าหากว่าสามเณรรุ่นแรกที่สอบปากเปล่าได้นั้นคือสามเณรสา ปุสฺสเทโว ซึ่งตอนหลังเป็นสมเด็จพระสังฆราชสมัยรัชกาลที่ ๔ สามเณรสาพอเป็นพระ ก็ทำหนังสือทูลลาสิกขาบท อยากไปใช้ชีวิตฆราวาส เพราะเห็นว่าเพื่อนฝูงพอสึกหาลาเพศไป ก็เข้ารับราชการเป็นใหญ่เป็นโต เป็นคุณหลวงคุณพระ เป็นเจ้าคุณกันหมด ปรากฏว่ารัชกาลที่ ๔ ท่านเสียดายความรู้ พอสึกก็เลยสั่งเจ้าหน้าที่จับเข้าคุกไปเลย เอาพานใส่ผ้าไตรวางไว้หน้าประตู ถ้าอยากจะออกมาก็ต้องบวช อาจจะเป็นเพราะบุญของท่าน ในที่สุดท่านก็ตัดสินใจอยู่ข้างนอกคุกดีกว่าในคุก บวชเป็นพระถึงจะอึดอัดใจหน่อย ก็ยังอิสระกว่าอยู่ในคุกตั้งเยอะ ก็เลยออกมาบวชใหม่ คราวนี้ช่วงที่ท่านเป็นสามเณรสอบประโยค ๙ ได้ กับช่วงที่เป็นพระจนกระทั่งสึกห่างกันหลายปี ท่านก็ไม่มั่นใจความรู้ของท่านว่า ยังมีความคล่องตัวในบาลีเหมือนเดิมหรือเปล่า ท่านจึงขอเข้าสอบใหม่อีกรอบ แล้วก็สามารถแปลจบ ๙ ประโยคได้ภายในวันเดียวเหมือนเดิม คนเขาก็เลยเรียกกันว่า "มหาสา ๑๘ ประโยค" มีอยู่คนเดียวในโลก คนเก่งจริงสอบเมื่อไรก็ได้เมื่อนั้น" |
ถาม : เป็นเพราะรัชกาลที่ ๔ ท่านชำนาญโหราศาสตร์อยู่แล้วหรือเปล่าคะ ท่านถึงได้ทราบว่าจะเป็นถึงสมเด็จพระสังฆราช ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วท่านต้องรู้ว่าเป็นอย่างไร แต่ก็อย่างว่า บอกตรง ๆ เขาคงไม่ค่อยเชื่อ ต้องใช้อำนาจบังคับเอา หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศสมัย ดิศกุล ตั้งข้อสังเกตกับเสด็จพ่อ ก็คือสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ บอกว่า ในใบเกิดที่เสด็จปู่ตั้งพระนามให้ ไม่ได้บอกให้รวย ชาตินี้พ่อไม่มีทางรวยหรอก ก็จริง ๆ ด้วย สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ รับราชการตลอดชีวิตนี่ นอกจากบ้านหลังหนึ่งกับที่ดินที่ให้ลูกหลานแล้วไม่มีอะไรเลย คนอื่นถ้าเป็นใหญ่เป็นโตกันขนาดนั้น ป่านนี้ร่ำรวยไปถึงไหนแล้ว ลักษณะเดียวกับท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ธมฺมวิตกฺโก เป็นพระยาพานทองตั้งแต่อายุ ๒๕ ปรากฏว่าในหลวงรัชกาลที่ ๖ จะพระราชทานอะไรให้ท่านไม่เอาทั้งนั้น รุ่นไล่ ๆ กับมีเจ้าคุณรามราฆพกับเจ้าคุณอนิรุทธเทวา ๒ ท่าน นันเป็นเจ้าของบ้านพิษณุโลก เจ้าของบ้านนรสีห์ นั่นของพระราชทานทั้งนั้น แล้วบ้านพิษณุโลกเดี๋ยวนี้ก็เป็นทำเนียบรัฐบาล ท่านเจ้าคุณนรฯ ท่านรับใช้ใกล้ชิดอยู่ข้างใน ท่านสงสารในหลวง เพราะท่านมีหน้าที่ชุนสนับเพลา คือเย็บกางเกงอยู่ทุกบ่อย ท่านบอกว่าในหลวงทำตัวจนขนาดนี้ ไอ้คนก็คิดว่าท่านมีอยู่เรื่อย คิดดู..คนเป็นพระเจ้าแผ่นดิน นุ่งกางเกงปะแล้วปะอีก แล้วจะไม่ให้คนปะนั่งเซ็งได้อย่างไร ฉะนั้น..ให้อะไรท่านไม่เอาทั้งนั้น ท่านบอกว่าครอบครัวท่านมีมรดกพอ ไม่ต้องอาศัยท่านก็อยู่ได้ ส่วนคนอื่นเขาเห็นเป็นโอกาส พอมีโอกาสรับใช้ใกล้ชิดก็ทูลขอโน้นขอนี่ไปเรื่อย ถ้าไม่เหลือวิสัยพระองค์ท่านก็พระราชทานให้ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่คำทำนายของสมเด็จพระพุทธโฆสาจารย์สมัยอยุธยาที่ว่า “ราษฎร์ราชาจน” ทั้งชาวบ้านทั้งในหลวงจนด้วยกันทั้งคู่ พอมารัชกาลที่ ๗ ก็ “นั่งทนทุกข์” โดนออกจากราชสมบัติ รัชกาลที่ ๘ ก็ “ยุคทมิฬ” เกิดสงครามโลกขึ้น พระเจ้าอยู่หัวต้องพระแสงปืนสวรรคต รัชกาลที่ ๙ ก็ “ถิ่นกาขาว” คนอื่นเขาเป็นคอมมิวนิสต์กันหมด ประเทศไทยไม่เป็นหรอก ทฤษฎีโดมิโนของฝรั่งเจ๊งไม่เป็นท่าเลย มาเจอเมืองไทย เขาบอกว่าทฤษฎีอะไรที่ดี ๆ มาถึงเมืองไทยแล้วมักจะใช้ไม่ได้ เพราะคนไทยไม่เหมือนใคร อีกาเขาดำกันทั้งบ้านทั้งเมือง มีกาขาวอยู่ตัวเดียว
อย่างไร ๆ ประเทศไทยก็ไม่มีโอกาสล้ม ฉะนั้น..กัดฟันทนหน่อยเพราะรัชกาลที่ ๑๐ จะเป็น “ชาววิไล” แล้ว อาจจะเป็นชาววิไลเพราะ คสช. ก็ได้ ฉะนั้น..อย่าไปประท้วงทหาร เขาจะยกสามนิ้วหรือยกนิ้วกลางก็ช่างเถอะ ทหารเขาบอกให้ยกในบ้าน อย่าไปยกนอกบ้าน" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "คุณไม้ เมืองเดิม เป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีมาก ทั้ง ๆ ที่ญาติตัวเองเป็นพระยา เป็นเจ้าพระยา ไม่ยอมไปพึ่งบุญเขา ประเภทมีสิบนิ้วเท่ากันตัวเองต้องหากินได้ เขียนหนังสือขายไปเรื่อย จนเขาแซวกันว่าเป็นนักประพันธ์ไส้แห้ง เพราะว่าเจ้าพระยารามราฆพกับพระยาอนิรุทธเทวา นามสกุลพึ่งบุญทั้งคู่ พึ่งบุญ ณ อยุธยา คุณไม้ เมืองเดิมเขานามสกุล พึ่งบุญ ณ อยุธยาเหมือนกัน คนสมัยก่อนเขามีศักดิ์ศรี จนแสนจนก็ตามก็มีศักดิ์ศรีของตัวเอง “อดอยากเยี่ยงอย่างเสือ สงวนศักดิ์ โซก็เสาะใส่ท้อง จับเนื้อ กินเอง” สรุปสั้น ๆ ว่าชาติเสืออย่าไปขอเนื้อใครกิน"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า “สมัยก่อนไปช่วยงานป้านิภา ไปถึงครั้งแรกยังไม่ได้รู้เลยว่าของเขามีอะไรกันบ้าง คุณป้าก็ยกไมค์ฯ ให้ บอกว่า “ว่าไปได้เลย” อาตมาก็ดำน้ำไปหน้าตาเฉยเหมือนกัน ในเมื่อผู้อื่นให้ความไว้วางใจ ก็จงทำตัวให้สมกับที่เขาไว้วางใจ”
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่มหาอำพันท่านเขียนติดหัวเตียงไว้ว่า “วิชาโลกเรียนเท่าไรไม่รู้จบ พื้นพิภพกลมกว้างใหญ่ลึกไพศาล วิชาธรรมเรียนและทำจนชำนาญ จะพบพานจุดจบสบสุขเอย” ลงนาม แม่เฒ่าปักษ์ใต้ไว้ ไม่รู้ว่าใคร ก็คือท่านลอกของเขามา ท่านก็ใส่ชื่อเขาเอาไว้เป็นการให้เกียรติเจ้าของ"
|
:4672615:เก็บตกเดือนมิถุนายนปี ๕๗ หมดแล้วค่ะ:4672615: ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:12 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.