![]() |
ถาม : พระอริยบุคคลจะรู้ตัวหรือไม่ว่าท่านเป็นพระอริยะ ?
ตอบ : ถ้าอยู่ตั้งแต่ระดับวิชชาสามขึ้นไปจะรู้ แต่ถึงรู้แล้วท่านก็ไม่ประมาท ก็ยังคงทำไปตามปกติ กติกาใดที่ทำเพื่อความหลุดพ้นก็ยังคงทำต่อไป แต่ถ้าต่ำกว่านั้นลงมา บางทีเป็นทั้งชาติก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร แต่ว่าถือกติกาครบถ้วนสมบูรณ์อยู่ตลอดเวลา รู้อยู่ว่าต้องทำอย่างนั้น แต่ไม่รู้ว่าทำเพื่ออะไรเสียด้วยซ้ำไป |
ถาม : คำว่าดวงตาเห็นธรรม คือ ?
ตอบ : ดวงตาเห็นธรรม ตามที่เขาอธิบายเอาไว้หมายถึงว่า เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน ก็คือสามารถเป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้นขึ้นไป ถึงจะเรียกได้ว่าเห็นธรรมจริง ๆ ถ้ายังไม่เห็นก็คือปัญญายังไม่พอ ก็ไม่น่าจะเรียกว่าดวงตาเห็นธรรม คำว่าดวงตาในที่นี้ไม่ใช่สายตาของเรา เขาเรียกปัญญาจักษุ ก็คือดวงตาของปัญญา เห็นด้วยปัญญา ไม่ได้เห็นด้วยตาเนื้อ |
ถาม : .......วิชชาธรรมกาย.. ?
ตอบ : นั่นเป็นแค่ในส่วนของสมาธิเท่านั้น อย่างเช่นว่าเห็นดวงปฐมมรรคก็คือจิตเริ่มเข้าสู่อุปจารสมาธิ จนถึงกายพระอรหันต์ละเอียดก็คือฌาน ๔ เต็มระดับ ต้องเรียกว่าเป็นส่วนของสมถกรรมฐานเต็ม ๆ เลย จนกว่าเราจะนำกำลังนั้นมาพิจารณาตัดกิเลส ต้องไปศึกษาในส่วนท้ายที่ท่านอธิบายไว้ในหนังสือมรรคผลพิสดาร เอาเป็นว่าเมื่อหลายปีก่อน บรรดาแม่ชีในโรงธรรมวิชาบอกว่า “พวกฉันจะทำวิชา ส่งให้หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ เป็นพระสังฆราช” หลายปีมาแล้วนะ แล้วดูแนวโน้มตอนนี้ว่าเป็นไปได้ด้วย เพราะปัจจุบันนี่ถ้าเลือกเมื่อไรก็หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ เป็นพระสังฆราชเมื่อนั้น ถ้าเรามีกองทัพคอยหนุนอยู่แบบนี้ก็ดี แต่ไม่ต้องมาทำอะไรเผื่ออาตมาแบบนั้น รับภาระทั้งประเทศไม่พอ ยังต้องรับทั้งโลกไปด้วย เหนื่อยตายเลย ลูกศิษย์หวังดีแต่ไม่รู้หรอกว่าอาจารย์เหนื่อยจะตาย ตอนนั้นท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ วัดสระเกศ ยังปฏิบัติหน้าที่พระสังฆราชอยู่ ก็แปลว่าถ้าพระสังฆราชปุบปับเป็นอะไรไป ก็คือหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ต้องเป็นพระสังฆราช แต่แม่ชีเขากล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า เขาจะช่วยกันทำวิชาส่งหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ เป็นพระสังฆราชให้ได้ ถาม : อย่างนี้ถือว่าฝืนกรรมไหมคะ ? ตอบ : ต้องบอกว่าอะไรก็ตามที่สามารถทำได้ ไม่ถือว่าฝืนกฎของกรรม เพียงแต่ว่าในส่วนนี้ พวกเราก็แค่รับรู้ไว้เป็นข้อมูลเฉย ๆ เราอาจจะคิดว่าเป็นฝีมือแม่ชีทั้งหลายเหล่านั้นก็ได้ แต่คิดอีกที บารมีหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านสร้างมา ท่านจะต้องเป็นของท่านอยู่แล้ว ต่อให้ไม่มีแม่ชีท่านก็ต้องเป็นจนได้ |
ไปนึกถึงพลเอกเจ้าพระยาพิชเยนทร์โยธิน ตอนที่ในหลวงรัชกาลที่ ๘ ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ต้องมีคณะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ท่านก็เป็นหนึ่งในคณะนั้น พอมาในหลวงรัชกาลที่ ๙ ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ท่านก็เป็นหนึ่งในคณะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน คราวนี้นับแล้วก็เท่ากับท่านครองราชย์ ๒ สมัย แสดงว่าบารมีที่ท่านสร้างมานี่ อยู่ในระดับจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินเลย จึงต้องไปทำหน้าที่นั้นอยู่ถึง ๒ วาระด้วยกัน
แล้วก็มานึกถึงหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ท่านทำหน้าที่พระสังฆราชอยู่ ๒ วาระเหมือนกัน วาระแรกก็คือทำหน้าที่แทนไปเลย วาระที่สองก็คือเป็นประธานคณะผู้ทำหน้าที่แทน ก็ลักษณะเดียวกันคือของท่านก็เท่ากับเป็นพระสังฆราช ๒ รอบ แต่ว่าสมเด็จพระสังฆราชในนามก็คือสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก แต่คนทำหน้าที่จริง ๆ คือหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ เพราะฉะนั้นนับแล้วหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ เท่ากับเป็นพระสังฆราชไป ๒ รอบ หนักกว่าอีก แต่หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ ถ้าท่านขึ้นมาก็เท่ากับเป็น ๒ รอบเหมือนกัน เป็นคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่ ๑ รอบ และเป็นเอง ๑ รอบ ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ต้องใช้รถยนต์หลวงประจำพระองค์ เพราะฉะนั้น..ใครก็ตามที่ทำหน้าที่นั้น สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติต้องประสานสำนักพระราชวัง ขอรถยนต์หลวงประจำตำแหน่ง มีอยู่เที่ยวหนึ่งไปประชุมเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมที่วัดสุวรรณภักดี ที่จังหวัดตราด หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศติดภารกิจ มอบหมายให้หลวงพ่อพระพรหมดิลก วัดสามพระยา ไปทำหน้าที่แทน เท่ากับท่านเป็นองค์แทนผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช เขายังต้องประสานขอรถยนต์หลวงไปส่ง เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้ว ถ้าเราเข้าใจในเรื่องของยถากัมมุตาญาณ คือบุญเก่าที่ทำมา ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเราไม่เข้าใจในตรงจุดนี้ก็อย่างที่เขาว่ามา คือเชื่อว่าเขาทำจนเป็นไปได้เหมือนกัน เขาบอกว่าเขาจะทำหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ ให้เป็นพระสังฆราชให้ได้ เขาก็ทำของเขาจนได้ แต่ถ้าเรามาดูตรงจุดนี้ว่า ถ้าหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ ทำบุญบารมีของท่านมา อย่างไรก็ต้องขึ้นเป็นพระสังฆราช ต่อให้ไม่มีคณะแม่ชีมารวมทำวิชา ท่านก็ต้องเป็นจนได้ |
ถาม : ถ้ามีคนทะเลาะกัน ไปขอให้พระท่านสงเคราะห์ ขอให้ท่านช่วยอย่าให้มีการบาดหมางกันจะเป็นไปได้ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นไปได้ เพียงแต่ถ้าเป็นพระจริง ๆ ส่วนใหญ่ท่านยอมรับกฎของกรรม ท่านก็จะแนะนำไปตามสภาพของท่าน ต้องออกไปทางแนวไสยศาสตร์เลย อย่างสมัยก่อนไปหาท่านอาจารย์ชุม ไชยคีรี เอาน้ำมันหนูกับแมวไปใช้ คือท่านเสกน้ำมันเอาไปทาหนูกับแมว แล้วให้อยู่กรงเดียวกันได้ บางทีเขาเรียกคาถาวัวกินนมเสือ หนูกินนมแมวอะไรพวกนั้น ต้องเล่นไปทางด้านโน้น ถาม : ก็ดีนะครับ ทำให้คนไม่ทะเลาะกัน ตอบ : ใช่...แต่ว่าส่วนใหญ่ท่านอาจารย์ชุมจะให้แต่เฉพาะครอบครัวที่แตกแยก ก็คือผัวเมียทะเลาะกัน แต่ถ้านอกเหนือจากนั้นท่านก็ไม่ไปยุ่งกับเขาหรอก ถาม : เขามีคาถาหรือครับ ? ตอบ : เขาเสกน้ำมันตามวิชาของเขา แล้วก็เอาน้ำมันนั้นไปใช้ เสียดายท่านอาจารย์ชุมท่านตายไปแล้ว คุณลองไปค้นดู สมัยก่อนท่านอาจารย์ชุมท่านตั้งสำนัก ชื่อสำนักกุญแจไสยศาสตร์ ลองไปดูในอินเตอร์เน็ต ไม่รู้ว่ามีลูกศิษย์สืบสายมาหรือเปล่า ? ถ้ามีก็ไปขอน้ำมันนี้มา จริง ๆ ช่วยได้เยอะนะ ท่านเองก็อยู่ลักษณะสร้างบารมีช่วยคนอื่นเขา โดยเฉพาะลูกน้องกับเจ้านายไม่ชอบหน้ากัน เจอท่านอาจารย์ชุมเข้าไปนี่ เจ้านายรักลูกน้องตอนไหนก็ไม่รู้ น้ำมันขวดเดียวทาหนูกับแมวแล้วจับยัดเข้ากรงเดียวกัน ไม่ทำอะไรกันเลย อยู่ด้วยกันได้ ก็เลยเรียกว่าน้ำมันหนูกับแมว |
ถาม : มีคาถาบริกรรมไหมครับ ?
ตอบ : เขาจะมีตำราของเขาอยู่ ท่านอาจารย์ชุมศึกษามาจากสายเขาอ้อ ถาม : จะได้ผลแค่ชั่วคราวหรือเปล่า ตอบ : ถ้าไม่ไปฝืนคำห้ามของเขาก็ใช้ได้ผลตลอดไป เขามีพวกข้อห้ามของเขาเล็ก ๆ น้อย ๆ ถ้าไปฝืนบางทีของตัวเองก็เสื่อม ทางสายเขาอ้อเขาจะค่อนข้างเคร่งครัดมาก แบบพ่อปู่ขุนพันธ์สมัยก่อน ท่านกินข้าวยังต้องเสกข้าวทีละคำ อาตมาก็ว่าตายห่..เราเป็นพระยังไม่ขนาดนั้นเลย |
ถาม : ที่เขาบอกว่ามีคนทำพิธีให้เขาทำมาหากินดีขึ้น มีจริงหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ถ้าตามที่เคยได้ยินมา เขาบอกว่าที่ดินตรงไหนขายไม่ได้ ให้ตั้งโต๊ะหมู่บูชา อัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงขึ้นไป จุดธูปเทียนบูชาแล้วประกาศบอกเจ้าที่ตรงนั้นว่า พื้นที่ผืนนี้ เราได้รับพระบรมราชานุญาตจากในหลวงให้เป็นผู้ครอบครองแล้ว ท่านใดที่เป็นเจ้าที่รักษาบริเวณนี้ ให้รับทราบว่า เราจะทำอะไรในที่นั้น อย่างเช่นจะขาย หรือจะปลูกบ้านอยู่ ให้ประกาศบอกท่านด้วย อ้างพระปรมาภิไธยในหลวง ให้รู้ว่าท่านคือพระเจ้าแผ่นดิน ท่านคือเจ้าของแผ่นดินทั้งประเทศ เรามีที่อยู่ยังไม่ใช่ที่ของเราเลย อย่าลืมว่าโฉนดทุกฉบับก็โดยพระบรมราชานุญาต ลองไปตั้งโต๊ะหมู่ดู อัญเชิญรูปในหลวงขึ้นไป บอกว่าเราได้รับพระบรมราชานุญาตให้มีสิทธิ์ในที่ดินผืนนี้ จะขอขายที่ดินผืนนี้ ขอให้เจ้าที่ช่วยเหลือด้วย แล้วเราจะถวายสังฆทานอุทิศให้ท่าน ถาม : ถ้าไม่มีเอกสารสิทธิ์ละคะ ? ตอบ : ไม่มีเอกสารสิทธิ์ก็เป็นของพระเจ้าแผ่นดินอยู่ดี เพียงแต่จะไปอ้างเอาท่าไหน เมื่อไม่มีหลักฐาน ถาม : เจ้าที่ไม่ต้องดูแลหรือคะ ? ตอบ : พระภูมิเจ้าที่ท่านดูแลเขตนั้นหลายตารางกิโลเมตร ๑ ตารางกิโลเมตรนี่ ๖๒๕ ไร่นะจ๊ะ แต่ว่าบริวารของท่านอยู่ทั่ว ๆ ไป ก็คือบรรดาพวกสัมภเวสีบ้าง พวกเปรต อสุรกายบ้าง แล้วพวกนี้แหละที่หวงที่ ไม่ใช่เจ้าที่ท่านหวง พวกนี้หวงที่เพราะเขาอยู่ตรงนั้น ไม่อยากให้ขาย เพราะฉะนั้น..ก็เลยต้องบอกเสียหน่อย ถ้าเจ้าที่ท่านตกลง ลูกน้องก็ไม่กล้าหือ ถาม : เคยเจอท่านที่มา กายเป็นสีแดง ตอบ : ถ้าเป็นพระภูมิเจ้าที่ ส่วนใหญ่มือขวาจะเป็นสีแดง ตั้งแต่ข้อศอกลงมา ถ้าแดงมากก็แสดงว่ามีอานุภาพมาก ถาม : แดงแค่ตรงมือหรือเปล่าคะ ? ตอบ : ส่วนใหญ่ก็แค่มือ ถ้ามากกว่านั้นแสดงว่าตั้งใจแกล้งแล้ว |
ถาม : คนธรรมดาไปเที่ยวพระนิพพานได้ไหมครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่ามีความสามารถแค่ไหน ถ้าความสามารถพอก็ไปได้ ถาม : ไปได้ทั้งตัวไหมคะ ? ตอบ : ถ้าได้อภิญญา ๕ วางกำลังใจเทียบเท่าพระโสดาบันได้ ก็ไปทั้งตัวเลย ถ้าได้มโนมยิทธิ วางกำลังใจเทียบเท่าพระโสดาบันได้ก็ถอดจิตไป ต้องบอกว่าคนที่ทำได้เขาไปกันเป็นปกติ ถ้าถามว่าไปได้ไหม ? ต้องถามกลับว่าทำได้ไหม ? ถ้าทำได้ก็ไปได้ |
ถาม : คนที่ได้อภิญญา ๕ กับคนที่เป็นเทวดา ฤทธิ์จะต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : เทวดาเหนือกว่าหลายร้อยเท่า เพราะของท่านเป็นโดยธรรมชาติ คนที่เป็นโดยธรรมชาติ กับคนที่หัดขึ้นมานี่ต่างกัน คนที่หัดขึ้นมาก็เด็กหัดใหม่ดี ๆ นี่เอง ถาม : กำลังของคนที่ได้อภิญญา ๕ พอสิ้นแล้วนอกจากไปเกิดเป็นพรหมแล้ว สามารถไปเป็นเทวดาได้ไหมครับ ? ตอบ : ถ้าต้องการอย่างนั้นก็ได้ ถาม : ถือว่าเป็นวิบากหรือเปล่า ? ตอบ : จะว่าไปแล้ว บางทีการตั้งความปรารถนาอย่างนั้น ก็เป็นความชอบเฉพาะตัว หลวงพ่อวัดท่าซุงไปเจอภูมิเทวดาเป็นพระอนาคามี ท่านตกใจว่าระดับนั้นทำไมไม่ไปอยู่สุทธาวาสพรหม พระภูมิท่านบอกว่า ตอนก่อนตายคิดว่าเพื่อนอยู่แถว ๆ นี้ ก็เลยจะไปหาเพื่อน แทนที่จะไปอยู่สุทธาวาสพรหม ตัวเองเป็นพระอนาคามีกลับต้องมาเกิดเป็นภุมมเทวดา เพราะตอนสุดท้ายใจไปเกาะอยู่ที่นั่น ถาม : พระอนาคามีท่านละกามรูปได้แล้ว แต่ทำไมยังมาเกิดในกามาวจรอีกครับ ? ตอบ : ท่านเองไม่ได้ไปตามกติกา แต่ไปตามสภาพปรุงแต่งใจของตัวเองว่าต้องการอยู่ตรงนั้น ในเมื่อคนที่มีเงินมาก แต่เขาต้องการอยู่กระต๊อบ คุณก็อยู่ไปเถอะ..เป็นสิทธิของคุณ จริง ๆ แล้วอยู่บนโน้นก็แบบเดียวกับท้าวมหาราชทั้งสี่ ที่ปัจจุบันที่เป็นพระอนาคามี ถึงเวลาพ้นก็พ้นไปเลย ถ้าสูงกว่าแล้วมาอยู่ต่ำกว่าไม่น่าเกลียด แต่ถ้าต่ำกว่าขึ้นไปอยู่ที่สูงกว่าไม่ได้ |
ถาม : ผู้ที่อยู่นิพพานเขาทำอะไรครับ ?
ตอบ : ไปเสียเองจะได้หายสงสัย ไม่อย่างนั้นบอกไปก็เท่านั้นแหละ ก็ยังคันอยู่เหมือนเดิม สงสัยอยู่เหมือนเดิม สมมติว่าเราเรียนจบแล้ว เรียนจบแล้วยังมีงานทำไหม ? ก็มี ส่วนใหญ่ท่านที่อยู่บนพระนิพพาน เรียนจบแล้วก็ไปเป็นครูเขา คอยดูว่าใครพอจะสงเคราะห์ได้บ้าง ต้องบอกว่าเหนื่อยไม่เลิก เรียนจบแล้วก็ยังเหนื่อยต่อ เพียงแต่ท่านเหนื่อยแบบไม่มีภาระ สงเคราะห์ตามวาระบุญตามวาระกรรมก็เท่านั้น ถ้าเกินนั้นไปก็ยืนดู เมื่อไรมีโอกาสก็ช่วยใหม่ แต่เป็นการช่วยในลักษณะของการประคับประคอง ให้เป็นไปตามกุศลที่จะพึงได้ พยายามที่จะให้ห่างอกุศลให้ได้ ก็อาจจะต้องช่วยด้วยการดลจิตดลใจให้ไปสร้างกุศลเพิ่มขึ้น ถาม : พระนิพพานนี้ไม่มีขันธ์หรือเปล่าครับ ? ตอบ : ถ้าไปว่าตามแบบที่เราเข้าใจนี่เราว่ามี แต่ถ้าบุคคลที่อยู่ตรงนั้น จะเรียกว่าเป็นขันธ์ก็เป็นส่วนที่พิเศษนอกเหนือการปรุงแต่งไปแล้ว กลายเป็นอสังขตธรรม ธรรมที่นอกเหนือการปรุงแต่งไปแล้ว เพราะฉะนั้นในส่วนนอกเหนือการปรุงแต่ง ถ้าพูดเป็นภาษามนุษย์ก็อธิบายกันตายไปข้างหนึ่ง สรุปว่าท่านที่ไปได้เห็นว่ามี แต่ว่าสภาพที่มี ไม่ใช่มีลักษณะอย่างที่พวกเรามีกัน ส่วนจะมีอย่างไรก็ต้องไปว่ากันอีกทีหนึ่ง |
ถาม : การเข้าถึงพระนิพพานของแต่ละคนเหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : ไปถึงที่โน่นแล้วเข้าถึงความบริสุทธิ์เหมือน ๆ กันหมด แต่ว่าความมากน้อยของการสร้างบารมีมา ทำให้มีความต่างอยู่เหมือนกัน อย่างเช่นว่ามีรัศมีกว้างกว่า มีกายใหญ่กว่า เหล่านั้นเป็นต้น แต่ว่าเข้าถึงความบริสุทธิ์เหมือน ๆ กัน ถาม : ไปพระนิพพานแล้วเบื่อพระนิพพานไหมครับ ? ตอบ : ไปให้ได้ก่อน ถ้าเบื่อนี่คาดว่าคุณจะเป็นคนแรกเลย ไม่เป็นไร ถ้าเบื่อแล้วอนุญาตให้ลาออกได้ แค่เทวดายังหลงมัวเมาจนกระทั่งลืมตายเลย แล้วถ้าไปถึงพระนิพพาน ความเป็นทิพย์ละเอียดขนาดนั้น ถ้ามีการเบื่อได้ก็ดีสิ อารมณ์ใจท่านหมดการปรุงแต่งไปแล้ว ความเบื่อเป็นเรื่องของมนุษย์ธรรมดาอย่างเรา ในเมื่อท่านพ้นการปรุงแต่งไปแล้ว ไม่หวั่นไหวด้วยสิ่งใด ๆ ทั้งปวง แล้วจะเอาอะไรมาเบื่อวะ..?! |
ถาม : สายวัดป่ามีคำว่า การม้างกาย ใช่กายคตาสติหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ก็กายคตาสตินั่นแหละ คำว่าม้างกาย ก็คือค้นให้กระจายเป็นชิ้น ๆ ไปเลย ลักษณะเหมือนกับทำลายให้เป็นชิ้น ๆ ไปเลย นั่นก็คือการพิจารณากายคตาสติ ดูอาการ ๓๒ ภาษาอีสานเขาว่าอย่างนั้น เขาไม่ได้ใช้บาลีเท่านั้นเอง |
ถาม : พระอริยะที่เป็นพระท่านจะสึกไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นจริง ๆ คิดว่าคงสึกยาก เพราะว่าด้วยความที่ท่านเคารพพระรัตนตรัยจริง ๆ แล้วตนเองก็เป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัยไปแล้ว ก็เลยไม่รู้ว่าจะสึกไปทำไม ? เพราะฉะนั้น..รีบเป็นเสียตั้งแต่ตอนเป็นฆราวาสดีกว่า ถ้าเป็นตอนเป็นพระเดี๋ยวไม่ได้สึก..! |
ถาม : พระโสดาบันในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ยังไม่สามารถตัดกิเลสได้ จนมาเจอพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ทำไมจึงไม่มีกล่าวในพระสูตรว่า พระโสดาบันได้มาอุบัติในชาตินี้แล้วก็ทำมรรคผลให้เกิด ?
ตอบ : ไม่ได้ให้รายละเอียดไว้ แต่ก็พอที่จะอนุมานได้ อย่างคู่ของปิปผลิมาณพกับนางภัททกาปิลานี ที่ตอนหลังก็คือพระมหากัสปะกับภัททกาปิลานีภิกษุณี คู่นี้แต่งงานกัน นอนหันหลังให้กันอยู่ตั้งหลายปี คาดว่าถ้าไม่ได้ถึงขนาดพระสกทาคามีหรือโสดาบันละเอียด ย่อมไม่มีทางทำได้ ถาม : หมายความว่าก่อนมาเกิดท่านเป็นพรหมมาก่อน ? ตอบ : อาจจะใช่ อย่าลืมว่าจะเป็นพรหมหรืออะไรก็ตามเถอะ ลงมาโลกมนุษย์ก็กิเลสท่วมหัวเหมือนเดิม ยกเว้นอย่างเดียวว่าท่านต้องเป็นพระอริยเจ้าระดับนั้น เพราะว่าถ้าเป็นพระโสดาบันเอกพีชี หรือพระสกทาคามี รัก โลภ โกรธ หลง บางเต็มทีแล้ว ท่านถึงสามารถนอนหันหลังให้กันอยู่ตั้งหลายปี ของเราสมัยนี้ขนาดอยู่ปราสาท ๗ ชั้น ยังตะกายขึ้นไปหากันเลย เพราะฉะนั้น..ในส่วนที่กล่าวถึงตรง ๆ นั้นไม่มี แต่ในส่วนที่เราพออนุมานได้ว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นมีเหมือนกัน เพียงแต่ท่านไม่ได้บอกไว้ตรง ๆ เท่านั้นเอง ถาม : เป็นเพราะว่าผู้ที่มาจากชั้นพรหมเป็นผู้ที่ได้ฌานมาก่อน แล้วอุุบัติมาในมนุษย์โลก ด้วยวิสัยเดิมที่ชอบใจในฌานหรือข่มกิเลสได้ ก็ทำให้ไม่ชอบในราคะ ? ตอบ : ย้อนกลับไปที่ฤๅษีตกสวรรค์ กรณีนั้นเข้าอภิญญาด้วยซ้ำไป เหาะผ่านเห็นสาวอาบน้ำยังร่วงเลย แล้วนั่นท่านนอนอยู่ห้องเดียวกัน ถ้าไม่มั่นคงขนาดกำลังพระอริยเจ้าเอาไม่อยู่หรอก ถาม : แต่ท่านไม่ได้กล่าวรายละเอียดไว้ ? ถาม : ไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรไว้ แต่นี่เป็นการอนุมานเอาว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น |
ถาม : พระโสดาบันเวลาฌานเกิดขึ้นแล้วเสื่อมได้ไหมครับ ?
ตอบ : กำลังฌานเสื่อมได้ แต่ว่ามรรคผลที่ได้ไม่เสื่อม เพราะว่ากำลังฌานเนื่องด้วยกายมาก เอากำลังฌานแล้วใช้ปัญญาควบไปในการตัดกิเลส ตัดขาดแล้วขาดเลย เพราะฉะนั้น..ฌานเสื่อมได้ แต่มรรคผลไม่เสื่อม ถาม : รวมถึงโลกุตรฌานไหมครับ ? ตอบ : คำว่าฌานสมาบัติ พอถึงพระโสดาบันก็คือโลกุตรฌาน แต่ทีนี้ฌานสมาบัติเนื่องด้วยร่างกาย ถ้าร่างกายไม่ดีก็เสื่อม เอาแค่พระอัสสชิแล้วกัน นั่นพระอรหันต์นะ เวลาฌานเสื่อมถึงขนาดเจ็บปวดโอดโอย จนต้องส่งพระไปถามพระพุทธเจ้าว่า “ความดีของข้าพระพุทธเจ้าสูญไปหมดแล้วหรือ พระพุทธเจ้าข้า” พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า “ดูก่อน..อัสสชิ เธอเห็นร่างกายนี้เป็นของเธอหรือเปล่า ?” “ไม่ได้เห็นเลยพระเจ้าข้า” “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เสื่อม” เพียงแต่สมาธิตก กำลังคุมร่างกายไม่ได้ อาการเจ็บปวดแสดงเต็มที่ ก็โอดโอยไปตามสภาพ เป็นปกติ เพียงแต่สภาพจิตของท่านที่ตัดกิเลสได้แล้วไม่ได้เสื่อม แค่กำลังสมาธิตก |
ถาม : เข้าสมาธินานดีกว่าเข้าน้อย ๆ จริงไหมครับ ?
ตอบ : ดีกว่าจริงนะ แต่ถ้าสำหรับท่านที่ไม่คล่องตัวจริง ๆ ก็ต้องพัก ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวน็อก โดยสภาพร่างกายแล้วตามปกติก็ต้องพักตามสภาพของเขา วิศวกรอาจจะบอกว่ารถยนต์เดินรอบเบา ดีกว่าไปดับทิ้งไว้เฉย ๆ เพราะอย่างน้อยการหล่อลื่นมีตามปกติ พอดับเครื่องทิ้งแล้วน้ำมันหล่อลื่นตกไปก้นแทงก์ กว่าจะดึงขึ้นมาใหม่ในระยะของการสตาร์ทใหม่ การสึกหรอจะมีมาก เราเองไม่ต้องไปดับเครื่องหรอก เราติดเครื่องไปตลอดก็ได้ ถ้าตามตำราเขาว่ามาก็ใช่ แต่เดี๋ยวน้ำมันหมด เพราะฉะนั้น..ให้พักบ้างเถอะ ถาม : บางทีคิดจะนอนก็รู้สึกว่าเสียเวลา นั่งสมาธิสวดมนต์ก็ยังดี ? ตอบ : อย่างไรก็ให้นอนหน่อยแล้วกัน ไม่ได้ ๘ ชั่วโมง เอาสัก ๒ - ๓ ชั่วโมงก็ยังดี |
ถาม : ในขณะที่เข้าฌาน กายก็ได้พัก หัวใจก็เต้นช้ามาก เบามาก ก็น่าจะเป็นการพักผ่อน ?
ตอบ : เป็น..แล้วก็เป็นการพักผ่อนที่แท้จริงด้วย แต่ในความรู้สึกของคนทั่ว ๆ ไปไม่ใช่การพัก เพียงแต่ว่าในสภาพของร่างกายของเรา ถ้าทำในลักษณะนั้นอยู่บ่อย ๆ เหมือนกับอวัยวะภายในบางส่วนได้พักไปด้วย เพราะว่าหยุดการทำงาน หรือว่าทำงานน้อยลง จริง ๆ จะว่าไปแล้วให้ผลดีมากกว่าเสียด้วยซ้ำไป แต่ว่าในส่วนของสภาพร่างกายบางส่วน อย่างเช่นสมอง บางทีไม่ได้หยุดพักตามสภาพ อย่างน้อย ๆ ก็ปิดให้สักหน่อยก็ยังดี ร่างกายของเราได้พักเป็นปกติ สภาพจิตไม่ได้หลับหรอก สภาพจิตตื่นรู้ของตนอยู่ จะหลับจะตื่นความรู้สึกเท่ากัน เพราะฉะนั้น..ร่างกายบางทีหลับได้ยินเสียงกรนด้วย แต่เอ๊ะ..เราไม่ได้หลับแล้วกรนได้อย่างไร ? ก็ตัวหลับไปแล้ว ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : อยู่ที่เราว่ากำหนดจิตให้ตื่นเวลาไหน หรือว่าเราขอให้เทวดาท่านช่วยสงเคราะห์ แต่ถ้าตามประสบการณ์ที่ผ่านมา เวลาป่วยมาก ๆ บางทีก็ไม่มั่นใจเรื่องสมาธิตัวเอง ต้องขอเทวดาท่านช่วยสงเคราะห์ อย่างเช่นว่าก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านจะเรียก ๑๕ นาที ขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์ให้รู้ตัวก่อน แล้วมีกำลัง มีสติเพียงพอที่จะทำงานได้อย่างเต็มที่ ถึงเวลาอยู่ ๆ อาการเจ็บไข้ได้ป่วยคลายไปเฉย ๆ ลุกขึ้นนั่งพรวดพราดได้ หูตาสว่างเต็มที่ ดูนาฬิกาได้เลย ๑๕ นาทีพอดี หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านจะโทรมา การพักในฌานจริง ๆ จะว่าไปแล้วช่วยอะไรต่อมิอะไรได้เยอะมากเลย อย่างที่ฝรั่งเขาทดสอบพวกโยคี ขนาดจับฝังดินเป็นเดือน ๆ ขุดขึ้นมายังไม่เป็นไรเลย เพราะว่าระบบร่างกายหยุดหมด เหลือแต่ลมหายใจละเอียดซึ่งต้องการออกซิเจนน้อยมากเลย แค่โลงใบหนึ่งอากาศตั้งเท่าไร ใช้ได้เป็นเดือน |
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : บุคคลที่ไม่มีลมหายใจมีอยู่ ๘ ประเภท คนสลบที่อาการเหมือนกับหลับลึก ก็คือประเภทนี้ อาการเหมือนกับคนไข้ช็อก แต่จริง ๆ แล้วคนที่จะสลบประเภทนี้ได้ ต้องมีพื้นฐานสมาธิมามากพอ ไม่ใช่สลบธรรมดา แต่เป็นสลบแบบเข้าฌาน คราวนี้ภาษาชาวบ้านเขาใช้คำว่าสลบ แต่รู้อยู่ข้างใน แล้วคนประเภทนี้แหละที่เวลาหมอเขาผ่าตัดแล้ว โอ๊ย..เจ็บจะตายชัก เพราะรู้ทุกอย่าง เพียงแต่ไม่ได้คลายสมาธิออกมา สลบแบบเข้าสมาธิ ท่านบอกว่า ทารกในครรภ์ บุคคลที่ดำน้ำ พรหมเทวดา บุคคลที่ถึงแก่วิสัญญีภาพไป ฯลฯ มีอยู่ ๗ - ๘ ชนิด รวมถึงบุคคลที่เข้าฌานสมาบัติในระดับสูง เป็นบุคคลที่ไม่มีลมหายใจ |
ถาม : เวลาร่างกายเราไม่ไหวมาก ๆ เราแค่บอกไปว่าเดี๋ยวก็ดีเอง
ตอบ : ระวังจะกองอยู่ข้างทาง ร่างกายของเรา เราสั่งได้ ก่อนจะถึงที่เหมาะสม อย่าเพิ่งปล่อย ถ้าคลายกำลังใจออก จะไปเลย มีโยมอยู่คนหนึ่ง เป็นมาลาเรียเหมือนอาตมา แล้วเขาก็สงสัยว่าทำไมไปร่วงกลางทางประจำเลย เขาใช้คำว่า "หลวงพี่ยังทำได้เลย" อาตมาทำได้นี่ทำแบบไหน เขารู้ไหม ? ถ้าไม่ถึงที่ อาตมาไม่คลายกำลังใจออก ก็ไปได้ ของเขาไม่ดูตาม้าตาเรือ..ไปเรื่อย ๆ พอหมดสภาพก็ร่วง เพราะฉะนั้น..ถ้าถึงเวลาเราต้องสั่งร่างกาย ไปให้ถึงที่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถาม : บอกภายในกายว่า ถ้าตราบใดที่เรายังมีลมหายใจเข้าออก ร่างกายยังไม่ร่วง เราก็ต้องอดทน ? ตอบ : ถ้าจิตกับประสาทเริ่มแยกจากกัน จะไม่รับรู้อาการของร่างกาย ก็ไปทื่อ ๆ เหมือนกับหุ่น บางทีร่างกายไม่ไหว เราก็ต้องเข็นไป อาตมาเดินบิณฑบาต เตะก้อนหินจนกระทั่งเล็บหลุดมาทั้งอัน แต่ไม่รู้ตัวหรอก ไปยืนรอรับบาตรแล้วพระเขาชี้ให้ดู โอ้โฮ...เลือดเป็นกองเลย ช่วงยืนรอรับบาตรจากโยมหน่อยเดียว เลือดไหลเรื่อย ตอนเดินก็ไม่รู้ตัว ตอนยืนมากองให้เห็นถึงจะรู้ อ้าว..ตายห่..เล็บหายไปอันหนึ่งแล้ว อย่าพยายามเข็นมากนัก หากว่าพักได้รักษาได้ก็จัดการเสียก่อน ช่วยให้อยู่ในสภาพที่ไม่ชำรุดมากนัก ถ้าเราจำเป็นต้องใช้ต่อ จะได้อยู่ในลักษณะพอมีคุณภาพบ้าง ถ้าชำรุดมาก ๆ เดี๋ยวหมดคุณภาพขึ้นมา ก็รวนแย่เหมือนกัน |
ถาม : อย่างกำหนดนั่งสมาธิครึ่งชั่วโมง เราเกิดฟุ้งซ่าน เราควรจะนั่งครบครึ่งชั่วโมงไหมครับ ?
ตอบ : ทำให้ครบ ตั้งใจว่าไม่ครบไม่เลิก ร่างกายของเราพอโดนบังคับเข้าบ่อย ๆ รู้ว่าไม่ถึงเวลาไม่ได้เลิก ท้ายสุดก็จะยอมรับเอง แต่ส่วนใหญ่พอกวนหน่อย เราก็..เลิกก็ได้วะ แบบนี้ก็เสร็จ..! ถาม : อะไรกวนคะ ? ตอบ : กิเลสกวน กิเลสที่อาศัยร่างกายเขาเรียก ขันธมาร กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในใจเรียกว่า กิเลสมาร กิเลสที่อาศัยผู้อื่นเขาเรียกว่า เทวปุตตมาร กิเลสที่อาศัยการปรุงแต่งของสภาพจิตใจของเรา ไม่ว่าจะไปในเรื่องของกุศล อกุศล เขาเรียก อภิสังขารมาร แล้วพวกสุดท้ายไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็พาเราตายไปเลย เรียกว่า มัจจุมาร |
ถาม : เวลาพระเจริญสมาธิ เวลาท่านเห็นร่างกายคนอื่นเป็นอสุภะ ท่านเห็นตลอดเวลาหรือเฉพาะเวลาท่านเจริญกรรมฐานครับ ?
ตอบ : ก็ต้องไปถามท่านเอง ว่าท่านทรงอยู่ตลอดเวลาหรือเปล่า ? เพราะในลักษณะนั้นเป็นการทรงฌานในอสุภกรรมฐาน ถ้าคลายสมาธิลงก็จะไม่เห็น ถ้าทรงสมาธิอยู่ก็จะเห็น ต้องถามท่านว่าทรงอยู่ตลอดหรือเปล่า ถ้าทรงเป็นระยะก็เห็นเป็นระยะ ถ้าทรงเฉพาะตอนปฏิบัติก็เห็นแค่ตอนนั้น ถาม : เวลาเห็นอสุภะต้องพิจารณาเพศตรงข้ามหรือเปล่าครับ ? ตอบ : ถ้าว่ากันตามตำราจริง ๆ ท่านบอกว่า ให้พิจารณาร่างกายของเพศเดียวกัน เพื่อป้องกันกามราคะกำเริบ เพราะถ้าไปคิดถึงเพศตรงข้าม เผลอเมื่อไรเดี๋ยวจิตจะปรุงแต่งไปเรื่องของ รัก โลภ โกรธ หลง แต่สมัยนี้ที่ชอบเพศเดียวกันก็มี เพราะฉะนั้น..ให้ไปพิจารณาเพศที่เราไม่ชอบก็แล้วกัน |
ถาม : แล้วเราจะทราบได้อย่างไรครับว่า ตอนไหนควรพิจารณาเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เพราะเราต้องรู้ว่าคันนี้เป็นรถวอลโว่ คันนี้เป็นรถเบนซ์ นี่เป็นหญิงชื่อคนนั้นคนนี้ ?
ตอบ : แสดงว่าเรายังคุมกำลังใจไม่ได้ ถ้าตราบใดที่การรับรู้เริ่มขยายมากขึ้น จิตจะปรุงแต่งมากขึ้น กิเลสก็จะกินเราได้ง่ายขึ้น เพราะฉะนั้น..ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ในตอนฝึกใหม่ ๆ จะเหมือนกับคนไม่เอาใคร เพราะจะเอาแต่รักษากำลังใจตัวเอง จะเข้าสังคมกับเขายาก จนกว่าจะเกิดความคล่องตัว สามารถตั้งกำลังใจเมื่อไรก็ได้ ถ้าอย่างนั้นจึงจะกลับไปเป็นคนปกติอีกทีหนึ่ง ถาม : เราจะรู้ว่าเป็นธาตุ เราต้องรู้ว่าเป็นหญิงชายก่อนไหมครับ ? ตอบ : เขาเห็นจนกระทั่งจิตยอมรับจริง ๆ ว่าไม่มีอะไร ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เกิดจากธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบกันขึ้นมา ในเมื่อเห็นในลักษณะนั้นก็เลยสักแต่เห็นว่าเป็นรูป เห็นว่าเป็นธาตุ การปรุงแต่งของใจจะไม่มี แต่ก่อนที่จะถึงระดับนั้น เผลอเมื่อไรก็ปรุง |
ถาม : สุภสัญญา ของที่ไม่สวยงามกลายเป็นของสวยงาม ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วในความหมายของเขา สุภสัญญาจัดเป็นวิปลาสอย่างหนึ่ง คำว่าวิปลาสก็คือความเห็นผิด สภาพทั่ว ๆ ไปของร่างกายของบุคคลชายหญิง ประกอบไปด้วยธาตุ ๔ มีเลือด มีน้ำเหลือง น้ำหนอง มีความสกปรกเป็นปกติ แต่ปัญญาเราไม่พอ เลยไปเห็นว่าสวยงาม ในเมื่อเราไปเห็นว่าสวยงามขึ้นมา ก็เลยทำให้เราไปยึดไปเกาะ ในเมื่อเกิดความยึดเกาะในร่างกายของตนเอง เกิดความยึดเกาะในร่างกายของคนอื่น ก็ไม่สามารถจะพ้นไปได้ เขาเรียกว่าวิปลาสในอสุภสัญญา ว่าเป็นสุภสัญญา คือเห็นของไม่สวยงามเป็นของที่สวยงาม ต้องแก้ไขโดยการให้เห็นตามความเป็นจริง ก็คือให้ไปเจริญอสุภกรรมฐาน |
ถาม : ในกรณีที่ว่าพระไปบิณฑบาตแล้วได้ของกินที่ดูไม่ได้ ท่านทำใจอย่างไรให้บริโภคอาหารเข้าไปได้ ?
ตอบ : พิจารณาว่าเรากินเพื่อรักษาอัตภาพร่างกายนี้ไว้ปฏิบัติธรรม เพื่อให้ถึงจุดหมายที่ตัวเองต้องการเท่านั้น เพราะว่าอาหารจะอร่อยหรือไม่อร่อย ประณีตหรือไม่ประณีตก็ตาม ถึงเวลากินลงไปแล้วก็ย่อยสลายออกมา กลายเป็นของปฏิกูลน่าเกลียดเหมือน ๆ กันหมด ในเมื่อมองในลักษณะนั้น ท้ายสุดก็ฝืนกินลงไปจนได้ ต้องดูที่พระพุทธเจ้าบิณฑบาตครั้งแรก พระองค์ท่านเห็นอาหารแล้ว เหมือนกับลำไส้จะปลิ้นออกมาทางด้านนอก ก็คือจะอ้วก เพราะว่าอยู่ในวังเคยเจอแต่ของดี ๆ ทั้งนั้น ไปเจออาหารชาวบ้านจึงฉันไม่ได้ ท้ายสุดก็ตัดใจว่า ถ้าเราไม่สามารถที่จะละสิ่งทั้งหลายแค่นี้ได้ เราก็ไม่สามารถจะไขว่คว้าหาโมกขธรรมที่เราต้องการได้ ในเมื่อการเจตนา ตั้งใจหาโมกขธรรมของเรา เพื่อช่วยเหลือคนหมู่มาก ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น เรื่องเล็ก ๆ แค่นี้ทำไมเราจะทำไม่ได้ พระองค์ท่านก็ฉันลงไป |
ถาม : อานาปานสติยกขึ้นสู่อรูปฌานได้ไหมครับ ?
ตอบ : อานาปานสติจริง ๆ เป็นส่วนของอรูปฌานอยู่แล้ว เพราะว่าอรูปฌานไปจากรูปฌานนั่นแหละ เพียงแต่อาศัยกสิณกองใดกองหนึ่ง ที่ไม่ใช่อากาสกสิณ ถึงเวลาแล้วก็เพิกภาพกสิณนั้นเสีย แล้วก็หันไปพิจารณาแทน เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของอานาปานสติต้องมีอยู่เป็นปกติ แต่มีอยู่ในลักษณะเข้าถึงความชำนาญ อยากได้ระดับใดก็เข้าถึงระดับนั้นแล้ว แล้วถึงไปจับเรื่องอรูปฌานได้ ถาม : ที่บอกว่าอานาปานสติมีอรูปฌานอยู่แล้วในตัว ? ตอบ : อรูปฌานเป็นอานาปานสติอยู่ในตัวอยู่แล้ว ถาม : ลมหายใจนี่เป็นรูป ? ตอบ : เป็น..สามารถสัมผัสได้ สามารถกำหนดได้ ถึงเวลาเขาก็จะเข้าไปตามระดับของเขาเลย ในเมื่อเข้าตามระดับของเขาเลย จึงไม่ไปตามขั้นตอนของรูปฌานตามปกติ เพราะว่าเราทำรูปฌานตามปกติจนคล่องตัวระดับเข้าออกเมื่อไรก็ได้แล้ว ก็อาศัยกำลังนั้น พอไปเพิกภาพเสีย ก็เข้าไปตามระดับสมาธิที่ตนเองต้องการ พูดง่าย ๆ ว่าแทบไม่ต้องไปสนใจว่าเป็นลมหายใจเลย กระโดดข้ามบันไดไปที่ละขั้นตามที่ตนเองต้องการได้เลย |
พระอาจารย์เล่าว่า "พุทธาภิเษก ๒ ครั้งหลัง อาการหนักหน่อย พอนั่งลง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็นั่งทับกองวัตถุมงคลเลย ท่านนั่งเคี้ยวหมาก "บอกพระครูองอาจด้วย อะไรที่ไม่ใช่พระ..เสกยาก อย่าใส่เข้ามามากนัก" อาตมาเลยถามหลวงพี่องอาจว่าหลวงพ่อว่าอย่างนี้ หลวงพี่ท่านก็..แหะ ๆ "ก็มีบ้าง" ก็มีบ้างนี่คงเป็นคันรถแล้ว
ปรากฏว่าไปงานหลวงพ่อสิงห์เหมือนกันเลย ช้างเต็มคันรถ เจอไปเป็นชั่วโมง ลืมโลกไปเลย เพราะเสกของที่ไม่ใช่พระให้มีอานุภาพเหมือนพระ..ยากมาก ถ้าเป็นรูปพระอยู่จะเสกง่ายกว่า" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปกติออกพรรษาแล้ว อาตมาจะไปไหว้พระแก้วมรกต พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และวัดปฐมเจดีย์ ตอนนี้ยังขาดพระพุทธชินสีห์อยู่ เพราะหาจังหวะไปไม่ได้ คนเยอะ ปกติจะเปิดทุกวันพระ"
|
ถาม : ถ้าสมมติเป็นลูกยาเธอ เป็นเจ้าฟ้า พอบวชได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า จะใช้ฉัตรสามชั้นหรือฉัตรตามยศตัวเองครับ ?
ตอบ : ปกติแล้วก็แค่ ๓ ชั้น อยู่ที่ว่าจะได้รับพระราชทานพิเศษหรือเปล่า ? ในอดีตมายังไม่มีเจ้าฟ้ามาบวชจนถึงระดับพระสังฆราช มีแต่ระดับพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้า |
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่เป็นไร...เดี๋ยวค่อยชวน เดี๋ยวเขาใจอ่อนก็มาเอง สมัยฆราวาสอาตมาใช้เวลา ๗ ปี พาเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งเข้าวัด แรก ๆ อาตมาเขียนบทความเกี่ยวกับการสะสมดวงตราไปรษณียากรหรือแสตมป์ เขียนไปเขียนมา ก็มีการแจกแสตมป์ เขาก็ติดต่อมา หลังจากนั้นก็เห็นว่าบ้านใกล้กัน เลยไปมาหาสู่กัน คราวนี้เวลาไปไหนเขาก็ไปด้วย เพราะเขายังไม่มีเพื่อนผู้ชาย จะไปกินไปเที่ยวไปดูหนังฟังเพลงอะไรก็ไป แต่ถ้าถึงเวลาวัดท่าซุงมีงาน หรือว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมาบ้านสายลม อาตมาจะบอกเขาว่า ช่วงนี้ไม่ไปด้วย เพราะต้องไปวัด เขาเองก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้ขอตามมา ปีหนึ่งก็แล้ว ๒ ปีก็แล้ว ๓ ปีก็แล้ว ๗ ปีผ่านไป เขาถามว่าวัดมีอะไรดี ถึงได้ไปทุกเดือน เลยบอกเขาว่าถ้าอยากรู้ให้มาเอง เขาก็ตามมา ปรากฏว่าเอาเขาไปฝึกมโนมยิทธิแล้วได้เลย ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ต้องเสียเวลาชวน เขามาเอง ต้องบอกว่าบางทีกว่าวาระเขาจะเปิดให้ก็นาน แรก ๆ ถ้าอยู่ ๆ เราไปนำเสนอ ถ้าเขาไม่สนใจก็ไม่ว่า แต่ถ้าอาจจะมีการปรามาสแล้วจะเกิดโทษกับตัวเอง ก็เลยใช้วิธีนี้แหละ ถึงเวลาไปไหนไปด้วย แต่ถ้าตรงกับบ้านสายลมหรืองานที่วัดก็ทิ้งเขาไปงานที่วัด เลยเป็นการวัดความอดทนว่าใครทนกว่า อาตมาไม่ได้ทนหรอก เพราะทำเป็นปกติอย่างนี้อยู่แล้ว แต่ฝ่ายที่ต้องทนก็คือเขา เพราะปกติไปไหนไปด้วย พอมีงาน..ก็ไม่ไป ๆ ในที่สุดเขาแปลกใจ เอ่ยปากถามเอง กว่าจะถามผ่านไป ๗ ปีเต็ม ๆ ตั้งแต่อาตมาอายุ ๑๘ ปี จนถึงอายุ ๒๕ ปี แล้วหลังจากนั้น ๒ ปี เขาเข้าวัดเอง พอปีที่ ๓ อาตมาก็บวช สรุปว่า ๘ ปี ถ้าอาตมาบวชเสียก่อนเขาคงไม่ได้เข้าวัด |
บางคนอาจจะสงสัยว่า อายุแค่ ๑๗ - ๑๘ ปี เขียนบทความลงนิตยสารให้เขาได้ อาตมาเขียนหากินตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ...(หัวเราะ)... เขียนบทความ เขียนเรื่องสั้น เขียนสารคดี สารคดีเขียนยากที่สุดเพราะว่าต้องมีการอ้างอิง มีการค้นคว้าข้อมูลที่ชัดเจน บทความไม่หนักขนาดนั้น
เรื่องสั้นนี่โม้ได้เลย แรก ๆ ก็ได้ค่าเขียนหน้าละ ๕๐ บาท อยากได้เงินเยอะก็เขียนเยอะหน่อย ไป ๆ มา ๆ มีคนติดตามมากขึ้น ๆ เขาเพิ่มให้หน้าละ ๗๕ บาท แต่อาตมาเสียท่าเขาเพราะว่าต้นฉบับเขียนด้วยลายมือ แล้วลายมือตัวเล็ก คนลายมือตัวใหญ่เขาได้เปรียบ รับหน้าละเท่ากัน สมัยนั้นกระดาษเอสามด้วย ไม่ใช่เอสี่ ได้ยินทีหลังว่า บก.ต้องเอาไปพิมพ์ดีดให้อีกที แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เมื่อเขาไม่ได้ว่าอะไร อาจเป็นเพราะดูลายมือแล้วสบายตา ก็ปล่อยเลยตามเลย เขียนไปเรื่อย |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นในเว็บต่าง ๆ เขาเอาวัตถุมงคลของอาตมาไปออกกันเป็นที่ครึกครื้นรื่นเริง ต่างคนต่างก็อ้างว่าเป็นสายตรง ใกล้ชิด บอกเขาไปเลยว่า กระทู้ไหนที่ไม่มีพระขรรค์โสฬส ๘๔ ปีธรรมิกราช มาออกก็ไม่ใกล้ชิดจริงหรอก หรือถ้าจะให้ใกล้ชิดจริง ๆ ต้องเอาไม้ครูมาออก ไม้ครูทำเลียนแบบได้ แต่ลายมือเลียนแบบไม่ได้"
|
พระอาจารย์เล่าว่า "ส่วนใหญ่เวลาเจ้าใหญ่นายโตไปตามหาถึงวัดท่าขนุน ถามหาวัตถุมงคลรุ่นนั้นรุ่นนี้ เรียนท่านไปว่าขนาดคนทำยังไม่มีเลย..!
ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ ๙ ท่านมาหา ส่วนใหญ่แล้วข้าราชการที่ย้ายมาจากที่อื่น พอถึงเวลาย้ายเข้าพื้นที่ตรงไหน ก็ให้ลูกน้องไปเสาะหาว่ามีครูบาอาจารย์อะไรที่ชาวบ้านแถวนั้นเขานับถือ แล้วไปกราบ ก็ถือเป็นนโยบายที่ดี โดยเฉพาะนายอำเภอทุกท่านที่ย้ายเข้าทองผาภูมิ ต้องเข้าวัดท่าขนุนก่อน ...(หัวเราะ)... นายอำเภอบางท่าน อย่างท่านเลิศพรชัย ชัยฤทธิ์ ตัวเล็กนิดเดียว ขยันอย่าบอกใคร วัน ๆ ไม่ได้อยู่เฉยเลย เป็นนายอำเภออยู่ ๒ - ๓ ปี เข้าวัดนับครั้งไม่ถ้วน ส่วนใหญ่กิจกรรมรวมชาวบ้านก็มักจะอาศัยวัดเป็นหลัก ท่านเองก็ไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย เวลาไปร่วมงานส่วนใหญ่ก็ประกาศเชิญท่านเป็นประธานฝ่ายฆราวาสอยู่แล้ว" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาไปดูในเว็บไซต์ต่าง ๆ เขาเขียนถึงบรรดาครูบาทางเหนือ ใช้คำว่า "ครูบาเจ้า" ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เพราะคำว่าครูบาเจ้ามีที่มาที่ไปชัดเจน อันดับแรกคือบุคคลที่มีเชื้อสายเจ้า ๗ ตนของทางเหนือบวชเข้ามา ชาวบ้านจะเรียกว่าครูบาเจ้า อย่างเช่น ครูบาเจ้าเกษม เขมโก วัดสุสานไตรลักษณ์ ท่านเป็นเชื้อเจ้าลำปาง
อีกส่วนหนึ่งก็คือ เขาทำพิธียกขึ้น เป็นพระที่ได้รับความเคารพจากชาวบ้านมากเป็นพิเศษ ทำพิธีสวดยกขึ้นในท่ามกลางสงฆ์ให้ยกขึ้นเป็นครูบาเจ้า อย่างเช่น ครูบาเจ้าศรีวิชัย วัดบ้านปาง ถ้าไม่ได้อยู่ใน ๒ ฐานะนี้ เรียกว่าครูบาเจ้าไม่ได้ ปัจจุบันนี้เชื้อสายเจ้า ๗ ตนก็หายากมาก โอกาสแทบไม่มี ครูบาเจ้าที่ได้รับการสวดยกขึ้น ปัจจุบันนี้ได้ยินอยู่ท่านเดียว ก็คือครูบาเจ้ามนตรี ธมฺมเมธี วัดสุโทนมงคลคีรี ที่จังหวัดแพร่ ทางด้าน ๑๒ ปันนาทำพิธีสวดยกขึ้น เพราะว่าท่านไปสร้างคุณประโยชน์ให้กับเขามาก บางทีหนังสือพิมพ์บางแห่งเขาใช้คำว่าครูบาบ่มแก๊ส เร่งให้โตเร่งให้สุก เพราะปกติส่วนใหญ่สมัยก่อนจะบวชกันมา ๒๐ - ๓๐ พรรษา สร้างคุณประโยชน์ให้กับชาวบ้านมาก เขาถึงได้เรียกว่าครูบา ซึ่งมาจากครูบาอาจารย์นั่นแหละ อย่างสมัยก่อนเรียก บาจารี ก็คืออาจารย์ผู้เป็นแบบอย่าง เป็นทั้งครู เป็นทั้งอาจารย์เขา ก็เลยเรียกสั้น ๆ ว่าครูบา ปัจจุบันนี้ในเมื่อต่างคนต่างเรียกกันเป็นปกติ ก็เรียกกันไปตามนั้น แต่ถ้าถึงขนาดครูบาเจ้า อาตมาซึ่งรู้ที่มาที่ไป รู้สึกค่อนข้างจะเกินไป คือคนเรียก ๆ ด้วยความเคารพแต่ไม่รู้ที่มา คนรับก็ไม่รู้เหมือนกันว่าได้ทักท้วงบ้างหรือเปล่าว่าไม่ถูกต้อง เลยจะทำให้ไปกันใหญ่ จำเป็นที่จะต้องคอยเตือนสติกันไว้หน่อย ถ้าไม่รู้ธรรมเนียมเก่า ๆ แล้วไปทำผิด ก็จะผิดต่อไปเรื่อย ๆ" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "การสวดยกพระภิกษุสงฆ์ขึ้นไปสู่ตำแหน่งอันเป็นที่เคารพ ถ้าว่าตามแบบพวกเราก็จะมีพิธีมหาสมณุตมาภิเษก คือการยกสมเด็จพระสังฆราชที่เป็นเชื้อพระวงศ์ ขึ้นเป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า เช่น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส มีอยู่แค่ ๓ พระองค์เท่านั้น ที่เป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า เพราะว่าได้รับพิธีมหาสมณุตมาภิเษกยกขึ้นให้เป็น และทั้ง ๓ พระองค์นี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรม พระปรมานุชิตชิโนรส สังกัดมหานิกายอยู่พระองค์เดียว
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ปัจจุบันนี้ยังมีพระราชาฐานานุกรมของท่านอยู่ ยังมีพระปลัดซ้าย ปลัดขวา ปลัดกลาง ปกติในสมัยปัจจุบันจะมีแค่พระครูปลัด ถ้าเป็นสมเด็จพระสังฆราชจะมีพระมหานายก พระจุลนายก แต่ว่าในสมัยโบราณจะมีพระปลัดซ้าย ปลัดขวาอยู่ จะมีพระทักษิณคณิสร พระอุดรคณารักษ์ เป็นปลัดซ้ายขวา ปลัดกลางเขาเรียกว่า พระสมุหวรคณิสสรสิทธิการ พระราชาคณะปลัดกลาง มีวัดเดียว เป็นพระราชาคณะสถาปนาคอยดูแลพระอัฐิ ฉะนั้น ๓ ตำแหน่งนี้เป็นของวัดโพธิ์อย่างเดียวเลย วัดอื่นมีไม่ได้" |
พระอาจารย์เล่าว่า "เชือก ๓ ปม ของวัดท่าซุง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเรียกว่าเชือกสงคราม สมัยก่อนหลวงปู่รอด นครสวรรค์ ท่านถ่ายทอดวิชานี้สืบต่อกันมา แต่เวลาขอดเชือกต้องกลั้นหายใจว่าคาถา การกลั้นหายใจว่าคาถาบังคับให้สมาธินิ่ง พอถึงเวลาหลวงพ่อท่านออกมานั่งรอเวลาฉันเพล มาถึงท่านก็ม้วนดึง ม้วนดึง ม้วนดึง หายใจเฮือก "เฮ้อ..ตอนหนุ่ม ๆ ไม่เห็นเหนื่อยอย่างนี้วะ ตอนแก่แล้วกลั้นหายใจนาน ๆ ไม่ไหว"
ความจริงหลวงพ่อทำตามตำรา ตรงไปตรงมา ถ้าเป็นอาตมาเองแหกคอกกระจายไปแล้ว ในเมื่อต้องการสมาธิ ก็เข้าสมาธิให้สูงไปเลย หมดเรื่องหมดราว แต่ก็ว่าไม่ได้..วิชาของโบราณนี่แปลก อาตมาเคยแหกคอกมาหลายครั้งแล้วแต่ไม่สำเร็จ ถึงจะรู้ว่าเข้าสมาธิระดับนั้น แต่ถ้าไม่ทำตามเคล็ดของเขาก็ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ประเภทแหกคอกกระจายอย่างอาตมาไม่ค่อยจะสำเร็จหรอก หลวงพ่อท่านเรียนวิชาขอดเชือกนี้มาตั้งแต่ก่อนจะบวช แสดงว่าได้รับการถ่ายทอดมานานมาก สมัยที่ท่านเป็นทหารอยู่แล้วต้องไปรบในสงครามมหาเอเชียบูรพา ท่านทำเชือกให้ทหารในหมวดของท่าน ถึงเวลาขอดเสร็จก็วางให้ยิงเลย ยิงออกแต่ไม่ถูกสักนัด จ่อยิงเลยก็ไม่ถูกอีก เขาถึงได้ต้องการ ท่านเลยต้องไปขอดให้ลูกน้องทั้งหมวด อย่างไม่มี ๆ ก็หมวดละ ๓๐ กว่าคน" |
พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงพ่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรมหาเถระ) พระอุปัชฌาย์ของหลวงปู่มหาอำพัน ท่านไปสร้างวัดไว้ ๓ วัด คือวัดจุฬามณี วัดตรีรัตนาราม วัดสนามรัตนาวาส หลวงปู่มหาอำพันท่านเห็นว่าวัดสนามรัตนาวาสทรุดโทรมมาก ท่านจึงไปบูรณะให้
ปัจจุบันหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ ท่านก็สร้างวัดพุทธานุภาพ วัดธรรมานุภาพ วัดสังฆานุภาพ" |
ถาม : เตียงนอนที่คนอื่นเขานอนสบายกัน แต่ผมนอนทีไรปวดหลังทุกที เป็นเพราะว่าเป็นกรรมอะไร ?
ตอบ : พวกกรรมกรเก่าเหมือนอาตมา อาตมาก็นอนเตียงไม่ได้ นอนเตียงทีไรปวดหลังแทบตาย ขนาดไปยุโรป ค่าห้องคืนหนึ่ง ๗๐๐ ยูโร ประมาณ ๒๘,๐๐๐ บาท อาตมายังต้องไปนอนกับพื้นเลย..! ถาม : เป็นนิสัยเก่าที่ติดมาหรือเปล่าครับ ? ตอบ : ไม่รู้..อาตมาคงทำทาสทานมา ให้ของไม่ดีคนอื่นไว้เยอะ ถึงเวลาใช้ของดีไม่ได้ ต่อไปถึงเวลาจะทำอะไร ต้องให้แต่ของดี ๆ หลวงปู่มหาอำพันเวลาจะทำบุญท่านประณีตมาก คัดแล้วคัดอีก รองเท้าต้องซื้อที่ร้านนี้ ร่มต้องซื้อร้านนี้ ผ้าไตรจีวรต้องซื้อร้านนี้ ย่ามต้องซื้อร้านนี้ คนที่เหนื่อยที่สุดคือพี่พรทิพย์กับพี่รุ่งเรือง ท่านจะเน้นเลยว่าร้านนี้ของอย่างนี้คุณภาพดี ต้องร้านนี้เท่านั้น บางร้านอยู่ยงคงกระพันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ ๖ ท่านก็ยังตามเป็นลูกค้าอยู่เพราะเขาขายของมีคุณภาพ เขารักษาชื่อเสียง ยังดีที่หลวงปู่มหาอำพันไปพระนิพพานแล้ว ไม่อย่างนั้นเกิดใหม่คงมีของประณีตทุกชิ้น พวกเราทำทาสทานไว้เยอะ จงยอมทนต่อไปเถอะ..! |
ถาม : ถ้าทำกรรมฐานแต่ไม่พิจารณา กิเลสจะดึงกำลังไปนาน ประเภทเอาไม่หยุดฉุดไม่อยู่ ถ้าจะแงะกิเลสตัวนั้นออกได้ต้องเข้าถึงสมาธิระดับเดิมใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องถึงระดับเดิมก็ได้ แต่ให้ถึงปฐมฌานขึ้นไปจะกดกิเลสได้ชั่วคราว เวลากิเลสพาเราเตลิดไปแล้ว จะเอาคืนยากมาก หลายวันเชียวกว่าจะได้คืน ฉะนั้น..อย่าเผลอปล่อยให้เป็นทีของเขา ต้องพยายามให้เป็นทีของเราไว้เสมอ ถ้าไม่สามารถรักษาอารมณ์ให้หลับกับตื่นรู้ตัวเท่ากันได้ ก็ต้องรีบตื่นขึ้นมาหาความดีใส่ใจให้เร็วที่สุด เพราะว่าความดีความชั่วเข้ามาในใจของเราได้อย่างเดียว ไม่สามารถจะชั่วกับดีปนกันได้ ถ้าให้ความชั่วเข้ามาก่อน เราก็ฟุ้งซ่านเดือดร้อนทั้งวัน ถ้าให้ความดีเข้ามาก่อน ความชั่วเข้าไม่ได้ เราก็มีความสุข เย็นกายเย็นใจไปทั้งวัน แต่ถ้ากำลังไม่พอ อาจจะได้ชั่วโมงเดียว ก็ต้องเริ่มต้นกันใหม่ |
พระอาจารย์เล่าว่า "ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น อาตมาจะถือเรื่องเรียนเป็นใหญ่ พอดีว่าเพื่อนร่วมกลุ่มทำโครงร่างวิทยานิพนธ์เสร็จช้า ทางมหาวิทยาลัยไม่มีวันให้สอบ แล้วอยู่ ๆ ก็แจ้งด่วนมาถามว่า จะสอบร่วมกับทางรัฐประศาสนศาสตร์ไหม ? ก็เรียนท่านไปว่า ถ้าสอบได้ก็เอา ปรากฏว่าวันสอบของรัฐประศาสนศาสตร์ตรงกับวันตักบาตรเทโว ไปถึงแล้วอาจารย์เพิ่งนึกได้ ท่านบอกว่า "ผมลืมไปจริง ๆ ครับว่ามีวันตักบาตรเทโว ห่างวัดไปหน่อย" อาตมาบอกว่า "ไม่เป็นไรครับอาจารย์ อย่างเก่งผมขาดรายได้ไป ๑๕๐,๐๐๐ บาทเท่านั้นเอง" คนทั้งอำเภอเตรียมมาตักบาตร ทาง ททท. เตรียมกล้องมาถ่ายสารคดี แต่เจ้าอาวาสไม่อยู่ เสียท่าเลย จะเห็นว่างานสำคัญระดับ ททท. จะยกเป็นแหล่งเที่ยวของจังหวัดก็ยังต้องทิ้ง เอาเรื่องเรียนไว้ก่อน
จากที่ไม่มีวันสอบ คาดว่าต้องหลุดถึงปีหน้าแน่ ๆ กลายเป็นสอบก่อนเพื่อนเลย เพื่อนฝูงเขาโวยวายว่าแซงทางโค้งเขาไปเมื่อไร อาตมาก็รู้สึกดีใจที่ได้สอบก่อนเพื่อน ตอนแรกก็คิดว่าผลสอบออกมา ๒ อย่าง อย่างแรกคือโดนอาจารย์สับเละเป็นโจ๊ก อย่างที่สองก็คือ อาจจะไปสร้างมาตรฐานใหม่จนเพื่อนเดือดร้อน แต่ก็ดีใจที่ได้สอบก่อน เพราะว่าท่านที่หัวข้อวิทยานิพนธ์ใกล้เคียงกัน อาจจะโดนอาจารย์เปลี่ยนหัวข้อ พวกสอบก่อนจึงได้เปรียบ พอเข้าไปสอบเข้าจริง ๆ ปรากฏว่า ตัวประธานคณะกรรมการสอบ คือท่านเจ้าคุณพระเมธาวินัยรส ของมหามกุฏราชวิทยาลัย การสอบของพวกเราอาจารย์ที่ปรึกษาไม่มีสิทธิ์เลย เขาเอาอาจารย์ข้างนอกมาลุยเรา อยากให้การสอบทุกครั้งเป็นแบบนี้ ท่านอาจารย์จะนั่งปรึกษากันว่า ลูกศิษย์จะทำวิทยานิพนธ์เรื่องนี้ ท่านมีความเห็นว่าเป็นไปได้ไหม ? มีอะไรต้องเพิ่มเติมหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงอย่างไร ? ท่านอาจารย์ตกลงกันได้แล้ว ค่อยมาบอกเราทีละข้อ ๆ อะลุ้มอล่วยดีมากจนกระทั่งคิดไม่ถึง ไม่นึกว่าจะมีการสอบในลักษณะนี้ เพราะว่าของรัฐประศาสนศาสตร์สอบอาตมาก็ฉวยโอกาสไปนั่งดู เห็นว่าโดนท่านอาจารย์สับเละเป็นโจ๊กไปเลย อาจจะเป็นไปได้ว่า พอเห็นเขาสับทางด้านโน้นอยู่ อาตมาก็นั่งภาวนา พระอะระหัง สุคะโต ภะคะวา นะ เมตตาจิต ไปเรื่อยเปื่อย พอถึงเวลาตัวเองเข้าไปสอบกลายเป็นหนังคนละม้วน สรุปว่าใช้คาถาให้เป็น ปกติเขานึกถึงหน้าอาจารย์แล้วค่อยภาวนา นี่ไม่ต้องนึก ท่านอยู่ตรงหน้าเลย ลูกศิษย์มีวัตถุประสงค์ในการวิจัยเป็นอย่างนี้ มีท่านใดเห็นเป็นอื่นบ้างไหมครับ ? มีท่านใดเห็นว่าควรแก้ไขเปลี่ยนแปลงตรงไหน ? ท่านอาจารย์นั่งเถียงกันเป็นสิบ ๆ นาที ตกลงกันได้แล้วว่าจะเอาอย่างนี้นะ ให้นิสิตเปลี่ยนตามนี้ ๆ สรุปว่าท่านอาจารย์เขียนให้ทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ว่าเขียนผ่านมือของพวกเราเอง" |
พระอาจารย์เล่าว่า "ในหลวงรัชกาลที่ ๕ คบหาสมาคมกับต่างประเทศมาก พระองค์ท่านเสวยพระสลา (หมาก) พระทนต์ (ฟัน) ก็ดำ คราวนี้พอชาวต่างประเทศมา ก็ต้องไปขัดพระทนต์ให้ขาว ไม่สนุกเลย เพราะว่ายางหมากเวลาจับฟันจะดำ ถ้าอยากรู้ว่าดำอย่างไรต้องดูหนังเรื่องแม่นาค ดำแบบนั้นแหละ แต่หนังเรื่องแม่นาคตั้งใจย้อมจนเกินไป ของจริงไม่ดำสม่ำเสมอแบบนั้น ถ้าเด็ก ๆ ไปดูหนังเรื่องแม่นาค แล้วปากอาจจะจัดขึ้น แต่ละคนด่าไฟแลบเลย..!"
|
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:13 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.